telwada ทำไมจึงคิดว่าตัวเองเป็น พระศรีอารย์ ?

ในห้อง 'Black Hole' ตั้งกระทู้โดย WebSnow, 25 กันยายน 2004.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. เจษฎรธรรม

    เจษฎรธรรม Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    61
    ค่าพลัง:
    +29
    คุณ telwada ครับ กระผมอยากรู้ว่า จะทำอย่างไรให้วัยรุ่นสนใจธรรมะมากขึ้นครับ
     
  2. เจษฎรธรรม

    เจษฎรธรรม Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    61
    ค่าพลัง:
    +29
    และขอถามท่านอีกข้อนะครับ

    หัวใจ ของหลักธรรมของท่าน คืออะไร ขอสั้นๆบรรทัดเดียว
     
  3. jim1

    jim1 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    31
    ค่าพลัง:
    +5
    +++++++++++
    อ่านแล้วขำค่ะ เข้าใจพูด คริ คริ หายปวดหัวไปเยอะ:cool:
     
  4. telwada

    telwada เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,509
    ค่าพลัง:
    +1,817

    การปฏิบัติธรรมดีทุกรูปแบบขอรับ อยู่ที่ความต้องการของแต่ละบุคคลว่าต้องการจะปฏิบัติธรรมแบบใดเท่านั้น
     
  5. telwada

    telwada เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,509
    ค่าพลัง:
    +1,817

    ข้าพเจ้าไม่มีความคิดเห็นใดใดขอรับ แต่ข้าพเจ้ามีประสบการณ์ที่บอกเล่าให้ได้รู้ว่า จากการศึกษา ค้นคว้า วิจัย ทดลอง พบว่า
    เมื่อบุคคลได้เรียนรู้ถึงหลักธรรมแล้ว ทำความเข้าใจดีแล้วพอสมควร
    และเมื่อ รู้จักและเข้าใจในเรื่องของ มรรค ผล (เหตุปัจจัยนั่นแหละ อันเดียวกัน) ผู้ปฏิบัติก็จะเข้าสู่ชั้นโสดาบัน หมายความว่า ต้อง รู้จักและเข้าใจในเรื่องของมรรคผลก่อน จึงจะเข้าสู่ชั้นโสดาบัน ซึ่งจะคาบเกี่ยวกัน
    เมื่อบุคคล บรรลุชั้นโสดาบันแล้ว ก็จะคาบเกี่ยวกับ ชั้น สกทาคมี โดยอัตโนมัติ
    เมื่อบุคคล บรรลุชั้น สกทาคามี แล้ว ก็จะคาบเกี่ยวกับ ชั้น อนาคามี โดยอัตโนมัติ
    เมื่อบุคคล บรรลุชั้น อนาคามี แล้ว ก็จะคาบเกี่ยวกับ ชั้น อรหันต์ โดยอัตโนมัติ
    เมื่อบุคคล บรรลุชั้น อรหันต์ แล้ว ก็จะคาบเกี่ยวกับ ชั้น นิพพาน โดยอัตโนมัติ
     
  6. telwada

    telwada เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,509
    ค่าพลัง:
    +1,817
    หัวใจหลักธรรมของข้าพเจ้า มีอยู่ ๔(สี่) คู่ ๘ (แปด)ข้อ

    ๑.การครองเรือน,ทาน(การให้)
    ๒.กตัญญู(รู้คุณ),เจรจา ติดต่อสื่อสาร
    ๓.สรรพอาชีพ,ประพฤติ
    ๔.ระลึก,ดำริ
     
  7. ballbeamboy2

    ballbeamboy2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    1,622
    ค่าพลัง:
    +1,618
    ทํายังไงถึงจะเป็นแบบtelwada ได้
     
