คลังเรื่องเด่น
-
สิ่งทั้งหลายเกิดแต่เหตุ พระพุทธองค์ทรงตรัสเหตุและความดับแห่งธรรมนั้น
ดับตั้งแต่เหตุ
ถาม : ในจิตเรามุ่งว่า ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายที่เราจะไปพระนิพพาน..ใช่ไหมครับ ? แล้วอะไรที่จะเข้ามาก็ให้จิตเรารู้ทัน ?
ตอบ : ไม่ใช่..คือว่าอะไรเกิดขึ้นก็ตาม ต้องพยายามใช้ปัญญาดูให้รู้ถึงเหตุนั้น ๆ
เช่น เงินนี่ถ้าเราสักแต่เห็นว่าเป็นเพียงธาตุ ๔ ดิน น้ำ ไฟ ลม เป็นกระดาษแผ่นหนึ่ง สิ่งนี้ก็คือเงิน จะทำอันตรายเราไม่ได้ แต่เราไปคิดต่อว่า เงินนี้เอาไปซื้อของเสียหน่อยก็ดี ซื้อข้าวกิน เออ...ดี เดี๋ยวจะไปกินร้านนั้น เพราะอาหารอร่อย..มีคนชวนชิม นั่น..กิเลสเริ่มเกิดแล้ว เราเคยชวนสาวไปกินร้านโน้นนี่ เอ้า..ยิ่งหนักเข้าไปอีก
ตัวราคะ โลภะ โทสะ โมหะ จะระดมมาเลย..ใช่ไหม ? ไปซื้อยาบ้าเสียหน่อยก็ดี ยิ่งหนักเข้าไปอีก เงินตัวเดียวถ้าคุณหยุดได้ แค่นี้ก็จบ ไม่อาจจะทำอันตรายอะไรได้
เราต้องตัดตั้งแต่ต้นเหตุ แต่ถ้าหากว่าเราสืบสาวราวเรื่องด้วยการปรุงแต่งด้วยจิตสังขาร เรื่องก็จะกว้างออกไปเรื่อย จนกระทั่งกลายเป็นไฟไหม้ป่า ไม่สามารถที่จะดับได้ แต่ถ้าเรารู้ต้นเหตุว่า สะเก็ดไฟนิดเดียวนี้ ถ้าเราปล่อยก็จะลาม เราก็รีบดับเสีย ก็หมดปัญหาไป
เพราะฉะนั้น..พระพุทธเจ้าท่านถึงได้ตรัสว่า... -
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๑๙ เมษายน ๒๕๖๕
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๑๙ เมษายน ๒๕๖๕ -
กำลังใจของคนที่มีวันนี้วันเดียว
"หลวงพ่อทำได้อย่างไรครับ ?" "พระอาจารย์ทำได้อย่างไรครับ ?"
คำถามเหล่านี้จะมาถึงเสมอ เมื่อได้เห็นว่าแต่ละวันอาตมาทำอะไรไปบ้าง แต่สิ่งที่ทำปรากฏออกสื่อนั้นน้อย ส่วนที่ทำแล้วไม่ได้รายงานออกสื่อมีมากกว่า
ทั้งนี้ทั้งนั้นเกิดจากกำลังกายกำลังใจที่สั่งสมมาข้ามชาติข้ามภพมาอย่างหนึ่ง สิ่งที่ครูบาอาจารย์เคี่ยวเข็ญสั่งสอนเอาไว้อีกอย่างหนึ่ง หลักธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งพิสูจน์แล้วว่ามีแต่ประโยชน์ไม่มีโทษอีกอย่างหนึ่ง
สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ หล่อหลอมจนเป็นตัวอาตมาอย่างที่เห็นทุกวันนี้ นิสัยเดิมที่ปรารถนาพระโพธิญาณมา สร้างบารมีไว้มาก กำลังใจจึงเข้มแข็ง จนออกไปในแนวดื้อด้าน จะทำอะไรต้องทำให้สำเร็จ ไม่เสร็จไม่เลิก..!"
