คลังเรื่องเด่น
-
สร้างบุญบารมีไว้ดี ก็จะได้พบเจอกับครูบาอาจารย์ที่ดี
วันนี้ตรงกับวันอังคารที่ ๑๐ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕ ระยะนี้เราท่านทั้งหลายก็น่าจะเสียกำลังใจไปกับข่าวคราวที่ไม่ดีไม่งาม โดยเฉพาะในส่วนของวงการพระพุทธศาสนา และความเชื่อต่าง ๆ แม้กระทั่งล่าสุดที่มีการจับบุคคลที่อ้างตัวว่าเป็น "พระบิดา" ซึ่งรักษาโรคด้วยการให้กินของเสีย แล้วพวกเราก็ยังสงสัยว่าเขาเชื่อกันไปได้อย่างไร !??
เรื่องพวกนี้ต้องบอกว่า ถ้าเป็นบุคคลที่สร้างบารมีไว้ดี สร้างบุญไว้ดี ก็จะพบเจอกับครูบาอาจารย์ที่ดี สิ่งนี้ไม่ใช่กระผม/อาตมภาพว่ากล่าวด้วยตัวเอง แต่ว่าพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษี ฯ วัดท่าซุง ท่านได้ยกตัวอย่างหลวงปู่ปาน วัดบางนมโคเอาไว้
เนื่องจากว่าพระเดชพระคุณหลวงปู่ปาน วัดบางนมโคนั้น พระอุปัชฌาย์อาจารย์ของท่าน ล้วนแล้วแต่เป็นสุดยอดพระสุปฏิปันโนทั้งสิ้น แล้วท่านยังแนะนำพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ ให้ไปกราบ ให้ไปหาพระสุปฏิปันโนอีกเป็น ๑๐ รูป ไม่มีที่จะต้องมาเจอเหตุการณ์แบบ "พระบิดา" เหมือนกับคนเหล่านี้
เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ ถ้าเราสร้างเวรสร้างกรรมสืบเนื่องกันมา ก็จะเชื่อถือและยึดถือตามกัน ดังนั้น...เราจะเห็นว่าบรรดาหลวงปู่ หลวงพ่อ ครูบาอาจารย์แต่ละท่าน... -
"เพียรฝึกหัดสติ" (หลวงปู่ลี กุสลธโร)
.
"เพียรฝึกหัดสติ"
" .. "การทำความเพียรไม่ใช่ของง่าย" การเดินจงกรมก็ไม่ใช่ของง่าย ถ้าพวกเรามีแต่กินกับนอน แล้วทำอย่างไรถึงจะเห็นอรรถเห็นธรรมได้ จิตใจของเรา "ถ้าไม่มีปัญญาไม่มีสติแล้ว มันก็วิ่งไปนั่นไปนี่อยู่ตลอด"
แต่ถ้า "เราฝึกหัดสติของเราแล้วมันไม่ไปไหนหรอก" ฝึกหัดให้มันเป็นมหาสติ เป็นมหาปัญญาแล้ว มันจะไม่ไปกังวลกับเรื่องอะไรพวกนั้นหรอก .. "
"ธรรมลี เศรษฐีธรรม"
หลวงปู่ลี กุสลธโร -
ปรับความเข้าใจ เรื่อง " การปรับภพภูมิ"
=AZUErf8-Brkt3MR5d1noGiv2LRsgs3TLL2rdbvpJJBKzbQLo8xRqRUjRQuyPUNN17kgDwZswJx45PvNxFrz2-fQZggxLzI_0Xxcf4Pl6agP6A0mLHCwgvnxQ6Q5Rjg-gaPf96Gw5iCOQOiIqC0TIbjmmQitXibDnCwwMbWdTIPZO_OZpfxeGHa1nWeIw1RTlPP8&__tn__=*NK-R']#การปรับภพภูมิ "ไม่ใช่" การไปปรับให้เปรตอสุรกายหรือสัตว์นรกให้กลับกลายเป็นเทวดา การปรับภพภูมิคือการปรับให้พวกสัมภเวสีไปเกิดตามกรรม ซึ่งอาจจะดิ่งลงนรกหรือขึ้นสวรรค์ก็แล้วแต่กรรม พวกสัมภเวสีคือวิญญาณที่ล่องลอยไม่ไปผุดไปเกิด เนื่องจากการตายก่อนหมดอายุขัย หากอายุขัยจริงๆเหลือเท่าไหร่ให้เอา 50 ปีคูณ นั่นคือจำนวนปีทิพย์ที่ต้องวนเวียนเป็นสัมภเวสี ซึ่งท่่านบอกว่ามันเสียเวลาในการเวียนว่ายตายเกิด ดีไม่ดีอาจจะไปทำร้ายคนเป็นการสร้างกรรมไม่ดีเพิ่มไปอีก และไม่ใช่ว่าจะรับการปรับภพภูมิได้ทุกวิญญาณ หากเขาไม่น้อมรับ หรือน้อมรับไม่เป็นก็จะไม่ได้รับการปรับ เราต้องบอกกับหลวงปู่ด้วยว่าช่วยเปิดช่วยเทศนาสอนเขาหน่อย
เมื่อเราปรับภพภูมิแล้วบางดวงวิญญาณอาจเป็นเทวดาเพียงชั่วแว่บเดียวแล้วพร้อมจะดิ่งลงนรกทันที เราต้องรีบขอหลวงปู่ให้ช่วยบอกเค้าให้มาโมทนาบุญกับหลวงปู่ดู่หลวงตาม้าและเราทันที... -
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๖๕
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๖๕ -
หลักสำคัญที่สุด ที่จะ “รักษาพระพุทธศาสนา” ไว้ได้ (ป.อ. ปยุตโต)
“... ก็คือ พุทธบริษัททั้ง ๔ ของเรา จะต้องมีความมั่นคงในหลักการของพระพุทธศาสนาและจะต้องสำนึกในความมีส่วนร่วมรับผิดชอบต่อพระพุทธศาสนา จะต้องยึดถือหลักการเป็นสำคัญ และพัฒนาตนเองให้เป็นชาวพุทธที่มีคุณภาพ
เวลานี้ สิ่งที่น่าเป็นห่วงมาก ก็คือ คนที่มีชื่อว่าเป็นพุทธศาสนิกชน มักมีความรู้สึกคล้ายๆจะแบ่งกัน เช่น ชาวบ้านก็มองว่า ผู้ที่จะต้องรับผิดชอบพระพุทธศาสนาคือ “พระ”
เวลามีพระทำอะไรไม่ดี โยมก็บอกว่า..เออ..พระพุทธศาสนานี่อะไรกัน พระไม่ดี ไม่ได้ความ ไม่น่านับถือ ก็พาลจะเลิกนับถือพระพุทธศาสนา หาได้คิดไม่ว่า..พระพุทธศาสนาเป็นของ.. บริษัท ๔
ถ้าพระเสีย แต่โยมยังอยู่ อุบาสก-อุบาสิกา ก็ต้องรักษาพระพุทธศาสนาไว้ ยามใดที่พระสงฆ์เพลี่ยงพล้ำ อุบาสก-อุบาสิกา ต้องเป็นหลักกลับมาช่วยฟื้นฟู หนุนให้มี “พระดี” มารักษาพระพุทธศาสนา...
