Subliminal Messages การซ่อนข้อความหรือความหมายในที่ต่างๆ???

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย k.kwan, 21 พฤศจิกายน 2010.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    มนุษย์ที่รัก

    พวก เจ้าได้ติดอยู่ในห้วงวังวนของมิติที่ ๓ นี้มาเนิ่นนานแล้ว ปัจจุบันพวกเจ้ามีวิทยาการ แต่วิทยาการของพวกเจ้าไม่สามารถตอบคำถามเกี่ยวกับปัญหาที่เกิดแก่ดาวเคราะห์ ดวงนี้ในปัจจุบันได้ เพราะพวกเจ้าถูกครอบไว้ด้วยตันหาอวิชชา เหมือนวัวเนื้อเกิดมาในฟาร์มวัวไม่เคยลิ้มรสอิสระภาพในทุ่งหญ้า ทุกวันเห็นวัวอื่นถูกจับขึ้นรถไปโรงฆ่าสัตว์ คิดว่าชีวิตตนก็มีแค่นั้น

    วิทยา การและวิทยาศาสตร์เป็นเหมือน operating system พวกเจ้ารู้จัก DOS ไหม เมื่อยี่สิบห้าปีก่อนใครมีคอมพิวเตอร์ก็ถือว่าเยี่ยม มีฝาฟล้อปปี้ดิสค์สองอัน อันหนึ่งไว้โหลดแผ่นโปรแกรม อีกอันไว้ใส่แผ่นบันทึกข้อมูล ไม่มีฮาร์ดดิสค์ ใช้ดอสเป็นตัวรันทุกอย่าง เวอร์ดเพอร์เฟ็คมาในดิสเก็ต ๑.๔ เมกกาไบต์ พิมพ์วิทยานิพนธ์ได้โดยไม่ต้องใช้พิมพ์ดีด เวลาแก้ข้อความอะไรพิมพ์แต่หน้าที่แก้ไม่ต้องจ้างเลขาพิมพ์ใหม่ทั้งปึก วิทยาการหรูสุดๆ แต่จอคอมเป็นสีดำ ตัวหนังสือสีอำพัน ลากเส้นตรงในจอไม่ได้ อย่าถามถึงใส่รูปเพราะไม่มีไฟล์รูป พวกเจ้าคงไม่เข้าใจ เพราะขณะนี้เจ้ามีอินเตอร์เน็ต เล่นเกม ส่งข้อความ โหลดคลิปภาพและเสียงในทันใด แต่ในวันเก่าก่อนพวกเจ้าได้ฝันถึงภาวะโลกคอมพิวเตอร์ดังที่เป็นอยู่ขณะนี้ ไหม ถ้ามีใครบอกเจ้าล่วงหน้าเจ้าก็คงไม่เชื่อหาว่าเพ้อฝัน

    ดาว เคราะห์ของเจ้าในปัจจุบันกำลังจะอัพเกรด operating system ของตัวเองจาก DOS เป็น Window 7 ตามที่รหัสปฏิทินมายาได้กล่าวไว้ แต่ข้อมูลที่พวกเจ้าบันทึกไว้และใช้ในการเรียนรู้ทั้งวิทยาศาสตร์ ศาสนา และปรัชญามิสามารถอธิบายและให้ทางออกกับปัญหากายภาพและจิตวิญญาณที่พวกเจ้า เผชิญอยู่จากแผนการเปลี่ยน operating system ในขณะนี้ได้

    ทาง กายภาพสุริยะจักรวาลกำลังเข้าสู่โฟตอนเบลท์ และจะอยู่เช่นนั้นไปอีก ๒๐๐๐ ปี ณ จุดไม่หวนกลับพลังงานจากไฟฟ้าจะใช้การไม่ได้อีกต่อไป ต้องใช้พลังงานสะอาดจากโฟตอนแทน (แมคเตรียมไว้แล้ว) ระหว่างนี้โลกจะครบรอบ siderael year ๒๖๐๐๐ ปี เข้าสู่บริเวณปากจระเข้ในบันทึกมายา รับพลังงานจากดวงทิตย์ใจกลางกาแล็คซี่ทางช้างเผือก การเกิดพายุสุริยะจะมากขึ้น สนามแม่เหล็กโลกจะอ่อนแรงลง มีการเคลื่อนที่ของขั้วแม่เหล็กโลก เกิดการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพบนผิวโลกมากมายอย่างที่พวกเจ้าไม่เคยพบเห็นมา ก่อน มากกว่าที่เคยมีบันทึกในประวัติศาสตร์ดาวเคราะห์ดวงนี้ทั้งหมด

    วัน สิ้นปฏิทินมายาดาวเคราะห์โลกจะเข้าแถวกับดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ในสุริยะ จักรวาล และเข้าแถวกับดวงอาทิตย์ของพลีเอเดียนและดวงอาทิตย์ของอาชูเรี่ยนซึ่งเป็น สุริยะจักรวาลที่อยู่ใกล้เราที่สุด เวลาหยุดและเราอยู่ในแถวแห่งดวงดาวที่น่าทึ่ง ทำให้โลกต้องขยับเข้าสู่ความถี่ที่สูงกว่าเดิม ผู้อาศัยบนโลกก็ต้องทิ้งอะไรๆ ที่มีความถี่ต่ำๆไปเสีย ปัจจุบันโลกมีความถี่ที่ ๗.๘ เมกาเฮิร์ต ในจักรวาลวัดความถี่ด้วยสเกล ๑๓ คล้ายสเกลดนตรี ขณะนี้โลกอยู่ที่ ๙ ในปี ๒๐๑๒ การอยู่รอดอยู่ที่ว่าคุณจะสั่นสะเทือนสูงขึ้นไปกับโลกหรือไม่ การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จะทำให้มนุษย์ที่เหลือรอดอยู่บนโลกได้เป็นส่วนหนึ่ง ของสังคมออนไลน์ของจักรวาล ใช่แล้ว เจ้าคิดหรือว่าเจ้าคือบุตรหนึ่งเดียวของพระเจ้าผู้สร้าง โลกอินเตอร์เน็ตคือจักรวาลจำลอง เจ้าสร้างเกมนั้นเกมนี้ มนุษย์คนหนึ่งเล่นได้หลายเกมพร้อมๆ กัน มีชื่ออวตารต่างกันในแต่ละเกม เจ้าคือพระเจ้าในโลกไซเบอร์เจ้ายังไม่เล่นแค่เกมเดียว พระเจ้าก็ไม่ได้สร้างโลกใบเดียวในเกมของพระเจ้าเช่นกัน

    สังคม ออนไลน์ในจักรวาลกำลังจับตาดูพวกเจ้าอยู่ด้วยความรัก เพราะเจ้าเป็นญาติพี่น้องกับพวกเขา ไม่ทางเลือดเนื้อก็โดยทางจิตวิญญาณ เขาพยามส่ง cheat code `มาให้มนุษย์ทางความฝันก็ดี ทางนิมิตในสมาธิ หรือทาง channeling ก็ดี พวกเจ้ามีวิทยาการทางกายภาพสูงส่งก็ปัดสิ่งเหล่านี้ทิ้งไปว่าโกหกหลอกลวง ทั้งสิ้น การตำหนิติเตียนก่อพลังงานลบให้เกิดกับโลก เจ้าคิดหรือว่าชาวมายาป่าดอยสร้างปฏิทินมายาได้เอง ว่าชาวอียิปต์ป่าเถื่อน (วันนี้ยังไล่ฆ่ากันอยู่ในจอโทรทัศน์) สร้างปิรามิดและคิดวิธีทำมัมมี่ได้เอง ชาวไอยคุปต์พูดถึงชีวิตหลังความตาย คนสมัยใหม่ก็บอกว่าวิญญาณไม่มีจริงเพราะพิสูจน์ไม่ได้ เช่นในองค์ความรู้ของชาติตะวันตกผู้ฉลาดล้ำเป็นต้น สิ่งที่กล่าวมาล้วนเป็นเทคโนโลยีที่อิมพอร์ตมาจากสังคมออนไลน์ต่างมิติต่าง ดวงดาวทั้งสิ้น

    เมื่อโลกอัพเกรด operating system เสร็จโลกจะมีประชากรลดน้อยถอยลงกว่าปัจจุบันมากมาย สังคมออนไลน์ของจักรวาลเป็นสังคมแห่งสันติสุขและความรักของพระเจ้า ผู้คนจากศาสนาใดถ้าใฝ่รักและสันติไม่เพ่งโทษผู้อื่นไม่ยกตนข่มท่านก็อยู่ใน โลกอนาคตในกายเนื้อได้ทั้งสิ้น ตัวละครเกมป่าเถื่อนก็จะถูก delete ไปอยู่ recycle bin รอไปอัพโหลดในระบบ DOS ในเกมอื่นของพระเจ้าที่จะสร้างขึ้นใหม่ ตัวละครที่จะอยู่ในเกมปัจจุบันต่อคือตัวละครที่ทำประโยชน์ให้แก่เพื่อน มนุษย์โดยปราศจากความเห็นแก่ตัว เป็นส่วนหนึ่งของจิตวิญญารกลุ่ม (mass conciousness) ในเกมออนไลน์เจ้าจะเก็บตัวละครที่บริโภคทองแต่ไม่หาทองเข้าธนาคารมาช่วยซื้อ ปัจจัยสี่ทำไม เลี้ยงไว้เปลืองทองเปล่าๆ delete`ทิ้งดีกว่า

    ขอ ให้เจ้ารับข้อมูลจากทุกทาง พิจารณาจากใจ รักตนและคนในครอบครัว เตรียมเขาให้มีที่ปลอดภัยพักพิงก่อน การเตือนมหาประชาชนนั้นไม่ใช่ว่าเขาจะรอด มหาบพิตรของเจ้าทำนายไว้หมดแล้วในสมุดภาพมหากาพย์ ท่านก็มิสามารถฝืนชตาสวรรค์ได้ เหตุการณ์ต่าง ๆในมหากาพย์ก็เกิดไปหลายเหตุการณ์แล้ว ผู้ที่มีสติ เต็มไปด้วยความรัก และฟังเสียงจากจิตวิญญาณเท่านั้นจะเป็นผู้ถูกเลือกให้รอด องค์โคตมะของพวกเจ้าจึงสอนอุเบกขา เพราะแม้แต่ผู้เกิดร่วมสายเลือดกับเจ้าก็อาจไม่ใช่ผู้ถุกเลือกให้อยู่รอดใน กายเนื่อในเวอร์ชั่นใหม่ของ operating system

    ฟังเสียงจาก ข้างในตัวเอง เพราะมีคนพยายามจะส่ง cheat code มาให้เจ้าอยู่เสมอ ตนเแลป็นที่พึ่งแห่งตนไม่ต้องรอรัฐบาลประเทศไหนๆ เจ้าเคยเห็นรัฐบาลประเทศไหนรักประชาชนมากกว่าตัวเองหรือ มันเป็นไปตามครรลองของมนุษย์มิติที่สามที่ได้โอกาสเท่ากันแต่บ้างเลือกไม่ ใช้ดอกาสดังกล่าว ถ้าฟังตนเองแล้วไม่ได้ยินให้หาอุปกรณ์เสริม คุยกับมิตรสหายที่มีจิตใจคล้ายกันเจ้าจะพบกับอุปกรณ์ของเจ้า

    Espavo

    สื่อสารผ่าน มารตา ทิอามาต




    International Channeling (ทีมส่งผ่าน)
    http://palungjit.org/threads/รายการ...rnational-channeling-ทีมส่งผ่าน.276312/page-9
     
  2. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    แผนที่ทวีปเอเซีย หลังปี ค.ศ.2012 ?


    [​IMG]

    การทำนายนั้นอยู่คู่กับสังคมของเรามานาน โดยเฉพาะการทำนายธรรมชาติ เช่นการดูสีของท้องฟ้า ก้อนเมฆ สายลม ดวงดาว แม้กระทั่งการมองเห็นด้วยจิต ที่สามารถหยั่งรู้ฟ้าดินและธรรมชาติได้ เหมือนที่เคยฮือฮากันไปเมื่อหลายปีก่อน เมื่อนาย กอร์ดอน (Gordon-Michael Scalion) ชาวอเมริกันที่เคยเสียชีวิตเมื่อปี 1979 แต่กลับฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง จากนั้นเขาก็อ้างว่า ได้รับพรสวรรค์ที่หยั่งรู้อนาคต เขามักจะเดินทางไปอยู่บนพื้นที่สูงๆ บนภูเขา แล้วมองลงมาเห็นภาพในอนาคต โดยเฉพาะภาพของเมืองที่เปลี่ยนไป และโลกที่จะเกิดขึ้นมาใหม่

    คนที่เชื่อถือนายกอร์ดอนนั้นมีไม่น้อย เพราะได้เคยฝากผลงานการทำนายที่แม่นยำเอาไว้ เช่น เหตุการณ์แผ่นดินไหวในลอส แองเจอริส เมื่อเดือนเมษายน พ.ศ. 2535, เหตุการณ์แผ่นดินไหวในแคลิฟอร์เนียเมื่อ มกราคม 2537 รวมอีกหลายเหตุการณ์ที่เขาทายไว้แล้วก็ถูกเผง

    แต่ที่น่าตื่นเต้นที่สุด ก็เห็นจะเป็นการทำนายเมื่อปี พ.ศ.2521 ซึ่งเขาเห็นตัวเองลอยอยู่เหนืออวกาศ แล้วมองลงมาบนโลก ด้วยภาพแผนที่โลกใหม่ เขาจึงใช้เวลาอยู่ 4 ปี ที่จะร่างแผนที่โลกอนาคตที่เห็นคนเดียวนั้นออกมาสู่สายตาชาวโลก พร้อมทั้งให้คำอธิบายไว้ว่า โลกที่แปรเปลี่ยนไปนี้จะเกิดจากน้ำท่วม แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด ทำให้ทวีปของโลกเคลื่อนไปหมด และสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นระหว่างปี ค.ศ.1998-2012 หรือ พ.ศ.2541-2555 นั่นเอง

    แผนที่ใหม่นี้ได้บอกว่าแผ่นดินไหวครั้งใหญ่จะทำให้เกิดน้ำท่วมตั้งแต่ ฟิลิปปินส์ ญี่ปุ่น ไปจนถึงทะเลแบริ่งซึ่งอยู่ระหว่างอะลาสก้ากับรัสเซีย เกาะญี่ปุ่นจึงจะจมหายไปหมด เหลือไว้แค่ 2-3 เกาะเท่านั้น ญี่ปุ่นส่วนใหญ่ และไต้หวันกับเกาหลี ก็จะหายจมไปในทะเล ดังนั้น แนวฝั่งของจีนก็จะร่นเข้าไปในแผ่นดินใหญ่หลายร้อยไมล์ทีเดียว อินโดนีเซียจะถูกทำลาย เช่นเดียวกับฟิลิปินส์ เอเชียจะมีการเปลี่ยนแปลงที่สูงมากเพราะตั้งอยู่บน 3 ทวีป ส่วนไทยนั้นอยู่บนแผ่นทวีปของ ยูเรเซี่ยน ซึ่งจะเกิดการยกตัวให้สูงขึ้น แผ่นแปซิฟิกจะเคลื่อนไป 9 องศา ดังนั้น บางส่วนจะมุดตัวลง บางส่วนจะยกตัวขึ้น

    ผลสรุปการทำนายก็คือ ประเทศไทยจะยังเหลืออยู่บางส่วนตามภาพที่ขยายออกมา ซึ่งคงได้ยินกันมาอยู่บ้างว่า ประเทศไทยจะเหลือมากที่สุดคือภาคเหนือ ส่วนอีสานบางส่วน และภาคใต้จะจมลงไปในทะเลพร้อมกับมาเลเซีย สิงคโปรและอินโดนีเซีย ส่วนชายฝั่งทะเลจะมาอยู่ที่ชัยภูมิ เพรชบูรณ์ พิจิตร พิษณุโลก สุโขทัยและตาก และแม่น้ำโขงจะกลายจากแม่น้ำเป็นทะเล

    สำหรับในบ้านเรา คุณหมอประสาน ต่างใจ เคยพูดเอาไว้ในงานเสวนา “พุทธศาสตร์กับอนาคตโลก” ถึงการละลายของน้ำแข็งบนยอดเขา จำนวน 19 ร้อยล้านตันว่าจะใช้เวลาอีกราว 5-7 ปี ซึ่งละลายหมดในปี ค.ศ.2012 เช่นเดียวกันกับปฏิทิน 22 ของชาวเผ่ามายา ได้ทำปฏิทินเอาไว้ที่ 5,000 ปี โดยแต่ละเดือนจะมี 20 วัน โดยเชื่อว่า โลกในวันสุดท้ายคือ 22 ธันวาคม ค.ศ.2012 พระเจ้าของพวกเขาจะปรากฏตัวอีกครั้งนั่นเอง

    อ่านจบแล้วอย่าลืมว่า นี่เป็นคำทำนายเท่านั้น ยังไม่มีใครรับรองได้ว่าจะเกิดได้จริงดั่งภาพนิมิตจากนักทำนายเหล่านี้ ในวันที่ 21/12/2012 หรือไม่ มีแต่อนาคตเท่านั้นที่จะบอกได้

    ที่มา http://www.raycity.in.th/board/viewthread.php?tid=129672<!-- google_ad_section_end -->
    <FIELDSET class=fieldset><LEGEND>Attached Thumbnails</LEGEND>[​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG]
    </FIELDSET>
    เครดิตคุณเกษม http://palungjit.org/threads/ประเทศไทยจะเกิดอุบัติภัยอย่างที่ทำนายกันจริงๆหรือไม่.3906/page-1167
     
  3. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    วันเสาร์ที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

    4th Horseman of Apocalypse....... ( ม้าตัวที่ 4 จากหนังสือวิวรณ์ ??? )


    ในนาที่ 1:18 ของคลิปวิดีโอนี้ ปรากฏภาพเงารูปร่างประหลาดเป็นเหมือนคนขี่ม้า อยู่กลางกลุ่มผู้ประท้วงแล้วหายวับไปกับตาอย่างน่าอัศจรรย์...


    ตราประทับดวงที่สี่ (ความตายอันน่ากลัวของประชากรหนึ่งในสี่)
    6:7 เมื่อพระองค์ทรงแกะตราดวงที่สี่นั้นแล้ว ข้าพเจ้าก็ได้ยินเสียงสัตว์ตัวที่สี่ร้องว่า "มาดูเถิด"
    Fourth Seal: Violent Deaths of One Fourth of Earth's Population
    6:7 And when he had opened the fourth seal, I heard the voice of the fourth beast say, Come and see.



    6:8 แล้วข้าพเจ้าก็แลเห็น และดูเถิด มีม้าสีกะเลียวตัวหนึ่ง ผู้ที่นั่งบนหลังม้านั้นมีชื่อว่าความตาย และนรกก็ติดตามเขามาด้วย และได้ให้ทั้งสองนี้มีอำนาจล้างผลาญแผ่นดินโลกได้หนึ่งในสี่ส่วน ด้วยดาบ ด้วยความอดอยาก ด้วยความตาย และด้วยสัตว์ร้ายแห่งแผ่นดิน
    6:8 And I looked, and behold a pale horse: and his name that sat on him was Death, and Hell followed with him. And power was given unto them over the fourth part of the earth, to kill with sword, and with hunger, and with death, and with the beasts of the earth.


    <IFRAME title="YouTube video player" height=390 src="http://www.youtube.com/embed/3UKz3GVrHI8?rel=0" frameBorder=0 width=480 allowfullscreen=""></IFRAME>



    ลิ๊งค์สำหรับเฟสบุ๊ค :
    The Gold War Phase II.<WBR></WBR>.<WBR></WBR>.<WBR></WBR>by Jimmy Siri บน Facebook
    http://www.facebook.com/<WBR></WBR>home.php?sk=group_17040824<WBR></WBR>6326805&ap=1


    โพสต์โดย What's going on in America โพสต์เมื่อ <A class=timestamp-link title="permanent link" onclick="pageTracker._trackPageview ('/outgoing/http_jimmysiri_blogspot_com_2011_02_4th_horseman_of_apocalypse_4_html');" href="http://jimmysiri.blogspot.com/2011/02/4th-horseman-of-apocalypse-4.html" rel=bookmark><ABBR class=published title=2011-02-05T22:01:00+07:00>10:01 หลังเที่ยง</ABBR>0 comments [​IMG][​IMG]






    <SCRIPT type=text/javascript>if (window['tickAboveFold']) {window['tickAboveFold'](document.getElementById("latency-5161104574407839182")); } </SCRIPT>บารัค โอบาม่า กับ " Yes We Can " .......หรือคำนี้มีอะไรซ่อนอยู่




    คำถามคือ..บังเอิญหรือตั้งใจ ???


    <IFRAME title="YouTube video player" height=390 src="http://www.youtube.com/embed/jqALdkTArqs?rel=0" frameBorder=0 width=480 allowfullscreen=""></IFRAME>





    ลิ๊งค์สำหรับเฟสบุ๊ค :
    The Gold War Phase II.<WBR></WBR>.<WBR></WBR>.<WBR></WBR>by Jimmy Siri บน Facebook
    http://www.facebook.com/<WBR></WBR>home.php?sk=group_17040824<WBR></WBR>6326805&ap=1


    โพสต์โดย What's going on in America
    <object width="640" height="390"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/pGpUM-msRk4&hl=en_US&feature=player_embedded&version=3"></param><param name="allowFullScreen" value="true"></param><param name="allowScriptAccess" value="always"></param><embed src="http://www.youtube.com/v/pGpUM-msRk4&hl=en_US&feature=player_embedded&version=3" type="application/x-shockwave-flash" allowfullscreen="true" allowScriptAccess="always" width="640" height="390"></embed></object>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 กุมภาพันธ์ 2011
  4. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    สามพระยาชนช้าง
    โดยคุณ rungsira


    [​IMG]



    มีคำทำนาย ซึ่งมีผู้เฒ่าท่านหนึ่งย้ำกับผมให้จำไว้ เพราะแกอยู่ไม่ถึงแน่ คือสามพระยาชนช้าง เลือดจะท่วมเท้าช้าง เมื่อสามพระยา แย่งอำนาจกัน เหตุการณ์จะใหญ่หรือเล็กไม่รู้ อยากจะภาวนาให้ไม่เกิด

    ....สามพระยาชนช้าง....

    ...อยากจะจารจารึกสำนึกสั่ง
    ก่อนที่เลือดรินหลั่งรดผืนดิน
    คุณธรรมนำไทยมลายหมิ่น
    แยกยับย่อยด่าวดิ้นตราบสิ้นใจ

    ...ฟางเส้นน้อยรอยแหลกแทรกสุดท้าย
    คุรุมสุมควันพรายเป็นสายไหว
    ระเรื่อแสงเถ้าทาลมพาไกว
    ริบหรี่ไต้เชื้อไฟเป็นเปลวพลัน

    ...ลุกจากรากโหมกระหน่ำเพลิงภัยโถม
    อัคคีโหมโรมราญผลาญสวรรค์
    คงจะยากหากหลีกเร้นเห็นโทษทัณฑ์
    อัสนี ฟาดฟัน พสุธา

    ...สามพระยาช้างงาเชิงโจนโจม
    ร่างถลาถาถมกระหายฆ่า
    โลหิตหลั่งไหลย้อยคล้อยคลอตา
    หลักนคราเอียงโอนลนลานป้อง

    ๑..ฝ่ายหนึ่งนั้น ขุนศึกหยาบชั่วช้า
    คุ้มคลั่งคร่าล้างผลาญประจานก้อง
    นายพลบ้ากล้าแค่ในเวียงทอง
    คึกคะนองร้องดังหลังกำแพง

    ๒..ท้ารบราแท้แต่อีกฝ่ายชน
    ประชาคนมือเปล่าเหล่าคำแหง
    เด็กผู้หญิงคนชรามันสำแดง
    เข่นฆ่าแกงทวยไท้ไอ้.......(เซ็นเซอร์)

    ๓..เจ้าพระยาสุดท้ายบังในหลืบ
    คอยกระทืบกระหน่ำผู้เพลี่ยงพล้ำ
    บัลลังก์รักรากเลือดเชือดประจำ
    สาแหรกนำแปดสายแรกแยกปราบดา

    ...สำหนึกตรึกตรองเถิดเป็นพวกไหน
    รากหญ้าใหญ่เหนี่ยวหนับนับล้านกล้า
    ฤา จะนอนรอเขาเชือดคอลา
    ฤ หยัดท้ามหาชนคนยืนต้าน...

