Subliminal Messages การซ่อนข้อความหรือความหมายในที่ต่างๆ???

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย k.kwan, 21 พฤศจิกายน 2010.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ข่าว: ฮือฮา ฮิตเลอร์ โผล่ในร่างแมว

    บทความนี้เขียนโดย Hanoiii Reuters, โพสต์เมื่อ <ABBR class=published title=2011-03-31T11:11:20+0000>วันพฤหัสที่ 31 มีนาคม 2011 เวลา 11:11:20</ABBR>
    <ABBR class=published title=2011-03-31T11:11:20+0000></ABBR>
    <ABBR class=published title=2011-03-31T11:11:20+0000>
    [​IMG] ภาพเปรียบเทียบฮิตเลอร์ กับแมวนาซี

    30 มี.ค. 54 เว็บไซด์เดอะซัน ได้เผยภาพแมวสีขาวตัวหนึ่งที่มีหน้าตาลักษณะหน้าตาละหม้ายคล้ายกับ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ท่านผู้นำของพรรคนาซี
    โดยแมวตัวดังกล่าวมีขนสีดำพาดเฉียงอยู่บนศีรษะ และมีขนสีดำอยู่บริเวณปากคล้ายกับทรงผมเป๋ และหนวดแปรงสีฟันของท่านผู้นำตามลำดับ
    ซึ่งแมวฮิตเลอร์ ตัวนี้ก็ได้รับคำชมว่า เหมือนท่านผู้นำของพรรคนาซี มากที่สุดในบรรดาเหมียวๆ ด้วยกันที่ถูกอัพโหลดลงในเว็บไซต์ catsthatlooklikehitler.com.
    ขณะเดียวกันวานนี้ก็มีผู้อัพโหลดรูปบ้านหลังหนึ่ง ผ่านเว็บไซด์ทวิตเตอร์ ว่ามีลักษณะคล้ายกับใบหน้าของ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ด้วยเช่นเดียวกัน
    [​IMG] แมวฮิตเลอร์ แมวนาซ๊

    [​IMG]
    [​IMG] บ้านหน้าฮิตเลอร์

    เรียบเรียงข่าวโดย Mthai News


    <LI class=news_src_item>[​IMG]
    http://palungjit.org/threads/ประเทศไทยจะเกิดอุบัติภัยอย่างที่ทำนายกันจริงๆหรือไม่.3906/page-1207</ABBR>
     
  2. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ฟาติมาสาร
    อาทิตย์ที่ 2 เทศกาลมหาพรต
    วันอาทิตย์ที่ 20 มีนาคม 2011
    ************************************************************************************************************************************************************************

    วัดแม่พระฟาติมา
    บทความเจ้าอาวาส

    เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่าน พี่น้องหลายท่านได้ฟังการแบ่งปันประสบการณ์ชีวิตของซิสเตอร์หุยและซิสเตอร์หลิน ลูกวัดแม่พระฟาติมา ที่ได้รับกระแสเรียกไปบวชเป็น ซิสเตอร์คณะอุร์สุลิน ได้ปฏิญาณตนพร้อมกัน และเคยช่วยงานวัดแม่พระฟาติมา โดยอยู่ในกลุ่มนักขับของวัดแม่พระฟาติมา ที่กำลังโด่งดังในขณะนี้ และเนื่องจากเป็นวันอาทิตย์ ในพิธีแห่แม่พระซึ่งคุณพ่ออนุสรณ์ มาเป็นประธานมีสัตบุรุษมาร่วมพิธีจำนวนมาก ซิสเตอร์หุยเป็นผู้อำนวยเพลงให้ นักขับก็ร้องอย่างเต็มที่ไพเราะมาก
    เมื่อวันที่ ๑๕-๑๗ มีนาคม เยาวชนและผู้ช่วยพิธีกรรมไปพักผ่อนที่ระยอง คุณหาญชัย เจ้าของบ้านพักที่ ร็อก การ์เด้น บิช ให้พักฟรี มีคุณพ่อสุชาติ จิตตาธิการ คุณหรรษา และผู้ปกครองอีกบางท่านช่วยดูแลเด็กๆ คงสนุกสนานกันดีนะ แล้วกลับมาตั้งใจทำงานให้ดีต่อไปนะ
    ภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นกับพี่น้องประเทศญี่ปุ่น มีอะไรให้คิดได้มากมาย ทั้งสงสาร ทั้งเห็นใจ ทั้งช่วยเหลือหลั่งไหลมาจากชาติต่างๆ แต่พี่น้องชาวญี่ปุ่นเหล่านั้นกว่าจะฟื้นตัวได้ ต้องใช้เวลาอีกนาน แต่ชาวญี่ปุ่นมีวินัย มีความอดทน ก้มหน้าก้มตารับชะตากรรม ไม่หวั่นไหว คงใช้เวลาไม่นานเท่าประเทศที่ยากจน เพราะญี่ปุ่นเจริญก้าวหน้าอยู่แล้ว
    มีข้อคิดสะกิดใจนอกเหนือจากภัยธรรมชาติ เมื่อ popereport ผู้เขียนสารวัด ฟาติมาสารตั้งข้อสังเกต เชื่อมโยงกับแม่พระแห่งอาคิต้า ที่ประจักษ์เมื่อปี ๑๙๗๓ แก่ ซิสเตอร์อักแนส และในการประจักษ์ครั้งที่สาม วันที่ ๑๓ ตุลาคม ๑๙๗๓ แม่พระให้สาร ที่เป็นเหมือนสารของฟาติมา ทำนายถึงภัยพิบัติที่ร้ายแรงมากกว่าน้ำวินาศ ชนิดที่มนุษย์ไม่เคยเจอมาก่อน มนุษย์ทั้งดีและชั่วจะตายทันที ไม่เว้นพระสงฆ์หรือผู้ชอบธรรม ปีศาจจะบ่อนทำลายพระศาสนจักร พระคาร์ดินัลจะขัดแย้งกันเอง พระสังฆราชจะเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน มีความจริงที่ว่าเกิดความขัดแย้งระหว่างสภา-พระสังฆราชในญี่ปุ่นกับกลุ่มวิถีคริสตชนที่มาจากสเปน โดยที่ต่อมาสภาพระสังฆราชไม่เชื่อฟังพระสันตะปาปา คือขัดแย้งกับคำสั่งวาติกัน แม่พระบอกว่าให้สวดภาวนามากๆ สำหรับพระสันตะปาปา และพระสงฆ์ หรือบางทีญี่ปุ่นเป็นแค่การเตือน จะมีเหตุร้ายมากกว่านี้ในอนาคตหรือเปล่า ไม่สามารถทราบได้นะครับ

    คุณพ่อสุรชัย กิจสวัสดิ์

    ****************************************************************************

    POPEREPORT.COM

    “แม่พระอะกิตะ” กับ “แผ่นดินไหวที่ญี่ปุ่น”

    ขอร่วมไว้อาลัยต่อผู้เสียชีวิตจากเหตุแผ่นดินไหวและสึนามิพัดถล่มเมืองเซ็นได ประเทศญี่ปุ่น ขอพระเจ้าประทานการพักผ่อนตลอดนิรันดรแด่พวกท่านตลอดไป ...
    วินาทีแรกที่มีการรายงานข่าวแผ่นดินไหวและสึนามิในญี่ปุ่น ผมกำลังนั่งทำงานอยู่ในออฟฟิศ สิ่งแรกที่ผมนึกถึงหลังเกิดเรื่องร้ายนี้คือ “แม่พระอะกิตะ” (แม่พระประจักษ์ที่ญี่ปุ่น) ผมรีบเข้ากูเกิลเพื่อค้นหาข้อมูลแม่พระอะกิตะ เพื่อดูว่า มีอะไรเป็นสัญญาณบอกเหตุหรือเปล่า ผมเชื่อว่า หลายท่านน่าจะเคยได้ยินชื่อ แม่พระอะกิตะ กันบ้างแล้ว นี่เป็นการประจักษ์ที่วาติกันรับรอง ดังนั้น ก่อนผมจะลงลึกถึงรายละเอียด ขอแบ่งปันความเป็นมาของ แม่พระอะกิตะ สักเล็กน้อย
    เรื่องราวแม่พระประจักษ์ที่อะกิตะ เกิดใน ค.ศ.1973 แม่พระประจักษ์มาหา “ซิสเตอร์อักแนส คัตซึโกะ ซาซากาวะ” (ชาวพุทธที่รับศีลล้างบาปเป็นคาทอลิก) ใจความสำคัญของการประจักษ์ครั้งนั้น แม่พระพูดถึงความขัดแย้งในพระศาสนจักรคาทอลิกและอุทกภัยที่จะเกิดกับโลก
    แม่พระกล่าวกับซิสเตอร์อักแนสว่า “ถ้ามนุษย์ไม่กลับใจและปรับปรุงตัวให้ดีขึ้น พระบิดาจะลงโทษอย่างหนักต่อมนุษยชาติ มันจะเป็นการลงโทษที่รุนแรงกว่าการเกิดอุทกภัย ซึ่งไม่เคยพบเห็นมาก่อน ... ลูกไฟจะหล่นจากฟากฟ้าและทำลายล้างมนุษยชาติจำนวนมาก ผลงานของปีศาจจะแทรกซึมเข้าไปในพระ ศาสนจักร เราจะได้เห็นปีศาจในรูปแบบของพระคาร์ดินัลขัดแย้งกันและพระสังฆราชเกลียดชังกัน โบสถ์และพระแท่นจะถูกทำลาย ปีศาจจะล่อลวงพระสงฆ์และผู้มีวิญญาณบริสุทธิ์ให้ถอยห่างจากการรับใช้พระเจ้า ดังนั้น แม่ขอให้ลูกสวดสายประคำทุกวัน จงสวดให้พระสันตะปาปา พระสังฆราช และพระสงฆ์ จงสวดสายประคำให้มากๆ เรา(แม่พระ)ผู้เดียวเท่านั้นที่จะช่วยปกป้องพวกลูกให้พ้นจากเหตุการณ์เหล่านี้ได้”
    2 ปีหลังการประจักษ์ รูปปั้นแม่พระที่อยู่ในวัดน้อยซึ่งซิสเตอร์อักแนสได้พบแม่พระ ก็มีเลือดไหลออกมาทางดวงตา เหตุการณ์แม่พระร้องไห้เป็นเลือด เกิดทั้งหมด 5 ครั้ง และทุกครั้งมีสัตบุรุษเป็นประจักษ์พยานตลอดเวลา (พยานมีทั้งคริสตังและพุทธศาสนิกชน)
    ค.ศ. 1984 พระสังฆราช จอห์น โชจิโร่ ประมุขสังฆมณฑลนิงาตะ (สังฆมณฑลที่เมืองอะกิตะสังกัด) ท่านเป็นหนึ่งในประจักษ์พยานที่เห็นแม่พระร้องไห้เป็นเลือด ได้พิจารณาและศึกษาเรื่องที่เกิดอย่างละเอียด ก่อนจะประกาศแก่สัตบุรุษว่า แม่พระประจักษ์ที่อะกิตะ เป็นเรื่องจริงและมีคุณค่าต่อความเชื่อ
    ค.ศ. 1988 วาติกันได้ส่งคณะกรรมการเข้ามาตรวจสอบ ก่อนที่ “พระคาร์ดินัล โยเซฟ รัตซิงเกอร์” (พระสันตะปาปาองค์ปัจจุบัน) ซึ่งตอนนั้นดำรงตำแหน่งประธานสมณกระทรวงพระสัจธรรม ได้ประกาศรับรองอย่างเป็นทางการว่า เหตุการณ์ที่อะกิตะเป็นเรื่องควรค่าแก่การเชื่อ นอกจากนี้ ทีมแพทย์วาติกันยืนยันว่า เลือดที่ไหลออกจากดวงตาของรูปปั้นแม่พระเป็นเลือดมนุษย์จริงๆ
    ... ที่กล่าวมาก็คือประวัติของแม่พระแห่งอะกิตะ ผมไม่รู้ทุกท่านอ่านแล้วคิดอย่างไร แต่ตัวผมเองค่อนข้าง “อึ้ง” กับสารของแม่พระ เพราะมันอยู่หนึ่งประเด็นที่ตรงกับสถานการณ์ปัจจุบันแบบ “โป๊ะเช๊ะ” ก็ว่าได้ นั่นคือ “ปีศาจในรูปแบบของพระคาร์ดินัลขัดแย้งกันและพระสังฆราชเกลียดชังกัน”
    สารแม่พระตอนนี้ทำให้ผมอึ้งและตกใจมาก หากใครติดตามเว็บไซต์ popereport.com น่าจะทราบดีว่า เดือนมกราคมที่ผ่านมา พระศาสนจักรคาทอลิกในญี่ปุ่นเกิดความขัดแย้งอย่างรุนแรง เรื่องมีอยู่ว่า สภาพระสังฆราชคาทอลิกแห่งญี่ปุ่นสั่งให้ “กลุ่มวิถีคริสตชน” (NEOCATECHUMENAL WAY) ยุติการแพร่ธรรมในประเทศและเก็บข้าวของออกจากญี่ปุ่นภายใน 5 ปี บรรดาพระสังฆราชญี่ปุ่นบอกว่ากลุ่มวิถีคริสตชนซึ่งเป็นกลุ่มแพร่ธรรมจากสเปน ได้สร้างความแตกแยกในหมู่คริสตังญี่ปุ่นเป็นอย่างมาก ข่าวนี้ดังไปถึงวาติกัน พระสันตะปาปาจึงเรียกทั้งสองฝ่ายเข้าพบ ก่อนจะทรงสั่งให้ทั้งคู่ปรับความเข้าใจกัน และอนุญาตให้กลุ่มวิถีคริสตชนทำงานแพร่ธรรมในญี่ปุ่นต่อได้
    แต่หลังจากนั้นไม่ถึงสัปดาห์ สภาพระสังฆราชคาทอลิกแห่งญี่ปุ่น ก็ออกแถลงการณ์ออกมาอีกว่า ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม กลุ่มวิถีคริสตชนต้องหยุดการแพร่ธรรมและต้องเก็บของออกไปจากญี่ปุ่นภายใน 5 ปี ... สิ่งนี้เท่ากับว่า สภาพระสังฆราชคาทอลิกญี่ปุ่นขัดขืนคำสั่งของพระสันตะปาปา และยังสะท้อนให้เห็นถึงความขัดแย้งระหว่างบรรดาพระคาร์ดินัลและพระสังฆราช (วาติกันกับญี่ปุ่น)
    ถึงตอนนี้ ข่าวความขัดแย้งดังกล่าว เงียบหายไปแล้ว แต่ผมไม่รู้ว่า หากนำสารแม่พระมาพิจารณา ประโยคที่ว่า “ปีศาจในรูปแบบของพระคาร์ดินัลขัดแย้งกันและพระสังฆราชเกลียดชังกัน”มันจะหมายถึงความขัดแย้งระหว่าง สภาพระสังฆราชคาทอลิกแห่งญี่ปุ่น กับ กลุ่มวิถีคริสตชน หรือเปล่า
    อีกหนึ่งความอึ้งกับสารแม่พระอะกิตะก็คือ“ถ้ามนุษย์ไม่กลับใจและปรับปรุงตัวให้ดีขึ้น พระบิดาจะลงโทษอย่างหนักต่อมนุษยชาติ มันจะเป็นการลงโทษที่รุนแรงกว่าการเกิดอุทกภัย ซึ่งไม่เคยพบเห็นมาก่อน”
    “อุทกภัย” ที่ว่า ผมไม่รู้ว่าจะใช่ “สึนามิ” แบบที่เกิดหรือไม่ ส่วนการกลับใจและปรับปรุงตัวให้ดีขึ้น ผมก็ไม่รู้ว่า แม่พระต้องการให้ชาวญี่ปุ่นบางคนเลิกยุ่งกับอุตสาหกรรมทางเพศ (หนังโป๊) ซึ่งญี่ปุ่นเป็นประเทศผู้ผลิตรายใหญ่ของโลก หรือเปล่า ... ผมไม่กล้าฟันธง เพราะบางสิ่งมันอยู่เหนือจากความเข้าใจและการตีความของมนุษย์
    กระนั้นก็ตาม บทความในสัปดาห์นี้ไม่ได้มีวัตถุประสงค์ให้ทุกคนกลัวและคิดฟุ้งซ่านว่า โลกกำลังจะแตก บางคนเริ่มเพ้อบอกว่า ค.ศ. 2012 โลกแตกแน่ๆ
    ในมุมมองของผม ถ้าเราเป็นคริสตังที่มีความเชื่อแรงกล้า เราจะรู้ดีว่า ผู้เดียวที่จะรู้วันสุดท้ายของโลกคือพระบิดา แม้แต่พระเยซู พระองค์ยังตรัสเลยว่า “ไม่มีใครล่วงรู้วันนั้นจะมาถึงเมื่อไหร่ นอกจากพระบิดา” เมื่อเป็นเช่นนี้ อย่าคิดฟุ้งซ่าน แต่จงกลับตัวกลับใจทำตัวให้เป็นคนดี และสวดให้มากๆเหมือนที่แม่พระบอกไว้จะดีกว่า ทั้งนี้ เพื่อคนบาปจะได้กลับใจ
    ที่สำคัญอย่าลืมว่า ในสารแม่พระประจักษ์ที่อะกิตะ แม่พระบอกชัดเจนว่า “เรา(แม่พระ)ผู้เดียวเท่านั้นที่จะช่วยปกป้องพวกลูกให้พ้นจากเหตุการณ์เหล่านี้ได้” ดังนั้น สิ่งที่เราทำได้ในตอนนี้คือสวดให้คนบาปกลับใจ นั่นเอง

    AVE MARIA

    หมายเหตุ – บทความวันนี้ เป็นบทวิเคราะห์ตามมุมมองของผมนะครับ โปรดใช้
    วิจารณญาณในการอ่าน เพราะผมมั่นใจว่า ต้องมีบางท่านบอกว่า เหตุการณ์ที่เกิดกับญี่ปุ่นเป็นการเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติ มันถึงเวลาที่ธรรมชาติต้องปรับสมดุลกันบ้าง (เปลือกโลกเคลื่อนตัว) อันนี้ ก็แล้วแต่มุมมอง... ส่วนคนที่อยากรู้เรื่องแม่พระอะกิตะให้มากกว่านี้ ลองพิมพ์คำว่า “OUR LADY OF AKITA” ลงในกูเกิล จากนั้น เรื่องราวและสารแม่พระที่วาติกันรับรอง จะมีให้อ่านกันแบบจุใจครับ
    http://www.fatima.or.th/fatimasarn/2011/20mar2011.doc
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 เมษายน 2011
  3. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    <object style="height: 390px; width: 640px"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/XvIC_LqLw04?version=3"><param name="allowFullScreen" value="true"><param name="allowScriptAccess" value="always"><embed src="http://www.youtube.com/v/XvIC_LqLw04?version=3" type="application/x-shockwave-flash" allowfullscreen="true" allowScriptAccess="always" width="640" height="390"></object>

    VERY IMPORTANT MESSAGE FROM THE COSMOS ( DO WE HAVE A CHANCE? )
    จาก: NYC812 | 6 เม.ย. 2011 | 767 ครั้ง
    This is the voice of Vrillon,
    a representative of the Ashtar Galactic Command,
    speaking to you.
    For many years you have seen us
    as lights in the skies. We speak to you now
    in peace and wisdom as we have done
    to your brothers and sisters all over this, your planet Earth.
    We come to warn you of the destiny
    of your race and your world so that you may communicate
    to your fellow beings
    the course you must take to avoid the disaster
    which threatens your world,
    and the beings on our worlds around you.
    This is in order that you may share
    in the great awakening,
    as the planet passes into the New Age of Aquarius.
    The New Age can be a time of great peace
    and evolution for your race,
    but only if your rulers are made aware
    of the evil forces that can overshadow their judgments
    Be still now and listen, for your chance may not come again.
    All your weapons of evil must be removed.
    The time for conflict is now past and
    the race of which you are a part
    may proceed to the higher stages
    of its evolution
    if you show yourselves worthy to do this.
    You have but a short time to learn to live together in peace and goodwill.
    Small groups all over the planet
    are learning this,
    and exist to pass on the light of the dawning
    New Age to you all.
    You are free to accept or reject their teachings,
    but only those who learn to live in peace
    will pass to the higher realms of spiritual evolution.
    Hear now the voice of Vrillon,
    a representative of the Ashtar Galactic Command,
    speaking to you.
    Be aware also that there are many false prophets
    and guides operating in your world.
    They will suck your energy from you --
    the energy you call money
    and will put it to evil ends and
    give you worthless dross in return.
    Your inner divine self will protect you from this.
    You must learn to be sensitive
    to the voice within that can tell you what is truth,
    and what is confusion,
    chaos and untruth.
    Learn to listen to the voice of truth which
    is within you and you will lead yourselves
    onto the path of evolution.
    This is our message to our dear friends.
    We have watched you growing for many years
    as you too have watched our lights in your skies.
    You know now that we are here,
    and that there are more beings on
    and around your Earth than your scientists admit.
    We are deeply concerned about you
    and your path towards the light
    and will do all we can to help you.
    Have no fear, seek only to know yourselves,
    and live in harmony with the ways of your planet Earth.
    We of the Ashtar Galactic Command
    thank you for your attention.
    We are now leaving the plane of your existence.
    May you be blessed by the supreme
    love and truth of the cosmos.
     
