PRAKRUENG 003 @ ตลาดนัดพระเครื่อง ถูกๆ @

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย prakrueng, 10 มิถุนายน 2014.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. prakrueng

    prakrueng เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    14,063
    ค่าพลัง:
    +1,867
    1291g พระโมคคัลลาน์-สารีบุตร หลวงพ่อกวย วัดโฆษิตาราม เนื้อผงใบลาน ขนาดพระ 2.5 x 3.5 ซม. ราคา 450 บาท ค่าส่ง 50 บาท/ครั้ง


    หลวงพ่อกวย ชุตินฺธโร มีนามเดิมว่า กวย ปั้นสน เกิดเมื่อวันที่ ๒ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๔๘ ปีมะเส็ง ณ หมู่บ้าน บ้านแค หมู่ ๙ ต.บางขุด อ.สรรคบุรี จ.ชัยนาท เป็นบุตรของคุณพ่อ ตุ้ย ปั้นสน ซึ่งบ้านเดิมอยู่วิเศษชัยชาญ จ.อ่างทอง มารดาชื่อคุณแม่ต่วน เดชมา เป็นคนบ้าน แค ท่านทั้งสองมีบุตรและธิดาด้วยกัน ๕ คน

    คนที่ ๑ ชื่อนายตุ๊ ปั้นสน (ถึงเเก่กรรม)

    คนที่ ๒ ชื่อนายคาด ปั้นสน (ถึงเเก่กรรม)

    คนที่ ๓ ชื่อนายชื้น ปั้นสน (ถึงเเก่กรรม)

    คนที่ ๔ ชื่อนางนาค ปั้นสน (ถึงเเก่กรรม)

    คนที่ ๕ พระกวย ชุตินฺธโร (มรภาพเเล้ว)

    เด็กชายกวย เมื่อโตขึ้นมา โยมบิดาได้ส่งมาเรียนหนังสือกับหลวงปู่ขวด วัดบ้านแค หลังจากหลวงปู่ขวดก็มรณภาพ บิดามารดาจึงได้นำเด็กชายกวยมาเรียนหนังสือขอมต่อกับอาจารย์ดำ วัดหัวเด่น ซึ่งใกล้ ๆ กับวัดบ้านแค หลังจากนั้นก็มาช่วยทางบ้านประกอบอาชีพ ทำไร่ไถนาตามประสาอาชีพของทางครอบครัว

    อุปสมบท

    ต่อมาเมื่อครบอายุบวช จึงเข้าอุปสมบท โดยมีพระอุปัชฌาย์ คือ พระชัยนาทมุนี มีหลวงพ่อปา วัดโบสถ์ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ เเละพระอาจารย์หริ่งเป็นอนุสาวนาจารย์ เมื่อวันที่ ๕ เดือนกรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๖๗ เวลา ๑๕ นาฬิกา๑๗ นาที อายุ ๒๐ ปี ณ วัดโบสถ์ ต.โพธิ์งาม อ.สรรคบุรี จ.ชัยนาท มีฉายาว่า ชุตินฺธโร แปลว่า "โลกนี้มีแต่ความวุ่นวายของโลก หนักไปด้วยกิเลส ตัณหาคือ โลภ โกรธ หลง ทั่งสิ้น ถ้าท่านผู้ใดตัดกิเลส ตัณหาได้ก็จะถึงซึ่งฝั่งพระนิพพาน"

    วิชาการเเหล่เเละเทศน์

    เมื่ออุปสมบทแล้วก็มาจำพรรษาอยู่ที่วัดบ้านแค ตอนนั้นหลวงปู่มา เป็นเจ้าอาวาสอยู่ พระกวย ชุตินฺธโร จึงหัดเทศน์เวสสันดรชาดก กันฑ์กุมาร, ทานกัณฑ์ ท่านชอบเทศน์แหล่หญิงหม้ายซึ่งกล่าวถึงพระนางมัทรี ตอนที่องค์พระเวสสันดร ถูกเนรเทศออกนอกเมือง ไปบวชอยู่ในป่า หลักฐานในเรื่องนี้คือใบลานเทศน์ต่างๆที่หลวงพ่อเก็บรักษาไว้ เเละบางอันท่านได้ประทับตราสิงห์ชูคอเอาไว้ บางอัน หลวงพ่อเขียนไว้ว่า พระกวยสร้างถวาย หรือพระกวยสร้างส่วนตัวหลังจากนั้นหลวงพ่อได้ไปเรียนวิชาแพทย์โบราณกับหมอเขียน เพื่อเรียนวิชารักษาโรคระบาด หรือโรคห่าเเละ โรคไข้ทรพิษ

    เรียนวิชากับหลวงพ่อศรี วัดพระปรางค์

    ต่อมาในวันที่ ๑๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๒ ท่านได้มาอยู่ที่วัดวังขรณ์ ต.โพธิ์ชนไก่ ๒ พรรษา ในพรรษาต่อมาได้เรียนธรรมโท แต่พอสอบไล่ เป็นไข้ไม่สบายเลยไม่ได้สอบ จึงมาคิดได้ว่าปริยัติธรรมก็เรียนมาพอสมควร จึงอยากจะเรียนวิปัสสนากรรมฐานและอาคมตลอดจนวิธีทำเครื่องรางของขลัง จึงได้เดินทางไปเรียนวิชากับหลวงพ่อศรี วิริยะโสภิต แห่งวัดพระปรางค์ จ.สิงห์บุรี หลวงพ่อได้เรียนวิชาทำแหวนนิ้ว ซึ่งแหวนนิ้วของหลวงพ่อศรี วัดพระปรางค์ ใต้ท้องวงจะตอกตัวขอมอ่านว่าอิติ ของหลวงพ่อกวยก็เช่นกันและท่านยังได้ได้เรียนวิชาอีกหลายอย่าง กับหลวงพ่อศรีนี้ หลวงพ่อกวยได้ ยันต์เเรกที่หลวงพ่อสำเร็จเเละท่านมั่นใจในยันต์นี้มาก นั่นคือ ยันต์มงกุฎพระเจ้า ซึ่งหลวงพ่อมักใช้ปลุกเสกพระเเละเครื่องรางต่างๆ ท่านมั่นใจในยันต์นี้มากเเละได้ใช้ยันต์นี้ลงในหลังเหรียญรุ่นเเเรกของท่าน โดยบรรจุยันต์นี้ครบสูตร เเละท่านยังได้ทำเป็นตรายางเพื่อประทับผ้ายันต์เเละรูปถ่ายบางรุ่น คือมีความหมายทางคุ้มครองเเละช่วยเสริมดวง จนกลายมาเป็นชื่อยันต์เสริมดวงที่เรียกกันนั่นเองนอกจากนี้ ตามที่ได้ข้อมูลว่า ยันต์เเละคาถานะโมตาบอด หลวงพ่อก็ได้มาจากหลวงพ่อศรี ยันต์นี้ นอกจากใช้จารเครื่องรางเเล้ว ท่านยังใช้บรรจุที่หลังเหรียญรุ่นสองของท่าน หลังจากเล่าเรียนกับหลวงพ่อศรี ท่านก็มาจำพรรษาอยู่วัดหนองตาแก้ว ต.โคกช้าง อ.เดิมบางนางบวช จ.สุพรรณบุรี ที่วัดตาแก้วนี้ หลวงพ่อได้ปลูกต้นสมอไว้ ๑ ต้น ปัจจุบันยังอยู่ หลวงตาสมาน เคยไปอยู่วัดหนองตาแก้ว ได้นำไก่แจ้เอาไปนอนบนต้นสมอ ปรากฏว่าไก่ไม่ยอมนอน ไม่ทราบว่าหลวงพ่อได้ลงวิชาอะไรไว้ ทั้ง ๆ ที่หลวงพ่อ เพิ่งอายุ ๒๘ ปี พรรษาได้ ๘ พรรษา แสดงว่าหลวงพ่อเป็นผู้มีอาคมตั้งแต่ยังเป็นพระหนุ่มๆต้นสมอที่หลวงพ่อลงอาคมนี้ ปัจจุบันยังอยู่เเละไม่มีใครกล้าไปตัดหรือทำอะไร เพราะกลัวอาถรรพ์ เคยมีพระบางรูปขึ้นไปตัด เเต่ก็ต้องเจอกับอาถรรพ์จนเสียชีวิตมาเเล้ว

    ตำราในโพรงไม้

    ต่อมา ในวันที่ ๑ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๗ ได้มาจำพรรษาที่วัดหนองแขม ต.ดงคอน อ.สรรคบุรี จ.ชัยนาท อีก ๑ พรรษา ได้เรียนแพทย์แผนโบราณต่อกับโยมป่วน บ้านหนองแขม และเรียนแพทย์แผนโบราณต่อกับหมอใย บ้านบางน้ำพระ ในขณะที่พักจำพรรษาที่วัดหนองแขม ได้มีเพื่อนภิกษุชื่อ แจ่ม ได้เดินทางท่องเที่ยว ไปพบตำราเป็นสมุดข่อยอยู่ในโพรงไม้ แต่เอามาไม่ได้ เพราะตำรานั้นมีอาถรรพณ์แรงมาก คล้ายมีเทพและเทวดารักษา จึงได้มาชักชวนพระกวยให้ไปดู ปรากฏว่ามีตำราอยู่โพรงไม้จริง มีรอยคนเอาพวงมาลัยดอกไม้ ธูปเทียนมาบูชาใต้โคนไม้ พระภิกษุกวย จึงได้จุดธูปบอกเล่าและอธิษฐานว่า "ถ้าจะให้ข้าพเจ้าเอาตำรานี้ไปเก็บรักษาไว้ ขอธูปที่จุดนี้ให้ไหม้ให้หมดดอก" แต่ปรากฏว่าธูปได้ไหม้ไม่หมด พระภิกษุกวยจึงได้เสี่ยงสัตย์อธิษฐานขึ้นมาใหม่ว่า "ถ้าหากว่าท่านจะให้ตำรานี้ให้ข้าพเจ้าเอาไปเก็บรักษาไว้ ข้าพเจ้าจะนำเอาตำรานี้ไปทำประโยชน์แก่วัดและช่วยเหลือ ประชาชนเท่านั้น" แล้วก็จุดธูปขึ้นเป็นครั้งสุดท้ายปรากฏว่าธูปได้ไหม้หมดทั้ง ๓ ดอก หลวงพ่อจึงได้กรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้เจ้าของตำราและอัญเชิญเอาตำรานั้นมาเก็บไว้ เกี่ยวกับตำรานี้ มีคำร่ำลือกันว่า ก่อนหน้านั้นมีคน ๆ หนึ่งได้นำตำราชุดนี้มาเก็บไว้ในบ้าน ได้เกิดเหตุวิบัติ เจ็บไข้ล้มตาย จึงเอาตำราชุดนี้มาทิ้งไว้ที่ดังกล่าว พระภิกษุกวย เมื่อได้ข่าวดังนั้นก็มาเปิดตำราดู ก็ปรากฏว่ามีลายลักษณ์อักษรบอกไว้ในตำราว่า ตำรานี้ห้ามเอาไปไว้บ้านใคร ๆ ทั้งสิ้น มิฉะนั้นจะฉิบหาย ท่านจึงได้ศึกษาตำรายันต์และคาถาจากตำราเล่มนี้ ปัจจุบันตำราเล่มนี้ยังอยู่ที่วัด หน้าปกเขียนว่า “ครูแรง” ด้วยสีแดง นับว่าหลวงพ่อกวยท่านเป็นพระที่ได้ตำราเเบบเเปลกกว่าพระอื่นๆทั่วไป ส่วนพระภิกษุเเจ่มที่เป็นคนพาหลวงพ่อไปเอาตำรานี้ภายหลังได้สึกเเละผันชีวิตไปเป็นอ้ายเสือ เรื่องตำรายันต์ที่หลวงพ่อคัดลอกและเรียนมานี้ ปัจจุบันบางส่วนยังอยู่ที่วัด บางส่วนอยู่ที่ศิษย์หลวงพ่อหลายๆท่าน เช่นที่อาจารย์เหวียน มณีนัย บ้านท่าทอง ต.ปากน้ำ อ.เดิมบาง จ.สุพรรณบุรี อยู่ที่วัดท่าทอง อยู่ที่อาจารย์โอภาสหรือ(มรณภาพเเล้ว) วัดซับลำใย จ.ลพบุรี อยู่ที่อาจารย์แสวง(มรณภาพเเล้ว) วัดหนอง อีดุก อ.สรรคบุรี จ.ชัยนาท ตำราเก่า สมุดบันทึก ตลอดจนของเก่าๆที่หลวงพ่อเก็บไว้ บางอย่างท่านจะห่อปกด้วยกระดาษ เเละมักจะเขียนว่าห้ามทำสกปรก จะจับถือให้เบามือ เเสดงว่าหลวงพ่อท่านเป็นคนรักของเเละมีระเบียบ หลวงพ่อไม่หวงของเเต่ไม่ชอบให้ทิ้งขว้าง ตำรายาเเละเลขยันต์ต่างๆ ที่ท่านได้จดบันทึกไว้ บางเล่มท่านจะเขียนหน้าปกไว้ ว่า ห้ามหยิบ ห้ามจับ ครูเเรง บางเล่มจะเขียนสั่งว่า เปิดดูจุกตาย เป็นต้น

    เรียนวิชากับหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ

    เมื่อหลวงพ่อออกจากวัดหนองแขมแล้ว ได้ไปจำพรรษาที่วัดบางตาหงาย อ.บรรพตพิสัย จ.นครสวรรค์ ได้มาเรียนวิชากับหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ ได้เรียนวิชาทำ แหวนแขน, ตะกรุด, มีดหมอ และอื่นๆ ศิษย์ร่วมรุ่นของหลวงพ่อที่เป็นที่รู้กันคือ หลวงปู่พิมพา วัดหนองตางู อ.บรรพตพิสัย จากคำบอกเล่าจากพระภิกษุแบนและพระหลวงตา ตลอดจนศิษย์รุ่นเก่าได้พูดตรงกันว่า หลวงพ่อกวยตอนที่อยู่ที่วัดก็เป็นพระที่มีอาคมเหมือนพระทั่ว ๆ ไป แต่เมื่อท่านกลับมาจากเรียนวิชาจากเมืองเหนือ (หมายถึง นครสวรรค์) เมื่อท่านกลับมาท่านเก็บตัว พูดน้อย มีจิตมหัศจรรย์ วาจาสิทธิ์ เรื่องที่หลวงพ่อไปเรียนวิชามากับหลวงพ่อเดิมนี้ มีหลักฐานคือมีรูปถ่ายของหลวงพ่อเดิม มีจารด้วย เป็นรูปถ่ายพรรษาท้ายๆของหลวงพ่อเดิมลายมือ พบในกุฏิของหลวงพ่อ หลักฐานอีกอย่างหนึ่งคือ ลุงหล่อน คนสักยันต์แทนหลวงพ่อ ตอนนั้นลุงหล่อนได้ทำบุญเเละได้รูปหลวงพ่อเดิมมาสองรูปกับเเหวนหลวงพ่อเดิมหนึ่งวง รูปนั้นเป็นรูปหลวงพ่อเดิมพรรษาท้ายๆ อีกรูปเป็นรูปหลังเเววหางนกยูง ข้อมูลจากลุงหล่อน ได้กรุณาเล่าว่า สมัยนั้นเดินไปกับหลวงพ่อ ตอนนั้นลุงยังหนุ่มๆอายุยี่สิบเศษๆ เดินเท้าจากบ้านเเคไปตาคลี ใช้เวลาหนึ่งวัน ไปค้างที่วัดหนองโพสามคืน ลุงหล่อนได้คุยเเละนวดให้หลวงพ่อเดิมด้วย ลุงบอกว่าหลวงพ่อเดิมนั้นใจดี มีเมตาตามาก หลวงพ่อกวยเคยขอเรียนวิชาทำทอง เล่นแร่แปรธาตุ แต่หลวงพ่อเดิมไม่สอนให้ ท่านจึงเรียนมาเท่านั้น

