Subliminal Messages การซ่อนข้อความหรือความหมายในที่ต่างๆ???

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย k.kwan, 21 พฤศจิกายน 2010.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    เสียงซุบซิบกับเพลงล้างสมองวัยรุ่น [EN]
    29 กันยายน 2552 - 13:31:00


    [SIZE=+0][​IMG] [ BBC ][/SIZE]




    [SIZE=+0][SIZE=+0]ภาพรวมของการวิจัยที่ผ่านมา > [/SIZE][ BBC ][/SIZE]
    • [SIZE=+0][SIZE=+0]พ.ศ. 2500 อ.เจมส์ วิคารีพบว่า การฉายโฆษณาช่วงสั้นมากๆ แบบ "แวบเข้ามา" ทำให้คนดูหนังซื้อสินค้าเพิ่มได้ เรียกปราฏการณ์นี้ว่า 'subliminal advertising' (sub- = ใต้; liminal = threshold = ระดับการรับรู้ ความรู้สึก) หรือ 'SA' [/SIZE][/SIZE]
    • พ.ศ. 2501 สหรัฐฯ ยุโรป และออสเตรเลียห้ามใช้เทคนิคนี้ในการโฆษณา
    • [SIZE=+0][SIZE=+0]พ.ศ. 2505 อ.วิคารียอมรับว่า ได้ปลอมแปลงผลงานวิจัย [/SIZE][/SIZE]
    • [SIZE=+0][SIZE=+0]พ.ศ. 2517 UN (องค์กรสหประชาชาติ) ประกาศว่า เทคนิค SA เป็นภัยคุกคามต่อสิทธิมนุษยชน [/SIZE][/SIZE]
    • [SIZE=+0][SIZE=+0]พ.ศ. 2528 อ.ดร.โจ สเทสซี แนะนำผ่านวุฒิสมาชิกสหรัฐฯ ว่า ควรมีการศึกษาวิจัยเรื่องนี้เพิ่มเติม เนื่องจากมีการแอบนำไปใช้ในการแสดงเพลงเฮฟวี่ เมทัล (อาจใช้ในการโฆษณาชวนเชื่อ ปลุกระดม ล้างสมองคน โฆษณา หรือยุยงคนในสังคมให้แตกเป็นฝักฝ่ายได้) [/SIZE][/SIZE]
    • [SIZE=+0][SIZE=+0]พ.ศ. 2533 พ่อแม่เด็กผู้ชายหลายคนที่ฆ่าตัวตายหมู่หลังฟังเพลงยูดาส พริสท์ (Yudas Priest) ฟ้องศาล วงดนตรีดังกล่าวยอมรับว่า ใช้เทคนิค SA จริง โดยใช้หลอกให้ผู้ฟังซื้อสินค้ามากๆ แต่ไม่ยอมรับว่า ล้างสมองให้วัยรุ่นฆ่าตัวตาย [/SIZE][/SIZE]
    • อังกฤษ (UK) ห้ามใช้เทคนิค SA ใน TV
    [SIZE=+0][SIZE=+0]... [/SIZE][/SIZE]
    [SIZE=+0][SIZE=+0]ศ.นิลลิ ลาวี และคณะ จากมหาวิทยาลัยคอลเลจ ลอนดอน UK ทำการศึกษา โดยให้อาสาสมัคร 50 คนเห็นภาพตัวอักษรที่โผล่ออกมาช่วงสั้นๆ แบบวูบๆ วาบๆ ด้วยความเร็วระดับเสี้ยวเศษของวินาที ทำให้เห็นได้ แต่อ่านไม่ทัน [/SIZE][/SIZE]
    [SIZE=+0][SIZE=+0]คำเหล่านี้มีทั้งคำเชิงบวก เช่น ร่าเริง สันติภาพ ดอกไม้ ฯลฯ, คำเชิงลบ เช่น สิ้นหวัง ฆ่า ทุกข์ทรมาน ฯลฯ, และคำกลางๆ เช่น กล่อง หู เตา ฯลฯ [/SIZE][/SIZE]
    ...
    [SIZE=+0][SIZE=+0]หลังการฉายแวบคำผานไป ให้อาสาสมัยลอกว่า คำนั้นเป็นคำกลางๆ หรือมีอารมณ์ไปในเชิงบวกหรือลบ และตัดสินใจเลือกคำนั้นๆ อย่างไร [/SIZE][/SIZE]
    [SIZE=+0][SIZE=+0]ผลการศึกษาพบว่า คำตอบแม่นมากที่สุดกับคำเชิงลบ โดยตอบถูก 66% เมื่อเทียบกับคำเชิงบวกซึ่งตอบถูก 50% [/SIZE][/SIZE]
    ...
    [SIZE=+0][SIZE=+0]ท่านรายงานผลการศึกษาในวารสารอารมณ์ (J Emotion) ว่า เทคนิคการใช้โฆษณาแบบวูบๆ วาบๆ หรือ SA ใช้ได้ผล และแนใช้ะนำว่า ถ้าจะโฆษณาอะไรที่ดี ให้ใช้คำพูดเชิงลบกับเรื่องร้ายๆ [/SIZE][/SIZE]
    ตัวอย่างเช่น ถ้าจะโฆษณาให้ขับรถช้าๆ มีแนวโน้มว่า โฆษณา 'Slow Down' = ขับช้าๆ จะได้ผลน้อยกว่าโฆษณา 'Kill Your Speed' = "อย่าขับเร็ว"
    [SIZE=+0][SIZE=+0]... [/SIZE][/SIZE]
    [SIZE=+0][SIZE=+0]ผลการศึกษานี้อาจนำไปใช้ในทางที่ดีได้ เช่น อาจทำเทปเพลงหรือเสียงสวดมนต์ที่แทรกเสียงกระซิบ หรือภาพฉายวาบช่วงสั้นๆ ซุบซิบแบบ SA [/SIZE][/SIZE]
    [SIZE=+0][SIZE=+0]ตัวอย่างเช่น แทรกเสียง "ความปวดหายไปๆๆ" สำหรับคนไข้มะเร็ง, แทรกเสียง "อาการดีขึ้น เบาสบาย" สำหรับคนไข้ซึมเศร้า, หรือแทรกเสียง "สบายใจจัง" สำหรับคนไข้โรคเครียด [/SIZE][/SIZE]
    ...
    [SIZE=+0][SIZE=+0]พ่อแม่อาจทำเทปแทรกเสียงสะกดจิตลูกหลาน เช่น "ความขี้เกียจหายไปๆๆ" ให้วัยรุ่นฟัง [/SIZE][/SIZE]
    [SIZE=+0][SIZE=+0]ทีนี้ข่าวดีย่อมมาคู่กับข่าวร้าย คือ อาจมีคนนำเทคนิค SA ไปใช้ในการล้างสมองคนได้ เช่น เจ้าสำนักโลภมากอาจแทรกเสียง "บริจาคมากๆ" ไปในเทป หรือมิวสิควิดีโออาจแทรกภาพคำฉายวาบ หรือเสียงสะกดจิตหลอกผู้ฟังได้ ฯลฯ [/SIZE][/SIZE]
    [SIZE=+0][SIZE=+0]... [/SIZE][/SIZE]
    ท่านพระอาจารย์เทพพนม อาจารย์สอนพระอภิธรรม (ท่านเป็นวิศวกรไฟฟ้าก่อนบวช) กล่าวถึงเรื่องการเมืองไว้ว่า "การเมืองเป็นเรื่องที่เราไม่รู้จริง การทุ่มสุดตัวไปกับเรื่องที่เราไม่รู้จริงเป็นความเสี่ยง"
    [SIZE=+0]คำแนะนำนี้คงให้ข้อคิดกับพวกเราได้ไม่มากก็น้อย โดยเฉพาะในยุคที่มีเทคนิค SA เที่ยวไปสะกดจิตบ้าง ทำคนให้ลุ่มหลงบ้างต่างๆ นานา [/SIZE]
    [SIZE=+0]... [/SIZE]
    [SIZE=+0][SIZE=+0]ถึงตรงนี้... ขอให้พวกเรามีสุขภาพดีไปนานๆ และอยู่รอดปลอดภัยจากเทคนิคสะกดจิตสมัยใหม่ในทางไม่ดีครับ [/SIZE][/SIZE]
    [SIZE=+0]... [/SIZE]
    [SIZE=+0][SIZE=+0][SIZE=+0][SIZE=+0][SIZE=+0][SIZE=+0]ภาษาอังกฤษสบายๆ สไตล์เรา [/SIZE][/SIZE][/SIZE][/SIZE][/SIZE][/SIZE]
    [SIZE=+0]ต้นฉบับเรื่องนี้คือ 'Negative subliminal messages work' = "ข้อความเชิงลบใต้ระดับการรับรู้ (subliminal = ใต้ระดับการรับรู้) ทำงานได้"[/SIZE]
    ข้อความตอนหนึ่งกล่าวว่า 'But critics say there is no evidence this would work outside a laboratory.' = "แต่มีคำวิจารณ์ว่า ไม่มีหลักฐาน (evidence = หลักฐานจากการศึกษาวิจัยอย่างเป็นระบบ) ว่า เรื่องนี้ (SA) ใช้ได้ผลนอกห้องแลป (laboratory = lab. = ห้องปฏิบัติการ)
    ...
    คลิกลิ้งค์ > คลิกลำโพง-ธงชาติ > ฟัง-ออกเสียงตามเจ้าของภาษา 3 รอบ เพื่อให้จำศัพท์ได้ถูกต้องและเร็ว
    @@ [ critic ] > [ คริท - ถิค - k ] > noun = นักวิจารณ์ คนชอบจับผิด
    @@ [ criticize / criticise ] > [ คริท - ถิ - ส่าย - s ] > verb = วิจารณ์ นินทา
    ตัวอย่าง
    ## They are the music critic for the local magazine. = พวกเขา (พวกเธอ) เป็นนักวิจารณ์ดนตรีให้นิตยสาร (= magazine) ท้องถิ่น.
    ## They criticize the music video. = พวกเขา (พวกเธอ) วิจารณ์มิวสิควิดีโอ (เรื่องนั้น).
    [​IMG] ติดตามบล็อกของเราได้ทางทวิตเตอร์ > [ Twitter ]




    [SIZE=+0][SIZE=+0][SIZE=+0][SIZE=+0][SIZE=+0][SIZE=+0]ที่มา [/SIZE][/SIZE][/SIZE][/SIZE][/SIZE][/SIZE]
    • [SIZE=+0]Thank BBC > Negative subliminal messages work. 28 September 2009.[/SIZE]
    • นพ.วัลลภ พรเรืองวงศ์ รพ.ห้างฉัตร ลำปาง สงวนลิขสิทธิ์. ยินดีให้นำไปเผยแพร่โดยอ้างอิงที่มาได้. ห้ามนำไปใช้เพื่อการค้า > 29 กันยายน 2552.
    • ข้อมูล ทั้งหมดเป็นไปเพื่อการส่งเสริมสุขภาพ ไม่ใช่วินิจฉัยหรือรักษาโรค ท่านที่มีโรคประจำตัวหรือความเสี่ยงต่อโรคสูงจำเป็นต้องปรึกษาหมอที่ดูแล ท่านก่อนนำข้อมูลไปใช้.
    บ้านแห่งความสำเร็จ - เสียงซุบซิบกับเพลงล้างสมองวัยรุ่น [EN]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 มิถุนายน 2011
  2. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    จุดต่ำสุดคือจุดเริ่มต้นที่ดีที่สุด

    19 มกราคม 2554 - 15:48:00


    [​IMG]

    ในยามที่ใครก็ตามต้องประสบกับความผิดหวังอย่างหนัก

    ชีวิตเหมือนกำลังดิ่งสู่ก้นเหวลึกเบื้องล่าง..

    ไม่รู้ชะตากรรมแม้ในเสี้ยววินาทีถัดไป

    ความคิดความรู้สึกในวูบนั้นก็คงไม่แตกต่างกันมากนัก

    ความสับสนวกวน..ไม่มีจุดเริ่มต้นและหาจุดสิ้นสุดไม่ได้

    ไม่มีคำอธิบายและไร้ซึ่งคำตอบ...

    ส่วนในใจมักจะพร่ำถามตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่าว่า

    "ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ?..."

    ความรู้สึกของการไม่มีใครในยามที่ต้องประสบปัญหาร้ายแรง(ที่สุด)ในชีวิต

    แม้ใยามยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชน...

    แต่ก็ดูเหมือนจะไม่มีใครรับรู้ถึงความรู้สึกภายในใจเราแม้แต่คนเดียว

    นั่นเองที่ถือว่ามันเป็นจุดเริ่มต้นของการพบใครบางคน

    ที่สำคัญที่สุดในชีวิต..ซึ่งก็คือ "ตัวเราเอง..."

    มนุษย์ทุกคนต่างต่อสู้เพื่อการมีชีวิตอยู่ตามสัญชาตญาณ

    นอกเสียจากผู้ที่หมดสิ้นแล้วซึ่งความหวัง

    และเมื่อถึงจุดๆหนึ่ง เขาอาจจะต้องกลับมาเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่อีกครั้ง

    หากคิดให้ดีนี่แหละคือจุดเริ่มต้นที่แท้จริงของคนเรา

    การมองเห็นสัจธรรมที่ว่า...

    "เมื่อตอนเกิดมาก็ไม่มีอะไร ตอนตายก็ไม่มีอะไร

    หากตอนนี้เราไม่มีอะไรก็ถือว่าเราไม่ได้เสียอะไรไป แค่เท่าทุนเท่านั้น..."

    ไม่ใช่ว่าเราจะต้องทิ้งทุกอย่างเพื่อกลับไปสู่จุดเริ่มต้น

    แต่ถ้าจะมีใครสักคนที่คิดว่า..

    การที่ตัวเองไม่มีอะไรแล้วถือว่าเป็นความโชคร้ายที่สุดในชีวิต

    ก็ขอเพียงแต่ให้ลองกลับไปมองในมุมตรงข้ามที่ไม่เคยมองดูบ้าง

    อาจจะเจออะไรดีๆ ที่ซ่อนอยู่ก็เป็นได้...

    มันเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับคนที่เคยคิดว่าตัวเองไม่มี

    แล้วบังเอิญวันนี้ไม่มีอะไรอีก..

    ก็มักคิดว่าตัวเองได้สูญเสียทุกอย่างไปแล้วโดยที่ลืมคิดไปว่า

    ไม่มีอะไรที่เป็นของเราเลย..มีเพียงสิ่งเดียวที่ใช่

    ซึ่งก็คือความคิดและจิตใจของเราเองเท่านั้น..