  4. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    รวมคำทำนายของท่าน ที่ระบุเป็นวัน เดือน ปี ไว้ชัดเจน
    ตัดเอาเนื้อความบางส่วนมา หากขาดตกบกพร่องประการใดก็ขออภัยด้วยนะครับ
    ผมอาจจะไม่ได้เอาข้อความของท่านอื่นมา เพราะเท่าที่ผมมีข้อมูลก็เท่านี้แหละครับ
    หากท่านใดมีข้อความเตือนภัยของท่านอื่นโพสลงด้วยก็ได้นะครับ

    19-04-2011, 10:18 AM #38
    บวรทัต
    สมาชิก


    อ้างอิง:
    ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ เบยองซู

    เมื่อวานผมถ่ายภาพท้องฟ้าทางทิศตะวันตก
    ไม่รู้เหมือนกันว่าจะสื่อถึงอะไรได้บ้าง
    เข้ามาแสดงความคิดเห็นเพื่อเป็นธรรมทานหน่อยครับ
    อนุโมทนาล่วงหน้าครับ
    คงไม่ใช่ฟ้าแดงอย่างกระทู้คุณ karan 20 นะครับ

    --------------------------------------------------------------------

    วัน วันที่ 18 มิถุนายน 2554 (ท่านให้ระวังตั้งแต่ 16 มิถุนายน)
    เวลา เริ่มเที่ยงคืน - ตีสาม
    เหตุการณ์
    1. ท้องฟ้าสีแดง
    2. มีพายุเข้า
    3. ตึกสูงทรุดตัว
    4. น้ำมาจากทุกทิศ
    5. อุตรดิตถ์
    สถานที่ กรุงเทพและปริมลฑล (ต่างจังหวัดไม่ทราบเพราะไม่ได้ถาม)


    19-04-2011, 10:24 AM #41
    อริยะบุญ
    สมาชิก


    ความเดิมจากตอนที่แล้ว.............
    ตุ้ยผงกศีรษะรับคำ จากนั้นก็หลับตาเข้าสมาธิ คุณพ่อจึงหันกลับมาสวดมนต์ต่อไป

    “ พ่อๆ “
    เสียงตุ้ยดังขึ้นในขณะที่คุณพ่อกำลังก้มกราบพระพุทธรูป หลังจากที่สวดพระคาถาชินบัญชรจบลง

    “ ว่าไงลูก ตุ้ยเห็นอะไรบ้างเล่ามาให้หมดนะครับ “
    “ พ่อ พอตุ้ยถามใช่ไม๊ ตุ้ยก็นับลมหายใจไป ๓ ครั้งตุ้ยก็เห็นดวงอาทิตย์ พอตุ้ยเพ่งเข้าไป ไม่นานมันก็จ้าเป็นดวงแก้วใสๆ ตุ้ยก็กลับออกมาถามใหม่แล้วก็เข้าไปใหม่ ดวงแก้วนั้นมีภาพให้ตุ้ยดูนะ “
    “ ภาพอะไรลูก “
    “ ที่ดวงแก้วนั้น มันมีเลข 5 ตัวใหญ่อยู่ตรงกลาง และข้างล่าง ก็มีตัวหนังสือเล็กๆ เขียนไว้ว่า พฤษภาคม 2554”
    มัน คือ วันที่ ๕ พฤษภาคม ๒๕๕๔หรือ ลูก “
    “ ครับ เดี๋ยวตุ้ยจะวาดรูปที่ตุ้ยเห็นให้ดูนะพ่อ “

    ซวยละหว่าหรือเวลาอีกแค่ เดือนเดียว จะทำไงดีเนี่ย ข่าวร้ายซ้ำๆ เมื่อวานก็บอกว่ามันจะเกิด วันนี้ก็บอกว่าเกิดเดือนหน้า อะไรฟะ แล้วตูจะทำไงดีเนี่ย ไปบอกใครเขาคงหัวร่องอหายไปตามๆกัน เมื่อถามถึงต้นสาย ปลายเหตุว่ารู้มาจากไหน
    “ พ่อ ไม่ใช่ว่า มันเกิดวันนี้แล้วมันจะจบนะ “
    “ ยังไงครับ “
    “ พอวันนี้มันเกิดใช่ไม๊ แล้วต่อๆไปมันก็ทยอยเกิดภัยพิบัติไปเรื่อยๆ “
    “ เอ้า ... มันยังมีต่อหรือครับ “
    “ใช่ พ่อมันจะเกิดถี่ขึ้นเรื่อยๆ “

    แล้วตูจะทำไงดี........ไปบอกใครเขาจะเชื่อ คุณพ่อได้แต่กังวล แต่ทำไงได้เรื่องนี้แบบนี้ ด้วยเจตนานี้บริสุทธิ์ที่จะช่วยเหลือ ไม่มีเจตนาจะโกหกหลอกลวงผู้ใดด้วยเหตุผลใดๆทั้งสิ้น หากแม้นว่าเหตุการณ์ภัยพิบัติที่จะแจ้งเตือนไปนี้มิได้เกิดขึ้น เมื่อวัน เวลา ที่แจ้งเตือนมาถึงจริงๆ แล้วผ่านไปโดยดี และมิได้มีอะไรเกิดขึ้นจะขอรับเอาคำครหา นินทา ต่อว่า ติเตียนทุกอย่าง ผู้แจ้งเตือนนี้จะกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจเป็นหนักหนา หากว่าได้แจ้งเตือนไปผิด จะยิ้มหน้าระรื่นรับคำด่า คำนินทาอย่างหน้าชื่นตาบาน ใครจะมาต่อว่าบ้า ว่าโกหกก็จะยอมรับโดยดุษฎี เพราะคาดหวังว่า การแจ้งเตือนนี้ ขอให้ผิดพลาดในทุกกรณี ด้วยเพราะมันไม่เกิดขึ้น ชีวิตคนเมืองยังปกติดีทุกอย่าง


    พระกัมมัฐฐาณ

    ระลอกที่ ๑ จะเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในทะเลอันดามัน ช่วงระหว่างวันที่ ๔ – ๑๕ มิถุนายน ๒๕๕๔ เวลาประมาณ ๕ ทุ่ม – เที่ยงคืน และเกิดคลื่นยักษ์สึนามิ ที่มีความรุนแรงมากกว่า เหตุการณ์ในปี ๔๗ คลื่นเดินทางถึงชายฝั่งประเทศไทย เวลา ๐๒.๕๐ นาที (ตีสอง ห้าสิบนาที) คลื่นจะเข้าปะทะชายฝั่ง และเข้าทำลายชีวิตทั้งคนและสัตว์ อาคารบ้านเรือนของประชาชนที่อยู่ในรัศมีของคลื่นสึนามิ

    ระลอกที่ ๒ จะเกิดขึ้นหลังจากเหตุการณ์ครั้งแรกประมาณ ๑ เดือน (ระบุมาชัดเจนว่า ๒๘ วันหลังจากเหตุการณ์ครั้งแรก) โดยแหล่งข่าวบอกว่า เก็บกู้ความเสียหายยังไม่ทันเสร็จระลอกใหม่ก็เกิดขึ้นอีก เหตุการณ์แผ่นดินไหวและคลื่นยักษ์สึนามิจะรุนแรงกว่าระลอกแรก และมีความรุนแรงมากที่สุดในสามระลอก
    ลักษณะของเหตุการที่ได้รับแจ้งมาคือจะเกิดขึ้นคล้าย ๆ กับคลื่นยักษ์สึนามิที่เข้าถล่มเกาะพีพีของจังหวัดกระบี่ ทั้งสองด้าน แต่แทนที่จะเฉพาะบริเวณแค่เกาะพีพี แต่จะเป็นทั้งด้ามขวานทอง กินบริเวณประเทศไทย มาเลเซีย สิงคโปร์ และอินโดนีเซีย โดยจะโดนคลื่นสึนามิเข้าถล่มทั้งฝั่งอันดามันและอ่าวไทย
    ในเหตุการณ์ครั้งนี้จังหวัดในภาคใต้จะได้รับผลกระทบทั้งสองฝั่ง รวมถึงจังหวัดอื่น ๆ ที่อยู่บริเวณอ่าวไทย และประเทศมาเลเซีย สิงค์โปร์ บรูไน อินโดนีเซีย
    เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้แกนโลกเอียงลงมากกว่าเดิม หลังจากที่เหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ญี่ปุ่นเมื่อวันที่ ๑๑ มีนาคม ๕๔ ก็เอียงลงไปบ้างแล้ว แหล่งข่าวระบุเลยว่า ทางด้านชายฝั่งทะเลด้านอ่าวไทยบางแห่ง น้ำทะเลจะกินชายฝั่ง กู่ไม่กลับ ประมาณ ๕๐ เมตร ให้พ่อแม่พี่น้องที่อยู่ชายฝั่งอ่าวไทยพิจจารณาดี ๆ
    ความรุนแรงของคลื่นสึนามิในระลอกที่สองจะมีพลังทำลายมากกว่าระลอกแรก แต่ถ้าไม่เชื่อในสิ่งที่แจ้งเตือน และไม่เตรียมการอพยพและขนย้ายทรัพย์สินอย่างที่แนะนำไป ตั้งแต่ระลอกแรกในระหว่างวันที่ ๔- ๑๕ มิ.ย. ๕๔ เจ้าหน้าที่คงไม่ต้องทำอะไรมาก

    เพราะตายกันไม่เหลือแล้ว และทรัพย์สินก็คงพังพินาจจนไม่ต้องขนย้ายอะไร รอให้รัฐบาลเยียวยาผู้รอดชีวิตและบาดเจ็บ และให้มูลนิธิกู้ภัยต่าง ๆ มาเก็บศพทีเดียว ซึ่งตอนนี้ อาตมาได้ประสานกับมูลนิธิต่าง ๆ บ้างแล้วและมูลนิธิร่วมกตัญญู เหล่าวีรบุรุษ-วีรสตรี ในเหตุการณ์สึนามิ ปี ๔๗ มีความมั่นใจในเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นแล้วเกือบร้อยเปอร์เซ็น และกำลังเตรียมพร้อม จัดประชุมทั้งกำลังคนและเครื่องมือกู้ภัยต่าง ๆ แล้ว เมื่อเหตุการณ์เกิดขึ้นแล้ว พร้อมที่จะมาช่วยเหลือพี่น้องชาวใต้เราได้ทันที ซึ่งเป็นสิ่งที่น่ายกย่อง
    ระลอกที่ ๓ จะเกิดขึ้นระหว่างปลายเดือนพฤศจิกายนจนถึงต้นเดือนธันวาคม ๒๕๕๔ มีความรุนแรงน้อยกว่าระลอกที่สอง ทั้งฝั่งอ่าวไทยและอันดามัน
    กัมมัฏฐาน ปวตฺตโน
    พระกัมมัฎฐาน ปวตฺตโน
    สำนักสงฆ์ป่าถ้ำธารน้ำลอด หมู่ที่ ๙ ตำบลทุ่งระยะ อำเภอสวี จังหวัดชุมพร




    คุณผู้มาใหม่


    ตอบคำถามทุกท่านนะครับ
    เหตุที่จะเกิดผมได้บอกไปแล้วว่าวันที่ 22 พฤษภาคม 2554 ไม่ใช่วันที่ 22ภุมภาพันธ์ นะครับ ตามที่กระทุ้ผมเขียนไว้ก่อนหน้านี้ครับ
    ผมตอบคำถามสำหรับผู้ที่เคยโทรมาสอบถาม
    1.มีคนถามว่ารู้ได้อย่างไรว่าเหตุการณืนี้จะเกิด มีครูบาอาจารย์ไหม ลุกศิษย์ใคร สายไหน
    ผมบอกว่าเลยว่าผมเป็นคนที่เคารพพระรัตนตรัย และปฎิบัติธรรมบ้างตามสมควร
    ผมยังไม่มีครูบาอาจารย์ ผมบูชาพระรัตนตรัยเป้นที่พึ่งที่ระลึกเท่านั้น ผมไม่ใช่คนทรงเจ้า ไม่ใช่ร่างทรง และผมรู้เหตุการณ์นี้ได้โดยไม่ต้องนั่งหลับหรือเห็นในสมาธิ แต่ที่ผมเห็นนั้นเกิดขึ้นขณะยังมีสติและตื่นอยุ่คือ เห็นเป็นภาพซ้อนขึ้นมาอีก นอกจากสิง่ที่ผมเห็นในปัจจุบัน คือเห็นแต่ภาพไม่ได้ยินเสียง
    2.ภาคอิสานตอนบนกับภาคเหนือบางส่วน บางคนถามว่ามีจังหวัดไหนบ้าง
    อันนี้ผมแนะนำให้เปิดแผนที่ดูเองนะครับเพราะผมก็ไม่รุ้ว่ามีจังหวัดไหนบ้าง
    3.สิ่งที่ต้องเตรียมมีอะไรบ้าง ผมเแนะนำให้เตรียมน้ำดื่มครับและอาหารเท่าที่จะเป็นและสิ่งสำคัญคือเตรียมใจครับ
    4.ในวันที่ 22 พฤษภาคม 2554 ก่อนเที่ยงให้สังเกตท้องฟ้าดูครับจะมีสีแปลกๆให้เตรียมตัวได้เลยครับ(เฉพาะอิสานตอนบนกับภาคเหนือบางส่วนนะครับ
    ________________________________________
    คุณ ....จำไม่ได้ครับ

    วัน วันที่ 18 มิถุนายน 2554 (ท่านให้ระวังตั้งแต่ 16 มิถุนายน)
    เวลา เริ่มเที่ยงคืน - ตีสาม
    เหตุการณ์
    1. ท้องฟ้าสีแดง
    2. มีพายุเข้า
    3. ตึกสูงทรุดตัว
    4. น้ำมาจากทุกทิศ
    5. อุตรดิตถ์
    สถานที่ กรุงเทพและปริมลฑล (ต่างจังหวัดไม่ทราบเพราะไม่ได้ถาม)


    สรุป
    1.วันที่16-18 มิถุนายน
    2.วันที่ 5 และ 21-22 พฤษภาคม
    3.ช่วงระหว่างวันที่ ๔ – ๑๕ มิถุนายน ๒๕๕๔ เวลาประมาณ ๕ ทุ่ม – เที่ยงคืน
    4.หลังจาก วันที่ 4-15 มิถุนายน ไปอีก ประมาณ 28 วัน
    5.ปลายเดือนพฤศจิกายนจนถึงต้นเดือนธันวาคม
    นั่นก็หมายความว่า เดือน พฤษภา-มิถุนา ระวังกันทั้งเดือนเลย

    เครดิต คุณ พิชญชนม์<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_4628117", true); </SCRIPT>

    เท่าที่อ่านกระทู้กระแสแจ้งเตือนภัยที่ระบุ วัน/เวลา และสถานที่เกิดภัยคนละจุดกัน
    5 พ.ค. 54 แจ้งเตือนภัย เฉพาะกรุงเทพฯ
    22 พ.ค. 54 เแจ้งเตือนภัยภาคเหนือและภาคอีสาน
    4-15 มิ.ย 54 แจ้งตือนภัยภาคใต้

    สรุปว่า อยู่ที่ไหนๆในประเทศไทย ... ก็หนีไม่พ้นภัยพิบัติและการสูญเสียค่ะ
    เตรียมตัวหนีไปหาที่ปลอดภัยคงยากจะปลอดภัย เพราะไม่เจอสึนามิ น้ำท่วม ก็เจอแผ่นดินไหว หรือลมพายุ... ต้องอยู่อย่างมีสติอย่างเดียว ^^<!-- google_ad_section_end -->
    เครดิต คุณ <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->azalia<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_4638222", true); </SCRIPT>

    เขามาบอกเพิ่มเติมว่า ในวันที่ 22 พฤษภาคม กรุงเทพของเราจะได้รับผลกระทบคือ ตึกทรุดบริเวณสีลม หลุมยุบบริเวณราชประสงค์ และน้ำท่วมบริเวณแม่น้ำเจ้าพระยา ลองเข้าไปอ่านหน้าหลัง ๆ ดู เขาเตือนเพิ่มเติมจากข้อความเดิม<!-- google_ad_section_end -->
    เครดิต คุณ <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->ยัย fame<!-- google_ad_section_end -->
    http://palungjit.org/threads/รวมคำทำนายของท่าน-ที่ระบุเป็นวัน-เดือน-ปี-ไว้ชัดเจน.289003/
    <!-- google_ad_section_end -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 เมษายน 2011
  5. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ภูเขาทองคำ
    เขียนโดย Abu Asybal


    [​IMG]


    ส่วนหนึ่งของภัยพิบัติที่ใหญ่หลวงและสัญญาณวันสิ้นโลกที่ชัดเจนยิ่ง คือการถูก เปิดเผยว่าในเขตแม่น้ำยูเฟรติสมีภูเขาทองคำอยู่ และแน่นอนอย่างยิ่งว่าเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นที่อิรัก ณ วันนี้ เป็นจุดเริ่มต้นของการยืนยันถึงสัจธรรมของข่าวอันยิ่งใหญ่ที่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมได้เคยแจ้งมานานกว่า 1400 ปีมาแล้ว หลังจากที่ได้มีการปิดล้อมที่น่าอัปยศ ซึ่งต่อไปก็เหลือแต่เพียงรอเวลาที่แม่น้ำยูเฟรติสจะคายขุมสมบัติอันยิ่งใหญ่ มหาศาลในรูปของภูเขาทองคำออกมาเท่านั้นเอง จนนำไปสู่เหตุการณ์อื่นๆที่จะตามมาอีกหลายเหตุการณ์​

    หะดีษเกี่ยวกับขุมทรัพย์และภูเขาทองคำ

    มีหะดีษมากมายที่ระบุเกี่ยวกับการมีจริงของภูเขาทองคำในเขตลุ่มน้ำยูเฟรติส และต่อไปนี้เป็นส่วนหนึ่งของบรรดาหะดีษต่างๆเหล่านั้น

    1. อบูฮุร็อยเราะฮฺเล่าว่า ท่านนบี ศ็อลลัลลออุอะลัยฮิวะสัลลัมกล่าวความว่า “วันกิยามะฮฺจะไม่เกิดขึ้นจนกว่าแม่น้ำยูเฟรติสจะเปิดเผยภูเขาที่มีทองคำออก มา มนุษยชาติจะสู้รบกันเพื่อที่จะได้ครอบครองมัน โดยที่ในจำนวน 100 คนจะถูกฆ่าตายเสีย 99 คน (และจะรอดชีวิตเพียงคนเดียว) และทุกๆคนในหมู่พวกเขาต่างกล่าวว่า “หวังว่าผู้ที่รอดชีวิตคนนั้นจะเป็นฉัน” (หะดีษมุตตะฟักอะลัยฮฺ)

    2. ในอีกรายงานหนึ่งระบุว่า ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมกล่าวความว่า “แม่น้ำยูเฟรติสใกล้ถึงเวลาที่จะเปิดเผยขุมทรัพย์ที่เป็นทองคำออกมาแล้ว ดังนั้นผู้ใดที่เดินทางไปหามันจะไม่ได้ครอบครองมันเลยแม้แต่นิดเดียว (เพราะทุกคนจะถูกฆ่าตายจนหมดสิ้น)” (หะดีษมุตตะฟักอะลัยฮฺ, อบูดาวูด และอัตติรมิวีย์)

    3. อุบัยย์ บิน กะอับ กล่าวว่า “บรรดาผู้นำ หรือผู้มีอำนาจแห่งประชาชาติจะยังคง (หมกมุ่นอยู่กับการ) แสวงหาทางโลก อย่างไม่มีสิ้นสุด)” ฉัน (ผู้รายงานหะดีษจากอุบัยย์) กล่าวว่า “ใช่แล้ว” อุบัยย์จึงตอบว่า “แท้จริงฉันได้ยินท่านรสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวความว่า “แม่น้ำยูเฟรติสใกล้ถึงเวลาที่จะเปิดเผยขุมทรัพย์ที่เป็นทองคำออกมาแล้ว ดังนั้นเมื่อผู้คนได้ยินเกี่ยวกับมัน ทุกคนต่างจะเดินทางไปหามัน แล้วกล่าวกับตัวเองว่า “ถ้าหากเราปล่อยให้ผู้คนหยิบฉวยมันไป ย่อมจะไม่มีเหลือให้กับเราแน่” ท่านกล่าวต่อไปว่า “แล้วพวกเขาก็จะสู้รบกันเพื่อหวังที่จะครอบครองมัน จนกระทั่งคนจำนวน 100 คนจะถูกฆ่าตายถึง 99 คน (จะเหลือเพียงคนเดียวเท่านั้นที่รอดชีวิต)” (บันทึกโดยมุสลิม)

    4. อบูฮุร็อยเราะฮฺเล่าว่า ท่านรสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมกล่าวความว่า “โลกจะยังไม่สูญสลายจนกว่าแม่น้ำยูเฟรติสของพวกเจ้าจะเปิดเผยเกาะที่เป็น ทองคำออกมา แล้วพวกเขาก็จะสู้รบกันเพื่อหวังที่จะครอบครองมัน จนกระทั่งคนจำนวน 100 คนจะถูกฆ่าตายถึง 99 คน” (บันทึกโดยหันบัล บิน อิสหาก ในหนังสืออัลฟิตันด้วยสายรายงานที่เศาะหีหฺ)

    5. มีรายงานเพิ่มเติมในมุสนัดอิมามอะหมัดว่า “ทุกคนเห็นว่าตัวเอง คือผู้ที่รอดชีวิตคนนั้น)

    6. ในบางรายงานระบุว่า “วันสิ้นโลกจะไม่เกิดขึ้นนอกจากกลางวันของวันนั้น”

    7. และในอีกรายงานหนึ่งระบุว่า “เมื่อพวกเจ้าทันกับเหตุการณ์ดังกล่าว พวกเจ้าจงอย่าเข้าใกล้มัน” (อัลฟิตัน ของนุอีม บิน หัมมาด)
    ความเป็นมาของแม่น้ำยูเฟรติส

    ยู เฟรติส (Euphrates) เพี้ยนมาจากสำเนียงอาหรับว่า อัลฟุรอต (Al-Furaat) มีความหมายว่า “จืดสนิทหรือน้ำบริสุทธิ์ที่มีรสชาติหอมหวานและไม่กร่อย” ดังคำตรัสของอัลลอฮฺที่ว่า

    هَذَا عَذْبٌ فُرَاتٌ سَائِغٌ شَرَابُهُ (فاطر : 12(

    “อันนี้อร่อยน่าดื่มและจืดสนิท สามารถดื่มอย่างง่ายดาย”

    เชื่อกันว่าต้นกำเนิดของแม่น้ำยูเฟรติส (Euphrates) ซึ่งมีความยาวประมาณ ๒๘๐๐ กิโลเมตร เกิดจากภูเขาอาร์เมเนีย (ปัจจุบันอยู่ในรัฐอาร์เมเนียประเทศรัสเซีย) เช่นเดียวกับต้นกำเนิดของแม่น้ำไทกริส (Tigris) หรือดิจญ์ละฮฺ ซึ่งมีความยาว ๒๐๐๐ กิโลเมตร ตอนต้นน้ำแม่น้ำทั้งสองแยกกัน แม่น้ำยูเฟรติสจะไหลอ้อมผ่านไปทางประเทศซีเรียและทางตะวันตกของอิรัก ส่วนแม่น้ำไทกริส จะไหลอ้อมไปทางเปอร์เซีย (ประเทศอิหร่าน) จากนั้นจึงไหลขนานกันไปออกสู่ทะเลอินเดียหรืออ่าวเปอร์เซียปัจจุบัน ตอนที่จะออกอ่าวเปอร์เซีย แม่น้ำทั้งสองจะไหลโค้งและโอบเข้าหากันจนเกือบบรรจบ ระหว่างแม่น้ำทั้งสองนี้มีที่ราบกว้างใหญ่ เนื้อที่ประมาณ ๒๗,๐๐๐๐ กิโลเมตร คือบริเวณที่มีชื่อเรียกว่า เมโสโปเตเมีย (Mesopotamia) ซึ่งแปลว่า ดินแดนระหว่างแม่น้ำทั้งสอง หรือเป็นที่รู้จักในภาษาอาหรับว่า “บิลาด อัรรอฟิดัยน์” (ดินแดง/เมืองแห่งสองลำน้ำ) ซึ่งปัจจุบันเป็นพื้นที่ครอบคลุมประเทศอิรัก อิหร่าน ซีเรีย และซาอุดิอารเบีย โดยมีเมืองแบกแดดเป็นศูนย์กลาง ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดอารยธรรมเก่าแก่นับสิบอารยธรรม

    นับได้ว่าลำน้ำยูเฟรติสนี้เป็นปลักโคลนแห่งความตึงเครียดและขัดแย้งด้านการ เมืองระหว่างสามประเทศในเขตดังกล่าว และได้เพิ่มความตึงเครียดอย่างแรง หลังจากที่ตุรกีสร้างเขื่อนที่แข็งแกร่งสกัดกั้นทางน้ำที่ไหลผ่านไปยัง ประเทศซีเรียและอิรัก จนทำให้น้ำที่เคยไหลผ่านไปยังประเทศทั้งสองลดน้อยลงเป็นอย่างมาก โครงการต่างๆของตุรกีบนลำน้ำยูเฟรติสแห่งนี้กลายเป็นแหล่งที่มาแห่งความวิตก กังวลของซีเรีย ซึ่งได้พึ่งพาน้ำจากลำน้ำแห่งนี้อย่างมากมายสำหรับการเพาะปลูกและสร้างกระแสไฟฟ้า