    การสักยันต์

    ต่อมาเมื่อช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง หลวงพ่อกลับมาอยู่วัดบ้านแค หลวงพ่อได้ทำการสักให้ศิษย์ มีชื่อเสียงโด่งดังมาก ขนาดสักกันทั้งกลางวันกลางคืน ทางเดินสมัยก่อนต้องเดินเท้าเอา ลำบากมาก อย่างดีก็ขี่จักรยาน รถ ๒ แถว มีเข้าวัด ๑ คัน ออก ๑ คัน เท่านั้น มีศิษย์สักมาก ได้จดบัญชีไว้ ๔ หมื่น ๔ พันคน ต่อมา หลวงพ่อเห็นว่าสมควรแก่เวลา หลวงพ่อได้หยุดสัก เปลี่ยนมาทำพระเเละแต่เรื่องรางของขลัง เช่น ตะกรุด, มีดหมอ, แหวนแขน เป็นต้น ช่วงนั้น ข้าวยากหมากเเพง โจรร้ายเต็มบ้านเมือง โดยเฉพาะ เเถวภาคกลางตอนล่าง เเถบนครสวรรค์ ชัยนาท อ่างทอง สุพรรณบุรี เป็นเเหล่งกบคานของก๊กเสือร้ายหลายกลุ่ม ชาวบ้านเเคก็ได้อาศัยบารมีหลวงพ่อเพื่อคุ้มครองครอบครัวเเละทรัพย์สิน ของมีค่าต่างๆ ก็จะเอามาฝากหลวงพ่อที่วัด ลูกเมียก็จะมาขอนอนที่วัดเพราะกลัวโจรฉุด วัวควายก็พากันเอามาผูกในลานวัด จากคำบอกเล่าของคนเก่าๆที่บ้านเเค เล่าว่า พวกโจร เสือต่างๆไม่มีใครกล้ากับหลวงพ่อ มีอยู่รายนึงเป็นเสือมาจากอ่างทอง พาสมุนล้อมวัดบ้านเเคตอนกลางคืน เห็นว่าวัวควายของชาวบ้านที่ลานวัดมีเยอะมาก เเต่ก็โดนตะพดหลวงพ่อจนต้องรีบพาสมุนกลับเเละก็ไม่มาเเถวบ้านเเคอีกเลย เขาว่าในสมัยนั้นเมื่อเสือ เดินผ่านวัดหลวงพ่อ ต้องยิงปืนถวายทุกครั้ง

    ผลงานทางศาสนา

    หลวงพ่อไม่ชอบการก่อสร้าง ชอบความเป็นอยู่แบบสมถะ แม้กุฏิของหลวงพ่อก็เป็นไม้ทรงไทยโบราณ แต่การก่อสร้างนั้น หลวงพ่อยกหน้าที่ให้กรรมการวัด แม้การก่อสร้างก็ให้กรรมการวัดและชาวบ้านทำ ยกเว้นส่วนที่ยากจึงจ้างช่างทำ ฉะนั้น ทางวัดจึงมีแต่กุฏิเก่า ๆ ที่สร้างใหม่ก็มีมีแต่พระอุโบสถ, ศาลาทำบุญ กุฏิชุตินฺธโร ที่ศิษย์สร้างถวายเท่านั้น เกี่ยวกับพระอุโบสถนั้น ศิษย์หลวงพ่อ โยมเช้า เเผ้วเกตุ ซึ่งมีศักดิ์เป็นตาของท่านเจ้าอาวาสวัดโมสิตารามรูปปัจจุบัน เล่าว่า สมัยก่อนได้ไปกับหลวงพ่อ ไปหาอิฐเก่าๆตามวัดร้าง โดยใช้เกวียนขน เพื่อมาทำฐานพระอุโบสถ นอกจากนี้คนในตระกูลยิ้มจูบางท่าน ซึ่งมีศักดิ์เป็นเหลนของหลวงพ่อ ได้เล่าให้ฟังว่า เคยมาช่วยหลวงพ่อถมดินรอบพระอุโบสถ เวลาไปช่วยงาน หลวงพ่อจะเเจกพระให้ทุกครั้ง

    สมณศักดิ์

    วันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๑๑ ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระครูชั้นประทวน และมรณภาพเมื่อวันที่ ๑๒ เมษายน พ.ศ. ๒๕๒๒ อายุ ๗๔ ปี ๕๔ พรรษา ด้วยอาการสงบ ก่อนหน้านี้ ในปี พ.ศ. ๒๕๒๑ หลวงพ่อได้เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลพญาไท หมอได้วินิจฉันโรค ว่าหลวงพ่อเป็นโรคขาดอาหารมาเป็นเวลา ๓๐ ปี ได้ให้สารอาหารประเภทโปรตีนกับหลวงพ่อ เป็นเวลาถึง ๑ เดือน ก็ยังไม่เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย อยู่โรงพยาบาลได้ไม่นาน ก็กลับวัด เมื่อกลับวัดหลวงพ่อก็ยังได้ฉันอาหารเพียงวันละ ๑ ครั้ง เช่นเดิม โดยไม่เปลี่ยนความตั้งใจ หลวงพ่อยังคงคร่ำเคร่งในการสร้างและปลุกเสกวัตถุมงคล

    มรณภาพ

    ในเดือนมีนาคม พ.ศ. ๒๕๒๒ หลวงพ่อได้วงปฏิทิน วันที่ท่านเริ่มเจ็บเอาไว้ด้วยสีน้ำเงิน และวงปฏิทิน วันที่ท่านมรณภาพเอาไว้ด้วยตัวหนังสือสีแดง คือวันที่ ๑๑ มีนาคม และ ๑๑ เมษายน ๒๕๒๒ พร้อมทั้งเขียน พระคาถา นะโมตาบอด ให้ไว้เป็นคาถาแคล้วคลาดและกำบัง หลวงพ่อเขียนว่า "อาตมาภาพพระกวย " นะตันโต นะโมตันติ ตันติ ตันโต นะโม ตันตัน" จะมรณภาพ วันที่ ๑๑ เมษายน เวลา ๗ นาฬิกา ๕๕ นาที" พอวันที่ ๑๑ มีนาคม หลวงพ่อก็ล้มป่วย ไม่มีโรคอะไร เพียงแต่ไม่มีกำลัง ฉันอาหารไม่ได้ ไม่ยอมไปโรงพยาบาล มีอาการไข้แทรก ฉันอาหารแทบไม่ได้เลย ไม่มีรสชาติ บางครั้งท่านพ่นข้าวออกจากปาก ไม่ยอมฉัน แล้วหยิบแผ่นตะกรุดขึ้นมาจาร บางครั้งก็จับสายสิญจน์ ปลุกเสกวัตถุมงคล กลางคืนก็จับสายสิญจน์ปลุกเสกวัตถุมงคล บางคืนถึงสว่าง ร่างกายของท่านปกติก็ผอมมากอยู่แล้วกลับผอมหนักเข้าไปอีก วันที่ ๑๐ เมษายน กลางคืนมีศิษย์มาเฝ้าท่านเต็มไปหมด ตอนเช้ายิ่งมาก เพราะท่านจะมรณภาพ แต่ท่านก็ไม่มรณภาพ ท่านผอมมากมีแต่หนังหุ้มกระดูก มีแต่ประกายตาที่สดใสเท่านั้น จนกระทั่งตกกลางคืนท่านก็ไม่มรณภาพ ค่อนสว่างวันที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๒๒ ทางกรรมการวัดและศิษย์ใกล้ชิดได้ประชุมปรึกษากันว่า สงสัยในกุฏิท่านจะลงอาถรรพณ์เอาไว้ ตลอดจนตำราอักขระเลขยันต์ ตลอดจนรูปครูบาอาจารย์ คงจะไม่มีใครกล้ามารับท่านแน่ อยากเห็นท่านไปดี จึงปรึกษากัน นำท่านออกมาที่หอสวดมนต์ เมื่อเตรียมที่เสร็จเรียบร้อยแล้ว อุ้มท่านมาจำวัดที่เตียงที่หอสวดมนต์ ท่านลืมตาขึ้นเป็นการสั่งลา ครั้งสุดท้าย แล้วหลับตาพนมมือเกิดอัศจรรย์ ระฆังใบใหญ่ที่หอสวดมนต์ได้ขาดตกลงมา ดังหง่าง ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ดังยาวนาน ศิษย์ที่อยู่ศาลาเข้าใจว่าท่านมรณภาพแล้ว จึงได้ตีระฆัง คือคาดว่ามีคนตีระฆัง เมื่อจับเวลาดู เป็นเวลา ๗ นาฬิกา ๕๕ นาที จับชีพจรท่านดู ปรากฏว่าท่านมรณภาพแล้ว ตรงกับวันที่ ๑๒ เมษายน ซึ่งวันที่ ๑๓ เมษายน เป็นวันขึ้นปีใหม่ของคนไทยโบราณ ปัจจุบันทางวัดเเละเหล่าบรรดาศิษย์หลวงพ่อจึงยึดเอาในวันที่ ๑๒ เมษายนของทุกปี เป็นวันทำบุญ ประจำปีเพื่ออุทิศและระลึกถึงหลวงพ่อ จบประวัติของหลวงพ่อคร่าวๆเเต่เพียงเท่านี้ ขอให้หลวงพ่อคุ้มครองทุกท่านให้มีแต่ความสุขความเจริญ ชีวิตไม่ตกต่ำเหมือนกับคำพรของหลวงพ่อ ที่เคยให้ไว้

    "ขอศิษย์ทั้งหลาย จงอย่าอด อย่าอยาก อย่ายาก อย่าจน อย่าต่ำกว่าคน อย่าจนกว่าเขา"

    หมายเหตุ ข้อมูลต่างๆ เเกัไขเเละดัดเเปลงจาก ข้อมูลของเก่าครูสมจิต(เฒ่า สุพรรณ)ที่เขียนไว้ในหนังสือนะโมเเละหนังสืออิทธิปาฎิหารย์หลวงพ่อกวยเล่มเเดงที่เขียนโดยครูสมจิต เเละจากการบอกเล่าของศิษย์รุ่นเก่าของหลวงพ่อ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. prakrueng

    prakrueng เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    14,063
    ค่าพลัง:
    +1,867
    1292g พระผงรูปเหมือนหลวงพ่อสาย วัดบางรักใหญ่ นนทบุรี รุ่นแรก ขนาดพระ 1.6 x 2.5 ซม. ราคา 550 บาท ค่าส่ง 50 บาท/ครั้ง


    หลวงปู่สาย ปภาโส หรือ พระครูนนทการประสิทธิ์ (เจ้าอาวาสวัดองค์ที่ 8) วัดบางรักใหญ่ ต.บางรักใหญ่ อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี เกจิอาจารย์ที่มีชื่อเสียงของจังหวัดนนทบุรี เกิดเมื่อ พ.ศ. 2444 ปีฉลู บิดาชื่อ เที่ยง มารดาชื่อ แจ่ม เป็นคนจังหวัดนนทบุรีแต่กำเนิด

    เข้าบวชเป็นพระภิกษุเมื่อปี พ.ศ.2468 ที่วัดบางรักใหญ่ มี หลวงพ่อชุ่ม วัดประชารังสรรค์(วัดหญ้าไทร) เป็นพระอุปัชฌาย์ หลวงพ่อแหล่ม วัดประชารังสรรค์(วัดหญ้าไทร) เป็นพระกรรมวาจาจารย์ หลวงพ่อพรหม เจ้าอาวาสวัดบางรักใหญ่ เป็นพระอนุสาวนาจารย์

    หลังจากบวชแล้วท่านก็ได้ศึกษาพระธรรมสอบได้นักธรรมชั้นตรี ,นักธรรมโท และนักธรรมเอก หลังจากนั้นท่านได้เรียนกรรมฐานกับครูบาอาจารย์ ที่มีชื่อเสียงหลายรูป เป็นต้นว่า ทางด้าน วิชาอาคมขลัง ทางลงเลขยันต์ปลุกเสก ด้านเครื่องรางของขลังต่าง ๆ จาก หลวงพ่อม้วน วัดไทรม้าเหนือ ท่านศึกษาอยู่กับหลวงปู่ชุ่ม ได้ความรู้ทางด้านวิชาแล้วยังได้ความรู้อื่นๆ อีกมากมายรวมทั้งการปฏิบัติ

    ต่อมาท่านได้ฝากตัวเป็นศิษย์ของ หลวงปู่ชื่น เกสโร เจ้าอาวาสวัดสะแก เล่าเรียนทางด้านแพทย์แผนโบราณ วิชาทางคงกระพันชาตรี ทางน้ำมนต์ ทางรักษาโรคต่างๆ หลังจากนั้นก็กลับมาจำพรรษาที่วัดบางรักใหญ่เพื่ออบรมสั่งสอนพระ-เณร ท่านเป็นพระปฏิบัติดี มีเมตตาสูง มีวาจาสิทธิ์ มีเมตตารักษาโรคภัยไข้เจ็บแก่ญาติโยมที่เจ็บป่วยเป็นประจำ

