คลังเรื่องเด่น
-
"อำนาจของใจ" (สมเด็จพระญาณสังวร)
"อำนาจของใจ"
" .. "อำนาจใจเป็นใหญ่ได้ทุกยุคทุกสมัย" แต่ความยิ่งใหญ่มหัศจรรย์ของอำนาจใจ
ต้องสำคัญที่ "ความดีความไม่ดี" ใจจะไม่มีอำนาจตามลำพัง
- อำนาจความดี จะทำให้ใจดีและใจที่ดีจะให้เกิดผลสำเร็จที่ดี
- อำนาจความไม่ดี จะทำให้ใจไม่ดีและใจที่ไม่ดีจะให้เกิดผลสำเร็จที่ไม่ดี
"ทุกสิ่งสำเร็จด้วยใจเป็นไปเช่นนี้" ไม่มีเป็นไปอย่างอื่น .. "
"แสงส่องใจ" วันอาสาฬหบูชา ๒๕๕๐
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช พระองค์ที่ ๑๙ -
"หลวงปู่ดู่" ยืนยัน! "หลวงปู่เทพโลกอุดร" มีจริง! ในสมัยอยุธยา จำพรรษาที่ "วัดกุฎีดาว"
"หลวงปู่ดู่" ยืนยัน! "หลวงปู่เทพโลกอุดร" มีจริง! ในสมัยอยุธยา จำพรรษาที่ "วัดกุฎีดาว"
หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ วัดสะแก เล่าเรื่องหลวงปู่โลกอุดร
อีกหนึ่งครูบาอาจารย์ที่ผู้คนนับถือท่านทั่วทั้งแผ่นดินคือพระเดชพระคุณหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ วัดสะแก หลวง ปู่ดู่ ท่านบวชเรียนกับหลวงพ่อกลั่น วัดพระญาติ จ.อยุธยา เมื่อบวชแล้วท่านก็ตั้งใจทำพระกรรมฐานออกธุดงค์ จนสำเร็จจิตได้อภิญญาเป็นที่ปรากฏ เกียรติประวัติของท่านนั้นเป็นที่นับถือกันว่าท่านคือภาคหนึ่งของ “พระศรีอริยเมตรตรัย” ที่ลงมาบำเพ็ญบารมี และท่านคือภาคหนึ่งของ “หลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด” ลงมาสร้างบารมี ถ้าท่านผู้อ่านเพิ่งรู้จักหลวงปู่ดู่จากข้อเขียนของข้าพเจ้าอาจไม่เชื่อ แต่ผู้เขียนขอกล่าวว่าองค์หลวงปู่ดู่นั้นเป็นพระโพธิสัตว์เจ้าผู้บำเพ็ญบารมีมาเต็มแล้ว ท่านคือองค์เดียวกันกับหลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืดและเป็นองค์เดียวกันกับพระศรีอริยะเมตรตรัย ทั้งนี้มีครูบาอาจารย์ที่ยืนยันในคุณงามความดีของท่านได้แก่ หลวงปู่บุดดา ถาวโร หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ ครูบาบุญชุ่ม ญาณสังวโร หลวงปู่โง่น โสรโย หลวงพ่อเกษม เขมโก หลวงปู่จำเนียร วัดต้นเลียบ... -
ร่วมไขปริศนา.."หลวงปู่อิเกสาโร" คือ "หลวงปู่เทพโลกอุดร" ภิกษุลึกลับที่มีอายุยืนยาว หรือไม่? หรือเป็น "พระอริยะจากแดนมังกร"
ร่วมไขปริศนา.."หลวงปู่อิเกสาโร" คือ "หลวงปู่เทพโลกอุดร" ภิกษุลึกลับที่มีอายุยืนยาว หรือไม่? หรือเป็น "พระอริยะจากแดนมังกร"
หลวงปู่อิเกสาโร พระอภิญญาผู้ทรงฤทธิ์