ในการที่จะรักษาพระพุทธศาสนานั้น นอกจากมีจิตสำนึกที่จะไม่ประมาท มีความรู้สึกรับผิดชอบร่วมกัน และมีความรู้สึกร่วมเป็นเจ้าของด้วยแล้ว ตัวเราเอง..จะต้องมีคุณสมบัติที่จะรักษาพระศาสนาได้ด้วย
พระพุทธเจ้าได้ตรัสหลักนี้ไว้ให้แล้ว ใน “มหาปรินิพพานสูตร” ว่า..... -
มีชีวิตอยู่ก็ต้องทุกข์เป็นธรรมดา เราจะไม่ขอเกิดมาเพื่อทุกข์แบบนี้อีก
มีชีวิตอยู่ก็ต้องทุกข์เป็นธรรมดา ให้เราผ่อนทุกข์เท่าที่จะผ่อนได้ มันหนาวก็หาเสื้อผ้าให้มัน มันร้อนก็หาน้ำให้มันอาบ หรือไม่ก็เข้าห้องแอร์ มันหิวก็หาให้มันกิน มันเจ็บไข้ได้ป่วยก็รักษาพยาบาลมัน
ให้ยอมรับว่าสภาพปกติธรรมดาของร่างกายเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว แต่ขึ้นชื่อว่าสภาพร่างกายที่เต็มไปด้วยความทุกข์ โลกเราที่เต็มไปด้วยความทุกข์อย่างนี้เราไม่ขอมาเกิดอีก ใจก็จะปลดออกห่างออกมา ออกไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งในที่สุดพอไม่เกาะก็เป็นอันว่าพ้นไป
...................................
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. วัดท่าขนุน
www.watthakhanun.com -
"จิตอันใดใจอันนั้น" (หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี)
.
"จิตอันใดใจอันนั้น"
" .. พุทธศาสนาสอนให้เข้ามาถึงจิต "จิตเป็นใหญ่ จิตเป็นประธาน จึงสอนเข้ามาถึงจิต" สิ่งทั้งหลายทั้งปวงหมด "ที่วุ่นวายส่งส่ายนั่นมันออกไปจากจิตตัวเดียว" แล้วก็สอนให้รวมเข้ามาที่จิตอันเดียว "หยุดนิ่งไม่คิดไม่นึก ไม่ปรุงแต่ง เลยรวมเป็น "ใจ"
ครั้นรวมเป็นใจแล้ว "ที่นี้จะให้คิดก็ได้ ไม่ให้คิดก็ได้" แม้จะคิดก็อยู่ในขอบเขต คิดเสร็จแล้ว เดี๋ยวก็เข้ามารวมเป็นใจ "จะคิดปรุงแต่งอะไรสารพัดทุกอย่างก็รู้จักอยู่ว่ามันออกไปจากใจ" เมื่อคิดไปจนหมดเรื่องนั้นก็กลับเข้ามาเป็นใจอีก "จิตกับใจมันคนละอันกันอย่างนี้" ใช้การคนละอย่างกัน
"จิตเป็นผู้คิดผู้นึก ใจไม่คิดไม่นึก" อยู่เฉย ๆ แต่มีความรู้สึกอยู่ "เมื่อสติควบคุมให้อยู่ในขอบเขตแล้ว มันก็รวมเข้ามาเป็นหนึ่ง เข้ามาเป็นใจ" จิตกับใจมันต่างกันอย่างนี้ แต่แท้ที่จริงท่านก็พูดว่า "จิตอันใดใจอันนั้น ใจอันใดจิตอันนั้น" .. "
"ธรรมะเปรียบเหมือนดวงประทีป"
พระราชนิโรธรังสี คัมภีรปัญญาวิศิษฏ์ (หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี)
แสดง ณ วัดหินหมากเป้ง อ. ศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย
วันที่ ๒๖ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๒๖ -
พระกับผู้หญิงไม่ควรใกล้กันเป็นดีที่สุด (หลวงปู่บุญมา คัมภีรธัมโม)
ผู้หญิง ๑๐๐ คน ๑,๐๐๐ คน
ช่วยพระรักษาพระวินัยไม่ได้หากว่า
ไม่มีบุรุษผู้รู้เดียงสาอยู่ด้วยแม้เพียง ๑ คน
อย่าว่าแต่ให้ผู้หญิงมาขับรถ มารับใช้เลย เรื่องบาตรนี่ก็เหมือนกัน อย่าว่าแต่ผู้หญิงไม่ควรจับเลย ผู้ชายลูกศิษย์ถ้าไม่สอนเรื่องรับบาตรครูบาอาจารย์ พระสงฆ์เณรน้อยนี่ก็เหมือนกัน ถ้าเอาจริงๆ ไม่ฝึกดีๆ ไม่ไว้ใจกันท่านก็ไม่ให้ไปล้างไปจับบาตรท่าน
ที่นี้พระวินัยท่านว่าไง... ท่านว่าผู้หญิงถือว่าเป็นวัตถุอนามาต ภิกษุไม่ควรใกล้ พระห้ามแสดงธรรมกับสตรีหรือพูดคุยกันเกิน ๖ คำ พ้นจากหกคำแล้วให้ลุกไปเสียจากที่นั่น
แถวภาคอีสาน ผู้หญิงมาเข้าห้องพระแบบนี้ไม่ได้ เขาว่าเป็นเสนียด แถวสกลฯ แถววัดหลวงปู่นี่ ถ้าผู้หญิงขึ้นกุฏิพระ เขาเพ่งเล็งพระรูปนั้นแล้ว นั่นล่ะจังว่าพระกับผู้หญิงไม่ควรใกล้กันเป็นดีที่สุด ประเคนของถ้ามีผู้ชายก็ควรให้ผู้ชายเป็นคนรับมาประเคนแทน.. มันก็ได้บุญเหมือนกันนั่นล่ะ..