"พ่อแม่และครูบาอาจารย์สั่งสอนให้มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ จนทำอะไรต่อมิอะไรได้ตั้งแต่ยังเป็นเด็ก พอรู้ภาษาก็ต้องรับผิดชอบ ช่วยแม่เลี้ยงน้อง ช่วยพี่ดูแลหมูหมากาไก่ ซึ่งต้องคอยให้อาหารอยู่ทุกวัน ช่วยทำงานในสวนในไร่ หล่อหลอมกายใจมาจนกล้าแกร่ง
ไปโรงเรียนก็ต้องทำเวร ดูแลแปลงดอกไม้ ดูแลแปลงผัก เป็นหัวหน้าชั้น เป็นประธานนักเรียน โดยเฉพาะหน้าที่เด็กนักเรียนบ้านนอก... -
หมั่นฝึกสมาธิ จะให้ผลยามออกจากร่าง
หมั่นฝึกสมาธิ จะให้ผลยามออกจากร่าง
ขยันทำนะ การทำสมาธิมันมีผลใหญ่ที่ช่วยเธอได้แน่นอน ก็คือ ก่อนที่เธอจะตายนี่แหละ สมาธินะ เพราะถ้าเราเป็นคนที่ไม่มีจิตที่ตั้งมั่น ระลึกนึกถึงความดีไม่ได้ ความตายของเราก็สูญเปล่า
เหมือนกับว่าที่ทำมาทั้งชีวิตไม่ได้อะไรเลย ต่อให้เธอจะมีใจขวนขวายทำทานไว้เยอะ แต่ทานเหล่านี้ก็ช่วยเธอไม่ได้หากว่าเธอไม่มีสมาธิ เพราะใจมันนึกถึงไม่ได้
สมาธิ คือ ใจมันใจจดใจจ่อ ถ้าใจจดใจจ่อแล้วมันจะนึกถึงเรื่อยไป
ตื่นมาก็นึก ทำอะไรมันก็นึก วันหนึ่งคืนหนึ่งมันก็จะนึกถึงสิ่งที่เราตั้งใจทำอะไร คือ ความดี เสมอ อันนี้เขาเรียกว่า “เรามีสมาธิ”
แต่ถ้าคนไม่มีสมาธิก็จะฟุ้ง เวลาเจออะไรมันก็จะฟุ้งซ่านไป กระสับกระส่ายง่าย ดิ้นรนง่าย ทะเยอทะยานง่าย หลงง่าย เขาเรียก “คนไม่มีสมาธิ”
ข้อแตกต่างนะ
งั้นเราฝึกสมาธิก็เพื่อให้เราไม่หลงทางไป ถึงเวลาคับขันขึ้นมา สมาธิก็จะช่วยให้ใจของเรามันสงบ โดยเฉพาะเวลาที่เราจิตใกล้ออกจากร่าง ไม่ว่าเราจะเผชิญอะไร ใจของเราก็จะสงบ นี่คือ “อำนาจสมาธิ” ที่เราฝึกนะ
ฝึกตั้งแต่อย่างเนี่ย เรายังมีเวลา เราไม่รู้ว่าถึงเวลาความตายจะเกิดขึ้นกับเราตอนไหนหรอกนะ... -
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๑๘ เมษายน ๒๕๖๕
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๑๘ เมษายน ๒๕๖๕ -
การปฏิบัติต้องทุ่มเทชนิดตายเป็นตาย
พวกเราต้องทบทวนตัวเราเองดูว่า เราทำหน้าที่ของเราอย่างเต็มที่แล้วหรือยัง ? ในเมื่อเราเองตั้งใจปฏิบัติอยู่ในศีล สมาธิ ปัญญา ปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า เราเคยทุ่มเทชนิดตายเป็นตายบ้างหรือไม่ ?
ส่วนใหญ่นอกจากจะไม่ทุ่มเทแล้ว เรายังไปปล่อยให้กำลังของเรารั่วไหลอีกต่างหาก เราจึงสู้กิเลสไม่ได้เสียที ลองดูสักครั้งสิ..ดูว่า..ตายเป็นตายเป็นอย่างไร แต่ส่วนใหญ่พอจะใกล้ตายหน่อยก็มืออ่อนตีนอ่อน ยอมแพ้ดีกว่า เดี๋ยวกิเลสตายเราจะเศร้าหมอง..!
...................................
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. วัดท่าขนุน
www.watthakhanun.com -
ทำไมคนสมัยนี้แข็งกระด้าง ?
