PRAKRUENG 003 @ ตลาดนัดพระเครื่อง ถูกๆ @

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย prakrueng, 10 มิถุนายน 2014.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. jaya

    jaya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,110
    ค่าพลัง:
    +2,183
    ขอจองรายการนี้ครับ
    1208g กลีบบัวหลังยันต์ เนื้อเมฆพัตรเก่า ไม่ทราบที่ น.77
     
  2. prakrueng

    prakrueng เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    14,063
    ค่าพลัง:
    +1,867
    รับทราบการจองครับ กำหนดระยะเวลาการจองภายใน 4 วันครับ คุณ JAYA ขอบคุณครับ
     
  3. prakrueng

    prakrueng เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    14,063
    ค่าพลัง:
    +1,867
    1276g สมเด็จฐานเลขเจ็ด ลป.ยิ้ม วัดเจ้าเจ็ด อยุธยา หายาก ขนาดพระ 2 x 3 ซม.ราคา 500 บาท ค่าส่ง 50 บาท/ครั้ง
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 พฤศจิกายน 2015
  4. prakrueng

    prakrueng เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    14,063
    ค่าพลัง:
    +1,867
    1277g พระลีลา เนื้อดิน ลพ.อนันต์ วัดดอนมะเกลือ พระเกจิเก่าเมืองสุพรรณบุรี สภาพสวย ขนาดพระ 2.5x 5 ซม.ราคา 450 บาท ค่าส่ง 50 บาท/ครั้ง
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  5. prakrueng

    prakrueng เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    14,063
    ค่าพลัง:
    +1,867
    1278g พระสังกัจจายน์จันทร์ลอย หายาก ลป.ทิม ออกวัดไผ่ล้อม ระยอง ปี 2513 สภาพใช้ ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 2.2 ซม.ราคา 850 บาท ค่าส่ง 50 บาท/ครั้ง

    พระเครื่องชุดนี้ พระคณาจารย์ที่มีอาคมขลังขมังเวท 9 รูป นั่งปรกอธิษฐานจิตปลุกเสกตลอดคืน ดังมีรายนามดังต่อไปนี้
    หลวงปู่ทิม(พระครูภาวนาภิรัติ) วัดละหารไร่ จ.ระยอง, หลวงพ่อลัด(พระวิจิตร) วัดหนองกระบอก จ.ระยอง, หลวงพ่อชื่น วัดมาบข่า จ.ระยอง, หลวงพ่อโต่ง วัดบ้านเพ จ.ระยอง, หลวงพ่อรวย วัดท่าเรือ จ.ระยอง, หลวงพ่อหอม วัดชากหมากป่าเรไร จ.ระยอง, หลวงพ่อคง วัดวังสรรพรส จ.จันทบุรี, หลวงพ่อสมชาย วัดแม่นางปลื้ม จ.อยุธยา, หลวงพ่อสละ วัดประดู่ทรงธรรม จ.อยุธยา
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  6. prakrueng

    prakrueng เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    14,063
    ค่าพลัง:
    +1,867
    1280g สมเด็จ 9 ชั้น พระครูลมูล (ส.พัฒนกิจ) วัดเสด็จ จ. ปทุมธานี แช่น้ำมนต์ไม่ฝังตะกรุด ขนาดพระ 3.2 x 5 ซม. ราคา 300 บาท ค่าส่ง 50 บาท/ครั้


    พระครูสาทรพัฒนกิจ (หลวงพ่อลมูล) วัดเสด็จ อำเภอเมือง จ.ปทุมธานี ศิษย์เอกของหลวงปู่เทียน วัดโบสถ์ พระเกจิดังแห่งเมืองปทุมธานี ท่านเป็นหนึ่งในพระเกจิอาจารย์ที่นั่งปรกในพิธี "จักรพรรดิมหาพุทธาภิเษก" ณ พระวิหารหลวงพ่อพระพุทธชินราช วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร จ.พิษณุโลก ปี2515 หลวงพ่อลมูล ท่านเป็นยอดพระเกจิที่เก่งมากๆ พลังจิตของท่านดีมาก จนชาวบ้านยกย่องเป็นเทพเจ้าแห่งสวนพริกไทย หลวงพ่อละมูล ท่านเองก็ชอบสร้างพระสมเด็จเช่นกันครับ เหมือนอาจารย์ท่าน คือหลวงปู่เทียน โดยหลวงปู่เทียน นอกจากท่านจะสำเร็จวิชาการทำผงวิเศษ ๕ ประการ คือ ผงปถมัง ผงมหาราช ผงอิทธิเจ ผงตรีนิสิงเห และ ผงพุทธคุณ แล้ว ท่านยังเป็นพระที่สำเร็จวิชา “ผง ๑๒ นักษัตร์” ซึ่งเป็นผงที่เขียนลบมาจากยันต์ ๑๒ นักษัตร์ ทั้ง ๑๒ ปี ดังนั้น พระเนื้อผงของท่านจึงดีเด่นสูงค่าไปด้วยพระพุทธคุณด้านเมตตามหานิยม อุดมโชคลาภ มีกินมีใช้ทุกปี ไม่ขัดสน เข้าได้กับทุกผู้คน ทุกปีเกิด สามารถป้องกันอันตรายต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นตลอดเวลาที่มีพระเครื่องของท่านพกพาอาราธนาติดตัวอยู่ เวลาดวงชะตาตกต่ำ ก็จะค้ำจุนไม่ตกอับจนเกินไป เวลาดวงชะตารุ่งโรจน์ ก็จะเสริมดวงชะตาให้เจริญรุ่งเรืองยิ่งขึ้น หลวงปู่เทียนท่านได้ถ่ายทอดวิชาผง ๑๒ นักษัตร์นี้ให้แก่ศิษย์ คือ หลวงพ่อลมูล โดยหลวงพ่อลมูลท่านจะทำพิมพ์ให้ต่างจากหลวงปู่เทียน และท่านก็ลบผงพุทธคุณเองด้วยเช่นกัน พระท่านน่าแขวน รุ่นเก่าๆหาก็ไม่ค่อยง่ายเช่นกัน ทางพื้นที่นิยมกันมากครับ จำไว้ว่าตะกรุดที่ฝังจะไม่เรียบร้อยเช่นกัน ม้วนไม่ค่อยกลมนะครับ วัตถุมงคลของท่านนั้นสามารถใช้ป้องกันภัยอันตราย จากสัตว์มีพิษต่างๆ เช่น งู ตะขาบ แมงป่อง สัตว์เลื้อยคลานทั้งหลาย ที่มีมากมายในสวนสมัยก่อนได้อย่างน่ามห้ศจรรย์ อีกทั้งยังมีพุทธคุณครบเครื่อง ไม่เป็นรองอาจารย์ของท่าน ทั้งคงกระพัน มหาอุด มหานิยม เมตตา โชคลาภ ลูกศิษย์ทั้งหลายล้วนทราบกันดี
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 กันยายน 2015
  7. prakrueng

    prakrueng เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    14,063
    ค่าพลัง:
    +1,867
    ปิด1281g สมเด็จ หลวงปู่จันทร์ วัดโฉลกหลำ เกาะพงัน เนื้อผงใบลาน ขนาดพระ 2.5 x 3.5 ซม. ราคา 500 บาท ค่าส่ง 50 บาท/ครั้ง


    หลวงพ่อจันทร์ ขันติโก
    ต้นตำนานพระสมเด็จ พระผงมวลสาร แห่งแดนใต้
    ที่เป็นหนึ่ง ไม่เป็นสองรองใคร!

    ประวัติหลวงพ่อจันทร์ ขันติโก

    หลวงพ่อมีนามเดิมว่า จันทร์ นามสกุล จันทร์อินทร์ เกิดเมื่อวันจันทร์ เดือน 10 ปีชวด ประมาณ 2443
    โยมบิดาของท่านชื่อ นายครบ โยมมารดาชื่อ นางทองดี มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน 6 คน คือ หลวงพ่อจันทร์, นางจอน, นายเกลื้อม, นางเคล้า, นางนวล, นางพัฒน์ จันทร์อินทร์ และน้องสาวต่างมารดา 1 คน คือ นางกระจ่าง พรหมรักษ์
    หลวงพ่อจันทร์เกิด ณ. บ้านมะเดื่อหวาน ตำบลเกาะพะงัน อำเภอเกาะพะงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี

    คลอดเอาเท้าออก
    เมื่อหลวงพ่อจันทร์คลอดนั้น กล่าวกันว่าท่านเอาเท้าออกก่อน ด้วยผู้คนสมัยนั้นเชื่อสืบต่อกันมาว่า เมื่อใครเกิดก้างปลาติดคอ หากกลืนกล้วย กลืนข้าวปั้นเป็นก้อนแล้ว ก้างปลายังไม่หลุด ก็ให้ไปหาคนที่เวลาคลอดเอาเท้าออกก่อน แล้วให้คนผู้นั้นเอาหัวแม่เท้าจุ่มน้ำ เอาน้ำนั้นให้กิน ก้างปลาจักหลุดแล
    ดังนั้น เมื่อคนละแวกบ้านมะเดื่อหวานมีปัญหา ก้างปลาติดคอ หลังจากหมดทางแก้แล้วก็มักมาหาหลวงพ่อจันทร์ ผู้เป็นดั่งเสมือนที่พึ่งสุดท้าย เพื่อขอให้ท่านเอาหัวแม่เท้าจุ่มน้ำ สำหรับใช้ดื่มแก้ก้างปลาติดคออยู่เสมอ หลวงปู่จันทร์ จึงเป็นผู้ช่วยปลดเปลื้องทุกข์บางประการของชาวบ้านในยุคที่วิทยาการทางแพทย์มีเพียงแค่ระดับภูมิปัญญาท้องถิ่น มาตั้งแต่อ้อนแต่ออก
    แม้หลวงพ่อจันทร์มรณภาพแล้ว หลายคนยังนิยมเอาเหรียญของท่านมาแช่น้ำทำเป็นน้ำมนต์ดื่มแก้อาการก้างติดคอกันอยู่เหมือนกัน ซึ่งก็ได้เห็นผลกันมาแล้วมากราย
    ศิษย์หลวงพ่อเพชร วชิโร
    ราวปี พ.ศ. 2456 เมื่ออายุประมาณ 13 ปี ท่านได้บรรพชาเป็นสามเณร ณ วัดมะเดื่อหวาน โดยมี หลวงพ่อเพชร วชิโร (พระครูวิบูลย์ธรรมสาร) เป็นพระอุปัชฌาย์ บวชแล้วสามเณรจันทร์ก็ติดตามไปอยู่รับใช้และเล่าเรียนอักขระวิธี กรรมฐานวิปัสสนา กับหลวงพ่อเพชรที่วัดเขาน้อย
    การได้ศึกษาฝึกฝนกับหลวงพ่อเพชรซึ่งเป็นพระที่เคร่งครัดเชี่ยวชาญชำนาญการสอนวิปัสสนากรรมฐาน นับเป็นโอกาสอันดียิ่งที่เสมือนเป็นการช่วยสร้างพื้นฐานอันแน่นหนาในเรื่องเอกัคตาจิต ให้ท่านตั้งแต่วัยเยาว์ รวมตลอดทั้งเคล็ดวิธีอุปเท่ห์ในทางเวทวิทยาคมบางประการด้วย เมื่อมีพื้นฐานที่แน่นหนา มั่นคง เหมาะสม ก็ย่อมเป็นเหตุปัจจัยให้เติบโต เจริญก้าวหน้าได้ดียิ่งในอนาคต
    สามเณรจันทร์ได้อยู่ศึกษาปฏิบัติ ปลูกสร้างพื้นฐานกับหลวงพ่อเพชร สุดยอดพระเถราจารย์ของเกาะพะงันเป็นเวลากว่า 2 พรรษาแล้วก็ลาสิกขาออกไปเผชิญโลกต่อไป
    ครั้นอายุครบอุปสมบทท่านได้บวชเป็นพระภิกษุ ตามประเพณีของลูกผู้ชายชาวไทย ณ วัดใหม่ (วัดศรีทวีป) อดีตเจ้าคณะอำเภอเกาะสมุยรูปที่สาม เป็นพระอุปัชฌาย์บวชอยู่ 2-3 พรรษาก็สละเพศบรรพชิต ลาสิกขา แล้วท่านก็มีครอบครัว ภรรยาของท่านชื่อ นางหีดนุ้ย เป็นชาวใต้ เกาะพะงัน มีบุตรธิดาด้วยกัน 2 คนคือ
    1. นายเจน จันทร์อินทร์
    2. นางเจิม ชำนาญกิจ
    ครอบครัวของท่านตั้งอยู่ที่ บ้านบ่อผุด เกาะสมุย หลังจากภรรยาของท่านถึงแก่กรรม ท่านก็เกิดเบื่อหน่ายฆราวาสวิสัย ตระหนักในไตรลักษณ์ที่ว่า
    “สรรพสิ่งล้วน เปลี่ยนแปร ไม่แท้เที่ยง
    ทุกสิ่งเพียง ของสมมุติ อย่ายึดมั่น
    มิใช่ตัว ใช่ตนจริง ทุกสิ่งนั้น
    ล้วนแปลงผัน ล้วนทุกข์ท้น มิทนทาน”
    ประมาณ พ.ศ.2489 ท่านได้เข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์อีกครั้งหนึ่งด้วยเจตจำนงแน่วแน่ที่จะยึดถือเป็นตัวตาย ตั้งใจที่จะให้ได้มีผ้าเหลืองห่อหุ้มศพ เป็นการบวชตลอดชีวิตที่จะไม่ลาสิกขาออกมาอีก
    ครั้งนี้หลวงพ่อจันทร์ อุปสมบทที่วัดสำเร็จ เกาะสมุยโดยมี พระครูทีปาจารคุณารักษ์ (มี อินทสุวัณโณ) อดีตเจ้าคณะอำเภอเกาะสมุย รูปที่ 4 เป็นพระอุปัชฌาย์ มีฉายาว่า “ขันติโก”
    เมื่อหลวงพ่อจันทร์บวชแล้ว ได้มาอยู่ปฎิบัติธรรมที่บ้านโฉลกหลำ สถานที่ที่ท่านพำนักเป็นเพียงที่พักสงฆ์ เรียกว่า ที่พักสงฆ์เจริญสุข ซึ่งมีเพียงศาลาหลังเล็กๆ สำหรับที่พระภิกษุพักอาศัย
    ครั้นประมาณต้นพุทธศตวรรษที่ 25 บ้านโฉลกหลำ ได้กลายเป็นท่าเรือประมง ที่บรรดาเรือประมงซึ่งจับปลาอยู่บริเวณใกล้เคียงมักมาขายส่งปลาให้แก่เรือรับซื้อที่เรียกว่า เรือห้องเย็น รวมทั้งอาศัยเป็นที่กำบังลมพักผ่อนและเติมเสบียงในช่วงฤดูที่มิใช่หน้าลมว่าว ครั้นถึงยามฤดูลมว่าวประมาณระหว่างเดือน (จันทรคติ) 12 ถึงเดือน 2 อ่าวโฉลกหลำเป็นจุดรับลมว่าว ภายในอ่าวมีคลื่นลมแรง เหล่าเรือประมงจะต้องใช้อ่าวแห่งอื่น เช่น อ่าวน้ำตกธารเสด็จ เป็นท่าเรือ
    ด้วยความเป็นท่าเรือดังกล่าว ทำให้โฉลกหลำเป็นแหล่งที่มีเงินสะพัด เป็นแหล่งงาน เป็นที่แสวงโชค เป็นแหล่งธุรกิจที่สำคัญของเกาะพะงันในขณะนั้น ก่อนที่เกาะพะงันกลายเป็นแหล่งที่ท่องเที่ยวในปัจจุบันนี้
    เมื่อหลวงพ่อจันทร์ มาพำนักอยู่ยังที่พักสงฆ์เจริญสุขแล้ว ท่านได้ก่อสร้างเสนาสนะต่างๆ รวมทั้งอุโบสถ กระทั่งทำที่พักสงฆ์ได้กลายเป็นวัดตามกฎหมาย โดยมีประกาศตั้งวัดเมื่อ วันที่ 14 กันยายน พ.ศ.2519 เรียกว่า สำนักสงฆ์โฉลกหลำ เมื่อได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา ในวันที่ 23 มิถุนายน พ.ศ.2520 จึงเป็นสภาพเป็นวัดโดยบริบูรณ์ และใช้ชื่อว่า ”วัด” ได้ตามกฎหมายแล้วทางวัดก็ได้จัดงานผูกพัทธสีมาในปี พ.ศ. 2522 หลวงพ่อจันทร์ ขันติโก จึงเป็นพลังสำคัญในการสร้างวัดและเจ้าอาวาสรูปแรกของวัดโหลกหลำ
    สร้างเมรุ
    หลวงพ่อจันทร์ ขันติโก ยังได้ชักชวนชาวบ้าน ภายใต้ความสนับสนุนร่วมแรงแข็งขันของท่านกำนันวุฒิ ชมอินทร์ อดีตกำนันดีเด่นของตำบลเกาะพะงัน คนดีที่โลกไม่เคยลืม ได้ช่วยกันสร้างเมรุในวัดโฉลกหลำ
    นับเป็นเมรุเผาศพแบบใหม่เป็นแห่งแรกของอำเภอเกาะพะงัน เพราะขณะนั้นวัดอื่นๆ ยังใช้เมรุแบบเก่าที่ตั้งโลงบนฐานปูน ตะแกรงเหล็ก ไม่มีอะไรปกปิด แล้วสุมเพลิงข้างล่างแบบที่ฝรั่งนักท่องเที่ยวเรียกแบบล้อเลียนว่า ที่กระทำบาบีคิว หรือ ที่ปิ้งบาบีคิว
    ขันติโก
    นายโชติ เมืองทอง เล่าว่าหลวงพ่อจันทร์ เป็นพระที่มีนิสัยใจคอเยือกเย็น ดีก็ไม่พูด ร้ายก็ไม่พูด แม้ใครนินทา ติเตียนก็ไม่พูด ไม่โต้ตอบ ใจคอท่านหนักแน่นมีขันติ มีความอดกลั้นต่อสิ่งที่ไม่ชอบใจ นับว่าหลวงพ่อจันทร์เป็นผู้ที่มีความอดกลั้น อดทนสมกับฉายาของท่าน
    หลงบ้าน
    ในงานวันขึ้นปีใหม่ ครั้งหนึ่งชาวบ้านโฉลกหลำจำนวนมากได้เข้าไปทำบุญปีใหม่ในวัดโฉลกหลำเพื่อความเป็นสิริมงคล จึงมีการนิมนต์หลวงพ่อจันทร์ มาอวยพรปีใหม่พร้อมทั้งประพรมน้ำพระพุทธมนต์
    นายโชติ เมืองทอง ซึ่งขณะนั้นไม่ค่อยเลื่อมใสนัก เมื่อมีผู้มาชวนไปรับการประพรมน้ำพระพุทธมนต์จากหลวงพ่อจันทร์ จึงได้กล่าวเป็นหมิ่นทำนองว่า “ประพรมน้ำ ถ้ายังไม่พอ ที่บ้านยังมีอีกบ่อ” เนื่องจากตามบ้านเรือนในท้องถิ่นไทยภาคใต้นั้นโดยส่วนมากนักขุดบ่อน้ำไว้สำหรับใช้สอยประจำบ้านแทบทุกหลัง
    คำกล่าวเชิงหมิ่นของนายโชติ มีความหมายว่า หากน้ำพุทธมนต์ที่หลวงพ่อจันทร์ใช้ประพรมอยู่ไม่เป็นการเพียงพอก็ให้ไปเอาน้ำในบ่อที่บ้านของตน ซึ่งอยู่ใกล้วัดมาใช้แทนด้วย มีเจตนาที่จะชี้ให้เห็นว่า น้ำพระพุทธมนต์ของหลวงพ่อจันทร์ ก็เหมือนกับน้ำในบ่อที่บ้านนั้นแหละหามีอะไรแตกต่างกันไม่
    เสร็จพิธีแล้วนายโชติ ก็ยังนั่งเสวนาอยู่ในวัด จนเริ่มมืด ตามบ้านเรือนและภายในวัดต่างเปิดไฟฟ้าสว่างไสว เมื่อเห็นว่าค่ำแล้วนายโชติก็เดินกลับบ้านซึ่งตั้งอยู่ใกล้ๆ วัด ห่างจากเขตวัดเพียงประมาณ 50 เมตรเท่านั้น
    แต่ปรากฏว่านายโชติเดินวนเวียนรอบวัดอยู่ 2-3 รอบ ก็ยังหาหนทางที่จะเดินจากวัดไปยังบ้านไม่พบ กระทั่งฝ่ายภรรยาเห็นว่าค่ำมืดมากแล้วยังไม่กลับบ้านก็เลยออกมาตามหา นั้นแหละนายโชติจึงสามารถกลับบ้านได้ถูก
    เหตุการณ์หลงบ้านตนเองครั้งนั้นใครๆ ต่างเข้าใจว่านายโชติ เมาจนกลับบ้านไม่ถูก แต่นายโชติปฎิเสธว่ามิได้เมามายขนาดนั้น และบ้านก็ยังอยู่ติดกับวัดมองกันก็เห็นเพราะตั้งอยู่ในที่โล่ง ไม่มีทัศนียภาพอื่นมาบดบัง อีกทั้งบริเวณใกล้วัดก็มิได้มีบ้านเรือนอยู่หนาแน่นแต่ประการใด กับการได้เคยเดินเข้าออกมาแต่ไหนแต่ไรถึงจะเมาสักขนาดไหนก็ย่อมเดินกลับได้ถูกอยู่ดี ส่วนเหตุที่เป็นดังนั้นคงเนื่องมาจากคำพูดที่นายโชติได้พูดเชิงดูหมิ่นบันดาลให้นายโชตหลงทาง เที่ยวเดินวนเวียนรอบวัด หาทางกลับบ้านไม่ถูก
    นายโชติยืนยันว่าที่หาทางกลับบ้านไม่ถูกในครั้งนั้นมิใช่เพราะความเมาอย่างแน่นอน แต่เป็นเพราะบางสิ่งบางอย่างลึกลับเชื่อว่าเป็นเพราะอิทธิฤทธิ์ของหลวงพ่อจันทร์ กระทำให้ตนต้องสำนึกว่าสงฆ์ผู้ปฎิบัติดีปฎิบัติชอบ มีศีล สมาธิและวิทยาคมย่อมกระทำบางสิ่งที่เหนือธรรมชาติ ต่างจากสามัญธรรมดา
    ตั้งแต่เหตุการณ์วันนั้นเป็นต้นมานายโชติได้เกิดความเลื่อมใสศรัทธาในอิทธิคุณของหลวงพ่อจันทร์เป็นอันมาก
    ไม่ค่อยจำวัด ในยามเวลากลางคืน
    บรรดาศิษย์ที่เคยอยู่รับใช้หลวงพ่อจันทร์ กล่าวพ้องต้องกันว่าในยามกลางคืนท่านไม่ค่อยจะจำวัด มักใช้เวลาในเพลากลางคืนสำหรับการสวดมนต์ภาวนา ทำสมาธิ กรรมฐาน เขียนผงเรียกสูตรนาม ทำพระ หรือปลุกเสกพระ โดยเฉพาะในคืนที่เป็นวันธรรมสวนะ ท่านมักทำพระ ปลุกเสกพระสมเด็จเสมอๆ
    หลวงพ่อจันทร์มักทำพิธีปลุกเสกพระเพียงลำพัง ท่านจะใช้เวลานั่งบริกรรมปลุกเสกพระเกือบตลอดทั้งคืน และทำการปลุกเสกติดต่อกันหลายราตรี กระทั่งประจักษ์แจ้งว่าเป็นการเพียงพอเพียบพร้อมอิทธิสรรพคุณแล้วจึงจักออกแจกจ่าย
    ด้วยความพิถีพิถันในการประสิทธิอิทธิคุณในองค์พระดังกล่าว จึงยังผลให้ผู้มีพระสมเด็จหลวงพ่อจันทร์บูชา ต่างมั่งมีมากมายหลากหลายประสบการณ์
    สติปัฏฐาน
    เพราะเหตุที่หลวงพ่อจันทร์ได้ใช้เวลากลางคืนปฏิบัติกิจต่างๆ ไม่ค่อยได้พักผ่อน ไม่ค่อยได้จำวัดในเวลากลางคืนเลย ท่านจึงต้องใช้เวลาพักผ่อนในตอนกลางวัน ช่วงบ่ายเป็นประจำ
    แต่น่าแปลกนักที่ว่า ขณะที่ท่านกำลังจำวัดอยู่นั้นเมื่อพระบวชใหม่รูปใดซึ่งมักชอบท่องจำบทสวดเสียงดังอยู่ในกุฏิใกล้ๆ กันนั้น เกิดออกเสียงอักขระในบทสวดมนต์ผิดพลาดคลาดเคลื่อนแม้เพียงตัวเดียว หลวงพ่อจันทร์ก็จะร้องทักเสียงที่ผิดอักขระทันที ทั้งๆ ที่ท่านกำลังจำวัดอยู่
    จึงเป็นที่เชื่อกันว่าหลวงพ่อจันทร์ คงปฏิบัติแนวสติปัฏฐานด้วย ดังนั้น แม้ยามนอนหลับขณะกำลังจำวัดอยู่ ก็ยังมีสติกำกับ ยังได้ยิน สามารถรับรู้อยู่ตลอดเวลา
    ศึกษาตำราหลวงพ่อเพชร
    มีตำราเป็นสมุดโบราณเล่มหนึ่งซึ่งบันทึกเรื่องราวเวทวิทยาคม มนตราอักขระเลขยันต์ พิธีอุปเท่ห์ต่างๆ ที่สืบทอดกันมาแต่บรรพกาล เป็นตำราของเก่าที่ หลวงพ่อเพชร วชิโร อดีตเจ้าคณะอำเภอเกาะสมุย รูปที่สอง พระเถราจารย์ที่ชาวประชานับถือกันว่าเป็น พระสงฆ์ระดับเหนือโลก องค์หนึ่งของสุราษฎร์ธานี
    หลวงพ่อจันทร์ได้เคยนำมาศึกษาฝึกฝนทดลองปฏิบัติในครั้งที่หลวงพ่อเพชรยังอยู่ในวัยหนุ่ม ตำราเล่มนี้มีชื่อเรียกขานในหมู่ลูกศิษย์ว่า ” ตำรา ตาขาว ” ซึ่งเป็นชื่อที่ตั้งตามนามของท่านผู้เป็นเจ้าของเดิม ด้วยเหตุที่ ตาขาว
    ผู้เป็นเจ้าของเดิมของตำราพระเวทเล่มนี้ มีศักดิ์ (ตามความเกี่ยวเนื่องทางสายเลือด) เป็นปู่ของหลวงพ่อจันทร์ ดังนั้นหลังจากหลวงพ่อเพชรมรณภาพแล้ว ตำราดังกล่าวจึงตกทอดสู่หลวงพ่อจันทร์ ท่านจึงได้รับตำราศักดิ์สิทธิ์ไว้เป็นคู่มือปฏิบัติ ประกอบกับหลวงพ่อจันทร์เคยมีพื้นฐานที่แน่นหนามั่นคงในทางเอกัคตาจิต ตั้งแต่ที่เคยบวชเป็นสามเณร เคยฝึกฝนปฏิบัติอยู่กับหลวงพ่อเพชร ครั้นมีตำราคู่มือปฏิบัติที่พร้อมสรรพ จึงทำให้ท่านสามารถบรรลุสัมฤทธิ์ผลได้ แม้จะเป็นการศึกษาด้วยตนเอง
    หนังเหนียว
    นายสามารถ เรืองโรจน์ เคยเห็นหลวงพ่อจันทร์ นั่งลับมีดโกนตราตุ๊กตาคู่ ซึ่งเป็นมีดโกนที่ผู้ใช้ต่างเชื่อถือในคุณภาพ ความคมกริบ เพื่อไว้สำหรับปลงเกศาในวันโกน หลวงพ่อจันทร์นั่งลับมีดโกนอยู่ครู่ใหญ่จนคมกริบดีแล้ว ท่านได้ใช้มีดโกนเล่มนั้นกรีดแขนของท่านอย่างแรง นายสามารถเห็นแล้วตกใจ คิดว่าเลือดคงไหลโกรกเป็นแผลเหวอะหวะ และงุนงงว่าอยู่ดี ๆไยท่านถึงได้ทำร้ายตัวเองเช่นนั้น
    แต่ปรากฏว่าคมมีดโกนมิอาจทำอันตรายใดๆ ให้แก่ผิวหนังของท่านได้ แม้ท่านจักได้กรีดซ้ำหลายหนก็ตาม
    อีกครั้งหนึ่ง นายชา ชมจันทร์ อาสาลับมีดโกนให้หลวงพ่อจันทร์ ได้นั่งลับมีดอยู่เป็นเวลานานกระทั่งเห็นว่าคมดีแล้วก็ยื่นมีดถวายท่านพร้อมกับพูดทำนองว่า ”มีดคมขนาดนี้ รับรองปลงผม 2-3 หัว ใช้เวลาไม่กี่นาที”
    หลวงพ่อจันทร์ รับมีดโกนมามองดูแล้วกล่าวว่า ”คมยังไง” พร้อมกับใช้มีดโกนนั้นกรีดแขนของท่านอย่างแรง แทนที่เลือดจะไหลทะลัก ผิวหนังเป็นแผลตามรอยมีดกรีดดั่งสามัญวิสัยตามปกติกลับไม่ เป็นว่าไม่ระคายผิวท่านเลย
    นายชาเห็นดังนั้นแล้วถึงร้องไห้โฮ บ่นว่า อุตสาห์นั่งลับอยู่ตั้งนานนึกว่าจะคม ที่ไหนได้กลับเชือดเนื้อเถือหนังหลวงพ่อจันทร์ก็ไม่เข้า
    เขียนผง
    เดิมทีเดียวหลวงพ่อจันทร์เขียนผงลบผงเก็บไว้สำหรับผสมแป้งหอมทาตัว เมื่อผู้ใช้หลายคนได้ประจักษ์ถึงสรรพคุณในทางเมตตามหาเสน่ห์ มหานิยม มีประสบการณ์บ่อยๆ เข้า ผู้ศรัทธาเลยขอให้ท่านทำเป็นพระ เมื่อผู้ศรัทธารบเร้าเรียกร้องมากๆ เข้าในที่สุดหลวงพ่อจันทร์ก็ได้ตอบสนองคำร้องขอของผู้ศรัทธา จึงทำพระรูปสี่เหลี่ยมอย่างที่นิยมเรียกกันโดยทั่วไปว่า พระสมเด็จ ออกมา โดยพระรุ่นแรกของท่านสร้างออกมาประมาณหลังจาก พ.ศ. 2510
    อนึ่ง หลวงพ่อจบ เรืองโรจน์ เคยบอกว่า หลวงพ่อจันทร์เป็นผู้มีความสามารถชำนาญใน การทำยันต์เต่าเรือน มาก โดยได้ศึกษาเคล็ดวิธีจากตำราตาขาวฉบับที่หลวงพ่อเพชร วชิโร เคยศึกษา
    นายสามารถ เรืองโรจน์ สมัยเมื่อเป็นนักเรียนชั้นประถมและเป็นเด็กวัดด้วย เคยแอบดูหลวงพ่อจันทร์ทำผงพระในกุฏิเวลากลางคืน เห็นท่านขึงผ้าขาวไว้ผืนหนึ่งที่หน้าโต๊ะบูชา ความสูงของผ้าอยู่ระดับศีรษะ (เวลานั่ง) แล้วท่านก็ก้มลงเขียนอักขระในกระดานชนวนที่วางอยู่ด้านล่างของผ้าขาว
    แท่งดินสอที่ใช้เขียนในอักขระเป็นแท่งผงปั้นที่ท่านได้จัดทำขึ้นเอง เขียนไปบริกรรมไปจนหมดแท่งผง แล้วท่านก็ลุกขึ้นทำการกวาดผงจากข้างบนผ้าขาวที่ขึงไว้ด้านบน
    นายสามารถยืนยันว่า ไม่เคยเห็นท่านกวาดผงจากกระดานชนวน เพราะผงได้ลอยขึ้นไปอยู่ทางด้านบนของผ้าขาวที่ขึงไว้ข้างบนซึ่งไม่ทราบว่าลอยขึ้นไปได้อย่างไรกัน
    นับว่าหลวงพ่อจันทร์มีกรรมวิธีทำผงที่แปลกกว่าใคร เพราะโดยส่วนมากพระคณาจารย์ต่างๆ มักใช้ผงพระจากกระดานชนวน หรือที่ทะลุลงใต้กระดานชนวน แต่หลวงพ่อจันทร์กลับใช้ผงที่ลอยทะลุผ้าขึ้นไปอยู่บนด้านบนของผ้าที่ขึงไว้เหนือศีรษะอีกทีหนึ่ง เป็นเรื่องอัศจรรย์มาก
    พระสมเด็จ
    พระสมเด็จหลวงพ่อจันทร์ได้สร้างออกมาเป็นระยะตลอดชีวิตของท่าน การจำแนกระหว่างรุ่นแรกกับรุ่นหลังๆ มักดูกันที่เนื้อหา ความอ่อน-แก่ของปูน คือพระรุ่นหลังๆ จะมีความแก่ปูนมากกว่ารุ่นแรกๆ วรรณะของพระยุคแรกมักมีสีน้ำตาลหรือเหลืองอ่อน หนึกนุ่มกว่า กับทั้งมีร่องรอยของผงถ้วยนรสิงห์บดผสมอยู่ด้วย
    แต่โดยส่วนมากแล้ว นักเล่นหามักไม่ค่อยจำแนกรุ่น เพราะถือว่าเจตนาในการสร้างของหลวงพ่อ ก็มิได้ตั้งเกณฑ์กำหนดรุ่นไว้ และถือว่าพระยุคแรกหรือยุคหลังมีความแตกต่างกันนิดหน่อยของเนื้อหาขององค์พระเท่านั้น ส่วนสรรพคุณอิทธิคุณนั้นมิได้แตกต่างกันแต่อย่างใด
    พระสมเด็จของหลวงพ่อจันทร์มีอยู่ด้วยกันหลายพิมพ์ทรง อาทิเช่น
    1. พระสมเด็จฐานสามชั้น จำแนกออกได้เป็นสามแบบ กล่าวคือ
    1.1 พิมพ์ใหญ่ มีขนาดประมาณ 2.6 x 3.9 ซม. ส่วนหนาประมาณ 0.5 ซม. เส้นซุ้มคู่และที่ระหว่างเส้นซุ้มกับขอบองค์พระมีลวดลายเป็นเส้นนูน
    1.2 พิมพ์กลาง องค์พระจะอยู่ภายในครอบแก้ว หรือเส้นซุ้มเดี่ยว
    1.3 พิมพ์เล็ก องค์พระจะอยู่ภายในเส้นซุ้มเดี่ยว เช่น เดียวกับพิมพ์กลาง
    2. พระสมเด็จฐานเจ็ดชั้น เป็นพระที่มีน้อย ไม่ค่อยจะได้พบเห็น
    3. พระสมเด็จฐานเก้าชั้น องค์พระอยู่ภายในเส้นซุ้มเดี่ยว
    4. พระสมเด็จพิมพ์แหวกม่าน
    ในแต่ละพิมพ์ มีขนาดแตกต่างกันอยู่บ้าง และมีรูปแบบศิลปะย่อยๆ แตกต่างกันออกไปอีก สรุปรวมจำแนกอย่างละเอียดแล้ว พระสมเด็จของหลวงพ่อจันทร์มีจำนวนประมาณ 30 กว่าพิมพ์ พระของท่านส่วนมากเป็นพระเนื้อผง มีเนื้อว่านอยู่เพียงจำนวนเล็กน้อยเท่านั้น
    วิธีการสร้างพระผงของหลวงพ่อจันทร์
    ท่านจะทำออกมาเรื่อยๆ คือเมื่อท่านเขียน ผงนอโม ผงอิทธิเจ ผงปถมัง ฯลฯ ได้จำนวนพอสมควรแล้วก็เอามาผสมกับมวลสารอื่นๆ เช่น เกสรดอกไม้ ผงถ้วยนรสิงห์บดละเอียด แร่เหล็กไหลเกาะพะงัน ที่ตกทอดมาจากหลวงพ่อเพชร (เฉพาะยุคแรกเท่านั้น) ข้าวก้นบาตร กล้วยหอม ฯลฯ แล้วตำให้อยู่ในตัวครกเล็กโดยส่วนมาก
    โดยเฉพาะในยุดแรกๆ หลวงพ่อจะเป็นผู้ดำเนินการด้วยตัวท่านเองหมดทุกขั้นตอน ทั้งการผสม การตำ การกดพิมพ์ ภายหลังมีพระเณรมาช่วยตำ ช่วยกดพิมพ์บ้าง แต่ก็อยู่ภายใต้การดูแลควบคุมอย่างใกล้ชิดของท่าน
    แม่พิมพ์ที่ใช้สร้างพระสมเด็จของหลวงพ่อจันทร์ โดยส่วนมากมักเป็นแม่พิมพ์ที่แกะจากหินลับมีดโกน ซึ่งมีความเปราะ แตกหักง่าย ใช้ได้ไม่นานก็มักชำรุดต้องเปลี่ยนแม่พิมพ์ใหม่ เป็นเหตุให้ พระของท่านมีรูปแบบศิลปะพิมพ์ทรงแยกย่อยได้ประมาณกว่า 30 พิมพ์ โดยมีรูปลักษณ์หลักอยู่ 4 แบบ คือ สมเด็จสามชั้น เจ็ดชั้น เก้าชั้น และพิมพ์แหวกม่าน ดังกล่าวแล้ว
    ครั้นพิมพ์พระสมเด็จแล้ว ท่านก็เลือกฤกษ์ยามตามพิธี เริ่มทำการปลุกเสกโดยลำพัง ติดต่อกันไปเรื่อยๆ ตามอุปเท่ห์กลวิธีที่เล่าเรียนมา กระทั่งถูกต้องครบถ้วนตามกระบวนการตำราพิธี มั่นใจในอิทธิคุณ อันสัมฤทธิ์แล้ว ก็จักนำมาออกแจกจ่ายให้ญาติโยม
    ด้วยเหตุนี้ ยุคสมัยอ่าวโหลกหลำมีสถานภาพเป็นท่าเรือประมงสำคัญแห่งหนึ่งในภาคใต้ฝั่งตะวันออก เรียกประมงจากจังหวัดต่างๆ ได้แวะเวียนอาศัยพักหลบลม จำหน่ายปลา พักผ่อนและเติมเสบียงอยู่เสมอ พวกเรือประมง (ยุคนั้น) โดยมากเป็นคนในแถบที่ชาวเกาะเรียกว่า “พวกเมืองใน” คือพวกชาวไทยที่พูดสำเนียงภาคกลางในจังหวัดชายทะเลละแวกปริมณฑลของกรุงเทพ ฯ เช่น สมุทรปราการ สมุทรสาคร และ ”พวกวันอ๋อ” หรือ พวกตะวันออก เช่น ระยอง จันทบุรี รวมทั้งที่มาจากเพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ กับปากน้ำหลังสวนชุมพร จึงทำให้พระสมเด็จหลวงพ่อจันทร์จำนวนมากได้รับการแจกจ่ายไปอยู่ตามจังหวัดชายทะเลเหล่านั้น
    พระสมเด็จของหลวงพ่อจันทร์ ปรากฏอิทธิคุณในด้านต่างๆ ทั้ง คงกระพัน มหาอุตม์ เมตตา มหาเสน่ห์ ฯลฯ แต่ที่โด่งดังเป็นอันมากก็คือ เรื่องมหาเสน่ห์ แต่ ณ ที่นี้ จะของดเว้นกล่าวถึงในส่วนรายละเอียด เพราะเกรงว่าอาจมีผลข้างเคียงในทางที่กลายเป็นการชี้โพรงให้กระรอก เพราะการบันทึกเรื่องราวไว้เป็นลายลักษณ์อักษรสิ่งตีพิมพ์นั้น เป็นสิ่งที่ควรอยู่ถาวร ทั้งสามารถแพร่หลายไปได้โดยกว้าง มิอาจจำกัด ควบคุม จำแนกรับรู้ข่าวสารได้ ไม่ได้มีข้อจำกัดเหมือนการเล่าด้วยวาจา ที่อาจเลือกเฟ้นผู้รับมีวงจำกัดในการเผยแพร่ และคงอยู่แต่ในเพียงความทรงจำ
    อีกทั้งการนำอิทธิคุณ ความศักดิ์สิทธิ์ปาฏิหาริย์ของวัตถุบูชาแทนพระรัตนตรัย ไปใช้ในการเสริมสนองขุนเลี้ยงตัณหา โลภะ โทสะ โมหะ และการกระทำข่มเหงกดขี่ บีบบังคับ เอารัดเอาเปรียบเพื่อนมนุษย์ ย่อมมิใช่เจตนารมณ์ของการเกิดแห่งวัตถุบูชา และมิใช่วัตถุประสงค์ของท่านผู้สร้าง ผู้เสกวัตถุบูชา เหล่านั้น อิทธิคุณความศักดิ์สิทธิ์ปาฏิหาริย์ของวัตถุบูชาแทนพระรัตนตรัยควรมีไว้สำหรับเพื่อการป้องกัน ปกป้องให้รอดปลอดพ้นจากทุจริตมิจฉากรรม จำกัดกรรมที่มิควรประสงค์มิให้บังเกิดหรือเสริมสนองเอื้ออำนวยกิจอันควรแก่การณ์เท่านั้น
    ด้วยข้อจำกัดของการสื่อสารที่มิอาจเฟ้นผู้รับการสื่อสารได้ เพื่อมิให้เกิดผลข้างเคียงในทางลบ แม้พระสมเด็จของหลวงพ่อจันทร์จักมีประสบการณ์มากมายในทางนี้ ก็ต้องกราบขออภัยที่จำเป็นต้องงดเว้นการกล่าวถึงวิธีการรายละเอียดแห่งการปรากฏผลด้านมหาเสน่ห์ของสมเด็จหลวงพ่อจันทร์ไว้ ณ ที่นี้
    อนึ่ง หลวงพ่อจันทร์ ได้มีข้อห้ามประการสำคัญข้อหนึ่ง สำหรับผู้ใช้บูชาพระสมเด็จของท่านนั่นคือ
    ห้ามอมพระ (ห้ามเอาพระใส่ปากอม) โดยเด็ดขาด
    เพราะจะทำให้เกิดเสน่ห์ธิคุณจนไม่อาจประมาณได้