โอวาทธรรม หลวงปู่บุญมา คัมภีรธัมโม
วัดป่าสีห์พนม อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร
Credit: ขอขอบพระคุณที่มาจาก Facebook... -
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๙ พฤษภาคม ๒๕๖๕
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๙ พฤษภาคม ๒๕๖๕ -
สิ่งที่จำเป็นในชีวิตก็คือปัจจัย ๔
มีบางสิ่งบางอย่างที่อยากจะตักเตือนพวกเรา ในฐานะบุคคลผู้ร่วมเกิดแก่เจ็บตาย ก็คือว่าอีกประมาณไม่ถึงเดือน บ้านเราจะเจอทั้งพายุและฝนหนักมาก ถ้าหากว่าใครอยู่ที่ลุ่ม มีข้าวของอะไรจะน้ำท่วมเสียหาย ก็ต้องตระเตรียมโยกย้ายเอาไว้ ถ้าไม่เกินกำลัง หาเรือเล็ก ๆ ไว้สักลำได้ก็ดี
ประการต่อไปก็คือ เศรษฐกิจโลกที่ย่ำแย่อยู่ จะโดนซ้ำเติมหนักยิ่งขึ้นจากเงินเฟ้อเกือบทุกประเทศ และจากข้าวปลาอาหารที่แพงขึ้น พลังงานแพงขึ้น เราต้องรู้จักเตรียมพร้อมในระดับหนึ่งว่า จะรับมืออย่างไรให้ตนเองเดือดร้อนน้อยกว่าคนอื่น ?
อีกส่วนหนึ่งก็คือ ถ้าเศรษฐกิจไปไม่ได้ ตลาดหุ้นก็เจ๊งไปด้วย ตัดใจ ตัดขาดทุนได้ ก็เจ็บตัวน้อย ตัดขาดทุนไม่ได้ก็เจ็บตัวมาก โดยเฉพาะพวกที่เล่นบิตคอยน์ ที่อาตมาเห็นผิดทุกทีว่า "บิตดอย" หรือ "ติดดอย" นั่น สายตาคนแก่เห็น ค.ควาย เป็น ด.เด็ก หมดเนื้อหมดตัวเอาง่าย ๆ เพราะว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ไม่ได้มีมูลค่าที่แท้จริง
ถ้าหากว่าเป็นคำพูดอมตะของหม่อมเจ้าสิทธิพร กฤดากร พระบิดาแห่งสหกรณ์ของไทยเรา ท่านกล่าวเอาไว้ว่า "เงินทองเป็นของมายา ข้าวปลาถึงเป็นของจริง"
ดังนั้น...เราต้องพิจารณาว่า... -
"ถามหลวงปู่มั่นเรื่องเทวดา" (หลวงปู่เจี๊ยะ จุนโท)
.
"ถามหลวงปู่มั่นเรื่องเทวดา"
" .. "เจี๊ยะ .. มีอะไรจะถามก็ถามมาท่านนยุ่งไม่เข้าเรื่อง" ท่านเปรยขึ้นเพียงเท่านนี้เราก็ปอดแหกแล้ว "ครูบาจารย์ เทวดาหน้าตามันเป็นอย่างไง อยากเห็นบ้าง?" เราก็เสือกถามท่านทั้งที่กลัวจะตาย
"อื้อ! .. มันไม่ใช่เรื่องอะไรของเรา เราจะไปรู้ทำไม" ท่านนี่ชอบถามซอกแซก กวนใจ ทำความ ดีให้มันถึงสิ ปัญหามันอยู่ที่เรา ไม่ได้อยู่กับเทวบุตรเทวดาที่ไหน ดูหน้าเรา ดูหนังเราให้เห็นชัด ด้วยปัญญานั่นสิ พระพุทธเจ้าเห็นพระองค์เองก่อน "ตรัสรู้เรื่องตัวตน ละตัวตนก่อน" ค่อยมาสอนคนอื่น หรือสอนเทวดาทีหลัง ยังไม่ทันไร "ยังไม่ไปไหนมาไหน อยากเห็นนั่นเห็นนี่ มันไม่ถูก ทั้งที่ตาบอดแต่อยากเห็นนั่นเห็นนี่ เดี๋ยวก็เดินชนตอ ลูกกะตาแตกหรอก" ท่านตอบด้วยวาทะแห่ง บุคคลผู้ชาญฉลาด
"ก็ผมอยากรู้นิ .. ครูบาจารย้ ก็ผมไม่เคยเห็น ก็อยากเห็น อยากรู้บ้าง" เรานิ่งเงียบไปพักหนึ่ง แล้วท่านก็พูดขึ้นต่อไปตามอัธยาศัยว่า "ศาสนานี้เรียนให้ดีลึกลํ้าที่สุด ผมไปเที่ยวภาวนาอยู่ในป่า มีสหธรรมิกของผมรูปหนึ่งอยู่ในป่าโน่นน่ะ โอ๊ย! .. เจี๊ยะเอ้ย .. แม้รูเท่านี้วก้อย นี่ท่านยังมุดเข้าไปได้ หายตัวไปเลย ทะลุฟ้า ทะลุดิน... -
พุทธวิธีเจริญพุทธานุสสติ ธัมมานุสสติ สังฆานุสสติ
พุทธวิธีเจริญพุทธานุสสติ
มหานามสูตร
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๒ ข้อที่ ๒๘๑
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ นิโครธาราม ใกล้กรุงกบิลพัสดุ์ แคว้นสักกะ เจ้าศากยะ พระนามว่ามหานามะ ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า อริยสาวกผู้ได้บรรลุผลอยู่ด้วยวิหารธรรมใดเป็นส่วนมาก พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า อริยสาวกในพระศาสนา ย่อมเจริญพุทธานุสสติ ธรรมานุสสติ สังฆานุสสติ สีลานุสสติ จาคานุสสติ เทวตานุสสติ พุทธวิธีเจริญพุทธานุสสติ อริยสาวกในพระศาสนาย่อมเจริญพุทธานุสสติ ระลึกถึงพระพุทธเจ้าเนือง ๆ ว่า พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ ทรงถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึก ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกธรรม อริยสาวกผู้ได้บรรลุผล ทราบชัดพระศาสนาแล้วย่อมอยู่ด้วยวิหารธรรมนี้เป็นส่วนมาก
--------------
เครดิตภาพ ภาพพระพุทธเจ้า : กฤษณะ สุริยกานต์
-------------
ดาวน์โหลดพระไตรปิฎกเสียงสมจริงได้ที่ www.uttayarndham.org หรือ... -
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๘ พฤษภาคม ๒๕๖๕
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๘ พฤษภาคม ๒๕๖๕ -
"กรรมฐานที่หลวงปู่มั่นสอน" (หลวงปู่หล้า เขมปัตโต)
.