ทำไมคนสมัยนี้แข็งกระด้าง ? -
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๑๗ เมษายน ๒๕๖๕
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๑๗ เมษายน ๒๕๖๕ -
อย่าประมาทดูแคลนผู้ปฏิบัติดีในสายอื่นที่ไม่ตรงกับจริตตน
คนส่วนใหญ่มักดูแคลนพระเกจิอาจารย์สายเวทย์วิทยาคมว่า ไปไม่ถึงพระอรหันต์ เนื่ิองจากยังยึดติดกับเวทย์วิทยาคมที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นเดรัจฉานวิชา ผิดกับพระสายกรรมฐานที่เป็นพระอรหันต์ได้แน่ๆเพราะไม่ยึดติดกับเวทย์วิทยาคม
แอดตอบได้เลยว่า ไม่จริง
ดูอย่างกรณี หลวงปู่เครื่อง วัดสระกำแพง ที่เป็นพระเกจิอาจารย์ที่มีชื่อเสียงด้านเวทย์วิทยาคม ของ จ.ศรีสะเกษ แม้แต่หลวงตามหาบัวท่านยังเดินทางไปกราบสนทนาธรรมถึงที่วัด ปัจจุบันแม้ท่านมรณภาพไปหลายปีและสรีระสังขารท่านยังไม่เผาก็ตาม แต่เส้นเกศาท่านได้กลายเป็นพระธาตุ
นี่คือพระเกจิอาจารย์เรืองเวทย์ผู้เป็นพระอริยบุคคลท่านหนึ่ง
อีกท่าน แอดมินเคยพบเจอท่านตั้งแต่ประมาณปี พ.ศ. 2550 และเป็นท่านเดียวที่แอดขอให้ท่านจารที่กระหม่อมให้ ท่านมีนามว่า
หลวงปู่แย้ม แห่งวัดสามง่าม จ.นครปฐม
ที่รู้จักท่านนั้น เริ่มจากมีคนร้อนเงินนำเหรียญรุ่นแรกของท่านสมัยเป็นรองเจ้าอาวาส มาปล่อย แอดดูไม่เป็นหรอก แต่ก็ช่วยไปตามที่เขาเรียกมาคือ 2000 บาท ถือว่าช่วยเพราะรู้จักกัน แต่ปัจจุบันมูลค่าเหรียญอยู่ที่หลักแสน
เขาได้สอนวิธีดูเหรียญให้และเล่าถึงประวัติความเป็นมาของเหรียญให้ฟัง... -
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๑๖ เมษายน ๒๕๖๕
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๑๖ เมษายน ๒๕๖๕ -
ปกิณกธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๑๖ เมษายน ๒๕๖๕
ปกิณกธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๑๖ เมษายน ๒๕๖๕ -
สติ เป็นสิ่งที่ควรจะประยุกต์ใช้ตลอดเวลา
… สติ เป็นสิ่งที่ควรจะประยุกต์ใช้ตลอดเวลา
เพราะสตินี้จะเป็นเครื่องมือที่จะควบคุมใจของเรา
ควบคุมความโลภ ความโกรธ ความหลงของเราได้
ดังนั้น พยายามหมั่นฝึกสติอยู่เรื่อยๆ เช่น บริกรรมพุทโธอยู่เรื่อยๆ
"อย่าปล่อยให้ใจคิดฟุ้งซ่าน" คิดเพ้อเจ้อ คิดเพ้อฝัน
ให้คิดเฉพาะกับเรื่องที่จำเป็นต้องคิด คือเรื่องงานการ เรื่องทำมาหากิน
แต่อย่ามานั่งคิดเพ้อฝัน หรือมานั่งโกรธคนนั้น โกรธคนนี้
วิพากษ์วิจารณ์สิ่งนั้นสิ่งนี้ คนนั้นคนนี้ ให้เสียเวลา
ควบคุมความคิดให้ได้ดีกว่า เพราะถ้าเราควบคุมความคิดได้
"ใจเราจะนิ่ง ใจเราจะเฉย"
คำสอนของพระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี
ตอบปัญหาธรรมทาง zoom
วันที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๔
Credit: ขอขอบพระคุณที่มาจาก Facebook กลุ่มเด็กวัดป่า ฯ มดงาน -
ปกิณกธรรมจากวัดท่าขนุน วันที่ ๑๕ เมษายน ๒๕๖๕
ปกิณกธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๑๕ เมษายน ๒๕๖๕ -
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๑๕ เมษายน ๒๕๖๕
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๑๕ เมษายน ๒๕๖๕ -
หน้าที่ลูกศิษย์สายหลวงพ่อวัดท่าซุงที่ลงมาเกิด
ถาม : ลูกศิษย์สายหลวงพ่อวัดท่าซุงที่ลงมาเกิด นอกจากมีหน้าที่ปฏิบัติเพื่อมรรคผลของตนเองแล้ว ยังมีหน้าที่อื่นติดตามมาด้วยหรือไม่คะ?