ในบรรดาผู้นับถือหลวงปู่โลกอุดรนั้นคงมีจำนวนไม่น้อยที่เคยเห็นภาพพระอริยเจ้านั่งเข้าฌานสมาบัติจนเหลือแต่โครงกระดูก ภาพปริศนานี้เป็นที่นับถือของพุทธศาสนิกชนจำนวนมาก เพราะต่างเชื่อว่าท่านเป็นพระอริยเจ้าท่านหนึ่ง ซึ่งแต่งคนต่างเชื่อถือต่างๆ กันไป บ้างก็เชื่อว่าท่านคือ “หลวงปู่โลกอุดร” บ้างก็เชื่อว่าท่านคือ “ศิษย์เอกของหลวงปู่เทพโลกอุดร” บ้างก็เชื่อว่าท่านคือ “พระมหากัสสปะ” ผู้เลิศทางด้านธุดงควัตร เป็นพระภิกษุสมัยพุทธกาล บ้างก็เชื่อว่าท่านคือ “พระอริยะเจ้าท่านหนึ่งมาจากแดนจีน” ทั้งหมดนี้จะได้นำมาเล่าให้สู่ท่านฟังในครั้งนี้ว่าท่านคือใครมีข้อมูล เกี่ยวกับท่านอย่างไรบ้าง
จากกระแสแรก เชื่อว่าท่านคือ “หลวงปู่เทพโลกอุดร” นั้น กระแสความเชื่อนี้มาจากกลุ่มความเชื่อที่ว่านี่คือร่างหนึ่งของหลวงปู่โลกอุดร โดยเชื่อหลวงปู่โลกอุดรมีด้วยกันสามร่าง ร่างแรกเรียกว่าหลวงปู่เทพโลกอุดร ร่างที่สองคือหลวงปู่อิเกสาโร... -
"นินทาสรรเสริญ เหมือนอิฐกับทองคำ" (หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน)
"นินทาสรรเสริญ เหมือนอิฐกับทองคำ"
" .. จึงยกเป็นตัวอย่างมา "ความนินทาก็ดี ความสรรเสริญก็ดี" เอาส่วนหยาบ ๆ นี้ออกมาให้โลก เพราะโลกทั้งหลายรู้กันทั่วหน้า "เอาอิฐก้อนนี้มาน้ำหนัก ๑๐ กิโล เอาทองคำแท่งนี้มาน้ำหนัก ๑๐ กิโล" โลกจะโดดใส่ทองคำผึงเลย อิฐไม่เหลียวไม่เหลือบมอง จะโดดใส่ทองคำทั้งนั้น นี่โลกของกิเลสเป็นอย่างนี้ด้วยกันทั้งหมด
ทีนี้เรื่องของธรรมไม่เป็นอย่างนั้น พลิกปั๊บ อิฐก้อนนี้น้ำหนัก ๑๐ กิโล เอายกดูซิ ๑๐ กิโล เราต้องใช้กำลังถึง ๑๐ กิโลยก เอ้า ทองคำนี้ก็น้ำหนัก ๑๐ กิโล ต้องใช้กำลังยกทองคำถึง ๑๐ กิโล "ทั้งสองนี้มีน้ำหนักเท่ากัน ไม่ว่าจะยกอิฐ ไม่ว่าจะยกทองคำ น้ำหนักมีเท่ากัน"
แล้วทำไงจะดีล่ะ "ไม่ยกทั้งหมด ไม่หนักทั้งนั้นสบายเลย" นั่นแหละจิตที่ไม่ยกทั้งหมด ไม่รับทั้งหมด "ขึ้นชื่อว่าสมมุติ ไม่ว่าทองคำ ไม่ว่าก้อนอิฐ เป็นสมมุติด้วยกัน มีน้ำหนักเท่ากัน"
"ปล่อยเสียหมดโดยสิ้นเชิง นั้นคือวิมุตติ ไม่ยึดอะไรเลย" นี่สอนท่านทั้งหลายสอนด้วยความไม่ยึดนะ มันจ้าอยู่นี้มาแล้ว .. "
หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
http://www.luangta.com/thamma/thamma_talk_text.php?ID=2100&CatID=2 -
“กัลยาณมิตร” เกิดขึ้นฝ่ายเดียวไม่ได้ (สมเด็จพระญาณสังวรฯ)
คงเคยได้พบ ได้เห็น หรือได้ยินได้ฟัง กันมาแล้วบ่อย ๆ ที่เมื่อใครคนใดคนหนึ่งคิดพูดทำที่ผิดพลาด ที่ไม่สมควรแก่ภาวะฐานะ ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงเกียรติยศ เป็นต้นว่าเป็นผู้ไม่มี “กัลยาณมิตร” จึงไม่มีผู้ยับยั้งผู้ให้พ้นความผิดความเสียหาย ที่จะเกิด เพราะคิดพูดทำที่ผิด ที่ไม่สมควร ที่ไม่น่าทำให้เกิดขึ้น ที่จะต้องไม่เกิดขึ้น แม้มี “กัลยาณมิตร” บอกกล่าวให้รู้ความควรไม่ควร
ที่จริง “กัลยาณมิตร” จะเกิดขึ้นฝ่ายเดียวไม่ได้
“กัลยาณมิตร” ต้องเกิดขึ้นด้วยความพร้อมเพียงยอมรับทั้งสองฝ่าย
“กัลยาณมิตร” จะเกิดขึ้นฝ่ายเดียวไม่ได้
แม้คนดีมีปัญญาสักคนหนึ่งจะมีความหวังดี