    การปรากฏตัวของภูเขาทองคำ

    อิมามอันนะวะวีย์ได้กล่าวอธิบายถึงความหมายของการเปิดเผยหรือการปรากฏตัวของ ภูเขาทองคำแห่งลำน้ำยูเฟรติสว่า “คือการโผล่ขึ้นมาของมันด้วยการเหือดหายไปของน้ำ ซึ่งบางทีอาจเกิดขึ้นเพราะการเปลี่ยนแปลงของเส้นทางเดินน้ำ เพราะขุมทรัพย์หรือภูเขาทองดังกล่าวถูกกลบและปกคลุมด้วย (การทับถมของ) ดิน ดังนั้น เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงเส้นทางเดินน้ำด้วยสาเหตุใดสาเหตุหนึ่ง และได้ไหลผ่านไปทางภูเขานั้น (น้ำก็จะชะล้างดินที่ปกคลุมมันออก แล้ว) มันก็จะเปิดเผยออกมา”

    ทัศนะของอิมามอันนะวะวีย์นี้ นับว่าแหลมคมมาก เพราะจากสภาพการปัจจุบัน ทั้งซีเรียและตุรกีต่างแข่งขันกันสร้างทำนบและเขื่อนกักเก็บน้ำเป็นจำนวนมาก บนลำน้ำยูเฟรติส ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญยิ่งที่นำไปสู่การเหือดแห้งของน้ำในเส้นทางเดิมภายใน เวลาไม่กี่ปีให้หลัง วัลลอฮุอะอฺลัม

    ระหว่างขุมทรัพย์และภูเขาทองคำ

    อิบ นุหะญัรได้กล่าวอธิบายในหนังสือฟัตหุบารีย์ ถึงความหมายและความแตกต่างระหว่างสองสำนวนหะดีษที่สำนวนหนึ่งระบุว่าเป็น “ขุมทรัพย์” และอีกสำนวนหนึ่งระบุว่าเป็น “ภูเขาทองคำ” ว่า “เหตุที่เรียกว่า “ขุมทรัพย์” เนื่องเพราะมันยังไม่ปรากฏออกมาให้เห็น และเหตุที่เรียกว่า “ภูเขาทองคำ” (เป็นการเปรียบเปรย) ถึงความมากมายมหาศาลของทองคำ” วัลลอฮุอะอฺลัม

    สงครามเพื่อแย่งชิงขุมทรัพย์...เมื่อไหร่…กับใคร

    อบูฮุร็อยเราะฮฺเล่าว่า ท่านรสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมกล่าวความว่า “กลียุค (ฟิตนะฮฺอันเป็นสัญญาณหนึ่งของวันกิยามะฮฺ) ครั้งที่สี่จะดำเนินไปอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 12 ปี แล้วมันก็จะปรากฏ แท้จริงแม่น้ำยูเฟรติสจะเผยภูเขาทองคำออกมา ผู้คนต่างจะหมกมุ่นอยู่กับมัน และจะมีการฆ่ากันตายที่นั่นทุกๆเก้าคนจะตายเจ็ดคน” (มุสนัดอะหมัด)

    เษาบานเล่าว่า ท่านรสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมกล่าวความว่า “จะมีการต่อสู้กัน ณ ขุมทรัพย์ของพวกเจ้าแห่งนี้สามคน ทุกคนล้วนเป็นบุตรหลานของเคาะลีฟะฮฺ...” (อิบนุมาญะฮฺ)

    เพื่อที่เราจะได้กำหนดเวลาที่ภูเขาทองคำจะปรากฏออกมาได้อย่างถูกต้อง เราจำเป็นต้องเชื่อมโยงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้น และก่อนอื่นใด เราควรทราบก่อนว่า กลียุคหรือฟิตนะฮฺครั้งที่สี่ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 12 ปี นั้นหมายถึงฟิตนะฮฺใด เพื่อที่เราจะได้ทราบว่า ณ วันนี้ ยังเหลือเวลาอีกเท่าไหร่ที่แม่น้ำยูเฟรติสจะคายหรือเปิดเผยภูเขาทองคำออกมา

    คำว่า กลียุคครั้งที่สี่ ตามทัศนะของอุละมาอฺหมายถึง สงครามอ่าวเปอร์เชียและการปิดล้อมอิรัก หมายความว่า สงครามอ่าวเปอร์เชียและการปิดล้อมอิรักจะกินเวลาทั้งหมด 12 ปี หลังจากนั้นภูเขาทองคำก็จะปรากฏตัวออกมา หลังจากนั้นก็จะมีสงครามแย่งชิงกันระหว่างสามประเทศในโลกอาหรับ (ผู้รู้บางท่านระบุว่าเป็นสงครามสามฝ่ายระหว่างซีเรีย อิรัก และจอร์แดน) ซึ่งจะมีการเสียชีวิตเป็นจำนวนถึง 9 ใน 10 ของจำนวนประชาชน วัลลอฮุอะอฺลัม

    ที่มา http://www.iqraforum.com/forum/index.php?topic=1192.0


    คำทำนายในคัมภีร์ไบเบิ้ล ที่เกี่ยวกับไทย


    [​IMG]


    Thailand - 4 Elul" codes
    http://exodus2006.com/Vrej/Thai.htm


    A sound of terrors is in his ears : in prosperity the destroyer shall come upon him.


    ตีความได้ว่า ผู้เขียน ใช้คำว่า "him" แทนคำว่า "Thailand" หรือหมายถึงประเทศไทยนั่นเอง ส่วน terror แปลว่า ความน่าเกรงขาม แต่เติม s ด้วย จึงหมายถึง มีความน่าเกรงขาม (น่ากลัว) หลายอย่าง prosperity = ความมั่งคั่ง เพราะฉะนั้น ประโยคข้างบน จึงแปลได้ว่า "ประเทศไทยจะได้ยินเสียงแห่งความน่าเกรงขามที่หูของเขา : และเพราะความมั่งคั่งจะทำให้มีพวกทำลาย (destroyer) มายังประเทศไทย"


    ตีความได้ว่า : "ในอนาคตคนในประเทศไทยจะต้องพบกับความสพรึงกลัว หลังจากที่ประเทศไทยพบกับความมั่งคั่ง ในอนาคตไทยจะเจอทองคำ น้ำมัน เพชรนิลจินดามากมาย เรียกได้ว่ามีทรัพยากรธรรมชาติผุดขึ้นมาให้เห็นมากมาย แล้วต่างชาติก็จะส่งกองทหารเข้ามายึดเอาเป็นของตนเอง"


    ผู้แสดงความคิดเห็น ปั้น ( tanakorn_world@yahoo.com ) วันที่ 02-11-2005 10:43:00


    ที่มา
    http://www.buddhapoem.com
    เครดิต คุณ เกษม http://palungjit.org/threads/ประเทศไทยจะเกิดอุบัติภัยอย่างที่ทำนายกันจริงๆหรือไม่.3906/page-1225
    <!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end -->
     
  6. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    Message to "กล้วยทอด"

    <object style="height: 390px; width: 640px"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/ec2mzlksYlU?version=3"><param name="allowFullScreen" value="true"><param name="allowScriptAccess" value="always"><embed src="http://www.youtube.com/v/ec2mzlksYlU?version=3" type="application/x-shockwave-flash" allowfullscreen="true" allowScriptAccess="always" width="640" height="390"></object>
     
  7. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    Originally Posted by อริยะบุญ

    ตุ้ย จัดหนัก

    วันที่ 29 เมษายน 2554 ( พรุ่งนี้ )

    ที่ประเทศ ฟิลิปินส์ จะเกิดการระเบิดของภูเขาไฟ มีลาวาไหลออกมาจากปล่องภูเขาไฟเป็นทางยาว มีคนตาย เช่น พวกนักปีนเขา และพวกขุดทอง ผู้คนในเมืองรอบๆภูเขาไฟ หนีตายอย่างโกลาหล

    ปล.ข้อความข้างบนนี้ คือ สิ่งที่ตุ้ยเข้าไปดู ในคืนของวันที่ 27 เมษายน 2554
    ให้รอฟังข่าว ว่าจะเกิดขึ้น จริง หรือไม่ เพราะคงไม่เหมือนอุบัติเหตุ เพราะบางกรณีก็ไม่ออกข่าว และบางคนก็มองว่า มันเกิดได้ทุกวัน ตุ้ยเลยจัดหนักๆให้ละกัน คาดว่าคงออกข่าวทั่วโลก<!-- google_ad_section_end -->


    เมื่อมีการระเบิดของภูเขาไฟที่ประเทศฟิลิปินส์ขึ้นจริง

    หากท่านใดที่ติดตามอ่าน และตรวจสอบข่าวพรุ่งนี้ หากมีข่าวออกการระเบิดของภูเขาไฟที่ประเทศฟิลิปินส์ ซึ่งตอนนี้มันยังคุกรุ่นอยู่ แต่ไม่ทราบว่ามันจะระเบิดวันไหน แต่ตุ้ยบอกว่า วันพรุ่งนี้มันจะระเบิด ขอให้ปฏิบัติดังนี้

    1. ให้รอการยืนยัน วัน เดือน ปี ที่จะเกิดภัยพิบัติที่กรุงเทพฯ จากตุ้ยทางกระทู้นี้ http://palungjit.org/threads/อนาคตังสญาณ-เพื่อการแจ้งเตือนภัยพิบัติในประเทศไทย.288061/page-35 โดยจะแจ้ง วันที่ยืนยันไม่เกินวันที่ 2 พ.ค. 54

    2. หากเป็นไปได้ให้วางแผนเตรียมตัวไว้บ้าง สำหรับท่านที่อยู่กรุงเทพฯ และจังหวัดใกล้เคียงที่เป็นพื้นที่ลุ่มน้ำ ว่าจะออกไปอยู่หลบภัยที่ไหน เป็นไปได้ เหนือ อีสานดีสุด ห่างๆภูเขาไว้จะดี

    3. เมื่อตุ้ยแจ้งเตือน วัน เวลาที่ยืนยันแล้ว ให้ทุกท่านใช้สรรพกำลังของตนเองที่มีอยู่ทำการแจ้งเตือนคนหมู่มาก บางคนอาจจะ FW mail ต่อๆกันไป หรือหากใครที่สามารถหาข้อมูลด้านวิทยาศาตร์มายืนยันกับสื่อแขนงต่างแล้วสรุปว่ามันจะเกิดขึ้นแล้วให้สื่อแจ้งเตือนไปยังคนหมู่มากก็ให้ทำ อย่าคิดแต่จะเอาตัวเองรอด

    ที่มา คุณ อริยะบุญ http://palungjit.org/threads/อนาคตังสญาณ-เพื่อการแจ้งเตือนภัยพิบัติในประเทศไทย.288061/page-35

    <!-- google_ad_section_end -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 เมษายน 2011
  8. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    โพสท์โดย คุณ <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->_9A
    ประกาศ ล่าสุดจาก ศูนย์บริหารจัดการและบรรเทาความเสี่ยงจากภัยพิบัติแห่งฟิลิปปินส์ (National Disaster Risk Reduction and Management Center, Philippine)

    สรุปเคร่า ๆได้ว่า ภูเขาไฟ taal มีัสัญญาณชี้ว่า ใกล้จะระเบิด มีระดับการเฝ้าระวังที่ ระดับ 2 จาก 5
    ส่วน ภูเขาไฟอีกสองลูก อยู่ในสถานะภาพที่ต้องเฝ้าระวัง 1 จาก 5


    ที่มา : Home


    [​IMG]

    [​IMG]<!-- google_ad_section_end -->

    Quote:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">Originally Posted by powder_MAMA [​IMG]
    คุณพ่อน้องตุ้ยคะ

    คือว่า ขออนุญาติถามค่ะ
    สงสัยอยู่นิสสสส นึง
    พอดีเราเอาเรื่องวันนี้ที่ภูเขาไฟจะระเบิดที่ฟิลิปปินส์ ไปเล่าให้เพื่อนฟัง
    เค้าก็ถามเรากลับมาว่า
    " น้องตุ้ยเห็นเป็นภาพนิมิต ไม่ใช่หรอ ...แล้วน้องเค้ารู้จังประเทศฟิลิปปินส์ด้วยหรอ ถึงได้บอกได้ว่า ภาพที่เห็นภูเขาไฟมีลาวา เป็นภุเขาไฟที่ฟิลิปปินส์"
    เราก็เลยไม่แน่ใจว่า น้องตุ้ยเห็นเป็นภาพ แล้วมีตัวอักษรขึ้นมาว่า "ฟิลิปปินส์ " หรือเปล่าคะ

    หรือน้องเคยไปฟิลิปปินส์มาก่อนเลยพอจำภาพได้

    หรือคุณพ่อน้องตุ้ยได้ยินน้องตุ้ยเล่าให้ฟังว่ามีภูเขาไประเบิดในประเทศหนึ่งๆ เลยเดาว่าเป็นฟิลิปปินส์?

    คือ... ทั้งหมดนี้เราทราบเจตนาที่ดีของคุณพ่อน้องตุ้ยค่ะ และขอขอบคุณมากๆ เพียงแต่เราสงสัยว่า เวลาเห็นในตอนนั่งสมาธินี่ เห็นเป็นภาพ หรือตัวหนังสือหรอคะ

    ขอบคุณมากค่ะ
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    โพสท์โดย คุณ จิ้ม<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_4647415", true); </SCRIPT>

    ไม้ใช่นิมิตครับ
    แต่เป็นอนาคตังสญาณ เอากำลังฌาน4ใช้งาน

    “เอานะ พร้อมรึยัง ให้ตุ้ยกำหนดจิตถามไปก่อนนะคับว่ามันจะเกิดภัยพิบัติที่กรุงเทพฯ วันที่เท่าไหร่ เดือนไหนและปีอะไร จากนั้นก็เข้าฌาน แล้วก็ถอยออกมาแล้วถามคำถามอีกครั้ง แล้วค่อยเข้า ฌานไปอีกรอบนะเหมือนเมื่อวานนี้ครับ แต่วันนี้เปลี่ยนมารู้วัน เดือนปีที่จะเกิดนะ”:p<!-- google_ad_section_end -->

    http://palungjit.org/threads/อนาคตังสญาณ-เพื่อการแจ้งเตือนภัยพิบัติในประเทศไทย.288061/page-43

     
  9. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    Originally Posted by อริยะบุญ [​IMG]
    วันนี้ ต้องขออภัยจริงๆ ที่มาทำให้ทุกคน ทั้งเครียด ทั้งลุ้น

    ผมก็ลุ้นเช่นกันครับ ถ้าเกิดจะได้เตรียมการ ถ้าไม่เกิดยิ่งดี


    สิ่งที่บอก ก็ฟังมาจากตุ้ยอีกที เกิดหรือไม่เกิดเป็นเรื่องอนาคต

    Originally Posted by อริยะบุญ [​IMG]
    สติ คือ การระลึกรู้ อยู่กับปัจจุบันขณะ บางคนไปจมแช่อยู่ในอดีตไม่ยอมที่จะอยู่กับปัจจุบัน จนคุ้นชิน เช่น เมื่อเกิดสิ่งไม่ดีขึ้นกับตน อย่างเช่นแฟนทิ้ง ก็ฝังใจมันอยู่อย่างนั้นไม่ยอมลบลืม หรือบางคนก็ไปอยู่แต่กับภาพฝันที่ยังมาไม่ถึง ฝันอยากนั่นอยากนี่ เช่นคนมักโลภก็ฝันถึงแต่ความร่ำรวย คนมักโกรธก็ฝันถึงแต่จะแก้แค้นล้างแค้น ส่วนพวกที่มักหลงก็ยึดแต่ตัวเองเป็นศูนย์ของทุกสิ่ง มันเลยมั่วกระทบไปหมด เพราะทุกอย่างต้องกูเท่านั้น

    <O>:p</O>:pแล้วปัจจุบันขณะ ที่เป็นไปนาทีต่อนาทีนี้ เราอยู่กับเจ้าของมากเท่าไหร่ในแต่ละวัน สมมติว่าเทียบหนึ่งวันเป็น 100 เปอร์เซ็นต์เต็ม แล้วลองนึกย้อนถึงตัวเองดูว่า เราอยู่กับอดีต อยู่กับปัจจุบันและอนาคตนั้น อย่างละกี่เปอร์เซ็นต์ บางคนเมื่อพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้วเราอยู่กับปัจจุบันน้อยมาก

    <O>:p</O>:pพระพุทธองค์ท่านสอนให้เราอยู่กับปัจจุบันขณะ โดยวิธีการเพื่อให้ตนอยู่กับปัจจุบันนั่นคือ การฝึกให้เป็นผู้ มีสติ ในที่นี้คงไม่จำเป็นต้องบอกว่าเป็นอย่างไรและจะต้องฝึกแบบไหน

    <O>:p</O>:pจิตสามารถสะสมพลังงานได้ แต่คนที่ไม่เคยเก็บประจุ มีแต่คายประจุ จะเอาพลังงานมาจากไหน อุปมาดั่งถ่านไฟฉายที่ไม่เคยชาร์ตแบตเตอร์รี่ มีแต่ใช้ไฟที่มีอยู่ ไม่นานประจุก็หมด ครั้นเมื่อต้องการจะนำมาใช้งานมันก็ติดๆดับๆ เนื่องจากไม่มีพลังงานมากพอ จิตนี้ก็เช่นกัน การฝึกให้เป็นผู้มีสติ เพื่อการอยู่กับปัจจุบันขณะตลอดเวลา เป็นการสะสมประจุพลังให้แก่จิตเป็นอย่างดี ความรู้สึกนึกคิดนี่แหละตัวสำคัญ หากควบคุมมันไม่ได้ มันจะนำพลังงานของจิตไปใช้โดยสูญเปล่า<O>:p</O>:p

    http://palungjit.org/threads/อนาคตังสญาณ-เพื่อการแจ้งเตือนภัยพิบัติในประเทศไทย.288061/page-44
     
  10. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    [​IMG]

    Volcano In Ecuador Erupts Friday

    12:52 PM, Apr 29, 2011

    Banos, Ecuador -- Tungurahua Volcano spews ash as high as 10km (33,000-feet) into the air, triggering residents to evacuate and officials to divert flights. Known as "Throat of Fire," Tungurahua is one of eight active volcanos in Ecuador. Ecuador's "Throat of Fire" volcano erupted today spewing ash that forced hundreds of residents to flee, authorities said.
    Loud explosions shook the ground and rattled windows near the volcano, known as Tungurahua in the indigenous Quechua language, 81 miles southeast of Quito, officials said.
    Vulcanologist Silvana Hidalgo said scientists are carefully monitoring the situation and have detected a small dip in activity.
    "In these last few hours, what we've registered is a small decrease in volcanic activity regarding the energy with which the columns are expelled," she said.
    Officials in the area said hundreds of families had evacuated, some voluntarily, while Ecuador's aviation authorities closed the airport in coastal Guayaquil and altered the routes of some flights to avoid the ash cloud.
    Baños, a town popular with foreign and local tourists, was among the places evacuated voluntarily, officials said.
    Tungurahua, a 16,500 ft volcano, has been classed as active since 1999 and had a strong eruption in 2008. It is one of eight active volcanoes in Ecuador.



    cbs

    http://palungjit.org/threads/อนาคตังสญาณ-เพื่อการแจ้งเตือนภัยพิบัติในประเทศไทย.288061/page-47
     
  11. ped2011

    ped2011 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 เมษายน 2011
    โพสต์:
    1,037
    ค่าพลัง:
    +1,096
    เจ๊ครับพอจะมีข่าวคราวภูเขาไฟแถวโคราชหรือในบ้านเรามาอัพเดทบ้างไหมครับ เห็นในหนังสือทำนายว่าจะระเบิดในเวลาอันไกล้นี้
     
  12. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ยังไม่มีวี่แวว อ่า

    เรื่องภูเขาไฟในไทย ยังหลับอยู่นะ ในขั้นของข่าวยังไม่มีรายงานการแอคตีฟ เหมือนที่

    ฟิลิปปินส์หรืออินโดนีเซียเรยนะ แต่ก็ประมาทไม่ได้ ก็ตามดูตามรู้ข่าวต่อไป
     
  13. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    วู้ดดี้ 22 4 54 ดร.เทพพนมบอกภัยพิบัติ<!-- google_ad_section_end -->

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=9egxM1dyz40"]YouTube - WOODDY 22-4-54-2[/ame]

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=k5rTwnpR7lM"]YouTube - WOODDY 22-4-54-3[/ame]

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=5MWp1CG68AA"]YouTube - WOODDY 22-4-54-4[/ame]

    http://palungjit.org/threads/วู้ดดี้-22-4-54-ดร-เทพพนมบกภัยพิบัติ.288745/
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 พฤษภาคม 2011
  14. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ประกาศเตือนภัย ประจำเดือน พฤษภาคม ๒๕๕๔ ฉบับที่ ๑

    เรื่อง การเตือนภัยพิบัติที่กรุงเทพฯ และจังหวัดใกล้เคียง

    ตามที่ตุ้ยสามารถเจาะเข้าไปดูเหตุการณ์ในอนาคต ด้วยกำลังจิตขั้นฌาน ตุ้ยจึงขอเตือยภัยที่จะเกิดขึ้น ดังนี้

    ๑. ภัยพิบัติจะเกิดขึ้นในวันที่ ๗ พฤษภาคม ๒๕๕๔
    ๒. เหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นคือ
    ๒.๑ เกิดฝนตกหนักอย่างมาก จนทำให้น้ำท่วมฉับพลัน และท่วมเป็นบริเวณกว้าง หลายจังหวัด
    ๒.๒ เกิดพายุหมุนขนาดใหญ่ ที่สามารถก่อให้เกิดความเสียหายกินพื้นที่เป็นวงกว้าง
    ๒.๓ เกิดหลุมยุบ จำนวน ๓ หลุม ที่มีขนาดใหญ่ และขนาดลดหลั่นกันมา
    ๒.๔ เกิดโคลนถล่มตามแนวเชิงเขาที่จังหวัดนครราชสีมาและทำให้มีผู้เสียชีวิต

    ตุ้ย
    ๑ พฤษภาคม ๒๕๕๔<!-- google_ad_section_end -->

    ที่มา คุณอริยบุญ http://palungjit.org/threads/อนาคตังสญาณ-เพื่อการแจ้งเตือนภัยพิบัติในประเทศไทย.288061/page-53
     
  15. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    คำเตือนเรื่องภัยพิบัติของหลวงปู่เณรคำ ปัญญาพโล ช่วงปี 2554-2555

    คำทำนาย
    หลวงปู่เณรคำ ปัญญาพโล
    วัดป่าสามัคคีธรรม บ้านคำไฮ ตำบลหาดแพง อำเภอศรีสงคราม จังหวัดนครพนม