    ดังนั้น..การได้ลิ้มลองรสชาติของการไม่มีอะไร

    นั่นคือจุดเริ่มต้นของการมีทุกสิ่ง..อย่าได้ยึดติดอะไรให้มากนักเลย

    ทุกอย่างมีได้มีเสีย..มีขึ้นมีลง มีเข้ามีออก มีทุกข์มีสุข มีบวกมีลบ

    เพียงแต่ตอนนี้เรากำลังยืนอยู่บนด้านลบของชีวิต

    แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่แสดงว่า..

    อีกไม่นานด้านบวกของชีวิตกำลังจะมุ่งตรงมาที่เรา

    ทำไมไม่ทำใจให้สบายรอรับมันเสียเล่า ?...


    ขอบคุณบทความจากทำดีดอทเน็ต(จั่นเจา)
    บ้านแห่งความสำเร็จ - จุดต่ำสุดคือจุดเริ่มต้นที่ดีที่สุด
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 มิถุนายน 2011
  3. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    การฝึกระลึกรู้ตัว รู้เท่าทัน อารมณ์ ความคิด ความรู้สึก ฝึกมีสติรู้ดีรู้ชั่ว รู้ละอายต่อบาป
    การฝึกเจริญสติปัฏฐาน รู้กายรู้ใจ รู้ตัวรู้ตน มีความรู้สึกตัวเนืองๆ
    จะช่วยให้เรามีสติรู้เท่าทันเหตุการณ์ ไม่หลงโดนคนอื่นจูงจมูกง่ายๆ ไม่โดนคนอื่นครอบงำความคิดง่ายๆ
    ยิ่งสมัยนี้ มีคนรู้เทคนิคสะกดจิตหมู่แบบ SA ด้วย ยิ่งต้องรู้เท่าทันโลก และรู้ตัวเองให้มากๆ
    จะได้ไม่กลายเป็นซอมบี้(คนขาดสติสัมปชัญญะ) นะพี่น้อง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 มิถุนายน 2011
  4. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ถ้าเราหมั่นสังเกตตัวเอง ว่าดูคลิปวีดีโอ ดูเพลง ดูสารคดี ดูเคเบิลทีวี
    หรือดูรายการอะไรก็แล้วแต่ ตัวเราเองมีปฏิกิริยาตอบสนองเป็นอย่างไร มีอารมณ์ฉุนเฉียว
    เครียด รุนแรงก้าวร้าว หรือปลอดโปร่งโล่งสบาย ก็ต้องใช้วิจารณญาณเลือกเฟ้นด้วย
    อันไหนมีผลไม่ดีต่อตัวเราก็ให้หลีกเลี่ยงเสีย เพราะถ้าหลงเสพไปเรื่อยๆ
    อาจหลงเป็นทาสเขาไปแล้วจะถอนตัวยาก อิอิ
    อันไหนมีผลดีต่อตัวเองก็เอามาใช้บำบัดรักษาก็เอาประยุกต์ใช้ได้ตามหลักจิตเวช
    เราใช้กับตัวเอง เรากำหนดเองได้ ก็เอามาเป็นอุบายฝึกฝนตนเอง
    เป็นทาสตัวเองก็ยังโอเค แต่เป็นทาสคนอื่นมันคงไม่ดีหรอก เนอะ
     
  5. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    พระสูตรสัทธรรมปุณฑรีกะ
    วัดโพธิ์แมนคุณาราม
    นายชะเอม แก้วคล้าย แปลจากต้นฉบับสันสกฤต