    ...ถึงฤกษ์ท้าหญ้าแพรกได้แหลกแล้ว
    ราบเป็นแถวแนวหน้าพินาศเริ่ม
    เทวดาอาเพศเหล่าเหิมเกริม
    รุกส่งเสริมสายฟ้ามาคร่าฟัน
    มิมีช่องหลีกหลบบนทางฟ้า
    หากผู้กล้ายืนหยัดประกาศกั้น
    ตาสวรรค์มืดบอดด้วยอธรรม์
    โลหิตนั้นคงท่วมสอดลอดท้องช้าง

    rungsira ๑๒ มิถุนายน ๒๕๕๐
    ที่มา http://rungsir.spaces.live.com/blog/...F3C4!336.entry

    ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ แม่นายมล [​IMG]

    *************************************************
    จิตจักรวาลอ่านโลกครั้งที่ 141 โดย อ.ปริญญา ตันสกุล
    เมื่อ 11 พ.ค. 51
    *************************************************

    แต่ละชาติจะลุกขึ้นมาฆ่ากันเอง ไม่ต้องให้ต่างชาติมาฆ่ามันจะฆ่ากันเองแล้วพอมันฆ่าเองแล้วยังไม่พอ มันจะชักศึกเข้าบ้าน แอบไปจ้างนักรบต่างชาติ เข้ามาฆ่าคนในชาติเดียวกันเอง เข้าใจที่พูดมั๊ย? ประเทศไทยเราก็จะเป็นประเทศหนึ่งที่เป็นเช่นนั้น ไม่ได้ขู่ให้กลัว เพราะว่าไม่ได้เป็นโหรฟันธง แต่เผลอฟันไปหลายธงแล้ว เพราะกลัวไม่เชื่อน่ะ แล้วจะไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงได้ 20% บวก ลบ

    อืมม...นี่ก็แสดงว่ากว่า 80% แล้วที่เหตุการณ์จะต้องเกิดขึ้น เหมือนเมื่อตอนเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 คำว่า"มันจะชักศึกเข้าบ้าน แอบไปจ้างนักรบต่างชาติ เข้ามาฆ่าคนในชาติเดียวกันเอง" นี้มันช่างน่ากลัวยิ่งนัก ลำพังคนในชาติทะเลาะกันเองยังไม่น่ากลัวเท่าไหร่ แต่ถ้าถึงขนาดไปเอากองกำลังของต่างชาติเข้ามา ฆ่าคนในชาติเดียวกันเอง เพียงเพื่อให้ฝ่ายของตัวเองได้รับชัยชนะ

    ในที่สุดประวัติศาสตร์ก็ย่อมต้องซ้ำรอยเดิมคือ พวกที่ชักศึกเข้าบ้านก็ต้องถูกฆ่าตายหมดเช่นเดียวกับในอดีต เพราะกองกำลังของต่างชาติที่เข้ามายึดครองประเทศเรา เขาย่อมคิดว่าขนาดบ้านเมืองของตัวเองแท้ๆ มันยังไม่ซื่อสัตย์ แล้วเขาจะไว้ใจให้มีชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างไร

    เพลงยาวพยากรณ์กรุงรัตนโกสินทร์

    จำจะฝากอักษรบทกลอนสาร นำคำพยากรณ์ขององค์สมเด็จพระพิชิตมาร
    มาแถลงแจ้งสารแก่ปวงประชา

    จะกล่าวฝ่ายกรุงรัตนโกสินทร์ อันเป็นปิ่นนคราชพระศาสนา<O></O>
    ตั้งแต่ครั้งยังกรุงศรีอยุธยา สืบพระศาสนามานานไป
    <O></O>
    ล่วงมาปัจจุบันนั้นมาถึง ซึ่งหลังกึ่งพุทธกาลได้<O></O>
    สืบวงศ์เผ่าพงศ์พระทรงชัย จวบได้มาถึงซึ่งปัจจุบัน
    <O></O>
    อันเหล่าอาณาประชาราษฎร์ ต่างแช่มชื่นต่างหน้ามิโศกศัลย์<O></O>
    นานนับจะกลับไปลับวัน ผันผ่านมาถึงกึ่งพุทธกาล
    <O></O>
    จะผิดแตกแยกกันไม่เป็นเรื่อง ซึ่งขัดเคืองก็ไม่แค่นเป็นแก่นสาร<O></O>
    เมื่อถึงครึ่งกึ่งพระพุทธกาล จะเกิดการวิปริตผิดคะเน
    <O></O>
    เมื่อถึงคราวหน้าฝนกลับไม่ตก วลาหกพากันขมันขะเหม่<O></O>
    ยามแล้งหน้าแล้งไร้ฝนเท เหลือที่จะตกลงมาดิน
    <O></O>
    ปวงปราชญ์ราชธรรมจะช้ำอก จะวิตกหนักใจไม่หมดสิ้น<O></O>
    คนชั่วจะมล้างด้วยมลทิล ปราชญ์สิ้นเปรื่องจะสูญประยูรวงศ์
    <O></O>
    อันเหล่าคนพาลจะบีฑา ย่ำยีวงศ์องค์พระราชหงษ์<O></O>
    ผู้เป็นใหญ่จะพลาดผิดจิตคิดปลง จะดำรงคบค้าเหล่าชนพาล
    <O></O>
    อันศาสนาพระจอมไตร ปวงประชากลับไม่เห็นเป็นแก่นสาร<O></O>
    นับวันจะพากันรำคาญ กลับเกิดการไล่ให้พระศาสน์ตรอม
    <O></O>
    อันสงฆ์วงศ์นรินทร์ปิ่นศักดิ์ จะถูกหักถูกหาญไม่วายล้อม<O></O>
    จะนองเลือดนองล้าระอาออม จึงเกิดการจลาจลเป็นพ้นไป
    <O></O>
    โอ้ว่าพระศาสนาพุทธ ไม่ผ่องผุดมาถึงยุคกึ่งสมัย<O></O>
    จะตกอับลับลาแทบดับไป พายุใหญ่ดุจจะโหมโพยมยาม
    <O></O>
    พระผู้ทรงศักดาวราฤทธิ์ จะถูกพาลคิดกำจัดดังถูกหาม<O></O>
    นับวันเสียสง่าทุกชั่วยาม คนใจทรามจะย่ำยีพระสุริยง
    <O></O>
    ดังเรื่องพญาเหมรา ฝูงกาย่ำยีพญาหงษ์<O></O>
    ไร้ซึ่งสัจจะมาดำรงค์ ไม่มั่นคงต่อธรรมระกำจน
    <O></O>
    จะสิ้นสูญปวงปราชญ์ราชบัญฑิต จะถูกปลิดด้วยพาลผู้ใจขน<O></O>
    อีกทั้งพระคัมภีร์แต่นานดล จะป่นไปไร้คนดู
    <O></O>
    ปวงว่านคุณยาสารพัด จะเสื่อมคุณอันชะงัดจะอดสู<O></O>
    ศิษย์พาลจะมล้างซึ่งคุณครู คนชั่วจะมล้างซึ่งคนดี
    <O></O>
    จะเป็นถิ่นอธรรมริษยา ไม่ผ่องผุดโสภาระทาศรี<O></O>
    นานวันก็จะกลับไปลับลี้ ใจคนกลับที่จะต่ำลง
    <O></O>
    ลูกจะทิ้งซึ่งบิดามารดร เคยง้องอนกลับใจทำไสส่ง<O></O>
    ไร้รู้คุณพ่อแม่ที่แก่ลง หลงอารมณ์ว่าไปไม่ผ่อนคลาย
    <O></O>
    อันพระไตรรัตนาธิยาคุณ จะเกือบสูญเกือบสิ้นแผ่นดินหาย<O></O>
    อาเพศเกิดอยู่มิรู้วาย ด้วยเหตุร้ายชนพาลจะย่ำยี
    <O></O>
    ปวงประชาพากันใจประมาท ใช้อำนาจไม่เป็นธรรมระกำที่
    จะเกิดการกลียุคทุกธานี ท้องปฐพีจะแดงเดือดเลือดไหลรก
    <O></O>
    ทั่วฟ้าจะมืดไปทั่วทิศ ดุจฉัตรพิษทศกัณฑ์มันโกหก<O></O>
    คราที่ตั้งฉัตรไว้บังยก บดบังอาทิตย์มืดกลุ้มไป
    <O></O>
    ทั่วทั้งปฐพีในดินแดน อันเป็นแผ่นตั้งมวลประเทศใหญ่<O></O>
    จะมืดคลึ้มตลบไร้แสงไฟ จะเกิดภัยมีต่อนรชน
    <O></O>
    แม้ในอากาศราชภัย จะเกิดให้ได้เห็นไม่หลีกพ้น<O></O>
    อันทั่วมหาชลาดล โลหิตจะปนเปื้อนพระคงคา
    <O></O>
    นกเหล็กจะคาบเอาไข่เบื้อ ลงมาเรื่อไล่ล้างไปทั่วหน้า
    คือเครื่องบินจะผยองทั้งท้องฟ้า จะเข่นฆ่าทั้งเหล่าประชาชี
    <O></O>
    อันคนนอกศาสนาสมเด็จพระประทีปแก้ว จะเข่นฆ่ากันแล้วไม่หลีกหนี<O></O>
    จะตามล่าฆ่ากันในทันที จะรบกันฝ่ายละครึ่งจึงเลิกรา
    <O></O>
    ฝ่ายว่าท้องสมุทรทะเลใหญ่ จะมีปลาใหญ่อยู่หนักหนา<O></O>
    คือเรือดำน้ำตามว่ามา จะเข้ามาทำลายฝ่ายตรงข้ามกัน
    <O></O>
    อันแผ่นน้ำที่ตรงมหาสมุทร จะเกิดผุดพรายๆทลายลั่น<O></O>
    จะถาโถมเข้าฝั่งอันดามัน ครั้งนี้นั้นจะใหญ่เหลือคณา
    <O></O>
    ตึกรามพังราบเป็นหน้ากอง ทั่วทั้งผองจะพาอนาถา<O></O>
    เป็นคราววิบัติชัดเต็มตา ที่ลงมาจะมล้างทางแผ่นดิน

    จะตีอกร่ำไห้กันทั่วหน้า ถึงคราวิปโยคโศกไม่สุดสิ้น<O></O>
    แผ่นฟ้าแผ่นน้ำและแผ่นดิน จะสะเทือนแทบสิ้นแผ่นดินไป
    <O></O>
    อันภูเขาไฟประไลลาศ จะเกิดก๊าซทับถมอันนานนับไม่ได้<O></O>
    ลาวาอาจปะทุพายุไฟ อาจจะไหลหลั่งโถมเอาอาคาร
    <O></O>
    ทั่วทั่งแผ่นดินจะไหวหวั่น ตึกรามจะทรุดยับทับสถาน<O></O>
    อันเหล่าเทวาพรหมมาน จะเกิดการปล่อยให้ชำระกรรม
    <O></O>
    อันประเทศเขตนครา ที่ได้ทรงพระศาสนาสถาถ้ำ<O></O>
    อาจไม่บอบหรือชอกช้ำ แต่จะได้รับกรรมอันก่อมา
    <O></O>
    รังสีกัมมันตภาพจะก่อเกิด จะกำเนิดฟ่าฟุ่งแผ่ไปพร่า
    อันเมืองใดไม่มีพระจอมเกล้าเจ้าจอมศาสดา หรือไร้ซึ่งพระไตรรัตนาธิยาคุณ
    <O></O>
    จะกลบพื้นกลืนเมืองจนหมดจบ ดังถูกรบถูกร่ำระกำสูญ
    โรคระบาดจะเกิดขึ้นเป็นทุน จะครุกรุ่นด้วยกัมมันตภาพไป
    <O></O>
    เจ็ดวันมืดมิดเจ็ดราตรี ปฐพีจะสะท้านอาคารไหว<O></O>
    เสียงประหลาดจะดังวังเวงใจ จะบรรลัยทั่วหล้าชาวประชา
    <O></O>
    อันว่าคนพาลผู้มีศักดิ์ ผู้หาญหักนคราชพระศาสนา<O></O>
    จะถูกล้างถูกผลาญสิ้นชีวา จะสิ้นสูญประยูรพาพาลพงศ์
    <O></O>
    ครานั้นพระธรรมจะเปล่งแสง จะแจ่มแจ้งเวหาวลาหล<O></O>
    อันพยากรณ์ที่ได้ภิปรายค้น มาจากพุทธพยากรณ์เอย

    จักรพันธ์ คงโพธิ์ : ผู้ประพันธ์
    หลังกึ่งพุทธกาล 2551 เป็นต้นไป

    ที่มา http://palungjit.org/showthread.php?t=3906&page=359


    ตำนานพญาธัมมิกราช


    ตำนานพญาธัมมิกราช ซึ่งศูนย์ส่งเสริมและศึกษาวัฒนธรรมลานนาไทย วิทยาลัยครูเชียงใหม่ได้ปริวรรตไว้เมื่อ พ.ศ.๒๕๒๓ มีใจความกล่าวไว้ ดังนี้ ​


    ในตอนต้นเรื่อง กล่าวถึงความเดือดร้อนประการต่างๆ ที่เกิดมีในบริเวณเมืองเชียงใหม่กับลำพูน แล้วจึงกล่าวถึงพญาตนหนึ่งอยู่ทางฟากตะวันออกของน้ำแม่ระมิงคือน้ำแม่ปิง พญาดังกล่าวมีบุตร ๒ คน แล้วทั้ง ๓ ได้รบกันที่เชิงดอยอุจฉุ คือ ดอยสุเทพ บุตรที่เกิดในปีฉลูได้เป็นพญาแทนพ่อ ต่อมาก็ถูกพญากัปปราชแห่งเมืองใต้ยกขึ้นมารบกวน ถัดจากนั้นพญาซึ่งอยู่ด้านตะวันออกและตะวันตกของน้ำแม่ปิงจะรบกัน หลังจากนั้นท้าวพญาทั้งหลายที่อยู่บริเวณขุนน้ำแม่ปิงจะหาศีลธรรมมิได้ ซึ่งเป็นเหตุให้พญาทาง"ฝ่ายสมุทร" หรือทางใต้ ยกรี้พลขึ้นมาตามลำน้ำแม่ระมิงแล้วรบกันที่เชิงดอยคำ เลือดจะตกในที่นั้นมากจนหนูข้ามไม่ได้ ​


    พญาธัมมิกราชจะปรากฏที่ "นาไร่หลวงแห่งเมืองหริภุญชัย" แล้วพญาธัมมมิกราชหรือพญาธัมม์ จะเป็นผู้ห้ามการรบต่างๆ ครั้งนั้นจะเกิดมีปราสาทเกิดที่ผาก้อนใหญ่นอกเมือง พระอินทร์จะมาสรงน้ำและเป่าหอยสังข์ ท้าวจตุโลกบาล เทวดา ผีเสื้อ (อารักษ์) จะเอาของดีวิเศษต่าง ๆ ไปมอบให้เนื่องในการอภิเษกให้เป็นพญาธัมม์ พระวิษนุกัมม์จะมาเป็นสารถี พระอินทร์จะนำนางแก้วจากอุตตรกุรุทวีปมาให้ รวมทั้งธิดากษัตริย์ต่างๆ ในชมพูทวีปอีก ๑๘,๐๐๐ นาง แล้วพญาธัมมิกราชและพระอินทร์จะช่วยกันสร้าง เมืองลำพูน ให้เป็นมหานคร ให้ชื่อว่า "อินทาปราการ" และสร้างเครื่องประดับถวายพระธาตุหริภุญชัย แล้วขุมทรัพย์ทั้งหลายจะปรากฏขึ้น ซึ่งพญาธัมมิกราชจะได้แจกจ่ายแก่คนทั้งปวง ​


    พญาธัมมิกราชไปเมือง "นครหลวง" ซึ่งมีรูปหมูทองคำอยู่ที่สี่มุมเมือง นำเอาคัมภีร์ทั้งหลายมาตรวจสอบ คัมภีร์ที่ผิดก็จะเผาเป็นมุกรักทำเป็นพระพุทธรูป ภิกษุที่ไม่ถูกตามวินัยก็จะทรงให้สึกเสีย ถัดนั้น พญาธัมมิกราชจะสอนคนทั้งหลายให้ตั้งอยู่ในธรรม แล้วไปบูรณะเมืองราชคฤห์ สาวัตถี และมัชฌิมปเทสแล้วจึงกลับสู่เมือง"อินทาปราการ" ​


    ใน พ.ศ.๑๙๒๐ ระฆังของพญาธัมมิกราชองค์ก่อน ที่จมอยู่ในแม่น้ำอจิรวดีก็จะผุดขึ้น หากธัมมิกราชไปในที่ใดก็สั่นระฆังนั้น พระองค์จะมีบุตรที่ดีเหมือนชาลีและกัณหา พระองค์จะสร้างเจดีย์และพระพุทธรูป เมื่อมีการเฉลิมฉลองนั้น จะมี "ฝนห่าแก้ว" คือฝนตกลงเป็นแก้วมณีลงมาในชมพูทวีป ซึ่งพระองค์จะป่าวให้คนทั้งหลายเก็บเอาแก้วมณีมีค่านั้นไปตามความปรารถนา คนทั้งปวงจะอยู่เป็นสุข ไม่มีการทะเลาะกัน ทุกคนจะถือศีลบำเพ็ญภาวนาเคารพผู้เฒ่าผู้แก่ ​


    ดังที่อาจารย์กล่าวไว้เป็นอุบายว่า กาถามนกนางว่าทำไมมึงไม่กรอก นกยางว่าเพราะปลาไม่ออก ปลาเอ๋ยทำไมไม่ออก เพราะหญ้ารก หญ้าเอ๋ยทำไมจึงรกนัก เพราะวัวไม่กิน ทำไมวัวไม่กินหญ้า วัวว่าเจ้าเจ้าของไม่ปล่อยตน ทำไมเจ้าของวัวไม่ปล่อยวัว เจ้าของวัวว่าปวดท้อง ทำไมจึงปวดท้อง เพราะข้าวไม่สุก ทำไมข้าวไม่สุก เพราะไฟไม่ลุก ทำไมไฟไม่ลุก เพราะฟืนเปียก ทำไมฟืนเปียก เพราะฝนตกมาก ทำไมฝนตกมาก เพราะกบเขียดร้องเรียก ทำไมกบเขียดจึงร้องเพราะงูจะกิน ทำไมงูจะกินกบเขียด เพราะกบเขียดเป็นอาหารของงู งูนั้นได้ทิ้งอีกาที่ฟักไข่ออกมาเป็นงูในเมืองนาค แม่กาป่วยตายและได้ให้เมืองนาคไว้แก่งู งูนั้นไม่รู้จักศีล งูนั้นไม่มีบุญ เมื่องูนั้นเกิดมาได้ ๕๕ ปี จะเกิดอุบาทว์ในเมืองนาคนั้น ​


    อาจารย์เจ้ากล่าวว่า อุปมาเหมือนปัญญาของงูก็เปรียบเหมือนอีกาและนกยางที่ไม่กรอก คือได้พญาที่ไม่สามัคคีกัน ปลาไม่ออกได้แก่พญาธัมมิกราชยังไม่บังเกิด หญ้ารกได้แก่มิจฉาทิฏฐิ วัวได้แก่พ่อเรือนที่ไม่รู้จักทำบุญให้ทาน เจ้าของวัวได้แก่พญาใจบาปที่ไม่ทำบุญให้ทาน ข้าวไม่สุกได้แก่กลียุคที่จะเกิดศึกแก่คนทั่วไป เมฆเป็นสีเหลืองสีแดง เมฆเป็นเหมือนธงเป็นรูปเหยี่ยวอยู่ทางทิศตะวันออก ถือว่าเป็นเหตุอัศจรรย์ แร้งกาบินโฉบไปมา เหยี่ยวเกาะที่เรือน ก็เป็นอัศจรรย์ รูปเทวดาและพุทธรูปมีเหงื่อไหลก็เป็นอัศจรรย์ ดาวหางเกิดขึ้นก็เป็นอัศจรรย์ ต้นไม้ที่ไม่ควรมีดอกผลกลับมีดอกผลก็เป็นอัศจรรย์ ต้นไม้ที่ไม่หอมเกิดหอมก็เป็นอัศจรรย์ ไม้ตายแล้วมีแก่นหอมเหมือนไม้จันทน์ก็เป็นอัศจรรย์ แผ่นดินแข็งแต่เมื่อลมพัดกลับมีกลิ่นหอม คนใจบาปกลับใจบุญ คนใจบุญกลับใจบาป เมืองเดียวเกิดมีพญาชิงอำนาจกัน แต่นั้นคนก็เลยวิวาทฆ่าฟันกัน ​


    พระอินทร์จะมาเป่าสังข์ในอากาศทำให้คนตกใจกลัว คนจะโกหกกัน ภูติผีเข้าสิงคนให้ฆ่าฟันชิงทรัพย์แย่งลูกเมียกัน ถัดนั้น เทวดาจะพุ่งไต้ไปในอากาศ ๓ ครั้ง ทำให้เกิดแผ่นดินไหวสองครั้งในวันเดียว เมื่อมีเหตุดั่งนี้ส่อแสดงแล้ว ก็หมายความว่าองค์ธัมมิกราชจะมาบังเกิด ลักษณะของธัมมิกราชเมื่อจะเป็นพญานั้น มีกายสีขาวเหลืองเหมือนทองหยด ลักษณะดี ฟันงามมีเสียงนุ่มนวล มีขนขาวเส้นหนึ่งเป็นอยู่ที่ใบหน้าด้านซ้าย แต่ก่อนเป็นคนยากไร้แต่มีเพียร อยู่ที่ไหนมักถูกคนไล่ให้หนีจาก บวชสองครั้ง และเมื่อบวชนั้นเหล่าสงฆ์ก็ไม่ชอบ พอลาสิกขาบทแล้วอยู่ที่ไหนคนก็ไม่ชอบ ท่านให้ความเมตตาต่อคนยากไร้ รักคนใจบุญ ท่านมีบุตรหญิงชายอย่างละสอง ได้เรียนวิชาการมามาก มีใจกล้าหาญ เมื่อบวชนั้นอยู่ทางปลายน้ำแต่เมื่อลาสิกขาบทกลับอยู่ด้านเหนือน้ำ สง่างามเหมือนช้างเอราวัณ ตอนที่บวชนั้นนอนเหมือนลิงลม ​


    แต่เมื่อลาสิกขาบทแล้วนอนเหมือนนกพิราบ เมื่อจะได้เป็นพญาก็นอนเหมือนราชสีห์ ท่านจะมาสืบหาคนที่เกิดในปีงูเล็กตั้งแต่ "ปีเต่าเส็ดถึงปีกัดเป้า" เมื่อธัมมิกราชจะปรากฏเป็นพญานั้น จะมีม้าแก้วอยู่ที่ดอยอ่างสรงเชียงดาว พระแสงขรรค์ชัยศรีและแก้ววิเศษนั้น เทวดาจะนำมาให้ มีผีเสื้อพันหนึ่งเป็นบริวาร ผีเสื้อและฤาษีจะรื้อเอารางทองมาอภิเษก พระอินทร์จะให้น้ำอมฤต ทำให้ท่านมีรูปงามและรู้ปิฏกะทั้งปวง ท่านจะมาทำให้ศาสนารุ่งเรืองในหริภุญชัย เมืองฝาง เมืองละโว้และชำระคัมภีร์ทั้งปวง ​


    ทำให้คนทั้งหลายเป็นสุขด้วยข้าวของต่างๆ ถัดนั้น "หมู่หน้าแข็งตนขาว" จะเอา เมืองวิเทหะและจุฬนีมาถวาย จะมาสร้างปราสาทถวาย ธิดากษัตริย์ทั้งปวงจะมาถวายตัว ธัมมิกราชจะครองเมืองได้ร้อยปีและโอรสของท่านจะครองต่ออีกร้อยปี คนทั้งหลายจะมีความสุขทุกเมื่อ "ตำนานธัมมิกราชอันนี้ ได้แต่เมืองพุกำ (พุกาม) มาแล" ผู้ใดที่ได้เขียน ได้รักษาและได้บูชาเหมือนกับบูชาธัมมิกราชแล้ว ก็จะได้เงินทองมากนัก "ตำนานธัมมิกราชจบเท่านี้ก่อนแล สกราชได้ ๑๓๑๗ ปีก่าไส้ พ.ศ.๒๔๙๗" ​


    เรียบเรียงจาก อุดม รุ่งเรืองศรี ​



    เครดิต คุณเกษม http://palungjit.org/threads/ประเทศไทยจะเกิดอุบัติภัยอย่างที่ทำนายกันจริงๆหรือไม่.3906/page-1170<!-- google_ad_section_end -->
     
  5. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    คำพยากรณ์ของนอสตราดามุสเกี่ยวกับ Doomsday 2012


    [​IMG]


    นอสตราดามุสดูเหมือนได้ทำนายว่า สงครามนิวเคลียร์เกิดในยุคเรานี้ ประมาณช่วงเวลาระหว่างปี 1999 – 2012 “หน้าต่างเวลา”นี้เข้ากันได้กับคำพยากรณ์ในรหัสพระคัมภีร์ และเห็นพ้องกับกรอบเวลามาตรฐาน ที่ระบุในพระวรสารโดยมัทธิว 24 : 32 นิทานเปรียบเทียบเรื่องต้นมะเดื่อ​

    นอสตราดามุสทำนายว่า สหรัฐจะเข้าสู่สงครามในอาฟกานิสถานและอิรัก ล่าตัวบินลาเดน และสงครามนี้จะขยายตัว กลายเป็นสงครามโลกครั้งที่ 3

    นอสตราดามุสได้ทำนายมากมายถึงดาวหางดวงหนึ่งหรือดาวพระเคราะห์ ดาวหางที่จะผ่านโลกอีกไม่นานหลังปี ค.ศ. 2000 และอาจก่อให้เกิดการทำลายโลกไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ทำนาย ปี 2012 ดาวพระเคราะห์น้อย (Asteroid) แบบดาวหางจะเป็นสาเหตุความพินาศของโลก

    นอสตราดามุสใช้ศิลปะเก่าแก่คือสีดำ เพื่อ”ปลุกเร้า” สัตวิญญาณที่ทำให้ตื่นกลัว และเป็นผู้ที่ใช้ภาพนิมิตในเรื่องอนาคต คำทำนาย “ ในปี 1999 และอีก 7 เดือน นั้น กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่น่าเกรงขามจะมาจากท้องฟ้า พระองค์จะฟื้นชีพให้กษัตริย์ของพวกมองโกล ก่อนนั้นและหลังจากนั้น มนุษย์จากดาวอื่น ( อาจเป็นจากดาวอังคาร )จะมาครองโลก

    ผู้ศึกษาเรื่องนอสตราดามุสพิเคราะห์ว่า กษัตริย์น่าเกรงขามผู้ยิ่งใหญ่จากท้องฟ้าน่าจะเป็นดาวพระเคราะห์น้อยหรือดาวหางดวงหนึ่ง ซึ่งไม่เคยโคจรมาใกล้โลกระหว่างปี ค.ศ. 1999 หรือ 2000

    มีผู้เชื่อว่า “ความน่าสะพรึงกลัวจากฟ้า”ที่อ้างว่ากำลังมานั้น อาจไม่ใช่ดาวดวงใดที่นอสตราดามุสอ้างถึง เป็นไปได้ว่า กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่น่าเกรงขามจากฟ้า คือการมาของ “แอนตี้ไครสต์” (Antichrist) .ใน”ยานอวกาศ” ซึ่งการมาของท่านผู้นี้ ( มีในหนังสือวิวรณ์ – Relavation ด้วย ) จะก่อให้เกิดการทำลายล้างแบบเดียวกับที่ดาวหางโลกาวินาศจะมาถึงโลก เพราะ Antichrist จะสถาปนาศาสนจักรปีศาจ “โดยอาศัยวาติกันและพระสันตะปาปาในอนาคต”

    นอสตราดามุสยังกล่าวถึง การมาถึงของครูของโลก หรือพระเมสซีอาสเทียมซึ่งอาจจะ”เหาะ”มาหรืออาศัยยานแบบใดแบบหนึ่ง นอกนั้นการทำนายถึงการที่ดาวดวงใหญ่ตกกระทบท้องทะเลนั้น ก็บังเอิญไปตรงกับบริบทในหนังสือวิวรณ์ 8 : 8-10

    เป็นที่น่าประหลาดมากที่จะเป็นความบังเอิญหรือไม่ไม่ทราบได้ ที่การทำนายของนอสตราดามุสหลายข้อ ตรงกับข้อความการทำนายวันสิ้นโลกในพระคัมภีร์ แต่ คำพยากรณ์และการทำนายของนอสตราดามุสที่ว่า ผลกระทบยิ่งใหญ่จากดาวหางระหว่างปี ค.ศ. 2010 ถึง 2012 นั้นไปตรงกับสาเหตุหลายประการที่นักวิทยาศาสตร์และนักดาราศาสตร์ปัจจุบันให้แนวความคิดและเป็นแนวความคิดของความเป็นไปได้ โดยอาศัยหลักเกณฑ์ทางวิทยาศาสตร์ที่ว่า สาเหตุที่โลกจะถึงวาระแตกดับนั้น มีหลายประการจริง