    คำทำนาย ปี 2554 – 2555 ที่หลวงปู่เณรคำ ปัญญาพโล ได้ทำนายให้ท่านทั้งหลายได้เตรียมตัวและรู้ก่อนจะเกิดมหันตภัยภัยพิบัติอย่างร้ายแรงในช่วงพุทธศักราช 2554 ถึง 2557(คริสต์ศักราช 2011 - 2014) ในระหว่าง พุทธศักราช 2554 เดือน 1 ถึง เดือน 5 อันตรายร้ายแรงมากที่สุดในเอเชียและประเทศไทย ทุกประเทศจะเกิดภัยพิบัติที่มนุษย์โลกจะได้รู้ถึงชะตากรรมของโลกที่อยู่ในช่วงเตรียมตัวจะสลายในระหว่างแกนกลางโลกขยับเปลือกโลกทรุดตัวลง ในระหว่างดินน้ำลมไฟเกิดปั่นป่วน ทำให้ดินน้ำลมไฟลงโทษชาวโลกทำให้เกิดแก่ความตาย เจ็บป่วย เกิดความร้อนอย่างร้ายแรงและเกิดความหนาวอย่างร้ายแรง ประเทศร้อนจะกลายเป็นหนาว ประเทศหนาวจะกลายเป็นร้อน ประเทศน้ำจะกลายเป็นแห้งแล้ง ประเทศแห้งแล้งจะกลายเป็นน้ำ น่าตกใจพะวงกลัวในระหว่างช่วงเดือน 1-7 ของ พ.ศ 2554 จะเกิดภัยพิบัติอย่างร้ายแรงในเอเชียและประเทศต่าง ๆ ในโลกพร้อมทั้งประเทศไทย และหลายประเทศในโลก ช่วงเดือน 4-7 จะเกิดน้ำท่วมใหญ่ในกรุงเทพฯ จะเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ ตึกสูงทรุดตัว น้ำท่วมในระหว่างภาคกลาง และต่างจังหวัด เช่น ลพบุรี โคราช และภาคใต้ และในระหว่างภาคกลางต่าง ๆ จะเกิดคลื่นยักษ์ใหญ่สึนามิในภาคใต้ และพายุจะพัดบ้านเรือนหายไป ภาคเหนือและภาคอีสานจะเกิดแผ่นดินทรุดตัว และพายุอย่างร้ายแรง ลูกเห็บตกเท่าลูกมะพร้าว ในระหว่างภาคอีสานให้ระวังลมใหญ่ฝนใหญ่น้ำท่วม ภาคเหนือน้ำท่วมแผ่นดินถล่ม แผ่นดินไหวอย่างร้ายแรง และเกิดวิกฤติมนุษย์และการบ้านการเมืองอย่างร้ายแรงอีกครั้ง ให้ท่านทั้งหลายพากันรักษาศีลห้าแล้วจะเป็นเครื่องป้องกันภัยได้อย่างดี

    ท่านทั้งหลายอย่าลืมว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นจากฝีมือมนุษย์ก็เลยโดนสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวท่านที่มองไม่เห็นลงโทษท่านนั้นคือธรรมชาติที่พระพุทธองค์ตรัสสอนไว้ว่า ธรรมชาติ คือ ธรรมดา คือ ธรรมะ เป็นการเวียนว่ายตายเกิดเป็นธรรมดา ทุกอย่างล้วนกลับมาเป็นธรรมชาติแต่อย่าลืมมหันตภัยที่น่ากลัวที่สุดกลัวนี้ยังรอท่านอยู่ข้างหน้า ในช่วงปี 2555 จะเกิดมหันตภัยใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ จะจารึกไว้ให้มนุษย์โลกในช่วงเดือน 1-7 จะเกิดดินยุบตัว ตึกถล่มน้ำท่วมน้ำท่วมใหญ่กรุงเทพฯ เกิดพายุกลืนกินมนุษย์ไปเป็นแสน น้ำจะกลายเป็นยักษ์กลืนกินมนุษย์ ลมจะกลายเป็นผีห่ากินมนุษย์ ดวงอาทิตย์จะร้อนผิดปกติเหมือนมี 2 ดวง เกิดความร้อนมหาสาร 2 เท่าตัว ประเทศที่เป็นหิมะหรือน้ำแข็ง อย่างเช่น เทือกเขาหิมาลัย หรือยุโรปจะเกิดละลาย เกิดเป็นน้ำอย่างมากไหลเข้าท่วมทะลักหลายจุดแต่ละที่ ทุกประเทศริมแม่น้ำโขงน้ำท่วม ริมฝั่งทรุดตัว

    จะเกิดความเร่าร้อนทั้งดวงอาทิตย์และหัวใจมนุษย์เหมือนโดนเผ่าไหม้ทำให้มนุษย์ทั้งหลายประเทศจับมีดจับปืนแก่งแย่งอาหารอดอยากปากแห้ง เกิดแย่งกันกิน น้ำแพง ข้าวแพง พ่อลืมลูก ลูกลืมแม่กลั่นแกล้งรันแทงกัน น่าสงสารให้ระวังเป็นส่วนมาก ในช่วงปี 2555 ในเดือน 4-7 ทุกประเทศในโลก อย่างเช่นประเทศไทยในภาคใต้ขึ้นมา ในช่วงทะเลอันดามัน อ่าวไทยให้ระมัดระวังเป็นอย่างมากที่สุด น้ำทะเลจะกลายเป็นคลื่นยักษ์สูงใหญ่ 15 เมตร ถึง 20 เมตร กลืนกินมนุษย์จากใต้มาถึงภาคกลางเป็นบางส่วน ในระหว่างภาคอีสานจะเกิดพายุใหญ่ น้ำท่วมใหญ่และพายุ ลมจะพัดบ้านเรือนหายไปในพริบตา โรคห่าจะมากับลม มนุษย์จะอ๊วกเลือดตาย เลือดออก จมูก หู ตา ตายและอยู่เฉยๆจะนอนหลับตาย เกิดเป็นพิษ อาหาร และลมพิษ จะหนักกว่าไข้หวัดนกเป็นหลายร้อยเท่ามหันตภัยตัวนี้จะทำให้มนุษย์โลกเกิดกลัวบาปให้รู้ถึงธรรมะมากขึ้น ยังมาหมดช่วงปี 2555 ให้ภาคเหนือระวังแผ่นดินถล่ม น้ำท่วมใหญ่ หนาวตาย ต้นไม้จะกลายเป็นน้ำแข็ง หิมะจะลงเมืองไทยในภาคเหนือ ในประวัติศาสตร์จะหนาวตายกันมาก น้ำท่วมตาย ดินถล่มตายน่ากลัวมาก นี่แหละ ดินน้ำลมไฟหรือเรียกกันว่าธรรมชาติลงโทษมนุษย์ให้รู้สึกตัวเองว่าอาศัยอะไรอยู่เพราะมนุษย์ทั้งหลายได้อาศัยดินน้ำลมไฟธรรมชาติแล้วได้เกิดการทำลายล้างเลยเกิดการลงโทษมนุษย์อย่างร้ายแรง


    สิ่งที่มนุษย์โลกควรทำตอนนี้คือแผ่เมตตา ภาวนา สวดมนต์ รักษาศีลห้า จะได้พ้นภัยพิบัติอย่างแน่นอนทุกท่านที่ได้อ่านมานี้ยังไม่ละเอียดเท่าใด ถ้าท่านทั้งหลายอยากรู้เรื่องราวมหันตภัย ปี 2554 -2570 อย่างละเอียด ให้ไปถามหลวงปู่ เณรคำ ปัญญาพโล ณ จำปาสัก แล้วจะรู้เรื่องอย่างละเอียด ทุกสิ่งอย่างที่ได้เล่ามาหลวงปู่ท่านได้เทศน์และเล่าให้ญาติโยมฟังมาหลายปี สุดท้ายก็เกิดขึ้นจริงตามคำพูดของหลวงปู่เณรคำ ปัญญาพโล ซึ่งเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ ยิ่งนัก ฟ้ามีตา ลมมีหู ธรรมชาติดูเราอยู่อย่าหลงระเริง ให้ทำความดีก่อน ตายก่อนตายหลังก็เรียกว่าตายเหมือนกัน ไม่ต้องกลัวทุกอย่างเป็นธรรมชาติจะจัดการให้เรา ท่านทั้งหลายชาวมนุษย์โลกเร่งทำความดีเถิด แล้วจะพ้นมหันตภัย คำทำนายนี้ หลวงปู่เณรคำ ปัญญาพโล ท่านได้บอกว่าพระอินทร์เป็นผู้ลงมาเล่าให้ท่านฟังให้มาบอกมนุษย์ให้เตรียมตัวก่อนตาย คนมีบุญอยู่ได้เพราะบุญ หมั่นทำบุญศุลทานเพราะเข้ากึ่งหนึ่งของพุทธกาลแล้ว ให้ท่านทั้งหลาย นักบวช ผู้มีศีล และญาติโยมทั้งหลายให้เตรียมตัวกันเถิด สิ่งที่ท่านจะนำติดตัวไปได้นั้นมีอยู่ 2 อย่าง คือบุญกับบาป จบคำทำนายจากหลวงปู่ เณรคำปัญญาพโล วัดป่าคำไฮ ต.หาดแพง อ.ศรีสงคราม จ.นครพนม

    อนึ่งคำทำนายนี้ หลวงปู่ เณรคำปัญญาพโล อนุญาตให้พิมพ์เผยแพร่เป็นธรรมทานได้

    คัดลอกมาจากใน Web นี้ค่ะ :cool:
    คำทำนายเรื่องภัยพิบัติของมนุษย์ ของ หลวงปู่เณรคำ ปัญญาพโล วัดป่าบ้านคำไฮ อำเภอศรีสงคราม

    *********************************
    ประวัติของหลวงปู่เณรคำ ปัญญาพโล ค่ะ
    *********************************
    (ด้วยความแปลกใจที่เห็นท่านยังหนุ่ม..แต่ทำไมคนเรียก "หลวงปู่" และค้นหาประวัติท่านใน google อ่านดูแล้วน่าอัศจรรย์มากๆ เลยนะคะ ที่ทราบว่าจริงๆ ท่านอายุมากแล้วแต่ดูไม่แก่...ลองอ่านประวัติของท่านดูนะคะ)


    ประวัติหลวงปู่เณรคำ

    คนเหนือโลก เทวดาเดินดิน เกิดแล้วไม่แก่ คำเหล่านี้ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ผู้คน แถบหลุ่มแม่น้ำโขง ตั้งแต่จังหวัดอุบลราชธานี จนถึงจังหวัดหนองคาย ต่างเล่าลือ และรู้จักกันดีในนาม "หลวงปู่เณรคำ"
    วันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๕๒ ทีมงานผู้เขียน มีโอกาสได้ไปร่วมงานครบรอบบุญประจำปีหลวงปู่เณรคำ วัดคำไฮ ต.หาดแพง อ.ศรีสงคราม จ.นครพนม ทุกคนทราบเพียงแต่ชื่อของหลวงปู่เณรคำเท่านั้น แต่ไม่อาจรู้ความจริงว่า หลวงปู่เป็นพระมาจากที่แห่งใด มองจากภายนอกน่าจะอายุประมาณ ๒๕ ปี แต่พอสอบถามชาวบ้านแล้วเห็นบอกว่า มีคนเคยเห็นและรู้จักหลวงปู่ ตั้งแต่คนรุ่นคุณปู่คุณย่า เมื่อได้ฟังแล้วทางทีมงานก็ยิ่งมึนงง และยังไม่เชื่อ เพื่อความอยากรู้อยากเห็นยิ่งนัก อย่างไรจะต้องทราบให้ได้ถึงข้อเท็จจริงที่หลวงปู่เณรคำ เกิดมาตั้งแต่สมัย คนอายุ 100 ปี ทำไมยังมีสภาพยังหนุ่ม ๆ ไม่รู้จักแก่ แทบจะพูดได้ว่า คงจะตายไม่เป็น เพราะมีข่าวว่าหลวงปู่ ได้ฉันยาวิเศษที่ฤาษีมอบให้ จึงทำให้ชีวิตเป็นอมตะ อยู่เหนือโลก เหนือความแก่ และอยู่เหนือความตาย ได้ยินเสียงเพลงจากเครื่องไฟ ทางอีสานเรียกว่า แหล่ เป็นบทเพลงสรรเสริญหลวงปู่เณรคำ ในตอนกลางๆ กล่าวว่า หลวงปู่มีที่อยู่ไม่แน่นอน ใครมีบุญถึงจะไดเจอ บางทีเห็นเป็นพระหนุ่มๆ แต่งตัวเหมือนผีบ้า บางคนก็เห็นเป็นพระแก่มาก ๆ แต่ถ้าจะพูดถึงความคล่องแคล่วแล้ว ท่านเดินเร็วมาก ไม่มีใครเดินตามได้ทัน อีกประการหนึ่งไม่มีใครเคยเห็นหลวงปู่เข้าห้องน้ำ ไม่ว่าจะหนักหรือเบา เหมือนกับว่าหลวงปู่ จะไม่มีท้อง ไม่มีไส้ ไม่มีการขับถ่าย
    ผู้คนต่างก็อดที่จะส่งสัยบ่ได้ว่าหลวงปู่ฉันอาหารแล้ว ท่านเอาเก็บไว้ตรงไหน นานา บางคนก็เฝ้าแอบดูหลวงปู่อยู่เงียบ ๆ เหมือนว่าจะได้เจออภินิหารบางอย่าง บางคนก็นั่งเฝ้าทั้งวันทั้งคืน เพื่อที่จะรอเอาคำหมากของหลวงปู่ เพื่อเอาไปบูชา และอัดกรอบแขวนคอเป็นวัตถุมงคลก็มี บางคนปวดหัวปวดท้อง มาขอยาดีจากหลวงปู่ บางคนก็มานั่งเฝ้าตัวเลขสวยๆ เด็ดๆ พูดง่าย ๆ ว่าที่ศาลาหลวงปู่จะมีคนกราบนมัสการอย่างไม่ว่างเว้นจนเกือบตีหนึ่ง ตีสอง ของทุก ๆ วันเลยที่เดียว


    ที่มาของชื่อ หลวงปู่เณรคำ
    ปู่เณรคำ ชื่อนี้มีมาอย่างไร?
    จากการสืบเสาะข้อมูลเท่าที่ได้รับรู้มีอยู่ 2 ความเชื่อ ดังนี้
    ความเชื่อแรก เชื่อว่าหลวงปู่เณรคำมีอยู่หลายรูปจริง ในอดีตเคยมีพันธะสัญญากับครูบาอาจารย์ที่ต้องการสืบทอดพระศาสนาให้ไปถึงยุคพระศรีอาริย์ เมื่อปฏิบัติถึงขั้นธรรมะชั้นสูงแล้ว ท่านสามารถถอดจิตแยกร่างแบ่งภาคได้ด้วยอำนาจฤทธิ์ แต่คงสภาพเดิมหน้าเดิมเพียงรูปเดียว
    ตามที่มีการกล่าวถึงการแบ่งร่างได้ถึง 7 รูป เช่น หลวงปู่เณรคำ เป็นพี่ใหญ่ รองลงมาปู่เณรแก้ว ปู่เณรสุข ปู่เณรเอก จนถึงปู่เณรนรสิงห์รูปสุดท้าย ซึ่งมีผู้ได้พบเห็นมาแล้วหลายรูป ทั้งนี้เพื่อเป็นการสร้างบารมีธรรม
    อีกความเชื่อของแท้ของจริงหนึ่งเดียว จิตดวงเดียว ไม่มีการแยกร่างแบ่งภาคบารมี คือ หลวงปู่เณรคำรูปนี้ เหตุผลที่น่าเชื่อเมื่อร่างเดิมดับไปหนึ่งครั้งต้องหาร่างใหม่ที่เหมาะสมในจุดเดียวกัน เพื่อเป็นการเกิดใหม่อย่างต่อเนื่อง(ไม่มีชาติภพอื่นเกิดขึ้นในระหว่าง) ต้องการเพิ่มบารมีแต่ไม่ได้ตั้งปณิธานที่จะเป็นพระโพธิสัตว์ปรารถนาโพธิญาณ หวังเพียงบำเพ็ญบารมีธรรมให้บริบูรณ์สืบไป ต้องการที่จะนำสรรพสัตว์ข้ามห้วงสงสารวัฏไปสู่พระนิพพานในยุคพระศรีอาริย์
    เณรคำ ณ จำปาสัก ฉายานี้เคยได้ยินไหม?
    ตามบันทึกประวัติของหลวงปู่สีทัตถ์ สุวัณณมาโจ วัดท่าอุเทน ผู้เป็นครูบาอาจารย์บอกพระกรรมฐานรูปหนึ่งแก่หลวงปู่เณรคำ มีความเกี่ยวข้องกันอยู่เป็นเรื่องที่น่าสนใจ หากจะนับเหตุการณ์วันเวลากันแล้ว คงจะเกือบศตวรรษหรือมากกว่านั้น เพราะเรื่องนี้เกิดขึ้นในสมัยสำเร็จลุนที่ภูเขาควาย ประเทศลาว ตามประวัติมีว่า
    หลังจากที่ท่านพระอาจารย์สีทัตถ์อยู่ที่ท่าอุเทนได้ไม่นาน ได้เดินทางข้ามแม่น้ำโขงไปฝั่งประเทศลาว โดยออกธุดงค์ไปตามป่าเขาอันรกชัฏ เทือกเขาสูงชันสลับซับซ้อน เป็นป่าที่มีภยันตรายรอบด้าน ไหนภัยที่เกิดจากสัตว์ร้าย ภัยจากพวกอมนุษย์ภูตผีปีศาจ และภัยจากธรรมชาติ
    ท่านไม่ย่อท้อคงดำเนินภาวนาวิปัสสนากรรมฐานด้วยจิตใจอันแน่วแน่และมั่นคง ในปีนั้นได้ไปจำพรรษา ณ ภูเขาควาย ่
    ภูเขาควาย ประเทศลาว เป็นแดนธรรมของพระธุดงค์ผู้บรรลุธรรมหลายรูปที่มีชื่อเสียงในอดีต ใครๆ ก็อยากไปกันทั้งนั้น แม้จะมีความลี้ลับแปลกประหลาดและสิ่งอาถรรพณ์และสิ่งศักดิ์สิทธิ์มากมาย
    ในปีนั้นมีพระธุดงค์อยู่ด้วยกัน 5 รูป สามเณร 9 รูป โดยมีพระอาจารย์หลวงปู่สำเร็จลุน(รุณ) พระหลวงเจ้าเป็นอาจารย์ฝ่ายวิปัสสนา ฝ่ายสามเณรมีเณรคำ ณ จำปาสัก เป็นหัวหน้า(หลวงปู่เณรคำ)
    ขณะที่อยู่จำพรรษายังไม่ถึง 90 วัน(ไตรมาส) ปรากฏว่าเกิดเหตุการณ์แปลกประหลาดขึ้น มีสามเณรหายไปวันละ 2 รูป ไม่มีใครรู้ว่าหายไปไหน
    วันต่อมาหายไปมากกว่าเดิม ทำให้พระอาจารย์สีทัตถ์แปลกใจมาก ได้นมัสการเรียนถามหลวงปู่สำเร็จลุน ท่านยิ้มแล้วบอกว่า “เจ้าอยากหายไปเหมือนเณรไหมล่ะ”
    ท่านพูดเหมือนแฝงไว้ด้วยปริศนาธรรม พระอาจารย์สีทัตถ์รีบตอบว่า ยังไม่อยากไป หลวงปู่บอกว่า อีกไม่นานหลวงปู่ก็จะจากไปอีก เหลืออยู่แต่สามเณรคำ ณ จำปาสัก เพื่อให้เป็นผู้นำพระเณรปฏิบัติธรรม ไม่นานแล้วจะออกพรรษา ถ้าเจ้าต้องการอะไรก็รีบเอาเสีย...
    นี่เป็นชื่อเดิมที่เรียกมานานแล้ว ถ้าเณรคำ ณ จำปาสักเป็นรูปเดียวกับหลวงปู่เณรคำ นับเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ อย่างน้อยต้องมีอายุมากกว่าศตวรรษไปแล้ว ดูแต่หลวงปู่สุภา วัดสีลสุภาราม จ.ภูเก็ต ที่เป็นศิษย์ของหลวงปู่สีทัตถ์ ปัจจุบันอายุ 110 ปีแล้ว อาจเป็นไปได้ว่าท่านแบ่งภาคได้จริงหรือเกิดแล้วดับ แล้วเกิดในร่างใหม่อย่างต่อเนื่องกระนั้นหรือ?
    เรื่องนี้หลวงปู่นรสิงห์ วัดวังผาสุก จ.หนองคาย ที่มีความใกล้ชิดสนิทกับหลวงปู่เณรคำมากรูปหนึ่ง บอกว่า “อย่าดูคนเพียงภายนอก ดูให้ถึงข้างใน” พอจะให้คำตอบที่แจ่มชัดขึ้นบ้าง
    ท่านผู้รู้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า การจะเชื่อว่าเป็นเณรคำตัวจริงหรือไม่ ให้ดูว่าท่านอยู่ที่ไหน ปฏิบัติอย่างไร ต้องอยู่ไม่ห่างจากแม่น้ำโขง 50 กิโลเมตรเพราะ ในอดีตมีความผูกพันกับสายน้ำและพญานาคอยู่มาก
    เกี่ยวกับพญานาค เชื่อกันมาว่าอาจเป็นชาติใดชาติหนึ่งที่หลวงปู่เณรคำ เคยเกิดมาเป็นพญานาคมาแล้ว คือท่านเป็นลูกพญานาคตัวเล็กอยู่ในแม่น้ำโขง เมืองบาดาล เมื่อมีการสร้างพระธาตุพนมที่ภูกำพร้าได้มีส่วนร่วมไปกับพญานาคด้วยกันเพื่อร่วมบุญ แต่ขึ้นมาในร่างของมนุษย์ เมื่อถึงเวลากลับลงแม่น้ำโขงสู่นาคพิภพ พญานาคตนอื่นๆ กลับกันไปหมดแล้ว เหลือแต่ท่านกลับลงแม่น้ำโขงไม่ทัน นัยว่าโดนพญาครุฑจับตัวไป
    ฟังแล้วเป็นเรื่องแปลก! อัศจรรย์!
    อีกคราวหนึ่งหลวงปู่เณรคำมีความเกี่ยวกับพระธาตุพนมในคราวสร้างพระธาตุ เป็นสามเณรคอยปฏิบัติวัตรฐากต้มน้ำร้อนน้ำชาถวายพระเณร จนกระทั่งองค์พระธาตุสร้างสำเร็จ พระสงฆ์ที่เป็นประธานถามสามเณรว่า ทุกอย่างสำเร็จแล้วใครต้องการขอพรอะไรให้ขอได้จะสำเร็จสมปรารถนา แล้วสามเณรต้องการจะขอพรอะไรบ้าง
    สามเณรเหน็ดเหนื่อยจากการอุปัฏฐากพระเณรมานานวัน เกิดอาการอ่อนเพลียอยากจะนอนหลับให้สบายอย่างเดียวไม่ได้ขอพรอะไรเลย ที่สุดก็นอนหลับไปไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลย(ตายในชาตินั้นยังเป็นสามเณร) ส่วนสรีรศพจะเผาหรือไม่หรือบรรจุไว้ที่องค์พระธาตุเพื่อเป็นพุทธบูชา
    เรื่องนี้เป็นจริงอย่างไรเกินวิสัยปุถุชนจะรู้ได้ ถ้าเป็นจริงแสดงถึงท่านมีความผูกพันกับองค์พระธาตุพนมมานานแล้ว ทั้งมีความเกี่ยวข้องกับพญานาค แม่น้ำโขงอย่างลึกล้ำประดุจสายนทีแห่งชีวิตทีเดียว
    ปัจจุบันชาติ ชีวิตจริง! หลวงปู่เณรคำได้บรรพชาเป็นสามเณรเมื่ออายุ 11 ปี บวชเณรแล้วพออายุ 20 ปี ญัติกรรมเป็นพระ โดยมีหลวงปู่คำพันธ์ วัดป่าศรีเวินชัย อ.ศรีสงคราม จ.นครพนม เป็นพระอุปัชฌาย์
    เดิมท่านชื่อ พระอาจารย์ทองใบ ปญฺญพโล แต่น้อยคนที่จะรู้จักชื่อเดิม ลูกศิษย์ญาติโยมเรียกกันหลวงปู่เณรคำทั้งนั้น ส่วนหลวงปู่คำพันธ์ พระอุปัชฌาย์ปัจจุบันเป็นเจ้าคณะอำเภอ ปกครองใน 3 อำเภอ คือ อำเภอนาหว้า อำเภอศรีสงคราม และอำเภอนาพรหม ย่อมรู้ถึงปูมหลังของหลวงปู่เณรคำได้ดีกว่าคนอื่นแน่นอน
    นอกจากนั้นมีเรื่องเล่าว่า หลวงปู่คำพันธ์ในอดีตชาติเป็นพ่อของหลวงปู่เณรคำด้วย จึงมีความผูกพันกันมาถึงชาตินี้