    บทที่ 5
    โอษธีปริวรรต
    ว่าด้วยต้นไม้นานาพันธุ์
    ในกาลครั้ง พระผู้มีพระภาค ได้ตรัสเรียกพระมหากาศยปะ ผู้มีอายุ และพระมหาสาวกเถระรูปอื่นๆ มาแล้ว (ตรัสว่า) ดูก่อนมหากาศยปะ ดีละ ดีละ เป็นความดีของพวกเธอที่ได้กล่าวพรรณนาคุณอันแท้จริงของพระตถาคต ดูก่อนกาศยปะ เหล่านี้ คือคุณอันแท้จริงของพระตถาคต แต่พระตถาคต มีคุณอีกมากมาย จนนับไม่ได้ ประมาณไม่ได้ แม้จะกล่าวอยู่เป็นเวลาหลายกัลป์ติดต่อกันไป ก็ยากที่จะพรรณนาให้หมดได้ ดูก่อนกาศยปะ พระตถาคต เป็นธรรมสวามี เป็นพระราชาแห่งธรรมทั้งปวง ดูก่อนกาศยปะ พระตถาคตแสดงธรรมใด ณ ที่ใด ธรรมนั้น ย่อมเป็นเช่นนั้น ดูก่อนกาศยปะ ก็แลพระตถาคต ได้แสดงธรรมทั้งปวงอย่างเหมาะสม พระตถาคต ย่อมเห็นแจ้งอรรถแห่งธรรมทั้งปวง ดูก่อนกาศยปะ พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นผู้เข้าถึงอรรถแห่งธรรมทั้งปวง เป็นผู้มีอัธยาศัยในธรรมทั้งปวง เป็นผู้มีปรมัตถบารมีในญาณ อันเป็นกุศโลบาย ในการวินิจฉัยธรรมทั้งปวง เป็นผู้ชี้สัพพัญญุตญาณ เป็นผู้หยั่งลงในสัพพัญญุตญาณ และเป็นผู้แสดงสัพพัญญุตญาณ
    ดูก่อน กาศยปะ เปรียบเหมือนเมฆฝนที่แผ่ขยายไปเหนือสามพันโลกธาตุน้อยใหญ่ตลอดทั้งต้นหญ้า ไม้เล็ก ไม้ใหญ่นานาพรรณ นานาประการ และไม้บ้าน ที่มีชื่อต่างๆ กัน ทั้งที่เกิดบนพื้นที่ราบ ขนภูเขา อยู่ที่ซอกเขา เมฆนั้น ครั้นขยายกว้างออกไป ก็คลุมพื้นที่โลกธาตุสามพันน้อยใหญ่ทั้งหมด แล้วหลั่งเป็นฝนลงมาในพื้นที่ทั้งปวงในเวลาพร้อมกัน ดูก่อนกาศยปะ ณ ที่นั้นในโลกธาตุสามพันน้อยใหญ่นั้น ต้นหญ้า ไม้เลื้อย ไม้ใหญ่ รวมทั้งไม้อ่อนก็จะแตกหน่อ กิ่งก้านและใบ ไม้เล็ก ไม้ใหญ่ ทั้งหมดเหล่านั้น จะดูดน้ำ ที่ตกมาจากเมฆตามกำลังและความจำเป็น และด้วยน้ำที่มีสภาพเช่นเดียวกัน ซึ่งตกมาจากเมฆนั้น ไม้ก็จะเจริญเติบโตขึ้น ตามกำลังความสามารถของแต่ละชนิดพันธุ์ แล้วก็ผลิดอกออกผล และได้ชื่อต่างๆกัน แต่ละอย่าง แต่ละชนิด พันธุ์ไม้ต่างๆทั้งหมดเหล่านั้น หยั่งรากลงสู่พื้นดิน เดียวกันได้ รับความชุ่มชื้นด้วยน้ำที่มีสภาพเช่นเดียวกัน
    ดูก่อนกาศยปะ ในทำนองเดียวกัน พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า อุบัติขึ้นในโลกซึ่งก็เหมือนมหาเมฆบังเกิดขึ้น พระตถาคตอุบัติขึ้นมาแล้ว ได้เตือนชาวโลก พร้อมกับเทวดา มนุษย์และอสูรให้สำนึก ดูก่อนกาศยปะ ข้อนั้นก็เหมือนกับเมฆใหญ่ปกคลุมโลกธาตุสามพันน้อยใหญ่ทั้งปวงไว้ ดูก่อนกาศยปะ ทำนองเดียวกัน พระตถาคตสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ประกาศก็อง ต่อหน้าชาวโลก เทวดา มนุษย์และอสูรว่า ดูก่อนเทวดา และมนุษย์ผู้เจริญทั้งหลาย เราเป็นพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เราข้าม (สงสารสาคร) ได้แล้ว ปรารถนาให้ผู้อื่นข้ามด้วย เราพ้นแล้ว ปรารถนาให้ผู้อื่นพ้นด้วย เราสงบแล้ว ปรารถนาให้ผู้อื่นสงบด้วย เราเป็นผู้ดับสนิทแล้ว ปรารถนาให้ผู้อื่นดับสนิทด้วย ก็แล เราเป็นสัพพัญญู(ผู้รู้ทุกอย่าง) เป็นสัพพวิปัสสี (ผู้เห็นทุกอย่าง) ย่อมรู้โลกนี้และโลกอื่น ตามความเป็นจริงด้วย ปัญญา อันชอบ ดูก่อนเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ท่านทั้งหลาย จงเข้ามาใกล้เรา เพื่อฟังธรรมเราเป็นผู้บอกทางแห่งความหลุดพ้น เป็นผู้ชี้ทาง เป็นผู้รู้ทางและชำนาญทาง ดูก่อน กาศยปะ ณ ที่ นั้นสรรพสัตว์หลายหมื่นแสนโกฏิ เข้ามาใกล้ๆ เพื่อฟังธรรมของพระตถาคต ครั้งนั้น แม้พระตถาคต จะทราบประมาณมากน้อยแห่งพลังอินทรีย์ของสัตว์ทั้งหลาย จึงแสดงธรรมบรรยายทั้งหลายเหล่านั้น ได้แสดงธรรมกถาเหล่านั้นมากมาย แตกต่างกันออกไป มีทั้งเรื่องชวนหรรษา น่ารื่นเริงบันเทิงใจ และเรื่องที่ก่อเกิดประโยชน์และความสุข สัตว์ทั้งหลายผู้ยินดีแล้วย่อมมีความสุขในธรรม และครั้นตายไป ก็จะได้ไปบังเกิดในสุคติ อันเป็นถิ่นที่เขาทั้งหลายจะได้บริโภคกาม (ความสุข) มากมาย และจะได้ฟังธรรม ก็แลเมื่อฟังธรรมนั้นแล้ว ก็จะหลุดพ้นจากนิวรณธรรม และจะตั้งมั่นอยู่ในธรรมของพระสัพพัญญู โดยลำดับไป ตามสมควรแก่กำลัง วิสัย และสถานที่
    ดูก่อนกาศยปะ เมื่อมหาเมฆปกคลุมโลกธาตุสามพันน้อยใหญ่ทั้งปวงแล้ว ได้หลั่งน้ำฝน พรมต้นหญ้า ไม้เล็ก ไม้ใหญ่ ต้นหญ้า ไม้เล็ก ไม้ใหญ่เหล่านั้น ได้ดูดซับน้ำตามสมควรแก่กำลัง วิสัยและสถานที่ ย่อมแพร่พันธุ์ ไปตามชนิดของตน ฉันใด ดูก่อนกาศยปะ ฉันนั้นเหมือนกัน พระตถาคตอรหันตสัมมาสัพพุทธเจ้า แสดงธรรมใด ธรรมนั้นทั้งหมด มีรสเดียวกันคือ วิมุกติรส วิราครส และนิโรธรส ที่มีสัพพัญญุตญาณเป็นที่สุด
    ดูก่อนกาศยปะ ณ ที่นั้น เมื่อพระตถาคตแสดงธรรมอยู่ สัตว์ทั้งหลาย ฟัง ทรงจำและปฏิบัติอยู่ (แต่) พวกเขาไม่รู้ ไม่เข้าใจ กำหนดไม่ได้ ซึ่งตนเอง ข้อนั้น เป็นเพราะเหตุไร ดูก่อนกาศยปะ เพราะเหตุว่า พระตถาคตเท่านั้น ย่อมรู้ว่า สัตว์ทั้งหลายเหล่านั้น เป็นอย่างไร เป็นเช่นไร คิดสิ่งใด อย่างไร และเพราะเหตุอะไร จึงคิด เจริญอะไร อย่างไร และเพราะเหตุไรจึงเจริญ ได้รับอะไร ได้รับอย่างไร และเพราะเหตุไร จึงได้รับ ดูก่อนกาศยปะ พระตถาคตเท่านั้น ณ ที่นั้น เป็นผู้เห็นประจักษ์ สัตว์ทั้งหลายเหล่านั้น ทั้งผู้ที่ต่ำทราม ผู้สูงส่ง และผู้ระดับกลาง เหมือนเห็นไม้เล็ก ไม้ใหญ่ ไม้เจ้าป่า ซึ่งยืนต้นอยู่บนพื้นดินถิ่นต่างๆ
    ดูก่อนกาศยปะ เรารู้ว่า ธรรมมีรสเดียวคือ วิมุกติรส นิรวฤติรส ซึ่งมีนิพพานเป็นที่สุด เป็นธรรมที่ดับนิรันดร์ มีฐานะเดียวคือน้อมไปสู่ความเป็นศูนยตา เมื่อรักษาสัตว์ทั้งหลายอยู่ จึ่งไม่ประกาศสัพพัญญุตญาณ โดยเร็ว ดูก่อนกาศยปะ ท่านทั้งหลาย ย่อมอัศจรรย์ใจ ประหลายใจ ที่ไม่สามารถ หยั่งลงสู่ธรรมที่เราแสดงแล้ว ข้อนั้น เป็นเพราะเหตุไร ดูก่อนกาศยปะ เพราะว่า ธรรมที่พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสแล้วนั้น เป็นสิ่งที่เข้าใจยากยิ่ง
    เวลานั้น พระผู้มีพระภาค เมื่อจะทรงแสดงข้อความนั้นให้พิสดารยิ่งขึ้น จึงตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า
    1 เราเป็นธรรมราชา อุบัติขึ้นมาในโลก เพื่อทำลายภพ เราตรวจอุปนิสัยของสัตว์ทั้งหลายแล้ว จึงแสดงธรรม
    2 นักปราชญ์ ผู้มีความรู้และกล้าหาญ ย่อมรักษาธรรมที่เรากล่าวแล้ว ให้คงอยู่ ตลอดไป ย่อมรักษาความลึกล้ำ (ของธรรมไว้) ไม่แสดงแก่ชนทั่วไป
    3 ญาณ (ธรรม) นั้นเป็นสิ่งที่รู้ได้ยาก สามัญชนหากได้ฟังโดยฉับพลัน ก็จะงุนงง เพราะความไม่เข้าใจนั้น พวกเขาผู้มีปัญญาน้อย ก็จะเกิดผิดทาง (ปฏิบัติผิด)
    4 เรากล่าวตามความเหมาะสม (วิสัย) และตามพละกำลังของเขา เราแสดงธรรมที่เหมาะสมด้วยอรรถ (ความหมาย)ต่างๆ
    5 ดูก่อน กาศยปะ เปรียบเหมือนเมฆที่เกิดขึ้นเหนือโลกธาตุ ห่อหุ้มวัตถุทั้งปวงและปกคลุมโลกธาตุไว้
    6 มหาเมฆนั้นชุ่ม (สมบูรณ์) ด้วยน้ำ ประกอบกับสายฟ้ากำลังคำรามอยู่ พึงทำให้สัตว์ทั้งปวง ยินดี ด้วยเสียงคำรามนั้น
    7 เมฆนั้น กั้นแสงพระอาทิตย์ ทำพื้นที่ให้เย็นลง ลอยลงมาแทบจะเอามือเอื้อมถึงพึงปล่อยน้ำ (ฝน) ลงมาโดยรอบ
    8 ก็แล เมฆนั้นนั่นเอง ที่ทำให้ฟ้าแลบ แล้วหลั่งฝนลงมา เป็นจำนวนมากจนทำให้ภาคพื้นเมทินีชุ่มฉ่ำโดยทั่วไป
    9 ไม้ล้มลุกทั้งหลายก็ผุดขึ้นบนพื้นดิน รวมทั้งหญ้า พุ่มไม้ ป่าไม้ และต้นไม้ใหญ่ ทั้งหลาย
    10 พืชชนิดต่างๆ ก็จะกลายเป็นเขียวชอุ่มขึ้น แม้ที่เนินเขา ท้องทุ่ง และหมู่บ้าน
    11 เมฆนั้น ทำให้หญ้า พุ่มไม้ และต้นไม้ทั้งปวง สดชื่น ทำให้แผ่นดินที่แตกระแหงชุ่มชื่น จึงให้(อาหาร)แก่พืช
    12 หญ้าและพุ่มไม้ ต่างก็ซึมซับน้ำที่มีคุณสมบัติอย่างเดียวกัน ที่ตกจากเมฆ และขังอยู่ในที่นี้ ตามกำลังความสามารถของตน
    13 ต้นไม้น้อยใหญ่ทั้งปวง เมื่อดูดซึมน้ำตามความสามารถแล้ว ย่อมเจริญขึ้นเร็ว บ้าง ปานกลางบ้าน ข้าบ้าง ตามธรรมชาติ
    14 ต้นไม้ใหญ่ ซึ่งมีลำต้น แก่น เปลือก กิ่ง ก้าน ใบ ที่ได้รับน้ำจากเมฆ ย่อมผลิดอกออกผล
    15 แม้น้ำที่ตกจากเมฆจะมีรสเป็นเช่นเดียวกัน ต้นไม้เหล่านั้น ก็ย่อมผลิผลแต่ละชนิด ตามกำลัง ตามธรรมชาติ ความเหมาะสม และลักษณะของพันธุ์
    16 ดูก่อนกาศยปะ ในทำนองเดียวกัน พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาในโลก เหมือนกับเมฆฝนที่เกิดขึ้นในโลก ครั้นอุบัติขึ้นแล้ว พระองค์ผู้เป็นที่พึ่งของโลก ก็ได้แสดง(ธรรม) และชี้แนวทางการปฏิบัติที่เป็นจริงแก่สัตว์ทั้งหลาย
    17 มหาฤษี ผู้ที่ได้รับการยกย่องในโลกนี้ พ้อมทั้งเทวโลก ประกาศก็องอย่างนี้ว่า เราเป็นพระตถาคต เป็นผู้สูงสุดในหมู่มนุษย์ เป็นพระชินเจ้า อุบัติขึ้นมาในโลกนี้ เหมือนกับเมฆฝน
    18 เราจะทำสัตว์ทั้งหลายทั้งปวง ผู้ระโหยโรยรา และหมกมุ่นอยู่ในโลกทั้งสาม ให้สดชื่น เราจะต้องให้ผู้ตรากตรำด้วยความทุกข์ ตั้งอยู่ในความสุข เราจะให้สิ่งที่น่าปรารถนา และพระนิพพาน (แก่พวกเรา)
    19 ดูก่อนเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงฟังคำของเรา จงเข้ามาใกล้เราเถิด เราคือพระผู้มีพระภาคตถาคต ที่ไม่มีใครยิ่งไปกว่า อุบัติขึ้นมาในโลก เพื่อคุ้มครองภัย
    20 เราประกาศธรรมอันบริสุทธิ์และงดงามยิ่ง ที่มีลักษณะบ่งบอกความจริงสิ่งเดียวกันคือ ความหลุดพ้นและนิพพาน แก่สัตว์หลายพันโกฏิ
    21 เราประกาศธรรมด้วยเสียงอย่างเดียวกัน เพื่อทำพระโพธิญาณให้เป็นหลักที่เสมอกันเป็นนิจ ไม่มีความลำเอียง ความเกลียดชังและความรัก
    22 เราไม่มีความยึดมั่น ไม่มีความรัก ไม่มีความชังในผู้ใดผู้หนึ่ง เราประกาศธรรมเสมอกัน แก่สัตว์ทั้งหลาย คือ (ประกาศ) แก่คนหนึ่งอย่างไร คนอื่นก็อย่างนั้น
    23 ไม่ว่าจะเป็นเวลาเดิน ยืน หรือนั่งอยู่ เรามีแต่ประกาศธรรมเท่านั้น ไม่ได้กระทำงานอื่น ตถาคตไม่เยเหน็ดเหนื่อยเพราะการนั่งแสดงธรรมเลย
    24 เรา (ตถาคต) เป็นผู้ทำให้โลกทั้งปวงเอิบอิ่มชุ่มชื่นเหมือนเมฆ หลั่งฝนลงมาอย่างเสมอภาคกัน เรามีความรู้สึกเสมอกันในชนผู้ประเสริฐ ผู้ต่ำทราม ผู้ทุศีล และผู้มีศีล
    25 ชนเหล่าใด มีความประพฤติไม่ดี มีความประพฤติดี มีทิฏฐิมั่งคง มีทิฏฐิไม่มั่งคง มีความเห็นถูกต้อง มีความเห็นผิด เราประกาศธรรมแก่ชนเหล่านั้นทุกคน
    26 เราประกาศธรรมในหมู่ชนทั้งหลาย ผู้มีอินทรีย์หยาบ มีอินทรีย์แก่กล้า และมีอินทรีย์อ่อน เราไม่คำนึงถึงความเหน็ดเหนื่อยทั้งปวง หลั่งฝนคือธรรมเป็นอันดี
    27 ชนทั้งหลายผู้ได้ฟังธรรมของเราแล้ว ตามกำลังของตน ย่อมตั้งอยู่ในภูมิต่างกัน คือเป็นเทวดา เป็นมนุษย์ เป็นสัตว์ประเสริฐ เป็นพระอินทร์ เป็นพระพรหม เป็นจักรพรรดิ