    หลวงพ่อจันทร์ ขันติโก
    ต้นตำนานพระสมเด็จ สุดยอดขุนแผนมหาเสน่ห์แดนทักษิณ
    ที่เป็นหนึ่ง ไม่เป็นสองรองใคร!
    (2)
    สวัสดีครับสมาชิกบ้านพุทธามหาเวท จากฉบับที่แล้วที่มีการเขียนถึง หลวงปู่จันทร์ ขันติโก วัดโฉลกหลำ เกาะพะงัน มีความตั้งใจจะให้รู้จักประวัติหลวงปู่จันทร์ ขันติโก ผู้ได้ฉายาว่า สุดยอดขุนแผนมหาเสน่ห์แดนทักษิณ แบบรู้จริงกันไปเลย
    เพราะที่ผ่านมาไม่เคยมีสื่อนิตยสาร หนังสือพิมพ์และสื่ออันใดออกมาให้ประวัติของหลวงปู่จันทร์ ขันติโก วัดโฉลกหลำ เกาะพะงัน แบบ “รู้ลึก รู้จริง” กันมาก่อน เนื่องจากชีวประวัติของท่านนั้นไม่มีผู้ใดจดบันทึกไว้อย่างเป็นหลักฐานแน่นอน มีเพียงแต่คำบอกเล่าของผู้เฒ่าผู้แก่ที่ทันท่านยังมีชีวิตอยู่เท่านั้น จะมีก็แต่บันทึกอันเล็กๆน้อยๆ ของทางวัดเท่านั้นที่พอมีข้อมูลอยู่บ้างแบบน้อยนิด อันนี้นับเป็นอุปสรรค ในการหาข้อมูลชีวประวัติของท่าน จึงยังไม่มีสื่อใดๆ เขียนประวัติท่านแบบรู้ลึกและรู้จริงมาก่อน
    จากหนังสือพุทธามหาเวทฉบับที่ผ่านมานั้น มีสื่อหลายสื่อจับตามองข้อเขียนและสื่อหลายสื่อติดต่อขอประวัติที่มีจากผู้เขียนเพื่อนำไปเผยแผ่ ทั้งยังมีที่จะนำไปสร้างเป็นหนังสือชีวประวัติของหลวงปู่จันทร์ ผู้ที่ได้ชื่อว่า สร้างพระขุนแผน มหาเสน่ห์ที่สุดยอดที่สุดในเมืองใต้
    นับต่อจากนี้ไปถ้าเราจะขนานนามท่านว่า หลวงปู่จันทร์ ขันติโก เทพแห่งสุดยอดขุนแผนมหาเสน่ห์แดนทักษิณ คงไม่เกินเลยไป เพราะพระเครื่องพิมพ์ขุนแผนที่ท่านสร้างรวมถึงพระสมเด็จหลากหลายพิมพ์ที่ท่านสร้าง ประสบการณ์จากวัตถุมงคลเหล่านั้นล้วนมากด้วยประสบการณ์ ด้านเสน่ห์ เมตตามหานิยม จนเป็นที่ยอมรับจากอดีตสู่ปัจจุบัน จนถึงวันนี้และวันต่อๆ ไปอีกนานเท่านานอย่างแน่นอน
    จากการที่มีการเขียนถึงการจำแนกพิมพ์พระต่างๆ ของหลวงปู่จันทร์ ในฉบับที่แล้วนั้น เป็นข้อสังเกตว่ามีผู้ให้ความสนใจเป็นจำนวนมาก เพราะปัจจุบันนั้นไม่มีใครสามารถแยกพิมพ์พระหลวงปู่จันทร์ถูกทั้งหมด และไม่มีใครออกมาชี้ว่าพระพิมพ์ต่างๆ ที่กำลังเล่นหาในวงการพระเหล่านั้น “ถูก” หรือ “ผิด” กันแน่
    แต่จาการที่ลงพื้นที่เกาะพะงันด้วยตนเองและจากประสบการณ์ที่คลุกคีกับการสร้างพระมาทั้งชีวิต (อาศัยประสบการณ์ส่วนตัว) ในการดูความเก่าและการผสมมวลสารในการสร้างพระพิมพ์ในแต่ละภาค แต่ละเขตและแต่ละภูมิปัญญาท้องถิ่น แต่ละที่จะมีการสร้างพระและการผสมมวลสารที่ไม่เหมือนกัน
    ในการหาประวัติรวมถึงการสร้างพระของหลวงปู่จันทร์ครั้งนี้นั้น ได้สืบเสาะจากผู้ที่มีการรู้เห็นการสร้างพระพิมพ์และแกะพระพิมพ์ต่างๆ รวมถึงผู้ที่มีส่วนในการสร้างพระ เช่น ผู้ที่ช่วยหลวงปู่จันทร์ ผสมมวลสาร และผู้ที่ช่วยหลวงปู่กดพระพิมพ์ต่างๆ และผู้ที่รู้เห็นการเขียนผง เคี่ยวน้ำมันเมตตา ที่หลวงปู่เป็นผู้สร้างพระพิมพ์ต่างๆ
    ฉะนั้นกล้าพูดว่า ไม่มีใครรวบรวมชีวประวัติและการสร้างพระพิมพ์ของหลวงปู่จันทร์ ขันติโก ได้ละเอียดและครอบคลุมได้เท่านี้มาก่อนแน่นอน
    การแยกพิมพ์พระต่างๆ และมวลสารหลักๆ ที่หลวงปู่จันทร์ใช้ในการสร้างพระเครื่องนั้น ได้อาศัยคำบอกเล่าของผู้ที่มีส่วนรู้เห็นในการสร้างพระพิมพ์ และพระเครื่องพิมพ์ต่างๆ ที่ชาวบ้านหรือพระในเกาะพะงันที่ได้รับจากมือของหลวงปู่จันทร์ และได้รับคำยืนยันถึงพิมพ์ทรงต่างๆ จากผู้ที่มีส่วนร่วมในการสร้างพระพิมพ์ต่างๆ ของหลวงปู่จันทร์ และอาศัยประสบการณ์ในการดูพระเครื่อง (ส่วนตัว) ในการจำแนกแยกมวลสาร จากประสบการณ์ในการผสมมวลสารสร้างพระในภาคใต้และการแยกมวลสารและสิ่งที่ผสมต่างๆ ในพระเครื่องจากคำบอกเล่าของผู้ที่มีส่วนในการสร้างพระพิมพ์ต่างๆ ของหลวงปู่จันทร์ ขันติโก วัดโฉลกหลำ เกาะพะงัน จนแน่ใจและมีการตรวจทานกันหลายรอบ รวมถึงได้นำพระพิมพ์ในยุคต่างๆ ของวัดโฉลกหลำ มาเปรียบเทียบมวลสาร พิมพ์ทรง และ ความเก่าของพระเครื่อง จนสามารถแบ่งพระเครื่องวัดโฉลกหลำเป็นสามยุค ได้ดังนี้
    1. พระเครื่องที่หลวงปู่จันทร์ ขันติโก เป็นผู้สร้าง
    2. พระเครื่องที่หลวงปู่บุญ ขันติโก เป็นผู้สร้าง
    3. พระเครื่องที่สร้างขึ้นมาในยุคปัจจุบันที่สร้างโดยเจ้าอาวาสองค์ปัจจุบัน
    จากการจำแนกพระในแต่ละยุคนั้น ทำให้มีผู้ที่ไม่ทราบประวัติและพระพิมพ์ที่แท้จริงของวัดโฉลกหลำ จึงทำให้เกิดการสับสนในการจำแนกว่าพระเครื่องที่มีนั้นใครเป็นผู้สร้างกันแน่ เราจะมาทำความเข้าใจในการจำแนกพระพิมพ์ต่างๆ พร้อมกัน เพื่อความเข้าใจที่แท้จริงถึงความเป็นมาของพระเครื่องหลวงปู่จันทร์ ขันติโก วัดโฉลกหลำ เกาะพะงัน
    การสร้างพระเครื่องของหลวงปู่จันทร์ ขันติโก นั้น พระเครื่องจะมีขนาดที่ค่อนข้างใหญ่ เพราะการแกะพิมพ์พระนั้นท่านจะแกะจากหินสบู่ และการนำพระออกจากพิมพ์นั้นจะต้องทำการงัดพระออกมาจากพิมพ์ เพราะฉะนั้นพระส่วนมากจะงอหรือโค้งตามการงัดพระออกจากพิมพ์ แต่ก็จะมีอีกส่วนที่มีการเคาะพระบนกระดานไม้เพื่อให้พระออกจากพิมพ์ (จากการบอกเล่าของหลวงตาลบ) ผู้ที่มีส่วนในการกดพิมพ์พระพระยุคแรกๆ ของหลวงปู่จันทร์นั้น จะมีขนาดใหญ่และแก่ปูน เพราะการสร้างนั้นมวลสารต่างๆ จะเน้นไปที่ผงพุทธคุณและปูนเปลือกหอย และที่สำคัญจะมีแร่ชนิดหนึ่งในองค์พระทุกองค์ไม่มากก็น้อย เพราะท่านจะใส่แร่ที่ว่านี้ทุกครั้งที่มีการผสมมวลสารเพื่อกดพิมพ์พระ(เดี๋ยวจะเขียนถึงแร่ว่าแร่อะไร)
    จากมูลเหตุนี้ พระพิมพ์ของท่านยุคนี้จะมีขนาดใหญ่และส่วนมากจะเป็นพระสมเด็จทั้งสามชั้น และห้าชั้น เจ็ดชั้นและเก้าชั้น แต่ขนาดจะใหญ่มาก และจากประสบการณ์ต่างๆ ของผู้ที่บูชาพระเครื่องไป จึงมีการขอให้ท่านสร้างพระที่มีขนาดเล็กเพื่อสะดวกในการแขวนบูชา ขอเรียกพระยุคนี้ว่า พระเนื้อผงผสมน้ำมัน หรือ(ผงน้ำมัน) ตามภาษาใต้
    พระในยุคนี้มีการสร้างออกมาหลายพิมพ์ ทั้งพระพิมพ์สมเด็จ, พิมพ์นางพญา, พิมพ์ขุนแผน, พิมพ์เล็บมือ, พิมพ์เมล็ดขนุน, พิมพ์พระประจำวันต่างๆ จะมีหลายขนาดทั้งใหญ่และเล็ก การสร้างพระยุคนี้จะมีการทำพิมพ์ทั้ง หินสบู่ และปูนขาว (เหมือนปูนพาสเตอร์) แต่วิธีดูพระยุคนี้ให้ดูที่การผสมมวลสารที่มีน้ำมันเป็นตัวประสานและแร่ ที่สำคัญพระยุคนี้จะมีการผสมว่านและเกสรดอกไม้ไหว้พระ(มวลสารจะมากกว่าพระยุคแรก) ที่สร้างจากผงผสมปูน แต่พระชุดนี้จะยังคงความหนาและใหญ่ไว้ ส่วนพระพิมพ์เล็กๆมี แต่เป็นส่วนน้อยและพระพิมพ์เล็กนั้นจะเป็นพิมพ์ที่มีการสร้างขึ้นโดยเฉพาะกิจ เพื่อการสิ่งหนึ่งสิ่งใด เช่น
    พระพิมพ์นางพญาฝังแร่ที่หน้าท้อง พระจะเป็นพระขนาดเล็ก ที่ท่านตั้งใจสร้างเพื่อถวายแก่ผู้ที่มีบุญใหญ่ เพื่อประโยชน์สุขในกาลหน้า สร้างแค่ 56 องค์เท่านั้น ส่วนสมเด็จองค์เล็กๆ ที่สร้างในยุคนี้นั้น ท่านได้บอกขณะที่สร้างเอาไว้ว่า จะแจกให้ผู้ที่ติดตามผู้ที่มีบุญใหญ่ที่จะมาที่เกาะพะงัน (จากคำบอกเล่าของอดีตผู้ใหญ่บ้านเกาะพะงันที่ร่วมสร้างพระ)
    และหลังจากนั้นไม่นานเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินได้เสด็จประพาสเกาะพะงัน ตามคำทำนายของหลวงปู่จันทร์ และหลวงปู่ได้ถวายพระพิมพ์ต่างๆ และพระพิมพ์สมเด็จนางพญาฝังแร่แก่เจ้านายฝ่ายหญิง ไปจำนวนหนึ่งและหลวงปู่ได้เก็บไว้จำนวนหนึ่ง
    จากตรงนี้จะเห็นถึงญาณหยั่งรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าของหลวงปู่จันทร์ ว่าเป็นข้อยืนยันถึงวาระจิตของท่านได้เป็นอย่างดี
    และพระยุคสุดท้ายแห่งชีวิตของหลวงปู่นั้นจะมีขนาดเล็กและบาง มีประมาณยี่สิบเอ็ดพิมพ์ ที่ท่านสร้างเอาไว้ และได้นำส่วนหนึ่งบรรจุลงกรุใต้ฐานพระประธาน พระยุคนี้จะมีมวลสารที่แตกต่างออกไปจากสองยุคแรกคือ จะมีเนื้อที่หยาบและเห็นมวลสารลอยอยู่บนเนื้อพระเต็มไปหมด และจะไม่มีแร่ เพราะแร่ได้หมดไปจากการสร้างพระยุคแรกแล้ว แต่จะมีส่วนผสมของทรายท้องทะเลใต้สมุทร จะมีแร่สีทองเล็กในเนื้อของพระเครื่องยุคนี้เกือบทุกองค์