    หลวงปู่เณรคำกับพระธาตุพนม
    ในอดีตชาติท่านเคยเกิดเป็นสามเณรชื่อ เณรทองคำ หรือ เณรคำ ในสมัยหลังพุทธกาลเมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน พระมหากัสสปะ ได้เป็นประธานสร้างมหาเจดีย์พระธาตุพนม เณรทองคำได้ร่วมสร้างพระมหาเจดีย์พระธาตุพนมในครั้งแรกนั้นด้วย ซึ่งการก่อสร้างพระธาตุพนมในครั้งนั้น สร้างด้วยดินผสมยางบงหรือยางไม้ ก่อขึ้นเป็นรูปองค์เจดีย์ เมื่อสร้างเสร็จ พระมหากัสสปะได้เิดนทางไปประเทศอินเดีย เพื่อขอรับพระบรมสารีริกธาตุขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ท่านกลัวว่ากว่าจะไปและกลับมาจะไม่ทันการณ์เนื่องจากในขณะนั้นได้เกิด ความแตกแยกขึ้นในบ้านเมืองทางโน่นเพื่อแย่งชิงพระบรมสารีริกธาตุกัน ระหว่างเจ้าเมืองต่างๆพระมหากัสสะปะจึงตัดสินใจอธิฐานจิตว่า หากพระบรมสารีริกธาตุส่วนใดที่พระองค์จะทรงมอบให้เพื่อนำไปบรรจุในองค์พระ ธาตุพนม ขอให้ท่านประทานลงมาจากสวรรค์ ในบัดดลก็ได้มีพระอุรังคธาตุ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่าเม็อมะขามป้อม ตกลงมาจากฟากฟ้า พระมหากัสสปะจึงได้อัญเชิญกลับมาและบรรจุในพระธาตุพนม และได้จัดงานเฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญ่ 7 วัน 7 คืน พระมหากัสสปะได้บอกให้เณรทองคำ ต้มน้ำชาเลี้ยงพระที่จะเดินทางมาจากฝั่งไทยและฝั่งลาวร่วม 700 รูป เพื่อมาร่วมงานสมโภชพระธาตุพนม สามเณรทองคำจึงได้ต้มน้ำชาถวายพระอยู่ 7 วัน 7 คืนโฑดยมิได้หยุดพักไม่ได้นอนเลยแม้แต่วันเดียว
    เมื่องานสมโภชพระธาตพนมเสร็จ พระมหากัสสปะได้บอกให้ทุกคนที่มาร่วมงานบุญครั้งยิ่งใหญ่นั้นอธษฐานจิตขอใน สิ่งที่ปราถนา ปราถนาสิ่งใดก็จะให้ได้สิ่งนั้น ซึ่งในยุคหลังพุทธกาลไม่กี่ปีนั้นยังมีคำว่า ศักดิ์สิทธิ์ อยู่ อธิฐานตายก็ตาย อธิฐานรวยก็รวย ใครอธิฐานอยากเป็นเทวดาก็จะได้สมดังปราถนา เมื่อได้ยินดังนั้นสามเณรทองคำผู้ซึ่งไม่ได้นอนมา 7 วัน 7 คืน มีความเนื่อยล้าอย่างที่สุด จึงอธิฐาน ขอนอนพักผ่อน พออธิฐานเสร็จสามเณรทองคำ ก็ล้มตัวลงนอนและหลับในทันที ผู้คนที่มาร่วมงานรู้เท่าไม่ถึงการณ์ นึกว่า สามเณรทองคำตายแล้วจึงนำร่างของสามเณรทองคำไปฝังไว้ใต้ฐานพระธาตุพนมตั้งแต่ บัดนั้นเป็นต้นมา จนกระทั่งมาถึงยุคที่มนุษย์เริ่มมีจิตใจเสื่อมลง ขาดระเบียบวินัยและเกิดความแตกแยก
    ดังนั้นจึงถึงเวลาที่สวรรค์ จะต้องสำแดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์บางอย่างเพื่อเป็นการตักเตือนมนุษย์ผู้หลง ผิด ให้หันกลับมาทำความดีและช่วยกันฟื้นฟูพระพุทธศาสนาให้รุ่งเรืองขึ้นมาอีก ครั้ง เหล่าเทพเทวาที่สถิตอยู่บนสรวงสวรรค์ จึงบันดาลให้มีสายฟ้าฟาดลงตรงยอดขององค์พระธาตุพนมอย่างพอดิบพอดี

    หลังจากวันที่ 12 สิงหาคม 2518 ทุกคนที่ทราบข่าวต่างเศร้าสลดกันทั่วไปทุกสารทิศ แม้แต่ช้างม้า วัวควาย ก็ไม่ยอมกินหญ้า ทั้งหมูหมากาไก่ต่างก็สะเทือนขวัญไปตามๆกัน ผู้คนต่างเล่าลือ วิพากษ์วิจารณ์กันว่า บ้านเมืองจะต้องมีภัยก็คราวนี้ บนโลกมนุษย์จะต้องมีการเปลื่ยนแปลงกันอย่างใหญ่หลวง จะมีการล้างโลก ผู้ที่มีศีลธรรมเท่านั้นจึงจะสามารถอยู่รอดได้ พระศรีอารย์จะลงมาโปรดมนุษย์โลกนี้ถึงจะอยู่รอดต่อไปได้ โดยไม่แตกดับ ในขณะเดียวกันใครจะรู้ได้ว่ามีสามเณรทองคำ ผู้ซึ่งนอนหลับฝันอยู่เพลินๆ มาจนเวลาล่วงเลยร่วม 2000 กว่าปี หลังจากวันที่พระธาตุพนมถล่มลง มีคนเห็นว่ามีเด็กสวมชุดขาวคล้ายพราหมณ์ ออกมาจากใต้พระธาตุพนมและหลังจากนั้นก็มีคำร่ำลือว่า สามเณรทองคำได้ขึ้นมาจากใต้ฐานของพระธาตุพนมแล้ว ผู้คนต่างก็แตกตื่น

    การสงเคราะห์มวลชนด้วยพลังจิตและวิชาลึกลับ
    ผู้คนมากมายที่มีโอกาสรู้จักและสนทนากับหลวงปู่เณรคำนั้นจะสามารถรับรู้ได้ ถึงความมีเมตตาของท่านที่มีต่อทุกๆคนได้เป็นอย่างดี ซึ่งปกติการที่จะได้พบกับหลวงปู่นั้นจะเะป็นไปได้อยาก เพราะท่านฃอบปลีกวิเวกหลบไปภวานาอยู่ตามป่าเขาที่ห่างไกลผู้คน หากมีญาติโยมมีความทุกข์ใจเดือดร้อนในเรื่องต่างๆ เมื่อเข้ากราบนมัสการขอเมตตาจากนั้นท่านเพียงมีดอกไม้ 5 คู่ เทียน 5คู่ เข้ากราบท่านก็จะได้รับความเมตตาจากท่านทุกรายและที่สำคัญนั้นท่านหลวงปู่ ไม่เคยที่จะเรียกร้องเงินทองค่าบูชาครูใดๆกับผู้ใดทั้งสิ้น ท่านให้เหตุผลในการสงเคราะห์ว่า
    คนทุกคนมีคุณค่าทุกชีวิต ที่เข้ามาที่นี่ช่วยเ้หลือจริงๆ ในการสงเคราะห์ไม่ต้องมีเงินสักบาทก็ได้ขอเพียงมีดอกไม้ขันธ์ 5 เช้ามาก็รักษาให้ัหาย ถ้าเกี่ยวกับไสยศาตร์ ไสยเวท คนถูกผีเข้า โดนคุณไสยมานี่ จะเรียกได้ว่าได้ผลเกือบ 100 เปอร์เซนต์
    ถ้าเป็นพวกค้าขายในการสงเคราะห์นี้ ก็กล้าพูดว่าเป็นหนึ่งในวงการสุดยอด ผู้หนึ่งก็แล้วกัน ทั้งวัตถุมงคลที่สร้างแล้วอธิฐานจิตช่วยเหลือเขาก็ว่าดีนะ
    ถ้าเป็นบริษัทห้างร้านใหญ่ีๆ จะช่ีวยเหลือ เขานี้ต้องมาตั้งจิตสัจจะอธิฐานช่วยเหลือเขา ต้องเอาชื่อโรงงาน ชื่อเขา วันเดือน ปีเกิด เอาสินค้าของเขามาอธิฐานจิต เข้ากรรมฐานให้ 7 วัน ช่วยเหลือเขา แผ่เมตตาให้เขาอธิฐานแผ่พลัง 7 วัน บารมีจะคุมให้ไปถึง 7 ปี อธิฐานจิตตอนเทวดาเปิดโลกตั้งแต่หลังเที่ยงคืนไปจนถึงเวลาตี 5 ทำให้อย่างนี้ตลอด 7 คืน บริษัทที่ต้องช่วยจะต้อ งเป็นบริษัทใหญ่ๆ แต่ถ้าเป็นร้านค้าเล็กๆน้อยๆก็อธิฐานให้เครื่องรางของขลังไป เขาก็ค้าขายดีอยู่นะและคนแถวนี้จะเชื่อว่า ปากหรือวาจาหลวงปู่นี้ศักดิ์สิทธิ์


    ท่องแดนธรรมพงไพรข้ามไทย-ลาว แม่น้ำโขง
    เมื่อหลวงปู่เณรคำได้อำลาสุรินทร์นาคราชแล้วออกธุดงค์วัตรปฏิบัติธรรมในพงไพรไปถึงภูมะโรง ได้พำนักอาศัยความสงบวิเวกอยู่ที่นั่นถึง 5 ปีเต็ม ชาวบ้านแถบนั้นเป็นชาวลาวมีความศรัทธาในวัตรปฏิบัติ เห็นท่านห่มผ้าสีดำขาดๆ จนเคยชินแล้ว จึงเรียกท่านว่าปู่เณรคำ เรื่อยมา กลายเป็นเอกลักษณ์ประจำตัว คำสั้นๆ จำง่ายๆ ติดตาติดปาก...
    จากนั้น ท่านเดินธุดงค์ไปที่จำปาสัก(ตามประวัติเณรคำ จำปาสัก) อยู่ที่นั่นนานถึง 5 เดือน แล้วธุดงค์ต่อข้ามแม่น้ำโขงไทย-ลาว แต่ไม่มีเรือข้ามฝั่ง ท่านจึงตั้งจิตอธิษฐานบริกรรมพระคาถาขอให้พญานาคช่วยชี้ทาง ครั้นอธิษฐานเสร็จแล้วเกิดเหตุน่าอัศจรรย์ ปรากฏว่า พื้นทรายริมฝั่งโขงได้ยุบตัวลง ทั้งนี้จะว่าเป็นเพราะพญานาคบันดาลหรือบุญฤทธิ์บารมีธรรมกันแน่
    เมื่อพื้นทรายยุบตัวลงกลับกลายเป็นถ้ำ ท่านจึงเดินไปตามทางเข้าสู่ถ้ำ ภายในช่องทางโปร่ง เป็นช่องถ้ำลอดข้ามจากแม่น้ำโขงมาทางฝั่งไทย แต่ภายในถ้ำมีงูอาศัยอยู่มากมายไปหมด ท่านจึงตัดสินใจเดินฝ่าดงฝูงงูไปจนทะลุถึงฝั่งไทย ทางอำเภอโขงเจียม จากนั้นขึ้นมาปักกลดบำเพ็ญภาวนาธรรมที่ริมฝั่งไทย ด้วยสมาธิจิตอันสงบ สภาพอากาศเย็นสบาย ประมาณ พ.ศ.2525
    ตั้งแต่นั้นมาหลวงปู่เณรคำปฏิบัติธรรมภาวนาเรื่อยมาจนจิตเป็นเอกคตารมณ์ มีอารมณ์เป็นหนึ่ง อธิษฐานรู้ช่องทางสว่างไสว ทั้งเทวดาพญานาคได้อนุโมทนาชี้แนะทำให้การเดินธุดงค์เป็นไปอย่างสะดวก ทั้งอธิษฐานขอให้ได้พบกับผู้ปฏิบัติธรรมจะได้ฝากตัวเป็นศิษย์ศึกษาวิชาอาคมกรรมฐาน แล้วเดินธุดงค์ต่อไปจังหวัดอุบลราชธานี ไปกราบนมัสการหลวงปู่ชา สุภทฺโท ขณะนั้นหลวงปู่ชาอาพาธอยู่
    เมื่อไปถึงได้กราบนมัสการหลวงปู่ชา ท่านทักทายว่า เณรมาจากไหนกัน หลวงปู่เณรคำตอบไปว่า เดินธุดงค์ข้ามมาจากฝั่งลาว แล้วสนทนากันถึงสาเหตุที่ท่านไปฝั่งลาวเพื่อแสวงหาความวิเวก ค้นหาโมกขธรรมความหลุดพ้นทางใจ
    หลวงปู่ชาได้ให้ข้อแนะนำว่า พระธรรมไม่ได้อยู่ที่ไหนหรอก อยู่ที่ใจของเรา ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นหัวหน้า ถ้าใจสงบได้พบพระธรรม พระพุทธเจ้าได้ค้นพบแล้วที่ใจ คือ การบรรลุถึงแก่นธรรม เป็นแนวทางให้สมณพุทธบุตรดำเนินปฏิบัติตาม
    หลังจากนั้นท่านได้กราบนมัสการลาจากหลวงปู่ชา เดินธุดงค์ต่อไปเพื่อแสวงหาครูบาอาจารย์ศึกษาไสยเวทวิทยาคม แล้วได้ไปฝากตัวปฏิบัติธรรมอยู่กับหลวงปู่พรหมมา สวนผาหินนางคอย จนมีวิชาความรู้กรรมฐานพอสมควร จากนั้นได้ธุดงค์ต่อไปด้วยจิตใจอันเด็ดเดี่ยวเพียงลำพังรูปเดียวถึงภูแผงม้า ด่านพระฤาษีที่มีโขดหินอยู่เบื้องหน้า ปักกลดปฏิบัติธรรมอยู่นานถึง 2 ปีเต็ม

    ตกหน้าผามรณภาพ อัศจรรย์ 7 วันตายแล้วฟื้น
    วันหนึ่งขณะที่พำนักปฏิบัติอยู่ภูแผงม้า นั่งสมาธิอยู่ตรงหน้าผ้าสูงชัน ประมาณหกโมงเย็นนั่งอยู่เป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงกว่า เกิดเหตุการณ์นิมิตเห็นเด็กน้อย อายุประมาณ 1 ขวบ ผิวขาวอวบกระโดดลงหน้าผา ทำให้หลวงปู่เณรคำถึงกับสะดุ้งลืมตาขึ้น ด้วยความเมตตาคิดจะช่วยเหลือเด็กน้อยให้ปลอดภัย ไม่ทันยั้งคิดยื่นมือไปหมายจะจับตัวเด็กเพื่อคว้าตัวไว้ แต่ปรากฏเห็นเป็นเพียงภาพนิมิตเสมือนสายลมพัดผ่าน ท่านไม่ทันระมัดระวังตัวที่สุดตกหน้าผาสูงชันเกือบร้อยเมตรลงไป
    ผลก็คือ หลวงปู่เณรคำได้ถึงกับมรณภาพ จากนั้นปรากฏภาพขึ้นอีกมิติหนึ่งได้พบกับชายแปลกหน้าในภพที่ซ้อนภพ(โลกวิญญาณ) ลักษณะชายแปลกหน้าใส่ผ้าขาวบริสุทธิ์ ผิวพรรณสดใสดุจผิวน้ำผึ้ง เดินตรงมายังท่านแล้วนิมนต์ให้หลวงปู่เณรคำเดินตาม แต่ไม่ได้ถามว่าจะไปที่ไหนแห่งใด ที่สุดเดินตามไปถึงถ้ำแห่งหนึ่ง
    ภายในห้องมีสิ่งของมากมายดูออกจะสับสน ซึ่งแต่ละห้องประมาณได้ไม่น้อยกว่าร้อย-พันห้องทีเดียว แถมมีผู้คนมากมายภายในถ้ำนั่งกันล้นอั่ง(ล้นเอ่อ)ไปหมด ทำให้สงสัยว่าผู้คนมาทำอะไรกันในนี้ จึงถามคนเหล่านั้น เขาบอกว่า ท่านตายแล้วรู้ไหม(มรณภาพ) ทั้งบอกว่า ตายมาแล้ว 5 วัน แล้วหลวงปู่ถามต่อไปว่า แล้วทำไมต้องมาอยู่ในห้อง(ถ้ำ)เหมือนพวกเขาเล่า คนเหล่านั้นบอกว่า กรรมเก่าของท่านยังไม่หมดง่ายๆ จากนั้นหลวงปู่จึงให้นำไปดูสถานที่ต่างๆ รวมทั้งแดนนรก
    เมื่อเดินทางไปเสมือนเป็นริมฝั่งแม่น้ำโขง มีเรือลำหนึ่งสังเกตุเห็นที่หัวเรือมีทอง อีกข้างหนึ่งเป็นเงิน เป็นเรื่องที่แปลกประหลาดมาก ท่านจึงนั่งเรือไปจนถึงกลางแม่น้ำ พอไปถึงฝั่งเห็นเป็นหม้อนรกอยู่ 2 หม้อ ทำให้แน่ใจว่าที่นี่คือ แดนยมโลก(นรกภูมิ)แน่นอน
    หม้อนรกหม้อหนึ่งดูไม่ใหญ่นัก ไม่รู้ชื่อเรียกว่าอะไร ส่วนอีกหม้อหนึ่งใหญ่มากเห็นผ้าเหลือง(จีวรพระ) รุ่มร่ามทำให้ตกใจว่า พระเณรตกนรกด้วยหรือ? จึงอยากจะรู้เรื่องได้ถามชายคนหนึ่งว่า เป็นหม้อชื่ออะไร เขาตอบว่า นี่หม้อนรกพระเณร ส่วนอีกหม้อเป็นหม้อนรกของฆราวาส ผู้ที่ล่วงละเมิดศีลธรรมทำให้รู้ว่า นรกมีจริง!
    จากนั้นหลวงปู่เณรคำนั่งเรือกลับถึงฝั่ง แล้วเขาพาไปยังสถานที่ถ้ำไปชมภายในถ้ำ แต่ถ้ำได้ปิดทันทีจึงไม่เห็นอะไร
    7 วัน เมืองมนุษย์โดยประมาณนั้น จากนั้นเกิดมีแสงลอยตรงมาคล้ายกับแสงหิ่งห้อย ลอยลงมาจากหลังถ้ำสว่างจ้า มีบันไดตรงไต่ทางหลังถ้ำออกมา แต่น่าแปลกว่าที่ถ้ำนี้มีก้อนเมฆลอยวนเวียนฟัดไปมาแรง ทั้งก้อนเล็กก้อนใหญ่เต็มไปหมด แล้วตรงเข้าปะทะกับใบหน้าของหลวงปู่เณรคำ จากนั้นภายในร่างกายของท่านเสมือนมีเลือดลมไหลเวียน จนกระทั่งลืมตาขึ้นเห็นญาติโยมมากมายนั่งร้องไห้ไปหมด พวกญาติโยมบอกว่า หลวงปู่ตายไปแล้ว 7 วัน ทำให้ทุกคนตกใจที่ฟื้นขึ้นมา...
    คำว่า ย่าง ภาษาถิ่นภาคอีสานคือ วิธีการก่อกองไฟแล้วหาแคร่ไม้ไผ่มาวางไว้บนกองไฟ ยกระดับแคร่ไม้ให้สูงอีกนิด อย่าให้ติดกับไฟที่ก่อกอง แล้วหาใบหนาดใบเป้าเอามารอง ให้ร่างนอนทับหม่อง(ที่)เตียงแคร่เพื่อรมควัน นี่เป็นตำรายาของคนอีสาน ถ้าชาวบ้านตกจากที่สูงสะบั้นฟกช้ำดำเขียว หมอหรือผู้ชำนาญเชี่ยวชาญในตำรายาใช้วิธีอย่างนี้ทำกันมาแต่โบราณแล้วได้ผลเหมือน กัน
    หลังจากที่หลวงปู่เณรคำมรณภาพแล้ว โดยตกจากหน้าผาสูงชัน ไปปรากฏนิมิตในแดนนรกจนกลับมาฟื้นคืนชีวิตขึ้นเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์ สาเหตุหนึ่งจากการที่ชาวบ้านนำร่างหลวงปู่ย่าง ทำให้ร่างกายสดชื่น หลังจากฟื้นตื่นจากหลับ...
    ในระหว่างที่สลบหรือหลับไป(พระพุทธศาสนาไม่เรียกว่าตายแล้วฟื้น) เรียกว่า สัญญีภพ(สลบแล้วฟื้น) ตรงกับภาษาแพทย์ จากนั้นท่านไปธุดงค์ตามพงไพรตามฝั่งโขงเรื่อยมา กลับมามีชีวิตใหม่ในโลกมนุษย์อีกครั้ง
    วันที่หลวงปู่เณรคำฟื้นจากหลับ(สลบ)นั้น ตรงกับวันที่ 26 เมษายน วันนี้จึงมีความหมายสำคัญยิ่งของทุกปีที่ผ่านมา เท่ากับวันที่ได้เกิดใหม่อีกครั้ง ทุกปีมีการจัดงานบำเพ็ญกุศลทำบุญใส่บาตรพระสงฆ์ รุ่งขึ้นจะมีการสรงน้ำหลวงปู่ มีคณะศิษย์ญาติโยมเดินทางไปร่วมงานที่วัดป่าบ้านคำไฮมากมายล้นหลาม เหมือนอย่างครั้งที่ผ่านมา มีพิธีพุทธาภิเษกวัตถุมงคลรุ่นคำแก้ว สมปรารถนา สวดอิติปิโสตลอดราตรี