    ดาวที่คาดว่าจะทำให้โลกถึงแก่ความพินาศ ในปี ค.ศ. 2012

    พระดำรัสชองพระเยซูเจ้าที่ว่ามนุษย์รุ่นนี้เป็นรุ่นสุดท้ายในโลก ทำให้หลายคนใจเสีย ก็..กลัวตายนะซีคุณ เราจะตายก่อนถึงเวลาแก่เฒ่าหรือตายด้วยโรคภัยไข้เจ็บหรือโดยอุบัติเหตุถึงแก่ชีวิตไม่ว่ากัน แต่ตายด้วยสาเหตุที่คาดไม่ถึงว่าโลกจะระเบิดแตกดับ พวกเรามนุษย์จะสิ้นสูญไปจากโลกนี้นั้น ไม่อยากคิด! แต่..ไม่อยากคิดยังไงๆก็ต้องคิด เมื่อคิดแล้วก็อยากจะรู้ว่า อะไรคือสาเหตุที่โลกจะแตกดับ มนุษย์จะสิ้นไปจากโลก ก็คงต้องฟังนักวิทยาศาสตร์ที่พยายามอธิบายให้เราฟังเกี่ยวกับเรื่องนี้ คงจะดีกว่า

    มีดาวเคราะห์ดวงหนึ่งที่นักดาราศาสตร์ตั้งรหัสชื่อว่า Planet-X-NIBIRU ดาวดวงนี้มีเส้นวงโคจรเป็นรูปวงรีตัดกับวงโคจรของโลกตลอดและจะมีช่วงหนึ่งที่เข้ามาใกล้โลกมากห่างไม่เท่าไร พูดได้ว่าเฉียดโลกเลยทีเดียว ผ่านเข้ามาใกล้โลกทีไรก็ทำให้โลกเกิดกลียุคทุกที ดาวดวงนี้จะโคจรเข้ามาใกล้โลกทุกๆ 3,600 ปี เมื่อ 3,600 ปีที่แล้วผ่านมาครั้งหนึ่งแล้ว เป็นสาเหตุให้ทวีปแอตแลนติกจมหายลงไปทั้งทวีปกลายเป็นมหาสมุทรแอตแลนติก ตอนนั้นน้ำท่วมโลกสูงมาก (หลายคนคิดว่าเป็นยุคน้ำท่วมโลกสมัยโนอา โปรดอ่านรายละเอียดจากพระคัมภีร์พันธะสัญญาเดิม)

    เรื่องเกี่ยวกับโนอาและน้ำมหาวินาศแรกของโลกมนุษย์ทราบรายละเอียดจากพระคัมภีร์ และยังจำพระสัญญาของพระเป็นเจ้าที่บอกโนอาและลูกหลานว่า จะไม่มีน้ำท่วมโลกอีก หากเห็นรุ้งปรากฏบนท้องฟ้านั่นคือพระสัญญาของพระองค์ ตอนนี้มนุษย์งงจริงๆ เพราะที่จะเกิดกลียุคกับโลกเราและทำให้มนุษย์สูญสิ้นไปคือน้ำท่วมโลกครั้งใหม่ โดยผลกระทบจากดาวเคราะห์ที่มีรหัสชื่อว่า Planet-X-NIBIRU ! ดาวดวงนี้จะโคจรเข้ามาใกล้โลกในปี 2009 มองเห็นได้ทางซีกโลกใต้ด้วยกล้องดูดาวพลังสูง

    ปี 2011 โคจรใกล้เข้ามา มนุษย์จะมองเห็นดาวดวงนี้ด้วยตาเปล่า โตขนาดเท่าดวงจันทร์ของเรา แต่สีจะออกสีแดงๆ

    ปี 2012 โคจรเข้ามาใกล้มาก จากนั้น จะเริ่มเกิดปฏิกิริยาต่อมวลสภาพอากาศบนโลก เศษหินจำนวนมหาศาลที่มากับดาวดวงนี้ จะพุ่งตกลงกระทบผิวโลก เป็นเหมือนฝนดาวตก และเป็นอันตรายต่อมวลชีวิตบนโลกเรา เพราะบรรยากาศของโลกไม่สามารถเสียดทานเอาไว้ได้

    ปี 2012 วันที่ 21 ธันวาคม ดาว NIBIRU โคจรเข้ามาใกล้โลกที่สุด หายนะครั้งยิ่งใหญ่จะเกิดบนพื้นแผ่นดินโลก อย่างไม่มีใครคาดคิดมาก่อน

    ปี 2013 วันที่ 14 กุมภาพันธ์ วันนั้นเป็นวันที่โลก + นิบิรุ + ดวงอาทิตย์โคจรมาอยู่ในเส้นแนวเดียวกัน แกนแม่เหล็กโลกจะเปลี่ยนขั้วกลับกัน ขั้วเหนือเป็นขั้วใต้และขั้วใต้เป็นขั้วเหนือ โลกจะหยุดหมุนรอบตัวเอง 3 วัน ( คือส่วนใดสว่างก็จะสว่างนาน 3 วัน ส่วนใดมืดก็จะมืดนาน 3 วัน) แผ่นดินจะแยกตัวเป็นเสี่ยงๆ น้ำทะเลจะปั่นป่วนเป็นคลื่นมหาสึนามิ ถล่มเมืองชายทะเลทุกแห่งของโลก เมื่อแผ่นหินเปลือกโลกเคลื่อนไหวตัว ลาวาใต้โลกจะพุ่งทะลักขึ้นมา เกิดเป็นภูเขาไฟมากมายทั่วทุกทวีป ที่เคยอยู่ใต้ทะเลก็จะโผล่ขึ้นเหนือทะเล ที่เคยเป็นยอดเขายอดเกาะก็จะยุบตัวลงต่ำสู่พื้นล่าง แน่นอน มนุษย์และสัตว์หลายล้านชีวิตต้องสิ้นไป บ้านเมืองถล่มทะลายไม่เหลือหรอ

    เหตุการณ์เลวร้ายเกินกว่าจะบรรยายได้ จะเกิดต่อไปจนถึงวันที่ 1 สิงหาคม 2014 ดาวเคราะห์ NIBIRU จะโคจรห่างโลกออกไปเรื่อยๆ โลกจะเข้าสู่ภาวะสงบ แต่เมื่อถึงเวลานั้น จะเหลือชีวิตมนุษย์และสัตว์รอดจากหายนะหรือไม่ เท่าใด ไม่มีการทำนายไว้

    โดย: Petervich

    ที่มา http://forum.catholic.or.th/index.php?action=printpage;topic=296.0<!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end -->

    เครดิตคุณเกษม http://palungjit.org/threads/ประเทศไทยจะเกิดอุบัติภัยอย่างที่ทำนายกันจริงๆหรือไม่.3906/page-1170
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 กุมภาพันธ์ 2011
  6. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    [​IMG]

    8 ก.พ. 54 รายงานข่าวแจ้งว่า ภาพปรากฎการณ์สุดประหลาด “รุ้งกินน้ำกลับหัว” ครั้งนี้ถูกเปิดเผยโดย ดร.แจ๊คกาลีน มิตตัน นักดาราศาสตร์อวกาศแห่งแคมบริดจ์ ของประเทศอังกฤษ หลังเธอสามารถบันทึกภาพดังกล่าวได้ที่หน้าบ้านของเธอเมื่อปี 2008
    เมื่อภาพดังกล่าวปรากฎออกมาก็ทำให้หลายๆ คนที่ได้เห็น ต่างพากันตื่นตกใจ และเชื่อว่าอาจเป็นสัญญาณเตือนกลียุคกำลังเกิดขึ้นก็เป็นได้
    โดยคำทำนายโบราณเรียกปรากฎการณ์นี้ว่าเป็น “รอยแสยะยิ้มพญายม (Cruach”s Grin)” ซึ่งเชื่อว่าเป็นคำเตือนจากเทพเจ้าถึงวาระสุดท้าย ของโลก
    ขณะที่ในคัมภีร์ไบเบิลของชาวคริสต์ ก็ได้มีภาพวาด “รุ้งกินน้ำกลับหัว” ประกอบอยู่ในคัมภีร์ด้วย โดยระบุว่าภาพดังกล่าวเป็นลางบอกเหตุโลกกำลังเกิดสงครามระหว่างธรรมะกับอธรรมขึ้น
    ขณะที่นักอุตุนิยมวิทยาได้มีคำอธิบายถึงปรากฎการณ์ดังกล่าวว่า เกิดจากภาวะภูมิอากาศของโลกเปลี่ยนแปลงไปอย่างรุนแรง การเกิด “รุ้งกินน้ำกลับหัว” นั้นอาจเกิดจากการผสมผสานอย่างผิดธรรมชาติ โดยเรียกปรากฏการณ์นี้เรียกว่า ปรากฏการณ์แสง (the optical phenomenon a circumzenithal arc) โค้งออกไปยังดวงอาทิตย์ ซึ่งเกิดขึ้นจากการหักเหของแสงในมุมที่เหมาะสมกับผลึกน้ำแข็ง ละอองน้ำ หรือ อากาศชื้น ในชั้นบรรยากาศ แสดงสีรุ้งสดใส
    [​IMG]
    นั่นก็คือ อากาศร้อนกับอากาศหนาวเหนือชั้นบรรยากาศได้มาผสมผสานกันอย่างเฉียบพลัน ก็เลยทำให้เกิดแสงสะท้อนกลับมาเหมือนกระจก “รุ้งกินน้ำกลับหัว” จึงเกิดขึ้นดังกล่าว
    [​IMG]
    เรียบเรียงข่าวโดย Mthai News
    เครดิตคุณวรเดช http://palungjit.org/threads/ประเทศไทยจะเกิดอุบัติภัยอย่างที่ทำนายกันจริงๆหรือไม่.3906/page-1170
     
  7. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ลือ! รุ้งกินน้ำกลับด้าน สัญญาณโลกวินาศ
    แสยะยิ้มพญายม อาเพศ รุ้งกินน้ำ (ไทยโพสต์)

    [​IMG]

    เมื่อเกิดรุ้งกินน้ำหลังฝนตกในยามเช้าหรือเย็น วงโค้งรุ้งกินน้ำซึ่งมีอยู่ 7 สี ได้แก่ ม่วง คราม น้ำเงิน เขียว เหลือง แสด แดง จะโค้งไปตามส่วนโค้งของเปลือกโลก แต่ในภาพเป็นรุ้งกินน้ำมีวงโค้งตรงกันข้ามกับรุ้งกินน้ำธรรมดา เป็นโค้งกลับด้าน ซึ่งแน่นอนว่าปรากฏการณ์เช่นนี้หาดูได้ยากยิ่ง

    การปรากฏของรุ้งกินน้ำส่วนใหญ่เป็นช่วงเวลาสดใส นกส่งเสียงร้องพร้อมกับอากาศดีบริสุทธิ์ แต่เมื่อใดรุ้งกินน้ำปรากฏกลับด้าน จึงเป็นสัญญาณเตือนว่ากลียุคกำลังบังเกิด

    รุ้งกลับหัวกลับหางที่ศัพท์ทางอังกฤษเรียกว่า เซอร์คัมเซนิทัล อาร์ก (Circumzenithal Arc) หรือวงแหวนครึ่งขอบฟ้า ซึ่งมีคำอธิบายโดยนักปราชญ์เมื่อ 100 กว่าปีก่อน ว่านี่คือรอยแสยะยิ้มพญายม (Cruach's Grin)

    ทักเกอร์ แม็กคาร์ตนีย์ นักมนุษยวิทยาชาวอเมริกัน ที่ฟิลาเดลเฟีย อธิบายว่า "ครูแอ็ก" เป็นเทพเจ้าองค์หนึ่งของชาวเซลติกโบราณ (บรรพบุรุษชาวอังกฤษ) เป็นเทพเจ้าแห่งความตายและการทำลายล้าง การสร้างรุ้งกินน้ำกลับด้านขึ้นบนท้องฟ้าจึงเป็นคำเตือนจากเทพเจ้าครูแอ็กว่า วาระสุดท้ายของโลกกำลังมาถึงแล้ว หรือในคัมภีร์ไบเบิลของชาวคริสต์ได้วาดภาพรุ้งกินน้ำกลับด้านเอาไว้ โดยระบุว่า เป็นลางบอกเหตุว่าโลกกำลังเกิดสงครามระหว่างธรรมะกับอธรรมขึ้นแล้ว

    คำทำนายจากยุคโบราณ หากนำมาเปรียบเทียบกับสถานการณ์ของโลกในปัจจุบัน นักวิทยาศาสตร์ยอมรับว่าเข้าเค้า โดยเฉพาะปรากฏการณ์โลกร้อนที่กำลังเกิดขึ้นอาจนำพาไปสู่วาระสุดท้ายของโลกของเผ่าพันธุ์มนุษย์ก็ได้

    นักอุตุนิยมวิทยาในยุคปัจจุบันก็มีคำอธิบายถึงการเกิดรุ้งกลับหัวว่า เกิดจากภาวะภูมิอากาศของโลกเปลี่ยนแปลงไปอย่างรุนแรง การเกิดรุ้งกินน้ำธรรมดาเกิดขึ้นโดยแสงแดดสาดส่องผ่านละอองน้ำหรืออากาศชื้นในชั้นบรรยากาศ แต่รุ่งกินน้ำกลับหัวเกิดจากการผสมผสานอย่างผิดธรรมชาติ นั่นคือการผสมปนเประหว่างอากาศร้อนกับอากาศหนาวเหนือชั้นบรรยากาศ แล้วสะท้อนกลับมาเหมือนกระจก จึงเกิดรุ้งกินน้ำกลับหัวขึ้นมา

    ดร.แจ็กเกอลีน มิตตอง นักดาราศาสตร์ อวกาศแห่งแคมบริดจ์ ประเทศอังกฤษ เป็นผู้ถ่ายภาพรุ้งกินน้ำกลับหัวภาพนี้ได้จากท้องฟ้าใกล้บ้านพัก

    "ฉันไม่เคยเห็นอะไรเช่นนี้มาก่อน ฉันอายุ 60 ปีแล้ว ยังแปลกใจกับปรากฏการณ์ประหลาดนี้"

    รุ้งกินน้ำกลับหัว เมื่อเกิดขึ้นจะมีแสงสว่างมากกว่ารุ้งกินน้ำธรรมดาหลายเท่า เชื่อกันว่าวงโค้งกลับหัวเกิดจากการสะท้อนแสงมาจากวงแหวนฮาโล หรือฉัพพรรณรังสีของดวงอาทิตย์

    นายกรหริศ บัวสรวง โหรชื่อดัง เปิดเผยว่า จากปรากฏการณ์รุ้งกินน้ำที่เกิดขึ้นในลักษณะกลับหัวที่ประเทศอังกฤษ ในทางโหราศาสตร์ทำนายว่าเป็นลางร้าย และจะเกิดเหตุการณ์บางอย่างที่บ่งบอกถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในบ้านเมืองนั้นๆ ตลอดจนเกิดผลกระทบต่อเนื่องเป็นลูกโซ่กับประเทศอื่นๆ ให้เกิดปัญหาเช่นเดียวกัน ประเทศอังกฤษอยู่ทางทิศตะวันตก มีดาวพฤหัสบดีเป็นตัวแทนประเทศตะวันตก ตอนนี้ดาวพฤหัสบดีเข้าไปอยู่ในภพวินาศของดวงโลก และเมื่อเกิดปรากฏการณ์รุ้งกินน้ำกลับหัวซึ่งถือเป็นลางร้าย ก็บอกได้ว่าทั่วทั้งโลกจะเกิดความวุ่นวาย ความขัดแย้งหรือข้อพิพาทระหว่างประเทศ และปะทะสู้รบกันอย่างรุนแรง

    "รุ้งกินน้ำกลับหัวดาวทำมุมตรงกันข้าม แม้ไม่เกี่ยวข้องโดยตรงกับประเทศไทย แต่ก็อาจส่งผลทางอ้อม เช่น ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ก็เกิดขึ้นในช่วงที่ดาวพฤหัสบดีอยู่ในภพวินาศ ไทยกับเขมรจะมีปัญหาขัดแย้งกระทบกระทั่งกันตลอดตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม จากนั้นก็จะเริ่มคลี่คลายเข้าสู่ภาวะปกติ" นายกรหริศเผย

    นายอรรถวิโรจน์ ศรีตุลา โหรชื่อดัง บอกเช่นเดียวกันว่า รุ้งกินน้ำกลับหัวเป็นเรื่องไม่ดี ให้ระวังภัยพิบัติ ปัญหาภายในบ้านเมือง ปัญหาระหว่างประเทศ จะเกิดการเจ็บป่วย สูญเสียบุคคลสำคัญต่าง ๆ ของประเทศ




    ขอขอบคุณข้อมูลจาก

    ขอขอบคุณภาพประกอบจาก รายการเรื่องเล่าเช้านี้<!-- google_ad_section_end -->

    เครดิตคุณ<!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->Sleeping Sheep<!-- google_ad_section_end --> http://palungjit.org/threads/รวบรวม...าทิตย์-เพือเก็บตัวอย่างไว้ศึกษา.82312/page-18
     
  8. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    เคยเห็นที่ชิลี 21 มีนา 2002<!-- google_ad_section_end -->
    <HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- google_ad_section_start --><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=610 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=left>[​IMG]</TD></TR><TR><TD class=std vAlign=top align=left>Circumzenithal arc, Atacama Desert, Chile. Imaged at the European Southern Observatory by Sylvain Rondi (site) on the morning of 21st March '02 when the sun was 22° high, the ideal altitude for CZAs. Image©2002 Sylvain Rondi, shown with permission.</TD></TR><TR><TD class=std vAlign=top align=left>
    The circumzenithal arc, CZA, is the most beautiful of all the halos. The first sighting is always a surprise, an ethereal rainbow fled from its watery origins and wrapped improbably about the zenith. It is often described as an "upside down rainbow" by first timers. Someone also charmingly likened it to "a grin in the sky".

    Look straight up near to the zenith when the sun if fairly low and especially if sundogs are visible. The centre of the bow always sunwards and red is on the outside.

    The CZA is never a complete circle around the zenith, that is the exceptionally rare and only recently photographed Kern arc. </TD></TR></TBODY></TABLE>

    หรือหลายๆ ที่ในโลก ในสถานที่และเวลาที่แตกต่างกัน
    <HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1>
    <!-- google_ad_section_start -->[​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]<!-- google_ad_section_end -->

    เครดิตคุณ<!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->Falkman http://palungjit.org/threads/ภาพรุ้งที่ขึ้นบนขอบฟ้า-ผิดปกติ-เกี่ยวภับพิบัติของโลกไช่หรือไม่.278963/
    <!-- google_ad_section_end -->
     
  9. เกรียน

    เกรียน สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    2
    ค่าพลัง:
    +0
    ติดตามอ่านมานานแล้ว ชอบมากๆครับ
     
  10. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    อิอิ กลายเป็นกระทู้ถูกใจเกรียน ซะงั้น

    ขอบใจคุณเกรียน ที่ชอบกระทู้นี้นะคะ

    สงสัยจะเป็นคนมีรสนิยมเดียวกัน
     
  11. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,197
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    [​IMG]

    kwanเอ๋ย-kwanมาอย่าไปไหน
    อย่าท่องเที่ยวเลี้ยวไปไกลถิ่นที่
    จะหลงทางห่างบ้านนับนานปี
    ดวงฤดีหม่นหมองครองระทม
     
  12. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    หากทนสิ่งที่เห็นไม่ได้ จงควักนัยตาทั้งสองออกเสีย

    นะจ๊ะ...เธอว์...จ๋า


    [​IMG]
    เผยภาพช็อคโลก! ชาวญี่ปุ่น ฆ่าหมู่ปลาโลมา
    Mthai news: 8ก.พ.สื่อต่างประเทศมีการเปิดเผยภาพสุดทารุณ เมื่อนักตกปลาชาวญี่ปุ่น ทำการฆ่าหมู่ปลาโลมานับร้อยตัว บริเวณทะเลในเมืองทาอิจิ ทางตะวันตกของญี่ปุ่น
    เหตุอันน่าสะพรึงเช่นนี้ เกิดขึ้นเมื่อนักตกปลา ทำการฆ่าหมู่ปลาโลมาด้วยการใช้ผ้าใบกันน้ำปกปิดด้านบนไว้ แล้วสังการอย่างโหดเหี้ยม ซึ่งการฆ่าหมู่ดังกล่าวเกิดขึ้นทุกปีในญี่ปุ่น แต่เมื่อผู้ที่พบเห็นต่างประณามการกระทำดังกล่าว
    ภาพดังกล่าวถูกบันทึกโดยช่างภาพสารคดี The Cove เป็นสารคดีระดับรางวัลออสการ์ (best documentary Feature 2009)เสี่ยงตายเข้าไปถ่ายภาพจนชาวโลกได้เห็นการกระทำซึ่งไร้ซึ่งความเป็นมนุษย์
    [​IMG]

    จะเห็นได้ว่านักตกปลา มีการต้อนปลาด้วยแผ่นพลาสติก แล้วใช้เรือต้อนให้เข้าไปอยู่ในช่องหน้าผาทะเล จากนั้นก็เริ่มกระหน่ำแทงมันเข้าที่กระดูกสันหลัง โดยที่โลมาไร้หนทางสู้ มันดิ้นรนด้วยความเจ็บปวด จนกระทั่งเลือดของพวกมันเปลี่ยนสีทะเลเป็นสีเลือด

    [​IMG][​IMG]
    ฝูงปลาโลมาจะถูกต้อนเข้ามาที่หาดเพื่อให้ เหล่าครูฝึกมา “คัดตัว” ไป และถูกส่งไปยังสวนน้ำทั่วโลก ส่วนปลาโลมาที่เหลือจะถูกต้อนไป “สังหารหมู่”
    [​IMG]
    จากเอกสารของนักวิทยาศาสตร์ทางทะเลมีการเฝ้าระวัง และจดบันทึกข้อมูลสัตว์ดังกล่าว พบว่าพวกสูญหายไปจำนวนมาก นอกจากนี้ศูนย์อนุรักษ์พันธ์สัตว์นานาชาติซึ่งประกอบด้วย ออสเตรเลีย และสหรัฐ ได้มีการสำรวจพื้นที่แห่งนี้นานกว่า 5 เดือน ก็พบว่าพวกปลาโลมาถูกฆ่าโดยนักตกปลา
    อย่างไรก็ตตาม ด้านทางญี่ปุ่นแย้งว่า การล่าปลาวาฬและโลมาเป็นวัฒนธรรมของญี่ปุ่นมาแต่โบราณ แต่ยังมีข้อสงสัยจากเหล่าคนรักสัตว์ว่า เหตุใดจึงทำเช่นนั้น เพราะคนไม่นิยมทานเนื้อปลาโลมา อีกทั้งยังมีปริมาณปรอทสูงจนเป็นอันตรายต่อชีวิต แต่เหตุใดโลมาจึงถูกฆ่าตายทุกปี
    โดย Mthai news
    http://palungjit.org/threads/ประเทศไทยจะเกิดอุบัติภัยอย่างที่ทำนายกันจริงๆหรือไม่.3906/page-1171
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 กุมภาพันธ์ 2011
  13. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    พรุ่ง นี้ (12 ก.พ.2011) เวลา 18.00-20.00 น.