ปรารถนาจะช่วยคนดีคนใดคนหนึ่งให้พ้นจากภัยพิบัตินานาประการ
ก็ย่อมไม่อาจทำได้ แม้อีกฝ่ายหนึ่งไม่มีความเข้าใจคำว่า “กัลยาณมิตร”
: แสงส่องใจ อาสาฬหบูชา ๒๕๔๙
: สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=7&t=22412 -
"โปรดเปรตที่ภูหล่มขุม" (หลวงปู่ไม อินทสิริ)
"โปรดเปรตที่ภูหล่มขุม" (หลวงปู่ไม อินทสิริ)
เรื่องคนที่ทำผิดศีลผิดธรรมเนี้ยนะ ไปพักอยู่ที่วัดภูหล่มขุม ใครเคยได้ยินหรือเปล่าภูหล่มขุม ตะวันออกภูจ้อก้อหลวงปู่หล้า ช่วงนั้นไปเที่ยวธุดงค์แวะขึ้นไปพักไปอยู่บนยอดเขาไปนั่งภาวนาอยู่นั้น คิดว่าจะนั่งไปถึงเที่ยงคืนก็จะพัก เอากรดไปกลางไว้แล้วก็ไปนั่งอยู่บนยอดเขา อากาศมันเย็นๆ นั่งอยู่บนภูเขา พอนั่งจิตของเรามันก็สงบ พอสงบโอ๊ยมีคน...คานขึ้นมาจากตีนเขาหนะ ขึ้นมาเยอะทั้งผู้หญิงผู้ชายมีแต่คนรุ่นเก่า พอขึ้นมาใกล้ๆ แอ๊ะคนอะไรเป็นตัวเป้นตนอยู่แต่หัวนิเป็นหน้าหมู เป็นปากหมู แต่มือและแขนนิเป็นของคนปากเปื่อยลิ้นเปื้อย ขึ้นมากราบ เขาก็อยู่ห่างจากตนเสานั้นอ่ะ ก็ก้าวเข้ามาใกล้ ก็เลยถาม พวกโยมเป็นอะไรกัน? เขาบอกว่า โอ๊ย…ท่านอาจารย์พวกโยมมีกรรม กรรมอะไร? ด่าพระกรรมฐาน ไล่พระกรรมฐาน สมัยนั้นอ่ะ พระกรรมฐานรุ่นหลวงปู่มั่น มีลูกศิษย์ลูกหาไปกรรมฐานแถวนั้นอ่ะ รุ่นเก่าๆทั้งนั้น พวกนี้ทำไมถึงไปด่า ตอนนั้นอ่ะเขามีมาเผยแผ่ศาสนานั้นใหม่(ไม่ขอเอ่ยชื่อศาสนา) เขาไปปลุกระดมให้ด่าพระ บางคนก็ไปสอนศาสนานั้น พอไปสอนพวกนี้มันก็ไปด่าพระไล่พระหนี้ พระไปบิณฑบาต ก็ไม่ใส่บาตรให้... -
สติปัฏฐาน พระธรรมเทศนา หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร
สติปัฏฐาน
พระธรรมเทศนา
หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร
เบื้องหน้าแต่นี้เป็นต้นไปเป็นเวลานั่งสมาธิภาวนา ให้พากันนั่งขัดสมาธิเอาขาขวาทับขาซ้าย เอามือข้างขวาวางทับมือข้างซ้าย ตั้งกายให้เที่ยงตรง หลับตานึกภาวนาพุทโธพร้อมกับลมหายใจเข้าหายใจออก ในขณะที่เรานั่งสมาธิภาวนานี้จงรวมจิตใจเข้ามาในบริกรรมภาวนานี้หรือในการได้ยินได้ฟังอุบายธรรมต่าง ๆ เมื่อเสียงเข้าไปถึงที่ไหนรู้สึกในใจที่ไหน ก็ให้รวมจิตใจลงไปที่นั้น ที่นี้แหละที่เป็นปัจจุบัน ปัจจุบันธรรม เป็นธรรมที่ปฏิบัติ ผู้ใดรวมใจของตนเข้าไปภายในปัจจุบันย่อมถึงซึ่งความไม่ง่อนแง่นคลอนแคลน จิตใจที่อ่อนแอท้อแท้จะได้แข็งแรงขึ้นด้วยสติความระลึกได้ในการบริกรรมในการฟังธรรมสตินี้ก็เกิดขึ้นจากใจเหมือนกัน เกิดขึ้นจากดวงจิตดวงใจดวงที่รู้อยู่ฟังอยู่เจริญอยู่บริกรรมอยู่ เกิดขึ้นจากที่นี้เองเรียกว่าสติความระลึกได้ เมื่อสติความระลึกได้มีความรู้สึกอยู่ในใจในตัว ดวงสตินี้ก็ยังให้จิตในที่รู้อยู่นี้แหละตั่งมั่นสงบระงับไม่แส่ส่ายไปกับสังขารวิญญาณกริยาอาการของจิต