    ประสบการณ์จากวัตถุมงคลในยุคต่างๆ ของหลวงปู่จันทร์ พระยุคแรก ที่เป็นผงพุทธคุณผสมปูนเปลือกหอย ท่านได้ให้พระยุคนี้แก่พระสงฆ์ที่มาศึกษาธรรมะและเรียนวิชากับท่านและชาวบ้านผู้ที่มาขอความช่วยเหลือในด้านทำมาหากิน รวมถึงเจ้าใหญ่นายโตต่างๆ ที่ต้องคดีความและแก้เหตุร้ายต่างๆ จนเป็นที่ยอมรับของผู้ที่บูชาพระเครื่องของท่านในยุคนี้มาก จนเกิดเหตุการณ์ที่ต้องสร้างพระเครื่องในยุคที่สองของท่าน
    พระยุคที่สอง ของท่านเกิดจากประสบการณ์ในยุคแรกๆ ที่มีขึ้นจนเกิดความต้องการพระเครื่องของท่านที่มากขึ้นและส่วนมากจะเป็นพระหนุ่มที่มาบวชและจำพรรษาที่วัดโฉลกหลำ และหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่บนเกาะและรวมถึงพวกชาวประมงที่มาอาศัยบังลมและมาทำการค้าบนเกาะพะงัน ทั้งคณะผู้ติดตามส่วนพระองค์และเจ้านายต่างๆ ที่มาที่เกาะพะงันที่ทราบถึงคุณวิเศษของพระเครื่องของท่าน จากคำบอกเล่าของผู้ที่บูชาพระและประชาชนชาวบ้านเกาะพะงัน
    พระยุคนี้จะเน้นไปทาง เสน่ห์เจ้าชู้ ถึงขนาดที่หลวงปู่จันทร์ ท่านต้องสั่งห้ามนำพระของท่านยุคนี้อมใส่ในปาก และ พระพิมพ์ขุนแผนห้าเหลี่ยมเนื้อผงน้ำมัน ในยุคนี้ นับเป็นพระเครื่องพิมพ์ที่สร้างชื่อให้ท่านจนพระเครื่องพิมพ์นี้ของท่านได้ ฉายาว่า ขุนแผนแดนใต้
    พระพิมพ์ขุนแผนในยุคของท่าน ท่านได้สร้างเอาไว้แค่พิมพ์เดียวเท่านั้น และมีจำนวนน้อยมาก เพราะท่านว่า พระพิมพ์นี้พุทธคุณด้านเสน่ห์มากถึงขนาดแค่พกโดยไม่ต้องอมพระก็นับเมียไม่ถูกแล้ว ท่านจึงสร้างแค่ครั้งเดียวและจำนวนน้อยมาก (เพราะหลวงปู่จันทร์ เป็นผู้กดพระพิมพ์นี้เองทุกองค์)
    จากผู้ที่รู้เห็นการสร้างพระของหลวงปู่จันทร์ และพระพิมพ์เล็กที่มีการสร้างในยุคนี้ ท่านก็จะกดเองทุกองค์ในเวลาว่างของท่านในแต่ละวันโดยไม่ให้ใครยุ่งกับพระพิมพ์เล็กพวกนี้เลย และท่านได้นำพระพิมพ์พิเศษต่างๆ เหล่านี้มาแจกในการประพาสของเจ้านายในสมัยนั้น
    พระยุคที่สาม ของท่านได้มีการสร้างจำนวนทีละมาก แต่พระส่วนใหญ่จะนำไปบรรจุกรุพระใต้ฐานพระประธานเป็นจำนวนมาก และพระพิมพ์ต่างๆ ของท่านในยุคนี้ได้มีการนำมาสร้างในยุคของ หลวงปู่บุญ ขันติโก เจ้าอาวาสองค์ต่อจากท่าน และหลวงปู่บุญองค์นี้ยังได้สร้างพิมพ์ต่างๆ เอาไว้อีกมากมาย การจะบูชาพระเครื่องหลวงปู่จันทร์ ขันติโก นั้นแนะนำว่าให้ท่านบูชา พระยุคแรก (ผงพุทธคุณผสมปูน) หรือ พระยุคที่สอง (เนื้อผงผสมน้ำมัน) จะดีกว่าเช่าพระในยุคที่สามที่มีส่วนคาบเกี่ยวกับพระเครื่องในยุคของหลวงปู่บุญ ขันติโก เพราะอาจจะทำให้สับสนได้ในความเข้าใจ
    ในบ้านพุทธามหาเวท ได้นำพระเครื่องพิมพ์ต่างๆ ของหลวงปู่จันทร์ ขันติโก มาให้บูชาสำหรับผู้ที่สนใจแล้ว พระที่นำมาให้บูชานั้นผ่านการคัดจากผู้ที่มีความรู้พระเครื่องของหลวงปู่จันทร์ ขันติโกทุกองค์ และพระเครื่องที่บ้านพุทธามหาเวทนั้นได้เช่าจากชาวบ้านแถววัดโฉลกหลำ หรือชาวบ้านบนเกาะพะงัน และพระเครื่องหลายองค์ที่นำมาให้บูชานั้น ได้เช่ามาจากผู้ที่รับพระเครื่องจากมือหลวงปู่จันทร์ ขันติโก เองเลย เพราะฉะนั้นมั่นใจได้ว่าทันหลวงปู่จันทร์แน่นอน
    และสำหรับผู้ที่มีทรัพย์น้อย ทางบ้านพุทธามหาเวทได้นำพระเครื่องในยุคหลังสุดของเจ้าอาวาสองค์ปัจจุบันมาให้บูชา เป็นพระที่มีการผสมมวลสารผงพุทธคุณที่หลวงปู่จันทร์เขียนและลบเอาไว้ รวมถึงมีส่วนผสมของน้ำมันเมตตาของหลวงปู่จันทร์ด้วย และได้ผ่านพิธีปลุกเสกโดยเกจิแนวหน้าของจังหวัดสุราษฎร์ธานี และพระเครื่องชุดนี้ได้หมดจากวัดไปแล้ว โดกยพระเครื่องส่วนที่เหลือได้นำบรรจุกรุหลังบูรณะอุโบสถไปแล้ว
    พระเครื่องชุดนี้ได้ออกเนื่องในโอกาสบูรณะอุโบสถหลังเก่าของทางวัดโฉลกหลำ
    ในฉบับหน้าจะมาเล่าถึงประสบการณ์ต่างๆ ของพระเครื่องหลวงปู่จันทร์ ขันติโก และสุดยอดมวลสารที่หลวงปู่จันทร์ ผสมในพระเครื่องของท่าน
    อย่าช้านะครับสำหรับท่านที่สนใจวัตถุมงคลต่างๆ ของหลวงปู่จันทร์ เพราะพระเครื่องหลวงปู่จันทร์นั้นมีจำนวนน้อยมาก ส่วนพุทธคุณบอกได้คำเดียวครับว่า “สุดยอด” มิเช่นนั้นคงไม่ได้ฉายา ขุนแผนแดนทักษิณ มาครองหรอกครับ
    และอย่างที่รู้ เป็นเรื่องแปลก ผมเขียนถึงอะไร วันเวลาผ่านไปไม่นานหลังจากที่เขียนวัตถุมงคลนั้นๆ ราคาจะแพงมาก อันนี้คงมาจากประสบการณ์ที่ผ่านมาในการเขียนและการที่ผมคัดสรรค์วัตถุมงคลและทดสอบก่อน เลยทำให้มีผู้ที่เชื่อใจอยู่ไม่น้อย
    เอาละครับขอบอกอีกครั้ง ถ้าท่านสนใจ...อย่าช้า เพราะหมดแน่ เนื่องจากพระมีจำนวนน้อยมาก ถ้าสนใจก็ติดต่อที่บ้านพุทธามหาเวทครับ ถ้าช้า...มีสิทธิ์อดได้ของดีไว้บูชาแน่นอนครับ

    หลวงพ่อจันทร์ ขันติโก
    ต้นตำนานพระสมเด็จ สุดยอดขุนแผนมหาเสน่ห์แดนทักษิณ
    ที่เป็นหนึ่ง ไม่เป็นสองรองใคร!
    (3)
    สวัสดีครับสมาชิกบ้านพุทธามหาเวท เป็นอย่างไรกันบ้างครับกับพระเครื่องของ หลวงพ่อจันทร์ ขันติโก วัดโฉลกหลำ เกาะพะงัน นับเป็นพระเครื่องที่มีความเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นเลยก็ว่าได้ครับ
    จากที่มีการเขียนถึงหลวงพ่อจันทร์ ในการสร้าง พระขุนแผน (มหาเสน่ห์แดนทักษิณ) มีหลายท่านสงสัยว่าทำไมหลวงพ่อจันทร์ จึงสร้างพระได้ยอดเยี่ยมมากในด้านเสน่ห์ เมตตา ที่ยากจะหาผู้ที่สร้างพระได้พุทธคุณแรงมากมายถึงขนาดนี้
    จากประสบการณ์ส่วนตัวในการคลุกคลีกับการสร้างพระมานะครับ ถ้าผู้หนึ่งผู้ใดจะสร้างพระเครื่องที่จะให้ผลด้านเสน่ห์ เมตตา มหานิยม ต้องรู้จัก การตั้งกำเนิดมนุษย์ชาย-หญิง เสียก่อน ต้อง ชำนาญการเขียนผง ที่เรียกว่า ปัฐมังกำเนิด อย่างแตกฉาน จนสามารถ เสกผงให้มีชีวิตได้
    จากที่เรารู้กันว่า หลวงพ่อจันทร์สามารถเขียนผงและลบผง จนลอยอยู่บนเพดานได้ จึงไม่น่าแปลกใจที่ท่านสร้างพระที่ได้พุทธคุณ เสน่ห์ เมตตาแบบสุดยอดขนาดนี้ และจากประวัติท่าน ท่านยังสำเร็จ ยันต์เต่าเรือน จนถึงขนาด เสกจนมีชีวิตได้ พุทธคุณของผงยันต์เต่าเรือน สามารถใช้ได้ถึงขนาดทำให้ ผู้คนหลงใหลจนโงหัวไม่ขึ้น
    และหลวงพ่อจันทร์ ท่านยังสำเร็จ นะเมตตา ร้อยแปดประการอีกด้วย จากที่เรารู้กันว่าท่านได้รับตำราของ ตาขาว มาเรียน (เป็นตำราเดียวกันกับ หลวงพ่อเพชร เสกจนมีชีวติได้ )
    จากประวัติเกจิอาจารย์ในจังหวัดภาคใต้ต้องยอมรับว่า หลวงพ่อเพชร ท่านเป็นเกจิแนวหน้าอีกท่านหนึ่ง และเป็นที่ยอมรับกันจากคนในภาคใต้ว่าเป็นพระสงฆ์อีกองค์หนึ่งที่ “อยู่เหนือโลก” ในแบบฉบับเดียวกับ พระครูเทพโลกอุดร ทั้งล่องหน หายตัว มีอายุยืน มีอิทธิปาฏิหาริย์มากมาย จนอยากที่จะหาใครทำได้แบบท่านได้ จึงมิแปลกที่หลวงพ่อจันทร์ ที่ศึกษาตำราเล่มเดียวกันถึงทำได้เหมือนกันกับหลวงพ่อเพชร
    จากที่ฉบับที่แล้วที่มีการพูดถึง แร่วิเศษ ที่นำมาเป็นมวลสารในการสร้างพระสมเด็จและพระขุนแผนของหลวงพ่อจันทร์ นั้น แร่ดังกล่าวเป็นแร่ที่เรียกว่า เหล็กไหลเกาะพะงัน เดิมนั้นจากคำบอกเล่าของพลวงพ่อจันทร์ ท่านว่าท่านได้แร่ก้อนนี้มาจากหลวงพ่อเพชร รับตกทอดมาเป็นรุ่นๆ ในครั้งที่ท่านจะสร้างพระท่านจึงนำแร่เหล็กไหลเกาะพะงัน มาเป็นมวลสารในการสร้าง แต่แร่มีจำนวนน้อย การสร้างพระท่านนั้นท่านสร้างเป็นจำนวนมาก แร่จึงไม่เพียงพอต่อการสร้างพระ ท่านจึงได้เข้ากรรมฐาน หาที่มาที่ไปของแร่
    จากการเข้ากรรมฐานของท่าน จิตวิญญาณที่ดูแลรักษาแร่เหล็กไหล จึงได้มาบอกถึงที่อยู่ของแร่ให้ท่านทราบ ท่านจึงได้ดูวันตามฤกษ์ยามที่ดี แล้วท่านจึงได้เดินทางไปอัญเชิญแร่วิเศษนี้มาเป็นมวลสารในการสร้างพระ แต่ท่านได้แร่เหล็กไหลมาแค่เท่าผลส้ม ท่านจึงนำแร่เหล็กไหลมาแบ่งให้มีขนาดเล็กลง (บด) แล้วจึงนำไปเป็นมวลสารในการสร้างพระของท่าน
    จากคำบอกเล่าของผู้ที่ติดตามหลวงพ่อจันทร์ไปอัญเชิญแร่เหล็กไหล แร่เหล็กไหลชนิดนี้อยู่ ที่ ถ้ำในน้ำตกแพง เกาะพะงัน จากคำบอกเล่าหลวงหลวงพ่อจันทร์ท่านว่า เหตุที่เกาะพะงัน ไม่เคยโดนลมพายุ หรือภัยธรรมชาติเลย มาจากคุณวิเศษของแร่เหล็กไหลเกาะพะงัน ที่อยู่ในถ้ำน้ำตกแพง นี้แหละจึงทำให้เกาะพะงันทั้งเกาะรอดพ้นจากภัยต่างๆ
    แต่หลังจากที่หลวงพ่อจันทร์ ได้ มรณภาพไปแล้ว ในยุคของ หลวงพ่อบุญ ได้พยายามไปอัญเชิญแร่เหล็กไหลที่น้ำตกแพงอีกหลายครั้ง แต่ไม่สำเร็จ จึงทำให้แร่เหล็กไหลเกาะพะงัน ที่นำมาเป็นมวลสารในการสร้างพระหมดไปในยุคของหลวงพ่อจันทร์ ขันติโก
    วิธีดูแร่ชนิดนี้ในวัตถุมงคลของหลวงพ่อจันทร์ จากที่ผมมีโอกาสได้เห็นแร่ชนิดนี้ที่เป็นก้อนขนาดใหญ่กว่าหัวไม้ขีดเล็กน้อยใน พระพิมพ์นางพญา ที่สร้างถวายเจ้านายฝ่ายหญิง ที่หลวงพ่อจันทร์ สร้างไว้เพียงแค่ 56 องค์เท่านั้น และคนบนเกาะพะงันได้รับพระพิมพ์นี้จากหลวงพ่อจันทร์ ไว้จำนวนหนึ่ง จึงทำให้มีโอกาสได้ดูได้เห็นแร่ชนิดนี้เป็นก้อน
    ลักษณะของแร่เป็นก้อนเหมือน เพชรหน้าทั่ง แต่ผิวไม่เรียบ สีนั้นมีหลายสีในก้อนเดียว แต่จะไม่มีประกายแวววาวให้เห็น (ถ้าหยิบพระตั้งตรงๆ) แต่ถ้าค่อย ๆ ตะแคงข้างจะเห็นแร่มีสีแดงเหมือนเลือดนก แต่ถ้าค่อยๆ ตะแคงต่อ จะเห็นแร่เป็นสีน้ำเงิน และถ้าตะแคงกลับมาจะเห็นแร่เป็นสีเงินยวง และถ้าตะแคงอีกจะเห็นเป็นสีส้ม
    อันนี้เป็นวิธีดูแร่ชนิดนี้ที่เป็นก้อน แร่ชนิดนี้มีวิธีดูแบบนี้ และไม่มีในแร่อื่นแน่นอน ส่วนที่เป็นมวลสารในการผสม (บดเป็นผง) ในพระขุนแผนและพระสมเด็จ ถ้าท่านจะดูแร่นี้ให้ท่านนำพระไปที่มีแดดจัดๆ และให้ท่านจับพระพลิกไปมา จะเห็นแร่นี้เป็นสีต่างๆ ในพระ (แล้วแต่แร่จะฝังไปแบบไหน)
    แร่ชนิดนี้พอถูกบดแล้วมีขนาดเล็กนั้นจะใหญ่ประมาณปลายเข็ม (เล็กมาก) ต้องอาศัยแว่นส่องพระที่ตัดแสง
    ท่านจะรู้ได้ไงว่ากล้องส่องพระท่านตัดแสง ?
    มีวิธีง่ายๆให้ท่านนำกล้องส่องพระที่ท่านมีไปหาหลอดไฟฟ้าที่ไหนก็ได้ ให้ท่านเปิดไฟแล้วดูสีของหลอดไฟในกล้องส่องพระ ถ้ามีสีเดียวกับหลอดไฟ แสดงว่าเป็นเลนส์ตัดแสงแน่นอน แต่ถ้าเห็นสีหลอดไฟนีออนเป็นสีส้ม แสดงว่าเลนส์ท่านไม่ตัดแสง แต่ถ้าเป็นเลนส์ตัดแสง ท่านก็จะส่องสีของแร่เหมือนที่ผมบอกไปนั้นแหละแน่นอน
    ถ้าท่านอยากเห็นแร่เป็นก้อนๆ เป็นเช่นไร ให้ท่านไปดูได้จากพระองค์จริงที่ บ้านพุทธามหาเวท เพราะผมได้ขอเช่า พระนางพญา ที่ฝังแร่เหล็กไหลเกาะพะงันเป็นเม็ดมาด้วย แต่ราคาขอบอกแพงมาก เพราะสร้างน้อยและจากความเชื่อชาวบ้านว่า เหล็กไหลราคาแพง จึงทำให้พระพิมพ์นี้ราคาค่อนข้างแพงสักหน่อย และยิ่งพระพิมพ์นี้สร้างมาเพื่อถวายเจ้านายด้วยแล้ว ยิ่งเหมือนไปสร้างความหวงแหนแก่ชาวบ้านเข้าไปอีก
    แต่ก็อย่างว่านะ ผมให้การพูดที่ดีแบบเป็นมิตรเลย ได้มาไม่ยากนัก บวกกับเงินสดๆ เลยคุยง่าย ขึ้นอีกโข อันนี้ความเห็นส่วนตัวนะ
    จากการที่ผมตัดสินใจเช่าพระนางพญาฝังแร่เหล็กไหลกลับมาด้วย คือผมคิดว่า ถ้าไม่ดีจริงหลวงพ่อท่านไม่เจาะจงถวายพระพิมพ์นี้ให้เจ้านายฝ่ายหญิงหรอก (แต่ขอบอกหลวงพ่อจันทร์ท่านเคยบอกไว้ว่าผู้ชายก็ใช้ได้)
    และที่สำคัญ ผมมองอีกมุมหนึ่งถึงคุณค่าของแร่เหล็กไหล ที่ไม่มีใครอัญเชิญได้อีกแล้ว ว่าเป็นของที่มีเงินก็หาไม่ได้ ก็ผมเคยเห็นเขาซื้อขายเหล็กไหลกันราคาเป็นสิบล้าน ขนาดก็เท่าเม็ดถั่วเขียวเอง เหล็กไหลที่ฝังในพระใหญ่กว่าอีก ราคาทั้งแร่ทั้งพระเพียงแค่ครึ่งแสนเอง ผมว่าถูกมาก เลยตัดสินใจเช่ามา เพราะมองว่าคนที่ต้องการของจริงมีมากที่ไม่เกี่ยงราคา
    และที่สำคัญ ผมมองว่าผมยังชอบเลย มันก็ต้องมีคนที่ชอบแบบผมมั่งแหละ ส่วนท่านที่สนใจจะชมบารมีของแร่ชนิดนี้ที่เป็นเม็ด ก็ไปชมได้ที่ บ้านพุทธามหาเวท (ถ้าพระยังอยู่)
    หากท่านสนใจพระนางพญาแล้วอยากได้ไว้ครอบครอง ก็ไปคุยกับบ้านพุทธามหาเวทเอานะครับ ถ้าเป็นสมาชิกคงคุยง่ายอยู่แล้ว บก.ใจดีจะตาย คุยง่าย...
    ประสบการณ์พระเครื่องหลวงพ่อจันทร์ ขันติโก
    เป็นประสบการณ์จาก คุณนิรัส ซึ่งเป็นพนักงานประจำของบริษัทประกันแห่งหนึ่ง (ขอสงวนไว้หน่อย) มีหน้าที่ไปประนอมหนี้กับผู้เสียหาย จากที่ทำงานมาหลายปี เจอเคสหนักๆ หลายครั้งก็มักผ่านไปได้ด้วยดี เพราะฝีมือที่ทำงานนี้มานาน
    โดยส่วนตัวคุณนิรัส มีความเชื่อพุทธคุณในองค์พระเครื่องเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จากการที่ทำงานมานานจึงมีเงินเช่าพระราคาแพงๆ ไว้บูชามากมาย ทั้งสมเด็จในชุดเบญจภาคี มีแล้วทั้งสิ้น และยังมีความชอบและนับถือพระหลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว เป็นการส่วนตัวอีกด้วย
    โดยปกติก่อนหน้านี้ คุณนิรัส จะบูชาพระหลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว จังหวัดนครปฐม เป็นประจำและยังบูชาพระอื่นๆ ขึ้นคอตามโอกาสที่มี จากการที่ทำงานด้านนี้และเจอคดีมามาก จึงมีประสบการณ์กับพระเครื่องพอสมควร (จากคำบอกเล่าของคุณนิรัส) แต่ส่วนมากจะเป็นแบบค่อยๆ ดีขึ้น ไม่เห็นอะไรที่เป็นรูปธรรมมากนัก
    แต่หลังจากที่คุณนิรัส ได้รับคำแนะนำให้ลองบูชา พระสมเด็จของหลวงพ่อจันทร์ ขันติโก ดู ก็ได้พบเจอประสบการณ์ที่ไม่เคยเจอแบบเป็นรูปธรรม แบบจะๆ หลายครั้ง เช่น
    จากที่เจ้านายมักไม่ค่อยชมเกี่ยวกับเรื่องงาน หลังจากที่บูชาพระสมเด็จของหลวงพ่อจันทร์ ก็ทำให้เจ้านายเมตตามากขึ้นจนเห็นได้ชัด
    และถ้าหากต้อง เคลียร์คดีเกี่ยวกับประกัน ก็มีความรู้สึกว่าอะไรที่ว่ายาก ก็กลายเป็นเรื่องง่ายๆ ไปเลย
    และจากที่เงินเคยขาดมือในบางครั้งบางโอกาส แต่หลังจากที่บูชาพระสมเด็จติดตัวไว้ก็ไม่เคยเงินขาดมืออีกเลย
    และที่สำคัญ มักมีโชคลาภเข้ามาเรื่อย ๆ อีก
    นับว่าเป็นพระที่มีพุทธคุณที่มองเห็นเป็นรูปธรรมเลยก็ว่าได้
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 พฤษภาคม 2018
  8. prakrueng