"กรรมฐานที่หลวงปู่มั่นสอน"
" .. "แปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์ย่อมจริง ย่อมมีอยู่ทุกลมออกเขาแล้ว" ไม่ต้องไปค้น ไปหา ไปจด ไปจำ ไปบ่น ไปท่องทางอื่นก็ได้ ถ้าไม่หลงลมเข้าลมออกแล้ว โมหะ อวิชชา วัฏจักร มันจะรวมพลมาจากโลกหน่วยไหนล่ะ
"หลงลมออกเข้าก็หลงหนังเหมือนกัน" ถ้าไม่หลงหนังก็ไม่หลงลมออกเข้า โดยนัยเดียวกัน "ดูโลกก็ดูทุกข์ ดูทุกข์ก็ดูโลก ดูสังขารก็ดูทุกข์ ดูทุกข์ก็ดูสังขาร" พ้นโลกก็พ้นทุกข์ พ้นทุกข์ก็พ้นโลก "พ้นสังขารก็พ้นทุกข์ พ้นทุกข์ก็พ้นสังขาร" มีความหมายอันเดียวกันทั้งนั้น ไม่ผิด
"รู้ลมออกเข้าในปัจจุบัน รู้ลมออกเข้าในอดีต" รู้ลมออกเข้าในอนาคต รู้ผู้รู้ในปัจจุบัน รู้ผู้รู้ในอดีต รู้ผู้รู้ในอนาคต "แล้วไม่ติดข้องอยู่ในผู้รู้ทั้งสามกาล" ผู้นั้นก็ดับรอบแล้วในโลกทั้งสามด้วยในตัว อวิชชาและสังขารเป็นต้นก็ดับไป ณ ที่นั้นเอง "ไฟโลภ ไฟโกรธ ไฟหลงก็ดับไป ณ ที่นั้นเอง" .. "
"อัตตโนประวัติ" หลวงปู่หล้า เขมปัตโต
วัดบรรพตคีรี (ภูจ้อก้อ) คำชะอี มุกดาหาร
http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/lp-lah/lp-lah-hist-04.htm -
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๗ พฤษภาคม ๒๕๖๕
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๗ พฤษภาคม ๒๕๖๕ -
สงสัยว่า แค่สวดมนต์ ทำไมถึงมีประโยชน์ได้มากมายขนาดนั้น ...
ท่านหลวงปู่ท่านบอกว่า กรรมฐานที่เอ็งทำ มันไม่ใช่ธรรมดาหรอก เอ็งสวดมนต์ชั่วโมงนึงเนี่ย ไม่ใช่ธรรมดาหรอก บางคนนึกไม่ออกว่า เอ๊ สวดมนต์มันมีประโยชน์อะไรมากมายขนาดนั้นเหรอ มากฮะ ไม่ใช่น้อยๆ
ท่านบอก กายกรรม วจีกรรม ปิดสนิทแล้ว ไม่มี ตอนที่สวดมนต์ชั่วโมงนั้นไม่มี มีมโนกรรมเท่านั้นเอง การนึกเท่านั้นเอง แต่กิเลสตัณหาหายไป ไม่มี แล้วบุญที่เอ็งทำในอดีตนะ ชาติที่แล้วนู่นเอ็งเคยทำมา จากทานที่ทำมาเนี่ย พวกที่สร้างถนนหนทาง สร้างวัด สร้างพระ สร้างสาธารณประโยชน์ ซึ่งยังมีคนใช้อยู่ อย่างพระยังมีคนกราบอยู่เนี่ย ลมหายใจเอ็งก็เป็นบุญแล้วนะ จากสิ่งที่เอ็งทำ แล้วเอ็งทำมากเท่าไร หายใจเข้ามากก็ได้มากเท่านั้น ได้มากเท่านั้น
ดังนั้นสวดมนต์ไปด้วย บุญในอดีตเข้าช่วงนั้นน่ะ ลมหายใจเข้าออก ไหนจะศีล ไหนจะบทที่เอ็งสวด กรรมฐานที่เอ็งทำ ตอนนั้นล่ะ มากมหาศาลเลย
ที่เราฝึกทุกวันนี้ บางคนว่าทำไมเอ๊ มันไม่ไปไหนมาไหนเลย อารมณ์ไง บางคนตั้งแต่เด็กเลย ชอบช่วยเหลือคน ชอบให้ทานไปไหนก็ทาน รู้รึเปล่าว่า สิ่งที่ตัวเองทำน่ะ บุญมันเข้าทุกลมหายใจเข้าออกเลย ท่านว่า ถ้าอารมณ์ดีนะ
ถ้าอารมณ์ไม่ดีมันก็ตัดเลย ฆ่าตัดตอนบุญไม่เข้า... -
พระภิกษุสามเณรก็คือปุถุชน ที่อาจจะทำผิดพลาดได้ นี่ก็เป็นธรรมดาของโลกเช่นกัน
ที่อยากจะเตือนก็คือว่า ท่านทั้งหลายเป็นพระภิกษุสามเณร ญาติโยมที่ฟังอยู่เป็นพุทธบริษัท "สิ่งหนึ่งประการใดที่เกิดขึ้น ขอให้เราเข้าใจว่าเป็นธรรมดาของโลก"
พระภิกษุสามเณรก็คือปุถุชน ไม่ใช่อริยชนระดับพระโสดาบันขึ้นไป จะได้ไม่ทำผิดทำพลาด แล้วบุคคลที่จะเข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้า ตั้งแต่ระดับพระโสดาบันขึ้นไปนั้น ก็คงมีประมาณเขาวัว อย่างที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เปรียบเอาไว้ วัวตัวหนึ่งมีเขา ๒ ข้าง แต่บุคคลที่ตั้งใจปฏิบัติแล้วไม่ได้ผล พระองค์ท่านเปรียบว่ามีมากเหมือนขนวัว วัวทั้งตัวมีขนกี่หมื่นเส้น
แต่คราวนี้คนเราไม่มองตรงนี้ ในเมื่อไม่มองตรงนี้ และไปตั้งความหวังเอาไว้ว่า บุคคลโกนหัว ห่มเหลืองเมื่อไร จะต้องดีเท่านั้น ถ้าเราตั้งความหวังไว้แบบนั้น ก็อาจจะเจอแบบคุณน้าคนโตของกระผม