ดวงจิตดวงใจจะได้รวมได้สงบเข้ามาอยู่ในจิตใจของตนจริง มีสติทุกเวลา สตินี้สำคัญมาก... -
อุปมาโทษของกามตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสไว้มีอยู่ 10 ประการ
อุปมาโทษของกามตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสไว้มีอยู่ 10 ประการ
1. กามเปรียบเหมือนสุนัขหิวแทะท่อนกระดูกเปื้อนเลือด คือ ยิ่งแทะ ยิ่งเหนื่อย อร่อยแต่ไม่เต็มอิ่มเหมือนความสุขทางเนื้อหนัง ไม่เคยอิ่มจริงๆ สักที สุขแค่ประเดี๋ยวประด๋าว แล้วก็หิวกามอีก
2. กามเปรียบเหมือนชิ้นเนื้อที่แร้งหรือเหยี่ยวคาบบินมา คือ ต้องถูกแย่งชิงโดยนกกาตัวอื่น ต้องต่อสู้ปกป้องตลอดเวลา มีทรัพย์มากก็กลัวโจรแย่งชิง มีคนรักก็ต้องคอยหึงหวง ยิ่งสวย ยิ่งหล่อก็ยิ่งมีคนอยากแย่งชิง
3. กามเปรียบเหมือนคนถือคบเพลิงที่ทำด้วยหญ้าลุกโพลงเดินทวนลมไป คือ ถือได้ไม่นานก็ต้องทิ้งไป มิฉะนั้นจะไหม้มือ แถมถูกควันไฟรมเอาตลอดเวลาที่ถือ เหมือนยศถาบรรดาศักดิ์ มีไว้ก็เหนื่อยในการรักษา กลัวคนเลื่อยจากเก้าอี้ ต้องเอาใจเจ้านาย เอาใจประชาชน
แต่สุดท้ายก็ต้องสละทิ้งหมด
4. กามเปรียบเหมือนหลุมถ่านเพลิงอันร้อนแรง คือ ที่ใดมีรัก ที่นั้นก็มีทุกข์ ใจเหมือนไฟเผาผลาญตลอดเวลา รักมากก็ทุกข์มาก
5. กามเปรียบเหมือนความฝัน คือ เห็นแต่ความสุข แต่ไม่เคยพบจริงๆ เหมือนชีวิตคู่ที่วาดหวังจะมีความสุขข้างเดียว แต่พอพบความจริง... -
หลวงปู่ดู่ กับ หลวงตาพระมหาบัว
หลวงปู่ดู่ กับ หลวงตาพระมหาบัว
จากหนังสือประวัติพระอาจารย์มั่น ทำให้อาจารย์ศุภรัตน์ปราถนาที่จะได้กราบนมัสการท่านอาจารย์มหาบัวเป็นอย่างยิ่ง แต่หาโอกาศยาก ได้ต่ส่งปัจจัยไปร่วมบุญกับท่าน พร้อมกับเรียนถามข้อข้องใจ ท่านมีเมตตาเขียนตอบเป็นลายมือขององค์ท่านเอง มีใจความว่า "มรรคผลนิพพานยังคงมีอยู่ไม่ได้สูญหายไปไหน ตราบใดที่ยังมีผู้ปฎิบัติธรรม"
เพื่อนอาจารย์ศุภรัตน์ทำงานอยู่ที่ จ.อุดรธานี เมื่อมีโอกาสไปเยี่ยมเยือน ได้ไปนมัสการ และฟังธรรมจากท่าน ครั้งหนึ่งทางวิทยาเขตมีการไปทัศนศึกษา โดยพาอาจารย์ไปดูงานที่อุดร อาจารย์จึงปรึกษากับผู้อำนวยการ จะพาคณะไปนมัสการ ทางผู้อำนวยการไม่ขัดข้อง แต่มีอาจารย์บ้งท่นไม่เห็นด้วย อ้างว่าจะเสียโปรแกรมอื่นแต่ผู้อำนวยการยืนยันจะไป
เมื่อคณะอาจารย์ไปถึงวัดหลังจากท่านฉันภัตตาหารเรียบร้อยแล้ว เห็นท่านนั่งบนศาลหลังจากผู้อำนวยการนำคณะอาจารย์กราบเรียบร้อย ท่านอาจารย์เอ่ยขึ้นว่า "วันนี้เราก็มีธุระที่ต้องไปทำแต่เห็นเป็นคณะใหญ่จะมากราบ อันที่จริงเราก็มีโปรแกรมเหมือนกันกับพวกท่าน ดังนั้นถ้าโปรแกรมบางอันที่ไม่เหมาะสมก็ตัดไปเสียบ้าง"พวกอาจารย์นั่งเงียบ... -
อัศจรรย์อำนาจจิตพระป่า! หลวงปู่บุญฤทธิ์ระลึกชาติ เห็นตนเองและพระป่าหลายรูปเคยเป็นฤาษี ได้หลวงปู่ชอบเมตตา ไขอดีตชาติให้ถึง4ชาติ!!!