    28 ท่านทั้งหลายจงฟัง เราจักอธิบายพันธุ์ไม้นานาชนิด น้อยใหญ่ทั้งปวงในโลกบางชนิดเตี้ย บางชนิดปานกลาง และบางชนิดใหญ่โต
    29 พันธุ์ไม้ชนิดเตี้ย ได้แก่ชนทั้งหลายผู้รู้ธรรม ไม่มีอาสวะเจือปน บรรลุพระนิพพาน และผู้บรรลุอภิญญาหก และวิชชาสาม
    30 พันธุ์ไม้ชนิดปานกลาง ได้แก่ชนทั้งหลายที่อาศัยอยู่ในถ้ำ ผู้ปรารถนาจะบรรลุพระปัจเจกโพธิญาณ และมีปัญญาบริสุทธิ์พอสมควร
    31 พันธุ์ไม้ชนิดสูง ได้แก่ชนผู้ปรารถนาจะเป็นผู้นำของมนุษย์ โดยคิดว่า ข้าพเจ้าจะเป็นพระพุทธเจ้า ผู้เป็นที่พึ่งของมนุษย์และเทวดาและชนที่มีความเพียรและทำสมาธิ
    32 ส่วนต้นไม้ทั่วไปนั้น ได้แก่บุตรของพระตถาคต ผู้มีเมตตา ตั้งอยู่ในความประพฤติอันสงบสุข ผู้ตั้งใจแน่วแน่ในความเป็นบุรุษผู้นำ
    33 ต้นไม้ใหญ่ ได้แก่ผู้เป็นปราชญ์ที่หมุนวงล้อแห่งธรรมไปโดยมิให้หวนกลับ ตั้งมั่นอยู่ในพลังแห่งฤทธิ์ และเป็นผู้ปลดเปลื้องสัตว์จำนวนหลายโกฏิ
    34 ธรรมที่พระชินเจ้าแสดงเป็นสิ่งเสมอกัน เหมือนกับน้ำฝนที่ตกลงมาจากเมฆ เป็นสิ่งเสมอกัน จะต่างกันก็เพียงปัญญา (ของมนุษย์) เท่านั้น ซึ่งเหมือนกับไม้นานาพันธุ์ ที่เกิดขึ้นบนพื้นปฐพีนี้
    35 ด้วยอุทาหรณ์ที่แสดงให้เห็นแล้วนี้ ท่านจงทราบอุบายของตถาคตเถิด ตถาคตแสดงธรรมอย่างเดียวกัน
    36 ตถาคตหลั่งฝนคือธรรม โลกทั้งปวงได้รับความชุ่มชื่น ชนทั้งหลายย่อมพิจารณา ธรรมภาษิต ที่มีรสอย่างเดียวกันตามกำลังของตนๆ
    37 ต้นหญ้า ต้นไม้เล็ก ต้นไม้ขนาดกลาง ต้นไม้ขนาดใหญ่ และต้นไม้ใหญ่มากทั้งหมด เมื่อฝนตกอยู่ ย่อมงดงามทั้งสิบทิศ ฉันใด
    38 สภาวธรรม ก็ฉันนั้น ย่อมเป็นประโยชน์แก่ชาวโลกทุกเมื่อ และทำให้โลกทั้งปวงชุ่มชื่น โลกทั้งปวง ครั้นเอิบอิ่มชุ่มชื่นด้วยธรรมแล้ว ก็จะเจริญขึ้นเหมือนหมู่ไม้เผล็ดดอกออกผลต่างๆนั้แล
    39 ส่วนไม้ที่เจริญขึ้นมามีขนาดปานกลาง คือพระอรหันต์ผู้สิ้นอาสวะ พระปัจเจกพุทธเจ้า ผู้อาศัยอยู่ในป่าทึบ เป็นผู้บรรลุธรรมอันประเสริฐนั้นแล
    40 (แต่) พระโพธิสัตว์ทั้งหลายผู้มีสติ มีปัญญา เที่ยวไปตามทางแห่งตน ในทุกแห่งในโลกทั้งสาม แสวงหาพระโพธิญาณอันประเสริฐนี้ ย่อมเจริญตลอดกาลเป็นนิตย์เหมือนต้นไม้ใหญ่
    41 ผู้ที่มีฤทธิ์ บรรลุฌานสี่ ฟังเรื่องศูนยตาแล้ว เกิดความปีติยินดี เปล่งรัศมี ออกมาจำนวนพันดวง บุคคลเหล่านั้นชื่อว่าเป็นต้นไม้ใหญ่ในโลกนี้
    42 ดูก่อนกาศยปะ พระธรรมเทศนาเป็นเช่นนี้เหมือนกับน้ำที่ตกมาจากเมฆ เสมอเหมือนกันหมด ต้นไม้จำนวนมาก มนุษย์ ดอกไม้ ซึ่งนับไม่ก็วน ย่อมเจริญงอกงามขึ้น
    43 เรา ย่อมประกาศธรรมอันมีเหตุปัจจัยในตัวมันเอง และตถาคตก็แสดงพุทธโพธิญาณตามกาลอันสมควร นี้คือกุศโลบาย อันประเสริฐของเรา และของพระผู้นำแห่งโลกทั้งปวง
    44 สิ่งที่เราได้กล่าวแล้วนั้นเป็นเรื่องจริง สาวกทั้งหลายทั้งปวง ย่อมบรรลุพระนิพพาน สาวกเหล่านั้นทั้งหมด ประพฤติธรรมอันประเสริฐยิ่ง ก็จะได้เป็นพระพุทธเจ้าแล
    ดูก่อนกาศยปะ อีกประการหนึ่ง ตถาคตสั่งสอนสัตว์ทั้งหลายเสมอเหมือนกัน หาได้สอนต่างกันไม่ ดูก่อนกาศยปะ เหมือนแสงจันทร์และแสงอาทิตย์ ส่องสาดมายังโลก ส่องทั่วทั้งคนชั่วและคนดี ที่สูงและต่ำ กลิ่นเหม็นและกลิ่นหอม แสงนั้นสาดส่องไปทั่วทุกหนทุกแห่งเสมอกัน ไม่ได้แตกต่างกันเลย ในทำนองเดียวกัน ดูก่อนกาศยปะ แสงสว่างของดวงจิตที่เป็นสัพพัญญุตญาณของตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า และการแสดงธรรมย่อมเป็นไปเสมอกันในสัตว์ทั้งหลายทั้งปวง ผู้เกิดในภูมิทั้งห้า ผู้อุทิศตนเพื่อ มหายาน เพื่อปัจเจกพุทธยานและเพื่อสาวกยาน ตามอุปนิสัย ความหย่อนหรือความยิ่งแห่งแสงญาณของตถาคต ย่อมไม่มีเพื่อการเข้าถึงญาณอันประเสริฐนั้นแต่อย่างใด ดูก่อนศากยปะ ไม่มีสามยาน แต่สัตว์ทั้งหลายประพฤติต่าง กัน ดังนั้น จึงกล่าวกันว่ามีสามยาน
    เมื่อพระผู้มีภาค ตรัสดังนี้แล้ว ท่านพระมหากาศยปะได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ถ้าไม่มียานทั้งสามแล้ว เพราะเหตุไร ในปัจจุบันนี้จึงกล่าวแยกเป็น สาวกยาน ปัจเจกพุทธยาน และโพธิสัตวยาน เล่า
    ครั้นเมื่อ ท่านพระมหากาศยปะทูล(ถาม)อย่างนี้แล้ว พระผู้มีพระภาค ได้ตรัสกะท่านพระมหากาศยปะว่า "ดูก่อนกาศยปะ เหมือนายช่างหม้อ ปั้นภาชนะทั้งหลาย ด้วยดินเหนียวเหมือนกัน ในบรรดาภาชนะเหล่านั้น ภาชนะชนิดหนึ่ง ใช้ใส่น้ำตาล ชนิดหนึ่งใช้ใส่น้ำมันเนย ชนิดหนึ่งใช้ใส่นมเปรี้ยวและนมสด ส่วนบางชนิด ที่มีคุณภาพเลว ก็ใช้ใส่ของที่ไม่สะอาด ไม่มีความต่างกันของดินเหนียว แต่ความต่างกันของภาชนะทั้งหลายปรากฏขึ้น ด้วยมาตรฐานการใช้บรรจุสมบัติ ดูก่อนกาศยปะ ในทำนองเดียวกันนั่นแล ยานมีเพียงหนึ่งเท่านั้น คือ พุทธยาน ยานที่สองและยานที่สามไม่มี
    ครั้นเมื่อพระผู้มีพระภาค ตรัสอย่างนี้แล้ว ท่านพระมหากาศยปะได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาค แม้ถ้าสัตว์ทั้งหลายผู้มีความประพฤติต่างกัน พ้นจากโลกทั้งสามแล้ว เขาทั้งหลายจะมีหนึ่งนิพพาน สองนิพพาน หรือสามนิพพาน พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูก่อนกาศยปะ นิพพานคือความเสมอภาคแห่งธรรมทั้งปวง ในพระโพธิญาณ ฉะนั้นนิพพานจึงมีเพียงหนึ่งเท่านั้น ไม่มีสอง สามนิพพาน ดูก่อนกาศยปะ ถ้าเช่นนั้น เราจะเปรียบเทียบให้เธอฟัง เพราะว่าผู้มีปัญญาทั้งหลายย่อมรู้ เนื้อความของคำสอน ด้วยรูปแบบของการเปรียบเทียบ
    ดูก่อนกาศยปะ ข้อนั้นก็เหมือนกาบชายตาบอดแต่กำเนิดนั่นเอง ชายตาบอดกล่าวอย่างนี้ว่า รูปทั้งหลายที่สวยงามและน่าเกลียดไม่มี คนที่เห็นรูปที่สวยงามและน่าเกลียดไม่มี พระอาทิตย์ไม่มี พระจันทร์ไม่มี ดาวฤกษ์ทั้งหลายไม่มี ดาวพระเคราะห์ทั้งหลายไม่มี คนเห็นดาวพระเคราะห์ไม่มี แต่คนพวกอื่น พึงพูดข้างหน้าคนตาบอดแต่กำเนิดนั้นอย่างนี้ว่า รูปทั้งหลายที่สวยงามและน่าเกลียดมี คนที่เห็นรูปที่สวยงามและน่าเกลียดมี พระอาทิตย์มีและพระจันทร์มี ดาวฤกษ์ทั้งหลายมี ดาวเคราะห์ทั้งหลายมี คนที่เห็นดาวเคราะห์ก็มี แต่ชายตาบอดแต่กำเนิดนั้นไม่เชื่อคนเหล่านั้น ไม่ยอมรับความจริงที่คนอื่นกล่าว ต่อมามีแพทย์คนหนึ่ง ซึ่งเป็นผู้รู้โรคทุกอย่าง แพทย์ผู้นั้นมองชายตาบอดแต่กำเนิดนั้น เกิดความคิดขึ้นว่า โรคนี้เกิดขึ้น เพราะกรรมชั่วในชาติปางก่อนของชายผู้นั้น โรคเหล่านั้นคืออะไรบ้าง โรคที่เกิดขึ้นนั้น มีสี่ชนิดด้วยกันคือ โรคไขข้อ โรคอหิวาต์ โรคเฉื่อยชามึนซึม และโรคที่เกิดจากความสับสนของอารมณ์
    ครั้งนั้น แพทย์ผู้นั้น คิดแล้วคิดอีก ถึงอุบายที่จะรักษาโรคให้หาย เขามีความคิดอย่างนี้ว่าโรคนี้ไม่สามารถรักษาได้ ด้วยยาชนิดธรรมดา แต่ที่ขุนเขาหิมพานต์มียาอยู่สี่ชนิด ยาสี่ชนิดคืออะไรบ้าง ยาสี่ชนิดคือ ชนิดหนึ่งชื่อว่า "สรววรณรสสถานานุคตา" (ยาเพิ่มสีและรสทั้งปวง) ชนิดที่สองชื่อว่า "สรววยาธิปรโมจนี" (ยาแก้โรคทั้งปวง) ชนิดที่สามมีชื่อว่า "สรววิษวินาศนี" (ยาปราบพิษทั้งปวง) ชนิดที่สี่ชื่อว่า "ยถาสถานสถิตสุขปรทา" (ยาที่ส่งเสริมความสุขให้ดำรงอยู่ตามสถานะ) นี่คือยาสี่ชนิดที่แพทย์เกิดความสงสารในชายตาบอดแต่กำเนิดนั้น จึงคิดอุบายที่ตนอาจไปถึงขุนเขาหิมพานต์ พอไปถึงแล้ว แพทย์ผู้นั้น ก็เดินขึ้นเดินลงและไปตามขวางของภูเขา แสวงหายา เขาแสวงหาอยู่อย่างนี้ก็พบยาสี่ชนิดนั้น ครั้นพบแล้ว จากยาสี่ชนิดนั้น ส่วนหนึ่งเขาเคี้ยวเสียก่อนแล้วจึงให้ ส่วนหนึ่งตำเสียก่อนแล้วจึงให้ ส่วนหนึ่งผสมกับยาอื่นต้มให้เดือดเสียก่อนแล้วจึงให้ ส่วนหนึ่งผสมกับยาดิบเสียก่อนแล้วจึงให้ ส่วนหนึ่งให้ด้วยการฉีดเข้าไปในร่างกาย ส่วนหนึ่งเผาไฟเสียก่อนแล้วจึงให้ ส่วนหนึ่งผสมกับวัตถุอื่นใส่ลงไปในน้ำและอาหารแล้วจึงให้ โดยวิธีนี้ชายตาบอดแต่กำเนิดนั้นได้จักษุกลับคืนมา เขาได้จักษุกลับคือมาแล้ว มองเห็นทั้งภายนอกภายใน ไกลและใกล้ มองเห็นแสงสว่างของดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ ดาวฤกษ์ ดาวเคราะห์ และรูปทั้งปวง เขากล่าวอย่างนี้ว่า "โอ้ ข้าพเจ้าเป็นคนโง่เขลา เมื่อชนทั้งหลายกล่าวอยู่ในคราวก่อนๆ ข้าพเจ้าไม่เชื่อและไม่ยอมรับสิ่งที่เขากล่าวแล้ว บัดนี้ข้าพเจ้าเห็นทุกสิ่งทุกอย่าง ข้าพเจ้าพ้นแล้วจากความเป็นผู้บอด ข้าพเจ้าได้จักษุคืนมา และไม่มีใครวิเศษไปกว่าข้าพเจ้า ก็ในสมัยนั้น ฤาษีทั้งหลายผู้ได้อภิญญาห้า ได้ทิพยจักษุ ทิพยโสต รู้จิต ของผู้อื่น ได้ปุพเพนิวาสาสุสสติญาณ มีฤทธิ์ เป็นผู้หลุดพ้นและมีกุศลสาม ได้กล่าวกับชายผู้นั้นอย่างนี้ว่า ดูก่อนบุรุษผู้เจริญ ท่านได้จักษุคืนมา แต่ท่านไม่รู้อะไร อภิมานะของท่านเกิดจากไหน ปัญญาของท่านไม่มี ท่านยังไม่เป็นบัณฑิต ฤาษีเหล่านั้นพึงกล่าวกับเขาอย่างนี้อีกว่า ดูก่อนบุรุษผู้เจริญ ท่านนั่งอยู่ภายในเรือน ย่อมไม่เห็น ไม่รู้อะไรที่อยู่ภายนอก ย่อมไม่รู้ว่าสัตว์ทั้งหลายเป็นผู้มีจิตเมตตาหรือโหดร้าย ท่านย่อมไม่เข้าใจเสียงของมนุษย์ ซึ่งยืนพูดอยู่ภายในห้าโยชน์และจะไม่รู้ ไม่ได้ยินเสียงกล่องและสังข์ เป็นต้น ท่านไม่ยกเท้าทั้งสองแล้ว ก็ไม่อาจเดินได้เป็นระยะทางหนึ่งโกรศะ (สองไมล์) ท่านเกิดและเจริญเติบโตในท้องมารดา ท่านจำการกะทำนั้นไม่ได้ ฉะนั้น ท่านจะเป็นผู้ฉลาด(บัณฑิต) ได้อย่างไร ท่านจะพูดได้อย่างไรว่า ข้าพเจ้าเห็นทุกอย่าง ดูก่อนบุรุษผู้เจริญ เพราะท่านเข้าใจความมืดว่า เป็นความสว่าง เข้าใจความสว่างว่าเป็นความมืด
    ครั้นนั้น ชายผู้นั้น ได้พูดกะฤาษีทั้งหลายว่า อุบายอะไร หรือกรรมที่งามอันใด ที่ข้าพเจ้ากระทำแล้ว จะพึงได้ปัญญาเช่นนั้น และจะพึงได้คุณทั้งหลายเหล่านั้น เพราะความเลื่อมใส ท่านทั้งหลาย ครั้งนั้น ฤาษีทั้งหลายกล่าวกะชายนั้นว่า ถ้าท่านปรารถนา ท่านจงไปอยู่ป่า หรือไม่ก็นั่งในถ้ำที่ภูเขาทั้งหลาย พิจารณาธรรม ท่านสละละทิ้งกิเลสทั้งหลายเสีย ท่านก็จะเป็นผู้ประกอบด้วยคุณงามความดีและบรรลุอภิญญา แล้วชายผู้นั้น ก็รับเอาคำนั้น และได้บวชเป็นฤาษี เขาอาศัยอยู่ในป่า มีจิตอันเลิศตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์เดียว ละตัณหาอันเป็นโลกายัต พึงบรรลุอภิญญาห้า หลังจากบรรลุอภิญญาแล้ว เขาพึงคิดว่า ในกาลก่อน ข้าพเจ้า ได้กระทำกรรมอื่น (อันต่ำทราม) ฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงไม่ประสบคุณความดี บัดนี้ ข้าพเจ้าได้สิ่งที่ข้าพเจ้าคิดแล้ว ในกาลก่อนข้าพเจ้ามีปัญญาน้อย มีความเข้าใจเล็กน้อยเป็นคนบอด