    "รับวันใหม่ ศักราชที่ 9 ของมายา"

    Kornkarn Bhamarapravati > SoLy Reiki

    เข้าศักราชสุดท้ายในความมืด (9 underworld era) ของปฏิทินมายาวันนี้

    แนะนำให้ฉลองกับเพื่อนฝูง (ที่ไหนก็ได้) ด้วยความรักค่ะ

    เพราะเราเข้าสู่ความเป็น mass consciousness จิตวิญญาณกลุ่ม

    กินข้าวกับเพื่อน ร้องเพลง เต้นระบำ ขยับความถี่จิตวิญญาณให้เบิกบาน<WBR>สูงขึ้นค่ะ

    ครั้งเดียวในสิบหกพันล้านปี<!-- google_ad_section_end -->


    เครดิตจากสันโดษ http://palungjit.org/threads/รายการ...ห่งจักรวาล-ปาร์ตี้ริมทะเลพัทยา.276312/page-12
     
  14. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ::-5::-8::-11

    ปฏิทินมายา
    วันสุดท้ายของปฏิทินของชาวมายา ว่ากันที่ตัวปฏิทินก่อนว่าทำไมมันจึงสำคัญและมีคนสนใ จมันมากนัก...
    ชาวมายา ผู้อาศัยอยู่ในดินแดนยูคาทาน ในเม็กซิโกและกัวเตมาลาในราวศตวรรษที่ 3-16 ก่อนคริสตกาล นับเป็นอีกชนชาติหนึ่งที่มีความก้าวหน้าล้ำยุคจนนักว ิชาการต่างๆ พากันส่ายหน้าปวดหัวด้วยความแปลกใจเป็นอันมากกล่าวคื อ ชาวมายามีความเป็นเลิศทางด้านการคำนวณและดาราศาสตร์ สิ่งที่ชาวมายาคิดค้นได้ก็คือ ปฏิทินและการคำนวณบางประการที่ไม่น่าเชื่อว่า ชนเผ่าโบราณอันลึกลับนี้ จะสามารถทำได้โดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์สมัยใหม่อย่าพวกเร าเข้าไปช่วยแม้แต่น้อย ปฏิทินของชาวมายาใช้ในระยะวงโคจร 5000 ปี และวงโคจรที่ใกล้กับปัจจุบันมากที่สุด จะจบลงในวันที่ 24 ธันวาคม ปี พ.ศ.2554 (ซึ่งตามความเชื่อของชาวมายาก็คือ พระเจ้า ของพวกเขาจะเสด็จกลับลงมายังโลกนี้อีกครั้ง ก่อนพูดถึงเรื่องอื่นต่อไป อยากให้ทุกคนทำความเข้าใจกับระบบตัวเลขและแนวคิดของช าวมายากันนิดนึงก่อน เริ่มกันที่เลข 20 อันเป็นเลขที่ชาวมายาเค้าถือกันว่าเป็นเลขศักดิ์สิทธ ิ์ คนโบราณพวกนี้มีแนวคิดทางตัวเลขที่น่าสนใจมาก กล่าวคือ มนุษย์ในปัจจุบันนิยมใช้เลขฐานสิบเป็นหลัก โดยยืนพื้นอยู่บนนิ้วมือทั้งสิบ แต่ชาวมายากลับแตกต่างกันไปเพราะพวกเขารวมนิ้วเท้าอี กสิบเข้าไปด้วยเป็นเลขฐาน 20 พอดิบพอดี ลองมาดูสัญลักษณ์ของชาวมายาที่นับจาก 0-20 กันดีไหม? เลขศูนย์ถูกแทนด้วยสัญลักษณ์วงกลม เลขหนึ่งด้วยหนึ่งจุด เลขสองแทนด้วยจุดตามแนวนอน เลขสามด้วยจุดสามจุด เลขห้าแทนด้วยเส้นแนวขวาง เลขหกแทนด้วยจุดหนึ่งจุดเหนือเส้นแนวขวางและเป็นแบบน ั้นไปตามลำดับ เลขสิบเก้าแทนด้วยจุดสี่เหลี่ยมเหนือเส้นแนวขวางสามเ ส้นที่ซ้อนกันขึ้นไป เลขยี่สิบแทนด้วยสัญลักษณ์คล้ายวงกลมที่มีจุดจุดหนึ่ งอยู่ด้านบน ดังภาพ

    [​IMG]
    ความสัมพันธ์อีกประการของปฏิทินของชาวมายาก็คือ หนึ่งอุยนัลหรือเดือนของพวกเขามีอยู่ 20 คิน หรือ 20วัน [​IMG]
    อาณาจักรมายาเป็นอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่มาแต่ครั้งโบราณ ปัจจุบันอยู่ในพื้นที่ประเทศกัวเตมาลา ครั้งหนึ่งอาณาจักรนี้เคยคึกคักรุ่งเรืองเป็นที่สุด เมืองใหญ่ๆเช่น ติกัลหรือพาเลงกอมีประชากรร่วมแสน เป็นศูนย์กลางการเรียนรู้เรื่องคณิตศาสตร์ ดาราศาสตร์ และเป็นเมืองที่มีอิทธิพลทางการค้าเป็นอย่างมาก แต่ด้วยเหตุผลกลใดหาใครทราบ เมืองยุคแรกของชาวมายาเช่นติกัลก็ได้เริ่มเสื่อมสลาย ทีละน้อยในช่วง ค.ศ. 200-900 นักโบราณคดีรู้สึก ประหลาดใจมากกับหลักฐานที่ว่า ด้วยเหตุผลบางประการชาวมายาได้ละทิ้งเมืองอันรุ่งเรื องของพวกเขาในช่วงเวลานั้น หยุดชะงักอารยธรรมที่กำลังเติบโตทั้งหลายทั้งมวลคล้า ยๆกับว่าจู่ๆพวกเขาหมดกำลังใจในชีวิตกันไปแล้ว
    บางคนอาจนึกถึงการเข้ามาของชาวยุโรปว่าเป็นสาเหตุที่ ทำให้อารยธรรมมายาล่มสลายไป มันไม่ใช่อย่างนั้นน่ะ เพราะชาวยุโรปเข้ามายังโลกใหม่เมื่อราวๆศตวรรษที่ 17 ตอนนั้นอารยธรรมมายาเสื่อมสลายลงเกือบหมดแล้วเหลือเพ ียงชนพื้นเมืองกลุ่มเล็กๆ กระจัดกระจายอยู่ทั่วคาบสมุทรยูคาทานกับเม็กซิโกตอนใ ต้เท่านั้น
    มีอะไรบางอย่างที่ทำให้ชาวมายาหยุดความก้าวหน้าทางอา รยธรรมลง เหมือนชนชาติที่เสียแรงกระตุ้น เพราะจู่ๆพวกเขาก็หยุดชะงักเอาเฉยๆหลังจากรุ่งเรืองด ้วยอารยธรรมอันน่าพิศวงสุดขีดมาหลายศตวรรษ อะไรที่ทำให้พวกเขาเป็นแบบนั้น?
    เนื่องจากเป็นเคสที่น่าสนใจจึงมีทฤษฎีว่าด้วยการล่มส ลายของอารยธรรมมายาขึ้นมาเพียบ นักวิชาการบางคนเชื่อว่าเกิดจากการที่ทาสกับประชาชนล ุกขึ้นมาโค่นล้มชนชั้นปกครองผู้เผด็จการ แต่ไม่น่าเป็นไปได้ครับ เพราะอารยธรรมที่รุ่งเรืองขนาดนั้น สังคมที่แข็งแกร่งขนาดนั้นไม่น่าจะมาพังพาบง่ายๆกับอ ีเรื่องไม่เป็นเรื่องแค่นี้ แถมไม่มีหลักฐานอะไรชี้ชัดเอาเสียเลยว่ามีการแข็งข้อ แข็งเมืองเกิดขึ้นในนครรัฐของชาวมายา การจะเข้าใจอารยธรรมมายาได้อย่างถ่องแถ้นั้นเราต้องเ อาใจเราเข้าไปจับใจของชาวมายาเสียก่อน
    เลิกคิดแบบมนุษย์ปัจจุบัน เลิกยึดติดกับความรุ่งเรืองทางวัตถุแบบ อารยธรรมตะวันตก
    ในสายตาของมนุษย์สมัยใหม่ชาวมายาไม่ได้ต่างอะไรไปเลย จากมนุษย์ถ้ำสมัยหิน ไม่มีอะไรมากไปกว่าการสร้างปิระมิดด้วยศิลาอย่างไร้เ หตุผล ไม่มีเทคโนโลยีด้านสกัดแร่หรือถลุงโลหะ ไม่มีอาวุธมากกว่ามีดและหอก
    นักวิชาการหลายคนมองชาวมายาเป็นอัจฉริยะผู้ไร้สติ คือทั้งๆที่พวกเขาเชี่ยวชาญด้านคณิตศาสตร์ ดาราศาสตร์ และสถาปัตยกรรมอันไร้เทียมทานแต่กลับไม่ได้นำมาสร้าง สรรค์หรือแผ่ขยายอารยธรรมแต่ประการใดเลยนักวิชาการไม ่สามารถอธิบายได้ว่าทำไมอารยธรรมที่ฟันฝ่าอุปสรรคมาจ นรุ่งเรืองได้ขนาดนั้นจู่ๆกลับเสื่อมสลายลง อัจฉริยะทางดาราศาสตร์และคณิตศาสตร์ชาวมายาหายหัวไปไ หนหมด
    พวกเขาส่งผ่านมรดกอะไรให้แก่ชนรุ่นหลังบ้าง ทำไมจึงทิ้งเมืองใหญ่อันโอฬารอย่าง ติกัล อักซมัล พาเลงกอ และชิตเซนอิซาเอาไว้ หลงเหลือแต่เพียงซากปรักหักพังอยู่กลางป่าดงดิบในกัว เตมาลา แล้วก็วาดภาพแกะสลัก ทำเส้นสายด้วยรหัสภาษาที่ไม่มีใครอ่านออกเอาไว้ ทิ้งให้นักโบราณคดีรุ่นหลังตีอกชกหัวกุมขมับปิ้มจะบ้ าทำไม...
    เราคงตอบคำถามนี้ไม่ได้ตราบใดที่ไม่ขจัดปัญหาบางประก ารออกไปเสียก่อน ปัญหาที่ว่านี้ไม่ได้อยู่ที่ชาวมายา แต่อยู่ที่ทฤษฎีของพวกเรา อยู่ที่วิธีวัดความสำเร็จที่มนุษย์ปัจจุบันใช้กับชาว มายานั่นแหละ หลายศตวรรษที่ผ่านมาจนถึทุกวันนี้
    พวกเราวัดความรุ่งเรืองทางอารยธรรมของมนุษยชาติด้วยไ ม้บรรทัดที่ถือมาตั้งแต่สมัยเรเนอซองส์ ทุกอย่างตั้งอยู่บนพื้นฐานของเทคโนโลยีทางวัตถุ นวัตกรรมใหม่ๆอันจะนำเอาความเจริญทางวัตถุมาให้มนุษย ์
    ตั้งแต่ยุคเครื่องจักรไอน้ำจนถึงกระสวยอวกาศ ตั้งแต่ยุคหัวธนูจนถึงขีปนาวุธนิวเคลียร์ ตั้งแต่ยุคหลอดสูญญากาศจนถึงซิลิกอนชิป ชาวมายาล้าหลังจริงๆหากจะมองในแง่นั้น ทฤษฎีต่อไปนี้อาจจะบ้าหลุดโลกสำหรับพวกคุณ แต่ปฏิทินของชาวมายาเป็นตัวอย่างที่ดีที่แสดงให้เห็น ถึงความสัมพันธ์ระหว่างเวลาและตัวเลข ภาพด้านล่างเป็นตัวแทนวันในแต่ละเดือนของพวกเขา ซึ่งในบางครั้งจะถูกผนวกเข้ากับสัญลักษณ์ที่เรียกว่า โซลคินอันเป็นแกนตัวเลข 13 ตัว ถูกออกแบบให้อยู่ในลักษณะของแกนสอดประสาน เพื่อให้ได้มาซึ่งการประสานกันระหว่างจิตใจและแกแล็ค ซี่ แกนตัวเลขสอดประสานเพื่อให้ได้มาซึ่งการสอดประสานกัน ของแกแล็คซี่ นักวิชาการน้อยคนนักที่จะเข้าใจเรื่องนี้ และผู้ที่เข้าใจก็ยากที่จะทำใจรับมันได้เนื่องจากค่อ นข้างหลุดโลกเอาการอยู่แนวคิดนี้ขัดแย้งกับทฤษฎีทางว ิทยาศาสตร์ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นฐานของ ปรากฏการณ์ทางกายภาพ ที่นักโบราณคดีงงเป็นไก่ตาแตกกับอารยธรรมมายาเนื่องจ ากว่าพวกเขายากที่จะทำใจมองข้ามแนวคิดแบบวิทยาศาสตร์
    หันไปมองแนวคิดทางจิตใจแบบชาวมายาได้ เพราะการมองแต่หลักฐานทางวัตถุนี่แหละ จึงทำให้นักโบราณคดีหลายคนไม่สามารถหาคำตอบได้ว่า ทำไมชาวมายาจึงพัฒนานครรัฐได้อย่างยิ่งใหญ่ สร้างสถาปัตยกรรมโอฬาริกได้มากมาย แต่ไม่ปรากฏหลักฐานว่าพวกเขาจะประยุกต์นำความรู้นี้ไ ปใช้ และพัฒนาอารยธรรมของพวกเขาไปในรูปแบบอารยธรรมของชาวต ะวันตกอย่างที่ควรจะทำ เช่น การยกระดับความเป็นอยู่ พัฒนาเรื่องการขนส่ง การสื่อสาร อาวุธยุทโธปกรณ์
    ซึ่งแน่นอนว่า ด้วยความก้าวหน้าขนาดคำนวณปฏิทินได้เป็นล้านๆปี รอบรู้เรื่องวงโคจรของดาวพระเคราะห์ต่างๆจนถึงขั้นคำ นวณปฏิทินของดาวศุกร์และดวงจันทร์ได้อย่างชาวมายานั้ น การจะสร้างอารยธรรมให้ก้าวทันปัจจุบันเห็นจะไม่ใช่เร ื่องยาก เพียงกินเวลาไม่กี่ร้อยปีเท่านั้นดีไม่ดีชาวมายาอาจค รองยุโรปและเอเชีย จนถึงขั้นมีนครรัฐมายาแทนสหรัฐอเมริกาจอมเกเรอย่างทุ กวันนี้ก็เป็นได้ เป็นไปได้ลองย้อนดูอารยธรรมของเราสิ เมื่อ 400 ปีก่อนเรามีเทคโนโลยีทางการแพทย์ เทคโนโลยีการสื่อสารแค่ขี้ปะติ๋วเท่านั้น แล้วดูตอนนี้สิ สี่ศตวรรษหรือหนึ่งแบ็กทันต่อมา เราพัฒนามาถึงไหนกันแล้วครับ เมื่อร้อยปีก่อนเรายังเคาะโทรเลขก๊อกแก๊กกันอยู่ แต่ตอนนี้เราถึงขั้นสื่อสารแบบไร้สายได้มีโอกาสมา "เธอวางก่อนดิ... ดิ ดิ ดิ..." อย่างง่ายๆราวปาฏิหารย์
    พวกเราสามารถสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกในรอบ 100 ปีได้มากกว่าที่เคยทำได้ในรอบ 1000 ปีเสียด้วยซ้ำ แล้วชาวมายาล่ะครับเขาทำอะไร เขาไม่ได้ทำอะไรกับความรู้อันสูงส่งของพวกเขาเลยแม้แ ต่น้อย
    พวกเขาเป็นต้นแบบของนักการเมืองไทยในการถอยหลังลงคลอ ง ชาวมายาย้อนกลับไปสู่สังคมแบบพริมิทีฟเอามากๆ โดยเฉพาะตั้งแต่ประมาณ ค.ศ.83 ชาวมายาก็ได้เจริญลงๆ จนกระทั่งถึง ค.ศ. 900 หรือสิ้นสุดแบ็กทันที่ 10
    อารยธรรมอันมหัศจรรย์สมชื่อมายานี้ก็ได้ถึงการเสื่อม สลายลงอย่างสมบูรณ์ คิดแล้วก็น่าเศร้า? แบ็กทันคืออะไรอย่างนั้น?
    แบ็กทันเป็นมาตรวัดเวลาของชาวมายา กินเวลาราว 395 ปีของมนุษย์ปัจจุบัน แนวคิดนี้ค่อนข้างซับซ้อนแต่เชื่อว่าชาว Myth น่าจะทำความเข้าใจได้ไม่ยากเท่าไหร่
    แนวคิดนี้มีอยู่ว่า ชาวมายามีวัตถุประสงค์ในการอยู่บนโลกที่แตกต่างออกไป พูดง่ายๆคือมีหลักฐานมากพอที่จะชี้ให้เห็นว่าชาวมายา มีหน้าที่วางตำแหน่งโลกและระบบสุริยะ ให้สอดคล้องกับประชาคมแกแล็กซี่ที่ใหญ่กว่า โดยได้รับบัญชาจากเทพเจ้าของพวกเขาซึ่งสันนิษฐานว่าน ่าจะเป็นนักบินอวกาศแห่งโบราณยุค พูดง่ายๆก็คืออาคันตุกะจากดาวดวงอื่นนั่นล่ะ
    ภารกิจหลักของชาวมายามีอะไรบ้างนั้นพวกเรายังไม่มีหล ักฐานที่แน่ชัด เดาได้เพียงแต่ว่าเมื่อถึงประมาณ ค.ศ.830 หรือสิ้นสุดแบ็กทันที่เก้าชาวมายาก็ได้จากไป บางคนยังหลงเหลือทายาทไว้ที่นี่ในฐานะผู้พิทักษ์หรือ การ์เดี้ยน ทิ้งรหัสของพวกเขาเอาไว้อันได้แก่โซลคินแกนตัวเลขประ สานของชาวมายาเพื่อให้ได้มาซึ่งการสอดประสานแห่งห้วง จักรวาล
    [​IMG]
    เนื่องจากนี่เป็นเพียงข้อสมมติฐานของนักเขียนบางคนเท ่านั้น ไม่จำเป็นต้องเชื่อตามนะ อันว่าสิ่งที่ชาวมายาทิ้งไว้นั้นเป็นเรื่องท้าทายวงก ารวิทยาศาสตร์อย่างหนัก เราจำเป็นต้องวางแนวคิดยึดติดวัตถุในรูปแบบเดิมเอาไว ้เสียก่อน แล้วลองมามองจักรวาลอย่างที่ชาวมายาเขามองกัน ยกตัวอย่างปฏิทินของชาวมายากันสักเล็กน้อย เช่นเดียวกับพวกเราครับ ชาวมายาวัดขนาดของเวลาจากเล็กไปสู่ใหญ่ จากวินาทีเป็นนาที ชั่วโมง วัน เดือน ฯลฯ อารยธรรมตะวันตกวัดเวลาตามปฏิทินเกรเกอเรียนซึ่งกินเ วลา 365 วัน/ปี อันเป็นคาบเวลาที่โลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ ถัดจากปีเราก็มายืนอยู่บนเลขฐาน 10 นั่นคือ 10 ปีต่อ 1 ทศวรรษ, 10 ทศวรรษต่อ 1 ศตวรรษ, 10 ศตวรรษต่อ 1 สหัสวรรษ บลา บลา บลา...
    แต่ปฏิทินของชาวมายานั้นแตกต่างออกไปเพราะตั้งอยู่บน ค่าของเลข 20 เป็นหลัก 1 คินจะแทนค่าแทน 1 วัน นับตามแบบของเราคือโลกหมุนรอบตัวเองครบ 1 รอบ อุยนัลแทนค่า 1 เดือนประกอบด้วย 20 คิน
    ส่วนปีของมายาแทนด้วนทันอันประกอบด้วย 18 อุยนัลหรือ 360 คิน(ใกล้เคียงกับ 365 วันของพวกเรามากทีเดียว) 1 คาทันของชาวมายาเทียบได้กับทศวรรษของพวกเราเพียงแต่ย าวกว่า 2 เท่า เพราะระบบเลขของพวกเขาคือฐาน 20
    ดังนั้น 1 คาทันจะมีความยาวประมาณ 19.5 ปี สำหรับ 1 แบ็กทันจะยาว 20 คาทันหรือประมาณ 394.5 ปี
    จุดเริ่มการสร้างสรรค์ของชาวมายาตามบันทึกของพวกเขาซ ึ่งบันทึกเวลาได้เที่ยงตรงมากนั้นจะอยู่ประมาณ 3116
    ปีก่อน ค.ศ. วงจรนี้จะกินเวลา 13 แบ็กทันของพวกเขาหรือ 5129 ปีของพวกเรา แบ็กทันที่เก้าสิ้นสุดลงราวปี ค.ศ. 830
    ดังนั้นจุดสิ้นสุดของแบ็กทันที่ 13 จึงน่าจะอยู่ที่ ค.ศ. 2012 โดยประมาณ ทีนี้ก็มาถึงประเด็นสำคัญล่ะว่า หนึ่งวงจรของชาวมายานั้นมีความสำคัญอย่างไรและนี่คือ ปฏิทินเทียบระหว่างปฏิทินของเรากับวงจรของชาวมายา รอบแบ็กทัน ปฏิทินมายา ปฏิทินเกรเกอเรียน เหตุการณ์สำคัญ
    1 1.0.0.0.0 3116-2734 BC จุดเริ่มต้น
    2 2.0.0.0.0 2734-2339 BC ยุคปิระมิด
    3 3.0.0.0.0 2339-1944 BC ยุคล้อ
    4 4.0.0.0.0 1944-1550 BC อารยธรรมอียิปต์
    5 5.0.0.0.0 1550-1155 BC อารยธรรมบ้านเชียง
    6 6.0.0.0.0 1155 - 761 BC สงครามม้า
    7 7.0.0.0.0 761-366 BC ยุคปรัชญา
    8 8.0.0.0.0 366 BC - ค.ศ. 28 ยุคเมสไซอาห์
    9 9.0.0.0.0 ค.ศ. 28-422 อาณาจักรโรมัน
    10 10.0.0.0.0 ค.ศ. 422-817 มายา
    11 11.0.0.0.0 ค.ศ. 817-1211 สงครามครูเสด
    12 12.0.0.0.0 ค.ศ. 1211-1606 ยุคล่าอาณานิคม
    13 13.0.0.0.0 ค.ศ. 1606-2012~ ยุคอุตสาหกรรมใหม่
    ... เป็นอันว่าเราเกือบครบรอบวงจรใหญ่ของชาวมายากันแล้ว โดยนับจากแบ็กทันแรกถึงแบ็กทันที่สิบสามตามเวลาปฏิทิ นของมนุษย์ยุคใหม่เราส่วนการอ่านปฏิทินตัวเลขของชาวม ายานั้นให้อ่านแบบนี้ครับ ดูตัวเลขที่เรียกลำดับกัน 5 กลุ่ม แต่ละกลุ่มนั้นจะแทนช่วงลำดับเวลา ตามนี้
    แบ็กทัน, คาทัน, ทัน, อุยนัล, คิน
    คิน = 1 วัน
    อุยนัล = 20 คิน
    ทัน = 360 คิน
    คาทัน = 20 ทัน (7200 คิน)
    แบ็กทัน = 20 คาทัน (144000 คิน)
    จากนั้นก็คูณตัวเลขในแต่ละช่วงเวลาออกมาเพื่อให้ได้จ ำนวนวันจริงๆ
    แล้วเอาจำนวนวันจริงๆไปบวกจุดอ้างอิงของเราคือ 3116 BC. เราก็จะได้วันที่ตามปฏิทินสากลของเราแบบเท่ากันทุกปร ะการ เป็นทฤษฎีที่หลุดโลกมาเลยใช่ไหมล่ะ ในข้อที่ว่าบรรพบุรุษของชาวมายาได้เดินทางจากห้วงอวก าศอันไกลโพ้นมาเยือนโลกพิภพของเรา เพื่อภารกิจในการสอดประสานระหว่างโลกมนุษย์กับแกแล็ก ซี่อื่น คุณอาจจะกำลังบริภาษอยู่ในใจว่าบ้าไปแล้วแน่ๆ มีหลักฐานหรือเปล่าว่าชาวมายาเดินทางมาจากดาวเคราะห์ ดวงอื่น พวกเขามาที่โลกของเราได้ยังไง นั่งเรือมาเรอะ?
    หลักฐานการเดินทางล่ะมีไหม เอาล่ะ มีคำอยู่สองคำที่คุณต้องทำความรู้จักเอาไว้เสีย นั่นคือคำว่า ฮูแน็บ คู กับ คูซาน ซูอัม
    คำว่าฮูแน็บ คู หมายถึงผู้ให้การเคลื่อนไหวและมาตรวัดเดียว เป็นเทพผู้ยิ่งใหญ่ที่ดำรงอยู่เหนือดวงอาทิตย์ เหนือแกนแกแล็กซี่ที่เป็นจุดกำเนิดของทุกสิ่งทุกอย่า ง ส่วนคำหลังคือ คูซาน คูอัม ถนนสู่ท้องฟ้าที่นำไปสู่แกนแกแล็กซี่หรือฮูแน็บ คู ส่วนที่ตั้งของ ฮูแน็บ คู ตามแผนที่ดาราศาสตร์ปัจจุบันคือจุดระหว่างดาวฤกษ์สอง ดวงในกลุ่มดาวเซ็นทอร์ใต้ มีระห่างจากโลกของเรา 139 ปีแสง จุดเชื่อมระหว่างโลกและดาวอันไกลโพ้นของชาวมายาดวงนี ้ก็คือ คูซาน ซูอัม นั่นเอง


    <HR class=hrcolor width="100%" SIZE=1>
    [​IMG]

    เพ่งรูปนี้กันดีๆ ปากาล โวทาน ผู้นำชาวมายาผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา
    อาณาจักรมายาคลาสสิคมีความรุ่งเรืองถึงขีดสุดในยุคกา รปกครองของเขา
    ปากาลตายในปี ค.ศ. 683 ภาพนี้คัดลอกมาจากภาพนูนแกะสลักบนฝาหินของเขาที่พบใน ค.ศ. 1952 ในอุโมงค์ฝังศพที่ตบแต่งไว้อย่างสวยงาม ในวิหารแห่งคำจารึก (Temple of inscriptions) ที่พาเลงกอในเชียพัส ประเทศเม็กซิโก นักคิดนักเขียนบางคนเรียกปากาลว่าผู้แทนแห่งแกแล็กซี ่ ผู้อาศัยคูซาน ซูอัม เพื่อไปถึง ฮูแน็บ คู หลังจากที่ภารกิจของเขาลุล่วงไปแล้ว

    ...อ่านแล้วก็ขนลุกขนพองตามใช่ไหม ทีนี้ก็มาถึงประเด็นสำคัญอีกประเด็นว่าทำไมถึงเป็นชา วมายา ไม่ใช่อียิปต์ อินคา หรือ สุเมเรียนที่เป็นอารยชนที่ยิ่งใหญ่พอๆกัน บอกได้เพียงแต่ชาวมายาก็มีอิทธิพลไม่น้อยในอารยธรรมอ ื่นๆ ยกตัวอย่างเช่น คำว่ามายาเป็นคำศาสนาฮินดูหมายถึงต้นกำเนิดของจักรวา ล

    ในภาษาสันสกฤตเป็นคำที่เกี่ยวโยงกับสภาพจิตใจ เวทย์มนตร์คาถาและแม่
    แม้แต่พระมารดาของพระพุทธองค์เองก็มีนามว่าสิริมหามา ยา ในภาษา อียิปต์คำว่ามาเย็ตหมายถึงระเบียบของจักรวาล ส่วนในตำนานกรีกดาวที่ส่องสว่างที่สุดในกลุ่มดาวลูกไ ก่และเป็นน้องคนสุดท้องก็มีนามว่ามายาขนิษฐาของเฮดีส


    ~WaSaBi~
    ::-16
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 กุมภาพันธ์ 2011
  15. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    พวกเขาเป็นใครในยุคโบราณ???.......1/3 ( Retouch )


    ลองดูคลิปวีดีโอเหล่านี้ครับ เป็นการขุดค้นพบจากหลายๆ ส่วนของโลกหลังจากเหตุการณ์คลื่นซึนะมิถล่มในหลายๆ ประเทศ แล้วจะมาเฉลยให้ครับ..... ใบ้ให้นิดครับ เค้าคือ "เนฟริม/เนฟิริม/อานาค/อานาคิน" และอีกหลายๆชื่อเรียกที่ถูกเก็บไว้ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลครับ แล้วเผ่าพันธ์ของมนุษย์เหล่านี้ก็แพร่พันธุ์ย้ายถิ่นฐาน กระจายไปทุกทวีปทั่วโลก สุดท้ายก็กลายมาเป็นตำนานยักษ์และคนยักษ์ของประเทศต่างๆ และของบ้านเรานั่นเองครับ...