    ถ้ำแก้วเมืองบาดาล โปรดเทศนาพญานาค
    เมื่อหลวงปู่เณรคำละสังขารขันธ์ อัศจรรย์ 7 วันตายแล้วฟื้น! เพราะชาวบ้านได้ช่วยกันนำร่างของท่านไปย่าง (คำว่า ย่าง คือวิธีการก่อกองไฟหาแคร่ไม้ไผ่มาวางไว้บนกองไฟยกระดับแคร่ไม้ให้สูงนิดอย่าให้ติดกับไฟที่ก่อกอง หาใบหนาดใบเป้ามารอง นอนทังหม่อง(ที่)เตียงเพื่อรมควัน) ตามตำรับยาสมุนไพรโบราณของคนอีสานจนเลือดลมหมุนเวียนสภาพร่างกายสดชื่นดีแล้ว ท่านได้มาทบทวนเหตุการณ์ต่างๆ ที่ไปประสบพบเห็นในแดนนรกภูมิ ตามที่ได้กล่าวในตอนที่แล้ว...
    จากนั้นไม่นานนัก ท่านได้จาริกธุดงค์เพียงลำพังรูปเดียวไปตามป่าดงพงไพรด้วยอุปนิสัยที่ชอบความสงบวิเวก ปฏิบัติธรรมภาวนาโดยข้ามแม่น้ำโขงฝั่งไทย-ลาว เรื่อยมา วนเวียนอยู่อย่างนี้เป็นประจำ เสมือนชีวิตนี้มีความผูกพันกับแม่น้ำโขงและพญานาคอย่างแยกไม่ออก เป็นเรื่องที่น่าสนใจยิ่ง
    วันหนึ่ง หลวงปู่เณรคำเดินธุดงค์ไปปักกลดนั่งสมาธิภาวนาธรรมอยู่ใกล้ๆ กับพระธาตุท่าอุเทน วัดพระธาตุท่าอุเทน จังหวัดนครพนม ซึ่งพระธาตุองค์นี้สร้างโดย หลวงปู่สีทัตต์ สุวณฺณมาโจ ผู้เป็นครูบาอาจารย์รูปหนึ่งที่บอกกรรมฐานแนวทางการปฏิบัติธรรมให้กับท่าน ทั้งเคยมีความผูกพันกันมาแต่ในอดีต สมัยที่ไปพำนักปฏิบัติธรรมอยู่ที่ภูเขาควาย ประเทศลาว(ตามประวัติปู่เณรคำ ณ จำปาสัก)
    พระธาตุท่าอุเทน สร้างในสมัยหลวงปู่สีทัตต์ โดยอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุมาจากเมืองย่างกุ้ง ประเทศพม่า เป็นพระธาตุที่มีรูปแบบจำลองมาจากพระธาตุพนม มีความศักดิ์สิทธิ์สำคัญยิ่งและได้เคยปรากฏปาฏิหาริย์ให้ผู้คนได้ประจักษ์มาแล้วมากมาย ผู้คนจึงมีความเคารพศรัทธาในพระธาตุท่าอุเทนได้เดินทางไปสักการะบูชาเป็นจำนวนมาก
    คืนนั้นเวลาเที่ยงคืนดึกกำดัด สงบเงียบ หลวงปู่เณรคำกำลังนั่งสมาธิภาวนาอยู่ใกล้องค์พระธาตุ ได้มีพญานาคตนหนึ่งขึ้นมาเมืองมนุษย์ปรากฏตนที่ใกล้พระธาตุ รูปร่างเหมือนมนุษย์ทั่วไป(แสดงถึงเป็นพญานาคชั้นสูงประเภทอุปปาติกะ) แล้วเดินเข้าไปกราบนมัสการหลวงปู่ บอกว่า
    เรามานิมนต์หลวงปู่ให้ลงไปเมืองบาดาลสถานที่อยู่ของเหล่าพญานาค เพื่อโปรดเทศนาธรรมกุศลแก่พญานาคทั้งปวงที่เฝ้ารอคอยมานานกว่าสองพันปีแล้ว”
    หลวงปู่ถามว่า “ท่านชื่อว่าอย่างไร”
    พญานาค “เราชื่อ นัครินทร์นาคราช เคยได้ร่วมบุญบารมีกับท่านมาตั้งแต่อดีตชาติ...”
    หลวงปู่เณรคำรับคำนิมนต์ของพญานาคให้ไปเทศนาธรรมที่เมืองบาดาล เสมือนหนึ่งว่าท่านเคยมีความผูกพันอยู่อย่างลึกๆ ในใจ แต่การไปครั้งนั้นไม่ลำบากยากเข็ญแต่ประการใด ต่างจากครั้งก่อนๆ มาก พอไปถึงถ้ำที่อยู่ของพญานาค ชื่อ ถ้ำแก้ว ภายในถ้ำสวยงามวิจิตรตระการตาเหมือนศิลปกรรมที่ได้รับการตกแต่งสวยงามดั่งสวรรค์ชั้นดางดึงส์ ไม่เคยพบเคยเห็นที่ไหนมาก่อน เหล่าพญานาคแต่ละตนนั่งบำเพ็ญเพียงภาวนาธรรมเงียบสงบประดุจว่าเป็นถ้ำที่เนรมิตขึ้นก็ไม่ปาน หลวงปู่ท่านนึกในใจนี่หรือที่เรียกว่า โลกทิพย์แดนธรรม...
    พญานาคตนหนึ่งชื่อ สุรินทร์นาคราช ผู้เป็นหัวหน้าพญานาคทั้งปวงกำลังนั่งภาวนาธรรมอยู่บนแผ่นหินกว้างใหญ่ จุดประสงค์เพื่อเป็นแบบอย่างนาคจริยาอย่างพระโพธิสัตว์ปรารถนาพุทธภูมิ
    หลวงปู่ถามว่า พญานาคปฏิบัติกันอย่างไร?”
    พญานาค การปฏิบัติภาวนาธรรมของพญานาคแต่ละตนไม่เสมอกันตามแต่บารมีของแต่ละคน ถ้าปฏิบัติถึงขั้นสูงแล้ว สามารถเปลี่ยนแปลงสภาพร่างกายเป็นมนุษย์ได้ แต่พญานาคบางตนบารมีไม่มากพอ จึงสามารถเปลี่ยนได้เพียงหน้าตาเป็นมนุษย์เท่านั้น ส่วนอื่นๆ ยังคงเป็นสภาพของนาคเหมือนอย่างเดิม”
    หลวงปู่ “ต้องใช้เวลานานแค่ไหน?”
    พญานาค การบำเพ็ญเพียรภาวนาของพวกนาคแต่ละตนต้องใช้เวลาปฏิบัติธรรมสร้างสมบุญบารมีธรรม บุญกุศลนานนับเป็นร้อยๆ ปี ที่นานมากที่สุดต้องใช้เวลาถึง 700 ปี เมื่อถึงเวลานั้นจะเกิดบารมีธรรมสามารถเปลี่ยนร่างได้เหมือนมนุษย์ทั่วไป กลิ่นกายจะคล้ายกลิ่นกระเทียมหอม บางตนบำเพ็ญบารมีอย่างเต็มเปี่ยมกลิ่นกายจะหอมเหมือนดอกพิกุล”
    หลวงปู่ “สาเหตุอะไรที่ท่านนิมนต์เรามาที่นี่”
    พญานาค “ความผูกพันที่เคยมีต่อกันแต่ครั้งในอดีตชาติ”
    หลวงปู่ “มีมาแต่ครั้งไหน?”
    พญานาค “ในอดีตชาติสองพันกว่าปีมาแล้ว หลวงปู่เคยเกิดเป็นพญานาค นาคที่เคยเป็นมารดาของท่านรวมทั้งนาคตนอื่นๆ ที่เป็นญาติสนิทอยู่ที่นี่ในถ้ำแก้วแห่งนี้ ได้เคยไปร่วมบุญกุศลยิ่งใหญ่ขึ้นไปสร้างพระเจดีย์พระธาตุภูกำพร้า (พระธาตุพนม) ร่วมกับมนุษย์ เจ้าเมืองต่างๆ ด้วยกัน พระธาตุภูกำพร้าเป็นพระธาตุองค์แรกในแผ่นดินนี้ เมื่อ พ.ศ.8”
    พญานาคเล่าต่อไปอีกว่า “การสร้างพระธาตุภูกำพร้าในครั้งนั้น ผู้คนมากมายโดยพระมหากัสสปเถระเจ้าเป็นประธาน ได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุมาจากแดนชมพูทวีป(อินเดีย) ตามพุทธบัญชาให้นำมาประดิษฐานที่ภูกำพร้าตามพุทธธรรมเนียมของพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ ในมหาภัทกัปนี้ หลังจากสร้างเจดีย์พระธาตุเสร็จแล้วได้จัดงานสมโภชเป็นมงคลยิ่งใหญ่ มีเจ้าเมืองแคว้นต่างๆ รวมทั้งบรรดาพญานาคจากเมืองบาดาลร่วมมหากุศลสมโภชด้วย แต่ทุกคนมีสภาพเหมือนมนุษย์จึงไม่มีใครรู้ถึงชาติกำเนิดของผู้อื่น จะรู้ได้ด้วยสัญชาตญาณของตนเองเท่านั้น”
    หลวงปู่ “มีอะไรบ้างเป็นพิเศษในงานสมโภช”
    พญานาค “ทุกคนตั้งจิตปรารถนาพุทธภูมิด้วยกัน หวังเพื่อบรรลุธรรมในอนาคตกาล เมื่องานสมโภชฉลองกันเป็นที่ยินดีแล้ว ต่างคณะเดินทางกลับบ้านเมือง พวกนาคก็กลับสู่นาคพิภพเมืองบาดาล แต่เกิดเหตุการณ์ขึ้นคือ ตัวหลวงปู่เป็นลูกพญานาคชักช้ากลับสู่นาคพิภพ(ถ้ำแก้ว)ไม่ทันเวลา ได้มีพญาครุฑตนหนึ่งจับตัวไป...”
    นัครินทร์นาคราช เดินนำหลวงปู่ชมสถานที่ภายในถ้ำแก้ว อธิบายถึงความเป็นมาและความผูกพันกับพญานาคในอดีตชาติจนเป็นที่พอใจแล้ว นิมนต์ให้ท่านพักผ่อนพำนักอยู่โปรดเทศนาธรรมแก่เหล่าพญานาคทั้งปวง เรื่องอรรถเรื่องธรรมอย่างเข้าใจลึกซึ้งทีเดียว
    7 วันอัศจรรย์ที่หลวงปู่เณรคำสู่อุโมงค์ถ้ำแล้วเมืองบาดาล โปรดเทศนาธรรมค้ำจุนเป็นบุญอานิสงส์แก่เหล่าพญานาค จากนั้นท่านได้กลับขึ้นมายังเมืองมนุษย์อย่างสะดวกง่ายดายดุจปาฏิหาริย์ที่เหนือสามัญวิสัยปุถุชนจะเข้าใจอธิบายคำใดๆ ได้เลย
    ไม่นานนักหลวงปู่เณรคำได้ออกจาริกธุดงควัตรปฏิบัติไปยังสถานที่อื่นๆ ต่อไป จนถึงถ้ำภูวัว...



    พระพุทธเจ้าค้นพบแล้วที่ใจ คือการบรรลุถึงแก่ธรรม



    พระธรรมไม่ได้อยู่ที่ไหนหรอก อยู่ที่ใจของเรา



    ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นหัวหน้า ถ้าใจสงบพบพระธรรม



    ตามหาแก่นธรรม......ตามองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า



    เดินจงกรมกำหนดลมหายใจ ให้อยู่กับปัจจุบัน



    กำหนดจิตให้รู้เท่าทันกิเลส



    หลวงปู่เณรคำขณะเดินธุดงค์ในถ้ำ


    ตามหาแก่นธรรม
    ปู่เณรคำ เป็นพระแท้ทองทั้งแท่ง เปี่ยมด้วยความเมตตาต่อพ่อออกแม่ออก (อุบาสก อุบาสิกา) ใครเดือดร้อนทุกข์ใจไปกราบไหว้ได้คือกัน (เหมือนกันหมด) ส่วนที่เรียกว่า “หลวงปู่เณรคำ” มีเรื่องราวที่เป็นมาน่าสนใจ เรียกขานชื่อท่านกันมาตั้งแต่ครั้งที่จาริกธุดงค์ไปบำเพ็ญเพียรภาวนาธรรมกรรมฐานอยู่ในประเทศลาว (สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว) เพราะท่านมีผ้าดำติดตัว นัยว่าเป็นผ้าตั้งแต่ชาติก่อนที่เคยบวช ค้ำชูสืบทอดพระพุทธศาสนา
    ในคำแหล่ย่อๆตอนหนึ่งว่า “คำว่าเณรคำ เป็นคำนามเทียมๆ เหมือนจอบเสียมเป็นแค่ชื่อเรียกนาม” ที่จริงแล้วไม่ได้ไปยึดติด แต่คนคิดว่า ท่านเป็นทูตเหนือโลกรู้เวรรู้กรรม เทศนาธรรมค้ำบาดาล จึงมีเอกลักษณ์พิเศษห่มจีวรชอบพาดผ้าดำใส่ผ้าขาด จาริกธุดงค์ไปมาสองฝั่งโขงไทย-ลาว เป็นกิจวัตร

    ภูเขาควายถิ่นฐานพำนักปฏิบัติธรรมและเป็นถิ่นบรรลุธรรม...
    ครูบาอาจารย์ผู้สอนธรรมของหลวงปู่เณรคำ มีมากมายหลายรูปได้ถ่ายทอดวิชาอาคมกรรมฐาน เช่น หลวงปู่คำคะนิง หลวงปู่บรมครูพระครูธรรมเทพโลกอุดร หลวงปู่สรวง (เทวดาเดินดิน) หลวงปู่ชา วัดหนองป่าพง เป็นต้น จัดได้ว่าเป็นพระที่คงแก่เรียนศึกษาปฏิบัติ เป็นที่พี่งแก่ญาติโยมและลูกศิษย์มากมาย


    จาริกธุดงค์
    หลวงปู่เณรคำ ได้บรรพชาเป็นสามเณรตั้งแต่อายุ 11 ปี และออกธุดงค์มาถึง ต.บ้านแพน อ.ศรีสงคราม จ.นครพนม และได้พำนักที่บ้านแพงอยู่หลายเดือน จากนั้นได้ศึกษาข้อวัตรปฏิบัติพระกรรมฐานวิชาอาคมแล้วออกธุดงค์เดี่ยวไปยังภูเขาควายประเทศลาว หลวงปู่เณรคำ ข้ามแม่น้ำโขงไปประเทศลาวได้พบกับ หลวงปู่คำคะนิงในถ้ำประเทศลาว ได้ถวายตัวเป็นศิษย์ปฏิบัติกรรมฐานอยู่นานถึง 6 เดือน วิชาที่ศึกษาเช่น ไสยศาสตร์ ไสยเวทย์ กรรมฐาน ทุกอย่างจนมีความเชี่ยวชาญ

    พบหลวงปู่เทพโลกอุดร
    จากนั้นได้จากริกธุดงค์ต่อไปที่ภูเขาควาย ท่านเล่าว่า เมื่อไปถึงชายเขาหยุดปักกลดนั่งกรรมฐานอยู่ 7 วัน ในวันที่ 6 ขณะที่นั่งกรรมฐานภาวนาจิตสงบได้ปรากฏในนิมิตมีชายคนหนึ่งรูปร่างสูงใหญ่ แต่งกายคล้ายกับคนเมืองบังบด พิจารณาดูในนิมิตเหมือนกับเจ้านาคที่กำลังจะขอบวชนาค ทำให้แน่ใจต้องเป็น รุกขเทวดา คงมาบอกเส้นทางธุดงค์ไปยังถ้ำภูเขาควาย ซึ่งพระธุดงค์เรียกลักษณะภายนอกที่นี่ว่า ภูเขาโค้ง มีพระกรรมฐานเข้าไปปฏิบัติธรรมเป็นประจำเสมอ
    ครั้นถึงวันที่ 7 ท่านเก็บกลดหอบหิ้วอัฏฐบริขาร มุ่งหน้าไปยังภูเขาควายทันที เมื่อเข้าไปใกล้ถ้ำได้พบพระธุดงค์รูปหนึ่ง นั่งสงบนิ่งอยู่ภายในถ้ำ เป็นที่น่าศรัทธาเลื่อมใสยิ่งนัก ลักษณะการนั่งนิ่งเหมือนกับก้อนหิน คาดคะเนอายุสัก 90 ปีขึ้น จึงตัดสินใจเข้าไปใกล้ๆ แล้วก้มลงกราบท่าน มองขึ้นยังเห็นนั่งอยู่ในลักษณะเดิม เอ่ยถามตามแบบอาคันตุกะผู้มาใหม่
    “หลวงปู่อยู่ในถ้ำแห่งนี้นานแล้วหรือ ชื่ออะไรครับท่าน” “พันปีตามพุทธองค์” พระธุดงค์เจ้าถิ่นตอบแล้วนั่งนิ่งเหมือนเดิม หลวงปู่เณรคำ ถามต่อว่า “หลวงปู่ชื่อว่าอย่างไร”
    “อาตมาชื่อปู่เทพโลกอุดร”
    คำว่า “หลวงปู่เทพโลกอุดร” ทำให้เกิดปีติอย่างแรงกล้า ก้มลงกราบทันที ขอปวารณาตัวเป็นศิษย์ได้รับเมตตาอย่างล้นเหลือ จึงอยู่ศึกษาปฏิบัติธรรมในถ้ำถึง 3 วัน ในช่วงเวลา 3 วันนั้น เสมือนมีความรู้สึกว่าได้อยู่กับหลวงปู่เทพโลกอุดรนานนับ 3 ปี ได้รับคำสอนว่า “กิเลสของเราจะเกิดขึ้นได้อย่างไรไม่สำคัญ สำคัญอยู่ที่ใจเราแน่วแน่มั่นคงแก่นแท้ ทำให้พ้นทุกข์เรียกว่านิพพาน”

    ปริศนาธรรมะ หมายถึง ธรรมะไม่เกิดจากครูบาอาจารย์ที่อบรมสั่งสอนเท่านั้นอยู่ที่ตัวผู้ปฏิบัติ เกิดดวงตาเห็นธรรม...
    หลวงปู่เณรคำเล่าว่า หลวงปู่เทพโลกอุดร เป็นพระอรหันต์สาวกสมัยพุทธกาล ติดตามพระพุทธเจ้ามายังภูกำพร้า ได้ประทับรอยพระบาทไว้บนแผ่นหินที่ภูเพ็ก (พระบาทขวา) ส่วนพระบาทซ้ายประทับรอยไว้ที่ภูวัว คือพระมหากัสสปะเถระเจ้า สำหรับการอบรมธรรมะที่เน้นว่า ธรรมะเกิดที่ธรรมชาติจงตั้งใจปฏิบัติให้ถึงแก่นแท้...
    ฟังแล้วลึกซึ้งเป็นปริศนาธรรม ประทับใจก้มลงกราบพอเงยหน้าขึ้น หลวงปู่เทพโลกอุดร หายไปแล้วอย่างน่าอัศจรรย์ ไม่รู้ไปทางไหน ได้พบเพียงเวลาสั้นๆ คุ้มค่ากับการปฏิบัติธรรมตามคำสอนเหลือเกิน

    สู่เมืองบังบด
    เมื่อออกจากถ้ำภูควายเดินธุดงค์ไปประมาณ 10 กิโลเมตร ได้พบกับพระธุดงค์รูปหนึ่ง ท่าทางนิ่งสงบ พิจารณาลักษณะแล้วไม่น่าจะใช่พระสงฆ์เพราะหน้าตายังอ่อนเยาว์รุ่นราวคราวเดียวกัน จึงทักทายสนทนาถูกอัธยาศัย ถามท่านว่า ชื่ออะไร พระธุดงค์รูปนั้นบอกว่า ท่านชื่อเณรแก้ว มาธุดงค์แถวนี้และธุดงค์ไปเรื่อยๆ แล้วชวนกันเดินธุดงค์ด้วยกันเข้าป่าลึก ปักกลดอยู่ริมน้ำข้างภูเขาโค้ง นั่งกรรมฐานจนดึกเที่ยงคืน จิตสงบนิ่งมีอารมณ์เป็นหนึ่ง
    สักครู่หนึ่งได้ยินเสียงคนกำลังเดินมาสลับกับเสียงคล้ายคนกำลังตำข้าว เหมือนกับสถานที่นั่นมีบ้านคนอาศัยอยู่ แต่ตอนที่เดินผ่านมาไม่เห็นมีบ้านเรือนสักหลัง เห็นแต่ต้นไม้เต็มไปหมดป่าทั้งนั้น ทั้งสองรูปส่งกระแสจิตถึงกัน ท่านพูดแก่เณรแก้วว่า ประเดี๋ยวเราจะลองออกไปดูให้กระจ่าง
    หลวงปู่เณรคำออกจากกลดเดินไปเห็นชายคนหนึ่งขับเกวียนมาตามเส้นทาง ดึกดื่นป่านนี้แล้วยังมีคนมาขับเกวียนอยู่อีกหรือ ถามชายแปลกหน้าว่า ที่นี่ที่ไหน? ชื่อบ้านอะไร?
    ชายผู้นั้นบอกว่า ที่นี่อยู่กันมานานแล้ว มนุษย์ไม่รู้ไม่เห็น ชื่อเมืองบังบด...
    รุ่งเช้าสามเณรแก้ว บอกลาหลวงปู่เณรคำ ขอแยกจาริกธุดงค์ไปสถานที่อื่นเพียงลำพังส่วนท่านเดินธุดงค์ไปถ้ำแห่งหนึ่งในเขต ภูเขาควาย