  8. telwada

    telwada เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,509
    ค่าพลัง:
    +1,817
    เรื่องใหญ่ขอรับ ไม่ใช่เรื่องเล็ก เรื่องง่ายและทำได้ยาก
    วัยรุ่นจะสนใจธรรมะมากขึ้น ก็ต่อเมื่อ บิดา มารดา และคนรอบข้าง มีศีลมีธรรม เป็นตัวอย่าง วัยรุ่นก็จะสนใจธรรมะมากขึ้น เพราะคลื่นแห่งศีลธรรม รวมไปถึง กิเลส ในตัวของแต่ละบุคคล ถ่ายทอดถึงกันได้
    อีกประการที่สำคัญ ก็คือ การเรียนการสอนใน สถานศึกษา หากยังเห็นการเรียนการสอนแบบฝรั่งมั่งค่าดีกว่าการเรียนการสอนแบบไทยๆ ในบางเรื่องบางวิชา วัยรุ่นก็ยากที่จะสนใจธรรมะ แถมยังไม่สามารถพินิจพิเคราะห์ว่าสิ่งใดควรหรือไม่ควร ข้าพเจ้าเคยเขียนบทความเรื่อง "การศึกษาของไทยกับพุทธศาสนา" เป็นการชี้แนะแนวทางในอันที่จะทำให้เยาวชนของไทย ได้มีศีลธรรมจรรยามากขึ้น ไม่มัวไปหลงติดในวัฒนธรรมแบบตะวันตกมากจนเกินควร
    พวกที่เล่าเรียนจากเมืองนอกบางคน บางกลุ่ม ถึงแม้จะเรียนสูง แต่ยังขาดความรู้ความเข้าใจในเรื่องลักษณะภูมิประเทศ อากาศ วัฒนธรรมจารีตประเพณี ไปหลงคิดว่า ของเขาดีอยากจะนำมาใช้ในประเทศซึ่งแท้จริงแล้ว การเป็นอยู่ของกลุ่มชนมันแตกต่างกัน ไม่สามารถจะนำเอามาใช้ได้ทุกสิ่งทุกอย่าง หรืออาจจะใช้ไม่ได้สักอย่างเดียวเลย เพราะลักษณะภูมิประเทศ อากาศ วัฒนธรรมจารีตประเพณี รวมไปถึงความคิดความเข้าใจ มันต่างกัน
    สุดท้ายข้าพเจ้าได้นำเอาบทความที่เคยไว้เกี่ยวกับ "การศึกษาของไทยกับพุทธศาสนา" มาลงไว้ให้ได้อ่านและคิดพิจารณา อาจจะมีประโยชน์อยู่บ้างไม่น้อยก็มาก
    การศึกษาของไทย กับ พุทธศาสนา
    ชนชาติไทย เป็นกลุ่มคนที่อพยพย้ายถิ่นฐานมาจากประเทศจีนตอนใต้ มีอยู่หลายกลุ่ม หลายเผ่า เช่น ไทยดำ,ไทยขาว,ไทยใหญ่(ไทยอาหม)ไทยลื้อ,ไทยเขิน,และไทยน้อย อันเป็นเผ่าคนไทยในปัจจุบัน อพยพเดินทางมาจนถึงดินแดนปัจจุบันนี้ ซึ่งเดิมมีกลุ่มชน อาศัยอยู่ในบริเวณนี้กระจัดกระจายหลายกลุ่ม เช่น ละว้า ขอม เป็นต้น
    ชนเผ่าหรือชนชาติต่างๆไม่ว่าจะอยู่ ณ.ที่แห่งใด ล้วนย่อมมีการเล่าเรียนศึกษา และหรือได้รับการเล่าเรียนศึกษาสืบทอดต่อๆกันในหลากหลายสาขาวิชา การศึกษาในสมัยโบราณนั้น ส่วนใหญ่มีการแบ่งกลุ่มสำหรับการรับการศึกษา เช่น กลุ่มชั้นปกครอง กลุ่มประชาชนทั่วๆไป แต่ละกลุ่มนั้นจะมีการศึกษาหรือได้รับการศึกษา ที่แตกต่างกันไปตามความจำเป็นในการครองเรือน หรือตามความจำเป็นในการดำรงชีวิต ซึ่งในยุคก่อนที่จะมีศาสนา กลุ่มชนเหล่านั้น ก็มีการศึกษาทั้งในด้าน อักษรศาสตร์, ยุทธศาสตร์, การปกครอง,พาณิชย์ศาสตร์,โหราศาสตร์,แพทย์แผนโบราณ, ดนตรี, ขับร้อง, การอุตสาหกรรม, หัตถกรรม, ศิลปกรรมต่างๆ ตลอดรวมไปถึง การทำอาหาร,การเย็บปักถักร้อย,การสร้างวัสดุเครื่องมือในการเลี้ยงชีพด้านการประมง,ล่าสัตว์,เกษตรกรรม,และยังหมายรวมถึง วิธีหรือวิชาการประกอบอาชีพด้านต่างๆเพื่อการเลี้ยงชีพ หรือดำรงชีวิตในสังคมนั้นๆ การเล่าเรียนศึกษาในด้านต่างๆตามที่ได้กล่าวไป ย่อมมีการเรียนรู้หรือศึกษาตามฐานันดร ตามถิ่นที่อยู่อาศัย ตามลักษณะภูมิประเทศ และลักษณะภูมิอากาศ อันจะเป็นปัจจัยหรือเป็นเครื่องกำหนดให้กลุ่มชนแต่ละกลุ่มชน จำเป็นต้องเรียนรู้ศึกษาในวิชาการหรือหลักการหรือวิธีปฏิบัติ ตามสาขาวิชาเหล่านั้นเพื่อการดำรงชีพตามสังคมนั้นๆ หรือเพื่อการเลี้ยงชีพ
    ตามประวัติศาสตร์ที่ปรากฎ ประเทศไทยได้เกิดขึ้นโดยเริ่มนับเอาตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัย เป็นต้นมา ซึ่งแท้จริงแล้วชนชาติไทย หรือชนเผ่าไทยได้อาศัยอยู่มาก่อนจะมี กรุงสุโขทัยแล้ว ต่อมาเมื่อ พ่อขุนรามคำแหง ได้รวบรวมกลุ่มคนไทย และหัวเมืองต่างๆ พร้อมกับได้สร้าง กรุงสุโขทัย เป็นราชธานีคือ เป็นเมืองหลวงแห่งแรกของไทย ประเทศไทยจึงถือเอาการสถาปนา กรุงสุโขทัย เป็นราชธานี เป็นจุดเริ่มต้นหรือเป็นการเกิดขึ้นของประเทศไทย ประมาณปี พ.ศ. ๑๗๙๑ เป็นต้นมา