    prakrueng เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    14,063
    ค่าพลัง:
    +1,867
    ปิด1282g พระผงประจำวันลงกรุ พิมพ์ไสยาสน์ ( วันอังคาร ) หลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ ขนาดพระ 1.7 x 3 ซม. ราคา 500 บาท ค่าส่ง 50 บาท/ครั้ง


    พระบรรจุกรุ

    เมื่อประมาณปลายทศวรรษที่ 2520หรือต้นทศวรรษที่ 2530 เกิดความเชื่อที่แพร่สะพัดในหมู่นักนิยมวัตถุมงคลมากว่าพระชุดบรรจุกรุของวัดละหารไร่ ซึ่งท่านเจ้าอาวาสรูปปัจจุบัน(พระครูวิจิตรธรรมาภิรัตเชย ชยธมโม) ดำเนินการให้เปิดกรุขึ้นเมื่อประมาณ พ.ศ.2526 เป็นพระปลอม เป็นพระแบบที่เรียกว่า พระผียัดกรุ

    ความเชื่อดังกล่าวทำให้ บรรณาธิการนิตยสารพระเครื่องฉบับหนึ่ง เคยปฏิเสธการติดต่อเพื่อลงข้อความประชาสัมพันธ์พระชุดดังกล่าว(เพื่อเป็นการช่วยวัดละหารไร่ในการหาปัจจัยมาพัฒนาวัด) ที่ได้ปฏิเสธก็เพราะท่านเชื่อในข่าวที่ปล่อยของกลุ่มผู้มีประสงค์ดีต่อวัดละหารไร่(หรืออาจเกรงว่า พระชุดบรรจุกรุจะเข้ามีส่วนแบ่งในตลาดพระหลวงปู่ทิมของพวกเขา) ที่ว่าเป็นพระผียัดกรุ จึงมิยอมรับเงินค่าโฆษณาเพื่อกระทำการที่ท่านเชื่อว่าเป็นการมอมเมาท่านผู้อ่าน(ให้เสียเงินเช่าบูชาพระผียัดกรุ แม้จะเพื่อเป็นการหาเงินเข้าวัดก็ตาม)

    กว่าพระเครื่องชุดบรรจุกรุจะได้รับการยอมรับในวงกว้าง(ของกลุ่มนักนิยมสะสมพระเครื่อง)ก็ต่อเมื่อ”สนามพระ ฉบับคู่มือนักสะสม”เล่มที่ 16(พ.ศ.2536) ได้ลงพิมพ์ข้อความประชาสัมพันธ์พระชุดนี้ให้ทางวัดละหารไร่

    ปัจจุบัน(พ.ศ.2541) พระหลายพิมพ์ในชุดพระกรุนี้ ได้เป็นที่เสาะแสวงหากันมากหรือเป็นที่อยากได้ของใครต่อใครหลายคน เช่นพิมพ์พระรอด(ที่หายากเหลือหลาย) พิมพ์สมเด็จทรงแพะ และพิมพ์นาคปรก เป็นต้น

    ความเป็นมาของพระบรรจุกรุนั้น เริ่มขึ้นเมื่อจะมีการผูกพัทธสีมาอุโบสถวัดละหารไร่โดยในปี พ.ศ.2516 ทางวัดได้จัดเตรียมสร้างพระเครื่องสำหรับงานผูกพัทธสีมาขึ้นมาจำนวนประมาณ 84,000 องค์ เท่ากับจำนวนพระธรรมขันธ์.ครั้นจัดงานผูกพัทธสีมาใน พ.ศ.2517 ก็นำพระดังกล่าวมาให้ประชาชนเช่าบูชาเพื่อบรรจุไว้ในซุ้มเสมารอบอุโบสถและภายในอุโบสถ โดยผู้ทำบุญซื้อทองคำเปลวปิดทองลูกนิมิต 1 ชุด 10แผ่น จะได้รับพระเนื้อผงจำนวนหนึ่งประมาณ 12 องค์ เพื่อให้นำไปบรรจุไว้ในซุ้มเสมารอบอุโบสถซุ้มละ 1 องค์กับใส่หลุมลูกนิมิต และใต้บริเวณฐานพระประธานอีกแห่งละ 1 องค์ รวมบรรจุไว้คนละ 10 องค์ ส่วนพระที่เหลืออีก 2 องค์ให้ผู้ปิดทองเก็บไว้ติดตัวหรือเป็นที่ระลึก(การดำเนินการดังกล่าว นับเป็นความคิดที่เฉียบแหลมลึกซึ้งมาก เพราะเป็นการอำนวยกุศลประโยชน์ทั้งของวัดและผู้ทำบุญ)

    พระชุดนี้ประกอบด้วย พระประจำวัน 7 องค์ คือพระประจำวันอาทิตย์ วันจันทร์ วันอังคาร วันพุธ(กลางวัน) วันพฤหัสบดี วันศุกร์และวันเสาร์(แต่ไม่มีพระประจำวันพุธกลางคืน) พระขุนแผน(มีกุมารทองใต้ฐาน) พระสมเด็จ(แบบทั่วไป) พระสมเด็จทรงแพะ พระนางพญาและพระรอด. หลังจากเกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่ใน พ.ศ.2524 ที่ท่วมถึงฐานซุ้มเสมา และทางวัดกำลังจะจัดงานพระราชทานเพลิงศพพระครูภาวนาภิรัติ(หลวงปู่ทิม อิสริโก) ในวันอาทิตย์ที่ 6 มีนาคม 2526 เพื่อจะได้มีวัตถุมงคลแจกเป็นของที่ระลึกในงาน ทางวัดจึงดำเนินการเปิดกรุพระดังกล่าว.ด้วยสภาพการบรรจุที่วางพระไว้บนดินในหลุมใต้ซุ้มเสมาโดยไม่มีการก่ออิฐล้อมรอบไว้ พระจึงเกิดการชำรุดเสียหายเป็นบางส่วน ได้พระแล้วทางวัดก็แจกในงานพระราชทานเพลิงศพหลวงปู่ทิม ส่วนที่เหลือก็เปิดให้เช่าบูชาเพื่อหาปัจจัยมาพัฒนาวัด

    สำหรับคนวงใน ผู้ใกล้ชิดหรือผู้ทันเหตุการณ์(ที่ไม่มีอคติต่อเจ้าอาวาสรูปใหม่หรือมิหวั่นหวาดต่อส่วนแบ่งการตลาด)ย่อมจกทราบถึงความที่หลวงปู่ทิมปลุกเสกอย่างแท้จริง และความพิเศษมิธรรมดาของพระชุดนี้เป็นอันดี เพราะการบรรจุไว้ในซุ้มเสมา ภายในเขตวิสุงคามสีมาที่โปรดให้พระราชทานสำหรับพระภิกษุสงฆ์จากจุตรทิศได้ทำสังฆกรรม ย่อมก่อให้พระเครื่องเหล่านั้นได้รับอานิสงส์จากการประกอบสังฆกรรมของหมู่พระสงฆ์ เช่นพิธีผูกพัทธสีมา(สมัยหลวงปู่ทิมด้วย ผู้เฒ่าบางท่านกล่าวว่า บรรดาวัตถุมงคลของแต่ละอาจารย์ที่สุดยอดเยี่ยมยมยิ่งกว่าสิ่งอื่นก็คือ วัตถุมงคลที่จัดสร้างและปลุกเสกเนื่องในงานผูกพัทธสีมา) พิธีบรรพชาอุปสมบท(ดั่งที่มีคตินิยมมักใส่พระเครื่องของขลังในบาตรของผู้อุปสมบท) การลงอุโบสถสังฆกรรม-สวดปาติโมกข์และการทำพิธีในวันสำคัญต่างๆ มานานประมาณ 9 ปีโดยอยู่ในช่วงสมัยซึ่งหลวงปู่ทิมยังดำรงเบญจขันธ์อยู่เป็นเวลาประมาณ 2 ปี.พระบรรจุกรุจึงเป็นวัตถุมงคลที่พร้อมสรรพทั้งทางคตินยมและทางอิทธิคุณบารมี ซึ่งบริบูรณ์ด้วยพุทธานุภาพ ธรรมานุภาพ และสังฆานุภาพ อีกอย่างหนึ่งของหลวงปู่ทิม อิสริโก. แต่สำหรับผู้คนที่ห่างไกล ผู้อยู่วงนอก รวมทั้ง นักนิยมสะสมพระเครื่องรุ่นใหม่ กลับได้รับฟังข้อมูลในทางลบที่ว่า เป็นพระผียัดกรุบ้าง เป็นพระที่สร้างภายหลังหลวงปู่ทิมมรณภาพแล้วบ้างและหลวงปู่ทิมไม่ได้ปลุกเสกบ้าง.เกี่ยวกับกระแสที่ว่า ผียัดกรุหรือสร้างในสมัยหลังจากหลวงปู่ทิมมรณภาพแล้วนั้น ปัจจุบันถูกข้อเท็จจริงและหลักฐานพยานบุคคลต่างๆตีตกเวที-เรียบสนิทไปแล้ว หากใครยังขืนชูประเด็นนี้อยู่อีก ก็ดูท่าจะเป็นบุคคลประเภท”หลงยุค”เสียละกระมัง.ก็จะมีแต่ประเด็นที่ว่า หลวงปู่ทิมไม่ได้ปลุกเสก(คือบรรจุกรุโดยมิได้ปลุกเสก)เท่านั้นที่ยังพอมีพะงาบๆอยู่บ้าง กับอีกคำถามหนึ่งว่า พระผงบรรจุกรุมีส่วนผสมของผงพรายกุมารด้วยหรือไม่?.

    ท่านผู้ใหญ่ฯ เสริญ นิลรัตน์ ซึ่งเคยอุปสมบทและประจำพรรษาที่วัดละหารไร่ในพรรษาปี 2516และ2517 เคยให้ข้อมูลว่า พระชุดนี้ทางวัดละหารไร่จัดสร้าง และหลวงปู่ทิมปลุกเสกแน่นอน .ด้วยความเชื่อที่ว่า ลุงสาย แก้ว สว่าง ไวยาจักรในขณะนั้น ย่อมต้องทราบข้อมูลเรื่องนี้อย่างแน่นอน เพราะเป็นการสร้างพระจำนวนมากว่าครั้งใดๆ จึงได้เรียนถามท่าน ท่านกรุณาเล่าให้ฟังว่า นอกจากใส่ซุ้มเสมาแล้ว ยังใส่ในฐานพระประธานด้วย เนื่องจากสภาพกรุที่ไม่ได้ก่ออิฐถือปูนรองรับไว้ เอาพระใส่ในทรายเลย ทำให้พระเสียหายเยอะ ถ้ายังเก็บไว้นาน ก็จะยิ่งเสียหายมากขึ้นกว่านี้อีก.

    สำหรับมูลเหตุที่เกิดการเข้าใจ แม้ในหมู่คนใกล้ชิดบางคนว่า เป็นพระที่หลวงปู่ทิมไม่ได้ปลุกเสกนั้น เนื่องจาก เมื่อนำพระมาจากแหล่งผลิต(ที่นครสวรรค์) จำนวนพระทั้งหมดประมาณ 100,000 องค์ จึงไม่สามารถเอาพระจำนวนมากขนาดนั้นเข้าไว้ในห้องหลวงปู่ทิมได้ เพราะขณะนั้นในห้องหลวงปู่ทิม เต็มไปด้วยวัตถุมงคลซึ่งอยู่ในระหว่างการปลุกเสก ทั้งที่ทางวัดละหารไร่สร้างเองบ้างวัดอื่นสร้างให้ท่านปลุกเสกบ้าง. กล่าวกันว่า วัตถุมงคลต่างๆมีมาก ทั้งบางอย่างก็เป็นเนื้อโลหะ ทำให้มีน้ำหนักมาก จึงเกรงกันว่า กุฏิจะพัง ต้องหาไม้มาค้ำยันแถบบริเวณห้องหลวงปู่ทิมไว้ด้วย. ปริมาณพระเนื้อผงที่จะบรรจุกรุร่วมแสนองค์ ย่อมต้องใช้เนื้อที่ในการวางมากเช่นกัน เมื่อห้องหลวงปู่ทิมเต็มไปด้วยวัตถุมงคลต่างๆ ไม่มีที่วางสำหรับพระที่จะบรรจุกรุแล้ว จึงต้องเอาพระดังกล่าวไปเก็บไว้ในห้องบัญชี ซึ่งมิไกลจากห้องหลวงปู่ทิมมากนัก แล้วโยงสายสิญจน์จากห้องท่านไปยังห้องบัญชี มัดล่ามสายสิญจน์ไว้โดยรอบภาชนะที่บรรจุพระผงเหล่านั้น เวลาปลุกเสกท่านก็จับสายสิญจน์บริกรรม. พระมาถึงวัดตั้งแต่ก่อนเข้าพรรษา หลวงปู่ทิมจึงปลุกเสกพระชุดนี้อยู่ตลอดเวลาจนถึงเวลาบรรจุกรุ รวมแล้วใช้เวลาปลุกเสกนานหลายเดือนทีเดียว.ส่วนประเด็นที่ว่า พระผงชุดบรรจุกรุ มีส่วนผสมหรือมีมวลสารที่เป็นผงพรายกุมารหรือไม่ ลุงสายกล่าวว่า ได้ให้ผงพรายกุมารแก่ผู้รับพิมพ์พระชุดนี้ไปด้วย ประมาณหนึ่งกระป๋องนม.ตามหลักการหรือธรรมเนียมปฏิบัติของกลุ่มผู้รับงานสร้างพระ โดยส่วนมาก ย่อมทำตามความประสงค์ของผู้สั่งเป็นหลัก เมื่อทางวัดให้ผงไป(ซึ่งมิใช่สิ่งที่มีราคาค่างวดใดๆในขณะนั้น) 1 กระป๋องนม ก็ควรเชื่อได้ว่าทางผู้ผลิตย่อมปฏิบัติตามเจตจำนง ใส่ผงพรายกุมารเป็นส่วนผสมของพระผงชุดบรรจุกรุด้วยเป็นแน่.
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 พฤศจิกายน 2015
  9. prakrueng

    prakrueng เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    14,063
    ค่าพลัง:
    +1,867
    1283g พระปิดตาหลวงพ่อแพ เนื้อใบลานผสมรัก ขนาดพระ 2.5 x 3 ซม. ราคา 350 บาท ค่าส่ง 50 บาท/ครั้ง


    คัดลอกจาก http://www.citylion.net/singnet/par/hist1.htm

    หลวงพ่อแพ เขมังกโร เป็นชาวจังหวัดสิงห์บุรี ท่านมีนามเดิมว่า "แพ ใจมั่นคง" เกิดเมื่อวันจันทร์ ที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๔๘ ตรงกับ ขึ้น ๒ ค่ำ เดือนยี่ ปีมะเส็ง ณ บ้านสวนกล้วย เลขที่ ๙๓/๓ หมู่ที่ ๓ ตำบลพิกุลทอง อำเภอท่าช้าง จังหวัดสิงห์บุรี บิดาชื่อ นายเทียน ใจมั่นคง มารดาชื่อ นางหน่าย ใจมั่นคง

    เมื่ออายุได้ ๘ เดือน มารดาผู้ให้กำเนิดได้ถึงแก่กรรม ดังนั้น นายบุญ และนางเพียร ขำวิบูลย์ สามี ภรรยา ซึ่งมีศักดิ์เป็นอา ได้ขอเด็กชายน้อยๆ ที่มีอายุเพียง ๘ เดือน จากนายเทียน ใจมั่นคง บิดาผู้บังเกิดเกล้าโดยรับอุปการะเป็นบุตรบุญธรรม