    ดูก่อนกาศยปะ นี้คืออุปมาที่เรา (ตถาคต) แต่งขึ้น เพื่อให้เข้าใจความหมายนี้ เธอฟังเห็นความหมายดังนี้ ดูก่อนกาศยปะ คำว่า "ตาบอดแต่กำเนิด" ก็คือบรรดาสัตว์ที่เวียนว่ายตายเกิดในภูมิทั้งหก ที่ไม่รู้พระสัทธรรม เพิ่มพูนความมืดคือกิเลส เป็นผู้บอดเพราะอวิชชา และผู้บอดเพราะอวิชชานั้น สร้างความคิดต่างๆ ขึ้นมา และเมื่อมีความคิด ก็ยึดติดในนามรูป ผลก็คือ ย่อมเกิดกองทุกข์ อันยิ่งใหญ่แต่อย่างเดียวเท่านั้น
    สัตว์ทั้งหลาย ผู้บอดเพราะอวิชชา ดำรงตนอยู่ในโลก (สังสารวัฏ) อย่างนี้ ส่วนพระตถาคตพ้นแล้วจากโลกธาตุทั้งสาม เพราะมีความกรุณา เหมือนกับบิดาเกิดความกรุณาในบุตรคนเดียวซึ่งเป็นที่รัก (เรา) จึงมาบังเกิดในสามโลก ได้เห็นสัตว์ทั้งหลายผู้ท่องเที่ยวไปอยู่ในวัฏฏสงสาร และสัตว์เหล่านั้น ไม่รู้วิถีทางที่จะออกจากวัฏฏสงสาร ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคมองดูสัตว์ทั้งหลายด้วยปัญญาจักษุ และครั้นเห็นแล้วก็ทราบว่า ในกาลก่อนสัตว์เหล่านี้กระทำกุศลไว้แล้ว บ้างก็มีโทละเบาบางมีราคะกล้า บ้างก็มีราคะเบาบางมีโทสะกล้า บ้างก็มีปัญญาน้อย บ้างก็เป็นบัณฑิต บ้างก็มีความบริสุทธิ์ผุดผ่อง และบ้างก็มีมิจฉาทิฏฐิ พระตถาคตจึงเสนอยานสามชนิดแก่สัตว์เหล่านั้น ด้วยกุศโลบาย
    ณ ที่นั้น ฤาษีทั้งหลาย ผู้มีอภิญญาห้ามีจักษุหมดจดนั้นแล คือพระโพธิสัตว์ ยังโพธิจิตให้บังเกิดขึ้น จนสำเร็จขันติธรรม ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แล้วจึงตรัสรู้อนุตตรสัมโพธิญาณ
    นายแพทย์ผู้ยิ่งใหญ่ในเรื่องนี้ พึงเทียบได้กับพระตถาคตนั่นเอง ชายตาบอดแต่กำเนิดก็คือสัตว์ทั้งหลายที่มืดบอดเพราะโมหะ โรคลมน้ำดี และเสลด ก็เหมือนกับราคะ โทสะ และโมหะ ทิฏฐิหกสิบสอง พึงเห็นว่าเป็นเช่นนั้นเหมือนกัน ยาสี่ชนิด พึงเทียบได้กับ ศูนยตา (ความว่างเปล่า) อนิมิตตา (ความไม่ยึดถือ) อัปปณิหิตา (ความไม่ปรารถนา) และพระนิพพาน (ความดับ) การใช้ยาทั้งหลาย จนสามารถระงังโรคได้ เหมือนกับสัตว์ทั้งหลาย เจริญวิโมกข์สาม คือสุญญตวิโมกข์ (หลุดพ้นด้วยเห็นความว่างเปลา) อนิมิตตวิโมกข์ (หลุดพ้นด้วยการไม่ยึดติดนิมิต) อัปปณิหิตวิโมกข์ (หลุดพ้นด้วยไม่ทำความปรารถนา) ก็จะดับอวิชชา (ความไม่รู้) ได้ เมื่อดับอวิชชาได้ สังขาร (การปรุงแต่ง) ก็ดับ และในที่สุดก็จะดับกองทุกข์อันยิ่งใหญ่ลงได้ แล้ว จิตก็จะไม่ตั้งอยู่ทั้งในความดีและในความชั่ว (เป็นพระอริยบุคคล)
    ผู้มีจักษุบอด แล้วได้สายตาดีคืนมา เปรียบได้กับผู้ควรแก่ สาวกยาน และ ปัจเจกพุทธยาน เขาย่อมตัดกิเลสเครื่องผูกพันของสังสารวัฏเสียได้ พ้นจากกิเลสเครื่องผูกพัน พ้นจากภูมิทั้งหก และโลกทั้งสาม ฉะนั้นผู้สมควรแก่สาวกยาน ย่อมรู้อย่างนี้ และกล่าวถ้อยคำอย่างนี้ว่า ธรรมอื่นที่ทำให้ตรัสรู้นั้นไม่มี ข้าพเจ้าถึงพระนิพพานแล้ว ที่นั้น พระตถาคตจะตรัสธรรมแก่เขาว่า บุคคลใด ไม่บรรลุธรรมทั้งปวงแล้ว เขาจะบรรลุพระนิพพานได้อย่างไร พระผู้มีพระภาคจึงให้เขาเข้าถึงพระโพธิญาณ เขา ครั้นจิตที่น้อมไปสู่พระโพธิญาณเกิดขึ้นแล้วก็จะไม่สถิตในโลก แต่ยังไม่บรรลุพระนิพพาน เขาครั้นรู้แล้ว จะเห็นโลกทั้งสามในทั้งสิบทิศว่าเป็นสิ่งว่างเปล่า เป็นสิ่งที่ต้องสลายไป เป็นมายา เป็นความฝัน เป็นพยับแดด และเป็นเหมือนเสียงสะท้อน เขาย่อมมองเห็นว่า ธรรมทั้งหลายทั้งปวง ไม่เกิดขึ้น ไม่ดับไป ไม่ถูกผูกพัน ไม่หลุดพ้น ไม่มืดบอด และไม่สว่าง บุคคลที่เห็นธรรมทั้งหลายลึกซึ้งอย่างนี้ ย่อมเห็นโลกธาตุทั้งปวง เต็มไปด้วยสัตว์ ที่มีความนึกคิดและอุปนิสัยต่างกัน เหมือนกับว่า มองไม่เห็น
    ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาค เมื่อจะทรงแสดงอรรถให้ยิ่งขึ้น ไป จึงตรัสพระคาถาเหล่านี้ ในเวลานั้นว่า
    45 แสงจันทร์และแสงอาทิตย์ ย่อมสาดส่องไปยังโลกมนุษย์ ทั้งที่มีคุณความดีและชั่วช้าเสมอกัน ทั่วทุกแห่งหน ไม่น้อยและไม่มากไปกว่ากันเลย ฉันใด
    46 แสงแห่งปัญญาของพระตถาคต ย่อมแนะนำสัตว์ทั้งหลายทั้งปวง ไม่หย่อนไม่ยิ่งกว่ากัน เหมือนแสงอาทิตย์และแสงจันทร์ ฉันนั้น
    47 ช่างหม้อ ปั้นหม้อด้วยดินเหนียวอย่างเดียวกัน หม้อที่ปั้นนั้น ย่อมเป็นหม้อใส่น้ำตาล หม้อใส่นม หม้อใส่น้ำมันเนย และหม้อใส่น้ำ
    48 ภาชนะบางอย่าง ก็ใส่ของไม่สะอาด บางอย่างก็ใส่นมเปรี้ยว เขาปั้นหม้อทั้งกลายด้วยดินเหนียวอย่างเดียวกัน
    49 วัตถุที่นำมาบรรจุ ทำให้ภาชนะนั้น ถูกกำหนดแตกต่างกันไป ฉันใด พระตถาคตก็ฉันนั้น ย่อมพิจารณาเห็นความพิเศษของสัตว์และอัธยาศัยที่แตกต่างกัน
    50 จึงตรัสยานต่างกันไป แต่พุทธยานเป็นสัจจะที่แน่นอน เพราะไม่รู้สังสารจักรมนุษย์จึงไม่บรรลุพระนิพพาน
    51 ส่วนผู้ใด เข้าใจถ่องแท้ว่า ธรรมทั้งหลายเป็นศูนยตา และไม่เป็นอัตตา ผู้นั้นย่อมเข้าใจพระโพธิญาณของพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทั้งหลาย
    52 เพราะเข้าถึงปัญญาระดับกลาง บุคคลนั้น จึงชื่อว่า พระปัจเจกชินะ และเพราะไม่มีความรู้เรื่องศูนยตา บุคคลนั้นจึงถูกเรียกว่า สาวก
    53 เพราะตรัสรู้ธรรมทั้งปวง บุคคลนั้นจึงชื่อว่า สัมมาสัมพุทธะ และพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ย่อมแสดงธรรมแก่สัตว์ทั้งหลายเป็นนิตย์ ด้วยอุบายหลายร้อยวิธี
    54 เหมือนคนตาบอดแต่กำเนิด มองไม่เห็นพระอาทิตย์ (พระจันทร์) ดาวเคราะห์และดาวฤกษ์ทั้งหลาย ย่อมกล่าวว่า รูปทั้งหลายย่อมไม่มีโดยประการทั้งปวง
    55 ส่วนนายแพทย์ใหญ่ ผู้มีความกรุณาต่อชายตาบอดนั้น เขาได้ไปยังเขาหิมาลัยเดินขึ้นเดินลง (ภูเขา) อยู่ เพื่อแสวงหายา
    56 นายแพทย์นั้น ได้ยาทั้งสี่ชนิดครบถ้วน คือ ต้น (นค) ราก(สถาน) เปลือก(วรณ) และใบ (รส=รับรู้อารมณ์) จากภูเขานั้น แล้วนำมาปรุง
    57 นายแพทย์ได้ประกอบยา ให้แก่ชายตาบอดแต่กำเนิดนั้น ดังนี้ คือส่วนหนึ่งเคี้ยวเสียก่อนแล้วจึงให้ ส่วนหนึ่งบดหรือตำเสียก่อนแล้วจึงให้ และอีกส่วนหนึ่งใช้ฉีดเข้าไปในร่างกาย
    58 ชายผู้นั้นกลายเป็นผู้มีตาดี ได้เห็นพระอาทิตย์ และดาวเคราะห์ทั้งหลาย เขาจึงเข้าว่า ตอนแรกนั้น เขาพูดไปเพราะความไม่รู้
    59 ในทำนองเดียวกัน สัตว์ทั้งหลายที่มีอวิชชามาก เหมือนผู้บอดแต่กำเนิด ย่อมท่องเที่ยวไปในสังสารวัฏ เพราะไม่รู้วัฏฏจักรแห่งความทุกข์
    60 ในโลก ที่มีความลุ่มหลงเพราะอวิชชาอย่างนี้ พระตถาคตผู้รู้ทุกอย่างเหมือนกับ นายแพทย์ใหญ่ ผู้มีความกรุณา จึงได้อุบัติขึ้น
    61 พระตถาคตนั้น เป็นครูที่ฉลาดในอุบาย ได้แสดงพระสัทธรรม และอนุตตรพุทธโพธิญาณ แก่สัตว์ผู้มียานอันประเสริฐ
    62 ส่วนผู้มีปัญญาปานกลาง พระผู้นำ ก็แสดงธรรมปานกลาง ส่วนผู้มีความกลัวต่อสังสารวัฏ พระตถาคตก็แสดงพระโพธิญาณอย่างอื่น
    63 พระสาวก ผู้พ้นแล้วจากโลกทั้งสาม ผู้มีความรู้ ก็จะคิดอย่างนี้ว่า ข้าพเจ้าได้บรรลุนิพพาน ที่ไร้มลทินและที่เป็นสิริมงคลแล้ว
    64 ในเรื่องนี้ เรา ได้กล่าวไว้อย่างชัดแจ้งแล้วว่า นั่นไม่เรียกว่านิพพาน แต่เพราะการตรัสรู้ธรรมทั้งปวงต่างหาก จึงบรรลุพระนิพพาน ที่เป็นอมตะ
    65 มหาฤาษี (พระสุคต) เพราะความกรุณาต่อเขา จึงได้กล่าวกับเขาว่า เธอเป็นผู้โง่เขลา เรา(ตถาคต) รู้ว่า ภาวะเช่นนั้น แม้น้อยนิดก็ยังไม่มีแก่เธอ
    66 เมื่อเธออยู่แต่ภายในห้อง อะไรที่เกิดขึ้นภายนอก เธอไม่รู้ จึงนับว่า เธอมีความรู้ น้อยมาก
    67 ก็แลบุคคลที่อยู่ภายในนั้น ย่อมจะไม่รู้ว่า เขาทำอะไร หรือไม่ทำอะไรกันในภายนอก แม้บัดนี้ เขาก็ยังไม่รู้ แล้วเธอ ผู้มีปัญญาน้อย จะรู้ได้อย่างไรเล่า
    68 เธอไม่สามารถจะได้ยินเสียง ที่ไกลออกไปจากที่นี้ประมาณ 5 โยชน์ได้ จะป่วยกล่าวไปไย ถึงเสียงที่ไกลเกินไปกว่านั้น
    69 ชนเหล่าใด มีจิตใจเลวร้ายต่อเธอหรือกรุณาต่อเธอ เธอไม่อาจรู้จักชนเหล่านั้นได้ เหตุไฉนเธอจึงมีอภิมานะนักเล่า
    70 ถ้าเธอ จะต้องเดินทางเป็นระยะ 2 ไมล์ เมื่อไม่มีทางให้เดิน เธอก็จะเดินไปไม่ได้ เรื่องราวที่เธออยู่ในครรภ์ของมารดา เธอก็ลืมหมดแล้ว
    71 บุคคลที่ได้อภิญญา 5 เรียกว่า สัพพัญญู ในโลกนี้ เฮยังไม่รู้อะไรเลย ยังจะพูดว่า ข้าพเจ้าเป็น สัพพัญญู เพราะความหลงผิด(ของเธอ)
    72 ถ้าเธอปรารถนาจะเป็น สัพพัญญู เธอต้องพยายามบรรลุอภิญญาให้ได้ เธอต้องอยู่ป่า คิดถึงธรรมอันบริสุทธิ์ที่นำไปสู่การบรรลุอภิญญานั้น แล้วเธอก็จะบรรลุอภิญญาด้วยธรรมนั้น
    73 ชายผู้นั้น ทราบเนื้อความนั้นได้แล้ว ได้ไปสู่ป่า ตั้งใจมั่นเจริญสมาธิ เนื่องจากเขาเป็นผู้มีคุณงามความดีอยู่แล้ว จึงได้บรรลุอภิญญา 5 โดยไม่นานนัก
    74 เช่นเดียวกันนั้น พระสาวกทั้งหลายทั้งปวงสำคัญว่า ตนได้บรรลุพระนิพพานแล้ว แต่พระชินพุทธเจ้าได้ตรัสกะสาวกเหล่านั้นว่า นี้เป็นความสงบระดับหนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่พระนิพพาน (ความดับสนิท)
    75 นี้เป็นอุบายนัยหนึ่งแห่งการประกาศธรรมของพระพุทธเจ้าทั้งหลายที่ว่า เว้นจากความเป็นสัพพัญญุตญาณเสียแล้ว พระนิพพานย่อมไม่มี เพราะฉะนั้น เธอทั้งหลายจงพยายาม
    76 ความรู้อันไม่สิ้นสุดแห่งมรรคทั้งสาม บารมีอันประเสริฐหก ศูนยตา การไม่ยึดติดนิมิต และการไม่ตั้งความปรารถนา
    77 โพธิจิต และธรรมทั้งหลายเหล่าใด ที่เป็นปัจจัยให้บรรลุพระนิพพาน ทั้งที่เป็นอาสวะและอนาสวะ เป็นธรรมที่สงบ ธรรมเหล่านั้นทั้งปวงเป็น (สิ่งว่างเปล่า) เหมือนท้องฟ้า
    78 พรหมวิหารสี่ สังคหวัตถุสี่ และธรรมทั้งหลาย ที่พระมุนีผู้ประเสริฐแสดง เพื่อประโยชน์แก่การแนะนำเวไนยสัตว์ทั้งหลาย
    79 ก็แลผู้ใดรู้ธรรมทั้งหลายว่า มีสภาพเป็นมายาและความฝัน ไร้สาระเหมือนต้นกล้วย เป็นเสมือนเสียงที่สะท้อน
    80 แลรู้โลกทั้งสามอย่างสมบูรณ์ พร้อมทั้งสภาวะของโลกเหล่านั้น เขาผู้นั้นได้ชื่อว่ารู้แจ้งสิ่งที่ไม่ผูกมัด สิ่งที่ยังไม่ได้หลุดพ้นและพระนิพพาน
    81 ผู้ที่ไม่เห็นธรรมทั้งปวงที่เสมอกัน ซึ่งเป็นศูนยตา ปราศจากความแตกต่างกัน ชื่อว่าย่อมไม่เห็นธรรมใดๆ
    82 ส่วนบุคคลผู้มีปัญญามากนั้น ย่อมเห็นหมวดธรรมทั้งหมด อย่างแจ้งชัดว่า ไม่มีสามยาน มีเพียงยานเดียวเท่านั้นในโลก
    83 พระธรรมทั้งปวง ทัดเทียมกัน เสมอเหมือนกันทุกเมื่อ บุคคลผู้รู้อย่างนี้ ชื่อว่า ย่อมรู้พระนิพพาน ที่เป็นอมตะและสูงสุด​
    บทที่ 5 โอษธีปริวรรต ว่าด้วยต้นไม้นานาพันธุ์
    ในธรรมบรรยาย สัทธรรมปุณฑรีกสูตร อันประเสริฐ
    มีเพียงเท่านี้
    **********
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 มิถุนายน 2011
  6. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    กว่านั้นมีอีก พระพุทธองค์ตอบปัญหาพระอานนท์ว่า พระสัพพัญญูเจ้า สอนเวไนยสัตว์บรรลุเท่ากันหรือ