    ขณะเดียวกันบรรดาศิษยานุศิษย์ก็ได้ขอเมตตาจากหลวงปู่ทำเครื่องรางของขลัง เพื่อใช้ติดตัวเมื่อต้องเดินทาง ไม่ว่าจะเป็นเหรียญทองแดง หรือพระปิดตา หรือยันต์ชายธง ผู้ได้บูชาก็ประสบกับเหตูการณ์ต่างๆ แคล้วคลาดจากอุบัติเหตุ หรืออันตรายต่างๆ ซึ่งเป็นที่กล่าวขานกันมาก ทำให้วัดบางรักใหญ่มีผู้มาทำบุญไม่ขาดสาย วัดจึงมีปัจจัยพัฒนา เสนาสถานต่างๆ เกิดความสะดวกแก่ญาติโยมที่มาทำบุญกันถ้วนหน้า สร้างความเจริญแก่ชุมชนเป็นอย่างมาก

    หลวงปู่สายเริ่มสร้างพระเครื่อง และ เครื่องราง ของขลังครั้งเเรกในปี พ.ศ. 2484 ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2

    ยันต์ชายธงท่านสร้างไว้ 2 ยุค แบ่งง่ายๆ ยุคแรกๆท่านเริ่มทำตั้งแต่ พ.ศ. 2485 จะเขียนด้วยดินสอ ส่วนยุคที่สองเริ่มทำตั้งแต่ พ.ศ. 2500 จะเขียนด้วยปากกา ท่านทำไว้ 3 ขนาด เล็ก กลาง ใหญ่ (ขนาดใหญ่ท่านสร้างไว้ให้ ติดเสาบ้าน ขนาด เล็ก กับ กลาง ไว้ติดตัว) ส่วนใหญ่จะเขียนด้วยมือเป็นส่วนใหญ่ ลายมือจะไม่ค่อยดีนัก วัสดุท่านจะใช้จีวรที่ท่านครอง พอถึงพรรษาที ท่านจะเปลี่ยนจีวรชุดใหม่ จีวรชุดเก่าท่านจะใช้มาทำเป็นยันต์ชายธง

    ส่วนพระสมเด็จ สร้างครั้งแรก ปี พ.ศ. 2499 ท่านสร้างโดยเอากระดาษสา มามาเขียนยันต์ลง อักขระต่างๆ แล้วก็เขียนผงลบผงนะต่างๆ รวมผสมกับปูนเปลือกหอย ผงปูนตามเสมาเก่า ผนังวิหารและโบสถ์เก่าชำรุด เนื้อจึงออกยุ่ยไม่เหมือนของพระเกจิ องค์อื่น หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุด ท่านได้หยุดสร้างพระเครื่องระยะหนึ่ง จนได้รับการเรียงร้องจากลูกศิษย์ ประกอบกับต้อง สร้างเสนาสนะต่างๆ ท่านจึงลงมือสร้างอีกครั้งเพื่อเป็นสิ่งตอบแทนแก่ผู้ที่มาร่วมทำบุญ

    พระส่วนใหญ่ท่านจะสร้างเหรียญรูปเหมือน ที่ดังและมีชื่อเสียงเช่นกันก็คือ พระปิดตา รุ่นฟ้าคำราม และ พระปิดตาเนื้อทองบุญล้น สร้างปี พ.ศ.2528 และ พระปิดตา ของขวัญทรงสี่เหสี่ยมสร้างฉลองอายุครบ 85 ปี

    หลวงปู่่เป็นพระสมถะ ไม่สะสม พูดไพเราะ และพูดเก่ง เป็นกันเอง ไม่ถือตัว ตลอดชีวิตท่าน มีแต่ให้กับให้ ไม่สนใจเรื่องทรัพย์สินมีค่า ใครขออะไรก็ให้ทั้งนั้น เรียกว่าขอเป็นต้องได้ ถ้าไม่ขอท่านๆก็จะไม่ให้ ช่วงปั้นปลายชีวิต ผู้คนที่ไป กราบมักจะได้ลาภกันเสมอๆ และความชราภาพทำให้สังขารท่านทรุดโทรมตามไปกาลเวลา

    นับแต่หลวงปู่สาย ท่านบวชเมื่อปี พ.ศ. 2468 จนถึงปี พ.ศ.2530 ท่านทำงานเพื่อทำนุบำรุงพระศาสนาอย่างเต็มกำลังความสามารถ จนถึงสุดท้าย วันที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2530 ท่านก็มรณภาพ สิริรวมอายุได้ 87 ปี พรรษา 58 นับแต่นั้นสังขารของหลวงปู่สาย ก็ยังคงสภาพไม่เน่าเปื่อย จนถึงปัจจุบันนี้
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  3. prakrueng

    prakrueng เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    14,063
    ค่าพลัง:
    +1,867
    ปิด1293g เหรียญหล่อสมเด็จโต๊ะหัก รุ่นพระธาตุเจดีย์ หลวงพ่อทอง วัดสำเภาเชย ปี 2549 ปลุกเสก 4 วาระ อาจารย์ทองท่านเสกทุกวาระ พร้อมกล่องเดิม ราคา 350 บาท ค่าส่ง 50 บาท/ครั้ง



    ชีวประวัติ อาจารย์ทอง วัดสำเภาเชย

    ประวัติ วัดสำเภาเชย อ.ปานาเระ จ.ปัตตานี

    วัดสำเภาเชย เป็น วัด สร้างใหม่ เริ่มก่อสร้างเมื่อ พ.ศ. 2444 สร้างเสร็จปีขาล 2445 หลวงสุรนาถ ปะนารักษ์ (เชย โรจนวิภาต) นาย อำเภอสมัยนั้นเป็นผู้สร้าง เดิมเรียกว่า " วัดทุ่งสำเภา " เพราะสร้างขึ้นในหมู่บ้าน ทุ่งสำเภา ต่อมาได้ย้าย วัด มาสร้างใกล้ๆ กับที่เดิมและได้ตั้งชื่อใหม่ว่า วัดสำเภาเชย วัดนี้มีพื้นที่ประมาณ 12 ไร่เศษ ตั้งอยู่ห่างจากที่ว่าการอำเภอ ปะนาเระ ประมาณ 500 เมตร



    ลำดับ เจ้าอาวาส วัดสำเภาเชย

    วัดสำเภาเชย นับแต่เริ่มสร้างมาจนถึงทุกวันนี้ มี พระเถระ ซึ่งได้รับหน้าที่เป็น เจ้าอาวาส สืบต่อไปเป็นลำดับกันมามีรายนาม ดังนี้


    1. พระอธิการนุ้ย เจ้าอาวาส รูปแรก ปกครอง วัด มาตั้งแต่ พ.ศ. 2445-2448

    2. พระอธิการทอง พ.ศ. 2449-2451

    3. คุณพระอ้น พ.ศ. 2452-2453

    4. พระครูอรรถเวที พ.ศ. 2454-2464 ต่อมาได้เป็น เจ้าคณะ จังหวัดปัตตานี

    5. พระครูวิธานวัตต์ (คง) พ.ศ. 2463-2484 เจ้าคณะ อำเภอปะนาเระ

    6. พระอธิการตีบ ติสสโร พ.ศ. 2484-2487

    7. พระครูพินิตตนรัญญู ( อาจารย์ทอง วัดสำเภาเชย ) ต่อมาได้รับ พระราชทาน เลื่อนสมณศักดิ์ ที่ พระศีลมงคล เจ้าคณะอำเภอปะนาเระ และต่อมาเป็นที่ปรึกษา เจ้าคณะอำเภอ


    วัดสำเภาเชย มีความเจริญรุ่งเรืองมาโดยตลอด เพราะความสามารถของ หลวงสุรนาถ ปะนารักษ์ (เชย โรจนวิภาต) นายอำเภอผู้ริเริ่มก่อสร้าง วัด และความอุตสาหะวิริยะ ของ เจ้าอาวาส ทุกรูปและที่สำคัญก็คือ วัด นี้มี พระเถระ ชั้นผู้ใหญ่ดำรงตำแหน่ง เจ้าอาวาส ถึง 3 รูป คือ


    1. พระครูอรรถเวที เจ้าคณะ จังหวัดปัตตานี

    2. พระครูวิธานวัตต์ เจ้าคณะ อำเภอปะนาเระ

    3. พระครูพินิตตนรัญญู ( อาจารย์ทอง วัดสำเภาเชย ) เจ้าคณะ อำเภอปะนาเระ

    ในสมัยของท่าน อาจารย์ทอง วัดสำเภาเชย วัดสำเภาเชยได้มีการพัฒนาหลายอย่าง ทั้งการศึกษา และสิ่งก่อสร้าง พัฒนาสาธารณะประโยชน์ สร้างตึกให้โรงพยาบาล ฯลฯ


    ประวัติ อาจารย์ทอง วัดสำเภาเชย

    อาจารย์ทอง วัดสำเภาเชย เดิม ชื่อ ทอง หรือ อินทอง นามสกุล ศรีชาติ เกิดวันที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2461 ปีมะแม นักษัตร เอกศก

    บิดาชื่อ นายสีคง ศรีชาติ มารดาชื่อ นางแมะ ศรีชาติ บ้านเลขที่ 5 หมู่ 3 ตำบลดอน อำเภอปะนาเระ จังหวัดปัตตานี

    บรรพชา อุปสมบท วันที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2477 ได้บวชเป็น สามเณร ณ วัดดอนตะวันออก ตำบลดอน อำเภอปะนาเระ จังหวัดปัตตานี และ ลาสิกขาบท ออกไปช่วยมารดาประกอบอาชีพทางบ้าน

    วันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2482 ได้ บรรพชา อุปสมบท เป็น พระภิกษุ ณ วัดดอนตะวันออก ตำบลดอน อำเภอปะนาเระ จังหวัดปัตตานี พระครูวิธานวัตต์ (คง) เจ้าคณะ ตำบลปะนาเระ และ เจ้าอาวาส วัดสำเภาเชย เป็น พระอุปัชฌาย์ พระครูวุฒิชัยธรรมธาดา ขณะนั้นรับ สมณศักดิ์ เป็น พระครู ชั้น สัญญาบัตร เป็น พระกรรมวาจาจารย์ พระครูพิพัฒน์สมณกิจ เป็น พระอนุสาวนาจารย์

    ลำดับ สมณศักดิ์

    พ.ศ. 2497 ได้รับ พระราชทาน สมณศักดิ์ เป็น พระครูสัญญาบัตร เจ้าคณะ อำเภอ ชั้นตรี ที่ พระครูพินิตนรัญญู

    พ.ศ. 2510 ได้รับ พระราชทาน สมณศักดิ์ เป็น พระครูสัญญาบัตร เจ้าคณะ อำเภอ ชั้นโท ที่ พระครูพินิตนรัญญู

    พ.ศ. 2519 ได้รับ พระราชทาน สมณศักดิ์ เป็น พระครูสัญญาบัตร เจ้าคณะ อำเภอ ชั้นเอก ที่ พระครูพินิตนรัญญู

    พ.ศ. 2539 ได้รับ พระราชทาน สมณศักดิ์ เป็น พระครูสัญญาบัตร เจ้าคณะ อำเภอ ชั้นพิเศษ ที่ พระครูพินิตนรัญญู

    พ.ศ. 2545 ได้รับ พระราชทาน สมณศักดิ์ เป็น พระราชาคณะ ชั้นสามัญ ที่ พระศีลมงคล

    พระครูพินิตนรัญญู ( หลวงพ่ออินทอง สีลสุวณฺโณ ) วัดสำเภาเชย ได้รับ พัดยศ พระราชาคณะ ชั้นสามัญ มีนามว่า " พระศีลมงคล " มีพิธี พระราชทาน เลื่อน และ ตั้งสมณศักดิ์ ณ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย พระบรมมหาราชวัง เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2545


    วัตถุมงคล อาจารย์ทอง วัดสำเภาเชย

    อาจารย์ทอง วัดสำเภาเชย เป็น พระ สุปฏิปันโน ที่มีความเก่งกล้าทาง พุทธาคม สูงมาก ซึ่งก็มาจากพื้นฐานที่ดีคือ วิปัสสนากรรมฐาน ถ้า วิปัสสนากรรมฐาน ดี พลังจิต ก็จะดี มนต์คาถา บทไหนก็จะสำเร็จได้ง่าย คาถา บทเดียวกันสองคนใช้ ผลก็ไม่เหมือนกัน เนื่องจากพื้นฐานต่างกันนั้นเอง ด้วยเหตุที่ อาจารย์ทอง วัดสำเภาเชย เก่งกล้าทาง พุทธาคม จึงมีลูกศิษย์และผู้ที่เคารพนับถือมาก อาจารย์ทอง วัดสำเภาเชย ได้สร้าง วัตถุมงคล ตามที่ลูกศิษย์พากันเรียกร้อง และ ปลุกเสก วัตถุมงคล ที่ลูกศิษย์สร้างถวาย ซึ่งมีอยู่ด้วยกันหลายชนิด เช่น ตะกรุด อาจารย์ทอง วัดสำเภาเชย ผ้ายันต์ อาจารย์ทอง วัดสำเภาเชย แหวน ผ้ารอยมือรอยเท้า เชือกคาดเอว พระกริ่ง อาจารย์ทอง วัดสำเภาเชย พระชัยวัฒน์ อาจารย์ทอง วัดสำเภาเชย รูปเหมือนพระพุทธ อาจารย์ทอง วัดสำเภาเชย เหรียญ อาจารย์ทอง วัดสำเภาเชย รุ่นต่างๆ



    เหรียญ รุ่นแรก อาจารย์ทอง วัดสำเภาเชย

    เหรียญ รุ่นแรก อาจารย์ทอง วัดสำเภาเชย เป็น เหรียญ รูป พระพุทธเจ้า ทาง วัดสำเภาเชย และชาวบ้านทั่วไปมักเรียกเหรียญนี้ว่า เหรียญ หลวงพ่อ โต๊ะหัก เหรียญนี้ ด้านหลังเรียบ ไม่มี อักขระ ยันต์ ใดๆ เหรียญรุ่นนี้สร้างและ ปลุกเสก ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2529 ปลุกเสก เรื่อยมาจนถึงเดือนเมษายน พ.ศ. 2532 จึงนำออกแจก รวมเวลา ปลุกเสก 3 ไตรมาส คือ อาจารย์ทอง วัดสำเภาเชย ปลุกเสก นานจนมั่นใจในความ คักดิ์สิทธิ์ ว่า เหรียญนื้ตัองมีความ ศักดิ์สิทธิ์ อยู่นานโดยไม่มีวันเสื่อม และ อาจารย์ทอง วัดสำเภาเชย เคยพูดไว้ว่า ทำแล้วต้องได้ผล ทำไม่ดีทำทำไม แจกให้เสียชื่อ เหรียญรุ่นนี้ดีตั้งแต่เริ่มสร้าง เพราะ อาจารย์ทอง วัดสำเภาเชย ได้ให้ลูกศิษย์ที่เป็นโหร คำนวณหา ฤกษ์ยาม ที่เหมาะสม โหรได้คำนวณให้มา 2 ฤกษ์ เผื่อว่าถ้าไม่ทัน ฤกษ์ แรก ก็ยังมี ฤกษ์ ที่สอง แต่ ฤกษ์ ทั้งสองนั้น เป็นภูมิปาโล ฤกษ์ ทั้ง 2 ฤกษ์ คือ เป็น ฤกษ์ มงคล ในการเริ่มต้นทำกิจการงานทุกสิ่ง ถ้าสร้าง พระ พระ นั้นจะ ขลัง ประสิทธิมาก และจะมีชื่อเสียงขึ้นไปเรื่อยๆ