คุณน้าคนโตของกระผม ท่านนับถือท่านอาจารย์นิกรณ์ ดอยนางแลมาก ขนาดอยู่กรุงเทพฯ เดินทางไปเชียงรายไปว่าเล่น พอท่านอาจารย์นิกรเกิดเรื่องอื้อฉาวขึ้นมา ไปทำผู้หญิงท้อง ท่านก็หันมานับถือพระอาจารย์ยันตระ ติดตามพระอาจารย์ยันตระออกไปแสวงบุญวัดโน้น วัดนี้ วัดนั้นไม่ขาด พออาจารย์ยันตระเกิดเรื่องอื้อฉาวขึ้นมา... -
"สัญญาคือความจำ กับสติ" (สมเด็จพระสังฆราชเจ้า)
.
"สัญญาคือความจำ กับสติ"
" .. "สัญญาคือความจำเป็นอนัตตา" คือไม่เป็นไปตามความปรารถนาต้องการ ปรารถนาให้จำไว้ก็ไม่จำ ปรารถนาให้ลืมก็ไม่ลืม ปรารถนาไม่ให้จำก็จำ ปรารถนาไม่ให้ลืมก็ลืม และ "ความจำที่เป็นสัญญาก็เป็นความจำตรงไปตรงมาทั้งสิ้นทั้งเรื่อง ไม่ประกอบด้วยความรู้เหตุรู้ผล"
ดังนั้น "สัญญาจึงต้องประกอบพร้อมด้วยสติ" เพราะสติเป็นความระลึกได้ที่ประกอบพร้อมด้วยเหตุและผล "สติไม่ได้เป็นความจำแบบสัญญา" ความจำคือสัญญานั้น แม้จะตั้งใจรักษาไว้ก็อาจรักษาไว้ไม่ได้ ต้องลืม "แต่สติความระลึกได้นั้น เมื่อตั้งสติไว้ รู้เรื่องพร้อมกับรู้เหตุรู้ผล" ก็จะมีสติอยู่ได้เหตุการณ์ทั้งหลายที่ประสบพบผ่านแม้นาน
"เมื่อมีสติระลึกได้ ก็จะระลึกได้พร้อมทั้งเหตุทั้งผลทั้งปวง" สัญญาความจำกับสติความระลึกได้มีความแตกต่างกันที่สำคัญอย่างยิ่ง "ในเรื่องเดียวกันสัญญาอาจเป็นคุณ แต่ก็อาจเป็นโทษ ส่วนสติเป็นแต่คุณ ไม่เป็นโทษ" ความพยายามมีสติระลึกรู้จึงเป็นความถูกต้องและเป็นไปได้ยิ่งกว่าพยายามจดจำด้วยสัญญา .. "
"แสงส่องใจ" ๓ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๓๖
สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร -
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๖ พฤษภาคม ๒๕๖๕
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๖ พฤษภาคม ๒๕๖๕ -
บารมีและอาสวะ
“… บุคคลทุกคนซึ่งได้เกิดมาเป็นมนุษย์ประกอบด้วยความสุขของมนุษย์ น้อยหรือมาก และได้พบพุทธศาสนาอันแสดงสัจจะธรรม ธรรมะที่เป็นสัจจะคือความจริง จึงทำให้ได้ทราบข้อปฏิบัติต่างๆ สำหรับที่จะได้เพิ่มพูนบารมีคือความดี อันได้กระทำไว้แล้ว ซึ่งเรียกว่า ปุพเพกตปุญญตา ความเป็นผู้มีบุญอันได้กระทำไว้แล้วในกาลก่อนมาอุปถัมภ์ ตั้งต้นแต่ให้บังเกิดเป็นมนุษย์ และให้เจริญมาตามควรแก่ฐานะนั้นๆ โดยลำดับจนถึงปัจจุบันของทุกคน
อันความดีที่เป็นบารมีนี้ก็ตรงกับความชั่วที่เป็นอาสวะ อันคำว่าอาสวะและบารมีนี้คู่กัน ดังจะพึงกล่าวเป็นคำไทยง่ายๆ ว่า บารมีนั้นคือเก็บดี อาสวะคือเก็บชั่ว กรรมที่ทุกคนกระทำอยู่ เป็นกรรมดีก็ตาม เป็นกรรมชั่วก็ตาม ทางกาย ทางวาจา ทางใจ เมื่อกระทำแล้วคราวหนึ่งๆ กิริยาที่ทำนั้นก็ล่วงไป เสร็จไป แล้วไป แต่ว่ายังเก็บความดีความชั่วอันเนื่องมาจากกรรมที่กระทำนั้นไว้อยู่ ถ้าเป็นส่วนชั่วก็เป็นอาสวะ เก็บชั่วเอาไว้ ถ้าเป็นความดีก็เป็นบารมี คือเก็บดีเอาไว้ หากประกอบกรรมที่ชั่วอยู่บ่อยๆ ก็เก็บชั่วเอาไว้มาก เพิ่มพูนขึ้น ถ้ากระทำกรรมที่ดีไว้บ่อยๆ ไว้มาก ก็เก็บดีเอาไว้มาก ก็เป็นบารมีเพิ่มพูนขึ้น เพราะฉะนั้น... -
"กราบท่าน(หลวงปู่ดู่)เหมือนกับกราบอีกองค์หนึ่งล่วงหน้า 1 ชาติ" ..คำพูดจากหลวงพ่อเกษม เขมโก
"กราบท่าน(หลวงปู่ดู่)เหมือนกับกราบอีกองค์หนึ่งล่วงหน้า 1 ชาติ"
-----------------------------------------------------------------------
มาบอกเล่าเรื่องราวของกระผมที่โดยได้สัมผัสของพระโพธิสัตว์เมืองกรุงเก่า และพระอริสงฆ์แห่งเมืองลำปางที่ท่านทั้งสองได้แสดงความคารวะในธรรมของแต่ละท่าน