ตอบ : ๑. เพื่อเกื้อกูลพระศาสนา
๒. เพื่อแบ่งเบาภารกิจการงานของหลวงพ่อ
๓. เพื่อมรรคผลพระนิพพานของตนเอง
ใครรู้ตัวว่าทำไม่ครบก็รีบทำเสียให้ครบ
เก็บตกบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนมกราคม ๒๕๕๘ -
จิต ที่สำคัญกว่า จิตดวงสุดท้าย
จิต ที่สำคัญกว่า จิตดวงสุดท้าย -
เคยเป็นภิกษุ1ใน500ของเทวฑัตแต่ออกมาทัน / พระสารีบุตรมาสอนเสมอแม้ท่านเข้านิพพานไปแล้ว
..หลวงปู่ขาว อนาลโย เคยเป็นภิกษุ1ใน500 ของพระเทวทัต และจากมาหลังฟังพระธรรมเทศนาของพระสารีบุตร..
..ณ วัดถ้ำกลองเพล “พระอาจารย์ทูล ขิปฺปปญฺโญ” ได้ถาม “ หลวงปู่ขาว อนาลโย” ว่า ในอดีตที่ผ่านมาในครั้งพุทธกาลนั้นท่านได้สร้างบารมีมาอย่างไร ขอนิมนต์หลวงปู่เล่าความเป็นมา
ในอดีตให้ฟัง หลวงปู่ก็ยิ้มๆ แล้วเริ่มเล่าความเป็นมาในสมัยครั้งนั้น
..หลวงปู่บอกว่าในสมัยนั้น เฮาเป็นพระนวกะเพิ่งบวชใหม่ ยังไม่รู้จักความผิดถูกในธรรมวินัยดี ตลอดจนข้อวัตรปฏิบัติก็ยังไม่เข้าใจพอ แต่มีความหวังดีในการบวช มีความยินดีในการปฏิบัติ และอยากพ้นไปจากทุกข์ทั้งหลาย ในครั้งนั้นมีพระบวชใหม่ด้วยกันประมาณ 500 องค์ ทุกองค์ต่างก็ยังไม่รู้ในพระธรรมวินัยดี แล้วก็มีพระองค์ที่ท่านบวชก่อนมาชักชวนให้ไปเป็นหมู่คณะ โดยพูดว่า มีพระอาจารย์องค์หนึ่งท่านได้เป็นพระอรหันต์ มีความรู้เฉลียวฉลาดเฉียบแหลมมาก แนวทางปฏิบัติตรงต่อมรรคผลนิพพานทีเดียว มีข้อวัตรปฏิบัติเคร่งครัดในพระธรรมวินัย จึงทำให้ผู้ปฏิบัติถึงพระนิพพานได้เร็วขึ้น เฮาเองก็มีความเชื่อ เพราะอยากเป็นพระอรหันต์อยู่แล้ว... -
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๑๔ เมษายน ๒๕๖๕
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๑๔ เมษายน ๒๕๖๕ -
"ท่านให้ฝืนใจตัวเอง" (หลวงปู่ชา สุภัทโท)
.
"ท่านให้ฝืนใจตัวเอง"
" .. มรรคผลนิพพานมีอยู่ "แต่สิ่งเหล่านั้นเกิดจากการปฏิบัติ" เกิดจากการทรมาน กล้าหาญ กล้าฝึก กล้าหัด กล้าคิด กล้าแปลง กล้าทำ การทำนั้นทำอย่างไร
"ท่านให้ฝืนใจตัวเอง" ใจเราคิดไปทางนี้ท่านให้ไปทางโน้น ใจเราคิดไปทางโน้นท่านให้ไปทางนี้ ทำไมท่านจึงให้ฝืนใจ เพราะใจถูกกิเลสเข้าพอกเต็มที่แล้ว "มันยังไม่ได้ฝึกหัดดัดแปลง ยังไม่เป็นศีลเป็นธรรม ใจมันยังไม่แจ้ง" จะไปเชื่อมันได้อย่างไร .. "
หลวงปู่ชา สุภัทโท -
อย่าเอาจิตใจไปวัดกับพระอริยเจ้า
อย่าเอาจิตใจไปวัดกับพระอริยเจ้า !