อัศจรรย์อำนาจจิตพระป่า! หลวงปู่บุญฤทธิ์ระลึกชาติ เห็นตนเองและพระป่าหลายรูปเคยเป็นฤาษี ได้หลวงปู่ชอบเมตตา ไขอดีตชาติให้ถึง4ชาติ!!!
ชีวประวัติ พระคุณเจ้าหลวงปู่ชอบ ฐานสโม
วัดป่าสัมมานุสรณ์ - โคกมน บ.โคกมน ต.ผาน้อย อ.วังสะพุง จ.เลย
เขียนบันทึกโดย..ครูบากล้วย พระวีระศักดิ์ ธีรภัทโท…
ตอน ระลึกชาติให้ลูกศิษย์..
( ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๒ )
คืนวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๒ หลวงพ่อบุญฤทธิ์ ปัณฑิโต ท่านพาเฮียเม้ง ( คุณกวงเม้ง แซ่เล้า ) พี่ชายเฮียเม้ง โยมดำ ( คนขับรถให้เฮียเม้ง) มิสเตอร์จอน (เป็นฝรั่งชาวแคนนาดาเคยบวชอยู่กับหลวงปู่หล้าวัดภูจ้อก้อ และเคยไปอยู่จำพรรษาปฏิบัติกับองค์ท่านหลวงตามหาบัวที่วัดป่าบ้านตาดหลายปีก่อนที่จะลาสิกขา ) เข้ามาพักกับหลวงปู่ชอบที่กุฏิโรงเก็บรถ...
หลวงพ่อบุญฤทธิ์ท่านกราบเรียนหลวงปู่ชอบว่า ตอนกระผมอยู่วัดป่าบ้านใหม่ แม่ฮ่องสอน กระผมนิมิตเห็นตัวเองเป็นฤษีเดินจงกรมอยู่บนอากาศเหนือเมืองเชียงตุง ประเทศพม่า ในนิมิตนั้นกระผมเห็นท่านพระอาจารย์เป็นฤษีดาบส เห็นท่านพระอาจารย์ลีวัดอโศการาม ( ท่านพ่อลี ธัมมธโร ) ท่านทอง ( หลวงพ่อทอง วัดอโศการาม ) ท่านไพบูลย์พะเยา ( พระอาจารย์ไพบูลย์... -
ต่อสู้มาร
(ต่อสู้มาร)
"เพราะฉะนั้นผู้ที่จะมาทำสมาธิหรือผู้ที่จะมาบำเพ็ญความดี จึงจำเป็นต้องต่อสู้มานับตั้งแต่เราคิด เราคิดว่าจะมาทำสมาธิอยู่ทีบ้านก็ต้องต่อสู้แล้ว ว่าเราจะมาดีหรือไม่มาดี ในที่สุดเมื่อเราแพ้ก็ไม่มา แต่ถ้าเราชนะก็มา ก็หมายความว่าชนะไปขั้นหนึ่ง
เมื่อชนะแล้ว มาถึงกลางทาง ก็ยังต้องลังเลและสงสัยว่า เราจะไปดีหรือไม่ไปดี กลับบ้านซะดีกว่าหรือไง อย่างนี้ก็เรียกว่าต่อสู้กันใหม่อีก
เช่นเดียวกันกับพระพุทธเจ้าของเรา ในครั้งที่พระองค์เป็นสิทธัตถะ
เมื่อเสด็จออกจากมหาราชวังถึงกลางทาง ก็มีพญามารมาดัก บอกว่า อย่าไปเลยสิทธัตถะ ท่านกลับไปอีก ๗ วันเท่านั้น ท่านก็จะได้เป็นเจ้าจักรพรรดิแล้ว ท่านจะออกไปบวชทำอะไร
พระพุทธ…พระสิทธัตถะในขณะนั้นจึงได้กล่าวกับพญามารบอกว่า
ดูก่อน พญามาร น้ำลายที่เราบ้วนออกไปแล้ว เราจะไม่เอามันกลับคืนมาอีก พระองค์ก็ชนะไป
พวกเราก็เช่นเดียวกัน ในเมื่อเราชนะกลางทางแล้วก็มาถึงสถานที่
เมื่อมาถึงสถานที่ก็ยังคิดว่า เราจะเอาอย่างไร เมื่อเราเอาได้ก็ได้ เอาไม่ได้ เรากลับซะเรอะอย่างนี้ มันก็เกิดขึ้นในจิต แต่ในขณะนั้นเราก็ได้ต่อสู้ ในที่สุด มัน…เราก็สามารถนั่งสมาธิได้ ก็ถือว่าชนะ... -