    ในยุคสมัยก่อนจะเกิดกรุงสุโขทัยนั้น กลุ่มชนที่อาศัยอยู่ในภูมิภาคแถบนี้ มีการนับถือหรือศรัทธา คือมีความเชื่อในเรื่องของ ผี (ผีปู่ย่า ผีบรรพบุรุษ ผีบ้านผีเรือน ผีป่า นางไม้ ผีเจ้าที่เจ้าทาง ผีภูเขา ผีน้ำ เป็นต้น) บางกลุ่มชนก็นับถือดวงดาว ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ต่อมา เมื่อศาสนาพราหมณ์ได้แผ่ขยายเข้ามาในภูมิภาคแถบนี้กลุ่มชนทั้งหลายเหล่านั้น ก็หันไปนับถือและมีความเชื่อในศาสนาพราหมณ์ เพิ่มเข้าไปนอกเหนือจากการที่มีความเชื่อหรือมีการนับถือที่มีอยู่เดิม ที่เป็นเช่นนั้น ก็เพราะศาสนาพราหมณ์ ไม่ขัดต่อความศรัทธาหรือไม่ขัดต่อความเชื่อที่กลุ่มชนเหล่านั้นมีอยู่เดิม เรียกว่า ไปด้วยกันได้ ดังนั้นกลุ่มชนเหล่านั้นจึงนับถือหรือมีความศรัทธาทั้งในศาสนาพราหมณ์ และมีความนับถือหรือศรัทธาในรากฐานความเชื่อเดิมๆไปพร้อมๆกัน แต่ก็มีการแบ่งแยกในการทำพิธีกรรมของศาสนาพราหมณ์ กับพิธีกรรมของการศรัทธาหรือนับถือผี,หรือดวงดาวฯที่มีอยู่เดิม ไปตามลักษณะฐานันดรของแต่ละบุคคลแต่ละครอบครัวในกลุ่มชนเหล่านั้น
    ต่อมาเมื่อ พุทธศาสนาได้เกิดขึ้น และแผ่ขยายมายังภูมิภาคแถบนี้ กลุ่มชนหลายๆกลุ่มชนบ้างก็ได้รวมตัวกัน รวบรวมกัน มีอาณาเขต เป็นเมือง เป็นแคว้น เป็นประเทศ กันบ้างแล้ว เมือง,แคว้น,ประเทศ เหล่านั้น ต่างก็มีการเรียนการสอน อันป็นการเรียนการสอน หรือการศึกษา ในวิชาการ หลักการ ตามสาขาวิชาต่าง ๆ กันอยู่แล้ว ซึ่งเหล่าบรรดา เมือง,แคว้น,ประเทศเหล่านั้น ล้วนมีภาษาพูด เขียน เป็นของตัวเอง มาก่อนประเทศไทย คือมีมาก่อนกรุงสุโขทัย ต่อมาเมื่อพ่อขุนรามคำแหง ได้สถาปนา กรุงสุโขทัย เป็นราชธานี จึงได้รับเอาพุทธศาสนา หรือถ้าจะกล่าวตามความเป็นจริง ก็คือ ได้รวบรวมเอา พุทธศาสนา เข้าไว้ในกรุงสุโขทัยด้วย เพราะพุทธศาสนา ได้แพร่ขยายเข้ามาในภูมิภาคแถบนี้ก่อนแล้ว ดังนั้น ในสมัยกรุงสุโขทัย จึงมีการเรียนการสอนการศึกษา ทั้งทางด้าน หลักวิชาการ หรือหลักการ หรือหลักปฏิบัติ ในสาขาวิชา ต่างๆ อย่างหนึ่ง และมีการเล่าเรียนศึกษา ในด้านพุทธศาสนาอีกอย่างหนึ่ง
    การศึกษาในยุคสมัยสุโขทัยนั้น ผู้ชายไทยเกือบทุกคนหากจะเล่าเรียนเขียนอ่าน และเล่าเรียน ศิลปวิทยาการ ศิลปการต่อสู้ การแพทย์ และอื่นๆอีกหลายวิชา ล้วนต้องไปเล่าเรียนในวัดเรียนกับพระสงฆ์แทบทั้งสิ้น และภาษาที่ใช้เล่าเรียนเขียนอ่านในยุคนั้นสันนิษฐานว่าใช้บาลีในพุทธศาสนาเป็นรากฐานในการเล่าเรียนเขียนอ่าน ต่อมาเมื่อ พ่อขุนรามคำแหง มหาราช ได้ทรงคิดประดิษฐ์อักษรไทยขึ้นมาใช้ (พ.ศ.๑๘๒๖) จึงได้มีการเล่าเรียนเขียนอ่านภาษาไทย ซึ่งก็ผสมผสานการเรียนไปกับภาษาบาลี เรื่อยมาจนถึงยุคกรุงศรีอยุธยา จึงมีการแบ่งแยกการเล่าเรียนศึกษาเป็นฝ่ายอาณาจักร และเป็นฝ่ายพุทธจักร เพราะในยุคสมัยกรุงศรีอยุธยานั้น ได้มีการติดต่อค้าขายกับชาวต่างชาติมากมาย ประกอบกับได้มีพวกมิชชันนารี หรือนักบวชสอนศาสนาคริสต์ ได้เข้ามาเผยแพร่ศาสนา ในยุคนั้นได้มีการเล่าเรียนศึกษา ในวิชาสามัญทั่วไป วิชาชีพต่างๆ วิชาหัตถกรรม การบ้านการเรือน ทั้งนี้ยังรวมไปถึง การเล่าเรียนศึกษาที่มีอยู่เดิมซึ่งผู้ชายไทยส่วนใหญ่ก็มักจะได้เล่าเรียนในวัดจากพระสงฆ์ผู้คงแก่เรียนบ้าง เล่าเรียนจากชุมชนจากบ้าน จากบิดามารดา ญาติผู้ใหญ่ หรือจากผู้มีวิชาความรู้ ที่ตั้งเป็นสำนักเรียน ประการสำคัญประการหนึ่งในยุคกรุงศรีอยุธยานี้ ได้มีการสร้างแบบเรียนขึ้นมาบ้างแล้ว จวบจนมาถึงยุคกรุงรัตนโกสินทร์ จึงได้แยกการเรียนภาษาไทย กับ ภาษาบาลีออกจากกันตามลำดับโดยเด็ดขาด และแยกการศึกษาเป็นฝ่าย อาณาจักร กับฝ่ายพุทธจักร กล่าวคือ ฝ่ายอาณาจักร ก็จะมีการศึกษาเล่าเรียน ตามแบบเรียน ที่ได้มีการแต่งและเรียบเรียงขึ้นใหม่ อีกทั้งยังได้มีการเรียนการสอนภาษาต่างประเทศ ดาราศาสตร์ ฯลฯ และมีวิวัฒนาการ พัฒนาการในการเรียนการสอน มาตามลำดับ จนมาถึงยุคเปลี่ยนแปลงการปกครอง อย่างไรก็ตาม ถึงแม้จะมีการแยกการเรียนการสอนหรือการศึกษา เป็นอาณาจักร และพุทธจักร คนไทยส่วนใหญ่ ในสมัยนั้นล้วนได้รับการเรียนรู้ ได้รับการศึกษาจากวัด จากพระสงฆ์ จากการบวชเรียน จนถึงขนาดมีกฎเกณฑ์ของทางราชการกำหนดไว้ว่า ผู้ใดจะเข้ารับราชการต้องผ่านการบวชเรียนมาก่อน จึงกลายเป็นวัฒนธรรมประเพณี ที่ชายไทยต้องบวชเรียนเพื่อทดแทนพระคุณพ่อแม่ ซึ่งการบวชเรียนมาก่อนจึงจะสามารถเข้ารับราชการได้นั้น แท้จริงแล้วเริ่มมีมาตั้งแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี
    แบบเรียนภาษาไทย ได้เริ่มมีการแต่งขึ้นครั้งแรก นอกเหนือจากการประดิษฐ์อักษรไทยโดย พ่อขุนรามคำแหง เกิดขึ้นในกรุงศรีอยุธยา แบบเรียนภาษาไทยในสมัยนั้น เป็นแบบเรียนที่เรียบเรียงแต่งขึ้นตามแบบอย่างการเรียนภาษาบาลี เพราะได้รับอิทธิพลจากศาสนาพุทธ แบบเรียนจึงเป็นไปในแนวทางนั้น ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ก็ได้มีการสร้างแบบเรียนขึ้นใหม่อีกครั้งหนึ่ง “ และต่อมา ได้มีการแต่งแบบเรียนเร็วสำหรับการเรียนการสอนภาษาไทยขึ้นใหม่อีก โดย สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ เป็นแบบเรียนที่ใช้หลักการทางพุทธศาสนา เพื่อทำให้ผู้เรียนที่เป็นเด็กตั้งแต่ชั้นมูล หรืออนุบาลจนถึง ประถมศึกษาปีที่ ๒ ได้มีพื้นฐาน หรือรากฐาน ทั้งในด้านภาษาไทย และในด้านวิวัฒนาการหรือพัฒนาการทางสมองสติปัญญา ทำให้รู้จักแยกแยะ วิเคราะห์ พิจารณา ใช้ความคิด ความจำ รู้จักปรุงแต่ง คือการผสมอักษร ผสมสระ วรรณยุกต์ ตัวสะกด อีกทั้งยังทำให้เกิดความคิดความจำพื้นฐาน ในอันที่จะเล่าเรียนศึกษาในหลักวิชาต่างๆได้อย่างกว้างขวาง เป็นแบบเรียนที่เหมาะสมกับเด็กไทย เหมาะสมกับสภาพแวดล้อม เหมาะสมต่อสภาพภูมิประเทศและภูมิอากาศ,ภาษา,ศาสนา,ฯ อีกทั้งเกี่ยวข้องกับหลักโภชนาการของเด็กไทยอีกด้วย” และด้วยการเรียนการสอนตามแบบเรียนเร็วที่สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพได้ทรงแต่งนั้น คนไทยในสมัยนั้น แม้จบ เพียง ป.๔ ก็สามารถ ที่จะประกอบอาชีพต่างๆ เช่น ครู ข้าราชการ และอื่นๆได้เป็นอย่างดี อย่างนี้เป็นต้น
    เมื่อมาถึงยุคการเปลี่ยนแปลงการศึกษาในเวลาต่อมา ตามความเชื่อของพวกคลั่งไคล้ ชาวต่างชาติจนเกินไป หลักสูตรการเรียนการสอน ตำราหรือแบบเรียน วิธีการในการเรียนการสอนของเด็กไทยในชั้นพื้นฐาน ก็ถูกเปลี่ยนไป ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงกาล เพราะคิดว่าหลักสูตรการศึกษา หรือตำราเรียนหรือวิธีการเรียนการสอนของชาวต่างชาติดีกว่า โดยไม่ได้คำนึงถึง ลักษณะสภาพสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ,สังคม,สภาพภูมิประเทศ,ภูมิอากาศ,ภาษา,โภชนาการ,ศาสนา,ฯ ซึ่งความจริงแล้ว หลักสูตรการเรียนการสอน ตำราเรียนหรือแบบเรียน ตั้งแต่ชั้นมูล หรือ อนุบาล จนถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ ควรใช้หลักสูตรเดิม ใช้การเรียนการสอนแบบเดิม ใช้แบบเรียนหรือตำราเรียนแบบเดิม แต่ผสมผสานหลักสูตรทันสมัยเข้าไปบ้าง จนถึง ประถมศึกษาปีที่ ๓ จึงมีการเรียนการสอนแบบบูรณาการชั้นพื้นฐาน