    <IFRAME title="YouTube video player" height=443 src="http://www.youtube.com/embed/j-61FdeOxNg?rel=0" frameBorder=0 width=550 allowfullscreen=""></IFRAME>


    และนี่เป็นสารคดีของการขุดค้นพบโดย Discovery Channel ครับ

    <IFRAME title="YouTube video player" height=390 src="http://www.youtube.com/embed/1P42j9Xltyg?rel=0" frameBorder=0 width=480 allowfullscreen=""></IFRAME>
    <IFRAME title="YouTube video player" height=390 src="http://www.youtube.com/embed/FMFFKF6hQPE?rel=0" frameBorder=0 width=480 allowfullscreen=""></IFRAME>
    <IFRAME title="YouTube video player" height=390 src="http://www.youtube.com/embed/vBVCU795mGw?rel=0" frameBorder=0 width=480 allowfullscreen=""></IFRAME>
    <IFRAME title="YouTube video player" height=390 src="http://www.youtube.com/embed/6YDJJAu8bKc?rel=0" frameBorder=0 width=480 allowfullscreen=""></IFRAME>
    <IFRAME title="YouTube video player" height=390 src="http://www.youtube.com/embed/6WgtXlSHMSk?rel=0" frameBorder=0 width=480 allowfullscreen=""></IFRAME>
    <IFRAME title="YouTube video player" height=390 src="http://www.youtube.com/embed/iwPlNavinpA?rel=0" frameBorder=0 width=480 allowfullscreen=""></IFRAME>


    ส่วนใครที่ยังคงสงสัยในเรื่อง Reptilian Hybrid, UFO และมนุษย์ต่างดาวต่างๆ เรื่องเหล่านี้จะค่อยๆ เปิดเผยออกมาจากรัฐบาลสหรัฐและวาติกันในไม่ช้า จากปรากฏการณ์ต่างๆที่กำลังเกิดขึ้นทั่วโลกนั่นก็คือเค้ากำลังจะมาถึงเรื่องนี้กันแล้วครับ แต่จะมีอะไรที่ซับซ้อน ซ่อนเงื่อนและให้เป็นประโยชน์กับผู้ที่จะออกมาเปิดเผยในเรื่องนี้ในที่สุด


    ซึ่งจริงๆแล้วเรื่องราวเหล่านี้ก็ถูกบันทึกไว้ในหลายๆส่วนของพระคัมภีร์ไบเบิ้ล แต่ค่อนข้างยากต่อการเข้าในจากการอ่านเพียงอย่างเดียว จะต่างจากในประเทศตะวันตกซึ่งเป็นที่มา โดยจะมีการวิเคราะห์และตีความเนื้อหาของพระคัมภีร์ที่ลึกซึ้งกว่า มากกว่าการอ่านเพียงอย่างเดียวครับ

    ลิ๊งค์สำหรับเฟสบุ๊ค :
    The Gold War Phase II.<WBR></WBR>.<WBR></WBR>.<WBR></WBR>by Jimmy Siri บน Facebook
    http://www.facebook.com/<WBR></WBR>home.php?sk=group_17040824<WBR></WBR>6326805&ap=1
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=4><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>
    </TD><TD class=date vAlign=center align=left>
    </TD><TD class=date vAlign=center align=left>
    </TD><TD class=date vAlign=center align=left>
    </TD><TD class=date vAlign=center align=left>
    </TD><TD class=date vAlign=center align=left>
    </TD><TD class=date vAlign=center align=left>
    </TD><TD class=date vAlign=center align=left>
    </TD><TD class=date vAlign=center align=left>
    </TD><TD class=date vAlign=center align=left>
    </TD><TD class=date vAlign=center align=left>
    </TD><TD class=date vAlign=center align=left>
    </TD><TD class=date vAlign=center align=left>
    </TD><TD class=date vAlign=center align=left>
    </TD><TD class=date vAlign=center align=left>
    </TD><TD class=date vAlign=center align=left>
    </TD><TD class=date vAlign=center align=left>
    </TD><TD class=date vAlign=center align=left>
    </TD><TD class=date vAlign=center align=left>
    </TD><TD class=date vAlign=center align=left>
    </TD><TD class=date vAlign=center align=left>
    </TD><TD class=date vAlign=center align=left>
    </TD><TD class=date vAlign=center align=left>
    </TD><TD class=date vAlign=center align=left>
    </TD><TD class=date vAlign=center align=left>
    </TD><TD class=date vAlign=center align=left>
    </TD><TD class=date vAlign=center align=left>
    </TD><TD class=date vAlign=center align=left>
    </TD><TD class=date vAlign=center align=left>
    </TD><TD class=date vAlign=center align=left>
    </TD><TD class=date vAlign=center align=left>
    </TD><TD class=date vAlign=center align=left>
    </TD><TD class=date vAlign=center align=left>
    </TD><TD class=date vAlign=center align=left>
    </TD><TD class=date vAlign=center align=left>
    </TD><TD class=date vAlign=center align=left>
    </TD><TD class=date vAlign=center align=left>
    </TD><TD class=date vAlign=center align=left>
    </TD><TD class=date vAlign=center align=left>
    </TD><TD class=date vAlign=center align=left>
    </TD><TD class=date vAlign=center align=left>
    </TD><TD class=date vAlign=center align=left>
    </TD><TD class=date vAlign=center align=left>
    </TD><TD class=date vAlign=center align=left>
    </TD><TD class=date vAlign=center align=left>
    </TD><TD class=date vAlign=center align=left>
    </TD><TD class=date vAlign=center align=left>
    </TD><TD class=date vAlign=center align=left>
    </TD><TD class=date vAlign=center align=left>
    </TD><TD class=date vAlign=center align=left>
    </TD><TD class=date vAlign=center align=left>
    </TD><TD class=date vAlign=center align=left>
    </TD><TD class=date vAlign=center align=left>
    </TD><TD class=date vAlign=center align=left>
    </TD><TD class=date vAlign=center align=left>
    </TD><TD class=date vAlign=center align=left>
    </TD><TD class=date vAlign=center align=left>
    </TD><TD class=date vAlign=center align=left>
    </TD><TD class=date vAlign=center align=left>
    </TD><TD class=date vAlign=center align=left>
    </TD><TD class=date vAlign=center align=left>
    </TD><TD class=date vAlign=center align=left>
    </TD><TD class=date vAlign=center align=left>
    </TD><TD class=date vAlign=center align=left>
    </TD><TD class=date vAlign=center align=left>
    </TD><TD class=date vAlign=center align=left>
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​


    โพสต์โดย What's going on in America
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 กุมภาพันธ์ 2011
  16. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    วันพฤหัสบดีที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

    พวกเขาเป็นใครในยุคโบราณ???.......2/3 ( Retouch )


    เรื่องคนยักษ์นี้ผมจะเขียนขนานกันไปสองด้านครับทั้งด้านวิทยาศาสตร์และทางประวัติศาสตร์ แต่ในการก่อกำเนิดของเผ่าพันธุ์ยักษ์นี้วิทยาศาสตร์ไม่มีคำอธิบายให้ครับว่าเป็นใครมาจากไหน มีแต่หลักฐานการค้นพบโครงกระดูกโบราณในหลายวัฒนธรรมทั่วโลกครับ แต่ในทางประวัติศาสตร์ หรือ History มีครับ เยอะ ยาว ต่อเนื่องและเป็นเหตุเป็นผล จนปฏิเสธได้ยากนอกจากคุณจะบอกแค่ว่า "ไม่เชื่อ" แม้ว่าหลักฐานจะแน่นหนาขนาดไหนก็ตาม ไม่แปลกครับเพราะความเป็น "มนุษย์" กับ "กรอบความคิด" ที่เราถูกปลูกฝังมาในยุค "เทคโนโลยี และ วิทยาศาสตร์" ครองโลกไงครับ

    อย่างที่เคยเล่าให้ฟังครับ ต้องเข้าใจคำว่า History ก่อน คือ His+Story แล้ว His ในที่นี้ก็คือพระผู้สร้างหรือฝรั่งจะเรียกว่า God ครับ สรุปว่า History ก็คือเรื่องราวของพระผู้สร้างหรือเรื่องราวของ God นั่นเอง ที่นี้เรามาดูคำแปลในภาษาไทยบ้างครับ "ประวัติศาสตร์" ก็คือ ประวัติ+ศาสตร์ คำว่าศาสตร์ความหมายก็คือวิชาความรู้ เพราะฉะนั้นประวัติศาสตร์ก็คือความรู้ที่มาจากประวัติ แล้วประวัติของใครล่ะครับ ก็คือประวัติของพระผู้สร้างหรือ God นั่นเองครับ [/FONT]

    เรื่องราวทั้งหมดนี้เกิดก่อนการก่อกำเนิดของทุกศาสนา เพราะฉะนั้นเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับศาสนาครับ เพราะยังไม่มีเลยในตอนนั้น ก็คือเรากำลังจะย้อนกลับไปก่อนยุคที่จะมีคำว่า Religion หรือศาสนาครับ จะว่าไปแล้วความเชื่อแรกๆ ของมนุษยชาตินอกจากองค์พระผู้สร้างหรือ God หรือพระเจ้าแล้วก็คือการบูชาดวงอาทิตย์หรือดวงจันทร์ จนกลายมาเป็นเทศกาลไหว้ "พระ" จันทร์นั่นไงครับ ยกกันให้เป็นพระไปเลย
    กลับไปที่เรื่องราวของพระเจ้าหรือ His+Story หลักฐานอ้างอิงที่ชัดเจนที่สุดก็คือไบเบิลนี่เองครับ การอ่านไบเบิลไม่จำเป็นว่าคุณจะต้องเป็นคริสเตียน หรือถือศาสนาคริสต์เท่านั้นครับ ไบเบิ้ลจริงๆ ก็คือ "บันทึกประวัติศาสตร์" ที่ดีที่สุดเล่มหนึ่งเท่าที่มนุษยชาติเคยมีมา เป็นหนังสือที่มีการพิมพ์ซ้ำมากที่สุดตั้งแต่มีตัวหนังสือมาครับ อาจจะมากกว่า 6,000 ล้านเล่มเข้าไปแล้ว


    เรื่องราวของคนยักษ์และเผ่าพันธุ์พิศดารเหล่านี้ถูกบรรจุไว้ในไบเบิล หลายบทหลายตอนครับ แต่จะเป็นช่วง ไม่ประติดประต่อกัน ตรงนี้ก็เป็นปัญหา แต่ตรงนี้ก็คือสเน่ห์ของไบเบิลครับ คือ "ถ้าไม่มีความตั้งใจหรือทุ่มเทที่จะค้นหาคุณจะไม่มีวันเจอ" แล้วสิ่งที่ดีที่สุดหลายๆ สิ่งในชีวิตของเราก็ต้องการค้นหาและค้นพบครับ แล้ววันใดที่คุณเจอคุณจะเจอ "Freedom" หรืออิสระภาพครับ สำหรับผมเจอไปมากพอสมควรแล้วครับ แล้วสิ่งที่ผมเจอก็ให้อิสระภาพกับผมจริงๆ
    ในใบเบิลซ่อนอะไรไว้เยอะมากๆครับ ต้องใช้ทั้งเวลาและความตั้งใจถ้าคุณจะตีความโค๊ดหรือสัญลักษณ์เหล่านั้นให้แตก นั่นก็เพราะข้อความเหล่านั้นถูกเขียนขึ้นเมื่อเกือบ 2,000 ปีมาแล้ว ผู้บันทึกจึงเปรียบเทียบกับสิ่งที่เค้าเห็นหรือมีในยุคของเค้าเท่านั้น เช่นการเปรียบเทียบ รถถังกับสัตว์ร้ายที่มีไฟพ่นออกมาจากปากเพื่อฆ่าผู้คน เฮลิคอปเตอร์กับแมลงป่องยักษ์ที่บินได้และมีพิษที่หางเป็นต้น โดยเฉพาะบทสุดท้ายครับเรื่อง "กาลอวสาน" หรือที่เรามักเรียกกันว่า "ยุคสุดท้าย" ถึงตีความกันได้แต่ก็ต้องรอการพิสูจน์ครับ แต่ผมจะบอกคุณว่า "เวลาของการพิสูจน์ได้มาถึงแล้ว"
    แต่อีกปัญหานึงคือไบเบิลก็ไม่สมบูรณ์ครับทั้งคำแปลภาษาไทยเอง และการโดนตัด โดนตอน ฆ่าตัดตอนบางส่วนไปเลยก็มีเพื่อ "ปิดบัง" ครับ เพื่อซ่อนอะไรบางอย่างไม่ให้มนุษยชาติได้รู้ความจริง แต่ก็ต้องถือว่ามาได้เต็มที่แล้วส่วนที่เหลือคุณต้องค้นหาครับ เพราะฉะนั้นถ้าคุณอ่านไบเบิลแล้วคาใจ สงสัย หรือทำไมตัดไปเลยล่ะ แล้วส่วนต่อน่ะมันไม่สำคัญเหรอ ไม่แปลกเลยครับ ใครที่บอกว่าเข้าใจหมดเลยนี่สิแปลกครับ เพราะฉะนั้นเรื่องต่อไปนี้คือการนำวิทยาศาสตร์ ประวัติศาสตร์(ไบเบิล) ทั้งที่เปิดเผยและปิดบัง มาเชื่อมต่อกัน ทั้งหมดอาจจะคนละแนวทางกัน แต่สุดท้ายคุณจะเห็นว่าถ้าเราเข้าถึงแล้วมันคือเรื่องเดียวกันแล้วที่เค้าปิดบังเราไว้มันจะถูกเปิดเผยครับ

    อีกจุดนึงที่สำคัญคือถ้าใครที่อ่านได้ทั้งอังกฤษทั้งไทย คุณจะได้เปรียบ และผมแนะนำให้เอาภาษาอังกฤษเป็นหลักครับ เพราะภาษาไทยแปลกำกลวม ผิดก็เยอะ ต้องเลือกให้ถูกเวอร์ชั่นครับคือ "ฉบับคิงส์เจมส์" หรือ KJV ถึงจะเป็น นิวคิงส์เจมส์ก็ไม่ควรครับ ยิ่งเป็นอะไรที่ใหม่กว่านั้นเช่นฉบับนานาชาติหรือ International Version แล้วหลีกเลี่ยงเถอะครับ หรือจะใช้วิธีการอ่านภาคภาษาอังกฤษควบคู่กันไป คือจุดไหนที่สงสัยเชคกับต้นฉบับภาษาอังกฤษทันที แล้วคุณจะเข้าใจสิ่งที่ผมกำลังบอกครับ ว่าในหลายๆจุดมันเป็นคนละเรื่องกันเลย

    ไม่เช่นนั้นคุณหลงทางครับ แล้วเสียเวลาอีกต่างหาก นั่นก็เพราะมันจะเป็นการยากขึ้นเพื่อที่จะเข้าใจพระวัจนะเหล่านั้นที่ผู้บันทึกพยายามสื่อ ผมอยากแนะนำให้อ่านไบเบิลครับ ไม่ได้อ่านเพื่อเปลี่ยนศาสนาครับ ไม่ใช่ประเด็น อ่านบทแรกที่เรียกว่าปฐมการทั้งหมดเพื่อรู้การกำเนิดของสิ่งต่าง ชาติ ประเทศต่างๆ ภาษาต่างๆ อียิปต์มาจากไหน โรมันคือใคร(เอโดม)

    และบทสุดท้ายหรือวิวรณ์คือการสิ้นสุดครับ คือหนังสือที่เขียนขึ้นโดย "ท่านยอห์น" หรือก็คือผู้ติดตามคนหนึ่งของพระเยซูในช่วงก่อนการสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน โดยพระเยซูเปิดเผยเรื่องราวต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นยุคหนึ่งในอนาคต หรืออีก 2,000 ปี ต่อมา ซึ่งจากสถานการณ์ของโลกและสิ่งที่ปรากฏอยู่ ณ ปัจจุบัน ก็ทำให้หลายๆ คนเชื่อว่า เรากำลังอยู่ในยุคนั้นแล้ว นั่นก็คือ การสิ้นสุดลงของอีกยุคหนึ่งของมนุษยชาติ ที่จะต้องมีการล้างไพ่กันใหม่อีกครั้ง ก่อนที่โลกยุคใหม่จะเริ่มต้นขึ้น
    ถ้าคุณสนใจเรื่องนอสตราดามุสต้องอ่านวิวรณ์ครับ
    ถ้าคุณสนใจหรืออยากรู้เพิ่มเติมเรื่อง 2012 ต้องอ่านวิวรณ์ครับ
    ถ้าคุณอยากรู้ว่าโลกกลมๆใบนี้จะไปยังไงต่อต้องอ่านวิวรณ์ครับ

    แต่ปัญหาหนึ่งก็คือคุณต้องตีความและต้องแก้ปริศนา "สัญลักษณ์" ต่างๆ ออกครับ แล้วผมจะค่อยๆเขียนไปเรื่อยๆครับว่า ใครป็นใครที่ซ่อนอยู่ในนั้นแล้วจะตีความเหล่านั้นอย่างไร หรือจะหาหนังสือวิเคราะห์หรือตีความไบเบิ้ล หรือที่เรียกว่า Bible Code มาอ่านประกอบ ก็น่าจะดีครับ จะทำให้ง่ายขึ้น

    ซึ่งเนื้อหาในบทสุดท้ายของหนังสือไบเบิ้ลที่ชื่อว่า วิวรณ์นี่แหละครับ ก็คือสิ่งที่กำลังกำหนดทิศทางของโลกใบนี้ในปัจจุบันและอนาคตอันใกล้นี้ ยิ่งคุณเข้าใจเนื้อหามากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งเข้าใจว่า

    1)อนาคตสหรัฐอเมริกาจะเป็นอย่างไรต่อไป
    2)ปัญหาของสหภาพยุโรปจะไปจบลงที่ตรงไหน
    3)จะเกิดภัยพิบัติอะไรขึ้นกับมนุษย์ในยุคนี้บ้าง
    4)สงครามโลกครั้งที่ 3 จะเกิดขึ้นจริงหรือไม่
    5)ภาพของสงครามจะเป็นอย่างไร ใครคือคู่สงครามเหล่านั้น ทั้งสหรัฐ จีน รัสเซีย อังกฤษ กลุ่มสหภาพยุโรป ชาติอาหรับ ใครจะแพ้ใครจะชนะในที่สุด
    6)เอเลี่ยนหรือสิ่งมีชีวิตที่เราเชื่อว่ามาจากต่างดาวมีจริงหรือไม่ พวกเค้าเป็นใคร มาทำไม แล้วใครจะใช้ประโยชน์จากเรื่องนี้
    7)ปรากฏการณ์ประหลาดต่างทั้งบนพื้นโลก และบนท้องฟ้าคืออะไร
    8)มนุษย์จะถูกทำลายจำนวนมหาศาลจริงหรือไม่ และจำนวนเท่าไหร่
    9)การทำลายล้างจะกินเวลานานเท่าไหร่ จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง โดยเฉพาะในเรื่องภัยพิบัติใหญ่ๆ ที่จะทำลายชีวิตผู้คนอย่างมหาศาลอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์โลก
    10)ศาสนาใหญ่จะถูกทำลายลงจริงหรือไม่ อย่างไร
    11)โลกยุคใหม่จะเป็นอย่างไร
    12)ที่สำคัญที่สุคคือ มนุษย์ "เพียงบางส่วน" จะก้าวผ่านสิ่งเหล่านี้ไปได้อย่างไร ความเชื่อต่างๆที่มีบนโลกใบนี้ จะช่วยให้เราผ่านพ้นสิ่งเหล่านี้ไปได้จริงหรือไม่
    13)ณ จุดสุดท้ายของมนุษย์ การพิพากษาคืออะไร ใครที่ต้องถูกพิพากษาบ้าง และใครคือผู้ที่จะอยู่รอด

    ถ้ายังคาใจหรือไม่เชื่อ อย่าปล่อยไว้ "ต้องพิสูจน์"...ต่อตอนหน้าครับ


    ลิ๊งค์สำหรับเฟสบุ๊ค :
    The Gold War Phase II.<WBR></WBR>.<WBR></WBR>.<WBR></WBR>by Jimmy Siri บน Facebook
    http://www.facebook.com/<WBR></WBR>home.php?sk=group_17040824<WBR></WBR>6326805&ap=1[/FONT]



    โพสต์โดย What's going on in America

    วันศุกร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

    พวกเขาเป็นใครในยุคโบราณ???.......3/3 ( Retouch )


    โดยหลักฐานทางประวัติศาสตร์จากการขุดค้นพบ พระคัมภีร์ไบเบิล และเพิ่มเติมในส่วนที่ขาดหายจาก Dead Sea Scroll หรือม้วนหนังสือโบราณที่มีการค้นพบเพิ่มเติม ในประวัติศาสตร์ช่วงหลังของมนุษย์ เช่น The Book of Enoch หรือพระธรรมเอโนค ซึ่งจะเป็นเนื้อหาหลักของเรื่องนี้โดยตรง และหนังสือเล่มนี้แหละครับคือ รอยต่อหรือ "จิ๊กซอที่ขาดหายไป" ระหว่าง หนังสือเล่มแรกในพระคัมภีร์คือ "ปฐมกาล" กับหนังสือ "อพยพ" ซึ่งก็คือเล่มที่ 2 เรื่องเผ่าพันธุ์คนยักษ์พอจะสรุปได้พอสังเขปดังนี้ครับ

    หลังจากที่พระเจ้าสร้างสรรพสิ่งต่างๆแล้ว พระองค์ก็สร้าง Angel ( หรือทูตสวรรค์ หรือคนไทยจะเรียกว่าเทวดา ) ไว้เป็นฟันเฟืองหรือมือทำงานไว้เพื่อตรวจตรา ( The Watcher )และควบคุมการทำงานของระบบต่างๆ ของโลกให้เป็นไปตามที่พระองค์ต้องการ โดย Angel เหล่านี้จะมีบุคคลิก ลักษณะและความสามารถที่แตกต่างกันไปครับ เช่นบางตนชำนาญในเรื่องการสงคราม ซึ่งได้กลายมาเป็นตำนานเทพแห่งสงครามของกรีกในสมัยนั้น บางตนจะชำนาญในเรื่องดิน ฟ้า อากาศ บางตนชำนาญในเรื่องเทคโนโลยีการสร้างสิ่งต่างๆ แม้กระทั่งอาวุธที่ใช้ในการสงครามครับ

    และอีกหลายๆ ตนในเรื่องการใช้แร่ธาตุ การตัดแต่งพันธุกรรม ความสวยงามต่างๆ เวทมนต์คาถา การทำยาและสมุนไพรต่างๆ จิตวิทยา ดาราศาสตร์ ศิลปศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ก็คือฟันเฟืองหรือกลไกการทำงานทุกอย่างที่เราเห็นในโลกมนุษย์ใบนี้แหละครับ แต่องค์ความรู้เหล่านี้ไม่มีในโลกมนุษย์เรา หรือไม่ได้มีไว้สำหรับมนุษย์ที่ทรงสร้างไว้แล้วนั่นก็เพราะทุกอย่างในโลกสมบูรณ์แบบในตัวของมันเองตามการทรงสร้างแล้วนั่นเอง และโดยวิทยาศาตร์ซึ่งปฏิเสธสิ่งเหล่านี้อย่างสิ้นเชิงเพราะหาคำอธิบายไม่ได้ทั้งหมด จึงเหมารวมทุกอย่างแล้วเรียกสิ่งนี้ว่า "ธรรมชาติ" เพราะถ้าไม่เรียกสิ่งเหล่านี้ว่าเป็นธรรมชาติ หรือสร้างโดยธรรมชาติหรือเป็นเรื่องของวิวัฒนาการ[/FONT]

    (Evolution)ขึ้นมาเอง นั่นก็คือต้องยอมรับการมีอยู่จริงของพระเจ้าหรือพระผู้สร้างสรรพสิ่งต่างๆ หรือไม่แล้ววิทยาศาสตร์จะครองโลกได้อย่างไร

    ดังนั้น "วิทยาศาสตร์" ก็คือ ความพยายามศึกษาและถอดรหัสระบบการทำงานเหล่านี้ที่พระเจ้าสร้างขึ้น ด้วยการควบคุมกลไกเหล่านั้น แล้วต่อยอดออกมากลายเป็นสิ่งใหม่ที่เรียกว่า "เทคโนโลยี" นั่นเอง นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมองค์ความรู้เหล่านี้ไม่ออกมาทีเดียวพร้อมกันทั้งหมด นั่นก็เพราะมีเพียงไม่กี่เปอร์เซ็นเท่านั้นที่นักวิทยาศาสตร์ไปถึงหรือยังอธิบายไม่ได้ทั้งหมดไงครับ จึงก่อให้เกิดการค้นคว้า ทดลอง วิจัย พัฒนา สิ่งที่เค้าเรียกว่าธรรมชาติ เช่นการศึกษาแมลง พืช สัตว์ หรือร่างกายของมนุษย์ เพื่อให้เข้าใจระบบการทำงานเหล่านั้น หรือก็คือพยายามทำความเข้าใจ หรือค้นหากุญแจของระบบ ที่จะอธิบายและควบคุมสิ่งต่างๆ ที่มีอยู่บนโลกอยู่ก่อนแล้ว นำมาใช้ประโยชน์ในด้านต่างๆ ในที่สุด

    เพราะฉะนั้น อาจจะเป็นความเข้าใจผิดที่ว่า วิทยาศาสตร์และนักวิทยาศาสตร์คือผู้สร้างสิ่งต่างๆ แต่น่าจะเป็นว่า วิทยาศาสตร์และนักวิทยาศาสตร์คือผู้ที่พยายามทำความเข้าใจ อธิบาย ควบคุม ดัดแปลง และพัฒนาสิ่งต่างๆ ที่มีอยู่ก่อนแล้วมากกว่าครับ ข้อพิสูจน์ก็คือ จวบจนกระทั่งยุคนี้ ก็ยังมีสิ่งสารพัดที่ยังไม่มีคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ หรือแม้แต่จะเข้าใจปรากฏการณ์เหล่านั้น เช่นโรคบางโรคที่ไม่มีทางรักษา เรื่องของดินฟ้าอากาศต่างๆ ฤดูกาล สรรพชีวิตหรือ Life Form จำนวนมากมายมหาศาล ที่อยู่นอกเหนือความเข้าใจของ วิทยาศาสตร์และนักวิทยาศาสตร์ หรือนอกเหนือการควบคุมของมนุษย์

    แล้ว Angel ทั้งหมดมีเป็นพันเป็นหมื่นครับ ที่พระเจ้าทรงสร้างและตั้งท่านไว้เพื่องานของพระองค์ ซึ่งท่านเหล่านี้ก็เรียกได้ว่าเป็นลูกของพระเจ้าหรือ Sons of God ดังที่คำคำนี้ปรากฏอยู่ในพระคัมภีร์นั่นเอง และกลายเป็นตำนานเทวดา นางฟ้า เทพเจ้า เทพผู้ครองต่างๆ ตามความเชื่อของมนุษย์ในอริยธรรมต่อๆ มา
    Angel ที่พระเจ้าสร้างขึ้นจะแบ่งเป็นระดับชั้นอย่างง่ายได้ 2 ระดับคือ[/COLOR]

    Seraphim เซราฟริม คือ Angel ชั้นสูงสุดเป็นมือทำงานที่ใกล้ชิดกับพระเจ้าที่สุด
    According to Christian angelology, the seraphim are the highest order of angels, serving as the caretakers of God's throne and continuously singing his praises (seraphim, שרפים is the plural of seraph, שרפ). Prior to his fall from grace, Lucifer was counted among the seraphim, outshining all others. Seraphim are often depicted as 6 wings radiating from a center either concealing a body or without a body.