    เหรียญ รุ่นแรก อาจารย์ทอง วัดสำเภาเชย หรือ เหรียญ หลวงพ่อ โต๊ะหัก อาจารย์ทอง วัดสำเภาเชย มีส่วนผสมสำคัญที่ อาจารย์ทอง วัดสำเภาเชย ได้สั่งให้ลูกศิษย์นำไปผสมลงใน เบ้า โลหะ ที่ลูกศิษย์นำไปผสมมีลักษณะเป็นสี่เหลี่ยมแบนๆ กว้าง ยาวประมาณเท่าฝ่ามือ หนา ประมาณหนึ่งเซ็นติเมตร โลหะชิ้นนี้ผสมขึ้นจากทองธรรมชาติที่ยังไม่ได้ถลุง (ทองเป็น) เหล็กก้านพร้าหัก ยอดเจดีย์หัก เหล็กน้ำพี้

    โดยเหตุที่ เหรียญ รุ่นแรก อาจารย์ทอง วัดสำเภาเชย หรือ เหรียญ หลวงพ่อ โต๊ะหัก อาจารย์ทอง วัดสำเภาเชย สร้างด้วยโลหะผสม ส่วนผสมแต่ละชนิดมีจุดหลอมเหลวที่ไม่เท่ากัน เนื้อเหรียญ สัมฤทธิ์ ที่ออกมาจึงมีความแข็งอ่อนของเนื้อเหรียญในบางจุดไม่เท่ากัน ดังนั้น เมื่อ ปั๊มเหรียญ ออกมา ผิวเหรียญ จึงต่างกันบ้าง แต่ รูป องค์พระ และตัวอักษรเหมือนกัน

    เหรียญ รุ่นแรก อาจารย์ทอง วัดสำเภาเชย หรือ เหรียญ หลวงพ่อ โต๊ะหัก อาจารย์ทอง วัดสำเภาเชย มีจำนวนการสร้าง ดังนี้

    เหรียญ ทองคำ ลงยา สร้าง จำนวน 9 เหรียญ

    เหรียญ เงิน ลงยา สร้าง จำนวน 109 เหรียญ

    เหรียญ นวโลหะ สร้าง จำนวน 200 เหรียญ

    เหรียญ ทองแดง ผสม สร้าง จำนวน 7,000 เหรียญ

    เหรียญ ชิน ตะกั่ว สร้าง จำนวน 300 เหรียญ

    สำหรับ เหรียญ ทองแดง ผสม ผู้สร้างได้แบ่งมา ตอกโค้ด 529 จำนวน 200 เหรียญ สำหรับเอาไว้แจกคณะกรรมการผู้ช่วยเหลืองาน เหรียญนี้ไม่ได้จำหน่ายแต่อย่างใด เหรียญตอกโค้ด จึงไม่แพร่หลาย คนส่วนมากไม่เคยเห็นเหรียญนี้ บางคนคิดว่าไม่มี

    เหรียญ ทองแดงผสม จำนวน 7,000 เหรียญ ผู้สร้างได้ถวาย อาจารย์ทอง วัดสำเภาเชย เหรียญทั้งหมด อาจารย์ทอง วัดสำเภาเชย รับมอบ หลังจาก ปลุกเสก เสร็จเรียบร้อยแล้ว อาจารย์ทอง วัดสำเภาเชย ได้แบ่งไว้แจกส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งมอบให้ กรรมการ วัดสำเภาเชย เอาไว้สมนาคุณแก่ผู้ ทำบุญ ส่วนเหรียญเนื้ออื่นๆ คณะผู้จัดสร้างเก็บไว้แจกเป็นการส่วนตัวบ้าง ถวายพระ บางรูปบ้าง

    เหรียญ รุ่นแรก อาจารย์ทอง วัดสำเภาเชย หรือ เหรียญ หลวงพ่อ โต๊ะหัก อาจารย์ทอง วัดสำเภาเชย หลังเรียบ นี้ เป็นที่นิยมของ นักสะสม พระเครื่อง ทั่วไป อย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขต 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพราะ พุทธคุณ ที่ อาจารย์ทอง วัดสำเภาเชย บรรจุไว้ในเหรียญอย่างเต็มที่ ก่อให้เกิด ประสบการณ์ ดีๆ ปรากฏออกมาอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง เมตตามหานิยม โชคลาภ ความเจริญ ธุรกิจก้าวหน้า ติดต่อการงานคล่อง ทำอะไรก็ดี แคล้วคลาด จากภัยอันตราย ผู้ที่ แขวนบูชา จะประสบโชคดีอยู่บ่อยๆ

    เหรียญ หลวงพ่อ โต๊ะหัก อาจารย์ทอง วัดสำเภาเชย

    เป็นเหรียญ พระพุทธ ที่มีค่านิยมสูงเป็นอันดับหนึ่งของชายแดนใต้ และมีความ ศักดิ์สิทธิ์ มากก่อให้เกิด อภินิหาร ประสบการณ์ มากมาย ทั้งๆ ที่เป็นเหรียญสร้างใหม่ พ.ศ. 2529 นี้เอง ตอนที่เหรียญออกจาก วัดสำเภาเชย ใหม่ๆ ในปี พ.ศ. 2532 นั้น อาจารย์ทอง วัดสำเภาเชย ได้เริ่มแจกฟรีเป็นวันแรกในงานฉลองอายุครบ 6 รอบ 22 เมษายน 2532 และได้แจกฟรีมาเรื่อยๆ จนหมด ใครจะ ทำบุญ หรือไม่ ไม่สำคัญ ทุกคนได้รับแจกฟรี คนละ 1 เหรียญ บางคนขอเผื่อเอาไปแจกพี่น้องก็จะได้มากกว่า 1 เหรียญ และในขณะเดียวกันนั้นที่ใตัสะพานลอยหาดใหญ่ก็ได้รับซื้อ เหรียญ หลวงพ่อโต๊ะหัก อาจารย์ทอง วัดสำเภาเชย จากผู้ที่ได้รับแจกมาฟรีๆ แผงพระใต้สะพานลอยหาดใหญ่ขายต่อเหรียญละ 50 บาท ซึ่งก็ขายได้บ้างเล็กน้อย

    ต่อมาประมาณปี 2535 มีพ่อค้าที่มาทำมาค้าขายที่นราธิวาสได้มาเหมาไปจนหมด ได้ไปราวๆ 70 เหรียญ

    การที่มีผู้ให้ความนิยมใน เหรียญ หลวงพ่อโต๊ะหัก อาจารย์ทอง วัดสำเภาเชย เป็นอย่างมากก็เพราะว่า เหรียญ หลวงพ่อโต๊ะหัก ที่ อาจารย์ทอง วัดสำเภาเชย ปลุกเสก มีความคักดิ์สิทธิ์มาก มีผู้ประสบพบเห็นบ่อยๆ



    ประสบการณ์ วัตถุมงคล รุ่นต่างๆ ของ อาจารย์ทอง วัดสำเภาเชย

    เรื่องที่ อาจารย์ทอง วัดสำเภาเชย ปลุกเสก วัตถุมงคล ให้เคลื่อนไหวนี้ มีผู้ทราบและเห็นกับตามากมายหลายคน เห็นกันบ่อยๆ ต่างเวลากัน วัตถุมงคล ที่เคลื่อนไหว มี พระเครื่อง ตะกรุด ผ้ายันต์ ฯลฯ

    ถ่ายทอดโดย ณเดช พันธ์นรา

    1. ตะกรุด เคลื่อนไหว เรื่องนี้ผมจำได้แน่ชัด เพราะเป็น ปาฏิหาริย์ ครั้งแรกของ อาจารย์ทอง วัดสำเภาเชย ที่ผมได้เห็น และเป็นครั้งที่ อาจารย์ทอง วัดสำเภาเชย ตั้งใจทำให้ผมดูโดยตรง เนื่องจากเมื่อสมัยวัยรุ่น ผมตั้งใจอยากเห็นเรื่อง ปาฏิหาริย์ ปลุกเสก วัตถุมงคล เคลื่อนไหว ได้ด้วยตาตนเอง เพราะได้ยินได้ฟังได้อ่านมาว่า หลวงพ่อเก่งๆ หลายรูป สามารถ ปลุกเสก วัตถุมงคล ให้ เคลื่อนไหว ได้ ซึ่งผมก็เชื่อว่าเป็นเรื่องจริง แต่ผมไม่มีโอกาสได้เห็นกับตา เพราะ หลวงพ่อ เหล่านั้นได้ มรณะภาพ ไปหมดแล้ว ผมอยากมีวาสนาได้เห็นกับตาบ้าง และผมก็ได้ตระเวณไปตามวัดต่างๆ แต่ยังไม่ได้เห็นตามที่ตั้งใจ จนกระทั่งมาถึง วัดสำเภาเชย ซึ่งเป็นวัดบ้านนอก อาจารย์ทอง วัดสำเภาเชย ในขณะนั้นก็ไม่ได้มีชื่อเสียงโด่งดังแต่อย่างใด (11 เมษายน 2527) เหตุที่ผมไปหา อาจารย์ทอง วัดสำเภาเชย ก็เพราะเพื่อนผมได้บวชกับ อาจารย์ทอง วัดสำเภาเชย

    หลังจากผมได้เจอ อาจารย์ทอง วัดสำเภาเชย ประมาณ 2 ครั้ง อาจารย์ทอง วัดสำเภาเชย ก็ให้โอกาสผมได้เห็นชัดกับตา โดย อาจารย์ทอง วัดสำเภาเชย เรียกให้ผมเข้าไปในกุฏิ นั่งดูอย่างชัดเจน วันนั้น อาจารย์ทอง วัดสำเภาเชย เสก ตะกรุด โสฬส อาจารย์ทอง วัดสำเภาเชย ใช้เวลาเสกไม่นานนัก ประมาณ 5 นาที ตะกรุด ก็ เคลื่อนไหว ไปมา พอ อาจารย์ทอง วัดสำเภาเชย หยุดเสก ตะกรุด ก็หยุด เคลื่อนไหว พอ อาจารย์ทอง วัดสำเภาเชย เสกอีก ตะกรุด ก็ เคลื่อนไหว อีก อาจารย์ทอง วัดสำเภาเชย เสกแล้วหยุดๆ หลายครั้ง ทำให้ผมดูจนมั่นใจ แล้วก็สอนให้ทำดี มี ศีลธรรม อบรมจิตใจ ผมโดยใช้ ปาฏิหาริย์ เป็นเครื่องชี้นำ

    2. พระปิดตา ล้ม ประมาณต้นปี 2530 อาจารย์ทอง วัดสำเภาเชย ได้เรียกผมให้ไบ่พบในกุฏิ ให้นั่งดูอย่างชัดเจน คราวนี้ อาจารย์ทอง วัดสำเภาเชย เอา พระปิดตา เนื้อ เมฆพัตร ที่เขาหล่อขาย โดยทำให้เหมือน พระปิดตา หลุมดิน จังหวัดราชบุรี อาจารย์ทอง วัดสำเภาเชย ตั้ง พระปิดดตา 5 องค์ เรียงกัน จับตั้งให้นั่ง อาจารย์ทอง วัดสำเภาเชย ก็ พนมมือ เสกไม่นาน ประมาณ 5 นาที พระปิดตา ก็ทยอยกันล้ม อาจารย์ทอง วัดสำเภาเชย จับตั้งใหม่อีกครั้ง แล้วก็ เสก พระปิดตา ก็ล้มอีก ทำให้ดูประมาณ 5 ครั้ง แล้ว อาจารย์ทอง วัดสำเภาเชย ก็พูดเป็นภาษาใต้ เขาว่า หลวงพ่อครณ (หลวงพ่อครณ บางแซะ มาเลเซีย) เสก พระ นั่งได้ เราก็เสก พระ ล้มได้ จากนั้น อาจารย์ทอง วัดสำเภาเชย ก็สอนธรรมะ สอนให้ทำดี อบรมจิตใจ

    3. กอง ผ้ายันต์ ล้ม เรื่องนี้ข้าพเจ้าประสบกับตัวเอง ประมาณเดือนพฤศจิกายน 2536 อาจารย์ทอง วัดสำเภาเชย ได้พิมพ์ ผ้ายันต์ เอาไว้แจกปีใหม่ อาจารย์ทอง วัดสำเภาเชย ได้เรียกให้ผมเข้าไปในกุฏิ ให้นั่งดูอย่างชัดเจนอีกครั้ง คราวนี้ที่เบื้องหน้า อาจารย์ทอง วัดสำเภาเชย มี ผ้ายันต์ พับตั้ง เรียงกันเป็นกองสูงอย่างมีระเบียบ อาจารย์ทอง วัดสำเภาเชย พนมมือนั่ง เสก แป็บเดียว ผ้ายันต์ ทั้งตั้งก็ล้มลงมา อาจารย์ทอง วัดสำเภาเชย จับตั้งแล้ว ปลุกเสก อีก ผ้ายันต์ ก็ล้มอีก อาจารย์ทอง วัดสำเภาเชย ก็จับตั้งแล้ว ปลุกเสก อีก เสก แล้วล้มๆ ทำอยู่ประมาณ 7- 8 ครั้ง จากนั้น อาจารย์ทอง วัดสำเภาเชย ก็สั่งสอน ธรรมะไปเรื่อยๆ

    หลังจาก 3 ครั้งแล้ว อาจารย์ทอง วัดสำเภาเชย ก็ไม่ได้เรียกให้ผมดูอีกเลย ผมเข้าใจว่า อาจารย์ทอง วัดสำเภาเชย คงสำเร็จ เจโตปริยญาณ หยั่งรู้ วาระจิตคน ครั้งแรกคงรู้ว่าผมสงสัยว่าการ ปลุกเสก ของ เคลื่อนไหว ได้ นี้มันจริงหรือเปล่า เพราะสงสัยในใจว่า หลวงพ่อ ที่มีคนเขียนถึงว่า ปลุกเสก พระ กระโดดบาตร ปลุกเสก นะปัดตลอด ทะลุ แผ่นยันต์ ลบผงทะลุกระดาน ฯลฯ เรื่องเหล่านี้มีจริงหรือเปล่า เพราะ หลวงพ่อ ที่เขียนถึงท่านเหล่านั้นได้ มรณะภาพ ไปแล้ว พูดไม่ได้ คนเขียนจะเขียนยังไงก็ได้ จนกระทั่งผมได้มาเห็น อาจารย์ทอง วัดสำเภาเชย ทำให้ดู ผมจึงเกิดความเชื่อมั่น หลังจาก 3 ครั้งนี้แล้ว อาจารย์ทอง วัดสำเภาเชย คงรู้ใจผมว่าเกิดความเชื่อมั่นสุดๆ จึงไม่จำเป็นต้องทำให้ดูอีก