    เมื่ออายุได้ ๑๑ ปี บิดามารดาบุญธรรม ได้นำเด็กชายแพไปฝากอยู่วัด กับสำนักอาจารย์ป้อม เพื่อที่จะศึกษาเล่าเรียนตามแบบโบราณนิยม คือ การเรียนภาษาไทยภาษาขอม

    นอกจากนั้น ยังได้เรียนหนังสือ มูลบทบรรพกิจ ทางธรรมก็มีพระมาลัยสูตร และยังได้หัดอ่านพระธรรมเจ็ดคัมภีร์ เมื่ออายุได้ ๑๔ ปี บิดามารดาบุญธรรมได้ส่งไปศึกษาต่อที่สำนักวัดอาจารย์ อาจารย์ สม ภิกษุชาวเขมร วัดชนะสงคราม กรุงเทพฯ การศึกษาในกรุงเทพฯขั้นแรกได้เริ่มเรียนหนังสือโบราณท่องสนธิ เรียนมูลกัจจายนสูตร เป็นเวลา ๑ ปี ต่อมา ก็ไปเป็นนักเรียนบาลีไวยากรณ์ ณ วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ กรุงเทพฯ

    เมื่อศึกษาหาความรู้จนอายุได้ ๑๖ ปี ก็กลับบ้านเกิด เพื่อบรรพชาเป็นสามเณร เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๑๕ เมษายน พ.ศ.๒๔๖๓ ณ วัดพิกุลทอง ตำบลพิกุลทอง อำเภอท่าช้าง จังหวัดสิงห์บุรี โดยมีพระอธิการพันจันทสโร เจ้าอาวาสวัดพิกุลทอง เป็นพระอุปัชฌาย์ครั้นเมื่อบวชเป็นสามเณรแล้วก็ได้เดินทางกลับไปอยู่วัดชนะสงครามตามเดิม และได้ศึกษาบาลีไวยากรณ์ต่อไปอีก จนสอบได้เปรียญธรรม ๓ ประโยค ตั้งแต่ยังเป็นสามเณร

    ในปีพ.ศ.๒๔๖๘ นายเทียน ใจมั่นคง บิดาผู้บังเกิดเกล้าก็ได้ถึงแก่กรรม

    โดยความมุมานะพยายาม โดยอาศัยแสงสว่างจากเทียนไขหรือตะเกียง โดยส่วนมากเพราะสาเหตุนี้ นัยน์ตา อันเป็นส่วนสำคัญของสังขาร ก็เกิดอาการเจ็บปวดอย่างรุนแรง ทุกครั้งที่ตรากตรำอ่านหนังสือมากเกินไปในที่สุด นายแพทย์โรงพยาบาลจุฬาฯ ได้แนะนำ ไม่ให้อ่านหนังสืออีกต่อไป มิฉะนั้น นัยน์ตาอาจพิการได้ ดังนั้นภายหลังจากสอบได้เปรียญธรรม ๔ ประโยคแล้ว การศึกษาด้านพระปริยัติธรรมก็ต้องยุติลง แต่ด้วยความที่เป็นผู้มีใจใฝ่การศึกษา พระภิกษุแพ เขมังกะโร จึงได้ศึกษา และปฏิบัติสมถกัมมัฎฐาน วิปัสสนากัมมัฎฐานในสำนักของพระครูภาวนา วัดเชตุพน จนชำนาญ และดำเนินการสั่งสอนให้แก่ประชาชนทั่วไป

    สามเณรเปรียญแพ ขำวิบูลย์ได้ทำการอุปสมบทเมื่ออายุครบ ๒๑ ปีบริบูรณ์ ในวันขึ้น ๖ ค่ำ ปีขาล ตรงกับวันพุธที่ ๒๑ เมษายน พ.ศ.๒๔๖๙ ณ พระอุโบสถวัดพิกุลทอง โดยมีพระมงคลทิพย์มุนี เจ้าอาวาสวัดจักรวรรดิ์ราชาวาส กรุงเทพฯ เป็นพระอุปัชฌาย์ ท่านพระครูสิทธิเดช วัดชนะสงคราม เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ท่านเจ้าอธิการอ่อน วัดจำปาทอง เป็นพระอนุสาวนาจารย์

    ได้รับฉายาว่า "เขมังกะโร" (แปลว่า ผู้ทำความเกษม) ภายหลังจากอุปสมบทเป็นพระภิกษุสงฆ์แพ เขมังกะโร หรือมหาแพ ก็ได้เดินทางกลับสู่วัดชนะสงคราม เพื่อตั้งใจศึกษาทางด้านพระปริยัติธรรม ให้ได้ในระดับสูงที่สุด เพื่อที่จะได้นำความรู้ ความสามารถที่ได้ฝักใฝ่ศึกษาเล่าเรียนนั้น นำไปสร้างสรรค์ให้เกิดคุณค่า และประโยชน์ต่อชุมชนและพระพุทธศาสนาอย่างเต็มที่ พระภิกษุแพ เขมังกะโร พยายามที่จะศึกษาเล่าเรียนหาความรู้ อ่านหนังสือตำราเรียนอยู่เสมอ

    ในปี พ.ศ.๒๔๗๔ อาจารย์หยด พวงมสิต เจ้าอาวาสวัดพิกุลทอง ได้ลาสิกขาบท ทำให้ตำแหน่งว่างลง ชาวบ้านพิกุลทอง และชาวบ้านจำปาทอง จึงนิมนต์ให้พระภิกษุแพมารับเป็นเจ้าอาวาสในเดือน เมษายน พ.ศ.๒๔๗๔ ซึ่งขณะนั้นท่านมีอายุเพียง ๒๖ ปี ต่อมาก็ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงค์ตำแหน่ง ตามหน้าที่การงานต่างๆ ดังนี้

    พ.ศ.๒๔๘๒ ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง เจ้าคณะตำบลถอนสมอ

    พ.ศ.๒๔๘๓ ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเป็น พระอุปัชฌายะ

    พ.ศ.๒๔๘๔ ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง เจ้าคณะอำเภอท่าช้าง

    พ.ศ.๒๕๒๕ ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง เจ้าคณะจังหวัดสมณศักดิ์

    พ.ศ. ๒๔๘๔ เป็นพระครูสัญญาบัตร ผู้ทำกิจปริยัติธรรมวินัยที่พระคณุศรีพรหมโสภิต

    พ.ศ. ๒๕๑๕ ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์ เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นพิเศษ

    พ.ศ. ๒๕๒๑ ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์ เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญที่พระสุนทรธรรมภาณี

    พ.ศ. ๒๕๓๐ ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์ เป็นพระราชาคณะชั้นราชที่พระสิงหคณาจารย์

    พ.ศ. ๒๕๓๕ ได้รับพระราชทานเลื่อนชั้นสมณศักดิ์ เป็นกรณีพิเศษ

    วันที่ ๑๒ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๓๕ ในวาระครบ ๖๐ พรรษาสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เป็นพระราชาคณะ ชั้นเทพที่พระเทพสิงหบุราจารย์

    พ.ศ. ๒๕๓๙ ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์ เป็นกรณีพิเศษ วันที่ ๑๐ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๓๙ ใน วโรกาสเสด็จครองราชย์ครบ ๕๐ ปี เป็นพระราชาคณะชั้นธรรมที่พระธรรมมุนี

    นับตั้งแต่พระภิกษุแพ ได้ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส วัดพิกุลทอง ได้บำเพ็ญประโยชน์ภายในวัด และสาธารณประโยชน์ทั่วไป พอสรุปได้ดังนี้ ดำเนินการก่อสร้างถาวรวัตถุภายในวัด ได้แก่ พระอุโบสถ ศาลาการเปรียญ หอสวดมนต์ หอประชุมกุฎิสงฆ์ หอไตร หอฉัน ศาลาวิปัสสนา โรงฟังธรรม ฌาปนสถาน ศาลาเอนกประสงค์ เขื่อนหน้าวัด ฯลฯ ดำเนินการก่อสร้างสารธรณประโยชน์ เพื่อเป็นการอนุเคราะห์แก่ประชาชนทั่วไป พอสรุปได้ดังนี้

    1. เป็นประธานในการก่อสร้างโรงพยาบาลอำเภอท่าช้าง

    2. เป็นประธานในการก่อสร้างที่ว่าการอำเภอท่าช้าง

    3. เป็นประธานในการก่อสร้างสถานีตำรวจอำเภอท่าช้าง

    4. เป็นประธานในการก่อสร้างสถานีอนามัยตำบลพิกุลทอง

    5. เป็นประธานในการก่อสร้างโรงเรียนประชาบาลวัดพิกุลทอง

    6. เป็นประธานในการหาทุนสมทบในการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา ที่อำเภอ อินทร์บุรีและสะพานข้ามแม่น้ำน้อย อำเภอท่าช้าง

    ดำเนินการก่อสร้างสาธารณประโยชน์ ให้กับโรงพยาบาลสิงห์บุรี

    พ.ศ. ๒๕๒๘ ก่อสร้างอาคารหลวงพ่อแพ ๘๐ ปี เป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็กสูง ๔ ชั้น มูลค่า ๑๑,๑๐๐,๐๐๐ บาท (สิบเอ็ดล้านหนึ่งแสนบาทถ้วน) สามารถให้บริการผู้ป่วยได้ ๘๙ เตียง พร้อมทั้งจัดตั้งกองทุนเพื่อใช้เป็นค่ายาและเวชภัณฑ์ สำหรับพระภิกษุสามเณรที่อาพาธในโรงพยาบาลสิงห์บุรี เป็นเงิน ๒๐๐,๐๐๐ บาท (สองแสนบาทถ้วน)

    พ.ศ. ๒๕๓๒ ก่อสร้างอาคารเอ็กซเรย์ (อาคารหลวงพ่อแพ ๘๖ ปี) เป็นอาคารคอนกรีต เสริมเหล็ก สูง ๒ ชั้น มูลค่า ๗,๐๐๐,๐๐๐ บาท (เจ็ดล้านบาทถ้วน) ก่อสร้างแล้วเสร็จ และทำพิธีเปิดเมื่อวันที่ ๑๔ กันยายน พ.ศ. ๒๕๓๓ พ.ศ. ๒๕๓๕

    พ.ศ.๒๕๓๔ ก่อสร้างอาคารหลวงพ่อแพ ๙๐ ปี เป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก สูง ๖ ชั้น มูลค่า ๓๕,๐๙๕,๕๕๕ บาท (สามสิบห้าล้านเก้าหมื่นห้าพันห้าร้อยห้าสิบห้าบาทถ้วน) อาคารหลังนี้ได้ประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์ เมื่อวันที่ ๑ มกราคม พ.ศ.๒๕๓๔ เวลา ๐๙.๐๙ น. และเปิดให้บริการ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๓๗ โดยชั้นที่ ๑ ถึงชั้นที่ ๕ เป็นหอผู้ป่วยสามัญ ชั้นที่ ๖ เป็นหอผู้ป่วยพิเศษ จำนวน๑๕ ห้อง และทางโรงพยาบาลสิงห์บุรีได้กราบทูลเชิญ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีเสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดอาคารหลวงพ่อแพ ๙๐ ปี เมื่อวันจันทร์ที่ ๘ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๓๙ พ.ศ. ๒๕๓๘

    พ.ศ. ๒๕๓๘ ก่อสร้างอาคารหลวงพ่อแพ เขมังกโร เป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก สูง ๙ ชั้น มูลค่า ๑๒๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท (หนึ่งร้อยยี่สิบล้านบาทถ้วน) ประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์เมื่อ วันที่ ๒๙ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๓๘ อาคารหลังนี้มีพื้นที่ใช้สอย ๑๑,๔๓๐ ตารางเมตร โดย ชั้นที่ ๑ - ๒ เป็นแผนกบริการผู้ป่วยนอก ชั้นที่ ๓ - ๔ เป็นฝ่ายอำนวยการ ชั้นที่ ๕ - ๙ เป็นห้องผู้ป่วย จำนวน ๖๐ ห้อง ก่อสร้างแล้วเสร็จ และเริ่มให้บริการตั้งแต่วันที่ ๑๒ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๔๑

    พระธรรมมุนี ปัจจุบันมีอายุได้ 95 ปี พรรษา 74 ตลอดชีวิตของหลวงพ่อได้บำเพ็ญสาธารณประโยชน์อย่างเอนกอนันต์ และได้อุทิศเวลาส่วนใหญ่ให้แก่ประชาชนผู้เดือดร้อนหรือตกทุกข์ได้ยากตลอดมาหลวงพ่อแพ เปรียบเสมือนร่มโพธิ์ร่มไทรของประชาชนทั่วไปได้แผ่บารมีช่วยเหลือกิจการต่างๆ

    นอกจากด้านศาสนาแล้วยังช่วยเหลือด้านการศึกษาและสาธารณสุขด้วยมีผลงานเป็นที่ประจักษ์มากมายโดยเฉพาะ

    ในส่วนของโรงพยาบาลสิงห์บุรีได้รับความอนุเคราะห์จากพระเดชพระคุณหลวงพ่อแพดังจะเห็นได้จากการก่อสร้าง

    อาคารหลวงพ่อแพ 80 ปี ,อาคารหลวงพ่อแพ 86 ปี (อาคารเอ็กซเรย์) ,อาคารหลวงพ่อแพ 90 ปี ที่เด่นเป็นสง่า และดูสวยงามภายในโรงพยาบาสิงห์บุรี และปัจจุบันกับอาคารหลวงพ่อแพเขมังกโร ที่สำเร็จลุล่วงไปด้วยดีก็ด้วยเพราะบุญบารมีของหลวงพ่อแพ ที่ท่านมอบต่อสาธุชนด้วยเมตตาธรรม
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 กันยายน 2015
  10. prakrueng

    prakrueng เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    14,063
    ค่าพลัง:
    +1,867
    ปิด1284g ตุ๊กแก หลวงพ่อครื้น วัดสังโฆ ขนาดพระ 2 x 4 ซม. ราคา 400 บาท ค่าส่ง 50 บาท/ครั้ง



    ข้อมูลประวัติ หลวงพ่อครื้น อมโร วัดสังโฆสิตาราม จ.สุพรรณบุรี ( บทความที่ 1 )


    นามเดิมท่านชื่อ ครื้น ศรีบัวทอง

    อุปสมบทครั้งแรก เมื่ออายุ 20 ปี ท่านบวชได้ 2 พรรษา และได้สึกลาเพศสมณะ ออกมาแต่งงาน ต่อมาภรรยาท่านได้ตั้งครรถ์และเสียชีวิตขณะคลอดบุตร โดยบุตรท่านก็เสียชีวิตด้วย ท่านเสียใจจึงอุทิศตน

    อุปสมบทครั้งที่สองอีกครั้งเมื่อ อายุ 29 ปี โดยตั้งใจว่าบวชไม่สึก โดยท่านได้อุปสมบท ณ วัดบางใหญ่ โดยครั้งนี้ท่านได้เริ่มสนใจศีกษาวิชาด้านไสยศาสตร์ ภาษาไทย ภาษาขอม

    ต่อมาท่านได้เดินทาง ไปศึกษาวิชาธรรมกาย ณวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ โดยมี หลวงพ่อสด ให้การแนะนำ และท่านได้ศึกษาแนวปฎิบัติด้านกรรมฐาน จาก สำนักวัดบางใหญ่ และ วัดป่าพฤกษ์ ด้วย
    อีกทั้งท่านยังชอบเดินธุดงค์อีกด้วย โดยไปเพียงรูปเดียว หลังจากออกพรรษา
    วิชาการสร้าง "ตุ๊กแกมหาลาภ" ท่านได้เรียนมาจากทางเขมร โดยดินที่นำมาสร้างได้นำมาจากสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ หลายแห่งมาเพื่อปั้น ตุ๊กแกมหาลาภ และ เคล็ดอีกอย่างผู้ที่มี ตุ๊กแกมหาลาภ บูชาอยู่ที่บ้าน ไม่ควรหลอกบุตรหลานเวลา ร้องไห้ ว่า เดี๋ยวตุ๊กแกจะมากินตับ ไม่ได้มีอาถรรณ์ร้ายแรงหรอกเพียงแต่ จะทำให้ ตุ๊กแกมหาลาภ ร้องเพื่อทำให้เด็กกลัวบ่อยๆ ไม่ได้ร้องเพื่อแสดงว่า ผู้บูชาจะมีลาภผลมาสู่บ้าน แล้ว

    อนึ่งหลวงพ่อวัดปากน้ำได้กล่าวยกย่องหลวงพ่อครื้นว่า "พระผู้มีอิทธิฤทธิ์ประหนึ่งพระโมคคัลลานะ" คำยกย่องนี้
    ข้อมูลประวัติ หลวงพ่อครื้น อมโร วัดสังโฆสิตาราม จ.สุพรรณบุรี (บทความที่ 2 )

    ท่านเกิดเมื่อวันที่ ๑๗ มกราคม พ.ศ.๒๔๔๓
    อุปสมบทในราว พ.ศ.๒๔๖๔ ณ พัทธสีมา วัดบางใหญ่ อำเภอบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรี
    แต่มาจำพรรษาอยู่ที่วัดสังโฆษิตาราม ได้มี โอกาสศึกษาวิชากับพระอาจารย์ชื่อดัง ที่มีความรู้ความสามารถหลายท่าน เช่น หลวงพ่ออิ่ม วัดหัวเขา,หลวงพ่อโหน่ง วัดคลองมะดัน อีกทั้งได้สำเร็จวิชาาวิปัสสนากรรมฐานกับ หลวงพ่อสด วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ธนบุรี อีกด้วย
    หลวงพ่อครื้น ท่านมีความสามารถในญาณหยั่งรู้ ทำนายทายทักเหตุการณ์ต่างๆล่วงหน้าได้อย่างแม่นยำอย่างน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก ชื่อเสียงของท่านเป็นที่เลื่องลือไปทั่ว ชาวบ้านไม่ว่าใกล้ไกลต่างรู้ถึงความศักดิ์สิทธิ์ ท่านจึงเป็นที่เลื่องลือไปทั่ว ชาวบ้านไม่ว่าใกล้ไกลต่างรู้ถึงความศักดิ์สิทธิ์ ท่านจึงเป็นสิ่งเลื่อมใสศรัทธาต่อผู้คนมาจวบจนทุกวันนี้