เด็กไทยสมัยนี้ สะกดคำไทย อ่านภาษาไทย ได้ไม่ดีเท่าที่ควร และเป็นส่วนใหญ่ด้วย อีกทั้งยังไม่รู้จักการ คิดพิจารณา,ไม่รู้จักการวิเคราะห์ความน่าจะเป็น,ไม่รู้จักการวิเคราะห์ว่าควรใช้หรือไม่ควรใช้,ไม่รู้จักวิเคราะห์ว่า สมควรหรือไม่สมควร, ไม่รู้จักการประพฤติปฏิบัติทั้งทางกาย วาจา และใจ อย่างมีเหตุผล เพราะหลักสูตรการศึกษา แบบเรียน ตำราเรียน วิธีการเรียนการสอน ที่ได้เปลี่ยนแปลงไป โดยความไม่รู้ของพวกผู้มีความคิดว่า หลักสูตรหรือแบบเรียนหรือวิธีการเรียนการสอนของชาวต่างชาติดีกว่า แต่แท้จริงแล้ว แบบเรียนหรือหลักการเรียนการสอนของไทยที่มีมาแต่เดิมนั้น เป็นหลักการในการเรียนการสอนอันได้ดัดแปลงมาจากหลักพุทธศาสนา เพื่อให้ผู้เรียนในระดับตั้งแต่ชั้นมูลหรือชั้นอนุบาลจนถึงประถมปีที่ ๒ ได้เรียนได้ฝึก เพื่อให้เกิดพื้นฐานพัฒนาทางด้านจิตใจและพัฒนาทางด้านสมองสติปัญญา ทั้งด้าน ความคิด ความจำ การวิเคราะห์ความน่าจะเป็น,การวิเคราะห์ว่าควรใช้,การวิเคราะห์ว่าสมควรหรือไม่สมควรอย่างนี้เป็นต้น ที่ได้กล่าวไป เป็นการกล่าวถึง การเรียนการสอนวิชาภาษาไทยชั้นพื้นฐาน ส่วนวิชาอื่นๆ เช่น วิชา เลขคณิต และอื่นๆ ย่อมต้องมีอยู่แล้ว เพราะวิชาเลขคณิต การบวก,ลบ,คูณ,หาร ในสมัยสุโขทัย และสมัยกรุงศรีอยุธยา ก็มีการเรียนการสอนเป็นปกติกันอยู่แล้ว
    เมื่อเด็กเยาวชนไทย ไม่มีพื้นฐานหรือพัฒนาการทางด้านสมอง,ในด้านจิตใจ,ด้านความจำ,ความคิด การวิเคราะห์ อีกทั้งไม่สามารถนำความรู้ที่มีอยู่มาผสมผสาน หรือปรุงแต่ง ให้เกิดเป็นความรอบรู้ อย่างต่อเนื่อง จึงไม่สามารถเรียนหรือเข้าใจในภาษาไทย และเรียนหรือศึกษาในวิชาการต่างๆได้ดีเท่าที่ควร ประการที่สำคัญ เด็กไทย ห่างไกลจากธรรมะ เพราะตามแบบเรียนในสมัยก่อนนั้น เป็นแบบเรียนที่แฝงไว้ซึ่งธรรมะ สามารถสร้างพื้นฐานทางสภาพจิตใจและสมองของเด็กไทย ให้รู้จักคิด วิเคราะห์ จดจำ อีกทั้งการสอนการปฏิบัติธรรมะในสถานศึกษา ก็ผิดวิธี ได้แต่สอน ปฏิบัติสมาธิ แล้วบอกกับเด็กหรือเยาวชนว่า เป็นการปฏิบัติธรรม แทนที่จะนำเด็กหรือเยาวชนไปวัดหรือนิมนต์พระสงฆ์ มาเทศนาธรรม ให้รู้จักวิธีการปฏิบัติธรรมะอย่างแท้จริง เป็นการปลูกฝังให้เด็กหรือเยาวชนไทยรักษาวัฒนธรรมประเพณี รักษาศาสนา นอกเหนือจากการเรียนจากตำราเรียนหรือหลักสูตรที่มีอยู่
    เมื่อเด็กหรือเยาวชนไทย ไม่มีพื้นฐานหรือขาดพื้นฐานทางด้านจิตใจ สมอง ความคิด พฤติกรรมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรมทางด้านการศึกษา ,พฤติกรรมทางสังคมของเด็กไทย ก็ย่อมเบี่ยงเบนไปเป็นธรรมดา ควรรีบแก้ไข ไม่ใช่มานั่งคิดแก้ไขปัญหาแบบมีสมองเหมือนเด็กที่มีความคิดเบี่ยงเบน เช่น “ถ้าเด็กหรือนักเรียนนักศึกษาทำผิด จะเอาโทษบิดามารดาบ้าง ,หรือ ถ้าเด็กหรือนักเรียนนักศึกษาทำผิดจะปิดสถานศึกษาบ้าง” ขอให้ท่านทั้งหลายที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาของไทย ได้ใช้วิจารณญาณ คิดพิจารณา ให้เกิดความรู้ ความเข้าใจอย่างถ่องแท้ และควรได้แก้ไขอย่างเร่งด่วน อีกทั้งควรระลึกไว้เสมอว่า “ลักษณะสภาพสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ,สังคม,สภาพภูมิประเทศ,ภูมิอากาศ,ภาษา,โภชนาการ,ศาสนา, ฯ” เป็นปัจจัย หรือเป็นสิ่งเกื้อหนุน หรือเป็นอุปสรรคในการใช้แบบเรียน ในการใช้หลักสูตร ในการใช้วิธีการเรียนการสอน สำหรับการเล่าเรียนศึกษา
    จ่าสิบตรี เทวฤทธิ์ ทูลพันธ์ ผู้เขียน
    ๑ ถึง ๖ กันยายน ๒๕๕๓
    (บทความประกอบการเขียน ๑.ประวัติการศึกษาไทย ของ พิศมัย วิธีธรรม)
    ( ๒. วิวัฒนาการ การศึกษาไทย โดย กระทรวงศึกษาธิการ,๒๐๐ ปีของการศึกษาไทย)
     