    อะไรประมาณนี้ พระพุทธองค์ก็ยกว่า ของพระพุทธองค์นั้นแสนโกฏ แต่ของบางพระองค์น้อยกว่าหลายเท่า

    ที่เล่านี้ เพื่อให้เกิดปิติ โสมนัส ในพระมาหกรุณาธิคุณของพระพุทธองค์

    เครดิต จากเพื่อนคนหนึ่งที่ชื่อ นิวรณ์ อิอิ (ขออภัยที่ไม่มีอ้างอิงจากพระไตรปิฎก)
     
  7. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    สัทธรรมปุณฑรีกสูตร
    จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
    สัทธรรมปุณฑรีกสูตร (สัด-ทำ-มะ-ปุน-ดะ-รี-กะ-สูด) (อักษรเทวนาครี : सद्धर्मपुण्डरीकसूत्र, อักษรโรมัน : Saddharmapundarīka-sūtra) เป็นพระสูตรที่สำคัญในพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน เป็นที่เลื่อมใสศรัทธาในพุทธศาสนิกชนมหายานโดยเฉพาะชาวจีนและประเทศในเอเชียตะวันออก เวลาการแต่งพระสูตรนั้น ไม่มีมติที่แน่นอน บ้างก็ว่าหลายร้อยปีหลังพุทธปรินิพพาน บ้างก็ว่าแต่งขึ้นในราว พ.ศ. 300 เป็นอย่างเร็ว แต่ต้นฉบับสันสกฤตที่ค้นพบในเนปาลล้วนมีอายุหลังพุทธกาลราว 1,500 ปีทั้งสิ้น แม้ฉบับแปลของทิเบตก็มีอายุประมาณพุทธศตวรรษที่ 15 วินเตอร์นิตซ์ได้เสนอความเห็นว่า พระนาคารชุนได้อ้างถึงข้อความจากสัทธรรมปุณฑรีกสูตรอยู่หลายตอน เพราะฉะนั้นต้นฉบับเดิมย่อมต้องมีอยู่แล้วในพ.ศ. 693 จึงสันนิษฐานได้ว่าสัทธรรมปุณฑรีกสูตรน่าจะมีอายุไม่ต่ำกว่าพุทธศตวรรษที่ 6 ซึ่งเป็นช่วงระยะเวลาที่ความคิดแบบมหายานพัฒนาขึ้นอย่างสมบูรณ์แล้วในอินเดีย

    ชื่อ
    คำว่า "ปุณฑรีก" นั้นเป็นภาษาสันสกฤต หมายถึง บัวขาว ในภาษาจีนจึงเรียกพระสูตรนี้ว่า "พระสูตรบัวขาว" (妙法蓮華經) ; เมี่ยวฝ่า เหลียนฮฺวา จิง) สำหรับในภาษาญี่ปุ่น เรียกว่า "เมียวโฮ เร็งเง เคียว" (妙法蓮華経)
    ในภาษาอังกฤษก็เรียกตามความหมายว่า "Lotus Sutra", "White Lotus Sutra", "Sutra of the White Lotus", หรือ Sutra on the White Lotus of the Sublime Dharma"

    เนื้อหา
    พระสูตรนี้มีด้วยกัน 3 ภาค หรือยาน ได้แก่ สาวกยาน (ศฺราวกยาน), ปัจเจกพุทธยาน (ปฺรตฺเยกพุทฺธยาน) และโพธิสัตวยาน (โพธิสตฺตฺวยาน) แต่มิใช่หนทางที่ต่างกัน 3 สาย อันจะนำไปสู่เป้าหมาย 3 อย่างต่างกัน ทว่าเป็นหนทางหนึ่งเดียวที่จะนำไปสู่เป้าหมายหนึ่งเดียว
    ภาษาต้นฉบับนั้นก็ไม่ปราฏชัด มีข้อเสนอว่า อาจแต่งเป็นภาษาถิ่นปรากฤต จากนั้นจึงแปลเป็นภาษาสันสกฤต ทำให้มีเป็นที่แพร่หลายมากขึ้น และมีการแปลเป็นภาษาจีนถึง 6 สำนวน แต่สามฉบับแรกต้นฉบับสาบสูญไปแล้ว เหลือเพียงสามฉบับหลัง ที่หลงเหลือในปัจจุบันฉบับพระภิกษุธรรมรักษ์มีความเก่าที่สุดแปลในปี พ.ศ. 829 แต่ฉบับที่ได้รับความนิยมว่าแปลได้สละสลวยที่สุดคือฉบับของพระกุมารชีพชาวเอเชียกลาง แปลเมื่อพ.ศ. 934 และฉบับแปลโดยท่านชญานคุปตะและท่านธรรมคุปตะ แปลในพ.ศ. 1144 เนื้อความของแต่ละฉบับมีความแตกต่างกันในบางส่วน สัทธรรมปุณฑรีกสูตรถือเป็นคัมภีร์หลักอีกเล่มหนึ่งที่มีการแปลเป็นภาษาจีน ทั้งยังเป็นพระสูตรยุคแรกสุด ที่ระบุคำว่า "มหายาน"ด้วย
    ท่านวสุพันธุ ได้รจนาอรรถกถาพระสูตรนี้เป็นฉบับย่อ ให้ชื่อว่า สัทธรรมปุณฑรีกสูตรอุปเทศ ในประเทศจีนได้มีคัมภีรชั้นฎีกาเกิดขึ้นมากมาย เช่น ของท่านเต้าเซิง, ฝ่าอวิ่น, จื้ออี, จี้จ้าง และกุยจี เป็นต้น แม้แต่ท่านจื้ออี (มหาคุรุเทียนไท้) ผู้สถาปนานิกายเทียนไท้ ก็ได้อาศัยพื้นฐานจากพระสูตรเล่มนี้ ในญี่ปุ่น เจ้าชายโชโตกุ ก็ทรงแต่งอรรถาธิบายพระสูตรนี้ในชื่อว่า "ฮอกเกกิโช" พระนิชิเรนไดโชนิน ผู้สถาปนานิกายนิชิเรนโชชู ก็ได้อาศัยพระสูตรเล่มนี้และเชื่อว่าเป็นพระสูตรที่สามารถทำให้บรรลุพุทธภาวะได้ ซึ่งพระสูตรเล่มนี้มีอิทธิพลอย่างมาก จนเกิดเป็นองค์กรทางศาสนาและสวดท่องพระสูตรนี้ เช่น นิกายนิชิเรนโชชู ในปัจจุบันมีสมาชิกมากกว่า 30 ล้านคนในประเทศญี่ปุ่นและหลายๆประเทศทั่วโลก,สมาคมสร้างคุณค่า มีสมาชิกมากกว่า 12 ล้านครอบครัวใน 192 ประเทศเขตแคว้น

    ฉบับภาษาไทย
    สัทธรรมปุณฑรีกสูตร ที่แปลเป็นภาษาไทยมีหลายฉบับ แต่ฉบับที่สมบูรณ์มี3ฉบับ ได้แก่
    แหล่งข้อมูลอื่น
    ฉบับแปลภาษาอังกฤษ โดย Burton Watson
    ฉบับแปลภาษาอังกฤษ โดย H. Kern, 1884
    ฉบับแปลของอเมริกาฉบับแรก โดย Henry David Thoreau และ Elizabeth Palmer Peabody ตีพิมพ์ครั้งแรก ค.ศ. 1844
    ห้องสมุด Ida B. Wells Memorial Sutra Library ทั้งเนื้อหาและอรรถาธิบาย
    ศูนย์ศึกษาพระสูตรบัวขาว
    บทความว่าด้วยสัทธรรมปุณฑรีกสูตร รวมทั้งต้นฉบับ และพระสูตรอื่นในยุคเดียวกัน
    การตีความพระสูตร
    The Art, 13 volumes of illuminated manuscripts inspired by the Lotus Sutra
    อ่านเนื้อหา
    妙法蓮華經 觀世音菩薩普門品 สัทธรรมปุณฑริกสูตร สมันตมุขปริวรรต แปลสู่ภาคจีน โดย พระตรีปิฏกาจารย์กุมารชีวะ แปลเป็นไทย โดย เลียง เสถียรสุต เรียบเรียงโดย กิตติ ตันทนะเทวินทร์ (เย็นหงวน) ลิขสิทธิ์ของวัดโพธิ์แมนคุณาราม

    สัทธรรมปุณฑรีกสูตร - วิกิพีเดีย
     
  8. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    สุภาษิตคำคม

    เพราะแสวงหา มิใช่เพราะรอคอย เพราะเชี่ยวชาญ มิใช่เพราะโอกาส เพราะสามารถ มิใช่เพราะโชคช่วย
    ดังนั้นแล้ว "ลิขิตฟ้าหรือจะสู้มานะของคน" จูกัด เหลียง

    ก๊อปมาจากลานเซ็นต์คุณ เด็กอมมือ
     
  9. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=0RkrYbdgPQw&NR=1]YouTube - ‪Europe - Wish You Were Here‬‏[/ame]

    Wish You Were Here (Waters, Gilmour) 5:17

    So, so you think you can tell
    Heaven from Hell,
    Blue skys from pain.
    Can you tell a green field
    From a cold steel rail?
    A smile from a veil?
    Do you think you can tell?

    And did they get you to trade
    Your heros for ghosts?
    Hot ashes for trees?
    Hot air for a cool breeze?
    Cold comfort for change?
    And did you exchange
    A walk on part in the war
    For a lead role in a cage?

    How I wish, how I wish you were here.
    We're just two lost souls
    Swimming in a fish bowl,
    Year after year,
    Running over the same old ground.
    What have we found?
    The same old fears.
    Wish you were here.
     
  10. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=c63Ue6zKZb8&feature=related"]YouTube - ‪Europe - Love To Love‬‏[/ame]

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=sOfZXSh4F94"]YouTube - ‪UFO - Love to Love‬‏[/ame]

    เพลง : love to love
    ศิลปิน : ufo
    เนื้อเพลง :


    Oh it's been too many times and I can't go back
    Night bars, guitars, rundown motels like shacks
    What it mounts up to I don't want it at all
    Lost you and I want you today

    * misty green and blue
    Love to love to love you
    Misty green and blue
    Love to love to love you

    To be something, to be with you
    Don't say that you'll never know
    Love to love to love you

    [instrumental]

    Half the time it could seem funny
    The other half is just too sad
    This west bound moons they rise and fall
    Lost you and I want you today

    * repeat

    To be something, to be near you
    I don't know where I'm goin' to
    I've tried and I need you to stay
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 มิถุนายน 2011
  11. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=ZC14vAR0YIA&feature=related]YouTube - ‪my mongolia‬‏[/ame]
     
  12. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=SrbPHOVFmdE&feature=channel_video_title]YouTube - ‪IMPORTANT MESSAGE FROM EARTH TO HUMANS‬‏[/ame]

    จาก: NYC812 | 21 ก.ย. 2010 |
     
  13. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=RxJSmMrYGJk&feature=channel_video_title"]YouTube - ‪THE BEGINNING THE END AND EVERYTHING YOU WANTED TO KNOW PART ONE‬‏[/ame]

    Seth Speaks 28 ตอน

    YouTube - ‪ช่องของ NYC812‬‏<!-- google_ad_section_end -->

    Welcome to the Seth Speaks Website...

    Seth is a multidimensional personality, of great humour and wisdom, who was channeled by psychic Jane Roberts in the early sixties.
    No matter what your current belief systems are regarding channeling, the information offered here by Seth / Jane is extremely articulate and clearly full of wisdom. Offering a challenging, dynamic and extremely alternative explanation regarding the nature of reality, Seth’s ideas are very far from today’s society’s accepted beliefs, yet the information that Seth offers, to my way of thinking, makes suprisingly good sense. I hope that you will find the material on offer here to be inspirational, enchanting and empowering.
    The Seth Speaks site offers you excerpts from Seth's literature available today.
    We hope you will enjoy ....
    Act as if you were already happy and that will tend to make you happy. - Dale Carnegie

    Seth Speaks - Welcome to the Seth Speaks Web site<!-- google_ad_section_end -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 มิถุนายน 2011
  14. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=5wRcu5Cz2XQ&feature=channel_video_title"]INTERVIEW WITH THE INDIGO CHILD ( 1 of 4 )[/ame]

    จาก: NYC812 | 13 มิ.ย. 2011
     
  15. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=9mpPbb6214w&feature=channel_video_title"]DREAMS AND 2011 ( A REVIEW OF YOUR LIVES ) PART ONE[/ame]
    จาก: NYC812 | 9 มิ.ย. 2011
     
  16. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=I0n-jF26svU&feature=relmfu"]YouTube - ‪LATEST CROP CIRCLE ( MAY 2011 ) DNA ACTIVATION BEGINS IN JULY 2011‬‏[/ame]

    อัปโหลดโดย NYC812 เมื่อ 5 มิ.ย. 2011
    http://www.fatzilla.org/
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 มิถุนายน 2011
  17. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=pN0pbvOpMCQ&feature=relmfu]YouTube - ‪LATEST CROP CIRCLE ( MESSAGE OF HEALING ) JUNE 4 2011‬&rlm;[/ame]

    อัปโหลดโดย NYC812 เมื่อ 5 มิ.ย. 2011
    http://www.cropcircleconnector.com
     
  18. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    หลักสูตรก๋วยเจ๋ง 2 : การสร้างสัมผัสการคำนวนในเด็กไอคิวต่ำ/ต่อพงษ์

    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 10 มิถุนายน 2554 11:15 น.