    แต่นอกจาก 3 ครั้งที่ อาจารย์ทอง วัดสำเภาเชย เจาะจงผมและคนอื่นๆ ก็ได้เห็นการ ปลุกเสก วัตถุมงคล ให้ เคลื่อนไหว อยู่บ่อยๆ ทั้ง พระกริ่ง เหรียญ พระผง ลูกอม ผ้ายันต์ ฯลฯ แต่เป็นการเห็นแบบไม่ตั้งใจ


    ต้องผ่า

    เรื่องนี้เกิดขึ้นมาไม่นาน เดือนพฤศจิกายน 2545 ขณะนั้นภรรยาผมตั้งท้องได้ประมาณ 6 เดือน ผมได้ย้ายกลับมาจากสวนผึ้ง ราชบุรี ก็ได้แวะไปกราบเยี่ยม อาจารย์ทอง วัดสำเภาเชย อาจารย์ทอง วัดสำเภาเชย พอเห็นภรรยาผม อาจารย์ทอง วัดสำเภาเชย ก็พูดออกมาอย่างไม่ตั้งใจ พูดเป็นภาษาใต้ ต้องพ้าๆ (ต้องผ่าๆ) แล้ว อาจารย์ทอง วัดสำเภาเชย ก็พูดคุยกับผมเป็นปกติ หลังจากได้พบเจอ อาจารย์ทอง วัดสำเภาเชย แล้ว ผมก็กังวลเรื่องภรรยาตั้งท้องกลัวว่าจะต้องผ่าออก เพราะ อาจารย์ทอง วัดสำเภาเชย เคยสั่งสอนผมว่าคนท้องควรจะคลอดตามธรรมชาติกำหนด ไม่ควรฝ่าฝืนธรรมชาติ พี่สาวผมตั้งท้อง พ.ศ. 2541 เคยให้ผมไปถาม อาจารย์ทอง วัดสำเภาเชย ว่าจะผ่าวันไหนดี อาจารย์ทอง วัดสำเภาเชย ตอบว่า ถ้าจะผ่าก็ไม่ต้องมาถาม ทำตามใจชอบเถอะ คือ อาจารย์ทอง วัดสำเภาเชย ไม่ชอบผ่า แต่พอเห็นภรรยาผมกลับอุทานออกมาว่า ต้องผ่าๆ พอกลับบ้านก็ไปพูดคุยเรื่องภรรยาท้องให้เพื่อนฟัง คือ เจ้าของร้านก รอบพระ นราธิวาส แต่ไม่ได้พูดถึงเรื่อง อาจารย์ทอง วัดสำเภาเชย อุทานให้ฟัง พูดแต่เพียงอยากให้ภรรยาคลอดเอง กลัวต้องผ่า เพื่อนก็แนะนำให้ผมเอากล้วยน้ำว้าไปให้ พระ องค์หนึ่งซึ่งอยู่ใกล้บ้าน เสกให้กินแล้วจะคลอดลูกง่าย มีคนให้ เสกกินมาแล้วหลายราย รวมทั้งตัวเขาด้วยใกล้ๆ คลอด 8-9 เดือน แล้วให้ไป พอเดือนกุมภาพันธ์ 2546 อายุครรภ์ได้ประมาณ 8 เดือน ผมก็พาภรรยาไปกินกล้วย เสกที่วัดนั้น เหตุที่ผมไม่พาไปหา อาจารย์ทอง วัดสำเภาเชย ก็เพราะไกล ไม่สะดวก วัดสำเภาเชย อยู่ห่างจากบ้านผมประมาณ 80 กม. ไปกลับ 160 กม. แต่ วัด นี้อยู่ห่างจากบ้านเพียง 8 กม. (เรื่อง เสกกล้วยคลอดลูกง่าย อาจารย์ทอง วัดสำเภาเชย ก็ชำนาญ.) เดือนมีนาคม 2546 อายุครรภ์ครบ 9 เดือน ภรรยาผมยังเฉยๆ พอประมาณ 9 เดือน 10 วัน ทั้งผมและภรรยาก็ไปหาหมอ ถามว่าเมื่อไหร่จะคลอด หมอบอกว่าเลยกำหนดแล้วคนไข้ยังไม่เจ็บท้อง สงสัยจะต้องผ่า ผมก็บอกไปว่าพยายามให้คลอดเองดีกว่า แต่ถ้าหมอเห็นว่าจำเป็นจริงๆ ก็ให้ผ่าได้ ตกลงวันนั้นก็ยังไม่ผ่า หมอให้กลับบ้านรอดูอาการก่อน ผมก็กลับบ้านด้วยความกังวลใจนิดๆ รออยู่อีกหลายวันภรรยาก็ยังเฉยๆ บ่ายวันพุธที่ 2 เมษายน 2546 ผมจึงไปหา หลวงพ่อ องค์เดิมที่ วัด เอากล้วยไปให้ เสก แล้วเล่าให้ท่านฟังด้วย คราวนี้พอภรรยากินกล้วยกลางคืนก็ปวดท้อง เช้าวันพฤหัสที่ 3 ก็ไปโรงพยาบาล หมอก็ให้นอนรอคลอดอีกหลายชั่วโมง ก็ไม่คลอด หมอจึงเรียกผมไปพบบอกว่าจำเป็นต้องผ่า ปล่อยไว้จะอันตราย ผมก็เซ็นยินยอมให้ผ่า สรุปแล้วคือ ต้องผ่า ทั้งๆ ที่ไม่เต็มใจ สมดังคำ อาจารย์ทอง วัดสำเภาเชย ว่า ผมมาคิดดูโดยละเอียด สรุปได้ว่า อาจารย์ทอง วัดสำเภาเชย น่าจะสำเร็จ อนาคตังสญาณ สามารถรู้เห็นเหตุการณ์ล่วงหน้า คงเห็นแล้วว่าภรรยาผมต้องผ่าท้องจึงพูดออกมา ถ้าเป็น วาจาสิทธิ์ อาจารย์ทอง วัดสำเภาเชย คงจะอวยพรให้คลอดง่าย แข็งแรง เลี้ยงง่าย ไม่เจ็บไม่ไข้ วันจันทร์ที่ 21 เมษายน ผมเอานมกระป๋องและแป้งเด็กไปให้ อาจารย์ทอง วัดสำเภาเชย ท่าน เสก ให้ลูกกิน ด้วยความเชื่อว่าดี อาจารย์ทอง วัดสำเภาเชย ก็ได้ เมตตา เสกให้แต่ อาจารย์ทอง วัดสำเภาเชย ก็ยังมีความเห็นไม่ชอบการผ่าท้องเอาเด็กออก ชอบคลอดแบบธรรมชาติ

    เรื่องผ่าท้องเอาเด็กออกอีกราย เคยมีคนเล่าให้ฟังว่า เขาเคยไปที่ วัด สำเภาเชย นั่งคุยกับ อาจารย์ทอง วัดสำเภาเชย บังเอิญมีผู้หญิงอุ้มลูกมาให้ อาจารย์ทอง วัดสำเภาเชย เสกเป่าให้ บอกว่าเด็กเลี้ยงยาก ไม่สบายบ่อย ไม่ค่อยแข็งแรง ขอให้ อาจารย์ทอง วัดสำเภาเชย ช่วยดูให้หน่อย อาจารย์ทอง วัดสำเภาเชย ถามทันทีว่า ตกผ่าเมื่อไหร่ แทนที่จะถามว่า ตกฟากเมื่อไหร่ แสดงว่า อาจารย์ทอง วัดสำเภาเชย ต้องรู้ว่าเด็กคนนั้นไม่ได้คลอดเองผ่าท้องออกมา ซึ่งก็เป็นความจริงที่เด็กคนนั้นถูกผ่าออกมา เรื่องนี้ก็แสดงถึงว่า อาจารย์ทอง วัดสำเภาเชย คงจะสำเร็จ อดีตตังสญาณ ล่วงรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว



    วิธีดู จุดตำหนิ เหรียญ หลวงพ่อ โต๊ะหัก อาจารย์ทอง วัดสำเภาเชย

    ปัจจุบัน เหรียญ หลวงพ่อ โต๊ะหัก อาจารย์ทอง วัดสำเภาเชย หลังเรียบ มีเก๊ เฉพาะ เนื้อทองแดง ผสม

    ขอแนะนำทีเด็ด เคล็ดลับ ในการ ดู เหรียญ หลวงพ่อ โต๊ะหัก อาจารย์ทอง วัดสำเภาเชย รุ่นนี้ เป็นการสกัด พระเก๊ ที่อาจจะมีออกมาในอนาคต มี จุดสังเกต ในการดูหลายจุด ดังนี้

    เฉพาะ เหรียญ เนื้อทองแดง ผสม ซึ่งมีจำนวนเหรียญมากที่สุด ที่ ด้านหลัง เหรียญ จะมีเส้นวงกลมหลายวงซ้อนกันอยู่ เป็นเส้นเกิดใน เนื้อเหรียญ ไม่ได้นูนขี้นมา ลักษณะคล้ายเป็นเส้นวงปีที่เกิดในตอไม้ เส้นนี้มีทุกเหรียญ แต่ชัดมากบ้างน้อยบ้าง บางเหรียญต้องเอียงเหรียญส่องให้ดี ถ้ายังไม่เห็น ไม่ต้องตกใจ ให้ดูบน ผิวเหรียญ ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง บน ผิวเหรียญ จะมีเส้นรัศมีเล็กๆ กระจายออกมาจากกลางเหรียญออกไปรอบข้าง เส้นรัศมีนี้เห็นชัดทุกเหรียญ และที่สำคัญเหรียญนี้ไม่ได้รมผิว สีผิวจะเป็นเอกลักษณ์ สีผิวทั่วไปจะออกสีน้ำตาลเรื่อๆ สีผิวตามซอกจะแดง ส่วนนูนที่ถูกจับจะมีสีน้ำตาลเข้ม ที่สำคัญที่สุด บนผิวเหรียญด้านหน้าและด้านหลัง จะมีเกล็ดหรือจุดประสีน้ำเงินแต้มอยู่ประปราย มากน้อยไม่แน่นอน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 กันยายน 2015
  4. prakrueng

    prakrueng เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    14,063
    ค่าพลัง:
    +1,867
    1294g ปิดตา หลวงพ่อปาน วัดเครือวัลย์ มีกระเทาะหลังเห็นเนื้อใน ขนาดพระ 2.2 x 2.5 ซม. ราคา 500 บาท ค่าส่ง 50 บาท/ครั้ง


    หลวงพ่อปาน (พุทธรกฺชิโต.) สถานะเดิมชื่อ ชื่อปาน จันทร์สุระ บิดาชื่อ เขียน มารดาชื่อ เตียน นามสกุลจันทร์สุระ เกิดเมื่อปี พ.ศ.๒๔๔๑ ณ บ้าน ต.ห้วยกะปิ(ใครนึกไม่ออกว่าอยู่แถวไหน ถ้าใครเคยไปเซ็นทรัลชลบุรี หรือแถวๆบิ๊กซีชลบุรีนั้นแหละเรียกห้วยกะปิ ) อ.เมือง จ.ชลบุรี มีอาชีพทำสวนตาล ทำน้ำตาล ในวัยเด็กท่านป่วยเป็นไข้ทรงพิษฝีดาษ ลุกลามไปทั่ว ลามขึ้นใบหน้าและดวงตาซ้าย เกือบเสียชีวิต บิดาของท่านได้มาขอน้ำพระพุทธมนต์จากหลวงพ่อแก้ว วัดเครือวัลย์ นำไปอธิฐานจิตดื่มอาบ อาการจึงทุเลาและหายตามลำดับ เมื่ออายุ ๒๑ ปั อุปสมบท ณ วัดเครือวัลย์ อ.เมือง จ.ชลบุรี เมื่อพ.ศ.๒๔๖๒ พระวินัยธรถัน วัดเครือวัลย์ เป็นพระอุปัชฌาย์ ได้รับฉายาว่า พุทธรกุขิโต ศึกษาเล่าเรียนพระธรรมวินัย พุทธเวย์ อักขระเลข ยันต์ วิชาทำตะกรุด น้ำพระพุทธมนต์ จากพระอาจารย์ถัน ศึกษาวิชาสร้างปลัดขิกจากหลวงพ่ออี๋ วัดสัตหีบ เรียนวิชาทำผ้ายันต์พัดโบก เชือ่กันว่าท่านเก็บผงเก่าหลวงพ่อแก้ว วัดเครือวัลย์นำมาสร้างวัตถุมงคลเพื่อสืบสานตำนานพระปิดตาหลวงพ่อแก้ว วัดเครือวัลย์ไว้อย่างชื่นชม ทั้งเนื้อหา และพิมพ์ทรงที่ยังคงเป็นสิริมงคลโดยมิได้คิดมูลค่าแต่อย่างใด จำนวนสร้างน้อย เป็นที่เสาะแสวงหาของผู้ศรัทธาโดยทั่วไป ท่านเป็นพระลูกวัดธรรมดาเป็นหลวงตาประจำวัด ที่มักออกจากวัดตระเวณศึกษาเก็บยาสมุนไพร ช่วยเหลือชาวบ้านมาโดยตลอด โดนเฉพาะกิตติศัพท์ในเรื่องการรักษาผู้ป่วยจากพิษสุนัขบ้าของท่าน เป็นที่เลื่องลือโดยทั่วไป ญาติโยมต่างให้ความนับถือความเคารพนับถือ หลวงพ่อปานมรณภาพ ปี.พ.ศ.๒๕๑๗ สิริอายุรวม ๗๖ ปี พรรษา๕๕
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  5. prakrueng

    prakrueng เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    14,063
    ค่าพลัง:
    +1,867
    1295g พระร่วงนั่งเชตุพน สุโขทัย สภาพเดิมๆมีรอยบิ่นด้านหลังจากกรุ ขนาดพระ 1.4 x 2.7 ซม.ราคาเบาๆตามสภาพ 350 บาท ค่าส่ง 50 บาท/ครั้ง
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  6. prakrueng

    prakrueng เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    14,063
    ค่าพลัง:
    +1,867
    1298g พระยอดขุนพลบุเรงนอง หลวงพ่ออุตตมะ ปี 2508 ขนาดพระ 1.5 x 3 ซม. ราคา 400 บาท ค่าส่ง 50 บาท / ครั้ง