    พระพุทธรูปทองคำ
    เมื่อไปถึงปากถ้ำ ต้องตะลึงพบกับงูจงอางตัวหนึ่ง ข้างๆ มีลูกมะพร้าวลูกใหญ่อยู่ด้วยคงเป็นสมบัติอะไรสักอย่าง มันชูคอขึ้นสูงประมาณ 4 ศอกเศษๆ หลวงปู่เณรคำไม่รอช้าอธิษฐานจิต สาธุ ๆๆ รุกขเทวดา พระแม่ธรณี เจ้าป่าเจ้าเขาที่นี่ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ถ้าเจ้าเคยเป็นเจ้ากรรมนายเวรกับเรา จงทำร้ายเราได้เลย เรามาที่นี่หวังถวายชีวิตเพื่อพ้นทุกข์พระนิพพาน จากนั้นแผ่เมตตาไปให้งูจงอาง
    ทันใดนั้นงูจงอางค่อยลดหัวลงต่ำแล้วเลื้อยหายไป จึงเดินเข้าไปในถ้ำ พบพระพุทธรูปทองคำ ขนาดหน้าตัก 9 นิ้ว แปลกมากมีงูตัวหนึ่งรัดรอบองค์พระขยับไปมาแถมชูหัวขึ้นเหมือนกับจะหวงห้าม สังเกตที่หัวมีหงอนด้วย คราวนี้พอจะรู้แล้วไม่ใช่งูหรอก จึงถามไปว่า ท่านเป็นใคร? ชื่ออะไร?
    “เราคือ สุรินทร์นาคราช เป็นผู้เฝ้าถ้ำแห่งนี้มานานนับร้อยปี”
    หลังกล่าวจบได้กลายร่างเป็นมนุษย์ จึงได้นิมนต์หลวงปู่เณรคำเข้าไปในถ้ำ พบก้อนศิลา 2 ก้อน ทันใดนั้นได้เกิดเหตุการณ์สุดอัศจรรย์ศิลาก้อนใหญ่น้ำหนักมหาศาลที่ปิดถ้ำได้เปิดออก มองเข้าไปข้างใดเห็นเป็นห้องโถงขนาดใหญ่ภายในมีทองคำ เพชรนิลจินดาเป็นจำนวนมากมายมหาศาล
    แต่หลวงปู่เณรคำไม่ได้มีความสนใจหรือเกิดความโลภในทรัพย์สมบัติเหล่านั้นแม้แต่น้อย
    ในขณะที่กำลังเดินสำรวจภายในอยู่นั้น พลันสายตาได้ไปเห็นหีบทองคำใบหนึ่งอย่างสะดุดตา ลักษณะของหีบทองคำใบนั้นภายนอกแกะสลักได้อย่างวิจิตรพิศดารเป็นลวดลายสิบสองราศี ตรงกลางมีพระทองคำ 2 องค์ ยืนถือพัดและนั่งคู่กันอยู่ โดยมีพระอีกห้าองค์อยู่บนหลังเต่าล้อมพระทองคำอยู่ จึงได้เปิดหีบทองคำเพื่อจะดูภายในหีบว่ามีอะไรให้พิศวง! อีกหรือไม่
    พบแต่เพียงผ้าจีวรสีดำย้อมด้วยยางประดู่และใบลานโบราณสองกุวางซ้อนกันอยู่ ในใบลานจารึกอักษรโบราณพิจารณาดูแล้วเป็นภาษาก้อม(เป็นภาษากลอนโบราณ) ภายในใจของหลวงปู่เณรคำฉุกคิดว่าน่าจะเป็นสิ่งของสำคัญ จึงได้มาอยู่ ณ ที่แห่งนี้
    หลวงปู่เณรคำจึงเอ่ยกับสุรินทร์นาคราชโดยมิได้บังอาจลบหลู่ล่วงเกิน
    สุรินทร์นาคราชเอ่ยยกใบลานและผ้าจีวรสีดำให้กับหลวงปู่เณรคำ(สุรินทร์นาคราชได้เฝ้ารักษาของทั้งสองสิ่งมานานเพื่อมอบให้กับเจ้าของที่แท้จริง)
    หลวงปู่เณรคำได้นำใบลานโบราณขึ้นอ่าน แต่อักษรในใบลานเป็นอักษรที่หลวงปู่ไม่เคยเห็นจึงอ่านไม่ออก จิตในขณะนั้นจึงได้อธิษฐานถึงชาติปางขอให้อ่านอักษรได้ง่าย หลังคำอธิษฐานจบเหมือนเนรมิตของสิ่งศักดิ์สิทธิ์และสิ่งมหัศจรรย์ท่านเมตตาได้บังเกิดขึ้นเป็นคำรบที่สอง อักษรในใบลานได้เปลี่ยนเป็นภาษาลาว หลวงปู่เณรคำจึงรู้ได้ในทันทีว่าเป็นคาถาคู่บารมี
    ใบลานกุแรกเป็นคาถาย่นแผ่นดิน ซึ่งมนุษย์ทั่วไปยากที่จะมีไว้ครอบครอง กุที่สองเป็นคาถากายทิพย์ ส่วนกุที่สามเป็นคำทำนายโลก คงเป็นโชคดีของลูกหลานที่หลวงปู่เณรคำได้พบใบลานนี้จึงได้ศึกษาตำราในใบลานเป็นเวลาหลายปีจนสำเร็จ ส่วนผ้าสีดำที่อยู่ในหีบทองคำนั้นหลวงปู่เณรคำได้เอาคลุมกายแล้วจึงออกธุดงค์ต่อไป

    คัดลอกมาจากเว็บนี้ค่ะ :cool:
    ประวัติหลวงปู่เณรคำ - เส้นทางแห่งการรู้แจ้ง<!-- google_ad_section_end -->
    <FIELDSET class=fieldset><LEGEND>รูปขนาดเล็ก</LEGEND>[​IMG]
    </FIELDSET>
    http://palungjit.org/threads/คำเตือ...งปู่เณรคำ-ปัญญาพโล-ช่วงปี-2554-2555-a.287003/
     
  16. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=sZjHyul6JhQ"]YouTube - Nibiru 2011 Update April Tornadoes - Planet X Pole Shift[/ame]
    จาก: thecanadianvandal | สร้างเมื่อ: 29 เม.ย. 2011
    Nibiru 2011 Update April Tornadoes - Planet X Pole Shift
    Events are in order by date.
    Earth Wobble increasing causing the mix of hot and cold air, resulting is record breaking amounts of tornadoes - April Tornadoes Hit US Southern States
    Tuscaloosa Tornado

    Your welcome to re-upload this video, just give me the credit.

    Check out ZetaTalk
     
  17. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    Nibiru 2011 Update: 100 Days of Disasters - Planet X 2012 Pole Shift

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=baVMgEVhMG4&NR=1]YouTube - Nibiru 2011 Update: 100 Days of Disasters - Planet X 2012 Pole Shift[/ame]

    จาก: thecanadianvandal | สร้างเมื่อ: 25 เม.ย. 2011
    Nibiru 2011 Update: 100 Days of Disasters - Planet X 2012


    Tags: "planet x" nibiru annuaki ufo aliens pole shift 2012 nibiru update nibiru "nibiru deutsch" "maya kalender" "2012 deutsch" maya "kalender 2012" "weltuntergang 2012" "surviving 2012" "nostradamus 2012" "history channel" salfate "profecias de nostradamus" "nostradamus 2012 español" "nostradamus predictions" planetx "nibiru 2010 update" нибиру illuminati anunnaki "planet nibiru" "nibiru 2011" "nibiru 2011 update" "end of times" aliens ufo
     
  18. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ซีเอ็นเอ็นเผยบิน ลาดินตายแล้ว

    [​IMG]

    วอชิงตัน 2 พ.ค.- สถานีโทรทัศน์ซีเอ็นเอ็นของสหรัฐรายงานว่า นายอุซมะห์ บิน ลาดิน ผู้นำเครือข่ายอัลกออิดะห์เสียชีวิตแล้ว เจ้าหน้าที่สหรัฐเป็นผู้พบศพ และว่าประธานาธิบดีบารัค โอบามา จะแถลงข่าวนี้ในเร็ว ๆ นี้

    ซีเอ็นเอ็นอ้างว่า แหล่งข่าวรัฐบาล 3 คนเป็นผู้เปิดเผยเรื่องนี้ นายบิน ลาดินถูกสังหารที่คฤหาสน์นอกกรุงอิสลามาบัดของปากีสถาน

    สหรัฐตามล่า บิน ลาดิน ชาวซาอุดีอาระเบียมาหลายปี และยิ่งเพิ่มความพยายามมากขึ้นตั้งแต่เขาหายไปในอัฟกานิสถานในปลายปี 2544 หลังเกิดเหตุวินาศกรรมสหรัฐ 11 กันยายนในปีเดียวกัน มีผู้เสียชีวิตราว 3,000 คน เชื่อว่าส่วนใหญ่เขาหลบซ่อนตัวตามพรมแดนระหว่างอัฟกานิสถานกับปากีสถาน.-สำนักข่าวไทย

    วันจันทร์ ที่ 2 พ.ค. 2554

    ผู้นำสหรัฐ ออกแถลงการณ์ยืนยัน บิน ลาดิน เสียชีวิตแล้ว

    [​IMG]

    สหรัฐ 2 พ.ค.-ผู้นำสหรัฐออกแถลงการณ์ทางโทรทัศน์ ยืนยันนายอุซมะห์ บิน ลาดิน หัวหน้าเครือข่ายก่อการร้ายอัลกออิดะห์เสียชีวิตแล้ว

    ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ของสหรัฐ ออกแถลงการณ์ทางโทรทัศน์ที่ทำเนียบขาว ในกรุงวอชิงตันว่า นายอุซมะห์ บิน ลาดิน หัวหน้าเครือข่ายก่อการร้าย อัลกออิดะห์ เสียชีวิตแล้ว หลังจากที่เมื่อวานนี้หน่วยปฏิบัติการของสหรัฐระดมกำลังไล่ล่าในปากีสถานอย่างหนัก เวลานี้สหรัฐได้ศพของนายบิน ลาเดน แล้ว ทั้งนี้บิน ลาดิน ถูกกองกำลังสหรัฐสังหารเสียชีวิตในอาคารที่พักชานกรุงอิสลามาบัดของปากีสถาน ทันทีที่ข่าวแพร่ออกไป ปรากฏว่าประชาชนจำนวนมากพากันไปรวมตัวที่ด้านหน้าทำเนียบประธานาธิบดีสหรัฐในกรุงวอชิงตัน พร้อมกับโบกธงสหรัฐและส่งเสียงเชียร์สหรัฐกันดังสนั่น.-สำนักข่าวไทย

    วันจันทร์ ที่ 2 พ.ค. 2554

    ประวัติ อุซมะห์ บิน ลาเดน ผู้นำเครือข่ายอัลกออิดะห์

    [​IMG]

    สหรัฐ 2 พ.ค.-ประวัติของนายอุซมะห์ บิน ลาเดน ผู้นำเครือข่ายก่อการร้ายอัลกออิดะห์ ก่อนที่จะถูกสังหาร

    อุซมะห์ บินลาเดน เกิดเมื่อปี 2500 โดยเขาเป็นลูกคนที่ 17 จากจำนวนทั้งหมด 57 คน ของครอบครัวนักธุรกิจ ซึ่งมีกิจการในซาอุดีอาระเบีย เมื่ออายุได้ 13 ปี บิน ลาเดน ได้รับมรดกมากมายจากบิดาที่เสียชีวิตหลังเครื่องบินที่ขับประสบอุบัติเหตุตก

    สำหรับการสู้รบกับสหรัฐนั้นเชื่อว่าน่าจะเริ่มขึ้นหลังกองกำลังสหรัฐเข้าไปประจำการในซาอุดีอาระเบียในช่วงสงครามอ่าวเปอร์เซียเมื่อปี 2533 หลังจากอิรักรุกรานคูเวต ซึ่งบิน ลาเดน มองว่าเป็นการแบ่งแยกดินแดนอิสลาม และเรียกร้องให้ทำสงครามศาสนากับสหรัฐ ซึ่งต่อมาบิน ลาเดน ถูกตัดออกจากครอบครัว และถูกเพิกถอนสัญชาติซาอุดีอาระเบียเมื่อปี 2537 บิน ลาเดน ย้ายไปอยู่ที่ซูดาน เมื่อปี 2534 ก่อนจะถูกขับออกนอกประเทศในอีก 5 ปีต่อมา และเขาได้ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งในอัฟกานิสถานก่อนที่กลุ่มตอลิบานจะเข้ายึดการปกครอง ซึ่งบิน ลาเดน ได้เป็นบุคคลวงในของกลุ่มตอลิบานในเวลาต่อมา

    สหรัฐกล่าวหาบิน ลาเดน และเครือข่ายอัลกออิดะห์ว่าก่อเหตุโจมตีหลายครั้ง เริ่มตั้งแต่เหตุการณ์ระเบิดอาคารเวิลด์ เทรด เซ็นเตอร์ ในนครนิวยอร์กเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2547 ซึ่งมีผู้เสียชีวิต 6 คนแต่มีผู้บาดเจ็บอีกกว่า 1,000 คน นอกจากนี้ยังนายบิน ลาเดน ยังถูกกล่าวหาว่าเป็นตัวการสำคัญในการสังหารทหารสหรัฐ 24 คนในซาอุดีอาระเบียเมื่อปี 2548-2549 และยังอยู่เบื้องหลังเหตุระเบิดโจมตีสถานทูตสหรัฐในเคนยา และแทนซาเนียเมื่อปี 2551 มีผู้เสียชีวิต 224 คน และบาดเจ็บ 4,000 คน หลังเหตุการณ์สถานทูตถูกโจมตี สหรัฐได้ใช้ขีปนาวุธถล่มโจมตีสถานที่ต้องสงสัยว่าเป็นค่ายฝึกของบิน ลาเดน หลายแห่งทั้งในอัฟกานิสถาน และซูดาน

    ทางการสหรัฐยังระบุด้วยว่าเครือข่ายก่อการร้ายของบิน ลาเดน เป็นผู้ก่อเหตุระเบิดฆ่าตัวตายโจมตีเรือรบยูเอสเอส โคล ของสหรัฐที่นอกชายฝั่งเยเมนเมื่อเดือนตุลาคม 2543 ทำให้ทหารเรือสหรัฐเสียชีวิตไป 17 คน และเหตุการณ์ร้ายแรงที่สุดคือการจี้เครื่องบินโดยสารของสหรัฐพุ่งชนอาคารเวิลด์ เทรด เซ็นเตอร์ และกระทรวงกลาโหมเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2544 ทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง 3,000 คน หลังจากนั้นเป็นต้นมา สหรัฐได้ปฏิบัติการไล่ล่าบิน ลาเดน อย่างหนัก โดยเชื่อว่าเขากบดานอยู่ในบริเวณชายแดนปากีสถานและอัฟกานิสถาน พร้อมตั้งทั้งค่าหัวเอาไว้สูงถึง 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐสำหรับการแจ้งเบาะแสในการนำจับ.-สำนักข่าวไทย

    วันจันทร์ ที่ 2 พ.ค. 2554

    ที่มา http://www.mcot.net
    <!-- google_ad_section_end -->
    " มาบูส (MABUS) จะตายในไม่ช้า "


    [​IMG]

    คำพยากรณ์เซ็นจูรี่ เล่มที่ 6 : ท้องฟ้าจะลุกเป็นไฟ เพลิงจะผลาญเข้าสู่เมืองใหม่

    “ ท้องฟ้าจะถูกเผาผลาญ ณ องศาที่ 45 เพลิงจะพุ่งเข้าสู่เมืองใหม่ในบัดดล ดวงไฟใหญ่จะแตกกระจายทะลวงพุ่งขึ้นมา”

    “ มาบูส (MABUS ) จะตายในไม่ช้า จะมีการฆ่าหมู่คนและสัตว์อย่างสยดสยอง ทันใดนั้นการแก้แค้นจะปรากฎขึ้นจากร้อยแผ่นดิน ความกระหาย อดอยาก จะเกิดชึ้นเมื่อดาวหางโคจรผ่านมา…..”

    “ ศาสนาที่มีชื่อเหมือนทะเลจะมีชัย การต่อต้านนิกายของอะดาลูนกาทิฟผู้บุตร พวกหัวดื้อ พวกโศกเศร้าตำหนินิกายจะกลัวเกรง อาลิฟ กับ อาลิฟ ที่ได้รับบาดเจ็บทั้งสอง….”

    นั่นคือโคลงที่ว่ากันว่าเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้ ซึ่งเป็นเรื่องยากที่จะตีความไปในทางเดียวกัน เพราะนอสตราดามุสเขียนแบบไม่ค่อยจะติดต่อเป็นเรื่องเป็นราวเท่าใดนัก ที่สำคัญเขาไม่ได้พูดถึงเรื่องของเวลาอย่างแน่ชัด แต่กระนั้นหลายคนตีความว่า ยามที่นอสตราดามุสมองเห็นเครื่องบินพุ่งเข้าใส่ตึกเวิล์ดเทรด ไม่แตกต่างไปจากหอกแหลมจากฟากฟ้าจะบินมาพร้อมกับลูกไฟ

    เพราะหัวของเครื่องบินที่มีปีกนั้น ดูเผินๆก็ไม่แตกต่างกับหอกขนาดยักษ์เท่าใดนัก เช่นเดียวกับการชนก็เกิดการระเบิดทันทีจนเป็นลูกไฟไปทั่วฟ้า ที่สำคัญเขาพูดถึงเมืองที่จะเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามว่าเป็น ดินแดนที่ 45 ตรงกับเส้นรุ้งที่ 45 อันเป็นที่ตั้งของมหานครนิวยอร์กเหมือนกัน

    แต่สิ่งเหล่านั้นยังไม่น่ากลัวเท่ากับการที่นอสตราดามุสกล่าวต่อว่า จะเกิดสงคราม ผู้คนจะล้มตายเมื่อมาบูสถูกฆ่าในเวลาไม่นานนับจากนี้ เพราะมีการตีความต่อว่า Mabus นั้น มาจากการย้อนชื่อต้นของ Usama Binladen (อุสมา บิน ลาเดน) ซึ่งเป็นคนที่สหรัฐมองว่าเป็นตัวการในการก่อวินาศกรรมครั้งนี้ ยิ่งถ้ามองตามคำทำนายต่อ หลายคนเชื่อว่า การตายของบินลาเดน จะเป็นจุดสิ้นสุดของยุคสันติภาพและจะเป็นสงครามที่ยิ่งใหญ่และยาวนานกว่าทุกครั้ง

    โดยการแก้แค้นของพวกร้อยแผ่นดิน (United State) ซึ่งก็คือ สหรัฐนั่นเอง ส่วนอาวุธลับที่สหรัฐจะใช้จัดการกับขบวนการก่อการร้าย จนกระทั่งเกิดการตายอย่างมากมายนั้น นอสตราดามุสใช้คำว่า ดาวหางมาเยือน จะเป็นไปได้หรือไม่ว่า ดาวหางที่นอสตราดามุสเห็นจะเป็นระบบป้องกันภัยจากอวกาศที่สหรัฐภาคภูมิใจนักหนา เช่นเดียวกับเรื่องของความอดอยาก เพราะเมื่อสหรัฐทราบว่าใครเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง มาตรการแซงชั่นป้องกันไม่ให้นำอาหารเข้าสู่ประเทศนั้นๆจะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน

    by admin on ส.ค..04, 2010

    BIBLE CODE:
    AHMADINEJAD ASSASSINATED


    [​IMG]

    2010 AD: There is a date in this Bible code for the Hebrew Year of 5770 = SEPT 2009 AD to SEPT 2010 AD in our western calendar. Its possible Israel will assassinate Ahmadinejad in 5770 in another of his propoganda trips to The United Nations?

    It is also possible that Israel will assassinate Ahmadinejad in Sept 2009-2010 AD (at a UN speech) at the same time Israel launches a bombing campaign to destroy Iran's nuclear weapons program. What is interesting is the time frame for a possible war between ISRAEL vs IRAN (2009- 2010 AD), a war that will clearly trigger the Biblical Apocalypse.

    ที่มา BIBLE CODE: AHMADINEJAD ASSASSINATED - [ แปลหน้านี้ ]

    คำทำนายของนอสตราดามุส

    "มาบูส จะตายในไม่ช้า
    จะมีการฆ่าหมู่คนและสัตว์ อย่างน่าสยดสยอง
    ทันใดนั้น การแก้แค้นจะปรากฏขึ้นจากร้อยแผ่นดิน
    ความกระหาย อดอยาก จะเกิดขึ้นเมื่อดาวหางโคจรผ่านมา" II 62

    ที่มา http://ericbox.exteen.com/20090122/entry

    สาสน์ข้อที่ 3 ของแม่พระฟาติมา

    การลงโทษจะมาอย่างแน่นอน เมื่อบุรุษผู้หนึ่งซึ่งมีตำแหน่งสำคัญถูกฆาตกรรม เหตุการณ์นี้จะก่อให้เกิดมติที่จะดำเนินการแก้ไขปัญหานั่นคือ กองทัพที่มีพลังมหาศาลจะบุกเข้าสู่ยุโรป แล้วสงครามนิวเคลียร์จะเริ่มขึ้น มันจะทำลายทุกสิ่ง ความมืดจะครอบคลุมโลกเป็นเวลา 72 ชั่วโมง และ 1 ใน 3 ของมนุษย์ชาติซึ่งจะมีชีวิตรอดจากช่วงเวลาแห่งความมืด 72 ชั่วโมงนั้นจะเข้าสู่ ชีวิตในยุคใหม่และเป็นคนดี"

    ที่มา http://www.palungjitrescuedisaster.com/

    คำทำนายของพระฮวน พอล วัลเดส

    สงครามโลกครั้งที่ 3 จะเกิดขึ้นจากเหตุการปลงชีพของผู้นำประเทศตะวันออกกลาง สงครามจะถึงจุดสูงสุด เมื่อประเทศตะวันตกทิศเหนือ ไม่อาจยอมทนต่อไปกับการวางระเบิดแบบสละชีพและก่อการร้าย ของชนประเทศตะวันออกลางต่ออธิปไตยของประเทศ

    ที่มา http://www.palungjitrescuedisaster.com/<!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end -->

    หมายเหตุ

    มาบูส ในคำทำนายของนอสตราดามุส ยังมีคนตีความว่าอาจจะหมายถึง นายมาห์มูด อาห์มาดิเนจาด ประธานาธิบดีอิหร่านผู้นี้ด้วย ซึ่งอาจจะเป็นผู้นำตะวันออกกลางที่ถูกลอบสังหาร จนเป็นชนวนเหตุของสงครามโลกครั้งที่ 3 ก็เป็นได้ครับ เพราะเคยมีคนพยายามลอบสังหารมาแล้วครั้งหนึ่งแต่ไม่สำเร็จ

    เกิดเหตุระเบิดลอบสังหารผู้นำอิหร่าน

    5 ส.ค. 2010 ... เกิดเหตุระเบิดลอบสังหารผู้นำอิหร่าน. เกิดเหตุลอบสังหารนายมาห์มูด ... (ตรงตามคำทำนายในคัมภีร์ไบเบิ้ล)<!-- google_ad_section_end -->
    สาสน์ข้อที่ 3 ของแม่พระฟาติมา


    [​IMG]

    อนึ่งผมได้รับเอกสารชิ้นหนึ่งจากคุณ สนธิ สารธรรม จ่าหน้าว่า "สาสน์ข้อที่ 3 ของแม่พระที่ฟาติมา" ผมจะขอคัดข้อความส่วนที่กล่าวถึงการทำนายมาลงในที่นี้ เพื่อเปรียบเทียบกับข้อความชิ้นแรก ที่ผมได้อ้างมาแล้วในตอนต้น

    "หลังจากที่สมเด็จพระสันตปาปายอห์น ปอล ได้ทรงอ่านทำนายข้อที่ 3 แล้วก็เช่นเดียวกันพระองค์ทรงโทมนัสมากจากข้อความในสาสน์นั้น และทรงอนุญาตให้เปิดเผยบางส่วนให้โลกได้รับทราบในปี ค.ศ.1983-1985 พระองค์ทรงทำดังนี้เพราะมีเวลาเหลืออยู่น้อยแล้ว"

    "เสียงจากพระแม่ได้ตรัสกับลูเซียว่า........ลูกที่รักของเราจงไปและบอกให้โลกได้รู้ถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้น หากมนุษย์ไม่ฟังคำสั่งที่พระเป็นเจ้าทรงวางไว้ต่อหน้าพวกเขา ปีศาจจะปกครองโลกและมันกำลังทำให้คนทั้งหลายเกลียดชังกัน อาวุธที่มนุษย์สร้างขึ้นนั้นก็สามารถทำลายโลกได้ในเวลาเพียงนาทีเดียว ครึ่งหนึ่งของมนุษย์ชาติจะถูกทำลาย พระศาสนาจักรเข้าสู่ช่วงเวลาแห่งความชั่วร้าย จนว่าไม่มีมนุษย์สักคนเข้าใจดีกันได้และมนุษย์จะสูญเสียความเชื่อ.......