อย่าลืม!! ทำบุญแล้ว กรวดน้ำให้ "พญานาค" รับอานิสงส์ตั้งแต่ชาตินี้ ! เรื่องเล่าจากตำนาน"อุรังคธาตุ"
อย่าลืม!! ทำบุญแล้ว กรวดน้ำให้ "พญานาค" รับอานิสงส์ตั้งแต่ชาตินี้ ! เรื่องเล่าจากตำนาน"อุรังคธาตุ"
เราทุกคนทราบกันดีว่า หลังจากทำบุญทำทานเสร็จเรียบร้อยแล้ว สิ่งที่สมควรทำคือ การอุทิศบุญกุศล ให้แก่ผู้ล่วงลับ และเจ้ากรรมนายเวร แต่ท่านรู้หรือไม่ว่า เราสามารถกรวดน้ำให้แก่ "พญานาค" ได้อีกด้วย
เรื่องนี้คุณทิพยจักร เข้าของผลงานหนังสือด้านความเชื่อหลายต่อหลายเล่ม ได้เล่าไว้ ถึงความน่าสนใจ ใน นิทานอุรังคธาตุ
ว่ามีการกล่าวถึง การบุญกรวดน้ำแก่ พญานาค ด้วย ดังนี้
.......... ในตำนานพระอุรังคนิทาน อันเป็นตำนานที่ว่าด้วยการเสด็จมาของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามายังสุวรรณภูมิเพื่อประดิษฐานพระพุทธศาสนา โปรดท้าวพระยามหากษัตริย์ โปรดพญานาคทั้งหลาย มีคติที่น่าสนใจเกี่ยวกับการทำบุญแล้วอุทิศให้พญานาค ซึ่งมีเรื่องเล่าไว้ดังนี้ครับว่า
มีผู้ชายคนหนึ่งรูปไม่งามตัวดำอ้วน แต่มีจิตใจดีคอยทำหน้าที่ดูแลพระอรหันต์สองพระองค์ ชื่อมหาพุทธวงศา กับมหาสัชชะดี พระอรหันต์ทั้งสองนี้มาจากกรุงราชคฤห์ พระอรหันต์ทั้งสองได้ตั้งชื่อให้ชายผู้นี้ว่า บุรีจันอ้วยล้วย
นายบุรีจันอ้วยล้วย มีความรู้ในการทำนาปี นาปรัง... -
วรรคทองของหลวงปู่แหวน... อดีตผ่านพ้นไปแล้ว อนาคตก็ยังมาไม่ถึง ปัจจุบันต่างหากคือของจริงที่อยู่ในมือเรา!!
วรรคทองของหลวงปู่แหวน... อดีตผ่านพ้นไปแล้ว อนาคตก็ยังมาไม่ถึง ปัจจุบันต่างหากคือของจริงที่อยู่ในมือเรา!!
ใกล้ตาย จึงนึกถึงพระ มีทุกข์มาถึง จึงนึกถึงพระศาสนา บรรดาสัตว์ทั้งหลายนั้น เมื่อไม่มีทุกข์มาถึงตัว มักไม่เห็นคุณพระศาสนา มัวเมาประมาท ปล่อยกายปล่อยใจ ให้ประพฤติทุจริตผิดศีลธรรมอยู่เป็นประจำนิสัย
เห็นผิดเป็นถูก เห็นกงจักรเป็นดอกบัว ต่อเมื่อได้รับทุกข์เข้า ที่พึ่งอื่นไม่มีนั่นแหละ จึงได้คิดถึงพระ คิดถึงศาสนา แต่ก็เป็นเวลาที่สายไปแล้ว
ทำความดีให้เป็นที่อยู่ของจิตความดีนั้นเราต้องทำอยู่เสมอให้เป็นที่อยู่ของจิต เป็นอารมณ์ของจิต ให้เป็นมรรคคือ ทางดำเนินไปของจิต มันจึงจะเห็นผลของความดี ไม่ใช่เวลาใกล้จะตาย จึงนิมนต์พระไปให้ศีล ให้ไปบอกพุทโธ หรือตายไปแล้วให้ไปรับศีล เช่นนี้เป็นการกระทำที่ผิดทั้งหมด เหตุว่าคนเจ็บ จิตมัวติดอยู่กับเวทนา ไฉนจะมาสนใจไยดีกับศีลได้เว้นไว้แต่ผู้ที่รักษาศีลมาเป็นปกติเท่านั้น จึงจะระลึกได้เพราะตนเองเคยทำมาจนเป็นอารมณ์ของจิตแล้ว แต่ส่วนมากใกล้ตายแล้วจึงเตือนให้รักษาศีล ส่วนคนตายแล้วไม่ต้องพูดถึง เพราะคนตายนั้นร่างกายจิตใจจะไม่รับรู้ใดๆ แล้ว... -