พวกเธอจงอย่าเอาจิตใจเข้าไปวัดกับพระอริยเจ้า
สิ่งใดที่ยังสงสัย ยังไม่รู้ อย่าไปคัดค้าน
มันจะเป็นบาปมหันต์
เพราะเราเองไม่ใช่สัพพัญญูวิสัย
มีพระพุทธเจ้าองค์เดียวเท่านั้น
ที่เป็นสัพพัญญูวิสัย สามารถจะรู้อะไรได้หมด
โอวาทธรรม : หลวงปู่ปาน โสนันโท
-----------------------------------------------
=AZX4EN99XZPhpyMJkvFa58rPur2Gpxkqx09AbJYaag-PcxWfl0Ql9hdIR85WBfd3ObulO-kHyFqbhY8NH9phKHbm15RXfdpRZMQQqrJpKlb1-AjGDJi7nZNMWTMIb1ULgVx-fni8MQ35SlDOqWMGHPtxDRZUbTNrZBulXuyaiyZpIZn3daj31DekZ5uyJV_PV-c&__tn__=*NK-R']#วัดป่าธรรมคีรี
=AZX4EN99XZPhpyMJkvFa58rPur2Gpxkqx09AbJYaag-PcxWfl0Ql9hdIR85WBfd3ObulO-kHyFqbhY8NH9phKHbm15RXfdpRZMQQqrJpKlb1-AjGDJi7nZNMWTMIb1ULgVx-fni8MQ35SlDOqWMGHPtxDRZUbTNrZBulXuyaiyZpIZn3daj31DekZ5uyJV_PV-c&__tn__=*NK-R']#วัดป่าธรรมคีรีสถานที่เจริญสติปัญญา... -
"เป็นของสัตว์เดียรัจฉานเหมือนกัน" (หลวงปู่ดูลย์ อตุโล)
"เป็นของสัตว์เดียรัจฉานเหมือนกัน"
" .. มีชายหนุ่มจากต่างจังหวัดไกลสามสี่คนเข้าไปหาหลวงปู่ ขณะที่ท่านนั่งพักผ่อนอยู่ที่มุขศาลาการเปรียญ ดูอากัปกิริยาของเขาแล้ว "คงคุ้นเคยกับพระนักเลงองค์ใดองค์หนึ่ง" มาก่อนแล้ว
สังเกตจากการนั่งการพูด เขานั่งตามสบาย พูดตามถนัด ยิ่งกว่านั้น "เขาคงเข้าใจว่าหลวงปูนี้คงสนใจกับเรื่องเครื่องราง ของขลังอย่างดี" เขาพูดถึงชื่อเกจิอาจารย์อื่น ๆ ว่าให้ของดีของ วิเศษแก่ตนหลายอย่าง
ในที่สุดก็งัดเอาของมาอวดกันเอง ต่อหน้าหลวงปู่ "คนหนึ่งมีเขี้ยวหมูตัน คนหนึ่งมีเขี้ยวเสือ อีกคนมีนอแรด" ต่างคนต่างอวดอ้างว่า "ของตนดีวิเศษอย่างนั้นอย่างนี้"
มีคนหนึ่งเอ่ยว่า "หลวงปู่ฮะ อย่างไหนแน่ดีวิเศษ กว่ากันฮะ"
หลวงปู่ก็อารมณ์รื่นเป็นพิเศษ ยิ้มๆ แล้วว่า ..
" .. ไม่มีดี ไม่มีวิเศษอะไรหรอก "เป็นของสัตว์เดียรัจฉาน เหมือนกัน" .. "
"หลวงปู่ฝากไว้"
หลวงปู่ดูลย์ อตุโล -
...พิสูจน์หลักปฏิจจสมุปบาท(ผลกรรม)ได้ทันทีในกาย-ใจ ด้วยสมถะวิปัสสนา(สติปัฏฐานสี่)ตามแนววิชชาธรรมกาย
กายในกาย เห็นเหตุและผล การเกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไปของกาย
เวทนา เห็นเหตุและผล การเกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไปของเวทนา
จิต เห็นเหตุและผล การเกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไปของจิต
ธรรม เห็นเหตุและผล การเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไปของธรรมเครื่องปรุงแต่ง
ไปจนถึงเห็นธรรมที่อาศัยปัจจัยปรุงแต่งและธรรมที่ไม่มีปัจจัยปรุงแต่ง -