  9. เจษฎรธรรม

    เจษฎรธรรม Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    61
    ค่าพลัง:
    +29
    ขอบคุณสำหรับคำตอบครับ

    อยากถามท่านอีกสักข้อนะครับ ไม่รู้ว่าถามบ่อยไปไหม

    ถ้ามีคนกล่าวว่า คิดต่างไม่ได้แปลว่าผิด

    ซึ่งความคิดของเขาคือ ไม่จำเป็นต้องเป็นพระหลอกลำบาก

    สู้ทำงานหาเงิน ดูแลคนอื่นดีกว่า ท่านมีความเห็นอย่างไรกับความคิดนี้

    กับคำกล่าวที่ว่า คิดต่างไม่ได้แปลว่าผิด

    และผมขอถามอีกสักข้อนะครับ

    คำว่า ความดี กับความชั่ว ในอดีตกับปัจจุบันและอนาคต เหมือนกันหรือแตกต่างกัน
     
  10. telwada

    telwada เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,509
    ค่าพลัง:
    +1,817
    คำถามแรก "คิดต่างไม่ได้แปลว่าผิด" คำตอบก็คือ
    มันขึ้นอยู่กับ บทบาทและหน้าที่ของแต่ละบุคคลอย่างหนึ่ง อีกอย่างหนึ่งมันขึ้นอยู่กับว่าเรื่องที่คิดต่างนั้นมันคิดต่างอย่างไร เช่น ถ้าข้าพเจ้าบอกคุณว่า หนึ่งบวกหนึ่งเท่ากับสองนะ แต่คุณกลับคิดว่าไม่ใช่ อย่างนี้คุณคิดว่าผิดหรือถูก นี้เป็นเพียงการยกตัวอย่างให้ได้พิจารณาเพียงเล็กน้อย เพราะถ้าจะตอบแบบละเอียดก็ต้องใช้เวลาเยอะมาก

    คำถามที่สอง "ความดี กับความชั่ว ในอดีต กับปัจจุบันและอนาคต เหมือนกัน หรือแตกต่างกัน
    คำถามนี้ก็เหมือนกัน มันขึ้นอยู่กับตัวบทกฎหมาย,กฏเกณฑ์กติกาของชุมชมหรือของสังคมนั้นๆ ในเรื่องของความชั่ว มันก็ขึ้นอยู่กับลักษณะของความชั่ว ว่าความชั่วทั้งหลายเหล่านั้น กฎหมาย กฎเกณฑ์กติกาฯ นับได้ว่าชั่วตั้งแต่อดีตจนถึงอนาคตหรือไม่ ความชั่วบางอย่าง จะเกิดขึ้นผ่านไปแล้วหรือจะเกิดขึ้นป้จจุบันหรือจะเกิดขึ้นในอนาคต มันก็มีค่าเท่ากัน เหมือนกัน แต่ความชั่วบางอย่าง อาจจะไม่เหมือนกัน ถ้ามันเกิดขึ้นเมื่อผ่านไปแล้วคืออดีต หรือไม่เหมือนกับปัจจุบันถ้ามันเกิดขึ้นอีก หรือไม่เหมือนกับอดีตและปัจจุบันถ้ามันเกิดขึ้นในอนาคต ในที่นี้ไม่ยกต้วอย่างให้คุณไปพิจารณาเอาเองเพราะเขียนตอบให้อย่างชัดเจนแล้ว
    สรุป ทั้ง ความดี ความชั่ว ไม่ว่าจะเกิดขึ้นในอดีต ปัจจุบัน หรืออนาคต อาจจะเหมือนกันก็ได้ หรืออาจจะแตกต่างกันก็ได้ มันขึ้นอยู่กับลักษณะของการกระทำ ความดีหรือความชั่วนั้นๆ และขึ้นอยู่กับ ตัวบทกฎหมาย,กฎเกณฑ์กติกาของสังคมหรือของชุมชนนั้นๆ
     
  11. เจษฎรธรรม

    เจษฎรธรรม Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    61
    ค่าพลัง:
    +29
    อยากจะถามอีกสักข้อนะครับ

    ไม่รู้ว่าท่านรำคาญหรือเปล่า กระผมเป็นคนอยากรู้อยากเห็น

    ท่านคิดว่า อะไรในพุทธศาสนา ที่ควรแก้ไข บอกเป็นข้อๆ (ไม่เกิน 10 ข้อ) และท่านคิดว่าเมื่อแก้ไขแล้ว ดีขึ้นแล้ว

    จะขัดกับคำทำนายขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าะประทีปแก้วจอมไตรโลกนาถหรือเปล่าครับ ที่พระองค์ท่านกล่าว

    ว่า พระพุทธศาสนาของพระองค์ท่านจะเสื่อมลง

    หรือว่าท่านคิดว่าคำทำนายนี้อาจจะไม่มีจริงอยู่ก็เป็นไปได้ครับ

    หรือท่านคิดเห็นอย่างไร ก็ช่วยสงเคราะห์กรุณากระผมด้วยครับ
     
  12. ไต้ซือฟาง

    ไต้ซือฟาง สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2012
    โพสต์:
    18
    ค่าพลัง:
    +3
    งั้นแสดงว่าท่าน ปฏิเสทธิปณิธานแบบพระอวโลกิเตศวรโพธิสัวต์ผู้ที่บรรลุอรหันต์นานแล้ว
    แสดงว่าท่านปฏิเสธ มหายาน ท่านปฏิเสธ หลัก โพธิจิต ท่านปฏิเสธ อนุตรสัมโพธิญาณ ท่านปฏิเสธมหาปณิธาน ใช่ไหมท่าน.....อามิตตาพุทธ
     