ในหลวง ร.๙ สอนฝึก"สติ" ความดีง่ายๆ ที่ทุกคนทำได้ทันที
ในหลวง ร.๙ สอนฝึก"สติ" ความดีง่ายๆ ที่ทุกคนทำได้ทันที
สติคือธรรมะแห่งปัจจุบันขณะ
การทำดีนั้นมีหลายอย่าง อย่างที่ท่านทำดีโดยที่ได้ร่วมกุศลเป็นเงินเพื่อที่จะแผ่ไปช่วยผู้ที่ตกทุกข์ได้ยากนั้นก็เป็นการกระทำที่ดีอย่างหนึ่ง การกระทำที่ดีอีกอย่างที่ได้กล่าวก็คือ มีความปรองดองสามัคคี ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน อุดหนุนกัน แล้วก็ไม่เบียดเบียนกัน โดยเฉพาะอย่างหมู่คณะที่ตั้งขึ้นมาอย่างนี้ก็ช่วยกันในทางวัตถุและในทางจิตใจ ความสามัคคีนี้ก็เป็นการทำดีอย่างหนึ่ง
การทำดีอีกอย่างซึ่งจะดูลึกซึ้งกว่า คือปฏิบัติด้วยตนเอง ปฏิบัติให้ตัวเองไม่มีความเดือดร้อน คือพยายามหันเข้าไปในทางปัจจุบันให้มาก
อย่างง่ายๆ ก่อน คือพิจารณาดูว่า ตัวเองกำลังคิดอะไร กำลังทำอะไร ให้รู้ตลอดเวลา แล้วรู้ว่าทำอะไร อย่างนี้เป็นวิธีอย่างหนึ่งที่จะทำให้ไม่มีภัย ถ้าเราคอยระมัดระวังตลอดเวลา ให้รู้ว่าตัวทำอะไร ให้รู้ว่าการทำนี้เราทำอะไรตลอดเวลา ก็จะไม่ผิดพลาด เพราะว่าโดยมาก ความผิดพลาดมาจากความไม่รู้ในปัจจุบัน บางทีเราก็เผลอ
สมมติว่า มีใครมาพูดอะไรไม่ดี เราก็โกรธ ถ้าโกรธแล้ว มันก็เป็นผลที่ไม่ดีต่อไป... -
"การคอยรับบุญ" (หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน)
"การคอยรับบุญ"
" .. "การคอยรับบุญของผู้อื่น เหมือนดื่มน้ำติดก้นแก้ว" ดื่มเท่าไรก็ไม่อิ่มสักที "คนมีสติธรรม ปัญญาธรรม ย่อมฉลาดที่จะสร้างบุญด้วยตัวเอง" เหมือนการเติมน้ำใส่แก้ว หิวเมื่อใดดื่มได้ชื่นใจฉันนั้น .. "
หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน -
อดีตชาติขององค์ท่านหลวงปู่จาม มหาปุญโญ ผู้มากมีบุญ
“...มนุษย์มีเกิดมีตาย สัตว์เดรัจฉานมีเกิดมีตาย เทวดามีเกิดมีตาย
พรหมมีเกิดมีตาย รวมแล้วโลกอันนี้มีเกิดมีตาย ไม่มีเต็ม เวียนว่ายตายเกิดอยู่ตลอดไป เป็นทุกข์อยู่ตลอดไป เป็นภพเป็นชาติยืดยาวด้วยเชื้อเกิดเชื้อตาย
ภาวนาแล้ววิชชาเกิดพอรู้จักได้การเกิดตายของเจ้าของ เห็นโทษเห็นภัยของการท่องเที่ยวเกิด แก่ เจ็บตาย เป็นภพเป็นชาติ เกิดแล้วตาย เกิดแล้วตาย ไม่มีอะไรจะยั่งยืนถาวร...”