    มีประวัติความเป็นมาโดยสังเขปคือ พระยอดขุนพลบุเรงนองรุ่นเก่า ซึ่งปัจจุบันเป็นสุดยอดวัตถุมงคลที่หาได้ยากยิ่ง จากคำบอกเล่าของพระเดชพระคุณหลวงพ่ออุตตมะ แห่งวัดวังก์วิเวการาม อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี โดยท่านได้เคยอ่านพบใน " ตำราโบราณ " ที่อดีตโบราณคณาจารย์ฝ่ายพม่ารามัญ ได้จดบันทึกไว้สืบต่อกันมานานนับเป็นร้อย ๆ ปี มีดังนี้
    พระยอดขุนพลบุเรงนองของเก่าแก่ดั้งเดิมนั้น เป็นพระพิมพ์ดินดิบผสมว่านยาวิเศษ โดยได้จำลองพุทธลักษณะจาก "พระมหามัยมุนี " (ดังรูปพระพุทธรูปตัวอย่าง) เป็นพระเครื่องที่พระเจ้าบุเรงนอง บรมกษัตริย์ผู้มีพระเดชานุภาพมากแห่งกรุงหงสาวดี ได้โปรดให้ พระมหาฤาษี ภูภูอ่อง ผู้เป็นพระราชครูผู้ใหญ่ ประจำพระราชสำนักแห่งพระเจ้าบุเรงนอง ซึ่งได้สำเร็จมหิทธิฤทธิ์ขั้นสุดยอดด้วยองค์คุณ 4 ประการ คือ ยา ยันต์ ปรอท และ ประคำ จนมีฤทธิ์ มีเดชสูงส่งอย่างยิ่งยวด เป็นผู้จัดสร้างและปลุกเสกขึ้น เพื่อทรงพระราชทานแก่ข้าราชบริพาร และเหล่าทหารหาญ เพื่อใช้ในการศึกสงครามโดยทั่วไป โดยแกะพิมพ์จำลองพุทธลักษณะของพระมหามัยมุนี พระพุทธรูปสำคัญ อันเป็นที่เคารพสักการะสูงสุดของชาวพม่า ที่มีอายุการสร้างเกือบ 2,000 ปี ที่เดิมประดิษฐานอยู่ที่เมืองยะไข่ แต่ต่อมาได้อัญเชิญมาประดิษฐานที่เมืองมัณฑเลย์ ตราบจนกระทั่งถึงปัจจุบัน
    ซึ่งพระยอดขุนพลบุเรงนองนี้ปรากฎพุทธคุณอันยอดเยี่ยมดีเด่นในทุก ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นในทางเมตตา แคล้วคลาด แต่จะเน้นไปในด้าน "อิทธิฤทธิ์" คือทางด้านอยู่ยงคงกระพันชาตรี มหาอุด มหาอำนาจ เป็นหลักใหญ่ จนกระทั่งกองทัพของพระเจ้าบุเรงนอง สามารถปราบปรามหัวเมืองใหญ่น้อยในทุกหนแห่ง จนราบคาบอย่างที่ไม่เคยปรากฎมาก่อนในพงศาวดาร ซึ่งนี่ก็เป็นเหตุให้พระเจ้าบุเรงนองได้รับพระสมัญญานามอีกพระนามหนึ่งว่า " ผู้ชนะสิบทิศ " ในเวลาต่อมา โดยพระบุเรงนองนี้ พระฤาษีภูภูอ่องได้บรรจุไว้ที่ถ้ำแถวเมืองมะละแหม่ง ใกล้ชายแดนไทย-พม่า อยู่ 2 ถ้ำด้วยกัน คือ ถ้ำผาบง และ ถ้ำผาพะ แต่ก็ไม่มีผู้ใดทราบว่าถ้ำทั้งสองแห่งนี้อยู่ที่ไหนกันแน่ อนึ่ง พระมหาฤาษีภูภูอ่องนั้น แต่เดิมเคยบวชเป็นพระภิกษุในบวรพระพุทธศาสนา มีนามว่า "ญาณรังสี" แต่ต่อมาพระญาณรังสีพิจารณาเห็นว่าการที่พระภิกษุอยู่ในป่า บางครั้งก็มีเหตุให้จำต้องล่วงอาบัติของพระพุทธองค์อยู่เนือง ๆ ก็ให้รู้สึกไม่สะดวกใจ ด้วยเกรงจะเป็นบาปเป็นกรรม พระญาณรังสีจึงลาสิกขาออกมาถือพรตเป็นฤาษี พร้อมตั้งใจประพฤติพรหมจรรย์ รักษาศีล 8 ได้เป็นอย่างดีจนบรรลุอภิญญาสมาบัติขั้นสูงสุด จนได้สำเร็จฤทธิ์อภินิหารอันยอดยิ่งด้วยเหตุถึง 4 สถาน คือ
    1. ยา (รอบรู้ในตัวยาสมุนไพร และว่านยาที่มีฤทธิ์ทุกประเภทอย่างเจนจบ )
    2. ยันต์ (ปรีชาในอักขระคาถายันต์อันศักดิ์สิทธิ์ทั้งปวง )
    3. ปรอท (สำเร็จในการเรียกและใช้ปรอท ธาตุกายสิทธิ์ที่มีฤทธิ์กว่าธรรมดา จนถึงขั้นเหาะเหินเดินอากาศได้ )
    4. ประคำ (เครื่องช่วยกำหนดจิตภาวนาให้บังเกิดสมาธิจิต อันเป็นบาทฐานแห่งอภิญญาฤทธิ์ ซึ่งเป็นของมีมาเก่าแก่ สืบทอดมาแต่โบราณกาลนับเป็นพัน ๆ ปี )
    สำหรับเหตุที่หลวงพ่ออุตตมะ (ท่านเป็นพระชาวมอญ ไม่ใช่พม่า และเป็นหนึ่งในพระอาจารย์องค์สำคัญที่สอนในหลวงในการปฏิบัติธรรมด้วยครับ)ได้พระยอดขุนพลบุเรงนองมานั้น เดิมตั้งแต่เมื่อครั้งที่หลวงพ่ออุตตมะยังเดินธุดงค์อยู่ มีเด็กชายชาวกะเหรี่ยงคริสต์คนหนึ่ง (ซึ่งต่อมาได้เป็นหัวหน้ากะเหรี่ยง ) ซึ่งอยู่ในเขตประเทศพม่า ได้ป่วยเป็นโรคร้าย จนเพื่อนบ้านต่างพากันทอดทิ้ง ไม่มีใครกล้ามาดูแล และบังเอิญท่านได้ธุดงค์มาพบเข้า ด้วยความเมตตาหลวงพ่อจึงได้ช่วยรักษาจนหาย ทำให้เด็กชายคนนี้นับถือหลวงพ่ออุตตมะเป็นอย่างยิ่ง กาลต่อมาหัวหน้ากะเหรี่ยงคริสต์รายนี้ได้มาเล่าให้หลวงพ่ออุตตมะฟังว่า (ตอนนั้นหลวงพ่อมาอยู่เมืองไทยใหม่ ๆ ราวปี พ.ศ.2490 กว่า ) วันหนึ่งขณะที่พวกตนถูกพวกพม่าตามไล่ล่า จนกระทั่งหนีเข้าไปหลบซ่อนในถ้ำ ๆ หนึ่ง แถวเมืองมะละแหม่ง พวกทหารพม่าได้ใช้ปืนกล และอาวุธสงครามยิงกรอกปากถ้ำ เพื่อฆ่าพวกตนให้ตายคาถ้ำ นับเป็นพัน ๆ หมื่น ๆ นัด จนพวกทหารพม่าคิดว่าพวกกะเหรี่ยงที่อยู่ในถ้ำคงจะตายกันไปหมดแล้ว จึงได้ถอยทัพกลับไป ครั้นพอรุ่งเช้าพวกบรรดากะเหรี่ยงที่ไม่ได้รับอันตรายใด ๆ เลยแม้แต่น้อย ก็ออกจากที่ซ่อนในถ้ำมาสังเกตุการณ์ เห็นปลอกกระสุน และลูกปืนตกกระจายอยู่เต็มไปหมด แต่ไม่มีกระสุนแม้แต่เพียงนัดเดียว ที่จะวิ่งผ่านเข้ามาถึงข้างในที่พวกตนซ่อนอยู่ได้ ก็แปลกใจ เลยคิดว่าถ้ำแห่งนี้คงต้องมีของดีของวิเศษอยู่แน่ ๆ เลยสำรวจในถ้ำดูว่ามีอะไรดี จึงได้เจอกับ กองพระขนาดย่อม ๆ ที่วางกองกันไว้อยู่ในถ้ำนั้น แต่พวกตนเป็นกะเหรี่ยงคริสต์จึงไม่ทราบว่าคืออะไร จึงได้นำมาให้หลวงพ่ออุตตมะดู เมื่อได้พิจารณาดูหลวงพ่อก็ทราบทันทีว่านี่คือ พระยอดขุนพลบุเรงนอง ที่เคยได้ยินเรื่องราวมานั่นเอง จึงได้สั่งให้หัวหน้ากะเหรี่ยงคนนี้พาคนไปช่วยกันขนพระออกมาจากถ้ำ และนี่เองคือปฐมเหตุแห่งการ แตกกรุ ของพระยอดขุนพลบุเรงนอง สำหรับพระยอดขุนพลบุเรงนองนี้ ปัจจุบันได้กลายเป็นของดีที่หาได้ยากเป็นอย่างยิ่ง อันเป็นที่ใฝ่ฝันสำหรับบรรดาศิษย์ใกล้ชิดของหลวงพ่ออุตตมะ รวมทั้งผู้ที่รู้ประวัติความเป็นมา เพราะนอกจากผู้ที่รู้ความเป็นมาที่แท้จริง ต่างก็พากันหวงสุด ๆ แล้ว ด้วยระยะเวลาที่ล่วงเลยมาเนิ่นนานถึง 400 กว่าปีมาแล้ว พระบุเรงนองที่สร้างด้วยเนื้อดินผสมว่าน ได้ชำรุดแตกหักไปเป็นอันมาก จึงทำให้มีน้อยคนนักที่จะได้ครอบครองพระยอดขุนพลที่นับเป็นจักรพรรดิ์พระเครื่องแห่งลุ่มแม่น้ำอิระวดีอย่างแท้จริง พระบุเรงนองจะมีด้วยกันหลายพิมพ์ทรง ซึ่งจะมีความแปลกอยู่ที่ว่าแต่ละองค์นั้นจะไม่มีองค์ไหนเหมือนกันเลย จะมีความแตกต่างกันไปเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว และส่วนใหญ่ด้านหลังองค์พระ จะมีรูปกบอยู่ บางท่านก็เรียกว่า พระบุเรงนองหลังกบ เพราะคนโบราณนั้นให้ความสำคัญกับกบมาก เพราะดินแดนสุวรรณภูมิบริเวณแถบนี้ มีความอุดมสมบูรณ์ในทุกๆอย่าง และสัตว์ที่มีสัญลักษณ์ของความสมบูรณ์ก็คือ "กบ" นั่นเอง
    สำหรับพระองค์ที่โชว์นี้ เป็นวัตถุมงคลของหลวงพ่ออุตตมะรุ่นนี้ นับว่าเป็นของดีที่น่าใช้มากที่สุดอย่างหนึ่งของหลวงพ่อ แต่หลาย ๆ คนไม่ค่อยรู้จัก บางคนก็รู้แต่มองข้ามไป โดยไม่รู้ว่านี่แหละคือ ของวิเศษสุดยอดจริง ๆ ซึ่งมีประวัติความเป็นมาดังนี้ เมื่อประมาณ พ.ศ.2500 กว่า ๆ หลังจากหลวงพ่ออุตตมะได้มาสร้างวัดวังก์วิเวการามแล้ว ได้มีชาวบ้านจากฝั่งพม่าที่มีความนับถือหลวงพ่ออุตตมะนำเอาพระเนื้อดินผสมว่านพิมพ์หนึ่งมาให้ท่านดู โดยบอกว่าได้พระพิมพ์นี้มาจากถ้ำในประเทศพม่า เมื่อได้พิจารณาดูแล้วหลวงพ่อก็บอกว่าเป็นพระเครื่องเก่าแก่ที่มีอายุการสร้างหลายร้อยปี เพื่อสืบพระศาสนา และใช้ในการรบสมัยก่อน ชาวบ้านผู้นั้นจึงได้บอกหลวงพ่อว่า พระพิมพ์นี้ยังมีอยู่ในถ้ำอีกมากมาย และได้ชวนสมัครพรรคพวกไปขนพระพิมพ์นี้ออกมาถวายหลวงพ่อ ซึ่งระหว่างการเดินทางซึ่งต้องย่ำด้วยเท้าเปล่ามาตลอดทางอันแสนยาวนานนั้น พระบางองค์ที่อยู่ในถ้ำ อยู่ในที่เย็นชื้นมาโดยตลอด เมื่อกระทบกับอากาศร้อน และมีการกระทบเทือนจากการขนย้าย ก็เกิดแตกหักชำรุดเสียหายไปเป็นจำนวนไม่น้อย เมื่อได้พระมาแล้ว ท่านได้คัดเอาพระที่มีสภาพสมบูรณ์ มาปลุกเสกอีกครั้งหนึ่ง จากนั้นก็ได้แจกให้กับลูกศิษย์ลูกหาและชาวบ้านที่ไปกราบนมัสการท่าน หลังจากนั้นหลวงพ่อเห็นว่าพระที่แตกหัก และชำรุดก็มีอยู่เป็นจำนวนมาก หากจะทิ้งไปก็เปล่าประโยชน์ จึงให้ลูกศิษย์เอาพระที่ชำรุดเหล่านั้นไปทำการบดให้ละเอียด แล้วเอามาผสมกับ ผงใบลาน ว่าน เกสรดอกไม้ และผงพุทธคุณของท่านเอง แล้วกดลงบนพิมพ์ที่ทำเลียนแบบพิมพ์ของเก่าขึ้นมาก จากนั้นหลวงพ่อก็ทำการปลุกเสกพระที่สร้างขึ้นอีกเป็นเวลานาน เมื่อเห็นว่ามีพุทธคุณเต็มที่แล้วก็นำออกมาแจกจ่าย พุทธลักษณะของพระผงบุเรงนองออกศึกของหลวงพ่ออุตตมะ สัณฐานคล้ายรูปไข่ผ่าซีก ด้านหน้าเป็นรูปพรพุทธปฏิมากรประทับนั่งขัดสมาธิราบแบบมารวิชัย มีเส้นไขว้เป็นรูปกากบาทบริเวณพระอุระ (อก) เหนือพระอังสา (ไหล่) ทั้ง 2 ข้างปรากฎเส้นเฉียงขึ้นไปดูเหมือนกับสะพายดาบคู่ แต่จริง ๆ แล้วเป็นพุทธลักษณะของพระพุทธปฏิมากรทรงเครื่องแบบศิลปะพม่า ส่วนด้านหลังมีลักษณะอูมเล็กน้อยไม่ปรากฎรายละเอียดและอักขระใด ๆ โดยพระบุเรงนองรุ่นแรกของหลวงพ่ออุตตมะนี้ ทำออกมาเป็น 2สีด้วยกัน คือ สีดำ และสีน้ำตาล ส่วนด้านหลังจะมีทั้งรูปกบและไม่มีรูปกบ พระผงบุเรงนองนี้เป็นพระดีที่น่าใช้ พุทธคุณสูง มีประสบการณ์มาก จึงทำให้มีการเสาะหากันอย่างมากมาจนทุกวันนี้ เพราะเมื่อใครเป็นเจ้าของก็ล้วนแต่หวงแหนทั้งสิ้น
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 กรกฎาคม 2016
  7. prakrueng

    prakrueng เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    14,063
    ค่าพลัง:
    +1,867
    ปิด1299g พระมงคลมหาลาภ วัดสารนาถธรรมาราม ปี 2499 พิมพ์สมเด็จ3ชั้น ขนาดพระ 2.7 x 4 ซม. ราคา 550 บาท ค่าส่ง 50 บาท / ครั้ง