    Cherubim เชรูบิม คือ Angel ที่ทำงานเฉพาะด้านหรือเชี่ยวชาญในด้านใดด้านหนึ่ง
    Cherubim are mentioned several times in the Tanakh, or Old Testament, and are alluded to in the [/FONT]Book of Revelation. They are described as angelic creatures and in medieval Catholic theology are considered to be a certain rank of angels - one of the highest ranks, along with seraphim.

    Cherubims is an order of angels among angels, archangels, principalities, powers, virtues, dominions, thrones, cherubim, and seraphim.

    Descriptions in the Bible vary, but in general all describe cherubim as winged creatures combining human and animal features. In the book of Genesis cherubim are described as guarding the way to the Tree of Life armed with flaming swords (Gen 3:24). The book of Exodus states that cherubim are depicted in the Israelites' tabernacle. Cherubim are said to have been embroidered on the curtains of the tabernacle (Ex 26:1), and two sculpted cherubim are described as standing on the cover of the Ark of the covenant facing each other (Ex 25:18). The Ark of the covenant stood in the Holy of Holies, where the glory of God was said to reside; for this reason God is referred to in the Tanach as "God who dwells between the cherubim". Cherub (כרוב) is aHebrew word; its plural is cherubim (כרובים). In English it has become a synonym for angel. Because some English speakers are unfamiliar with Hebrew plural formation, the word cherubims is sometimes used as a plural, for example in the King James Bible. The etymology of the word cherub is very doubtful. Some scholars connect it with the Babylonian word karabu, meaning to be propitious or blessed. Others connect it with kirabu, the name of an Assyrian winged-bull god. Some scholars have also suggested tentatively that the Greek word gryphon might be derived from cherub
    เพราะฉะนั้นท่านจึงส่ง Angel เหล่านี้ลงมายังโลกมนุษย์เพื่อตรวจตราดูแลในเรื่องต่างครับ หนึ่งในนั้นคือ เซมยาซ่า Semyaza ( Son of God ) ซึ่งเปรียบเสมือนมือขวาของพระเจ้านั่นเอง และโดยตำแหน่งเค้าก็คือ " The Watcher " หรือจะแปลได้ว่าคือผู้ตรวจตรานั่นเองครับ แต่ในที่สุดก็มี Angel ถึง 200 ตนที่คิดก่อการกบฎขึ้นโดยการนำของ Semyaza นั่นเอง โดยเนื้อหาในตอนนี้บางส่วนถูกบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ แต่โดยส่วนใหญ่แล้วจะอยู่ในหนังสือเอโนค ( The Book of Enoch )

    เราลองมาดูใน The Great Seal หรือตราสัญลักษณ์ที่อยู่บนธนบัตรดอลล่ากันครับ และดวงตาที่อยู่บนยอดปิระมิดหรือที่เรียกกันว่า "All Seeing Eye" หรือดวงตาที่กำลังจ้องมองดูเราอยู่ ซึ่งความหมายที่แท้จริงที่น้อยคนจะรู้ก็คือสื่อถึง "The Watcher" หรือทูตสวรรค์ที่พระเจ้าส่งลงมา[/FONT]ตรวจตราโลกใบนี้นั่นเองครับ.......ชัดเจนนะครับแต่ทูตสวรรค์เหล่านี้ลงมาทำอะไร คำตอบอยู่ข้างล่างสุดคือ "NOVUS ORDO SECLORUM" ซึ่งเป็นภาษละตินแปลความหมายได้คือ

    NOVUS = NEW
    ORDO = ORDER
    SECLORUM = GLOBAL
    ซึ่งก็คือ New Global Order หรือ New World Order นั่นเอง

    [​IMG]

    ย้อนกลับไปในสมัยของอาณาจักรอิยิปต์ ซึ่งก็มี RA ครับ หรือเทพเจ้าราห์ เป็นเทพสูงสุด ซึ่งก็ยังคงมีรากฐานมาจาก ​
    "The Watcher" หรือทูตสวรรค์ที่พระเจ้าส่งลงมาตรวจตราโลกใบนี้อีกนั่นเองครับ.......ชัดเจนนะครับ


    [​IMG]

    การปฏิวัติเกิดขึ้นโดยมีหลักคิดที่ว่า The Watcher หรือพวกเค้าแต่ละตนก็มีความสามารถและสิทธิอำนาจมากมายขนาดนั้น ทำไมพวกเค้าเป็นได้แค่นั่นหรือ คือแค่ทำตามคำสั่งและคอยทำงานที่ได้รับมอบหมายเท่านั้นหรือ ถ้าเค้ารวมตัวกันแล้วเค้าก็เป็นเช่นพระเจ้าได้ ด้วยเหตุนี้เองจึงนำไปสู่ "การปฏิวัติ" ครั้งแรกสุดหลังการทรงสร้าง

    และต่อไปนี้คือรายชื่อของ Angel ทั้ง 200 ตนที่ทำการปฏิวัติในครั้งนั้น ให้สังเกตุว่าในนี้จะมี Semyaza, Lucifer, Baal, Phoenix และ Satan รวมอยู่ด้วยครับ แล้วด้านหลังชื่อจะเป็นหน้าที่หรือความสามารถที่ท่านทั้งหลายได้รับการทรงสร้างหรือได้รับมอบหมายไว้จากพระผู้สร้าง

    Abaddon - fallen angel of death whose name means "to destroy." ( ที่มาของเทพแห่งการทำลายล้าง ศิวะเทพ และปรากฏในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล วิวรณ์ 9:11 )
    Abezethibou - one-winged Red Sea fallen angel.
    Allocen - fallen angel who is a duke in hell.
    Amduscias - name of the fallen angel who appears as a unicorn. ( ที่มาของม้ายูนิคอห์น ในเทพนิยายต่างๆ )
    Amon - fallen angel who is a strong marquis over 40 legions.
    Amy - name of a fallen angel who is a president in hell.
    Andras - fallen angel marquis and appears raven-headed.
    Andrealphus - fallen angel who can transform humans into birds.
    Andromalius - fallen angel who appears as a man holding a serpent.
    Apollyon - fallen angel of death; same as Abaddon. (ที่มาของชื่ออพอลโล่ที่ปรากฏตามที่ต่างๆ เทพอพอลโล่ ยานอพอลโล่ และในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล วิวรณ์ 9:11 )
    Armaros - fallen angel who teaches the "resolving of enchantments."
    Asmoday - fallen angel king with three heads: a bull, a ram, and a man.
    Asmodeus - one of the most evil of fallen angels, being an archdemon.
    Astaroth - fallen angel who is a grand duke in hell.
    Azael - evil, fallen angel who cohabited with women.
    Azazel - fallen angel whose name means "God strengthens."
    Azza - fallen angel whose name means "the strong."Baal - fallen angel whose name means "the lord." (พระบาอัลที่กล่าวถึงอย่างมากมายในพระคัมภีร์)
    Balam - fallen angel who looks like Asmoday with a serpent tail.
    Balberith - fallen angel who is a grand pontiff in hell.
    Baraqijal - fallen angel who teaches astrology.
    Barbatos - fallen angel who is a great count, earl and duke of hell.
    Bathin - pale horse riding fallen angel. ( อัศวินผู้ขี่ม้าตัวสุดท้ายหรือตัวที่ 4 จากม้า 4 ตัวในหนังสือวิวรณ์ )
    Beelzebub - fallen angel known as the "prince of demons."
    Behemoth - fallen angel who is the "demon of the deep."
    Beleth - fallen angel who is a terrible king over 85 legions.
    Belial - deceptively beautiful fallen angel whose name means "without worth."
    Belphegor - fallen angel whose name means "lord of opening."
    Berith - fallen angel...
    Bernael - fallen angel of darkness and evil.
    Bifrons - fallen angel that appears monstrous and teaches mathematical arts.
    Botis - fallen angel who appears as a viper.
    Buer - fallen angel who teaches philosophy, logic and ethics.
    Bune - fallen angel who appears as a dragon with three heads.
    Caim - fallen angel who appears as a thrush or man with a sword.
    Dantanian - fallen angel who appears as a man with many faces.
    Decarabia - fallen angel who appears as a star in a pentacle.
    Eligor - fallen angel who appears as a good knight with lance.
    Enepsigos - fallen angel who appears in the shape of woman.
    Flauros - fallen angel who appears as a leopard.
    Focalor - fallen angel who appears as a man with griffin wings.
    Forcas - fallen angel who teaches logic and ethics.
    Forneus - fallen angel marquis who appears as a sea monster.
    Furcas - fallen angel who appears as a cruel man with long beard.
    Furfur - fallen angel who appears as a hart with a fiery tail.
    Gaap - fallen angel who appears as a man with bat wings.
    Gadreel - fallen angel whose name means "God is my helper."
    Gamygyn - fallen angel who appears as a small horse.
    Glasyalabolas - fallen angel who appears as a winged dog.
    Gomory - fallen angel who appears as a camel riding woman of beauty.
    Gusion - fallen angel who can discern the past, present or future.
    Hagenti - fallen angel who appears as a bull with griffin wings.
    Halpas - fallen angel who appears as a stork.
    Imamiah - fallen angel who governs voyages.
    Ipos - fallen angel who appears as an angel with a lion's head.
    Kokabiel - fallen angel whose name means "star of God."
    Kunopegos - fallen angel who appears as a sea horse and sinks ships.
    Lahash - fallen angel who interferes with divine will.
    Lerajie - fallen angel who appears as an archer in green.
    Leviathon - fallen angel associated with the deep seas. ( อสูรร้ายลิเวียธาน ที่กล่าวถึงในพระคัมภีร์ )
    Lillith - fallen female angel who searches for children to kidnap or kill. ( ภรรยาคนแรกของอาดัม ที่กลายเป็นอสูรร้ายในภายหลัง )
    Lix Tetrax - fallen angel of the wind.
    Lucifer - actually a Babylonian king whose name means "bearer of light." ( ลูซิเฟอร์ก็เป็นหนึ่งในกลุ่มที่ก่อการในครั้งนั้น )
    Malpas - fallen angel who appears as a crow.
    Marbas - fallen angel who appears as a lion.
    Marchosias - fallen angel who appears as a she-wolf with griffin wings.
    Mastema - fallen angel whose name means "hostility."
    Mephistopheles - fallen angel; name means "he who loves not the light."
    Morax - fallen angel who appears as a bull.
    Naamah - fallen angel of prostitution whose name means "pleasing."
    Naberius - fallen angel who appears as a crowing cock.
    Obyzouth - fallen angel femal who kills newborns and cause still-births.
    Onoskelis - female fallen angel who lives in caves and perverts men.
    Orias - fallen angel who appears as a lion with serpent's tail.
    Ornias - fallen angel who is annoying and can shape-shift.
    Orobas - fallen angel who appears as a horse.
    Ose - fallen angel who appears as a leopard and is a president in hell.
    Paimon - fallen angel who appears as a crowned man on a camel.
    Penemuel - fallen angel who corrupts mankind through writing.
    Pharzuph - fallen angel of fornication and lust.
    Phoenix - fallen angel who appears as a phoenix bird.
    Procel - fallen angel who can speak of hidden and secret things.
    Purah - fallen angel of forgetfulness and the conjuring of the dead.
    Purson - fallen angel who appears as a lion-headed man on a bear.
    Qemuel - fallen angel who was destroyed by God.
    Rahab - fallen angel of pride whose name means "violence."
    Raum - fallen angel who appears as a crow.
    Ronobe - fallen angel who is a monster who teaches rhetoric and art.
    Ruax - headache fallen angel.
    Sabnack - fallen angel who appears as a soldier with lion's head.
    Saleos - fallen angel who appears as a soldier on a crocodile.
    Samael - evil fallen angel whose name means "the blind God."
    Satan - christian fallen angel whose name means "adversary." ( ที่มาของซาตาน )
    Seere - fallen angel who appears as a man on a winged horse.
    Semyaza - fallen angel leader and one of the Sons of God. ( เซมยาซ่า ผู้นำการก่อกฏ )
    Shax - fallen angel who appears as a stork; stealer of money.
    Solas - fallen angel who appears as a raven and teaches astronomy.
    Sorath - fallen angel to some whose number is 666.
    Sytry - fallen angel; appears as a man with griffin wings and leopard head.
    Uzza - fallen angel whose name means "strength."
    Valac - fallen angel who appears as a small boy with wings on a dragon.
    Valefor - fallen angel who appears as a many-headed lion.
    Vapula - fallen angel who is skilled in handicrafts, science and philosophy.
    Vassago - fallen angel who discovers all things lost or hidden.
    Vepar - fallen angel who appears as a mermaid. ( ทีมาของเงือก )
    Vine - fallen angel and appears as a lion sitting on a black horse.
    Vual - fallen angel who appears as a huge camel.
    Wormwood - fallen angel who brings plagues upon the Earth.
    Xaphan - fallen angel who fires the fires of hell.
    Zagan - fallen angel who can transform things; looks like a bull with wings.
    Zepar - fallen angel who makes women love men.

    และสิ่งเหล่านี้ก็เป็นจุดเริ่มต้นของความบาปทั้งหมดที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ โดยในขณะที่ฑูตสวรรค์เหล่านี้ลงมายังโลกมนุษย์เพื่อทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย ได้เกิดสิ่งนี้ขึ้นครับซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนของมนุษย
    ชาติทั้งมวลตั้งแต่นั้นมาคือ

    ปฐมกาล บทที่ 6 ความชั่วของมนุษยชาติ

    6:1 ต่อมาเมื่อมนุษย์เริ่มทวีมากขึ้นบนพื้นแผ่นดินโลก และพวกเขาให้กำเนิดบุตรสาวหลายคน
    Wickedness of Man
    6:1 And it came to pass, when men began to multiply on the face of the earth, and daughters were born unto them,
    6:2 บุตรชายทั้งหลายของพระเจ้าเห็นว่าบุตรสาวทั้งหลายของมนุษย์สวยงาม และพวกเขารับเธอทั้งหลายไว้เป็นภรรยาตามชอบใจของพวกเขา
    6:2 That the sons of God saw the daughters of men that they were fair; and they took them wives of all which they chose.

    คำเตือนของพระเจ้าถึงการพิพากษา
    6:3 พระเยโฮวาห์ตรัสว่า "วิญญาณของเราจะไม่วิงวอนกับมนุษย์ตลอดไป เพราะเขาเป็นแต่เนื้อหนัง อายุของเขาจะเพียงแค่ร้อยยี่สิบปี"

    God's Warning of the Coming Judgment
    6:3 And the LORD said, My spirit shall not always strive with man, for that he also is flesh: yet his days shall be an hundred and twenty years.

    6:4 ในคราวนั้นมีพวกมนุษย์ยักษ์บนแผ่นดินโลก แล้วภายหลังเมื่อบุตรชายทั้งหลายของพระเจ้าเข้าหาบุตรสาวทั้งหลายของมนุษย์ และเธอทั้งหลายคลอดบุตรให้แก่พวกเขา บุตรเหล่านั้นเป็นคนมีอำนาจมาก ตั้งแต่สมัยโบราณเป็นคนมีชื่อเสียง
    6:4 There were giants in the earth in those days; and also after that, when the sons of God came in unto the daughters of men, and they bare children to them, the same became mighty men which were of old, men of renown.


    จากพระธรรมเอโนค 7:2:11

    Note: หนังสือที่ถูกตัดออกจากการเป็นพระคัมภีร์เมื่อประมาณช่วงศตวรรษที่ 2 โดยรีบบีชื่อ Simeon ben Jochai เพราะซาตานไม่ต้องการเปิดเผยเรื่องราวของมัน มันมักแอบทำอะไรแบบลับๆล่อเสมอ เช่น พฤติกรรมของบรรดาสมาชิกของสมาคมลับต่างๆที่บูชาซาตานนั่นเอง

    "....2. เหล่าฑูตสวรรค์ มองดูพวกนาง จึงเกิดความลุ่มหลงในพวกนาง และกล่าวแก่กันและกัน: 'มา ให้พวกเราเลือกบุตรหญิงในหมู่มนุษย์มาเป็นภริยา และ.ให้กำเนิดลูกของเรากันเถิด'
    3. และ Samyaza ที่เป็นผู้นำของพวกเขากล่าวแก่พวกเขาว่า: 'ฉันกลัวพวกเจ้าจะไม่เต็มใจที่จะกระทำการเช่นนี้
    4. และฉันคนเดียวจะต้องถูกลงโทษในความผิดอันใหญ่หลวง.'
    5. และพวกเขาทั้งหมดตอบเขาและกล่าวว่า'เราทั้งหมดสาบาน
    6. และผูกมัดตัวเองโดยทั้งสองฝ่ายโดยกระทำการอันชั่วช้าร่วมกัน ไม่ละทิ้งแผนนี้แต่ให้ทำสิ่งนี้. '
    7. แล้วพวกเขาทั้งหมดสาบานและผูกพันด้วยตนเองโดยทั้งสองฝ่าย กระทำการอันชั่วช้าร่วมกัน พวกเขาทั้งหมดมีจำนวนสองร้อย ผู้ที่ได้ลงมาสู่อาร์ดีส ที่อยู่บนยอดเขาอาร์โมน (เฮอร์โมน)
    8. และพวกเขาจะเรียกภูเขาอาร์โมน(เฮอร์โมน) เนื่องจากพวกเขาได้สาบานและผูกพันด้วยตนเองโดยทั้งสองฝ่ายที่นั่น
    9. และเหล่านี้คือชื่อของผู้นำ: Samyaza ผู้นำของพวกเขา, Urakabarameel, Akibeel, Tamiel, Ranuel, Danel, Azkeel, Saraknyal, Asael, Armers, Batraal, Anane, Zavebel, Samsaveel, Ertael, Turel, Yomyael, Arayal. ทั้งหมดมีครบถ้วนในจำนวนสองร้อย
    10. พวกเขาก็ได้เลือกภริยาสำหรับตนเอง และพวกเขาได้เริ่มเข้าหาพวกเธอ หา และพวกเขาก็สอนวิชาหมอผี เวทมนต์คาถา การปลุกเสก รวมทั้งวิชาการทำลายล้าง(การทำสงครามในปัจจุบัน-ผู้เรียบเรียง) ให้กับภริยาที่พวกเขาอยู่ร่วมนั้น
    11. และพวกผู้หญิงก็ตั้งครรภ์ และคลอดบุตรเป็นมนุษย์ร่างยักษ์
    12. แต่ละคนมีรูปร่างสูง 300 ศอก คนยักษ์เหล่านี้กินอาหารทั้งหมดของมนุษย์ที่มีอย่างตะกละตะกลาม จนกระทั่งมนุษย์ไม่สามารถเลี้ยงพวกเขาได้
    13. แล้วพวกมันจึงต่อสู้กับมนุษย์ เพื่อจะได้มากินมนุษย์.
    14. และพวกเขาเริ่มทำร้ายนกและสัตว์ และสัตว์เลื้อยคลาน และปลา แล้วก็ฆ่ากันเอง "

    [/COLOR]

    [​IMG]
    ดังที่มีการบันทึกไว้ในพระคัมภีร์เล่มแรกสุด คือปฐมกาล ในบทที่ 6 เมื่อฑูตสวรรค์เหล่านั้นกลับลงมาฉุดคร่าบุตรสาวของมนุษย์ ไว้เพื่อเป็นภรรยาของตน แล้วได้ถ่ายทอดวิทยาการ วิชาความรู้ในด้านต่างๆ นับร้อยชนิด ให้กับมนุษย์ ไม่เพียงเท่านั้นยังให้กำเนิดบุตรที่เป็นมนุษย์พันธุ์ผสม ( Hybrid ) ที่มีขนาดรูปร่างใหญ่โต แข็งแรง เต็มไปด้วยสติปัญญาและความสามารถ และขยายเผ่าพันธุ์ไปทั่วพื้นภิภพ โดยความได้เปรียบเหล่านี้จึงขึ้นปกครองชนชาติต่างๆ ( หัวเมืองที่เต็มไปด้วยคนยักษ์ที่กระจายอยู่ในพระคัมภีร์หลายๆ ตอน ) ด้วยลักษณะทางกายภาพและสติปัญญาที่เหนือกว่ามนุษย์ทั่วไป

    [​IMG]
    ซึ่งตรงจุดนี้ได้เกิดข้อสงสัยมากมายว่าทำไมในบางช่วงบางตอนของพระคัมภร์ พระเจ้าทรงตรัสสั่งให้ชนชาติอิสราเอลกำจัดคนกลุ่มนี้ให้หมดไปอย่างสิ้นซาก นั่นก็เพราะต้นกำเนิดของคนยักษ์เหล่านี้ก็คือ "ความบาปผิด" นั่นเองครับ ไม่ใช่พระเจ้าทรงไม่เมตตาหรือโหดเหี้ยมแต่ประการใด แต่ในทางกลับกันมนุษย์ยักษ์เหล่านี้กลับใช้กำลังและสิ่งต่างๆที่เหนือกว่าปกครองมนุษย์ที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้น ฆ่าฟัน ทำร้าย แย่งชิงแหล่งอาหาร จนในที่สุดกัดกินมนุษย์เป็นอาหาร

    และในที่สุดเผ่าพันธุ์เหล่านี้ก็ได้แพร่กระจายย้ายถิ่นฐานไปทั่วทุกมุมโลก ด้วยวิชาการ สติปัญญา ความรู้ความสามารถที่ถ่ายทอดและติดตัวมาจากผู้ให้กำเนิด ซึ่งก็คือ The Watcher หรือเหล่าฑูตสวรรค์นั่นเองครับ

    และสุดท้ายท่านเชื่อหรือไม่ว่าพวกเราที่กำลังนั่งอ่านบทความนี้อยู่หลายๆส่วน ก็สืบเชื้อสายมาจากเผ่าพันธุ์เหล่านั้นเช่นเดียวกัน มนุษย์จึงเป็นสิ่งมีชีวิตที่เฉลียวฉลาดที่สุดและปกครองอยู่บนโลกใบนี้นั่นเอง แต่ในส่วนลึกแล้ว นี่คือคำอธิบายว่าทำไมมนุษย์ทุกคนพร้อมที่ทำความบาปผิดอยู่ตลอดเวลา นั่นก็เพราะ "ความบาป" มันยังแฝงอยู่ในจิตวิญญาน สายเลือดและชาติกำเนิดของเราไงครับ

    <IFRAME title="YouTube video player" height=390 src="http://www.youtube.com/embed/LGXmfTK5OvA?rel=0" frameBorder=0 width=480 allowfullscreen=""></IFRAME>
    <IFRAME title="YouTube video player" height=390 src="http://www.youtube.com/embed/SR2xlsMum9A?rel=0" frameBorder=0 width=480 allowfullscreen=""></IFRAME>
    <IFRAME title="YouTube video player" height=390 src="http://www.youtube.com/embed/xt_jrOGsyQU?rel=0" frameBorder=0 width=480 allowfullscreen=""></IFRAME>
    <IFRAME title="YouTube video player" height=390 src="http://www.youtube.com/embed/V8OKSFY96Rc?rel=0" frameBorder=0 width=480 allowfullscreen=""></IFRAME>
    <IFRAME title="YouTube video player" height=390 src="http://www.youtube.com/embed/-K5ek14z_Gk?rel=0" frameBorder=0 width=480 allowfullscreen=""></IFRAME>
    <IFRAME title="YouTube video player" height=390 src="http://www.youtube.com/embed/a5qd-WUdgUY?rel=0" frameBorder=0 width=480 allowfullscreen=""></IFRAME>​



    ลิ๊งค์สำหรับเฟสบุ๊ค :
    The Gold War Phase II.<WBR></WBR>.<WBR></WBR>.<WBR></WBR>by Jimmy Siri บน Facebook
    http://www.facebook.com/<WBR></WBR>home.php?sk=group_17040824<WBR></WBR>6326805&ap=1
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=4><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left></TD><TD class=date vAlign=center align=left>
    </TD><TD class=date vAlign=center align=left>
    </TD><TD class=date vAlign=center align=left>
    </TD><TD class=date vAlign=center align=left>
    </TD><TD class=date vAlign=center align=left>
    </TD><TD class=date vAlign=center align=left>
    </TD><TD class=date vAlign=center align=left>
    </TD><TD class=date vAlign=center align=left>
    </TD><TD class=date vAlign=center align=left>
    </TD><TD class=date vAlign=center align=left>
    </TD><TD class=date vAlign=center align=left>
    </TD><TD class=date vAlign=center align=left>
    </TD><TD class=date vAlign=center align=left>
    </TD><TD class=date vAlign=center align=left>
    </TD><TD class=date vAlign=center align=left>
    </TD><TD class=date vAlign=center align=left>
    </TD><TD class=date vAlign=center align=left>
    </TD><TD class=date vAlign=center align=left>
    </TD><TD class=date vAlign=center align=left>
    </TD><TD class=date vAlign=center align=left>
    </TD><TD class=date vAlign=center align=left>
    </TD><TD class=date vAlign=center align=left>
    </TD><TD class=date vAlign=center align=left>
    </TD><TD class=date vAlign=center align=left>
    </TD><TD class=date vAlign=center align=left>
    </TD><TD class=date vAlign=center align=left>
    </TD><TD class=date vAlign=center align=left>
    </TD><TD class=date vAlign=center align=left>
    </TD><TD class=date vAlign=center align=left>
    </TD><TD class=date vAlign=center align=left>
    </TD><TD class=date vAlign=center align=left>
    </TD><TD class=date vAlign=center align=left>
    </TD><TD class=date vAlign=center align=left>
    </TD><TD class=date vAlign=center align=left>
    </TD><TD class=date vAlign=center align=left>
    </TD><TD class=date vAlign=center align=left>
    </TD><TD class=date vAlign=center align=left>
    </TD><TD class=date vAlign=center align=left>
    </TD><TD class=date vAlign=center align=left>
    </TD><TD class=date vAlign=center align=left>
    </TD><TD class=date vAlign=center align=left>
    </TD><TD class=date vAlign=center align=left>
    </TD><TD class=date vAlign=center align=left>
    </TD><TD class=date vAlign=center align=left>
    </TD><TD class=date vAlign=center align=left>
    </TD><TD class=date vAlign=center align=left>
    </TD><TD class=date vAlign=center align=left>
    </TD><TD class=date vAlign=center align=left>
    </TD><TD class=date vAlign=center align=left>
    </TD><TD class=date vAlign=center align=left>
    </TD><TD class=date vAlign=center align=left>
    </TD><TD class=date vAlign=center align=left>
    </TD><TD class=date vAlign=center align=left>
    </TD><TD class=date vAlign=center align=left>
    </TD><TD class=date vAlign=center align=left>
    </TD><TD class=date vAlign=center align=left>
    </TD><TD class=date vAlign=center align=left>
    </TD><TD class=date vAlign=center align=left>
    </TD><TD class=date vAlign=center align=left>
    </TD><TD class=date vAlign=center align=left>
    </TD><TD class=date vAlign=center align=left>
    </TD></TR></TBODY></TABLE>