ครั้งหนึ่งที่ผมได้เดินทางไปเที่ยวเมืองลำปางเพื่อไปกราบพระธาตุลำปางหลวง ในครั้งนั้น ผมมีโอกาสได้เข้ากราบนมัสการหลวงปู่ครูบาเจ้าเกษม เขมโก แห่งสุสานไตรลักษณ์
พอท่านหลวงปู่ครูบาเจ้าเกษมเห็นหน้าท่านก็พูดว่า 'มาจากไหน' ตอบท่านว่ามาจากสิงห์บุรีครับหลวงปู่
ท่านก็พูดว่า
' มาจากสิงห์บุรีไปกราบขอพรหลวงพ่อดู่ แห่งเมืองกรุงเก่าหรือยังล่ะ '
ผมก็เลยตอบท่านไปว่า
ยังไม่เคยไปครับหลวงปู่
ท่านเลยพูดว่า
' ไปกราบท่านนะ ท่านเกิดชาตินี้ชาติสุดท้ายแล้วนะ ท่านเป็นพระโพธิสัตว์นะลูก ไปกราบท่านนะลูก ลูกกราบท่านเหมือนลูกกราบอีก ๑ องค์ด้วยนะลูก กราบล่วงหน้า ๑ ชาติด้วยนะลูก '
คนดูแลหลวงปู่ จึงถามว่า หมายความว่ายังไงขอรับหลวงปู่
ท่านก็ตอบว่า
'... -
"ตนเผาตน ใจเผาใจ" (หลวงปู่ขาว อนาลโย)
.
"ตนเผาตน ใจเผาใจ"
" .. "พุทโธคือผู้รู้" รู้ว่าใจตนบริสุทธิ์ผุดผ่อง "ใจบริสุทธิ์ก็ศีลบริสุทธิ์" ตัวเป็นผู้ดำเนิน ศีลเป็นประธาน "ผู้ใดทำบาปทำกรรม ทำให้ใจของตนเศร้าหมอง หาโทษใส่ตน" นักปราชญ์ว่า "คนโง่คนยาก มันเกิดจากตน"
ตนบริสุทธิ์ ตนดีอยู่ "ไปเอาความเศร้าหมองเอาความร้ายมาใส่ตน" เข้ามาเผาตน "ตนเผาตน ก็แม่นใจเผาใจ" แล้วก็แล้วกันไป "อดีตล่วงไปแล้ว" มันล่วงมาแล้ว อย่าไปเอามาเป็นอารมณ์ ให้ใจเศร้าหมองทำไม "อนาคตยังมาไม่ถึง อย่าไปคิดมัน" ให้มันมาเจอก่อนจึงคิด
"ให้พิจารณาปัจจุบัน" พิจารณาให้เห็นว่ามันไม่พ้นความตายแล้ว "รีบทำบำเพ็ญภาวนา ให้ศีล ให้สมาธิ ให้ปัญญาเกิดขึ้น" ความชั่วที่เก็บมาให้มันเผาจิต ต้องเปิดออกปัดออก "เอาแต่ความดีเข้ามาสู่ดวงจิตดวงใจของตน" ให้ใจเบิกบานใจร่าเริง ให้ใจกว้างอย่าให้ใจแคบ .. "
"อนาลโยวาทะ" (หลวงปู่ขาว อนาลโย)
จัดพิมพ์ โดย นพ.อวย – ม.ร.ว. ส่งศรี เกตุสิงห์
เพื่อความสุขปีใหม่ พ.ศ. ๒๕๒๘ -
เคารพ บูชา ครูบาอาจารย์ (หลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม)
"สักการะคืออะไร? สักการะ แปลว่า เอาใจใส่ ภาษาบาลีแปลอย่างนี้ ตีความหมายให้สั้นคือ เอาใจใส่ครูบาอาจารย์ของเรา
เคารพคืออะไร? ไม่ใช่มากราบไหว้กลับไปแล้วหัวผงกๆ เรียกว่าเคารพนี้เป็นเคารพแบบปลอม เคารพจริงต้องเคารพถึงใจ หมายความว่าต้องมั่นใจต่อครูบาอาจารย์ ไม่ประพฤติตัวเหลวแหลกแตกลาญ หละหลวม เหลาะแหละ เหลวไหลด้วยประการทั้งปวง และโยมมีพ่อแม่ต้องเอาใจใส่ มั่นใจต่อครูบาอาจารย์ของเรา อย่าไปมั่นใจคนโน้นบ้าง คนนี้บ้าง สับสนอลหม่านแล้วท่านจะไม่ได้อะไรเลย จะไม่ได้ความดีจากครูบาอาจารย์
บูชาคืออะไร? ท่านทั้งหลายไม่เข้าใจ บูชานะธูปดอกเดียวหลายดอกก็ได้ แต่ใจจริงไม่มีเลยนะ ทำวันทยาวุธ วันทยาหัตถ์ตามแบบฟอร์มเป็นเพียงอามิสบูชา
แต่ถ้าเราน้อมระลึกในใจว่า จะปฏิบัติตามคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตามที่ท่านเจ้าคุณอาจารย์สอน มีทาน ศีล และภาวนาให้มั่นคงดำรงไว้ในพระพุทธศาสนาเป็นการปฏิบัติบูชา แล้วจงน้อมระลึกนึกถึงตัวเองว่าได้บูชาวงศ์ตระกูล บูชาทรัพย์ บูชาชื่อเสียง บูชาความรัก หรือไม่
ท่านเจ้าคุณอาจารย์ได้ให้สมบัติแล้ว ให้ชื่อเสียงเรียงนาม และความรักแก่เราอย่างดี เป็นอุปัชฌาย์อาจารย์ด้วย... -
สมุคคสูตร | ธรรมปฏิบัติเรื่อง นิมิต
สมุคคสูตร | ธรรมปฏิบัติเรื่อง นิมิต
-------------------------------------