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๑๓ เมษายน ๒๕๖๕
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๑๓ เมษายน ๒๕๖๕ -
ผู้มีเหตุผล ก็คือผู้มีปัญญา พระวรคติธรรม สมเด็จพระญาณสังวรฯ
ผู้มีเหตุผล ก็คือผู้มีปัญญา
พระวรคติธรรม สมเด็จพระญาณสังวรฯ
ผู้ที่อบรมสมาธิ ทำใจให้สงบมาก
ก็เท่ากับฝึกใจให้คุ้นเคยกับความสงบมาก มีความสงบมาก
ผู้ที่ปล่อยใจให้ฟุ้งซ่าน วุ่นวายไปกับเรื่องกับอารมณ์ต่างๆ มาก
ก็เท่ากับฝึกใจให้วุ่นวายฟุ้งซ่านมาก
เพราะคุ้นเคยกับความวุ่นวายฟุ้งซ่านมาก ความสงบก็มีน้อย
ผู้ที่อบรมปัญญามาก พยายามฝึกให้เกิดเหตุผลมาก
ก็จะคุ้นเคยกับการใช้เหตุผล ไม่ขาดเหตุผล
ผู้ที่มีเหตุผล ก็คือผู้มีปัญญา
ผู้ที่ขาดเหตุผล ก็คือผู้ขาดปัญญา
เหตุผลหรือปัญญาก็ฝึกได้
เป็นไปตรงตามพุทธศาสนสุภาษิตที่ว่า
"บัณฑิตย่อมฝึกตน" และที่ว่า "ผู้ประพฤติดีย่อมฝึกตน"
ทุกคนควรพิจารณาดูใจตนเอง
ให้เห็นความปรารถนาต้องการที่แท้จริง ว่าต้องการอย่างไร
ต้องการเป็นคนฉลาด มีปัญญามีเหตุผล ก็ต้องประพฤติ
คือ คิดพูดทำแต่สิ่งที่เป็นไปตามเหตุผลถูกต้องด้วยเหตุผล
ต้องการเป็นคนดี
ก็ต้องประพฤติดีให้พร้อมทั้งกายวาจาใจให้สม่ำเสมอ
การคิดดีพูดดีทำดีเพียงครั้งคราว
หาอาจทำตนให้เป็นคนดีได้ไม่
หาอาจเป็นการประพฤติดีที่เป็นการฝึกตนไม่
ขอบคุณที่มา : ศูนย์พุทธศรัทธา สำนักปฏิบัติพระกรรมฐานสาขาวัดท่าซุง... -
ดูละคร,โขน,หนัง แบบพระกรรมฐาน
ดูละคร,โขน,หนัง แบบพระกรรมฐาน
หลวงพ่อพระราชพรหมยานตอบปัญหาธรรม
ผู้ถาม : ลูกชอบดูละครโขนหนัง เรียกว่าติด
เอามากๆเลย มีความลุ่มหลงเป็นอย่างมาก
ลูกอยากจะเรียนถามว่าการดูมหรสพเพื่อ
เป็นแนวทางพระกรรมฐานนั้น เราควรจะดู
แบบไหนและใช้ปัญญาแบบไหนเจ้าคะ ?
หลวงพ่อ : ใช้ปัญญาแบบพระสารีบุตร
พระโมคคัลลาน์ เอางี๊ซิ ถ้าดูแบบ
วิปัสสนาญาณ ก็เห็นว่าผู้แสดงนี้เป็นทุกข์
ไม่ทุกข์เขาไม่มาแสดง เขาต้องการสตางค์
เพราะเขาไม่มีเงิน ต้องมาแสดงเมื่อมัน
เหนื่อยก็ทุกข์ คนแสดงก็ดี คนดูก็ดี ไม่ช้า
ก็ตายเหมือนกันหมด ทุกคนต่างคนต่างตาย
พระสารีบุตรพระโมคคัลลาน์คิดแบบนี้
ท่านบอกว่าคนที่แสดงมหรสพก็ตาม
คนดูก็ตามทั้งหมดนี่ มีอายุไม่ถึง ๑๐๐ ปี
ก็ตายหมด ไอ้เราก็ต้องตายเหมือนกัน
ทีนี้โลกนี้มีของคู่กัน มีผู้หญิงก็ต้องมีผู้ชาย
มีมืดก็ต้องมีสว่าง ฉะนั้นธรรมที่ทำให้
คนตายมีอยู่ ธรรมที่ทำให้คนไม่ตายต้องมี
ขอบคุณที่มา : ศูนย์พุทธศรัทธา สำนักปฏิบัติพระกรรมฐานสาขาวัดท่าซุง www.BuddhaSattha.com -
เรื่อง เทวดาคุ้มครอง
หลวงพ่อฤๅษีตอบปัญหาธรรม
เรื่อง เทวดาคุ้มครอง
ผู้ถาม :- "หลวงพ่อครับ ทุกคนที่เกิดมานี้ มีเทวดาคุ้มครองไหมครับ?"