    วัตถุมงคลที่ท่านสร้างมีหลายชนิด ท่านเริ่มสร้างวัตถุมงคลประมาณ พ.ศ. ๒๔๘๐ เป็นต้นมา โดยสร้างทุกๆ ปี ใครให้แม่พิมพ์ท่านมา ท่านจะทำการแต่งแม่พิมพ์ใหม่เพื่อให้มีความงดงามมากขึ้น วัตถุมงคลของท่านมีคนบูชาไปแล้วมีประสบการณ์มากมาย ในสมัยนั้นมีทหารไทยไปรบที่เวียดนาม ต่างก็รอดตายกลับมากราบท่านได้อย่างปาฏิหาริย์ทุกๆคน วัตถุมงคลของท่านยังเด่นทางเมตตามหานิยม โดยเฉพาะเครื่องราง ไม่ว่าจะเป็นตุ๊กแก จระเข้ โดยมีสร้างทั้งเนื้อดินและเนื้อผง เป็นที่ยอมรับกันมาก ส่วนใหญ่แล้วพระเครื่องของท่านจะตอกตัว (ฆ) ไว้เสมอแต่ที่ไม่ตอกก็มี ซึ่งก็ได้รับความนิยมไม่แตกต่างกัน
    หลวงพ่อครื้นมรณภาพ เมื่อวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๐๕ เวลา ๒๓.๐๕ น. สิริมงคลอายุ ๖๕ ปี สังขารของท่านไม่เน่าเปื่อยยังเป็นปกติเหมือนคนทั่วๆ ไป ทางวัดจึงได้เก็บรักษาไว้จนถึงปัจจุบัน ณ วัดสังโฆสิตาราม
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 มีนาคม 2016
  11. jaya

    jaya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,110
    ค่าพลัง:
    +2,183
    วันนี้เวลา 9.23น. ได้โอนเงินไปแล้ว 450 บาท ที่ธนาคารทหารไทยครับ

    ชื่อ-ที่อยู่จัดส่ง แจ้งไปทางอินบ๊อกซ์แล้วครับ
     
  12. prakrueng

    prakrueng เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    14,063
    ค่าพลัง:
    +1,867
    ขอบคุณครับ คุณ JAYA แต่ที่อยุ่จัดส่งยังไม่ได้รับนะครับ
     
  13. charoen.b

    charoen.b เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    5,726
    ค่าพลัง:
    +15,488
    แจ้งโอนครับ ที่อยู่เดิม
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  14. prakrueng

    prakrueng เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    14,063
    ค่าพลัง:
    +1,867
    รับทราบ ขอบคุณครับ คุณ charoen.b
     
  15. jaya

    jaya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,110
    ค่าพลัง:
    +2,183
    ที่อยู่จัดส่ง
    พรศักดิ์ ถิ่นพรทิพย์ 22/33 ซ.8/1 ม.8 ต.คลองสาม อ.คลองหลวง
    จ.ปทุมธานี 12120
     
  16. prakrueng

    prakrueng เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    14,063
    ค่าพลัง:
    +1,867
    ปิด1285g รูปหล่อพิมพ์โบราณ หลวงพ่อเงินวัดบางคลาน กรุวัดท่ามะไฟ ปี 2420 ราคา 500 บาท ค่าส่ง 50 บาท/ครั้ง


    หลวงพ่อเงิน กรุวัดท่ามะไฟ
    เป็นพระเครื่องขนาดหน้าตักราวๆ 1 นิ้ว เนื้อจัดจ้านน่าดู ว่ากันว่าหลวงพ่อเงินท่านสร้างมาก่อนพิมพ์นิยม หรือ พิมพ์ขี้ตา นั่นคือพระต้องมีอายุราวร้อยกว่าปีมาแล้ว เคยถามผู้รู้ ท่านว่าสร้างที่วัดตองปุ หรือ วัดชนะสงคราม ในสมัยนี้ คนโบราณจะเรียกว่าพิมพ์นี้ว่า พิมพ์แจกข้าหลวง ท่านสร้างเยอะมาก และพุทธคุณครบถ้วนทุกด้านตามแบบฉบับของหลวงพ่อเงิน (เชื่อไม่เชื่อ ไม่รู้นะครับ แต่เช็คพุทธคุณแล้วแรงกว่าพิมพ์นิยมกับพิมพ์ขี้ตา) ถือว่าเป็นของดีราคาเบาๆ ที่จะมาแนะนำกันในวันนี้

    ของแท้เนื้อจะแล ดูเก่า ซึ้งตา และมีธรรมชาติของคราบเบ้า อย่างชัดเจน ส่วนของปลอมมีทำออกมาตั้งแต่ตอนกรุแตก ส่วนใหญ่ที่ระบาดหนักจะเป็นเนื้อทองเหลืองครับ แต่แลดูองค์เล็ก ไร้เสน่ห์ในทุกๆด้าน แถมบางองค์ยังจุ่มรักมาอีก รักแลดูใหม่ บ่งบอกถึงความเก้ได้เป็นอย่างดี ถ้าเจอจงอย่าจับมาทีเดียวเชียว

    มีเทคนิคนิดหน่อยคือว่า เวลาจะเช่าบูชาพระพิมพ์นี้ แนะนำให้ให้หาเนื้อสัมฤทธิ์ทั้งนี้เพราะ
    - จำนวนสร้างไม่เยอะ หรือไม่น้อยไป หลักพันองค์ถือว่าพอหาได้ไม่ยาก เพราะคนไม่รู้ ว่าเป็นของดีมีอีกเยอะ
    - สีจะสวยกว่าเนื้อทองเหลือง มีคราบเบ้า และผิวไฟชัดเจน
    - ยังไม่เห็นของปลอมที่ฝีมือเด็ดขาด เพราะถ้าจะปลอม ทำเนื้อกลับมันไม่ยาก แต่ทำเนื้อจัดนั้นทำยากกว่ามาก ดังนั้นถึงทำปลอมก็ไม่เหมือน
    - พิมพ์กลางๆ ไม่ใหญ่ไป พิมพ์สวยกำลังแขวน
    ชื่อเป็นมงคล เพราะสัมฤทธิ์ แปลว่าสำเร็จ

    เท่าที่เห็นมาจะมีพิมพ์ ใหญ่ กลาง และ เล็ก ทุกๆ พิมพ์มีทั้งอุดกริ่ง และ ไม่อุดกริ่ง ลักษณะการเจาะรูกริ่ง จะเจาะตรงฐาน หลังจากนั้นอุดด้วยโลหะชนิดเดียวกัน แล้วตะไบอีกรอบ เป็นอันเสร็จพิธี

    เนื้อทองคำ ที่ว่าสร้างน้อย อันที่จริงจะว่าหายากก็ใช่ หาไม่ยากก็ใช่ เพราะถ้าคนดูกระแสทองเป็นเรียกว่าไม่ยากครับ ทั้งนี้เพราะอะไร ก็เพราะคนโบราณนั้น พอมีหล่อพระก็นิยมเอาทองคำเทลงไปหล่อด้วยเพราะจะได้บุญ เวลาใส่ก็จะใส่เบ้าหลอมแรกๆ ดังนั้น พระองค์ที่อยู่ก้นช่อแบบหล่อโบราณก็จะแก่ทอง พอฝังกรุไว้นานวันสนิมทองเกาะ ถ้าคนดูเป็น เอามาล้างดู จะพบของดีครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSCN3222.JPG
      DSCN3222.JPG
      ขนาดไฟล์:
      967.3 KB
      เปิดดู:
      343
    • DSCN3225.JPG
      DSCN3225.JPG
      ขนาดไฟล์:
      802.8 KB
      เปิดดู:
      125
    • DSCN3226.JPG
      DSCN3226.JPG
      ขนาดไฟล์:
      448.2 KB
      เปิดดู:
      123
    • get_auc3_img.php.jpg
      get_auc3_img.php.jpg
      ขนาดไฟล์:
      48.7 KB
      เปิดดู:
      221
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 พฤศจิกายน 2015
  17. prakrueng

    prakrueng เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    14,063
    ค่าพลัง:
    +1,867
    1286g พระประทานพรเข่าอ่อน หลวงปู่เหรียญ วัดหนองบัว ขนาดพระ 3 x 6 ซม. ราคา 500 บาท ค่าส่ง 50 บาท/ครั้ง




    หลวงปู่เหรียญ ท่านเป็นเจ้าอาวาสวัดศรีอุปลาราม หรือวัดหนองบัว องค์ต่อมาจากหลวงปู่ยิ้ม วัดหนองบัว ท่านจึงเป็นศิษย์ก้นกุฏิที่รับใช้ใกล้ชิด และสืบทอดวิชาอาคมต่าง ๆ มาจากหลวงปู่ยิ้ม จนกระทั่งท่านเองก็เป็นพระผู้มีอาคมแก่กล้า พระเครื่องและวัตถุมงคลของท่านเป็นที่รู้จัก และนิยมกันอย่างกว้างขวาง พระเครื่องที่หลวงปู่เหรียญได้จัดสร้างขึ้นมา ท่านได้ใช้เวลาในการรวบรวมมวลสารตามตำราของพระอาจารย์ รวมทั้งใช้เวลาในการปลุกเสกด้วยกันอยู่เป็นเวลานานประมาณ 3 ปีเศษ จึงได้นำออกมาแจกในงานฉลองอายุครบ 78 ปี และงานฉลองพระอุโบสถหลังใหม่ที่ท่านดำเนินการสร้างในปี พ.ศ. 2497 มีรูปแบบพระเครื่องและเครื่องรางด้วยกันมากมาย หลายพิมพ์ บางพิมพ์ก็สร้างไว้น้อยมาก สำหรับพระผงของท่านที่ได้รับความนิยมและมีผู้กล่าวขวัญมากที่สุด ก็คือพระประทานพร วัดหนองบัว
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSCN3237.JPG
      DSCN3237.JPG
      ขนาดไฟล์:
      2.1 MB
      เปิดดู:
      264
    • DSCN3238.JPG
      DSCN3238.JPG
      ขนาดไฟล์:
      2.6 MB
      เปิดดู:
      113
  18. prakrueng

    prakrueng เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    14,063
    ค่าพลัง:
    +1,867
    1287g ปิดตาพิมพ์ชะลูดใหญ่ หลวงปู่เหรียญ วัดหนองบัว ขนาดพระ 2.7 x 3.5 ซม. ราคา 500 บาท ค่าส่ง 50 บาท/ครั้ง



    หลวงปู่เหรียญ ท่านเป็นเจ้าอาวาสวัดศรีอุปลาราม หรือวัดหนองบัว องค์ต่อมาจากหลวงปู่ยิ้ม วัดหนองบัว ท่านจึงเป็นศิษย์ก้นกุฏิที่รับใช้ใกล้ชิด และสืบทอดวิชาอาคมต่าง ๆ มาจากหลวงปู่ยิ้ม จนกระทั่งท่านเองก็เป็นพระผู้มีอาคมแก่กล้า พระเครื่องและวัตถุมงคลของท่านเป็นที่รู้จัก และนิยมกันอย่างกว้างขวาง พระเครื่องที่หลวงปู่เหรียญได้จัดสร้างขึ้นมา ท่านได้ใช้เวลาในการรวบรวมมวลสารตามตำราของพระอาจารย์ รวมทั้งใช้เวลาในการปลุกเสกด้วยกันอยู่เป็นเวลานานประมาณ 3 ปีเศษ จึงได้นำออกมาแจกในงานฉลองอายุครบ 78 ปี และงานฉลองพระอุโบสถหลังใหม่ที่ท่านดำเนินการสร้างในปี พ.ศ. 2497 มีรูปแบบพระเครื่องและเครื่องรางด้วยกันมากมาย หลายพิมพ์ บางพิมพ์ก็สร้างไว้น้อยมาก
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSCN3228.JPG
      DSCN3228.JPG
      ขนาดไฟล์:
      810.2 KB
      เปิดดู:
      97
    • DSCN3231.JPG
      DSCN3231.JPG
      ขนาดไฟล์:
      767.8 KB
      เปิดดู:
      132
  19. prakrueng

    prakrueng เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    14,063
    ค่าพลัง:
    +1,867
    ปิด1289g สมเด็จสามชั้น หลวงปู่นาค วัดระฆัง ขนาด 2.7 x 4 ซม. ราคา 500 บาท ค่าส่ง 50 บาท/ครั้ง


    พระเทพสิทธินายก
    (หลวงปู่นาค โสภโณ)
    อดีตเจ้าอาวาสวัดระฆังโฆสิตาราม
    กรุงเทพมหานคร


    ชื่อ นาค
    นามสกุล มะเริงสิทธิ์
    ชาติภูมิ บ้านปราสาท ตำบลจันอัด (ตำบลเมืองปราสาท ในปัจจุบัน) อำเภอโนนสูง จังหวัดนครราชสีมา
    ชาติกาล วันศุกร์ ที่ ๑ สิงหาคม พ.ศ.๒๔๒๗ (ขึ้น ๑๐ ค่ำ เดือน ๙ ปีวอก จุลศักราช ๑๑๔๖) เวลา ๑๙:๑๐ น.
    ทวด หลวงเริง ต้นตระกูลมะเริงสิทธิ์ (เป็นตระกูลผู้มีอันจะกินตระกูลหนึ่งแห่งเมืองนครราชสีมา
    ปู่ ย่า ปู่ชื่อ ขุนประสิทธิ์ (อยู่) เป็นนายอากรเมืองโคราช
    ย่าชื่อ ฉิม มะเริงสิทธิ์
    ตา ยาย ตาชื่อ พระวิเศษ (ทองศุข)
    ยายชื่อ อิ่ม
    บิดาชื่อ นายป้อม มะเริงสิทธิ์
    มารดาชื่อ นางสงวน มะเริงสิทธิ์
    ญาติพี่น้องร่วมบิดามารดา มี ๔ คน คือ
    ๑.พระเทพสิทธินายก (นาค มะเริงสิทธิ์)
    ๒.พระภิกษุโชติ มะเริงสิทธิ์
    ๓.นางทุเรียน ปภาวดี
    ๔.นางอุดร จุลรัษเฐียร

    หลวงปู่นาค โสภโณ วัดระฆังโฆสิตาราม กรุงเทพฯ

    ชีวิตวัยเยาว์
    เป็นเด็กใฝ่แสวงหาความรู้ใส่ตัว เพื่อเป็นเกียรติประวัติแก่วงศ์ตระกูล ตั้งแต่สมัยบ้านเมืองยังไม่มีโรงเรียน เด็กผู้ชายสมันนั้นต้องอาศัยวัดเป็นสถานที่เรียนหนังสือ บิดามารดาพาท่านมาฝากเป็นเด็กวัด อยู่กับพระครูสังฆวิจารย์ (มี) ผู้เป็นลุง ที่วัดบึง ใกล้ประตูชุมพล นครราชสีมา ได้รับการอบรม อ่าน เขียน เรียนหนังสือทั้งภาษาไทย ภาษาขอม ภาษาบาลี อาศัยที่ท่านเป็นคนมีสติปัญญาเฉลียวฉลาดเล่าเรียนเก่ง ความทรงจำดี มีความประพฤติเรียบร้อยอาจารย์จึงแนะนำให้เดินทางเข้าศึกษาเล่าเรียนต่อในสำนักที่ดีๆ ในกรุงเทพฯ เพื่อความเจริญก้าวหน้าสืบไป


    บรรพชา
    ประมาณปี พ.ศ.๒๔๔๐ อายุได้ ๑๓ ปี ท่านได้บรรพชาเป็นสามเณร ณ วัดบึง ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา โดยมีพระครูสังฆวิจารย์ (มี) เป็นพระอุปัชฌาย์


    เข้ากรุงเทพฯ
    เมื่อ บรรพชาเป็นสามเณรแล้ว ท่านได้เดินทางเข้ากรุงเทพฯ โดยกองคาราวานวัวต่าง มีผู้ร่วมเดินทางประมาณ ๓๐ คน เดินทางจากโคราชรอนแรมมาเป็นเวลาแรมเดือน จวนจะถึงจังหวัดสระบุรี ท่านเห็นกุลี (กรรมกร) จำนวนมากกำลังกรุยทางเพื่อสร้างทางรถไฟไปนคราชสีมา พอถึงเมืองสระบุรีท่านรู้สึกไม่ค่อยสบาย บิดาจึงพาแยกออกจากกองคาราวาน ฝากตัวเป็นลูกศิษย์อยู่กับพระภิกษุรูปหนึ่งมีศักดิ์เป็นน้าที่วัดทองพุ่มพวง สระบุรี หลวงน้าช่วยอุปการะอยู่ที่วัดเป็นเวลานานหลายเดือนระหว่างนั้นท่านได้ศึกษา หาความรู้เพิ่มเติมต่อไปด้วย โดยมิได้ลดละความตั้งใจที่จะเดินทางเข้าศึกษาธรรมะบาลีในกรุงเทพฯ ให้ได้ในโอกาสหน้า ในที่สุดพระน้าชายก็ได้นำสามเณรนาคเดินทางเข้าถึงกรุงเทพฯ โดยนำไปฝากไว้กับพระอาจารยเลื่อม พระลูกวัดระฆังโฆสิตาราม ซึ่งกุฎิของท่านอยู่หน้าวัดใกล้ปากคลอง (ปัจจุบันเป็นที่ตั้งโรงเรียนสตรีวัดระฆัง)
    พระอาจารย์เลื่อม เป็นพระหลวงตาที่ชราภาพมาก แต่เป็นผู้เคร่งครัดในพระธรรมวินัย มีลูกศิษย์มาก ท่านเป็นปรมาจารย์ในทางวิปัสสนากัมมัฏฐาน ท่านได้พร่ำสอนสามเณรนาคด้วยความรักและเอ็นดู สามเณรนาคเองก็เป็นคนว่านอนสอนง่าย ยุคนั้นวัดระฆังโฆสิตารามมี พระธรรมไตรโลกาจารย์ ซึ่งต่อมาได้เป็นสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (มร.ว.เจริญ อิศรางกูร ณ อยุธยา) เป็นเจ้าอาวาสปกครองวัด สมเด็จองค์นี้เป็นศิษย์เอกของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหมฺรํสี) พระธรรมไตรโลกาจารย์มองเห็นว่า ต่อไปภายหน้าสามเณรนาคจะสร้างเกียรติประวัติดีเด่นเป็นเอกในสำนัก ทั้งการปริยัติคือการเล่าเรียนภาษาไทย ภาษาบาลี และการปฏิบัติในทางวิปัสสนากัมมัฏฐาน จึงรับสามเณรนาคไว้ในอุปการะ
    บ้านเมืองในสมันนั้น ฝั่งกรุงเทพฯ กับฝั่งกรุงธนบุรี แม้ห่างกันเพียงแค่แม่น้ำเจ้าพระยากั้นเท่านั้น แต่ก็มีความเจริญแตกต่างกัน กรุงเทพฯ เมืองหลวงใหม่มีความเจริญรุ่งเรืองมาก แต่วัดระฆังฯ ที่อยู่ฝั่งธนบุรีเมืองหลวงเก่า กลับดูเป็นเหมือนว่าอยู่ห่างไกลความเจริญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวัดระฆังฯ นั้น มีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาล รายล้อมด้วยเรือกสวนไร่นา เป็นดินแดนแห่งความสงบวิเวกวังเวง เหมาะสมเป็นที่ประพฤติพรตพรหมจรรย์ของพระสงฆ์องค์เจ้าผู้เคร่งครัดพระธรรมวินัยและใฝ่ปฏิบัติ