    [​IMG]


    อย่างที่เกริ่นเรื่องกำเหนิดก๋วยเจ๋งที่เต็มไปด้วยอุปสรรคและความยากลำบากทั้งในท้องยันตอนที่โผล่หัวออกมาดูโลกแล้ว พระเอกของเราก็แสดงให้เห็นถึงความเฉื่อยชาหรือปริมาณไอคิวที่อาจจะต้อยกว่าคนทั่วไป (แต่ไม่ถึงขั้นปัญญาอ่อน) นั่นคือกว่าจะเอ่ยปากเป็นภาษาได้ก็ปาเข้าไป 4 ขวบ

    ถามว่าระหว่างนั้นก๋วยเจ๋งทำอะไรบ้าง นอกจากไม่พูด คำตอบก็คือ เขาช่วยเลี้ยงสัตว์ต้อนสัตว์และวิ่งเล่นในทุ่งหญ้าไปตามเรื่อง

    คุณหมอแผนปัจจุบันบอกเอาไว้ว่า ไอคิวหรือสมองนั้นสามารถฟื้นฟูหรือพัฒนาได้ ถ้าอยู่ในสภาวะแวดล้อมที่เหมาะสม ขณะเดียวกันจริงๆ มันมีความเชื่อของชาวญี่ปุ่นและหมอแผนตะวันออกจำนวนหนึ่งที่เชื่อว่า เด็กในตอนเริ่มต้นนั้นไม่ต้องท่องหนังสือหรือเรียนการอ่านอย่างน้อยๆ ก็พอ แต่ไปเน้นเรื่องการฝึกฝนกล้ามเนื้อมัดเล็ก กล้ามเนื้อมัดใหญ่ เส้นเอ็นที่มือและเท้าให้มากไว้จะดีกว่า เพราะถ้ากล้ามเนื้อและเส้นเอ็นเหล่านั้นแข็งแรงแล้ว มันจะเหมือนไปสร้างให้ร่างกายเตรียมรองรับข้อมูลและการสังเคราะห์ข้อมูลได้ดีขึ้นในการเรียนรู้จริงๆ จังๆ ในอีกหลายปีข้างหน้า

    เราอาจจะมองได้เหมือนกันว่าฟ้านั้นใจร้ายที่ส่งมันสมองน้อยนิดมาให้เขา แต่กระนั้นฟ้าก็ยังใจดีถึงส่งให้เขามาอยู่ในพื้นที่ซึ่งเขาจะพัฒนากล้ามเนื้อมัดเล็ก-มัดใหญ่ได้อย่างดี





    จริงๆ ถ้าก๋วยเจ๋งอยู่ในเมืองใหญ่มันอาจจะมีปัญหามากกว่านี้ นั่นคือ เขาไม่สามารถเพิ่มหรือพัฒนาสมองได้เลย แต่เพราะการที่ต้องคอยเลี้ยงคอยดูสัตว์หรือแพะแกะ ไปจนกระทั่งม้าที่แม่เขาเลี้ยงไว้ในกระโจมในพื้นที่ทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่ของมองโกลนั้นก็เปิดให้เขาค่อยๆ พัฒนาตนเองและสมองขึ้นมาอย่างช้าๆ แต่ค่อนข้างมั่นคง

    ผลก็คือทักษะท่างด้านร่างกายของเขานั้นได้พัฒนากันอย่างเต็มที่ อีกส่วนก็คือ ก๋วยเจ๋งแกก็คงทานนมแพะมาเต็มๆ เพราะเขาเลี้ยงแพะกับแกะอยู่ ยังไม่ต้องพูดเรื่องของการหัดขี่ม้า ยิงธนูบ้าง ผลก็คือ ก๋วยเจ๋งกลายเป็นเด็กที่มีมัดกล้ามที่สมบูรณ์มากชนิดที่กิมย้งยังบรรยายว่า เขาแข็งแรงและอึดมากกว่าเด็กทั่วๆ ไปที่อายุเท่าๆ กัน

    ถ้านับว่าครูและหมอคนแรกของก๋วยเจ๋งคือธรรมชาติรอบๆ ตัวของเขา ก๋วยเจ๋งก็โชคดีเป็นลำดับที่สองที่จะให้เขาพัฒนาความเข้าใจและสติปัญญามากขึ้น ที่ได้ “อาจารย์เจอเป” ซึ่งได้รับฉายาว่าเป็นธนูเทพเจ้าหรือ เทพเจ้าแห่งเกาทัณฑ์ มาเป็นครูในคนที่สอง กิมย้งบอกเอาไว้เลยว่า ในหมู่ชนมองโกลที่ก๋วยเจ๋งไปอยู่ด้วยนั้น ไม่มีใครหรือผู้ใดดูหมิ่น ดูถูกเหยียดหยามท่าทางเซอๆ โง่ๆ ของเขา เพราะคนมองโกลนั้นถือเรื่องนี้มาก และอีกส่วนน่าจะเป็นเพราะจิตใจดีงามของก๋วยเจ๋งซึ่งเคยช่วยชีวิตทั้งเซลุยบุตรชายของเตมูจินข่าน และเคยช่วยอาจารย์เจอเปด้วยก็ยิ่งทำให้เขาได้รับการนับถือมากขึ้น เรื่องความเงอะๆ งะๆ ของก๋วยเจ๋งจึงไม่ใช่ประเด็นใหญ่ที่จะนำมาพูด แถมก๋วยเจ๋งตัวใหญ่แข็งแรงกว่าเด็กทั่วไปที่อายุเท่ากันก็ยิ่งเหมาะกับสังคมที่ยินดีกับแรงงานและการทหารแบบมองโกลนั่นเอง

    การฝึกขี่ม้าอย่างทหารอาชีพและการฝึกยิงธนูแบบเทพแห่งธนูของก๋วยเจ๋งนั้น เอาเข้าจริงมันก็จะเพิ่มให้ร่างกายเข้าใจทักษะเกี่ยวกับการคำนวนเรื่องแรง ทิศทาง ระยะทาง โดยที่ไม่ต้องมานั่งคิดบนกระดาษ เรียกว่า “สัมผัส” แห่งการคำนวนด้านนี้ของก๋วยเจ๋งนั้น ร่างกายของเขาพร้อมและเรียนรู้ได้ดีอย่างยิ่ง ถึงขนาดยิงนกอินทรีที่บินสูงและอยู่กลางอากาศได้อย่างแม่นยำนั้น แสดงว่าร่างกายของเขามันรับรู้เรื่องราวเหล่านี้ได้สุดยอด

    เมื่อก๋วยเจ๋งอายุได้ 6 ขวบเศษ ทักษะทางด้านร่างกายของเขาก็ยิ่งพัฒนาอย่างต่อเนื่องหลังจากที่ได้พบกับ 7 ตัวประหลาดกังน้ำ (7 ตัวประหลาดเจียงหนัน) ซึ่งตามหาก๋วยเจ๋งในทะเลทรายอยู่นาน 6 ปี ตามการพนันที่มีกับพรตอมตะอย่างคูชู่กีแห่งสำนักช่วนจิน โดยก่อนหน้านั้น 7 ตัวประหลาดซัดกับคูชู่กีจนบาดเจ็บทั้งสองฝ่ายเพราะศักดิ์ศรีและความเข้าใจผิดเป็นเหตุ ส่งผลให้ต้องมีการพนันขันต่อในเรื่องที่ว่า ลูกศิษย์ของแต่ละฝ่ายใครจะเก่งกว่ากัน และเมื่อประลองกันลูกศิษย์ฝ่ายไหนที่แพ้ก็แสดงว่าอาจารย์จะต้องแพ้ด้วยนะครับ

    7 ตัวประหลาดกังหนำนั้นจริงๆ ก็คือ กลุ่มคนที่มีทักษะในการใช้อาวุธกันคนละแบบ แต่พลังฝีมือนั้นออกจะเน้นแต่กำลังภายนอกมิใช่กำลังภายในที่โดดเด่น แล้วถ้าเจาะลึกจริงๆ เกือบทั้งหมดก็คงเป็นแค่นักเลงคุมการค้าในตลาดหรือในย่านธุรกิจเท่านั้น...จะว่าก๋วยเจ๋งโชคดีก็ได้ หรือ โชคร้ายก็ได้ เพราะทั้งหมดทั้งปวงนั้นทั้งเจ็ดตัวประหลาดดูจะไม่มีคุณสมบัติที่จะมาสอนก๋วยเจ๋งที่เป็นเด็กที่มีพัฒนาการทางสมองที่ผิดปรกตินะครับ

    แต่ก่อนที่จะลงลึกในรายละเอียด ผมขอขยายความของเจ็ดตัวประหลาดกังหนำก่อนเลย พวกเขาประกอบไปด้วยบุคคลดังต่อไปนี้

    1. ค้างคาวเหินฟ้า กัวเต็งอัก หรือจีนกลางเรียก เค่อเฉินเอ๋อ (Ke Zhen'e) เป็นคนตาบอด แต่มีหูทิพย์ เพราะดันไปมีเรื่องกับลมทมิฬคู่มหากาฬ ซึ่งเคยเป็นศิษย์ของอึ้งเอี๊ยะซือเจ้าเกาะดอกท้อ นั่นคือศพเหล็ก และศพทองแดงทำให้เสียตาทั้งสองข้างไป นั่นเป็นจุดที่ทำให้เมื่อใครพูดถึงคนพิการเขาจะโมโหเสมอๆ กัวเต็งอักเป็นคนขี้โกรธ โมโหร้ายครั้งหนึ่งเคยโกรธเคืองก๋วยเจ๋งถึงกับกลืนฟันของตัวเองลงท้อง เนื่องเพราะเข้าใจผิดคิดว่าก๋วยเจ๋งไม่เชื่อฟังอาจารย์ คิดล้างครู และขี้ประชดประชัน จุดเด่นนอกจากวิชาตัวเบาก็คือ การใช้อาวุธลับที่ในมังกรหยกเรียกว่ากระจับพิษ และปากในการด่าของกัวเต็งอักนั้นแม้แต่อึ้งย้งยังยอมรับว่า ปากจัดสุดๆ

    2. บัณฑิตมือวิเศษ จูชง (Zhu Cong) คำว่ามือวิเศษของจูชงนั้นพูดง่ายๆ ก็คือ สุดยอดนักล้วงกระเป๋าที่ฝรั่งเรียกพวก Pickpocket นั่นเอง มีความเจ้าเล่ห์หรือมีสติปัญญาเฉลียวฉลาดในการโต้แย้งผู้คน มีโรคจิตหรือจะว่าเป็นนิศัยที่แก้ไม่หายก็ได้ นั่นคือการล้วงกระเป๋าผู้คนขนาดเด็กก็ยังไม่เว้น และฟ้าก็กำหนดให้จูชงมาล้วงกระเป๋าก้วยเจ๋งที่พกกระบี่สั้นที่คูชู่กีนักพรตแห่งช่วนจินมอบให้ จนเป็นที่มาให้พวกตัวงประหลาดได้มาเป็นอาจารย์ของก๊วยเจ๋งในที่สุด

    3. เทพอาชา หันปอกือ จีนกลางเรียก ฮั่นเปาจู (Han Baoju) เขาเป็นคนฝึกม้าที่น่าจะมีฝีมือมากที่สุด มีรูปร่างเตี้ยอ้วนคล้านลูกชิ้นเนื้อ แต่เก่งกาจในการเลี้ยงม้า บังคับม้าอย่างเหลือเชื่อ ถึงขนาดคนมองโกลเองที่คุ้นเคยมากับม้าต้องซูฮกให้ หันปอกือยังเก่งในเรื่องการใช้แส้ซึ่งก็คงเป็นพื้นฐานที่เขาใช้บังคับม้านั่นเอง

    4. คนตัดฟืนเขาทักษิณ น่ำฮียิ้น หรือจีนกลางเรียก หนันซีเหริน (Nan Xiren) คนเป็นคนรูปร่างใหญ่ พกขวานใหญ่ บนคมขวานมีรอยบิ่นหลายรอย เท้าสวมรองเท้าหญ้า มือหยาบเท้าใหญ่ ท่าทางเซื่องซึมโง่งม ใช้อาวุธเป็นไม้คานเหล็ก หล่อหลอมมาจากเหล็กกล้า ปรกติเอาไว้ใช้เป็นคานแบกฟืนที่ตัดลงมาขาย เป็นคนเงียบงันไม่ชอบพูดชอบจา เป็นคนที่เห็นแววก๋วยเจ๋งว่าน่าจะฝึกวิทยายุทธได้ เพราะ สติปัญญาของเจ้าหนูแซ่ก๊วยไม่ดีเฉกเช่นที่ตัวเองเป็น ดูๆเป็นคนที่มีเหตุผลที่สุดในพวกนี้ เพราะคิดช้ามาก เวลาพูดมักพูดเป็นคำหรือประโยคสั้นๆ ซึ่งล้วนแล้วแต่กลั่นกรองมาอย่างดี

    5. อรหันต์ยิ้ม เตียวอาเซ็ง จีนกลางเรียก จางอาเจิ้ง (Zhang Ahsheng) บุคลิกเป็นคนตัวใหญ่มาก ไม่ต่ำกว่า 200 ชั่ง ปรกติน่าจะประกอบอาชีพฆ่าหมูหรือฆ่าเนื้อในโรงฆ่าสัตว์ แต่กระนั้นก็คงฆ่าเสร็จแล้วคงย่างหมูหรือย่างเนื้อต่อไปด้วย ทำให้ไปไหนมาไหน ร่างกายก็เต็มไปด้วยคราบน้ำมัน ในสายคาดเอวยังมีมีดปลายแหลมเอาไว้หั่นหมูอีกเล่ม

    6. ผู้ซ่อนกายกลางตลาด ช้วนกิมฮวด หรือ ฉวนจินฟา (Quan Jinfa) ร่างกายสันทัด ผิวขาวเกลี้ยง มือถือคันชั่ง ปรกติเป็นพ่อค้าหาบเร่แผงลอย กล่าวกับผู้อื่นเสมอว่าตัวเองชอบเอากำไรเล็กๆ น้อยๆ โดดเด่นเรื่องวิชาตัวเบา และคันชั่งที่ใช้ก็เป็นอาวุธตะขอติดโซ่

    7. นักกระบี่หญิงแคว้นอ้วก หันเสียวย้ง (Han Xiaoying) โดดเด่นในเรื่องใช้กระบี่ แต่พละกำลังก็น่าจะมีไม่น้อย เพราะสามารถพายเรือโดยใช้พายทองเหลืองหนักอึ้งบังคับเรือได้สบาย ไปไหนมาไหนกับน่ำฮี้ยิ้งประจำ

    เดี๋ยวคราวหน้ามาดูกันต่อว่า อะไรคือสิ่งที่พลาด และอะไรคือสิ่งที่ดีในครูทั้ง 7 ของก๋วยเจ๋ง คุณพ่อคุณแม่ที่ลูกอยู่ในสภาพเดียวกับพระเอกเรื่องมังกรหยกต้องไม่พลาดนะครับ

    Entertainment - Manager Online -
     
  19. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    หลักสูตรก๋วยเจ๋ง 3 : เมื่อครูพร้อมศิษย์ก็เกิด/ต่อพงษ์

    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 17 มิถุนายน 2554 13:40 น.





    เมื่อคราวที่แล้วบอกเอาไว้ถึงครูชุด 7 ตัวประหลาดนั้นมีปัญหาอย่างหนักทีเดียวกับการให้การศึกษาแก่เด็กพิเศษอย่างก๋วยเจ๋ง พ่อและแม่ในยุคนี้ควรดูไว้นะครับ เพราะตามท้องเรื่องนั้น 6 ตัวประหลาดแกไม่ได้ดูเลยว่า มันสมองระดับที่ก๋วยเจ๋งมีสามารถที่จะเรียนรู้และรับรู้อะไรได้บ้าง

    พังเพยของตะวันตกว่าเอาไว้...เมื่อครูพร้อมศิษย์ก็เกิด แต่เมื่อครูไม่พร้อมศิษย์จะเกิดได้อย่างไร?