หลวงพ่อ :- "ไม่รับรองนะ ส่วนใหญ่เขามี จะหาว่าทุกคนหรือไม่ทุกคน...ไม่รับรองนะ"
ผู้ถาม :- "ถ้าเป็นคนชั่ว จะมีเทวดาคุ้มครองไหมครับ"
หลวงพ่อ :- "คนชั่วก็มีเทวดาชั่วคุ้มครอง คนดีก็มีเทวดาดีคุ้มครอง คำว่า "คน" ก็แล้วกัน อย่าไปแยกชั่วหรือดีเลยนะ เขาอาจจะมีเทวดาคุ้มครองก็ได้ เพื่อนเก่าเขา พ่อเขา แม่เขา ผัวเขา เมียเขา ลูกเขา หลานเขา เหลนเขา อาจจะยังเป็นเทวดาอยู่ เขาจำกันได้ อาจจะคุ้มครองได้
อันนี้ก็อย่าให้เดาว่าจะเป็นทุกคนเลยนะ เทวดาคุ้มครองน่ะ ไม่มีใคร พวกเดียวกัน บางทีเราจากกันมาแล้วตั้งแสนชาติ เขายังจำได้ เขาก็คุ้มครอง แต่การคุ้มครองต้องเป็นไปตามกฎของกรรม ถ้ากรรมที่เป็นอกุศลให้ผล เทวดาต้องหลีกเหมือนกัน ไม่ใช่ไปคุ้มส่งเดชนะ"
ขอบคุณที่มา : ศูนย์พุทธศรัทธา สำนักปฏิบัติพระกรรมฐานสาขาวัดท่าซุง www.BuddhaSattha.com -
เรื่องท้อแท้ทำความดี
หลวงพ่อฤๅษีตอบปัญหาธรรม
เรื่องท้อแท้ทำความดี
ผู้ถาม : หลวงพ่อเจ้าขา ลูกอยากจะทำความเพียรเพื่อทำความดี แต่บางครั้งก็มีอารมณ์ท้อแท้จะทำอย่างไรดีคะ?
หลวงพ่อ : ถ้าท้อแท้ต่อความเพียรก็แสดงว่าขี้เกียจ คนที่มีความเพียรคือคนขยัน ความเพียร เพียรต่อสู้กับความชั่ว เพื่อหวังให้มีผลในความดี เป็นเรื่องธรรมดาของคน ไอ้การต่อสู้ความขยันหมั่นเพียร มันจะมีทุกเวลาไม่ได้นะ ในบางครั้งกรรมที่เป็นอกุศลเดิม มันเข้ามาครอบงำจิต เวลานั้นจะตัดความดีของเราให้รู้สึกท้อแท้ไม่กล้าต่อสู้...เบื่อ! พอกุศลเข้ามาสนองปั๊บ กุศลเตะไอ้นั่นออกไป นี่ขยันแล้วสร้างความดี ต้องเป็นอย่างนั้นเหมือนกันทุกคน หนักเข้าๆ กุศลมีกำลังแรงก็เตะไอ้นั่นกระเด็นออกไป
พอถึงพระโสดาบันปั๊บ อกุศลยังเข้ามาได้ แต่เข้าก็เข้าแรงไม่ได้ ถ้าถึงพระโสดาบันอกุศลเข้าแรงไม่ได้ มันจะสร้างความขุ่นมัวบ้าง แต่จะถึงทำบาปไม่ได้ คำว่า “ขุ่นมัว”อาจจะต้องโกรธ ใช่ไหม...พระโสดาบันยังมีโกรธ พระโสดาบันยังมีความรักในระหว่างเพศ พระโสดาบันยังมีความอยากร่ำรวย แต่เรื่องละเมิดศีลไม่มี แต่มีอารมณ์ที่แจ่มใสจริง ๆ คือพระอรหันต์ ถ้ายังไม่ถึงพระอรหันต์เพียงใด ก็ยังเตะกันใหม่... -
ตายแล้วไม่สูญ
ตายแล้วไม่สูญ
โดยหลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง
คนเราตายแล้ว ถ้ามีสภาพสูญ ก็ไม่มีศัพย์ว่า
ตกนรก หรือเป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน
และก็ไม่มีคำพูดว่า ไปสวรรค์ ไปพรหมโลก
ไปนิพพาน แต่นี่อาศัยว่าการตาย ร่างกายมันตาย
อทิสสมานกายไม่ตาย
ถ้ากำลังใจของเราเลวก่อนตาย จิตน้อมไป
ในด้านของอกุศล อกุศลจะนำไปในแดน
อบายภูมิทั้ง ๔ มีสัตว์นรก เปรต อสุรกาย
สัตว์เดรัจฉาน เป็นต้น
ถ้าจิตของเราก่อนจะตายน้อมไปในด้านของกุศล
กุศลก็จะพาไปในแดนของความสุข มีสวรรค์
มีพรหมโลก ถ้าหากว่าไม่ติดในร่างกาย ก็พาไปนิพพาน
จาก โอวาทหลวงพ่อวัดท่าซุง เล่ม ๓ หน้า ๑๖๖
ขอบคุณที่มา : ศูนย์พุทธศรัทธา สำนักปฏิบัติพระกรรมฐานสาขาวัดท่าซุง www.BuddhaSattha.com -
เรื่องเจ้าที่กับพระภูมิ
เรื่องเจ้าที่กับพระภูมิ
โดยหลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุงตอบปัญหาธรรม
ผู้ถาม :- "เจ้าที่กับภูมิเทวดาต่างกันไหมครับ?