    พระมงคลมหาลาภ วัดสารนาถธรรมาราม ปี 2499 พิมพ์สมเด็จ3ชั้น
    เป็นพระ สมเด็จแบบสมเด็จพระพุฒาจารย์ พระแบบสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ พระพุทโธเล็ก พระวัดตะไกร และพระแบบวัดนางพระยา ฯลฯ พระเครื่องเหล่านี้สร้างเป็นที่ระลึกในงานสมโภชพระพุทโธภาสชินราชจอมมุนี ซึ่งสร้างที่ วัดสัมพันธวงศ์ พระนคร แล้วเชิญไปประดิษฐานเป็นพระประธาน ณ วัดสารนาถธรรมราม อำเภอแกลง จังหวัดระยอง พร้อมด้วยพระอัครสาวกซ้ายขวา เมื่อวันที่ ๕ - ๓๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๙๙ นั้น บางท่านยังไปทราบประวัติที่ควรทราบ ซึ่งเป็นเหตุจะให้เกิดความเลื่อมใสศรัทธา เพื่อได้เคารพบูชาให้แน่บแน่น สมกับเป็นปูชนียวัตถุที่ศักดิ์สิทธิ์ เป็นมงคลเหตุเครื่องเจริญอายุ วรรณะ สุขะ พละ แลลาภยศ สรรเสริญ สมบัติเกียรติศักดิ์ แลคุณธรรม คือเป็นสือสำคัญที่จะให้ใจเข้าถึงอิฐผลนั้น ๆ อันนับว่าเป็นกำลังอันยิ่งใหญ่สำหรับชีวิต สามารถให้ถึงภาวะอันเป็นอิสระเต็มที่ มีความเกษมนิรันดร เมื่อสร้างแจ้งให้ทราบแต่การประกอบพิธีบันจุพุทธมนต์เป็นพิเศษที่ยิ่งใหญ่ โดยสังเขป ซึ่งยังไม่เคยเห็นทำที่ไหน คือจัดที่บูชาพร้อมเครื่องสังเวยต่างๆ มีเทียนธูป ข้าวตอก ดอกไม้ ๗ สี แลอาหารผลไม้ถึงอย่างละ ๓๗๕ ที่มีเบญจา มีเศวตฉัตร ๙ ชั้น สูง ๖ ศอก ๘ ต้น บายศรีเงิน บายศรีทอง ๙ ชั้น สูง ๖ ศอก อย่างละ ๘ ต้น บันจุพระพุทธมนต์ลงไปในน้ำ และผงที่จะสร้างพระนั้น โดยนิมนต์อาจารย์ผู้มีชื่อเสียงหลายวัดทำพิธีประจุมนต์ เข้าพิธีปลุกเศกมี - พระพรหมมุนี (ผิน สุวโจ) วัดบวรนิเวศวิหาร - พระวรเวทย์คุณาจารย์ (เมี้ยน ปภสสโร) วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม - พระมหารัชชมังคลาจารย์ - หลวงพ่อสด วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ - พระครูวินัยธรเฟื่อง (ญาณปปทีโป) - หลวงพ่อลี วัดอโศการาม จ.สมุทรปราการ (ช่วยทำพิธีและประสานงานด้วย) - พระสอาด อภิวฒฒโน วัดสัมพันธวงศ์ - พระครูนอ วัดกลางท่าเรือ อยุธยา - พระอาจารย์บุ่ง วัดใหม่ทองเสน - พระชอบ สัมมาจารี วัดอาวุธวิกสิตาราม ธนบุรี เป็นต้น พร้อมด้วยบันจุ เทพมนตพรหมมนต์ โดยเชิญเทพแลพรหมผู้มีชื่อเสียงเก่าๆ มาเข้าทรงประกอบพิธีอธิษฐานบันจุมนต์ลงด้วย และบันจุมนต์โยคีโดยโยคีฮาเร็บ (อาจารย์ชื่น จันทรเพ็ชร) ผู้มีชื่อเสียงและ พ.ต.อ.ชลอ อุทกภาชน์ ผู้เป็นศิษย์เป็นผู้ทำพิธีบรรจุ เสร็จพิธีแล้ว จึงได้ใช้ผงประสมทำเป็นองค์พระได้มงคลฤกษ์ จึงได้ทำพิธีปลุกเศกพระเครื่องนั้นอีกครั้งหนึ่ง พระเครื่องที่จะทำพิธีปลุกเศกนั้น ห่อด้วยผ้าขาว ๗ ชั้น ผ้าเขียว ๗ ชั้น พิธีนอกนั้นเหมือนเมื่อบันจุมนต์ลงในผงแลน้ำที่จะสร้างพระ ตั้งน้ำมนต์สำหรับแจกผู้ต้องการซึ่งมาร่วมพิธี ๔๐ ตุ่ม แต่ไม่ได้กล่าวถึงผงที่นำมาประสมสร้างพระนั้นว่ามีอะไรบ้าง มีผู้สนใจต้องการทราบอยู่เป็นจำนวนมา จึงสมควรเขียนประวัติ เนื่องด้วยผงที่นำมาประสมสร้างพระเครื่องนั้น ให้ท่านทราบไว้ด้วย ดังต่อไปนี้ ๑. ผงขอจากพระอาจารย์ต่าง ๆ ที่ท่านทำและรวบรวมไว้หลายวัด เช่น วัดพระเชตุพน วัดตรีทศเทพ และวัดสัมพันธวงศ์ ฯลฯ ผงแป้งที่ทำแลผงจากพระของเก่าบ้าง ๒. ผงพระที่ทำด้วยว่านต่างๆ ที่นิยมว่าเป็นมงคลศักดิ์สิทธิ์ ๑๐๘ อย่าง ทำจากดอกไม้บูชาพระต่างๆ ๑๐๘ อย่าง ๓. ผงที่ทำด้วยดินจากท่าน้ำ ๗ ท่า และจากสระน้ำ ๗ สระ ๔. ผงที่ทำด้วยเอาคัมภีร์เก่าๆ ทั้งใบลานแลสมุดข่อยมาเผาบด ตั้งแต่หมายเลข ๑ ถึง ๕ นี้ประสมสร้างพระผงรุ่นก่อน แล้วเอาบดผสมเข้ากัน กับผงใหม่ที่นำมาเข้าพิธีนี้ด้วย ๕. ผงที่ได้จากดินที่สังเวชนียสถาน ๔ แห่งในอินเดีย คือ ๑ ดินที่ลุมพินีระหว่างกรุงกบิลพัสดุ์และเทวทหะ ซึ่งเป็นที่ประสูติของพระพุทธเจ้า ๒ ดินที่มหาโพธิพุทธคยาที่ตรัสรู้ ๓ ดินทีสารนาถ มฤคทายวัน เมื่องพาราณสี ซึ่งเป็นที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมจักร ๔ ดินที่กุสินาราซึ่งเป็นที่พระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพาน ๖. ดินจากสถานที่สำคัญอีก ๙ แห่ง คือดินจากสถานที่พระพุทธเจ้าเสด็จเสวยวิมุติสุข ๗ แห่ง บริเวณพุทธคยา มีที่รัตนะจงกลม แลที่สระมุจลิน เป็นต้น แลดินที่พระคันธกุฏีที่ประทับของพระพุทธเจ้าบนเขาคิชกูฏ (เมืองราชคฤห์) ๑ ดินที่พระคันธกุฏีที่ประทับในเมืองสาวัตถี ๓ ซึ่งพระครูสุภารพินิจ (โทน สุขพโล) วัดสัมพันธวงศ์ ได้ไปนมัสการปูชนียสถานนั้นๆ และได้นำมาเมื่อปี พ.ศ.๒๔๙๗ ผู้ที่มีพระเครื่องแบบพุทธมงคลมหาลาภ พระแบบสมเด็จพระพุฒาจารย์ เป็นต้นไว้บูชา เป็นอันได้ระลึกถึงแลบูชา สังเวชนียสถานด้วย ๗. ผงปูนขาวหินราชบุรี ๘. ผงปูนซิเมนต์ขาว และนอกจากนี้ ก็ยังมีดินเหนียวอย่างดี สีเหลือง แลน้ำอ้อย เป็นต้น
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 กรกฎาคม 2016
  8. prakrueng

    prakrueng เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    14,063
    ค่าพลัง:
    +1,867
    ปิด1301g สมเด็จ พิมพ์แหวกม่าน หลวงปู่นาค วัดระฆัง องค์พิเศษฝังไม้ ขนาดพระ 2.7 x 4 ซม. ราคา 500 บาท ค่าส่ง 50 บาท / ครั้ง



    พระเทพสิทธินายก
    (หลวงปู่นาค โสภโณ)
    อดีตเจ้าอาวาสวัดระฆังโฆสิตาราม
    กรุงเทพมหานคร


    ชื่อ นาค
    นามสกุล มะเริงสิทธิ์
    ชาติภูมิ บ้านปราสาท ตำบลจันอัด (ตำบลเมืองปราสาท ในปัจจุบัน) อำเภอโนนสูง จังหวัดนครราชสีมา
    ชาติกาล วันศุกร์ ที่ ๑ สิงหาคม พ.ศ.๒๔๒๗ (ขึ้น ๑๐ ค่ำ เดือน ๙ ปีวอก จุลศักราช ๑๑๔๖) เวลา ๑๙:๑๐ น.
    ทวด หลวงเริง ต้นตระกูลมะเริงสิทธิ์ (เป็นตระกูลผู้มีอันจะกินตระกูลหนึ่งแห่งเมืองนครราชสีมา
    ปู่ ย่า ปู่ชื่อ ขุนประสิทธิ์ (อยู่) เป็นนายอากรเมืองโคราช
    ย่าชื่อ ฉิม มะเริงสิทธิ์
    ตา ยาย ตาชื่อ พระวิเศษ (ทองศุข)
    ยายชื่อ อิ่ม
    บิดาชื่อ นายป้อม มะเริงสิทธิ์
    มารดาชื่อ นางสงวน มะเริงสิทธิ์
    ญาติพี่น้องร่วมบิดามารดา มี ๔ คน คือ
    ๑.พระเทพสิทธินายก (นาค มะเริงสิทธิ์)
    ๒.พระภิกษุโชติ มะเริงสิทธิ์
    ๓.นางทุเรียน ปภาวดี
    ๔.นางอุดร จุลรัษเฐียร

    หลวงปู่นาค โสภโณ วัดระฆังโฆสิตาราม กรุงเทพฯ

    ชีวิตวัยเยาว์
    เป็นเด็กใฝ่แสวงหาความรู้ใส่ตัว เพื่อเป็นเกียรติประวัติแก่วงศ์ตระกูล ตั้งแต่สมัยบ้านเมืองยังไม่มีโรงเรียน เด็กผู้ชายสมันนั้นต้องอาศัยวัดเป็นสถานที่เรียนหนังสือ บิดามารดาพาท่านมาฝากเป็นเด็กวัด อยู่กับพระครูสังฆวิจารย์ (มี) ผู้เป็นลุง ที่วัดบึง ใกล้ประตูชุมพล นครราชสีมา ได้รับการอบรม อ่าน เขียน เรียนหนังสือทั้งภาษาไทย ภาษาขอม ภาษาบาลี อาศัยที่ท่านเป็นคนมีสติปัญญาเฉลียวฉลาดเล่าเรียนเก่ง ความทรงจำดี มีความประพฤติเรียบร้อยอาจารย์จึงแนะนำให้เดินทางเข้าศึกษาเล่าเรียนต่อในสำนักที่ดีๆ ในกรุงเทพฯ เพื่อความเจริญก้าวหน้าสืบไป


    บรรพชา
    ประมาณปี พ.ศ.๒๔๔๐ อายุได้ ๑๓ ปี ท่านได้บรรพชาเป็นสามเณร ณ วัดบึง ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา โดยมีพระครูสังฆวิจารย์ (มี) เป็นพระอุปัชฌาย์