    โพสต์โดย What's going on in America




     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 กุมภาพันธ์ 2011
  17. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    นิมิตเหตุการณ์วันสิ้นโลก
    โดย ซาร่า ฮอฟแมน แปลโดย 1p2m


    [​IMG]

    เขียนเมื่อ วันที่ 14 มีนาคม 2006 นิมิตของวันสิ้นโลก(ยุคเก่า)

    ซาร่า ออฟแมน ได้ตัดสินใจฆ่าตัวตายเมื่อปี 1979 (แต่ไม่สำเร็จ) เธอกล่าวว่าเธอจำต้องฟื้นกลับขึ้นมาและทำบางสิ่งในชีวิตให้สำเร็จ แต่สิ่งแรกก็คือเธอได้รับการสำแดงเกี่ยวกับวาระสิ้นโลก (หลายคนอาจจะสงสัยว่า ทำไมคนที่คิดฆ่าตัวตายอย่าง ซาร่า ถึงได้รับเลือกจากพระเจ้าให้ได้เห็นนิมิตร พระเจ้าทรงมีหนทางในแบบที่เราไม่อาจคาดคิดได้ ดังตัวอย่างหลาย ๆ ตอนในพระคัมภีร์ที่พระเจ้าไม่ได้เลือกคนที่เราคิดว่าดีพร้อมหรือสมบูรณ์แบบ)

    ต่อไปนี้คือภาพมุมกว้างของโลกที่ข้าพเจ้าเห็นจากมุมกว้างและแคบใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ เหมือนกับเราอยู่นอกโลก ในอวกาศและกำลังบินเข้ามาใกล้โลก

    ข้าพเจ้ารู้ว่านี้คือสิ่งที่ทำให้ข้าพเจ้าต้องตัดสินใจกลับมายังโลก(ฟื้นขึ้นมา) กลับมาสู่ชีวิตที่น่าระทมอีกครั้ง ร่างกายส่วนหนึ่งข้าพเจ้าต้องการไปสู่โลกฝ่ายวิญญาณหรือสวรรค์ แต่อีกส่วนหนึ่งก็อยากกลับไปสู่ร่างกายเดิมและดำเนินชีวิตใหม่ ความรู้สึกภายในเหมือนว่ากำลังชักเย่อกันอยู่ และสิ่งที่ข้าพเจ้ากำลังจะไปพบเห็นนั้นก็ช่วยให้ข้าพเจ้าได้เข้าใจถึงสิ่งที่ข้าพเจ้าจะต้องไปบอกเมื่อข้าพเจ้าได้กลับมายังกายเดิม (จิตวิญญาณกลับมาเข้าสู่ร่าง)

    ทุกอย่างวนกลับมาอีกเหมือนเล่นวีดีโอเทปไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วและเป็นอีกครั้งที่ข้าพเจ้าได้ซึมซับเห็นทุกสิ่งอย่างชัดแจ้งและสมบูรณ์ ขณะที่โลกเคลื่อนใกล้เข้ามาข้าพเจ้าได้เห็นโลกทั้งใบและเห็นหลาย ๆ ประเทศ

    ข้าพเจ้าไม่รู้จักประเทศต่าง ๆ ดีนัก แต่ขณะที่ได้มองเห็นผืนแผ่นดินก็พอจะรู้ว่าเป็นประเทศอะไรบ้าง ข้าพเจ้ามองไปที่ตะวันออกกลางได้เห็นมิสไซต์พุ่งออกจากลิเบีย พุ่งเข้าโจมตีอิสราเอลเกิดระเบิดเป็นรูปดอกเห็ดใหญ่โตมาก ข้าพเจ้ารู้ว่ามิสไซต์นั้นแท้จริงแล้วเป็นของอิหร่าน ที่ได้แอบนำมาซ่อนเก็บไว้ที่ลิเบีย นั่นคือระเบิดนิวเคลียร์ และเกือบในทันทีทันใดก็มีมิสไซต์พุ่งออกจากประเทศหนึ่งไปยังอีกประเทศหนึ่ง มิสไซต์พุ่งข้ามไปมาทั่วทั้งโลก ข้าพเจ้าได้เห็นการระเบิดของนิวเคลียร์ ที่ไม่ได้มาจากมิสไซต์อย่างมากมาย แต่เป็นการระเบิดจากใต้ดินชนิดหนึ่ง ข้าพเจ้ารู้ว่าในอนาคตจะมีสงครามนิวเคลียร์แน่นอนทั่วทั้งโลก และต่อไปนี้คือภาพการเริ่มต้นของสงครามว่าเริ่มต้นได้อย่างไร

    ข้าพเจ้าเปลี่ยนการเพ่งมองจากตะวันออกกลางไปที่อเมริกา และกำลังจะได้เห็นสิ่งที่นำไปสู่สงครามนิวเคลียร์ล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์ ซึ่งข้าพเจ้าจะเป็นพยานถึงสิ่งนี้ ขณะที่มองดูไปทั่วทวีปอเมริกาเหนือนั้น ข้าพเจ้าได้เพ่งดูไปที่แถวชายฝั่งตะวันออกขึ้นไปจนถึงนิวยอร์ก ได้เห็นตึกมากมายและผู้คน และก็ได็เห็นตึกสูงกำลังพังทลายลงมาที่พื้นดินมีควันกระจายอย่างน่ากลัว ซากปรักหักพัง ฝุ่งคลุ้งไปทั่ว (เธอเห็นภาพตึกเวิร์ดเทรดถล่มหรือเปล่า?) ข้าพเจ้าเห็นผู้หญิงอุ้มเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ในอ้อมแขนวิ่งหนีจากจากตึกที่ถล่ม

    ผู้หญิงผมยาวสีดำ หยิกเล็กน้อยพาดไหล่ ใส่ชุดสูทผ้าขนสัตว์สีแดงปลายสีเข้มหรือออกสีเปลือกไม้ ไม่ใส่แว่นตา เด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ดูอายุประมาณ 6-7 ปีผมสั้นเลยคางสีน้ำตาลทรงผู้หญิง พวกเขาจับมือกันวิ่งหนีจากตึกสูงที่กำลังถล่มลงมา ฝุ่นควันหนาทึบมากและทำให้พวกเขาแยกจากกัน เด็กร้องอย่างตกใจกลัวหาแม่หลายครั้ง ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าพวกเขาจะเป็นหรือตาย ข้าพเจ้าเห็นหน้าของผู้หญิงคนนี้ได้อย่างชัดเจนและระบุตัวถ้าหากได้เห็นรูปของเธอ หรือบอกให้นักวาดรูปวาดภาพของเธอได้ ข้าพเจ้าสงสัยว่าตึกถล่มเพราะแผ่นดินไหวหรือไม่ แต่ในความรู้สึกที่เห็นก็คือ ไม่ใช่ แต่ไม่รู้ว่าเพราะสาเหตุใดแน่

    สิ่งต่อมาก็คือข้าพเจ้ารู้สึกได้มากกว่าที่เห็นแม้จะช่วงสั้น ๆ คือหลังจากเหตุการณ์นี้ไม่นาน การค้าขาย การซื้อขายก็หยุดชงักหรือกล่าวได้ว่าเศรษฐกิจยุติลง หรือเกือบล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง ไม่มีใครมีเงินถืออยู่เลย

    ต่อมาข้าพเจ้าเห็นผู้คนล้มป่วยและค่อย ๆ ตายไป สิ่งที่เห็นนี้เจาะจงลงไปยังเมืองใหญ่ ๆ 4 เมืองคือ นิวยอร์ก ลอสแองเจลิส ซานฟรานซิสโก และ ซอร์ลเลค เชื้อโรคก็เริ่มแพร่กระจายโดยเกิดตุ่มสีขาว ๆ ไปทั่วตัวคน บางตุ่มก็ขนาดเท่าเหรียญบาทอยู่บนมือ แขนและหน้า และพัฒนาไปอย่างรวดเร็วกลายเป็นตุ่มพองฟูสีขาวอย่างน่ากลัว ผู้คนเริ่มเดินสะดุดหกล้มลงและตายในเวลาอันรวดเร็วอย่างมากมาย หรือภายใน 24 ชม.

    ข้าพเจ้าเห็นบางคนมีเลือดออกมาจากจมูก ปากตา และหู มันเริ่มต้นคล้ายไว้รัสไข้หวัดใหญ่และแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว เร็วกว่าเชื้อผุพองสีขาวที่เห็น ประชาชนที่ได้รับเชื้อโรคนี้ตายเร็วกว่าเดิมเสียอีก สิ่งนี้แพร่กระจายไปทั่วทั้งอเมริกา คนหลายแสนเริ่มอ่อนแอเจ็บป่วยด้วยเชื้อโรคสองชนิดนี้ (ถูกฉีดวัคซีนที่มีพิษ หรืออาจจะถูกโจมตีด้วยอาวุธเคมีชีวภาพ?)

    ข้าพเจ้ารู้ว่ามันคือเชื้อโรค และมีหลายชนิดมาก แต่สองตัวแรกบรรจุใส่ภาชนะขนาดเล็ก ๆ ที่ขนเข้ายังอเมริกา มันมีลักษณะคล้ายกับเหยือกเบียร์ และข้าพเจ้าเห็นเหมือนกับมีคนถือมันและนำมันไปลงบนพื้นในที่ ๆ มีฝูงชนเยอะ ๆ และคนก็ติดเชื้อโรคโดยไม่รู้ตัว

    ในเมืองเหล่านี้ที่บอกมามีเชื้อโรคกระจายไปทั่ว ประชาชนก็พยายามหนีออกจากเมืองไปนอกเมือง มีจราจลวุ่นวายาทั้งเมือง สังคมแตกสาแหรกขาด ไม่มีไฟฟ้าอีกต่อไปโดยข้าพเจ้าไม่รู้ว่าทำไม และไม่รู้ว่าจะมีได้อย่างไร มีรถยนต์เต็มไปหมดขวางกั้นถนนและคนจำนวนมากได้เดินเท้าเปล่า เชื้อโรคกระจายออกไปทั่วโดยเริ่มต้นที่เมืองเหล่านี้

    ประชาชนเริ่มหนีไปยังเมืองอื่น ๆ และก็มีแก็งอันธพาลโจมตีและฆ่าประชาชน ในเมืองที่ถูกโจมตีด้วยเชื้อโรคนั้นก็จราจลวุ่นวายทั้งเมือง มีการปล้นสะดม ฆาตกรรม พังพินาศสิ้น คนจำนวนมากดูเหมือนกับเสียสติบ้าคลั่ง ข้าพเจ้ารู้สึกว่า ระบบไฟฟ้าล้มเหลวไปทั้งเมือง และไม่มีอะไรนอกจากการวิ่งหนีวุ่นวาย ไม่มีการติดต่อสื่อสารหรืออะไรเลยไม่ว่าที่ไหนในประเทศ ไม่มีการทำงาน ไม่มีการออกอากาศวิทยุหรือโทรทัศน์ ข้าพเจ้าเห็นประชาชนขว้างปาก้อนหินใส่กระจก หน้าต่าง เพื่อขโมยทีวีในร้านซึ่งข้าพเจ้าคิดว่ามันเป็นความบ้าคลั่งจริง ๆ เพราะขโมยทีวีไปก็ใช้ไม่ได้

    ในทันใดนั้น ในขณะที่ข้าพเจ้าได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นในอเมริกา ข้าพเจ้าก็กระโดดกลับมามองแถวตะวันออกกลางและได้เห็นบางสิ่งในอิสราเอล เป็นความเลวร้ายเช่นเดียวกัน คือข้าพเจ้าได้เห็นเชื้อโรคบางชนิดหรือโรคร้ายบางอย่างที่นั่น ข้าพเจ้ารู้โดยไม่ทราบสาเหตุเลยว่าเชื้อโรคที่ใช้ในอเมริกานั้นก็เป็นชนิดเดียวกับที่นำมาใช้ในอิสราเอลด้วย

    ในชั่วขณะหนึ่งข้าพเจ้าก็ได้พุ่งกับมาที่อเมริกา ได้เกิดฤดูหนาวที่น่ากลัวอย่างยาวนานขึ้นซึ่งยาวไปจนถึงหน้าร้อน นั่นทำให้หลายคนประหลาดใดและเป็นจุดเริ่มต้นของความอดอยากขาดแคลนอาหารอย่างเต็มที่ แต่จริง ๆ แล้วที่ข้าพเจ้าได้เห็นนั้นเพิ่งจะเริ่มความอดอยากครั้งยิ่งใหญ่อย่างเต็มขนาด เพราะความอดอยากได้เริ่มมาแล้วตั้งแต่เกิดเพราะพายุ ความแห้งแล้ว น้ำท่วมหรือโรคระบาด ซึ่งเกิดมาเป็นเวลาหลายปีนำหน้าฤดูหนาวที่ยาวนานนี้แล้ว

    มันดูเหมือนเป็นปีที่ตามมาด้วยฤดูหนาวที่ยาวนาน เริ่มเมื่อทุกสิ่งเริ่มต้นล่มสลายลงอย่างรวดเร็วหรือ ทุกสิ่งพังทลายหักทับถมกันโดยไม่มีสิ้นสุด ข้าพเจ้าไม่แน่ใจเรื่องเวลาชัดเจนนักเพราะข้าพเจ้าเห็นหลาย ๆ สิ่งดูเหมือนเกิดขึ้นพร้อม ๆ กันในเวลาใกล้เคียงกันมาก

    ในช่วงระหว่างและหลังจากฤดูหนาวที่ยาวนานนี้ เชื้อโรคได้แพร่กระจายไปทุกที่ และเพิ่มความเลวร้ายขึ้นอีก เศรษฐกิจล่มสลายอย่างสมบูรณ์พร้อมทั้งระบบไฟฟ้าด้วยมีการจราจล ไร้กฎหมายบ้านเมือง อย่างสมบูรณ์ทั่วทั้งอเมริกา ไม่มีรัฐบาลเพราะทุกอย่างล่มสลาย ไม่มีอาหารอีกต่อไป ข้าพเจ้าได้เห็นประชาชนพยายามค้นหาอาหารและประสาทเสียอย่างสุดขีดเพราะไม่มีอาหารกิน และได้เห็นประชาชนขุดดินเพื่อหาหนอนกินเพราะความหิวอย่างมาก

    ในระหว่างนี้ข้าพเจ้าได้คิดถึงเกี่ยวกับน้ำ เพราะมีน้ำอยู่เพียงน้อยนิด และน้ำที่เหลือเกือบทั้งหมดเป็นพิษ หากว่ามีใครดื่มเข้าไปก็จะติดเชื้อและตาย คนจำนวนมากไม่รู้ว่าพวกเขากำลังจะตายเพราะพวกเขาหิวน้ำอย่างมาก

    ประชาชนบางส่วนดูเหมือนจะบ้าคลั่งเสียสติ และเข้าร่วมไปกับแก็งอันธพาลต่าง ๆ เพื่อไล่ฆ่าคนอื่น ๆ โดยเหตุผลเพราะอยากฆ่า ซึ่งเป็นความเลวร้ายสุดขีด ในขณะที่บางส่วนก็ฆ่าฟันคนอื่นเพราะต้องการอาหาร พวกเขาดูเหมือนสัตว์ร้าย สัตว์ป่าที่ไร้ซึ่งการควบคุมตนเองอย่างสิ้นเชิง มีการขมขื่น ปล้นสะดม เผาทำลาย ไล่ฆ่าสับประชาชนข้าพเจ้าเห็นพวกเขาเข้าไปยังบ้านของคนต่าง ๆ และเข้าไปฉุดลากคนในบ้านที่ซ่อนตัวออกมาและขมขื่น และฆ่าสับพวกเขา

    ดูเหมือนกับความกลัวและความเกลียดชังได้พุ่งออกมาจากตัวของคน ครอบครัว ภรรยา สามิ ความรักระหว่างกันไม่มีเหลืออีกต่อไป มีแต่ความอยู่รอดเท่านั้น สามีจะฆ่าภรรยาและลูก ๆ ของเขาเพื่ออาหารและน้ำดื่ม แม่จะฆ่าลูก ๆ เป็นความเลวร้ายอย่างถึงที่สุดเกินจะบรรยายได้

    ในอากาศดูเหมือนจะเต็มไปด้วยหมอกควัน และตึกจำนวนมากถูกเผาทำลายไม่มีใครดับไฟ ในขณะที่ข้าพเจ้ามองดูฉากแห่งความวุ่นวาย การพังทลายและหมอกควัน ก็สังเกตุเห็นกลุ่มแสงกระจายไปทั่วอเมริกา ข้าพเจ้าคาดว่าน่าจะประมาณยี่สิบหรือสามสิบ และส่วนมากจะวางอยู่บริเวณตะวันตกของอเมริกา เพียงสามหรือสี่กลุ่มอยู่ทิศตะวันออก กลุ่มแสงเหล่านี้ดูเหมือนจะส่องผ่านความมืดออกมาและทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกสนใจและเพ่งดู สงสัยว่ามันคืออะไร

    ข้าพเจ้าได้เห็นว่ามันคือกลุ่มของประชาชนที่รวมตัวกันและคุกเข่าอฐิษฐาน แสงเหล่านี้ออกมาจากตัวพวกเขา ข้าพเจ้านึกได้ทันทีว่ามันคือความดีและความรักของพระเจ้าข้าพเจ้าเข้าใจว่าพวกเขาคงมารวมตัวกันเพื่อความปลอดภัยและห่วงใยคนอื่นมากกว่าตัวเอง บางกลุ่มเล็ก ๆ มีคนเพียงไม่กี่คนเท่านั้น แต่บางกลุ่มก็มีคนหลายพันคน

    ข้าพเจ้าระลึกได้ว่า ถ้าไม่ใช่เพราะส่วนใหญ่ของเมืองนี้รวมตัวกันก่อนการโจมตีด้วยเชื้อโรค และพวกเขามีการจัดเตรียมการอย่างดีแล้ว ก็ดูเหมือนพวกเขารู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นและได้เตรียมรับมือไว้ ข้าพเจ้าไม่เห็นมีผู้นำหรืออะไรควบคุม แต่เห็นคนจำนวนมากเกาะติดพวกเขาแม้ไม่มีอะไรแต่อะไรทำให้พวกเขายึดถือไว้ได้

    ในเมืองแห่งแสงสว่างนี้มีอาหารและการแบ่งปันอาหารให้คนที่เข้ามาร่วมในกลุ่ม มีสันติและความปลอดภัย พวกเขาอาศัยอยู่ในเต้นท์ มีเต้นท์หลายชนิด ส่วนมากจะเป็นผ้าห่มคลุมขึงกับเสา ข้าพเจ้านึกถึงพวกแก็งอันธพาลที่ไม่ยุ่งกับกลุ่มประชาชนเหล่านี้ แต่จะเลือกโจมตีประชาชนที่ไร้การป้องกัน พวกเขายังคงอธิษฐานต่อผู้ที่พยายามจะมายังเมืองแห่งแสงสว่างนี้ คนจำนวนมากในเมืองนี้มีปืนเพื่อป้องกันตนเองจากพวกแก็งและดูเหมือนพวกแก็งไม่ต้องการต่อสู้กับพวกเขา

    ข้าพเจ้าเห็นว่าเมืองแห่งแสงสว่างเหล่านี้ นับแต่แรก ๆ ที่ข้าพเจ้าคิดถึง ในช่วงเวลาสั้น ๆ หลังจากนั้นประชาชนในกลุ่มก็เริ่มออกไปยังที่ต่าง ๆ ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าพวกเขาไปที่ไหนแต่ดูเหมือนพวกเขาจะรวมตัวกันที่ภูเขาหรือที่สูง ขณะที่ข้าพเจ้ามองดูเมืองแห่งแสงสว่างนี้ ก็เห็นมิสไซร์พุ่งออกมาและโจมตีบางเมืองและมีควันรูปดอกเห็ดพุ่งขึ้นเกิดขึ้นทั่วอเมริกา บางส่วนเป็นมิสไซร์ซึ่งข้าพเจ้ารู้ว่ามาจากรัสเซียแต่บางส่วนเป็นระเบิดที่อยู่ในอเมริกาแล้วนั่นเอง พวกเขานำมาซ่อนไว้ในรถบรรทุกหรือรถยนต์และระเบิด

    ข้าพเจ้ามองอย่างเจาะจงไปที่ ลอส แองเจลิส ลาสเวกัส และนิวยอร์ก ที่ถูกโจมตีด้วยระเบิด นิวยอร์กถูกโจมตีด้วยมิสไซร์ แต่ ลอสแองเจลิส ดูเหมือนถูกโจมตีด้วยระเบิดในรถบรรทุกหรือหลาย ๆ อย่าง แต่ข้าพเจ้าไม่เห็นมิสไซร์ ส่วนทางเหนือของเมือง ซอล์ค เลค มีระเบิดดอกเห็ดกลุ่มหนึ่งแต่ไม่มีมิสไซร์

    ในความมืดมิดข้าพเจ้าเห็นลูกไฟเล็ก ๆ แต่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นถ้าสิ่งนี้อาจเกิดก่อนหรือหลังกลุ่มควันดอกเห็ด แต่มีลูกไฟเป็นล้าน ๆ ตกลงทุกที่ และร้อนมาก มีขนาดเท่ากับลูกกอล์ฟ ขณะที่มันตกลงมาจากฟ้ามันก็มีสายเปลวไฟเป็นหางมีควันตามหลัง และไม่ว่ามันตกกระทบอะไรก็จะเกิดไฟลุก ไม่ว่าจะตัวคน ตึก ต้นไม้ กระจก และทุกสิ่ง ข้าพเจ้าไม่รู้ได้ว่ามันคืออะไรหรือมาจากไหน เพราะในเวลานี้ข้าพเจ้ารู้สึกเหมือนคนป่วยที่ต้องได้เห็นภาพเหล่านี้และเพียงได้แต่มองโดยไม่สามารถถามอะไรได้

    หลังจากควันดอกเห็ดลอยพุ่งขึ้นเบื้องบนแล้ว ข้าพเจ้าได้เห็นกองทหารรัสเซียเคลื่อนพลบุกเข้ามาในอเมริกา มีพลร่มลงตามที่ต่าง ๆ จำนวนมากมาก่อนหน้านั้นจากฝั่งตะวันออก และเห็นพลร่มลงที่เมือง ซอล์ค เลค และข้าพเจ้าเห็นกองทหารจีนเคลื่อนพลเข้ามาทางฝั่งตะวันตกใกล้ ลอส แองเจลิส และประชาชนที่ยังคงอยู่ก็เริ่มต่อสู้ด้วยปืนของพวกเขาแต่ไม่เห็นทหาร(อเมริกา)ใด ๆ

    นี่คือสงครามนิวเคลียร์ ที่ข้าพเจ้าได้เห็นตอนเริ่มแรกและรู้ว่ามันจะเกิดขึ้นทั่วทั้งโลก อย่างที่ได้เห็นมาก่อนหน้านี้ ข้าพเจ้าไม่เห็นสงครามมากนัก แต่พอรับรู้ได้ว่ามันจะกินเวลานานมากนัก และรัสเซียและจีนจะแพ้ แต่ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด

    กลุ่มควัน(จากระเบิดนิวเคลียร์)จะหนามาก ๆ ทั้งมืดและหนัก เป็นสิ่งที่ดูจะเลวร้ายพอ ๆ กับจุดกำเนิดของมัน และในทันใดนั้นก็เกิดแผ่นดินไหว สิ่งนี้จะเกิดในฤดูหนาว ซึ่งดูเหมือนเป็นฤดูหนาวที่ยาว นานมาก จนทำให้เกิดความโกลาหลวุ่นวายขึ้นเกือบทั้งปี แผ่นดินไหวดูเหมือนจะเริ่มในฝั่งตะวันตกรอบ ๆ รัฐ ไอดาโฮ และไวโอมิ่ง และแผ่กระจายไปทั่วทุกที่

    ข้าพเจ้าเห็นแผ่นดินไหวใหญ่โจมตีเมือง ยูทาห์ และ แคลิฟอร์เนีย มีแผ่นดินไหวทั่วแคลิฟอร์เนียร์ แต่ ลอส แองเจลิส และ ซานฟรานซิสโก ถูกทำลายพินาศ แผ่นดินไหวนี้กระตุ้นให้เกิดภูเขาไฟระเบิดทั่วตลอดฝั่งตะวันตก และพ่นควันขี้เถ้าจำนวนมหาศาลอย่างรุนแรงขึ้นสู่อากาศ และอากาศก็มืดมิดสกปรก ดวงอาทิตย์ก็มืดลงเพราะควันและเกิดฝนขี้เถ้าตกกระจายไปทั่ว

    ข้าพเจ้าเห็นคลื่นยักษ์พักถล่มชายฝั่งตะวันตก และเห็นว่ามันเกิดขึ้นทั่วชายฝั่งทะเลทั่วทั้งโลก เมืองลอส แองเจลิส เกือบทั้งหมดถูกคลื่นกวาดสิ้น คลื่นนั้นใหญ่มาก ๆ ข้าพเจ้าเห็นกำแพงน้ำ สูงกว่าตึกจำนวนมาก บางทีอาจสูงถึง 20 ฟุต(6 เมตร) พัดถล่มเมือง ซอล์ค เลค ซิตี้ ข้าพรู้สึกแปลกใจมากเพราะเมืองนี้ตั้งอยู่ห่างจากมหาสมุทรมาก และสงสัยว่าคลื่นเดินทางจากมหาสมุทรมาตลอดทางจนถึงเมือง ซอล์ค เลค ซิตี้ได้อย่างไร

    ข้าพเจ้าเห็นได้ว่ามันไม่ได้มาจากมหาสมุทรแต่มาจากใต้ติด ข้าพเจ้าเห็นการแตกออก ของพื้นดินอย่างรวดเร็วรอบ ๆ เมือง ซอล์ค เลค ซิตี้ เปิดออกและมีน้ำพุ่งออกมาจากใต้ดินที่ลึกมาก มีน้ำจำนวนมากมหาศาลอยู่ใต้ดินและแผ่นดินไหวได้ผลักดันมันออกมาเมื่อน้ำพัดทำลายเมือง ก็ไม่มีตึกหลงเหลืออยู่อีก เป็นการทำลายล้างอย่างน่ากลัวจนไม่มีอะไรเหลืออยู่ และน้ำไหลไปจาก ไอดาโฮ ลงไปยังเมือง ซีดาห์ ใกล้ ๆ เลวร้ายอย่างมาก