  13. telwada

    telwada เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,509
    ค่าพลัง:
    +1,817
    ความจริงแล้ว ข้าพเจ้าตอบให้ท่านไปอย่างชัดแจ้งแล้วว่า ข้าพเจ้า ศึกษา ค้นคว้า วิจัย ทดลองปฏิบัติ จนได้ผลดีแล้ว นั่นก็หมายความว่า ข้าพเจ้าคือปรมาจารย์ ก็ว่าได้นะขอรับ
    คำว่าได้ผลดีแล้ว หมายถึง บรรลุนิพพานแล้ว และปัจจุบัน กำลังค้นคว้า และวิจัย ชั้นที่สูงกว่า นิพพาน เพราะข้าพเจ้าค้นพบว่า ยังมีชั้นที่สูงกว่านิพพานอีกอย่างน้อยหนึ่งชั้น
    ท่านจะมาพิสูจน์ก็ได้นะว่า บรรลุนิพพานแล้วมีปรากฏการณ์ทางสรีระร่างกายเป็นอย่างไร รับรองได้เห็นด้วยตาของท่านอย่างแน่นอน
    ส่วนคำถามของท่านที่ถามมา ข้าพเจ้าก็ไม่รู้จะตอบอย่างไร เพราะข้าพเจ้าไม่ได้สนใจในสิ่งที่่ท่านกล่าวถึง ไม่ว่าจะเป็น มหายาน โพธิจิต อนุตรสัมโพธิญาณ มหาปฏิธาน ข้าพเจ้าไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวอะไรด้วยเลยขอรับ จะว่าปฏิเสธ ก็ไม่ได้ จะว่าไม่ปฏิเสธก็ไม่ได้ ไม่รู้จะตอบอย่างไรจริงขอรับ
    อ่านแล้วกรุณาทำความเข้าใจให้ดีนะขอรับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 เมษายน 2012
  14. telwada

    telwada เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,509
    ค่าพลัง:
    +1,817
    ข้าพเจ้าไม่รำคาญที่คุณถามดอกขอรับ แต่รำคาญตัวข้อความที่คุณถาม คำถามที่คุณถามมาข้างต้นนั้น คุณคิดว่าเป้นเรื่องเด็กเล่นหรืออย่างไรที่จะแก้ไขศาสนา
    แก้ไขไม่ได้ดอกคุณ ขืนไปยุ่งเขาก็ด่าขรม ขนาดข้าพเจ้าเข้ามาประกาศตัวว่าคือ "ศรีอาริยเมตไตรย"ใหม่ๆ บางเวบฯยังไส่ร้ายว่าข้าพเจ้าทำลายพุทธศาสนาด้วยซ้ำไป
    ศาสนาเสื่อมไปนานแล้ว สาเหตุที่เสื่อม เพราะบุคคลผู้มีอิทธิพลบางกลุ่ม บางเชื้อชาติมองเห็น ศาสนา เป็นสิ่งขัดขวางการทำมาหากิน ขัดขวางการแสวงหาทรัพยากรต่างๆ ศาสนาจึงเสื่อมไป
    คำว่า ศาสนาเสื่อม ไม่ได้หมายความว่า ตัวหลักธรรมคำสอนเสื่อมนะขอรับ แต่มนุษย์ไม่ยอมรับ ไม่เข้าหา หรือผู้เกี่ยวข้องกับศาสนาก็ไม่สามารถนำหลักธรรมคำสอนเข้าไปสู่พวกเขา หรือเข้าไปสู่พวกเขาได้น้อยมาก
    เมื่อเป็นเช่นนั้น ศาสนาก็ต้องมีการพัฒนา หลักวิชชาที่ข้าพเจ้าปฏิบัติอยุ่คือ หลักวิชชา ๓ วิชชา ๘ ซึ่งมีบอกไว้ในพุทธศาสนา
    แต่เมื่อข้าพเจ้าศึกษาค้นคว้าและวิจัย กับพบว่า หลักธรรมของศาสนาทุกศาสนาคือหลักวิชชาที่ข้าพเจ้าปฏิบัติอยู่ ไม่ว่าจะเป็นหลักศาสนา พราหมณ์-ฮินดู,พุทธ,คริสต์,อิสลาม,ซิกส์ แต่หลักวิชชา ที่ข้าพเจ้าปฏิบัติอยู่นั้น เป็นหลักต้นตอของศาสนาทุกศาสนา ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงบอกว่า "ข้าพเจ้าไม่ใช่ พระพุทธเจ้า"
    คุณไม่ต้องถามนะว่าหลักวิชชาต้นตอของแต่ละศาสนา มีอะไรบ้าง เพราะข้าพเจ้าจะสอนให้เฉพาะศาสนานั้นๆ ไม่สอนสะเปะสะปะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 เมษายน 2012
  15. wangpao

    wangpao สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 เมษายน 2012
    โพสต์:
    2
    ค่าพลัง:
    +8
    ^^

    ธรรมมะที่ องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสสอน สรุปได้ เพียงว่า นามประธรรม กับ รุปธรรม เกิดขึ้น กระทบกัน แล้ว ก็ดับไป...ที่คุณกล่าวมา ไม่ใช่หนทางดับกิเลส เลยสักอย่างเดียว..มีแต่ อุปาทาน ไปต่างๆ นาๆ

    จิตทุกดวงล้วนเป็น สามัญลักษณะ ล้วนประกอบด้วย จิต และ เจตสิก เมื่อโลกนี้เป็นของศูนย์