    เข้ากรุงเทพฯ
    เมื่อ บรรพชาเป็นสามเณรแล้ว ท่านได้เดินทางเข้ากรุงเทพฯ โดยกองคาราวานวัวต่าง มีผู้ร่วมเดินทางประมาณ ๓๐ คน เดินทางจากโคราชรอนแรมมาเป็นเวลาแรมเดือน จวนจะถึงจังหวัดสระบุรี ท่านเห็นกุลี (กรรมกร) จำนวนมากกำลังกรุยทางเพื่อสร้างทางรถไฟไปนคราชสีมา พอถึงเมืองสระบุรีท่านรู้สึกไม่ค่อยสบาย บิดาจึงพาแยกออกจากกองคาราวาน ฝากตัวเป็นลูกศิษย์อยู่กับพระภิกษุรูปหนึ่งมีศักดิ์เป็นน้าที่วัดทองพุ่มพวง สระบุรี หลวงน้าช่วยอุปการะอยู่ที่วัดเป็นเวลานานหลายเดือนระหว่างนั้นท่านได้ศึกษา หาความรู้เพิ่มเติมต่อไปด้วย โดยมิได้ลดละความตั้งใจที่จะเดินทางเข้าศึกษาธรรมะบาลีในกรุงเทพฯ ให้ได้ในโอกาสหน้า ในที่สุดพระน้าชายก็ได้นำสามเณรนาคเดินทางเข้าถึงกรุงเทพฯ โดยนำไปฝากไว้กับพระอาจารยเลื่อม พระลูกวัดระฆังโฆสิตาราม ซึ่งกุฎิของท่านอยู่หน้าวัดใกล้ปากคลอง (ปัจจุบันเป็นที่ตั้งโรงเรียนสตรีวัดระฆัง)
    พระอาจารย์เลื่อม เป็นพระหลวงตาที่ชราภาพมาก แต่เป็นผู้เคร่งครัดในพระธรรมวินัย มีลูกศิษย์มาก ท่านเป็นปรมาจารย์ในทางวิปัสสนากัมมัฏฐาน ท่านได้พร่ำสอนสามเณรนาคด้วยความรักและเอ็นดู สามเณรนาคเองก็เป็นคนว่านอนสอนง่าย ยุคนั้นวัดระฆังโฆสิตารามมี พระธรรมไตรโลกาจารย์ ซึ่งต่อมาได้เป็นสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (มร.ว.เจริญ อิศรางกูร ณ อยุธยา) เป็นเจ้าอาวาสปกครองวัด สมเด็จองค์นี้เป็นศิษย์เอกของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหมฺรํสี) พระธรรมไตรโลกาจารย์มองเห็นว่า ต่อไปภายหน้าสามเณรนาคจะสร้างเกียรติประวัติดีเด่นเป็นเอกในสำนัก ทั้งการปริยัติคือการเล่าเรียนภาษาไทย ภาษาบาลี และการปฏิบัติในทางวิปัสสนากัมมัฏฐาน จึงรับสามเณรนาคไว้ในอุปการะ
    บ้านเมืองในสมันนั้น ฝั่งกรุงเทพฯ กับฝั่งกรุงธนบุรี แม้ห่างกันเพียงแค่แม่น้ำเจ้าพระยากั้นเท่านั้น แต่ก็มีความเจริญแตกต่างกัน กรุงเทพฯ เมืองหลวงใหม่มีความเจริญรุ่งเรืองมาก แต่วัดระฆังฯ ที่อยู่ฝั่งธนบุรีเมืองหลวงเก่า กลับดูเป็นเหมือนว่าอยู่ห่างไกลความเจริญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวัดระฆังฯ นั้น มีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาล รายล้อมด้วยเรือกสวนไร่นา เป็นดินแดนแห่งความสงบวิเวกวังเวง เหมาะสมเป็นที่ประพฤติพรตพรหมจรรย์ของพระสงฆ์องค์เจ้าผู้เคร่งครัดพระธรรมวินัยและใฝ่ปฏิบัติ


    การศึกษา
    หลวงปู่นาค เล่าว่า “พระอาจารย์นวล เป็นผู้เชี่ยวชาญภาษาบาลี เดิมทีจำพรรษาอยู่ที่วัดมหาธาตุ แต่ได้ข้าวฝากมาสอนบาลีอยู่ที่วัดระฆังฯ และได้เป็นอาจารย์สอนบาลีหลวงปู่ด้วย”

    พ.ศ.๒๔๔๒
    สามเณรนาค อายุได้ ๑๕ ปี ได้เล่าเรียนภาษาบาลีมีความรู้ถึงขั้นเข้าแปล บาลีเปรียญธรรม ๓ ประโยคเป็นครั้งแรกต่อหน้าพระที่นั่ง โดยมีพระเถรานุเถระทรงสมณศักดิ์หลายรูปเป็นกรรมการฝ่ายสงฆ์ ผลปรากฏว่าสามเณรนาคสอบแปลด้วยปากได้เปรียญธรรม ๓ ประโยค ได้รับพระราชทานไทยธรรมเครื่องอัฏฐบริขาร จากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕

    พ.ศ.๒๔๔๘
    สามเณรนาคมิได้หยุดยั้งความตั้งใจ พยายามศึกษาเล่าเรียนต่อและได้เข้าสอบแปลประโยคบาลีต่อหน้าพระที่นั่งอีกครั้งหนึ่ง ผลปรากฏว่าสอบไล่ได้เปรียญธรรม ๔ ประโยค โดยการแปลด้วยปาก ซึ่งเป็นการยากสำหรับยุคนั้น แต่ละครั้งที่เข้าสอบจะมีพระภิกษุสามเณรสอบได้เพียงไม่กี่รูป


    อุปสมบท
    พ.ศ.๒๔๔๘
    พระธรรมไตรโลกาจารย์ (ม.ว.ร.เจริญ อิศรางกูล ณ อยุธยา) ผู้อุปการะสามเณรนาค เห็นว่ามีอายุครบอุปสมบทเป็นพระภิกษุได้แล้ว จึงจัดการนิมนต์พระมีสมณศักดิ์สูงมาเป็นพระอุปัชฌาย์อาจารย์ ในพิธีการอุปสมบท ณ พระอุโสถวัดระฆังโฆษิตาราม โดยมี
    - สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ฤทธิ์) วัดอรุณราชวราราม เป็นพระอุปัชฌาย์
    - สมเด็จพระวันรัต (ฑิต) วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฏ์ เป็นพระกรรมวาจาจารย์
    - พระธรรมโกษาจารย์ (แพ) วัดสุทัศนเทพวราราม เป็นพระอนุศาสวนาจารย์ (ต่อมาได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช)
    สำหรับพระธรรมไตรโลกาจารย์ ได้เป็นผู้บอกอนุศาสน์ พระอุปัชฌาย์ให้นามฉายาพระมหานาคว่า “โสภโณ”

    พ.ศ.๒๔๔๙
    พระมหานาค โสภโณ เข้าสอบแปลเปรียญธรรม๕ ประโยคได้ แต่ไม่ได้เข้าสอบเปรียญธรรมต่อถึงประโยค ๖ ทั้งนี้เพราะเหตุที่ท่านมีภารกิจเป็นผู้รับใช้ใกล้ชิดถวายงานวัดให้เจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒโฆษาจารย์ เจ้าอาวาส


    เรียนวิปัสสนา
    ในระหว่างที่ศึกษาเล่าเรียนพระธรรมบาลีอยู่นั้น ท่านได้หาเวลาไปศึกษาทางวิปัสสนากัมมัฏฐานเพิ่มเติมกับพระอาจารย์ที่วัดอรุณราชวราราม (วัดแจ้ง) และวัดราชสิทธาราม (วัดพลับ) และได้ลงมือปฏิบัติจิตภาวนาอย่างเคร่งครัด โดยเพียรพยายามศึกษาและฝึกปฏิบัติอยู่นานถึง ๑๐ ปี ก็สามารถทำมูลกัมมัฏฐานเป็นฌานวิปัสสนาสามารถส่งกระแสจิตได้ ดังมีเรื่องเล่าว่า ที่วัดระฆังโฆสิตาราม ในครั้งหนึ่งมีลูกโยคีมาฝึกทำวิปัสสนา จนสามารถถอดวิญญาณดูนรกสวรรค์ และท่องเที่ยวไปในสถานที่ต่างๆ ได้ เป็นเวลานานถึง ๒ วัน ก็ยังไม่คืนสติ ยังคงนั่งสมาธิอยู่เช่นนั้น
    ท่านเจ้าประคุณพระเทพสิทธินายก (หลวงปู่นาค) ในฐานะที่เป็นผู้อำนวยการฝึกสอนอยู่ จึงได้นั่งสมาธิส่งกระแสจิตไปตามวิญญาณของลูกโยคีผู้นั้น แล้วไปพบอยู่ที่สุสานวัดดอน เขตยานนาวา ปรากฏว่า เห็นกำลังเที่ยวเพลิดเพลินอยู่ ท่านจึงส่งกระแสจิตเตือนวิญญาณนั้น ให้กลับคืนร่างตามเดิม เพราะล่วงมา ๒-๓ วันแล้ว ถ้าหากล่าช้าจะคืนเข้าร่างเดิมไม่ได้ เพราะร่างกายอาจเปื่อยเน่าเสียก่อน วิญญาณของลูกโยคีผู้นั้นจึงได้สติ แล้วกลับคืนเข้าร่างตามเดิม ณ ที่นั่งสมาธิอยู่ในศาลาวัดระฆังฯ
    นอกจากนี้ยังมีเรื่องเล่าว่า คุณโยมของท่านป่วยหนักอยู่ที่จังหวัดนครราชสีมา โดยมิได้ส่งข่าวคราวถึงท่าน แต่ท่านก็สามารถหยั่งรู้ได้ในสมาธิ แล้วนำหยูกยาไปรักษาพยาบาลได้อย่างถูกต้องเพราะท่านใช้กระแสจิตในทางวิปัสสนาเป็นตัวกำหนดจิตทำให้เกิดเป็นพลังขึ้นมา เป็นเหตุให้ท่านคิดสร้าง พระสมเด็จ ปี พ.ศ.๒๔๘๔ ขึ้นมา โดยอาศัยตำราของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหมฺรํสี) ระหว่างนั้นเป็นเวลาที่บ้านเมืองเกิดสงครามเอเชียบูรพาอยู่ ท่านจึงได้แจกจ่ายพระสมเด็จดังกล่าวให้ทหารติดตัวไปในสมรภูมิ เพื่อเป็นการบำรุงขวัญและกำลังใจแก่ทหารอีกส่วนหนึ่งด้วย พระสมเด็จที่หลวงปู่นาคท่านได้จัดสร้างขึ้นครั้งนั้น และที่สร้างขึ้นในรุ่นต่อๆ มา ปรากฏว่า ได้ก่ออภินิหารคงกระพันชาตรี มีพลังทางเมตตามหานิยม มีเกียรติคุณเป็นเยี่ยมในวงการพระเครื่อง ตลอดมาตราบเท่าทุกวันนี้


    หน้าที่การงาน
    พ.ศ.๒๔๖๗
    - เป็นผู้รักษาการแทนเจ้าอาวาสวัดระฆังโฆษิตาราม

    พ.ศ.๒๔๖๘
    - เป็นเจ้าสำนักเรียนวัดระฆังโฆษิตาราม


    เกียรติคุณ
    - เป็นพระปฏิบัติเคร่งครัดพระธรรมวินัย
    - เป็นพระวิปัสสนาจารย์มีจิตใจสงบเป็นสมาธิ สามารถเข้าวิปัสสนาถึงขั้นถอดจิตได้
    - สร้างวัตถุมงคล พระผงสูตรสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหมฺรํสี) มากมายหลายรุ่น
    - นามท่านชาวบ้านเรียกขานติดปากว่า “หลวงปู่นาค” วัดระฆังฯ ตราบเท่าถึงทุกวันนี้


    สมณศักดิ์
    พ.ศ.๒๔๖๔
    - ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญ ที่ พระธรรมกิติ

    พ.ศ.๒๔..
    - ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นราช ที่ พระราชโมฬี

    พ.ศ.๒๔๗๔
    - ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นเทพ ที่ พระเทพสิทธินายก


    มรณภาพ
    ท่ารมรณภาพด้วยโรคชรา ที่โรงพยาบาลศิริราช จังหวัดธรบุรี เมื่อวันศุกร์ ที่ ๑๕ มกราคม พ.ศ.๒๕๑๔ เวลา ๐๔:๔๕ น. สิริรวมอายุได้ ๘๗ ปี อยู่ในสมณเพศ ๗๕ ปี เป็นเจ้าอาวาสครองวัดระฆังโฆสิตาราม อยู่ ๔๗ ปี นับว่าเป็นเจ้าอาวาสที่ครองวัดนานที่สุดองค์หนึ่ง

    ข้อมูลอ้างอิงจาก : http://sites.google.com/site/nongwaa...yk-nakh-soph-o
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 พฤศจิกายน 2015
  9. jaya

    jaya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,110
    ค่าพลัง:
    +2,183
    วันนี้ได้รับพัสดุแล้วครับ ขอบคุณครับ
     
  10. ktv

    ktv เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2015
    โพสต์:
    1,159
    ค่าพลัง:
    +1,166
    รายการที่ 268 ทางk.prakrueng จองไว้ให้ผมหรือเปล่า หรือ สมาชิกท่านอื่นจองครับ
     
  11. ktv

    ktv เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2015
    โพสต์:
    1,159
    ค่าพลัง:
    +1,166
    รายการที่ 268 ทาง k.prakrueng จองไว้ให้ผมหรือเปล่าครับ หรือว่า ทางสมาชิกท่านอื่นจองครับ
     
  12. prakrueng

    prakrueng เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    14,063
    ค่าพลัง:
    +1,867
    รายการที่ #268g จองไว้ให้คุณ tv vong ครับ
     
  13. prakrueng

    prakrueng เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    14,063
    ค่าพลัง:
    +1,867
    ส่งพระแล้วครับ คุณ tv vong : EMS EN 560102782TH ขอบคุณครับ
     
  14. ktv

    ktv เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2015
    โพสต์:
    1,159
    ค่าพลัง:
    +1,166
    รายการเดิม 268g จองเพิ่มรายการ 1293g โอนแล้วจะแจ้งชื่อ-ที่อยู่ทาง pm นะคับ
     
  15. prakrueng

    prakrueng เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    14,063
    ค่าพลัง:
    +1,867
    ปิด1303g สมเด็จแช่น้ำมนต์ ลป.นาค วัดระฆัง ปี 2495 สภาพสวย ขนาดพระ 2.5 x 3.7 ซม.ราคา 450 บาท ค่าส่ง 50 บาท/ครั้ง
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 ตุลาคม 2015
  16. prakrueng

    prakrueng เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    14,063
    ค่าพลัง:
    +1,867
    1304g พระเนื้อดิน พิมพ์เล็บมือ กรุวัดราชนัดดา กทม. พระยุครัตนโกสินทร์ ขนาดพระ 1.3 x 1.7 ซม. สภาพสวย ราคา 400 บาท ค่าส่ง 50 บาท/ครั้ง
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  17. prakrueng

    prakrueng เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    14,063
    ค่าพลัง:
    +1,867
    1305g ขุนแผนเก่า เนื้อดินไม่ทราบที่ ขนาดพระ 1.7 x 3 ซม.ราคา 300 บาท ค่าส่ง 50 บาท/ครั้ง
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  18. thejirayu

    thejirayu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2006
    โพสต์:
    455
    ค่าพลัง:
    +2,088
    86g นางกวัก เนื้อผงน้ำมัน ลพ.กวย วัดโฆสิตาราม จองครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 กันยายน 2015
  19. prakrueng

    prakrueng เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    14,063
    ค่าพลัง:
    +1,867
    รับทราบการจอง 86g ครับ คุณ thejirayu มีค่าจัดส่ง 50 บาท/ครั้งด้วยนะครับ ขอบคุณครับ
     
  20. Somja

    Somja เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    816
    ค่าพลัง:
    +456
    1239g รูปหล่อโบราณ หลวงพ่อสง่า วัดหนองม่วง องค์นี้ยังอยู่มั้ยครับ
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...