พระผู้มีพระภาคทรงแสดงธรรมแก่ภิกษุทั้งหลาย ว่าด้วย การกำหนดนิมิตของผู้เจริญภาวนา ภิกษุผู้ประกอบอธิจิตพึงกำหนดไว้ในใจซึ่งนิมิต ๓ คือ สมาธินิมิต ๑ ปัคคาหนิมิต ๑ อุเบกขานิมิต ๑ ตลอดกาล ตามกาล ถ้าภิกษุกำหนดไว้ในใจเฉพาะสมาธินิมิตโดยส่วนเดียว จะเป็นเหตุให้จิตเป็นไปเพื่อความเกียจคร้าน ถ้าภิกษุพึงกำหนดไว้ในใจเฉพาะปัคคาหนิมิตโดยส่วนเดียว จะเป็นเหตุให้จิตเป็นไปเพื่อความฟุ้งซ่าน ถ้าภิกษุพึงกำหนดไว้ในใจเฉพาะอุเบกขานิมิตโดยส่วนเดียว จะเป็นเหตุให้จิตไม่ตั้งมั่นเพื่อความสิ้นอาสวะ เมื่อภิกษุกำหนดไว้ในใจซึ่งนิมิต ๓ คือ สมาธินิมิต ปัคคาหนิมิต อุเบกขานิมิต ตลอดกาล ตามกาล จิตนั้นย่อมอ่อนควรแก่การงาน ผุดผ่อง ไม่เสียหาย แน่วแน่เป็นอย่างดีเพื่อความสิ้นอาสวะ ภิกษุนั้นย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่อทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งเองซึ่งธรรมที่ควรทำให้แจ้ง และย่อมเป็นพยานในธรรมนั้นๆ ในเมื่อเหตุมีอยู่เป็นอยู่ ถ้าภิกษุนั้นมีจิตพึงหวังแสดงฤทธิ์ได้นานาประการ คือ - พึงฟังเสียง ๒ ชนิด คือ เสียงทิพย์และเสียงมนุษย์ - พึงกำหนดรู้ใจของสัตว์อื่น ของบุคคลอื่น... -
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๕ พฤษภาคม ๒๕๖๕
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๕ พฤษภาคม ๒๕๖๕ -
"ต้องภาวนาจึงจะรู้เรื่องกิเลส" (หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร)
.
"ต้องภาวนาจึงจะรู้เรื่องกิเลส"
" .. กิเลสราคะ กิเลสโทสะ กิเลสโมหะ "ต้องภาวนาดูจึงจะรู้ว่ากิเลสมันอยู่ตรงไหน" จะเลิกละได้โดยวิธีใด เราต้องตั้งตัวตั้งใจขึ้นมา อย่าไปปล่อยให้อำนาจฝ่ายต่ำเข้ามาทับถมจิตใจ
เมื่อจิตมันไม่มีความเพียรปล่อยให้กิเลสมันทับถม กายมันก็อ่อนแอท้อแท้ ขี้เซาเหงานอนมันก็ไหลมาเทมา "ก็เพราะจิตมันไม่มีความเพียร" จิตมันไม่ตื่นขึ้นไม่ลุกขึ้น ใจมันอ่อนแอท้อแท้ จิตมันขุ่นมัวมันไม่ใส พุทโธไม่อยู่ในจิต จิตไม่เข้าถึงพุทโธ "ถ้าพุทโธอยู่ภายในใจแล้วใจจะะสว่างแจ้ง จะไม่หลงใหลไปตามคนสัตว์วัตถุธาตุทั้งหลาย" .. "
"ความเพียร"
พระญาณสิทธาจารย์ (หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร) -
อุปสมานุสสติกรรมฐาน
อุปสมานุสสติกรรมฐาน
ผู้ถาม : ถ้าจิตเรานี่จับพระนิพพานเป็นอารมณ์ เวลาตายเราจะมีสติไหมคะ?
หลวงพ่อ : อ้าว! ถ้าเราจับเป็นอารมณ์เวลานั้นมีสติ เพราะเวลานั้นอารมณ์มันสูงจัด ถ้าเวลาเริ่มป่วยเอาจิตจับไว้เลยนะ ทีนี้ช่วงกลางระหว่างที่ป่วย มันจะดิ้นตูมตามอย่างไรก็ตาม จิตมันจะไม่ปล่อย
...ถ้าจิตนึกถึงพระนิพพานเป็นอารมณ์ เรียกว่า "อุปสมานุสสติกรรมฐาน"
ถ้าทำเป็นฌาน เป็น เอกัคคตารมณ์ มีอารมณ์อันเดียว และเวลาที่ตายน่ะ ตัวมันตาย แต่ใจเราไม่ตาย ใจมันก็หาที่ไป
...ฉะนั้น เมื่อมีชีวิตอยู่ ใจเรานึกถึงพระนิพพาน มันก็ไปที่นั่นแหละ! ไม่ชอบไปที่อื่น ชอบไปนิพพานแห่งเดียว
สรุปแล้วจงตั้งอารมณ์ไว้อย่างนี้เสมอ คือ
๑. เราจะเคารพพระพุทธเจ้า พระธรรมและพระอริยสงฆ์เป็นปกติ ไม่สงสัยในคำสอน
๒. ชีวิตนี้มีความตายเป็นที่สุด ก่อนตายขอทำความดีเพื่อความสุขในชาตินี้ และมีพระนิพพานเป็นที่ไปในเบื้องหน้า
๓. รักษาศีล ๕ ให้บริสุทธิ์ตลอดเวลา พยายามระวังในศีล ๕ ใหม่ๆ อาจจะพลาดบ้าง ถ้าละเมิดไปโดยที่ไม่ตั้งใจ ศีลไม่ขาด
เมื่อใจทรงศีล ๕ เป็นปกติ และอารมณ์อื่นก็ทรงตามที่กล่าวมา ท่านเรียกว่า "พระโสดาบัน" มีพระนิพพานเป็นที่ไปแน่นอน... -
การเกิด-การตาย
การเกิด-การตาย
ผู้ถาม : เกิดมาแล้วทำไมจึงต้องตายครับ
หลวงพ่อ : เพราะอยากตาย ไอ้คนอยากเกิดก็อยากตายด้วยใช่ไหม
...เกิดแล้วมันก็ต้องตาย เพราะธรรมดาเราฝืนมันไม่ได้ ทีนี้ถ้าเราไม่ต้องการตาย เราก็ไม่ต้องเกิด
ผู้ถาม : ที่นิพพานไม่มีการเกิดใช่ไหมครับ จึงไม่มีการตาย?