หลวงพ่อ :- "เจ้าที่ต่างกับพระภูมิแน่ เพราะเจ้าที่เป็นคนก็ได้ เป็นสัตว์ก็ได้ เพราะเป็นเจ้าของที่ ใช่ไหม...
คำว่า เจ้าที่ หมายถึง อากาศเทวดา หมายถึง เทวดาชั้นจาตุมหาราช ถ้าอากาศเทวดาต้องใช้ศาล ๔ เสา หรือ ๖ เสา ภูมิเทวดาเขาใช้ศาลเสาเดียว
ถ้าถามว่ากำลังอำนาจแตกต่างกันไหม...ก็ต้องตอบว่า เจ้าที่ คือเทวดาชั้นจาตุมหาราช คุมพระภูมิ พระภูมิหลายสิบจุดกับจาตุมหาราชจุดหนึ่ง เหมือนกับกำนันผู้ใหญ่บ้าน เอาตามนั้นนะ"
(เมื่อทราบอย่างนี้แล้วอย่านึกว่าภูมิเทวดาก้อยๆนะ ท่านดีกว่ามนุษย์อย่างเราตั้งเยอะ และควรจะบูชาท่าน นึกถึงท่านด้วย เพราะท่านเป็นเทวดาอยู่ใกล้เรามากที่สุด หลวงพ่อเล่าให้ฟังดังนี้)
หลวงพ่อ :- "เมื่อกี้ตอนอุทิศส่วนกุศล ท่านลุงพระยายมมาบอกว่า เวลาที่เราเลิกบูชาพระ ตอนอุทิศส่วนกุศล ให้พระภูมิเขาบ้าง ท่านอารักขาอยู่ ควรจะให้ท่านโมทนาบ้าง ท่านบอกว่าภูมิเทวดาท่านอยู่ใกล้ที่สุด ตามอารักขาคอยช่วยเหลืออยู่ ไม่บอกให้ท่าน ท่านก็โมทนาไม่ได้"
ขอบคุณที่มา : ศูนย์พุทธศรัทธา... -
"อภัยทาน คือยกโทษให้" (หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ)
.
"อภัยทาน คือยกโทษให้"
" .. คำว่า "ให้อภัยทานนั้น" ก็หมายความว่า "ใครมาว่าเรา ด้วยกาย วาจา ต่อหน้าก็ดี ลับหลังก็ดี เราให้อภัยไปเลย เราไม่ถือโกรธหรือเกลียด" แม้เขาจะนินทาลับหลังก็ตาม เมื่อมีใครมาเล่าให้ฟังแล้ว ก็ให้อภัยเขา "ไม่ต้องไปคิดแก้แค้นกัน"
หรือว่า "เขาจะมาแสดงกิริยา หยาบคายต่าง ๆ ต่อหน้าต่อตาเรา เราก็ไม่เอาเรื่อง ไม่ตอบโต้ ในทางที่ไม่ดี" พูดง่าย ๆ ว่า เขาพูดไม่ดีต่อเรา เราก็ยังพูดดี ต่อเขา "นี่เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าทรงสอนอย่างนี้" เขาแสดงอาการโกรธเรา เราไม่แสดงอาการโกรธตอบ
"เราเจริญเมตตาจิต เวรมันถึงไม่มี" ถ้าหากว่าเขาโกรธมา เราก็โกรธตอบไปอย่างนี้ มันก็เกิดเป็นเวรกันล่ะบัดนี้ เวรมันก็ผูกพันกันไป "อันชื่อว่าคนมีเวรแล้วนั่น หาความสุขไม่ได้" จะไปเกิดในภพไหนชาติไหน ก็ด้องประกอบไปด้วยเวร เป็นอย่างนั้น .. "
"ธรรมโอวาท ทวนกระแสจิต"
พระสุธรรมคณาจารย์ (หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ)
หน้า 73 ของ 402