    ความไม่พร้อมและไม่พอของ 7 ตัวประหลาด (ความจริงเหลือแค่หกคน เพราะหนึ่งในนั้นเสียชีวิตก่อนที่จะได้สอนก๋วยเจ๋ง แต่บรรดาคนที่เหลืออยู่ก็ยังเรียกตัวเองว่าเจ็ดตัวประหลาด เพราะต้องการรำลึกถึงพี่น้องร่วมสาบานตลอดไป) ไล่มาตั้งแต่การ กระหน่ำสอนวิชาตามความถนัดของตัวเองมีให้แก่ก๋วยเจ๋งแบบไม่บันยะบันยัง

    นั่นแปลว่าเด็กไอคิวต่ำแบบเขาจะต้องมารองรับวิชาที่ตั้งแต่ทื่อมะลื่อที่สุดยันวิชาล้วงกระเป๋าที่พริ้วไหวที่สุด...ลองนึกดูเอาเองว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นแก่ก๋วยเจ๋ง

    [​IMG]

    ก๋วยเจ๋งกับนักพรตช้วนจินเบ๊เง็ก (ภาพจาก JadeDragon.net Jade Dragon

    สภาพเช่นนั้นเกิดมาตลอด 10 ปี การศึกษาเรื่องหมัดมวยโดยอาจารย์ประหลาดนั้นเกิดขึ้นในภาคกลางคืน อ่านถึงตอนนี้ก็ต้องบอกว่า เป็นเรื่องน่าแปลกใจเหมือนกันนะครับที่ในภาคกลางวันนั้นก๋วยเจ๋งก็ยังคงฝึกในเรื่องของการควบม้า ยิงธนู ควบคุมทหารในกองทัพ จัดกระบวนทัพ คุมทหารเข้าทะลวงแนวต้านอย่างไร ซึ่งก๋วยเจ๋งก็ทำได้ดีเทียบเท่าเซลุยซึ่งเป็นบุตรของเตมูจินเจงกิสข่าน กิมย้งบรรยายว่า เตมูจินเห็นว่าวิชาหมัดมวยใช้แค่ต่อสู้ป้องกันตัว ไม่เพียงพอที่จะแสดงอาณุภาพในสนามรบสร้างชื่อเสียงป้องกันดินแดนและกลืนกินดินแดนได้ อาจารย์สอนยังคงเป็นเทพเกาทัณฑ์เจอเปอยู่นั่นเอง

    ...ประเด็นคือว่า ถ้าก๋วยเจ๋งโง่ดักดานเกินเหตุ เขาไม่น่าจะเรียนวิชาทางการทหารแบบนี้ได้ ซึ่งการเป็นแม่ทัพนั้นต้องมองเห็นความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ในสนามรบได้ เพราะฉะนั้นปัญหาจึงน่าจะอยู่ที่ตัวครูมากกว่าที่ไม่ได้ป้อนในสิ่งที่ถูกต้องให้แก่ลูกศิษย์ หรือ ป้อนกับผิดวิธีทางใดทางหนึ่ง

    กิมย้งบรรยายถึงความไม่เอาอ่าวของหกประหลาดว่า แต่ละคนนั้นฝึกวิชาได้ระดับนี้ เพราะใช้เวลายาวนานคร่ำเคร่งฝึกปรือ แต่จะให้ก๋วยเจ๋งใช้เวลาไม่กี่ปีฝึกฝนจนชำนาญในทุกวิชาของทั้งหมด แม้นับเป็นคนฉลาดปราดเปรื่องยังยากยิ่งจะกระทำ อย่าว่าแต่ก๋วยเจ๋งมีสติปัญญาต่ำกว่าธรรมดามาก ด้วยสัดส่วนภูมิปัญญาเช่นนี้ อย่างมากเพียงสามารถฝึกวิชาของฮั่งป้อกู่ (วิชาแส้กับบังคับม้า) หรือ น่ำฮียิ้ง (วิชาขวานกับไม้คานเหล็ก)ได้คนเดียวเท่านั้น ต่อให้คร่ำเคร่งฝึกอีก 20-30 ปี ก็อาจจะมีความสำเร็จได้แค่ครึ่งเดียวของสองคนนี้เท่านั้น

    ผู้แต่งคนเก่งของเรายังบอกเอาไว้ว่า ยิ่งเร่งสอน ยิ่งเร่งที่จะยัด (เพราะกลัวลูกศิษย์จะแพ้ทำให้ตัวเองเสียหน้าต่อคูชู่กีพรตอมตะ) ความก้าวหน้าในเชิงวิชาบู๊ของก๋วยเจ๋งกลับยิ่งถดถอย “จะเร็วกลับไม่บรรลุ ตะกรามเคี้ยวไม่ละเอียด” แต่แทนที่จะมานั่งดูว่าตัวเองสอนผิดวิธีหรือเปล่า บรรดาตัวประหลาดทั้งหลายกลับยิ่งเคี่ยวเข็ญหนักกว่าเดิมเป็นสองเท่าสามเท่า...แต่ผลปรากฏดังนี้

    “ฮั้งเซี่ยวอิ๊งนึกถึงพวกนางทั้ง 7 (รวมที่ตายไปแล้ว) ทนทุกข์ยากอยู่ในทะเลทรายนับสิบกว่าปี สอนไปสอนมากลับได้ศิษย์ที่โง่เขลาเยี่ยงนี้ ชีวิตที่ผ่านมาล้วนเสียเปล่าไม่มีผลใดๆ เลย ความเศร้ารันทดจึงประดังจนน้ำตาทะลักดุจทำนบทลาย เหวี่ยงกระบี่ในมือทิ้งแล้วยกมือปิดหน้าวิ่งหนีไป ก๋วยเจ๋งวิ่งตามไปหลายก้าวแต่ไม่ทันจึงยืนตะลึงกันอยู่ที่นั่นบังเกิดความเสียใจอย่างสุดซึ่ง แม้ตัวเองจะพยายามจนคร่ำเคร่งเพียงใด แต่ยังคงฝึกไม่ได้อยู่นั่นเอง”

    เรื่องมาโอละพ่อเอาตอนนี้ครับ...และเป็นจุดเปลี่ยนแปลงที่ทำให้เจ้าทึ่มก๋วยเจ๋งกลายเป็นจอมยุทธก๋วยขึ้นมา

    <CENTER>********************************</CENTER>
    ครูสำนักที่สามที่เข้ามาตบให้พื้นฐานและสัญชาติญาณของร่างกายมีชื่อว่า “ เบ๊เง็ก” หนึ่งใน 7 อริยเจ้าแห่งสำนักสัจธรรมไพบูลย์หรือช่วนจิน และเป็นศิษย์คนโตของเฮ้งเต๊งเอี๊ยงปรมาจารย์ผู้ก่อตั้งสำนักซึ่งตามตำนานซึ่งแปลเป็นไทยโดยท่าน ทันตแพทย์ บัญชา ศิริไกร บอกว่า เฮ้งเต๊งเอี๊ยงนั้นเรียนวิชาเซียนมาจาก 2 ใน 8 เซียน นั่นคือ ลู่ตงปิง กับฮั่งเจงลี้

    ตัวเฮ้งเต้งเอี๊ยงนั้นตามตำนานอีกเหมือนกันบอกว่า สุดท้ายเมื่อสำเร็จมรรคผลแล้วก็ขึ้นไปอยู่บนสวรรค์ ขณะที่ลูกศิษย์ทั้ง 7 ก็ขึ้นไปเป็นเทพอยู่บนสวรรค์เช่นกัน เบ๊เง็กนั้นเป็นลูกศิษย์คนแรก เดิมเป็นเศรษฐีแต่มาพบหนทางแห่งการดับทุกข์และความเป็นอมตะจากการฝึกปรานภายในตัวตามแบบฉบับของเฮ้งเต้งเอี๊ยงก็เลื่อมใสจนออกมาบวชพร้อมกับซุนปุกยี่ซึ่งเป็นภรรยาและทั้งคู่ก็สำเร็จมรรคผลเหมือนกัน


    <CENTER>เบ๊เง็กนั้นมีฉายาว่า “ตั้งเอี๊ยง”<CENTE r>

    กิมย้งผูกเรื่องว่า เบ๊เง็ก รู้สึกรำคาญใจกับการที่คูชู่กีศิษย์น้องของตัวเองยังยึดติดอยู่กับเรื่องเอาแพ้เอาชนะกับเจ็ดตัวประหลาด แถมทำท่าว่าจะชนะเสียด้วย เพราะลูกศิษย์ของคูชู่กีนั้นฉลาดล้ำจริงๆ อีกทั้งยังส่งศิษย์ในทางพรตคนหนึ่งขึ้นรมาย้ำนัดแห่งการประลองนั้นด้วย ศิษย์ของท่านคูชู่กีก็คือ อี้จี้เพ้ง ซึ่งใช้ไม่กี่ท่าก็สยบก๋วยเจ๋งได้สำเร็จ

    เบ๊เง็กทราบเรื่องดังกล่าวก็เลยเดินทางขึ้นมาเหนือเพื่อมาสอนวิชาและสิ่งที่ก๊วยเจ๋งยังขาดอยู่ แต่ทว่าท่านรู้โดยความฉลาดหรือโดยญาณของท่านว่า ขืนเดินเข้าไปสอนวิชาช่วนจินเอาดื้อๆ ความที่พกโมหะจริตไว้เต็มเหนี่ยวของ 6 ตัวประหลาดก็จะไม่ยอมให้ก๊วยเจ๋งได้เรียนวิชาของช่วนจินอยู่ดี เบ๊เง็กก็เลยต้องมาสอนก๊วยเจ๋งแบบลับๆ บนยอดเขาสูง 2 ต่อ 2 เป็นเวลาสองปีเต็มโดยที่ 6 ตัวประหลาดไม่มีระแคะระคายเลย

    “ซือแป๋ทั้งหกของท่านล้วนเป็นบุคคลอันดับเยี่ยมของยุทธจักร ท่านเพียงฝึกวิชาของผู้ใดผู้หนึ่งสำเร็จก็พอจะแสดงฝีมือให้มีชื่อในแผ่นดินได้แล้ว และท่านเองก็มิใช่ไม่มานะพยายามฝึกปรือ แต่ไฉนสิบกว่าปีนี้จึงมีความสำเร็จน้อยนิด ท่านทราบหรือไม่เพราะเหตุใด?” เบ๊เง็กตั้งคำถามกับก๊วยเจ๋งในคราวที่สนทนากันบนยอดเขา

    “นั่นเพราะข้าพเจ้าโง่เขลาเกินไป บรรดาซือแป๋ทั้งหมดต่างทุ่มเทจิตใจฝึกสอนก็ฝึกไม่เป็นเสมอมา” ก๋วยเจ๋งตอบ

    “นั่นมิใช่สิ้นเชิง แต่เป็นการสอนโดยไม่เข้าใจหลัก ฝึกโดยไม่ถูกทาง” เบ๊เง็กกล่าว

    “เพราะถ้าถกถึงหลักวิชาบู๊ธรรมดา พลังการฝึกปรือของท่านในตอนนี้นับว่าไม่เลวอย่างยิ่ง แต่เมื่อลงมือครั้งแรกกลับโดนี้จี้เพ้งนักพรตน้อยพิชิตพ่ายแพ้ ในใจจึงเกิดท้อแท้รันทด เข้าใจว่าตัวเองใช้ไม่ได้ ฮาฮา นั่นนับว่าผิดพลาดโดยสิ้นเชิงแล้ว...นักพรตน้อยนั้นเอาชนะท่านได้ เพราะล้วนอาศัยกำลังพลิกแพลงเข้าเอาชัย หากถกถึงกำลังประจำตัวมันไม่แน่จะเข้มแข็งเหนือท่าน เยี่ยงนี้เถิด ศรัทธาที่บริสุทธิ์จริงใจของท่านและเราท่านต่างมีวาสนาร่วมกันอยู่ เราจะถ่ายทอดวิธี หายใจ นั่งลง ลุกเดิน และ นอนหลับแก่ท่าน”

    กิมย้งอ้างคำพูดของเบ๊เง็กในเคล็ดที่สอนหายใจแก่ก๊วยเจ๋งว่า

    “ความคิดแน่วแน่ ใจไม่ฟุ้งซ่าน กายผ่อนคลาย เลือดลมปลอดโปร่ง หัวใจสงบ สติปัญญาเปรื่องปราดแจ่มใส ปฏิฐานเพิ่ม นิเสธลด ก่อนนอนต้องให้สมองว่างเปล่าแจ่มใส ไม่มีความคิดฟุ้งซ่านซักน้อยนิด จากนั้นเอนกายตะแคง ผ่อนลมหายใจยาวๆ ช้าๆ ใจไม่คิดวุ่นวาย สติไม่ออกรวนเร”

    ก๋วยเจ๋งฝึกหายใจอย่างที้ว่าอยู่ครึ่งปีเศษ เมื่อฝึกวิชาในตอนกลางวันกลับพบว่าร่างกายเบาขึ้นแต่มือเท้าหนักหน่วงกว่าเดิม กำลังที่ไม่สามารถใช้ได้ในกาลก่อนตอนนี้พอยืดมือก็ก่อเกิดพลังพิศดารขึ้นเองตามธรรมชาติ จนหกตัวประหลาดต่างเข้าใจว่าก๋วยเจ๋งสูงวัยและมีความมานะพยายามจนเข้าใจหลักเคล็ดวิชาขึ้นมาเอง

    สิ่งที่ก๋วยเจ๋งฝึกนั้น เราเรียกมันในยุทธจักรว่า กำลังภายใน!!</CENTER><CENTER> </CENTER>
    http://www.manager.co.th/Entertainment/ViewNews.aspx?NewsID=9540000074094

    <CENTER>
    </CENTER>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 มิถุนายน 2011
  20. deemonster

    deemonster เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2007
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +805
    คุงพี่ขวัญฟ้า ผมไม่ค่อยได้ดูอ่ะ ส่วนใหญที่ดูก็คุณพี่มาแปะไว้อ่ะ
    ว่าแต่คุณพี่พูดซะน่ากลัวเลย
    ผมนี่ ตกตลอดนะ ตกเป็นทาสรัก หุหุ ถอนตัวไม่ขึ้นอ่ะ
    ทั้งรักตัวเอง รักภรรยา รักพ่อ รักแม่ รักพี่น้องรักน้องหมา รัก รัก รัก จุกอกเลย
    คุงพี่ขวัญฟ้าล่ะ ยังตกอยูในทาสรักไหม ครับ
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...