หลวงพ่อ : อันนี้เคยมีพระหรือพราหมณ์ถามพระพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้าตรัสว่า
"นิพพานจะไม่มีการเกิดก็ไม่ใช่ จะเรียกว่าเกิดก็ไม่ได้ ถ้าเรียกว่าเกิดก็ต้องตาย ถ้าจะว่าไม่เกิด แต่สภาวะมันมีอยู่"
ตอนแรกฉันอ่านแล้วไม่เข้าใจ ก็เลยย่องไปถามท่านว่า นิพพานควรเรียกว่าอะไร?
ท่านบอกว่า ควรจะเรียก "ทิพย์พิเศษ" ที่ไม่มีการเคลื่อน เทวดาหรือพรหมยังมีการเคลื่อน ที่เรียกว่า จุติ
จุติ แปลว่า เคลื่อน
ไอ้ศัพท์ที่ว่าตายนี่ พระพุทธเจ้าท่านไม่เรียก ท่านเรียก "กาลังกัต์วา" ถึงวาระแล้ว ถึงกาลเวลาแล้ว ท่านไม่เรียกว่า "ตาย"
ตายนี่ มรณะ ตามศัพท์ของภาษาบาลี ไม่มีคำว่า "มรณะ" ไม่ใช่ศัพท์ มรณะ
...ท่านเรียกว่า "กาลังกัต์วา" แปลว่า ถึงวาระที่จะต้องไปจากร่างกายนี้ ร่างกายนี้มันพัง มันไม่ยอมทำงาน
หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
ธรรมที่ทำให้หลุดพ้นจากความทุกข์... -
“คนจะดีหรือคนจะเลวมันขึ้นกับกฎของกรรม”
“คนจะดีหรือคนจะเลวมันขึ้นกับกฎของกรรม”
ก่อนที่เราจะเกิดมานี่ เราทำทั้งกรรมดีและกรรมชั่ว
ขณะใดถ้ากรรมที่เป็นอกุศลมันให้ผล
ขณะนั้นลูกของพ่ออาจจะมีความคิดผิด พูดผิด กระทำผิดไปได้เป็นของธรรมดา แต่ขณะใดกรรมที่เป็นกุศลกรรมให้ผล บรรดาลูกรักของเราพ่อก็จะทำถูก คิดถูก พูดถูกอยู่เสมอ เรื่องนี้ถึงแม้ว่าตัวของพ่อเองก็ประสบมามาก จึงไม่มีความรู้สึก เมื่อลูกรักบางท่าน บางคน คิดพลาด พูดพลาด กระทำพลาดไป ถือว่านั่นเป็นกฏของกรรมเดิมที่เราทำมาแล้วไม่ดี ในชาตินี้เราแก้ตัวกันใหม่ พยายามทำความดีเสียทุกอย่างเพื่อเป็นการหักล้างความชั่วเดิม
เพื่อผลที่เราจะพึงได้ต่อไปนั่น ก็คือพระนิพพาน”
ที่มา : หนังสือพ่อรักลูก เล่ม ๑ (๒๕๔๑) หน้า ๑๑๒-๑๑๓
โดย : หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี -
"วิปัสสนาญาณ" คือยอมรับนับถือกฎของความเป็นจริง
คำว่า "วิปัสสนาญาณ" นี่มีกำลังอยู่อย่างหนึ่ง คือที่เราจะต้องรู้ คือยอมรับนับถือกฎของความเป็นจริง อันนี้มันไม่มีอะไรยากหรอก
ทีนี้อารมณ์ของวิปัสสนาญาณ มันก็คือยอมรับนับถือกฎของธรรมดา หรือว่ายอมรับนับถือกฎของความเป็นจริง ให้รู้ว่าร่างกายนี่มันไม่ใช่เรา มันไม่ใช่ของเรา
เพราะว่าอะไร เพราะว่ามันพังแน่ ถ้ามันเป็นเราจริง มันเป็นของเราจริง มันจะอยู่ได้ยังไง มันก็ต้องตามใจเรา แต่นี่ทุกอย่างเราไม่ต้องการให้มันแก่มันก็จะแก่ เราไม่ต้องการให้มันป่วยมันก็ป่วย เราไม่ต้องการให้มันหิวมันก็จะหิว เราไม่ต้องการให้มันเหนื่อยมันก็เหนื่อย เราไม่ต้องการให้มันร้อนมันก็จะร้อน เราไม่ต้องการให้มันปวดอุจจาระ ปัสสาวะ ถึงเวลาจะปวดมันก็ปวด มันไม่ตามใจเราสักอย่าง
นี่เป็นอันว่ามันกับเราคบกันไม่ได้ มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราก็รู้แต่เพียงว่า
"ร่างกายนี้เป็นที่อาศัยชั่วคราวของเราเท่านั้น เราคืออาทิสสมานกายหรือที่เรียกกันว่า "จิตใจ" ที่เข้ามาอาศัยกาย ร่างกายอันนี้มันเป็นปัจจัยของความทุกข์ เราไม่ต้องการมันอีก"
...พอจิตใจของเราเบื่อในร่างกาย คิดว่ามันไม่ดี ดินแดนที่ดีมีแห่งเดียวคือพระนิพพาน จิตจับพระนิพพานเป็นอารมณ์...
หน้า 70 ของ 402