    แผ่นดินไหวจะทำลายแนวเส้นแบ่งของโลก (เส้นศูนย์สูตรของโลก) ผู้ที่ไม่เชื่อในพระเจ้าจะตาย บุคคลเหล่านี้เป็นพวกที่ชีวิตของเขามีรากฐานอยู่บนวัตถุสิ่งของ คนหลายล้านคนจะเสียชีวิตภายในเวลาไม่กี่วินาที ส่วนพวกที่มีชีวิตรอดก็ปรารถนาให้ตัวเองได้อยู่ในหมู่ผู้ตาย (อยากตาย) สภาพของโลกที่อยู่เบื้องหน้าเรานั้นเป็นสภาพที่ไม่อาจจินตนาการได้ แต่สิ่งนี้จะมาอย่างแน่นอน พระเป็นเจ้าจะทรงลงโทษผู้ที่ไม่ต้องการที่จะยอมรับพระองค์ พวกที่เชื่อและสัตย์ซื่อต่อพระองค์จะมีชีวิตรอดและจะมีความเชื่อเพิ่มมากขึ้น"

    ลูเซีย เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ เธอได้กลายเป็นแม่ชี และเคยกล่าวเอาไว้ว่า

    ".........แม่พระทรงโทมนัสมาก เพราะไม่มีใครสนใจในสาสน์ปี ค.ศ.1917 ของพระแม่ จงเชื่อเถิดว่าการลงโทษกำลังจะมาถึงเร็วๆ นี้ และมีวิญญาณมากมายจะประสบความพินาศ หลายชาติจะหายไปจากโฉมหน้าของโลก ในระหว่างนี้ถ้ามนุษย์กลับตัวกลับใจโลกก็จะปลอดภัย........ถึงเวลาแล้วที่ทุกคนจะเริ่มภาวนา ทำการใช้โทษบาปและส่งสาสน์นี้ให้แพร่หลายต่อไปยังครอบครัวญาติมิตร "

    "การลงโทษจะมาอย่างแน่นอน เมื่อบุรุษผู้หนึ่งซึ่งมีตำแหน่งสำคัญถูกฆาตกรรม เหตุการณ์นี้จะก่อให้เกิดมติที่จะดำเนินการแก้ไขปัญหานั่นคือ กองทัพที่มีพลังมหาศาลจะบุกเข้าสู่ยุโรป แล้วสงครามนิวเคลียร์จะเริ่มขึ้น มันจะทำลายทุกสิ่ง ความมืดจะครอบคลุมโลกเป็นเวลา 72 ชั่วโมง และ 1 ใน 3 ของมนุษย์ชาติซึ่งจะมีชีวิตรอดจากช่วงเวลาแห่งความมืด 72 ชั่วโมงนั้นจะเข้าสู่ ชีวิตในยุคใหม่และเป็นคนดี"

    "ในคืนที่มีอากาศหนาวจัด เมื่อเวลา 10 นาทีก่อนเที่ยงคืน แผ่นดินไหวครั้งใหญ่จะทำให้โลกสั่นสะเทือนเป็นเวลา 8 ชั่วโมง นี่คือสัญญาณที่ 3 ซึ่งแสดงว่าพระเป็นเจ้าทรงเป็นผู้ครอบครองโลก คนดีและผู้ที่ได้เผยแพร่สาสน์ของพระแม่จะไม่ต้องหวาดกลัวเลย จะต้องทำอะไรเล่าจงคุกเข่าและภาวนาวอนขอพระเมตตาจากพระเป็นเจ้า จงอย่าออกไปข้างนอกจงอย่ายอมให้ใครก็ตามเข้าไปในบ้านของท่าน คนดีเท่านั้นจึงจะมีชีวิตรอดจากหายนะครั้งนี้ ส่วนคนชั่วจะตกอยู่ในน้ำมือของปีศาจ "

    แม่ชีลูเซียได้แนะ "ทางรอด" ให้แก่ผู้ที่เตรียมตัวพร้อมเอาไว้ดังนี้ว่า

    " ดิฉันขอให้เครื่องหมายเหล่านี้ คือคืนนั้นจะหนาวมาก ลมจะพัดแรงและในช่วงเวลาอันสั้นโลกจะเริ่มสั่นสะเทือน ที่บ้านของท่านจงปิดหน้าต่างทุกบานและอย่าพูดกับคนหนึ่งคนใดนอกจากคนในบ้าน อย่ามองออกไปภายนอก อย่าอยากรู้อยากเห็น เพราะนี่เป็นพระพิโรธของพระเป็นเจ้า จงจุดเทียนเสกเพราะจะไม่มีแสงสว่างในรูปแบบอื่นส่องแสงได้เป็นเวลา 3 วัน คุกเข่าต่อไม้กางเขนแล้วภาวนา.....

    เมื่อโลกหยุดสั่นสะเทือนแล้วท่านจึงมองออกไปภายนอกได้ แต่อย่าได้แตะต้องหรือนำสิ่งใดก็ตามที่ได้สัมผัสกับสิ่งที่เป็นพิษ มิฉะนั้นตัวท่านจะได้รับพิษนั้นด้วย ทุกคนที่ไม่เชื่อและไม่ฟังจะตาย ลมจะพัดเอาอากาศธาตุ (ก๊าซ) มาและแผ่กระจายไปทั่วโลก ในคืนที่ 3 แผ่นดินจะหยุดสั่นสะเทือน มันจะอยู่ในสภาพนิ่ง ดวงอาทิตย์จะปรากฎมา บรรดาทูตสวรรค์จะมาจากฟ้าและอวยพรแผ่นดินโลกอีกครั้งหนึ่ง "

    (คัดลอกมาจาก หนังสือ เทพอวตาร เขียนโดย ดร.สุวินัย ภรณวลัย)<!-- google_ad_section_end -->
    http://palungjit.org/threads/ประเทศไทยจะเกิดอุบัติภัยอย่างที่ทำนายกันจริงๆหรือไม่.3906/page-1229
     
  19. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ลีลาจบ "บินลาดิน" ?​


    3 พฤษภาคม 2554 - 00:00

    เป็น "สหรัฐอเมริกา" นี่ก็ดีอย่าง คือทำอะไรไม่เคยผิดเลย จะฆ่ากัดดาฟีคนเดียว ส่งเรือบินไปทิ้งระเบิดจนลิเบียพรุนไปทั้งประเทศ ก็ไม่ผิด ส่งเงิน-ส่งคนไปตั้งกองกำลังยึดประเทศเขาเพื่อครอบครองน้ำมัน ก็ไม่ผิด ใช้กองกำลังนาโตถล่มแทนจนชาวบ้านตายยับ-ตายเยิน ก็ไม่ผิด แถมอ้างหน้าตาเฉย นี่คือการปกป้องชีวิตและทรัพย์สินพลเรือน
    แล้วเมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๕๔ ตามเวลาในสหรัฐ โอบามาก็มาในมุกใหม่ แถลงว่า.....
    "ฆ่าบินลาดินได้แล้ว"!
    สหรัฐทำถูกอีกแล้ว.....วุ้ย!
    ดูเหมือนว่าบิ๊กๆ ทั่วโลกจะได้รับการขอร้องให้ "ช่วยกันเชียร์หน่อย" เพื่อสร้างกระแสนำโลกว่า การฆ่าบินลาดินเป็นความถูกต้อง-ชอบธรรม เป็นการช่วยโลกให้เกิดสันติสุขอะไรประมาณนั้น ทั้ง CNN BBC CNBC พาดหัวคาจอ OSAMA BIN LADEN IS DEAD. เย่อกันอยู่ข่าวเดียว ๒๔ ชั่วโมง
    เรียกว่า โลกวันนี้...มีเรื่องเดียวที่ "เป็นข่าว"!
    จากเรื่องนี้ ทำให้รับรู้ทัศนคติ "สังคมอเมริกัน" ชัดเจนขึ้นอย่างหนึ่งคือ ในขณะที่ประเทศสหรัฐเจริญด้วยวิวัฒนาการทางวัตถุและเทคโนโลยีสูงสุด
    แต่ด้านจิตใจ คนอเมริกันยังคงดิบเหมือนเดิม ทัศนคติเดิมๆ เหมือนก่อนจะมารวมกันเป็นชาติสหรัฐอเมริกา คือยังนิยมใช้กำลัง ใช้การฆ่าระงับการฆ่า เหมือนหนังจีนโบราณที่ว่า "เลือดต้องล้างด้วยเลือด"!
    ดังนั้น จึงไม่แปลกที่โอบามา-ประธานาธิบดีแท้ๆ ชิงเอาหน้า-เอาตา ถึงขนาดแย่งหน้าที่ "โฆษกทำเนียบขาว" ออกมาแถลงด้วยตัวเองว่า
    ใช้หน่วยรบพิเศษจู่โจมสังหารบินลาดิน ผู้มีค่าหัว ๒๕ ล้านดอลลาร์สหรัฐ หัวเละตายคาบ้านอันเป็นที่หลบซ่อนใกล้เมืองแอ็บบอตตาบัด ห่างจากเมืองหลวง "กรุงอิสลามาบัด" ของปากีสถาน ไปทางตะวันออกเฉียงเหนือประมาณ ๖๐ กิโลเมตร
    ตามข่าวบอกว่า นอกจากบินลาดินแล้ว ยังมีผู้เสียชีวิตในปฏิบัติการนี้อีก ๔ คน เป็นชาย ๓ หญิง ๑ รวมถึงลูกชายบินลาดินด้วยคนหนึ่ง รายละเอียดคิดว่าท่านคงหาอ่านได้จากข่าวเขย่าโลกแตกอยู่ตอนนี้แล้ว ผมคงไม่ต้องนำมาจาระไนอีก
    ในทันทีที่คนอเมริกันทราบข่าว นับเป็นหมื่นๆ ออกไปรวมตัวกันบริเวณที่ตั้งอาคารเวิลด์เทรดเซนเตอร์ ที่บินลาดินส่งคนไปปฏิบัติการช็อกโลก ขับเรือบินพุ่งชนอาคารแฝด จนมีคนตายไปร่วม ๓,๐๐๐ คน เมื่อ ๑๑ กันยา ๔๔ ต่างกระโดดโลดเต้น ส่งเสียงไชโยโห่ร้อง โบกธงชาติสหรัฐ แสดงความดีใจกันยกใหญ่ที่
    ฆ่าบินลาดินได้แล้ว...
    นี่คือ...ชัยชนะของประเทศสหรัฐอเมริกา!?
    ข่าวบอกด้วยว่า นายกเทศมนตรีนครนิวยอร์กดีใจถึงขนาดออกปาก "การตายของนายบินลาดิน เป็นจุดจบที่นำความสบายใจมาสู่ครอบครัวของผู้เสียชีวิต"
    เอาหละ..ผมก็ดีใจด้วยที่สหรัฐยึดคำว่า "เวรต้องระงับด้วยการจองเวร" สร้างความสุขใจ-สบายใจให้กับคนสหรัฐ ให้กับสังคมโลกด้วยการตามล้าง-ตามฆ่าบินลาดินได้สำเร็จ ความจริงบินลาดินกับสหรัฐก็มิใช่อื่นไกล เป็นพันธมิตร เป็นหุ้นส่วนปฏิบัติการครองโลกย่านตะวันออกกลาง โดยเฉพาะซาอุฯ มาด้วยกัน
    ถึงขั้นผูกเสี่ยว ดื่มน้ำสาบานเป็นญาติ เป็นพี่น้องกับตระกูลบุชด้วยซ้ำ!
    เอาหละครับ...ธรรมชาติสร้างมนุษย์ให้มีหู ๒ หู แต่ในยุคเทคโนโลยีครองโลก ฟังอะไรก็ฟังได้ แต่ควร "ฟังหู-ไว้หู" ก่อน ถึงแม้จะมีการนำภาพใบหน้าศพบินลาดินในสภาพหนวดเคราอาบไปด้วยเลือด เหยเกค้างด้วยความเจ็บปวดมาเผยแพร่ทางสื่อทั่วไปก็ตาม แถลงว่าตรวจดีเอ็นเอแล้วเป็นบินลาดินจริงก็ตาม
    แต่โชว์นี้ "คอปเปอร์ฟีลด์" บอกว่า...เด็กๆ?
    ได้ยินข่าว ศพบินลาดินถูกสหรัฐนำไปทิ้งทะเลแล้วบ้าง นำไปฝังไว้ริมฝั่งทะเลแห่งหนึ่งบ้าง หมายความว่า โลกรับรู้การตายของบินลาดินจากคำแถลงประธานาธิบดีสหรัฐเท่านั้น
    ไม่มีคนภายนอกได้เห็น ได้พิสูจน์ว่า บินลาดินตายจริง และคนที่ตายนั้น ใช่บินลาดินจริง!?
    บินลาดินกับสหรัฐนั้น ในข้อเท็จจริง มีความสัมพันธ์และประสานบทบาททั้งลึกซึ้งและทั้งลึกลับต่อกันมาก่อน หลบซ่อนอยู่ได้ตั้ง ๑๐ ปี ในขณะที่สหรัฐมีเทคโนโลยีหยั่งรู้ดินฟ้ามหาสมุทร มองทะลุโลก ทะลุแผ่นดิน ไม่ว่าใคร-อะไรอยู่ตรงไหน ถ้าต้องการทราบสแกนหาแพล็บเดียวก็เจอ ดูอย่าง "ซัดดัม" มุดดินอยู่เป็นดักแด้ เอาเครื่องมือแหย่ๆ ก็เจอตัว
    แต่กับบินลาดิน เป็นสิบปี แหย่ไม่เจอซักที!?
    กับซัดดัม สหรัฐไม่ฆ่า แต่นำตัวไปขึ้นศาล ยืมมือศาลฆ่าแทน ทั้งการฆ่าและศพ สหรัฐเปิดเผยให้คนทั้งโลกเห็น และได้พิสูจน์ว่าเป็นอดีตประธานาธิบดีซัดดัมแห่งอิรักจริง
    แล้วทำไมล่ะ กับบินลาดิน ท่ามกลางคะแนนนิยมที่ตกต่ำของโอบามา ท่ามกลางการเพ่งเล็งของหลายๆ ประเทศว่าใช้อำนาจไม่ชอบธรรม เข้าไปแทรกแซงกิจการภายในของประเทศอื่นชนิดมีประโยชน์แอบแฝง ในความเจ๋งแต่พูด เจ๊งในการทำหลายๆ อย่าง แล้วจู่ๆ โอบามาก็กลายเป็นฮีโร่ ด้วยข่าว
    ฆ่าบินลาดินได้แล้ว....
    แล้วไหนล่ะ "ศพบินลาดิน"?
    ทำไมเพิ่งมาเก่ง เพิ่งมาค้นหาที่หลบซ่อนพบล่ะ ถ้าสังหารได้จริง มันควรจะนำศพมาดีแคลร์ต่อสังคมโลก เพื่อความเป็นฮีโร่ที่ขาวสะอาด ที่ปราศจากข้อเคลือบแคลงสงสัย เหมือนกรณีซัดดัม จริงไหม?
    หรือนี่คือ "ละครโลกฉากสุดท้าย" ส่งบินลาดินขึ้นไปดังด้วยเป้าหมายหนึ่งแล้ว เมื่อถึงตาจำเป็นก็ให้ "บินลาดิน-ดับ" หายไปจากโลกนี้ ชนิดที่ตอนมีชีวิตอยู่ก็ไม่มีใครเห็น และตอนตายก็ไม่มีใครเห็นอีกเหมือนกัน นอกจาก....
    สหรัฐคนเดียว!?
    สรุปแล้ว "บินลาดิน" มีตัวตนหรือเปล่า หรือแค่ฉากหนึ่งของ "คอปเปอร์ฟีลด์" เท่านั้น?
    ขนาดประธานาธิบดีลินคอล์น ประธานาธิบดีเคนเนดี แม้กระทั่งมหาตมะ คานธี ซึ่งเป็นตัวแทนแห่งความรัก ความดีที่คนทั้งโลกยกย่อง เมื่อท่านถูกยิงสิ้นชีวิต ร่างของท่านยังถูกนำมาให้ประชาชนได้คารวะ ได้พิสูจน์ด้วยตาว่า...ใช่
    แต่บินลาดิน บทบาทในสายตาโลก และภาพพจน์ที่ชาวโลกประทับรับรู้คือ ตัวแทนแห่งความเกลียดชัง ตัวแทนแห่งความเลวร้ายในด้านทำลายล้าง แล้วทำไมล่ะ....เมื่อตาย จะต้องถนอม หวงแหน ปกปิด ซุกซ่อนแบบลุกลี้-ลุกลน ไม่ยอมนำมาให้ผู้คนได้เห็น ได้สาปแช่งให้สมกับที่ชิงชัง และที่สำคัญ
    จะได้สบายใจกันจริงๆ ว่า....ใช่บินลาดินของแท้!
    ผมก็พูดให้หายคันใจบ้างเท่านั้น บินลาดินจะอยู่-จะตาย ไม่เกี่ยวกับผม และที่สำคัญ ใช่ว่าบินลาดิน คือสัญลักษณ์ "สงคราม-สันติภาพ" ของโลกวันนี้ ถึงตายไปจริงอย่างที่สหรัฐต้องการให้เชื่อ ก็ไม่มีอะไรค้ำประกันได้ว่า เมื่อสิ้นบินลาดิน ขบวนการก่อการร้ายของโลกจะสิ้นไปด้วย?
    ถ้าพูดถึงก่อการร้าย โดยใช้การทำลายล้างและการแทรกซึมเป็นตัวกำหนด ใช่ว่าอย่างบินลาดินทำเท่านั้นเป็นการก่อการร้าย มองจากอีกมุมหนึ่ง และใช้ความรู้สึกนึกคิดของคนอีกส่วนหนึ่งเป็นที่ตั้ง เขาก็อาจพูดได้ว่า
    อย่างที่สหรัฐ-ฝรั่งเศส-อังกฤษทำ ที่ยูเอ็น ที่ยูเอ็นเอสซี ที่นาโตทำอยู่เวลานี้ ทั้งที่ตะวันออกกลาง ที่แอฟริกาเหนือ นั่นก็คือการก่อการร้ายรูปแบบหนึ่ง ในทัศนคติของเขา!
    โลกนับวันจะซับซ้อนในพฤติกรรมที่สนองตัณหาขึ้นไปเรื่อยๆ ด้วยทัศนคติสังคมตะวันตกที่ใช้หลัก "เวรระงับด้วยการจองเวร" จึงไม่น่าแปลกใจที่สังคมโลกคาดหมายว่าสู่ศตวรรษใหม่ สังคมโลกซีกตะวันตกจะเข้าสู่มุมมืด ในขณะเดียวกัน สังคมโลกซีกตะวันออกจะเปิดรับแสงด้วย "วิถีบูรพา"
    วิถีบูรพา คือมนุษย์ในซีกโลกที่ยึดถือคุณธรรม-น้ำใจ ใช้ศาสนาเป็นหลักยึดใจ เมตตา-กตัญญู-อภัย ให้สติต่อกัน ระงับเวรด้วยการไม่ผูกเวร กรรมเก่าชดใช้ กรรมใหม่ไม่ก่อ
    ใครทำกรรมอย่างใดไว้ ก็เป็นผู้รับผลของกรรมนั้น ในเมื่อสหรัฐยึดคติ "ถูกฆ่าก็ต้องฆ่าตอบ" ฉะนั้น เมื่อ "ฆ่าตอบ" บินลาดินสำเร็จแล้ว สหรัฐก็ต้องรับการผูกแค้นจากขบวนการ "อัลกออิดะห์" เพื่อสหรัฐจะต้อง "ถูกฆ่าตอบ" ต่อเนื่องเป็นลูกโซ่กันไปอย่างนี้ไม่สิ้น-ไม่สุด
    "บินลาดิน" ถูกสหรัฐใช้วิธี "ฆ่าตอบ"

    เครดิต คุณตีโฉบฉวย
     
  20. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    พระธิเบตกล่าว"เห็นเอเลี่ยนปกป้องโลกจากสงครามนิวเคลียร์ปี 2012"<!-- google_ad_section_end -->
    <HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- google_ad_section_start --><SCRIPT type=text/javascript><!--google_ad_client = "ca-pub-2576485761337625";/* 336x280 */google_ad_slot = "0551074580";google_ad_width = 336;google_ad_height = 280;//--> </SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js" type=text/javascript> </SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/js/r20110427/r20110427/show_ads_impl.js"></SCRIPT>
    จากเว็บ : Tibetan Monks See Aliens Saving Earth From Humans In 2012!, page 1

    เป็นการโพสต์ของนาย Mike Singh ชาวฮินดู


    พูดตรงๆผมไม่รู้ว่าจะทำยังไงกับเรื่องนี้ ที่พระทิเบตผู้ได้รับการกล่าวถึงว่าเป็นผู้มีความสามารถ'ในการนั่งทางใน' ได้มองเห็นว่า ETs จะช่วยปกป้องโลกจากหายนะที่จะมาถึงในปี 2012


    ตามที่ผู้มีญาณทัศนะเหล่านั้นได้เห็นมหาอำนาจกำลังนำพาโลกไปสู่ภาวะการทำลายล้างตนเอง นอกจากนี้ยังเห็นว่าโลกจะไม่ถูกทำลาย ตั้งแต่บัดนี้(โพสต์ปี 2008)จนถึงปี 2012 ชาติมหาอำนาจจะยังคงร่วมในสงครามในระดับภูมิภาค การก่อการร้ายและสงครามแอบแฝงจะเป็นปัญหาหลัก ในโลกของการเมืองจะเกิดเหตุการณ์สำคัญประมาณปี 2010 ในขณะที่ชาติมหาอำนาจต่างข่มขู่ที่จะทำสงครามกัน

    ในระหว่าง ปี2010 ถึง 2012, โลกทั้งโลกจะได้รับข่าวสารและเตรียมการสำหรับวันสิ้นโลก มีการซ้อมรบทั่วโลก และมีการเจรจาที่ได้ผลเพียงเล็กน้อย


    ในปี 2012 โลกจะเริ่มเข้าสู่สงครามนิวเคลียร์ทำลายล้างอย่างรวดเร็ว การตีความจากคำกล่าวของงพระทิเบตนี้ ทำให้เห็นว่า มนุษ์ต่างดาวกำลังจับตาดูการกระทำของมนุษย์โลกทุกขั้นตอน พวกเขาจึงจะแทรกแซงในปี 2012 และช่วยโลกจากการทำลายล้างกันของมนุษย์โลก



    เมื่อถามว่ามนุษย์พิเศษเหล่านี้ จะปรากฏขึ้นในปี 2012 จริงหรือไม่
    คำตอบได้ที่จากผู้มีฌานคือ พวกเขาจะเปิดเผยตัวเองในโดยที่พวกเราไม่ได้แสดงความหวาดกลัว พวกเขาจะเปิดเผยตัวเองเท่าที่จำเป็น และเมื่อวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของเราพัฒนามากขึ้น พวกเราจะต้องการเห็นพวกเขาและติดต่อสื่อสารกับพวกเขาต่อไป



    ตอนนี้เชื่อมต่อกับวันที่แพร่หลายนี้ของปี 2012 คือการเชื่อมต่อน่าพิศวงระหว่างปฏิทินมายันและพยากรณ์ฮินดู แต่โบราณของสองวัฒนธรรมที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกันคือ เมื่อผ่านพ้น วัฏจักร 5,000 ปี โลกเราก็จะกลับเข้าสู่ยุคทอง
    ต่อไป


    ดื่มให้กับยุคศิวิไลซ์ที่กำลังจะมาถึง Cheers ! :cool:

    http://palungjit.org/threads/พระธิเบตกล่าว-เห็นเอเลี่ยนปกป้องโลกจากสงครามนิวเคลียร์ปี-2012-a.290551/


    <!-- google_ad_section_end -->
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...