    การศึกษา
    หลวงปู่นาค เล่าว่า “พระอาจารย์นวล เป็นผู้เชี่ยวชาญภาษาบาลี เดิมทีจำพรรษาอยู่ที่วัดมหาธาตุ แต่ได้ข้าวฝากมาสอนบาลีอยู่ที่วัดระฆังฯ และได้เป็นอาจารย์สอนบาลีหลวงปู่ด้วย”

    พ.ศ.๒๔๔๒
    สามเณรนาค อายุได้ ๑๕ ปี ได้เล่าเรียนภาษาบาลีมีความรู้ถึงขั้นเข้าแปล บาลีเปรียญธรรม ๓ ประโยคเป็นครั้งแรกต่อหน้าพระที่นั่ง โดยมีพระเถรานุเถระทรงสมณศักดิ์หลายรูปเป็นกรรมการฝ่ายสงฆ์ ผลปรากฏว่าสามเณรนาคสอบแปลด้วยปากได้เปรียญธรรม ๓ ประโยค ได้รับพระราชทานไทยธรรมเครื่องอัฏฐบริขาร จากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕

    พ.ศ.๒๔๔๘
    สามเณรนาคมิได้หยุดยั้งความตั้งใจ พยายามศึกษาเล่าเรียนต่อและได้เข้าสอบแปลประโยคบาลีต่อหน้าพระที่นั่งอีกครั้งหนึ่ง ผลปรากฏว่าสอบไล่ได้เปรียญธรรม ๔ ประโยค โดยการแปลด้วยปาก ซึ่งเป็นการยากสำหรับยุคนั้น แต่ละครั้งที่เข้าสอบจะมีพระภิกษุสามเณรสอบได้เพียงไม่กี่รูป


    อุปสมบท
    พ.ศ.๒๔๔๘
    พระธรรมไตรโลกาจารย์ (ม.ว.ร.เจริญ อิศรางกูล ณ อยุธยา) ผู้อุปการะสามเณรนาค เห็นว่ามีอายุครบอุปสมบทเป็นพระภิกษุได้แล้ว จึงจัดการนิมนต์พระมีสมณศักดิ์สูงมาเป็นพระอุปัชฌาย์อาจารย์ ในพิธีการอุปสมบท ณ พระอุโสถวัดระฆังโฆษิตาราม โดยมี
    - สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ฤทธิ์) วัดอรุณราชวราราม เป็นพระอุปัชฌาย์
    - สมเด็จพระวันรัต (ฑิต) วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฏ์ เป็นพระกรรมวาจาจารย์
    - พระธรรมโกษาจารย์ (แพ) วัดสุทัศนเทพวราราม เป็นพระอนุศาสวนาจารย์ (ต่อมาได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช)
    สำหรับพระธรรมไตรโลกาจารย์ ได้เป็นผู้บอกอนุศาสน์ พระอุปัชฌาย์ให้นามฉายาพระมหานาคว่า “โสภโณ”

    พ.ศ.๒๔๔๙
    พระมหานาค โสภโณ เข้าสอบแปลเปรียญธรรม๕ ประโยคได้ แต่ไม่ได้เข้าสอบเปรียญธรรมต่อถึงประโยค ๖ ทั้งนี้เพราะเหตุที่ท่านมีภารกิจเป็นผู้รับใช้ใกล้ชิดถวายงานวัดให้เจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒโฆษาจารย์ เจ้าอาวาส


    เรียนวิปัสสนา
    ในระหว่างที่ศึกษาเล่าเรียนพระธรรมบาลีอยู่นั้น ท่านได้หาเวลาไปศึกษาทางวิปัสสนากัมมัฏฐานเพิ่มเติมกับพระอาจารย์ที่วัดอรุณราชวราราม (วัดแจ้ง) และวัดราชสิทธาราม (วัดพลับ) และได้ลงมือปฏิบัติจิตภาวนาอย่างเคร่งครัด โดยเพียรพยายามศึกษาและฝึกปฏิบัติอยู่นานถึง ๑๐ ปี ก็สามารถทำมูลกัมมัฏฐานเป็นฌานวิปัสสนาสามารถส่งกระแสจิตได้ ดังมีเรื่องเล่าว่า ที่วัดระฆังโฆสิตาราม ในครั้งหนึ่งมีลูกโยคีมาฝึกทำวิปัสสนา จนสามารถถอดวิญญาณดูนรกสวรรค์ และท่องเที่ยวไปในสถานที่ต่างๆ ได้ เป็นเวลานานถึง ๒ วัน ก็ยังไม่คืนสติ ยังคงนั่งสมาธิอยู่เช่นนั้น
    ท่านเจ้าประคุณพระเทพสิทธินายก (หลวงปู่นาค) ในฐานะที่เป็นผู้อำนวยการฝึกสอนอยู่ จึงได้นั่งสมาธิส่งกระแสจิตไปตามวิญญาณของลูกโยคีผู้นั้น แล้วไปพบอยู่ที่สุสานวัดดอน เขตยานนาวา ปรากฏว่า เห็นกำลังเที่ยวเพลิดเพลินอยู่ ท่านจึงส่งกระแสจิตเตือนวิญญาณนั้น ให้กลับคืนร่างตามเดิม เพราะล่วงมา ๒-๓ วันแล้ว ถ้าหากล่าช้าจะคืนเข้าร่างเดิมไม่ได้ เพราะร่างกายอาจเปื่อยเน่าเสียก่อน วิญญาณของลูกโยคีผู้นั้นจึงได้สติ แล้วกลับคืนเข้าร่างตามเดิม ณ ที่นั่งสมาธิอยู่ในศาลาวัดระฆังฯ
    นอกจากนี้ยังมีเรื่องเล่าว่า คุณโยมของท่านป่วยหนักอยู่ที่จังหวัดนครราชสีมา โดยมิได้ส่งข่าวคราวถึงท่าน แต่ท่านก็สามารถหยั่งรู้ได้ในสมาธิ แล้วนำหยูกยาไปรักษาพยาบาลได้อย่างถูกต้องเพราะท่านใช้กระแสจิตในทางวิปัสสนาเป็นตัวกำหนดจิตทำให้เกิดเป็นพลังขึ้นมา เป็นเหตุให้ท่านคิดสร้าง พระสมเด็จ ปี พ.ศ.๒๔๘๔ ขึ้นมา โดยอาศัยตำราของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหมฺรํสี) ระหว่างนั้นเป็นเวลาที่บ้านเมืองเกิดสงครามเอเชียบูรพาอยู่ ท่านจึงได้แจกจ่ายพระสมเด็จดังกล่าวให้ทหารติดตัวไปในสมรภูมิ เพื่อเป็นการบำรุงขวัญและกำลังใจแก่ทหารอีกส่วนหนึ่งด้วย พระสมเด็จที่หลวงปู่นาคท่านได้จัดสร้างขึ้นครั้งนั้น และที่สร้างขึ้นในรุ่นต่อๆ มา ปรากฏว่า ได้ก่ออภินิหารคงกระพันชาตรี มีพลังทางเมตตามหานิยม มีเกียรติคุณเป็นเยี่ยมในวงการพระเครื่อง ตลอดมาตราบเท่าทุกวันนี้


    หน้าที่การงาน
    พ.ศ.๒๔๖๗
    - เป็นผู้รักษาการแทนเจ้าอาวาสวัดระฆังโฆษิตาราม

    พ.ศ.๒๔๖๘
    - เป็นเจ้าสำนักเรียนวัดระฆังโฆษิตาราม


    เกียรติคุณ
    - เป็นพระปฏิบัติเคร่งครัดพระธรรมวินัย
    - เป็นพระวิปัสสนาจารย์มีจิตใจสงบเป็นสมาธิ สามารถเข้าวิปัสสนาถึงขั้นถอดจิตได้
    - สร้างวัตถุมงคล พระผงสูตรสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหมฺรํสี) มากมายหลายรุ่น
    - นามท่านชาวบ้านเรียกขานติดปากว่า “หลวงปู่นาค” วัดระฆังฯ ตราบเท่าถึงทุกวันนี้


    สมณศักดิ์
    พ.ศ.๒๔๖๔
    - ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญ ที่ พระธรรมกิติ

    พ.ศ.๒๔..
    - ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นราช ที่ พระราชโมฬี

    พ.ศ.๒๔๗๔
    - ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นเทพ ที่ พระเทพสิทธินายก


    มรณภาพ
    ท่ารมรณภาพด้วยโรคชรา ที่โรงพยาบาลศิริราช จังหวัดธรบุรี เมื่อวันศุกร์ ที่ ๑๕ มกราคม พ.ศ.๒๕๑๔ เวลา ๐๔:๔๕ น. สิริรวมอายุได้ ๘๗ ปี อยู่ในสมณเพศ ๗๕ ปี เป็นเจ้าอาวาสครองวัดระฆังโฆสิตาราม อยู่ ๔๗ ปี นับว่าเป็นเจ้าอาวาสที่ครองวัดนานที่สุดองค์หนึ่ง

    ข้อมูลอ้างอิงจาก : http://sites.google.com/site/nongwa...n-nonsung/phra-theph-siththi-nayk-nakh-soph-o
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 ตุลาคม 2015
  20. prakrueng

    prakrueng เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    14,063
    ค่าพลัง:
    +1,867
    1290g พระเจ้าห้าพระองค์ หลวงปู่ทอง วัดราชโยธา เนื้อดินหลังจารย์ ขนาดพระ 2.8 x 1.8 ราคา 850 บาท ค่าส่ง 50 บาท/ครั้ง


    หลวงปู่ทอง อายานะ เกิดเมื่อปี พ.ศ. 2363 ตรงกับปลายสมัยรัชกาลที่ 2 เป็นบุตรของนายฮวด แซ่ลิ้ม ชาวจีนฮกเกี้ยน มารดาเป็นชาวมอญ ต่อมาท่านได้อุปสมบทเมื่อปี พ.ศ. 2384 ได้อุปสมบท ณ วัดบางเงินพรม ตลิ่งชัน โดยมีท่านเจ้าคุณวินัยกิจจารีเถระ (ภู่) อดีตเจ้าอาวาสองค์ที่ 2 ของ วัดบางเงินพรม เป็นพระอุปัชฌาย์ ได้รับฉายาตามภาษามคธว่า อายะนะ หลังจากอุปสมบทมา ได้พำนักจำพรรษา ณ วัดแห่งนั้นเพื่อศึกษาพระธรรมวินัย และคอยอุปัฏฐากพระอุปัชฌาย์ของท่านภายหลังได้ธุดงค์วัตรเพื่อแสวงหาโมกขธรรม เมื่อพระราชโยธาก่อสร้างวัดราชโยธาเสร็จเรียบร้อยแล้ว ได้นิมนต์ท่านให้มาเป็นเจ้าอาวาส ท่านจึงเป็นเจ้าอาวาสองค์แรกของ วัดราชโยธา หลวงปู่ทอง อายะนะ ท่านเป็นศิษย์น้องของ สมเด็จโต วัดระฆัง และเป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่แสง วัดมณีชลขันธ์ จ.ลพบุรี (ศิษย์ร่วมสำนักเดียวกันอีกท่าน คือ หลวงปู่แก้ว วัดเครือวัลย์)
    และตอนที่หลวงปู่เผือกสร้างพระ หลวงปู่ทองก็ยังมอบผงศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ซึ่งท่านแบ่งมาจากสมเด็จพุฒาจารย์(โต พรหมรังสี) ศิษย์พี่ของท่าน ให้หลวงปู่เผือกไปสร้างพระด้วย ส่วนลูกศิษย์ฆราวาสที่เคราพเลื่อมใสท่านมากก็คือ พระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน) นายกรัฐมนตรีคนที่ 2 ของประเทศไทย ตอนสงครามอินโดจีน พระยาพหลพลพยุหเสนา อดีตนายกรัฐมนตรี ก็ยังได้นิมนต์ท่านขึ้นเครื่องบิน ไปโปรยทรายเสก รอบวัดพระแก้ว และสนามหลวง รวมทั้งบริเวณใกล้เคียง และยังได้ขอร้องให้ท่านสร้างเสื้อยันต์เพื่อแจกทหารไปใช้ในสงคราม ซึ่งเสื้อยันต์นี้มีกิตติศัพท์เลื่องลือกันมาก ว่าแคล้วคลาดยิงไม่ถูกหรือโดนยิงแล้วไม่เป็นอะไร บางคนโดนยิงล้มลง ก็ยังลุกขึ้นมาสู้ใหม่ได้ จนได้รับฉายาว่า ทหารไทยเป็นทหารผี ซึ่งตอนนั้น เสื้อยันต์ที่ท่านสร้าง จะจารเขียนด้วยดินสอดำ ท่านเองทำให้ไม่ทัน จึงได้ขอให้พระอาจารย์อีก 5 ท่านมาร่วมสร้างด้วย คือ

    1.หลวงปู่แช่ม วัดตาก้อง นครปฐม,
    2.หลวงปู่คง วัดบางกะพ้อม,
    3.หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก อยุธยา,
    4.หลวงปู่จาด วัดบางกะเบา ปราจีนบุรี,
    5.หลวงปู่เผือก วัดกิ่งแก้ว สมุทรปราการ

    นอกจากนี้ ยังมีพระเกจิอาจารย์อีกหลายท่านที่มาขอเรียนวิชาเพิ่มเติมจากหลวงปู่ทอง เช่น
    หลวงปู่เหลือ วัดสาวชะโงก ฉะเชิงเทรา,
    หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก อยุธยา,
    หลวงปู่คง วัดบางกะพ้อม สมุทรสงคราม,
    หลวงปู่จาด วัดบางกะเบา ปราจีนบุรี,
    หลวงพ่อสด วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ,
    หลวงพ่อคล้าย วัดสวนขันธ์ นครศรีธรรมราช,
    หลวงพ่อทองอยู่ วัดใหม่หนองพระองค์ สมุทรสาคร,
    หลวงพ่ออี๋ สัตหีบ

    สหายของหลวงปู่ทองที่ไปมาหาสู่กันเป็นประจำ เพื่อแลกเปลี่ยนวิชาความรู้และวิชาอาคมต่างๆก็มี
    หลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน จ.พิจิตร,
    หลวงปู่ศุข วัดมะขามเฒ่า จ.ชัยนาท,
    หลวงปู่พริ้ง วัดบางปะกอก ,
    หลวงปู่ภู วัดอินทร์,
    หลวงปู่เอี่ยม วัดหนัง,
    หลวงปู่แช่ม วัดท่าฉลอง จ.ภูเก็ต,
    ท่านเจ้ามา วัดสามปลื้ม,...
    หลวงปู่ปั้นวัดเงิน ตลิ่งชัน

    ด้านวัตถุมงคลของท่านมีทั้งพระเครื่องเนื้อพิมพ์สมเด็จ ลูกอม ชานหมาก เสื้อยันต์ ที่เราพอจะได้เห็นกันบ้างก็คือ สมเด็จเขียวเหนียวจริง หรือพระสมเด็จกรุบึงพระยาสุเรนทร์ ซึ่งท่านสร้างและปลุกเสกให้ แต่ที่ได้รับความนิยมสูงสุดก็คือ เหรียญรุ่นแรก

    อาจารย์แก้วได้จัดผ้าป่าขึ้นมากองหนึ่งเพื่อบูรณะวัดราชโยธาในปี พ.ศ. 2477 และขออนุญาตหลวงปู่ทองสร้างเหรียญรุ่นหน้าลอยเพื่อให้ลูกศิษย์ลูกหาไว้เคารพ บูชาและเป็นที่ระลึก หลวงปู่ทองอนุญาตให้สร้างเหรียญพร้อมมอบเนื้อสัมฤทธิ์ส่วนหนึ่งซึ่งเหลือจาก การหล่อพระประธานในโบส์ถและยังลงยันต์อักขระในแผ่นทองแดงให้อีก 48 แผ่นให้อาจารย์แก้วเพื่อเป็นชนวนในการสร้างเหรียญ อาจารย์แก้วถามหลวงปู่ทองว่าท่านอายุเท่าใดเพราะอยากได้อายุท่านลงไว้ใน เหรียญ ท่านจึงบอกว่า อายุ 117 ปี ซึ่งความจริงในขณะนั้นหลวงปู่ทองมีอายุเพียง 114 ปี อาจารย์แก้วได้สร้างเหรียญรุ่นหน้าลอยเป็นเหรียญทองแดงจำนวน 4,800 เหรียญ เหรียญเงินจำนวน 480 เหรียญ และเหรียญทองคำจำนวน 12 เหรียญ เมื่อสร้างเหรียญเสร็จแล้วจึงนำไปให้หลวงปู่ทองปลุกเสก เป็นเหรียญรูปไข่หูในตัว ด้านหน้าเป็นรูปหลวงปู่ทองห่มจีวรหันข้างครึ่งองค์ ล้อมรอบด้วยเม็ดไข่ปลาและหนังสือไทย เขียนว่า ท่านอาจารย์ทอง วัดราชโยธา อายุ 117 ปี หลังเหรียญมีอักขระยันต์และตัวหนังสือไทยระบุว่า แก้ว คำวิบูลย์ ครั้งที่ 1เส้นขอบเหรียญแบบ 2 ชั้น หลังจากนั้นอีก 3 ปี คือปี พ.ศ. 2480 ท่านถึงได้มรณภาพ ส่วนเหรียญรุ่นหน้าจมสร้างขึ้นมาภายหลัง จำนวน 4,800 เหรียญ ซึ่งส่วนมากเป็นเนื้อสัมฤทธิ์ มีชนวนเก่า เศษทอง เงิน และทองแดง ที่เหลือจากการปั้มเหรียญรุ่นหน้าลอยมาผสมด้วย เหรียญรุ่นนี้สร้างขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแจกในงานฌาปนกิจศพพระคุณเจ้า หลวงปู่ทอง วัดราชโยธา เมื่อปี พ.ศ. 2481 ส่วนภาพถ่ายมีเพียงภาพตอนที่ท่านจะลงจากกุฏิไปฉันเพล ท่านถึงแก่มรณภาพด้วยโรคชราในปี พ.ศ. 2480 ตรงกับสมัยรัชกาลที่ 8นับรวมอายุได้ 117 ปี 96 พรรษา เป็นพระอรหันต์ที่อยู่ได้นานที่สุดถึง 7 แผ่นดิน

    http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%97%E0%B8%AD%E0%B8%87_%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%B0%E0%B8%99%E0%B8%B0
    ขอขอบคุณ
    (ข้อมูลจาก หนังสือชีวประวัติและเกียรติคุณ ของหลวงปู่ทอง วัดราชโยธา พิมพ์เมื่อปี2524)
    ประวัติหลวงปู่ทองวัดลาดบัวขาว (ราชโยธา) กรุงเทพฯ - See more at: ประวัติหลวงปู่ทอง วัดราชโยธา กทม. (2363-2480) | ต่าย กระทุ่มแบน ต่ายกระทุ่มแบน ต่าย กระทุ่มแบน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 กันยายน 2015
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...