    ส่วนในเมืองมีการพังทลายอย่างใหญ่หลวง ตึกส่วนมากพังทลายสิ้น มีเศษอิฐปูนกระจายไปทั่ว แม้ว่าแผ่นดินไหว เชื้อโรค น้ำท่วม ภูเขาไฟ และคลื่นยักษ์ จะฆ่าคนไปจำนวนมาก แต่คนส่วนใหญ่ก็ตายเพราะถูกแก็งอันธพาลฆ่า และฆ่ากันเอง ไม่ได้มาจากภัยพิบัติทำลายล้างที่น่ากลัว ขณะนั้นเองข้าพเจ้าก็ได้เห็นโลกทั้งหมด ดูเหมือนย่ำแย่เพราะสิ่งเลวร้ายที่เกิดขึ้นบนโลก และก็มีการปฏิกิริยาต่อต้านในที่สุด ข้าพเจ้าเห็นเหมือนว่าโลกนี้ต้องการทำความสะอาดตัวเอง ต่อสิ่งเลวร้ายวุ่นวายและความความชั่วร้ายที่ครอบงำมนุษย์อยู่

    เพราะภูเขาไฟระเบิดทุก ๆ ที่ ทำให้มีฝุ่นขี้เถ้าผสมกับอากาศ ขี้เถ้าได้ตกลงทุกที่ ทำให้ทุก ๆ ที่เกือบจะมืดสนิท เชื้อโรคก็กลับมาเลวร้ายเพิ่มอีกอย่างมาก ข้าพเจ้าได้เห็นประชาชนล้มตายบนพื้นอย่างชัดเจน และมีเชื้อโรคอื่น ๆ อีกด้วย ประชาชนมีตุ่มแผลบนตัวและเริ่มออกเลือดไปทั่วตัว และก็เริ่มแตกกระจายหรือรวมตัวกันไปเป็นอะไรบางอย่างที่บอกไม่ได้เป็นก้อนเนื้อและกระดูก ข้าพเจ้าก็ไม่อาจจะบรรยายสิ่งที่เห็นได้ ศพคนตายมีอยู่ทุกที่

    หลังจากฤดูหนาวที่น่ากลัวนี้ ข้าพเจ้าได้เห็นหน่วยกู้ภัยได้เก็บศพคนตายกองทับถมกันและเผารวมกัน ส่งกลิ่นเหม็นสุดขีด ข้าพเจ้าสามารถได้กลิ่นได้แม้จะเพียงเล็กน้อยการเผาศพคนตายเหล่านี้เกิดขึ้นช่วงเล็ก ๆ ในระหว่างเกิดจราจลวุ่นวาย แต่มีคนไม่มากนักที่กังวลถึงเรื่องความอยู่รอดมากกว่าจนไม่ใส่ต่อคนตาย

    สิ่งที่ข้าพเจ้าได้เห็นมากกว่าสี่อย่าง ข้าพเจ้าได้เห็นแผ่นดินไหวใหญ่ใจกลางอเมริกา มันน่ากลัวมากดูเหมือนจะแยกอเมริกาออกเป็นครึ่งหนึ่งตรงบริเวณเริ่มแม่น้ำ มิสซิบซิบปี้ รอยแตกนี้เปิดออกและทำให้แผ่นดินจมหายลงไปทั้งหมด มันกว้างเป็นไมล์และแผ่นดินก็จมลงไปในนั้น ดูเหมือนมันกลืนทุกสิ่งลงไปและน้ำจากอ่าวเม็กซิโกก็ไหลลงไปด้วยทำให้เกิดทะเลสาบขนาดใหญ่ แต่มันไม่ได้เป็นทะเลสาป แต่กลายเป็นส่วนหนึ่งของทะเลในพื้นแผ่นดิน

    และข้าพเจ้าเห็นแผ่นดินไหวที่น่ากลัวเป็นชุด ๆ ไปทั่วโลก แต่มีไม่มากที่เป็นแผ่นดินไหวเดี่ยว ๆ มันจะเป็นคลื่นแผ่นดิวไหวอันเดียวกัน เป็นแผ่นดินไหวที่ใหญ่โตอย่างมากสุด ๆ ที่เขย่าโลกทั้งโลก และเพราะแผ่นดินไหวนี้ ทำให้น้ำไหลเข้ามาท่วมแผ่นดินทั่วทั้งโลก กำแพงน้ำยักษ์พัดถล่มชายฝั่งทั่วโลก แผ่นดินไหวและกำแพงน้ำที่เกิดก่อนหน้านี้ดูจะเล็กกว่าข้าพเจ้าไม่รู้ว่าแผ่นดินไหวที่แบ่งอเมริกาออกเป็นสองส่วนนี้เป็นส่วนหนึ่งของแผ่นดินไหวที่เกิดทั่วโลกด้วยหรือไม่

    และข้าพเจ้าได้เห็นลมที่พัดอย่างรุนแรงมาก พัดผ่านบนแผ่นดินโลก ขณะที่ลมพัดข้าพเจ้าเห็นประชาชนวิ่งหนีเข้าถ้ำต่าง ๆ หรือรอยแตกของเปลือกหินต่าง ๆ เพื่อหนี มันน่ากลัวมาก ลมพัดต้นไม้และทุกสิ่งปลิวหมด มันดูเหมือนจะรุนแรงกว่าเฮอร์ริเคนหรือทอร์นาโด ทุก ๆ สิ่งถูกพลัดปลิวหมด ข้าพเจ้าเข้าใจโดยไม่ต้องถามว่า แผ่นดินไหวใหญ่ทั่วโลกนี้และลมนี้ เกิดจากวัตถุขนาดใหญ่อันหนึ่ง มันดูเหมือนดาวเคราะห์หรือบางสิ่ง (ดาว Nibiru ที่กำลังมา?) โดยมันเคลื่อนที่เข้ามาใกล้โลกและมีผลกระทบต่อทุกสิ่งบนโลก และนั่นคือจุดจบที่กำลังจะเกิดขึ้นที่ใกล้เข้ามา

    และข้าพเจ้าก็กลับมาสู่อวกาศนอกโลก มองเห็นโลกทั้งโลกจากระยะไกลอีกครั้ง ข้าพเจ้าเห็นลูกบอลไฟขนาดใหญ่ ใหญ่กว่าโลกสองหรือสามเท่า (ลูกไฟที่ดาว Nibiru ปล่อยออกมาเพราะถูกกระตุ้นจากดวงอาทิตย์ ?)วิ่งเข้ามาที่โลกมันมีสีแดงเจิดจ้ามากและมีสีทองผสม และทันใดนั้นมันก็พุ่งมาห่อหุ้มโลกทั้งโลก เมื่อข้าพเจ้าเห็น เนื่องจากมันเป็นสิ่งที่ประหลาดกว่าสิ่งใด ๆ ก็ได้สงสัยว่าคืออะไร ข้าพเจ้าได้เห็นมันกำลังพุ่งมาเผาโลกซึ่งเป็นไปตามที่พระคัมภีร์กล่าวไว้

    2 เปโตร 3:7 "แต่ว่าท้องฟ้าอากาศและแผ่นดินโลกที่อยู่เดี๋ยวนี้ พระองค์ทรงเก็บงำไว้โดยคำตรัสนั้นสำหรับให้ไฟเผา คือเก็บไว้จนถึงวันทรงพิพากษาและวันพินาศแห่งบรรดาคนอธรรม"

    ข้าพเจ้าเข้าใจได้ว่าก่อนที่มันจะเกิดขึ้นนั้น (ก่อนลูกไฟวิ่งมาเผาโลก) พระเยซูคริสต์จะปรากฎต่อคนทั้งโลกและพวกประชาชนที่เป็นคนดีที่ข้าพเจ้าได้เห็นแต่แรกนั้น(ที่อยู่ในเมืองแห่งแสงสว่าง และที่อื่น ๆ ทั่วโลกและรวมตัวอธิษฐาน) จะถูกรับขึ้นไปจากโลกพร้อมกับพระคริสต์ไม่หลงเหลืออยู่อีกต่อไป แต่พวกประชาชนที่หลงเหลืออยู่ที่เป็นพวกคนชั่ว คนไม่ดีต่าง ๆ คนทำบาป จำนวนหนึ่งที่รอดตายจากภัยพิบัตินับแต่ครั้งแรก แต่ก็มีไม่มากและที่เหลือก็จะถูกไฟเผา

    --------------------------- จบ ---------------------------------

    ที่มา http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=jesuscomingverysoon&date=04-02-2010&group=1&gblog=3<!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end -->

    http://palungjit.org/threads/ประเทศไทยจะเกิดอุบัติภัยอย่างที่ทำนายกันจริงๆหรือไม่.3906/page-1172
     
  18. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    การ จัด แนว แบบ ฟ้า

    [​IMG]
    On December 21, 2012 , for the first time in approximately 26,000 years ที่ 21 ธันวาคม 2012 สำหรับ ครั้ง แรก ใน ประมาณ 26,000 ปี

    [​IMG]


    ดวง อาทิตย์ จะ ขึ้น เพื่อ ร่วม กัน ตัด ของ น้ำ นม Way และ เครื่อง บิน เกี่ยว กับ สุริยุปราคา.

    [​IMG]

    ดวง อาทิตย์ aligning กับ ศูนย์ กา แลก ติก
    is referred to as the Cosmic Cross . หมาย ถึง จักรวาล Cross.

    [​IMG]

    ตาม โบราณ มา ยา วัน นี้ จะ ทำ เครื่องหมาย ที่ สิ้นสุด
    of one world as we know it and the beginning of another. หนึ่ง โลก ที่ เรา รู้ มัน และ ต้น อื่น.

    2012
     
  19. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    พยากรณ์ Hopi 2012 Rare 1.avi ส่วนวิดีโอ
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=uzjgL8YAmN4&feature=related]YouTube - Hopi prophecy 2012 Rare video part 1.avi[/ame]

    พยากรณ์ Hopi 2012 Rare 2.avi ส่วนวิดีโอ
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=-E4RKco0fqw&feature=related]YouTube - Hopi prophecy 2012 Rare video part 2.avi[/ame]

    พยากรณ์ Hopi 2012 Rare 3.avi ส่วนวิดีโอ
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=bUQSNuBt6j8&feature=related]YouTube - Hopi prophecy 2012 Rare video part 3.avi[/ame]

    พยากรณ์ Hopi 2012 Rare 4.avi ส่วนวิดีโอ
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=xzWDdkVuIn0&feature=related]YouTube - Hopi prophecy 2012 Rare video part 4.avi[/ame]

    พยากรณ์ Hopi 2012 Rare 5.avi ส่วนวิดีโอ
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=V_6vGmjabzw&feature=related]YouTube - Hopi prophecy 2012 Rare video part 5.avi[/ame]
     
  20. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    2012 วันสิ้นโลก

    วันที่ 21 ธันวาคม 2012 โลกจะถึงกาลดับสูญตามคำทำนายที่ปรากฏอยู่บนปฏิทินของชนชาวมายาที่ทำขึ้นเมื่อกว่าห้าพันปีก่อน

    หลายคนคงเคยได้ยินได้ฟังเรื่องเล่าที่กล่าวว่าชนชาวมายา (Maya) ได้ทำนายวันสิ้นโลกเอาไว้มาบ้างไม่มากก็น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อฮอลลีวู้ดนำไอเดียดังกล่าวไปสร้างเป็นภาพยนตร์ดัง แห่งปี ขณะที่ในความเป็นจริงแล้วชาวมายาไม่เคยทำนายวันสิ้นโลกแต่อย่างใด

    ทฤษฎีวันสิ้นโลกเกิดจากการตีความหมายบนปฏิทินแบบรอบยาวของชาวมายา หรือ Mayan Long Count Calendar ซึ่งสิ้นสุดลงเพียงวันที่ 20 ธันวาคม 2012 ทำให้หลายๆคนสงสัยว่าทำไมชาวมายาสามารถเขียนปฏิทินนับวันล่วงหน้าได้นานกว่า 5,000 ปี แต่อยู่ๆก็มาหยุดลงในวันที่ 20 ธันวาคม 2012 หรือเป็นเพราะชาวมายารู้ว่ามันจะไม่มีวันที่ 21 ธันวาคม 2012

    นอกจากปฏิทินชาวมายาแล้วก็ยังมีคำทำนายของปราชญ์โบราณและการคำนวณเหตุการณ์โดยนัก ปรัชญาสติเฟื่องในปัจจุบันบางท่านที่ระบุวันสิ้นโลกไว้ในปี 2012 เช่นเดียวกัน และจะเป็นด้วยเหตุบังเอิญหรืออะไรก็ตาม วันที่ 21 ธันวาคม 2012 จะเกิดปรากฏการณ์ทางธรรมชาติบางอย่างเป็นครั้งแรกในรอบ 26,000 ปี ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนแต่สนับสนุนทฤษฎีวันสิ้นโลกทั้งสิ้น จึงส่งผลให้เกิดการตื่นตระหนกว่าทฤษฎีนี้อาจเป็นความจริง

    กำเนิดปฏิทินชาวมายา

    ชาวมายาอาศัยอยู่ในแถบทวีปอเมริกากลางตั้งแต่เมื่อ 2,600 ปีก่อนคริสตกาล แต่เริ่มสร้างหลักปักฐานมีที่อยู่เป็นหลักเป็นแหล่งก็เมื่อราว 1,800 ปีก่อนคริสตกาล ชาวมายารอบรู้ศาสตร์สาขาต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นอักษรศาสตร์ คณิตศาสตร์ ดาราศาสตร์ ศิลปศาสตร์ ตลอดไปจนถึงสถาปัตยกรรมศาสตร์ ด้วยเหตุนี้เองทำให้เป็นที่ยอมรับกันว่าชาวมายาเป็นชนเผ่าที่มีความเจริญสูง สุดชนชาติหนึ่งของโลก

    อย่างไรก็ตามชาวมายาไม่ได้เป็นคนคิดค้นปฏิทิน หากแต่มันเป็นปฏิทินที่มีมาก่อนหน้าชนเผ่ามายาหลายร้อยปี ดังนั้น ที่เรียกกันว่าปฏิทินของชาวมายาแท้ที่จริงแล้วมันคือปฏิทินของชาวเมโสอเมริ กัน (Mesoamerican Long Count Calendar) ซึ่งทำขึ้นเมื่อ 3,114 ปีก่อนคริสตกาล ซึ่งจะเห็นว่าชาวแอซเทค (Aztec) และชนชาติอื่นๆในอเมริกากลางก็ใช้ปฏิทินแบบเดียวกันนี้

    หลายๆครั้งที่มีคนเข้าใจผิดและสับสน นำปฏิทินของชาวแอซเทคซึ่งสลักลงบนแผ่นหินรูปวงกลมมาอธิบายประกอบ ในขณะที่ปฏิทินของชาวมายานั้นแกะสลักลงบนแท่งก้อนหิน

    [​IMG]


    ตัวอักษรที่สลักลงบนแท่งหินของปฏิทินชาวมายาเป็นที่มาของความเชื่อว่าโลกจะถึงกาลดับสูญใน วันที่ 21 ธันวาคม 2012 แต่มันจะเป็นความจริงตามความเชื่อนั้นหรือไม่ เราต้องมาทำความเข้าใจตัวอักษรและวิธีการนับวันเวลาของชาวมายากันก่อน

    [​IMG]


    วันครบรอบปฏิทิน

    ปฏิทินของชาวเมโสอเมริกัน ซึ่งต่อไปนี้ขอเรียกว่าปฏิทินมายันตามที่คนส่วนใหญ่รู้จักจะได้ไม่สับสน วันแรกที่เขียนปฏิทินคือวันที่ 0 เดือน 0 ปี 0 ซึ่งตรงกับวันที่ 11 สิงหาคม ปี 3114 ก่อนคริสตกาล แต่การนับรอบเดือนและปีบนปฏิทินมายันไม่เหมือนปฏิทินปัจจุบัน เช่น ปฏิทินปัจจุบัน 30 วัน = 1 เดือน 12 เดือน = 1 ปี 12 ปี = 1 รอบนักษัตร ฯลฯ ในขณะที่ปฏิทินมายันใช้มาตรการนับเวลาที่แตกต่างออกไป ซึ่งจะขอเขียนทับศัพท์เพราะกลัวจะอ่านผิดดังนี้

    1 วัน = 1 kin
    20 kin = 1 winal
    18 winal = 1 tun
    20 tun = 1 katun
    20 katun = 1 baktun
    13 baktun = 1 รอบปฏิทินมายัน

    หากเปรียบเทียบกับปฏิทินปัจจุบัน หนึ่งเดือนบนปฏิทินมายัน = 20 วัน หนึ่งปี = 18 เดือน ต่อจากนั้นก็จะเป็นรอบตามหน่วยดังที่เห็นข้างบนไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึง 13 baktun ก็ครบรอบปฏิทินกลับมาตั้งต้นที่จุดเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง

    หากคำนวณเป็น วัน 1 รอบปฏิทินมายัน = 1,872,000 วัน หรือ 5,126 ปีตามวิธีการนับเวลาของปฏิทินปัจจุบัน (นำปีอธิกสุรทินมาคำนวณด้วย) หรือหากเขียนแบบชาวมายาคือวันที่ 12 baktun 19 katun 19 tun 17 winal 19 kin ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของปฏิทิน และหากนับเป็นวันโดยเริ่มนับศูนย์ในวันที่ 11 สิงหาคม ปี3114 ก่อนคริสตกาลไปเรื่อยจนถึงวันสุดท้ายของปฏิทิน จะตรงกับวันที่ 20 ธันวาคม 2012

    ดังนั้นหากกล่าวว่าวันที่ 20 ธันวาคม 2012 เป็นวันสุดท้ายบนปฏิทินมายันจะว่าถูกก็ถูก แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าชาวมายาทำนายว่าโลกจะแตกในวันรุ่งขึ้น หากแต่มันครบรอบปฏิทิน ถ้านับต่อก็มาเริ่มต้นกันใหม่

    [i=s] แก้ไขล่าสุด tongmen_261 เมื่อ 13-12-2009 17:29 [/i]

    คำทำนายของโฮปิ

    โฮปิ (Hopi) เป็นชนเผ่าอินเดียนแดงโบราณที่ถูกกันให้อาศัยอยู่ในเขตสงวนบริเวณรอยต่อ ระหว่างรัฐแอริโซนา นิวเม็กซิโก ยูทาห์ และโคโลราโด ชาวโฮปิมีตำนานเล่าขานสืบต่อกันมาตั้งแต่สมัยโบราณกาลว่าวันหนึ่งแผ่นดินของ โฮปิจะถูกคนผิวขาวรุกรานและนำพาชาวโฮปิไปสู่หายนะ

    [​IMG]
    ภาพสลักหินของอินเดียนแดงเผ่า โฮปี(จาก The Hopi Prophesy Stone and Native American Tradition )

    บรรพบุรุษได้เตือน ว่าอย่าได้ต่อต้านผู้รุกรานด้วยกำลัง ขอเพียงให้ตั้งมั่นอยู่บนแหล่งที่อยู่อาศัยอย่าย้ายถิ่นฐานไปไหนและดำเนิน ชีวิตไปตามวิถีทางเดิมๆ รอจนกว่าผู้ปลดปล่อยชื่อพาฮาน่า (Pahana) จะกลับมาช่วยเหลือเมื่อโลกถึงจุดสุดท้ายของยุคที่สี่

    โลกยุคแรกสิ้น สุดลงในปี 1914 อันเป็นช่วงที่เกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 ยุคที่สองสิ้นสุดลงในปี 1940 อันเป็นช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 และยุคที่สามสิ้นสุดลงในปี 1961 ส่วนยุคที่สี่จะสิ้นสุดลงเมื่อใดให้สังเกตสัญญาณบอกเหตุ 9 ประการ อันได้แก่

    1.คนผิวขาวปรากฏกายพร้อมกับสายฟ้าผ่า (ปืน)
    2.ล้อที่หมุนไปนำพาครอบครัวคนผิวขาวรุกล้ำแผ่นดินชาวโฮปิ (กองเกวียนผู้บุกเบิก)
    3.ฝูงสัตว์ป่าหน้าตาเหมือนควายแต่มีเขายาว เข้ายึดครองผืนดินชาวโฮปิ (ฝูงปศุสัตว์ของผู้บุกเบิก)
    4.งูเหล็กเลื้อยผ่านแผ่นดิน (ขบวนรถไฟ)
    5.แผ่นดินเต็มไปด้วยใยแมงมุมยักษ์ (สายไฟระโยงระยาง)
    6.แผ่นดินถูกแบ่งแยกด้วยสายธารหินที่สร้างภาพบนดวงอาทิตย์ (ถนนสร้างภาพสะท้อนลวงตา)
    7.ทะเลกลายเป็นสีดำ สิ่งมีชีวิตจำนวนมากล้มตาย (น้ำมันดิบรั่วลงสู่ทะเล)
    8.คนหนุ่มสาวไว้ผมยาวเหมือนชาวอินเดียนแดง หันมาใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับคนพื้นเมืองและให้ความสนใจในปรัชญา (ฮิปปี้)
    9.ที่พักอาศัยบนสรวงสวรรค์ร่วงหล่นจากท้องฟ้า (สถานีอวกาศ Skylab ตกในปี 1979)

    เมื่อสัญญาณบอกเหตุทั้ง 9 สิ่งเกิดขึ้นสมบูรณ์แล้ว อีกไม่กี่ปีหลังจากนั้นคนผิวขาวจะทำสงครามกับชนชาติต่างๆบนผืนแผ่นดินนอก ประเทศ ไม่นานนักจะมีผู้เก่งกาจเกิดขึ้นบนแผ่นดินเก่า (เช่น จีน อินเดีย แอฟริกา อาหรับ) เขาจะประกาศสงครามกับคนผิวขาว อเมริกาจะถูกทำลาย สถานที่หลบภัยไม่สามารถป้องกันภัยพิบัติได้ ผู้คนจำนวนมากจะล้มตาย ผู้ที่เหลือรอดคือคนที่มีสันติภาพอยู่ในใจ (อาจหมายถึงพวกที่ใช้ชีวิตสันโดดห่างไกลความเจริญทางวัตถุ) เมื่อถึงเวลานั้นพาฮาน่าจะกลับมาช่วยเหลือ ผู้ที่รอดชีวิตจะหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวไม่แบ่งแยกเชื้อชาติและสีผิว เป็นอันสิ้นสุดโลกยุคที่สี่

    เหตุการณ์ได้เกิดขึ้นตรงกับคำทำนายของ บรรพบุรุษชาวโฮปิแล้วทุกประการนอกจากผู้เก่งกาจบนแผ่นดินเก่ายังไม่ปรากฏตัว หรืออาจจะปรากฏตัวขึ้นแล้วแต่ไม่มีใครรู้ว่าเป็นเขา ก็รอดูกันว่าเหตุการณ์สุดท้ายของคำทำนายจะเกิดขึ้นเร็วๆนี้หรือไม่

    ทฤษฎีคลื่นเวลา

    ต้นทศวรรษที่ 1970 เทอร์เรนซ์ แม็คเคนน่า (Terrence McKenna) นักเขียนและนักค้นคว้าให้ความสนใจกับคัมภีร์อี้จิงของชาวจีนโบราณ เขาสังเกตว่าคำพยากรณ์เขียนเป็นสัญลักษณ์ 64 รูปแบบที่ปรากฏในคัมภีร์นั้น ประกอบขึ้นจากเส้นเดี่ยวและเส้นคู่ 6 แถวเท่านั้น ซึ่งสัญลักษณ์เหล่านี้เมื่อเขียนกลับหัวจะกลายเป็นสัญลักษณ์ของตัวถัดไปที่ อยู่ติดกันนอกจากสัญลักษณ์ตัวที่ 1, 2, 27, 29, 61 และ 62 เมื่อเขียนกลับหัวก็ยังคงมีรูปร่างเหมือนเดิม

    เทอร์เรนซ์ศึกษาคัมภีร์อี้ จิงอย่างเอาเป็นเอาตาย เขานำความรู้ที่ได้มาแปลงเป็นสมการคณิตศาสตร์แล้วให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำ การคำนวณอิทธิพลของดวงดาวต่อเหตุการณ์สำคัญตามหลักโหราศาสตร์แล้วนำมาเทียบ เคียงเปรียบเทียบกับวันเวลาตามความเป็นจริง ซึ่งเขาพบว่าเส้นกราฟจะตกลงถึงจุดต่ำสุดในวันที่เกิดเหตุการณ์สำคัญๆบนโลก ทุกครั้ง และไม่ต้องบอกก็คงจะเดากันได้ว่าเส้นกราฟตกลงถึงศูนย์ในวันที่ 21 ธันวาคม 2012

    หากยังไม่เชื่อคำทำนายเหล่านี้ ลองมาดูวิชาดาราศาสตร์สมัยใหม่กันบ้าง เวลา 23.11 น. ของวันที่ 21 ธันวาคม 2012 ดวงอาทิตย์จะโคจรเข้าสู่จุดที่เส้นศูนย์สูตรของดวงอาทิตย์หันตรงกับจุดกึ่ง กลางของทางช้างเผือก ซึ่งเหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นเพียงหนึ่งครั้งในทุกๆ 26,000 ปี เหตุการณ์นี้ย่อมส่งผลกระทบต่อสนามแม่เหล็กโลก แต่จะรุนแรงแค่ไหนอีก 3 ปีเราจะได้รู้กัน

    [​IMG]


    นอกจากนี้ยังมีการตีความคำ ทำนายของนอสตราดามุส (Nostradamus) และโหรดังๆในอดีตหลายท่านว่าโลกจะถึงกาลอวสานในปี 2012 เช่นเดียวกัน เมื่อนำคำนายและความเชื่อเหล่านี้มารวบรวมเข้าด้วยกัน ทำให้ทฤษฎีวันสิ้นโลกฟังดูมีน้ำหนักมากขึ้น ทั้งๆที่หากวิเคราะห์ข้อมูลอย่างละเอียดจะพบว่ามันเป็นการจับแพะมาชนแกะเท่า นั้นเอง

    ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 5 ฉบับที่ 233 วันที่ 14-20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552 หน้า 42 คอลัมน์ ร้ายสาระ โดย ศิลป์ อิศเร

    2012 วันสิ้นโลก(หน้า 1) - Mysterious - Mythland | รวมเรื่องลึกลับ | The Mysterious World,เรื่องลึกลับ,UFO,จานบิน,มนุษย์ต่างดาว,เ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 กุมภาพันธ์ 2011
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...