    สัตว์ คน เทวดา พรหม...สำคัญฉไนอีก

    อวิชชา คือความไม่รู้...ความไม่รู้ ไม่ได้แปลว่าเราไม่ฉลาด ถ้าเรา ยังไม่รู้ ตัวเรา ใครจะช่วยเรา ครับ ?? ผมเป็นห่วงคุณอยากช่วยคุณมากๆๆ...
    สัตว์โลก ย่อมเป็น..ไปตามกรรม.. ขอประทานโทษ และก็ ขอบพระคุณครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 เมษายน 2012
  16. telwada

    telwada เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,509
    ค่าพลัง:
    +1,817
    คำสอนของข้าพเจ้า ก็สรุปได้ใจความว่า "มนุษย์ไม่ได้อยู่คนเดียวในโลก ทุกคนล้วนต้องปฏิสัมพันธ์กัน" ทุกคนล้วนต้อง " ครองเรือน,ทาน.กตัญญู,เจรจาติดต่อสื่อสาร,สรรพอาชีพ,ประพฤติ,ระลึก,ดำริ"
    นามธรรมและรูปธรรมที่คุณกล่าวถึง ไม่มีทางกระทบกัน แต่ล้วนเป็น เหตุปัจจัยซึ่งกันและกัน ที่คุณกล่าวว่า ดับไป แต่คุณไม่ได้กล่าว่า เกิดขึ้นใหม่ได้อีก หลักธรรมของข้าพเจ้าคือหลักความจริงที่จะทำให้รู้และเข้าใจ และ สรุปใจความหลักธรรมของข้าพเจ้าสั้นๆ ก็คือ
    " ไม่ว่าบุคคลใดใด จะมีจะจนสักเพียงใด สิ่งที่เขามีอยู่ สิ่งที่เขาได้ ก็คือ ความคิด อารมณ์ ความรู้สึกเท่านั้น"
    คุณไปพิจารณาให้ดีเถิด
    อีกประการหนึ่ง ที่คุณกล่าวถึง สามัญลักษณะ คุณก็ไม่ได้มีความรู้เกี่ยวกับสามัญลักษณะอย่างแท้จริง ไม่ได้รู้ถึงความลับที่ซ่อนไว้ใน สามัญลักษณะ คุณก็เป็นเพียงจำเขามา แล้วก็มากล่าวแอบอ้าง อวดอุตริฯ ธรรมที่ไม่มีในตน คือ ตัวคุณไม่ได้บรรลุธรรมอะไรเลยแม้แต่น้อย อย่างมากก็เป็นเพียงคล้าย นกแก้ว นกขุนทองตัวหนึ่งเท่านั้น
     
  17. PowerLife

    PowerLife สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2012
    โพสต์:
    138
    ค่าพลัง:
    +19
    คนเรานี่ก็นะทำไปได้ คุยกันมาได้ไงเรื่อง ตลกร้ายของคุณ telwada

    ท่านทั้งหลาย คุยเอาชนะท่าน telwada ก็คิดผิดคิดใหม่

    แต่หากจะคุยธรรมะนั้นอะถูก พระศรีอาริย์ เป็นแค่หัวข้อกระทู้ให้พวกท่านทั้งหลาย สะดุดตาแล้วมาคุยด้วย เข้าใจบ่ แต่ก็ยังงง ทำไปได้ 39หน้า 5555555ผมก็ยังหลวมตัวมาช่วยให้พ้นหน้า39
     
  18. telwada

    telwada เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,509
    ค่าพลัง:
    +1,817
    ฮึ...ฮึ...ฮึ... คนที่ตลกร้ายไม่ใช่ข้าพเจ้าดอกนะ แต่เป็นคุณ ใครจะมาคุยเพื่อเอาชนะกัน เขาเสวนากัน ก็เพื่อเพิ่มพูน ความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้อง
    อย่างที่คุณเขียนมานะ เขาเรียกว่า อิจฉา จนตาร้อน...
    ข้าพเจ้าท้าพิสูจน์ ตั้งแต่เริ่มเข้ามาในเวบฯธรรมะ จนบัดนี้ ก็ยังกล้าท้าให้พิสูจน์ได้ ทัาให้ไปแจ้งเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องทางศาสนามาพิสูจน์ด้วยซ้ำ ข้าพเจ้าก็ยังอยู่ ทำมาหากินตามครรลอง ไม่เห็นเป็นเรื่องแปลกอะไรเลย ก็สอนไปแม๊บๆว่า
    "ไม่ว่าจะมั่งมี หรือ จะยากจน สิ่งที่บุคคลเหล่านั้นมีอยู่ หรือได้มา ฯ มันก็ได้แค่ ความคิด อารมณ์ ความรู้สึก " ก็ได้เท่านั้นแหละ มันจะได้อะไรกัน
    ตลกร้ายจริงๆ...ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 เมษายน 2012
  19. PowerLife

    PowerLife สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2012
    โพสต์:
    138
    ค่าพลัง:
    +19
    อิอิ คุณคิดว่าคุณเป็นพระศรีอาริย์นั้นหละตลกร้าย แล้วคุณเข้าใจผิดอะไรรึป่าว ว่าผมไปอิจฉาคุณอ่านแล้วขำ ผมว่าไม่มีใครเขาอยากเหมือนคุณหรอกนะ ผมก็พอจะรู้แล้วหลุว่าคุณเป็นคนยังไง ไม่บ้าน ก็ อัจฉริยะ 5555555
     
  20. PowerLife

    PowerLife สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2012
    โพสต์:
    138
    ค่าพลัง:
    +19
    อิอิ คุณคิดว่าคุณเป็นพระศรีอาริย์นั้นหละตลกร้าย แล้วคุณเข้าใจผิดอะไรรึป่าว ว่าผมไปอิจฉาคุณอ่านแล้วขำ ผมว่าไม่มีใครเขาอยากเหมือนคุณหรอกนะ ผมก็พอจะรู้แล้วหลุว่าคุณเป็นคนยังไง ไม่บ้า ก็ อัจฉริยะ 5555555
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...