“...เกิดตายมาของผู้ข้าฯ จะนับตั้งแต่ชาติชีวิตที่เคยได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ์
- เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ์ ๗ ชาติ อยู่เพชรบูรณ์ ก่อนพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันมาตรัส ๓ หมื่นปี
- มาเกิดเชียงใหม่
- ไปเกิดอยู่สิบสองปันนาสิบสองจุไทย ก่อนพุทธศาสนา ๒๘,๐๐๐ ปี
- มาเกิดอยู่มุกดาหาร เป็นกษัตริย์ ๗ ชาติ ราษฎร ๕ ชาติ ก่อนพุทธศาสนา ๑๓,๐๐๐ ปี
- เกิดปราจีนบุรี เป็นเจ้านาย ๔ ชีวิต ก่อนพุทธศาสนา ๖,๕๐๐ ปี
- เกิดอยู่ลพบุรี เป็นราษฎร ๓ ชีวิต เป็นกษัตริย์ ๕ ชีวิต ก่อนศาสนา ๓,๐๐๐ ปี
- ไปเกิดอยู่พาราณสี
- เกิดอยู่กรุงกบิลพัสดุ์ เป็นเจ้าสีหนุราช
- เกิดกุสินารา เป็นพันธุละเสนาบดี
- เกิดอยู่เนปาล บวชเป็นฤาษี มีหมู่ ๕๐๐ ฤาษิณี ๒๕๐ ตน ฤาษี ๒๕๐... -
พบเปรตจมูกเหมือนงวงช้าง เพียงค่าด่าพระสงฆ์ผู้ปาราชิกในใจ
ครั้งนี้มีวิญญาณที่น่าสนใจเพิ่มมาอีก ขอยกตัวอย่างโดยไม่เอ่ยนามของวิญญาณนั้น และได้ไปพิสูจน์มาแล้ว
ก่อนหน้านั้น วิญญาณนั้นมีตัวตนเคยมีชีวิตเป็นคนมาก่อน วิญญาณตนแรกน่าแปลก ตัวผอมหัวโต ลำตัวเน่าเหม็น ตัวมันเหม็นมากจริงๆ จมูกเหมือนงวงช้างดูดกินแต่ของเน่าเหม็น ได้ถามชื่อสกุล บ้านเลขที่ ตำบล ได้ความว่าตายมา ๘๔ ปี ได้มาทนทุกข์อยู่ในวัดนี้ จึงถามว่าไปทำอะไรมาจึงมีรูปร่างดังที่เป็นอยู่
วิญญาณตนนั้นตอบ “เป็นมโนกรรมเจ้าค่ะ คือได้เดินผ่านกุฏิพระผู้ปาราชิก ท่านแอบมีภรรยาขณะดำรงสมณเพศนั่งฉันอาหารอยู่ ได้นึกโกรธอยู่ในใจแล้วคิดว่า "ให้มันยัดห่าเข้าไปทำไม พระแบบนี้" แล้วถ่มน้ำลายลงพื้น
เพียงเท่านี้ไม่คิดว่าจะตกระกำลำบากเช่นนี้ ได้แบ่งกรรมของพระรูปนั้นมาใส่ตัวโดยแท้ เพราะเราไม่รู้จึงได้กระทำลงไป ต้องทนทุกข์เช่นนี้ จะไปก็ไม่ได้ ต้องทนเจ็บปวดทรมานมานานเหลือเกิน พระคุณเจ้าโปรดเมตตากระผมด้วย กระผมเข็ดแล้ว ต่อไปจะไม่ยุ่งเรื่องคนอื่นอีก”
อยากบอกใครก็บอกไม่ได้ น่าคิดนะ แม้พระจะหมดสภาพแล้วตามพระวินัย แต่ไปตำหนิเข้าแม้จะไม่ได้เปล่งวาจาก็ตาม ก็ปรากฏผลกรรมตอบสนองทั้งๆ ที่ตัวไม่ได้ทำ เพียงไปยุ่งเรื่องคนอื่น... -
"พระพุทธศาสนาไม่มีเสื่อม" (สมเด็จพระญาณสังวร)
"พระพุทธศาสนาไม่มีเสื่อม"
" .. คุณของพระศาสนาที่สุดประเสริฐในโลกคือ "พระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาที่ผู้รู้จริง" รู้ถูกต้องย่อมรู้ชัดว่า มีคุณสมบัติดั่งเพชรแท้ น้ำงามบริสุทธิ์ร้อยเปอร์เซนต์ ไม่มีวัตถุแปลกปลอมใด
"ไม่มีความสกปรกเศร้าหมองใด จะสามารถแทรกซึมเข้าไปในเนื้อเพชรได้แม้แต่น้อย" ได้แต่เพียงห้อมล้อมอยู่ภายนอกเท่านั้น ดังนั้นที่มีการกล่าวว่า พระพุทธศาสนาเศร้าหมองแล้ว เสื่อมแล้ว จึงเป็นการกล่าวผิดอย่างสิ้นเชิง
"พระพุทธศาสนาไม่มีเศร้าหมอง พระพุทธศาสนาไม่มีเสื่อม"
ผู้แวดล้อมหรือ "พุทธศาสนิกชนทั้งหลายที่ประพฤติผิดศีลธรรมวินัย ขาดเมตตากรุณา" เช่นนี้ที่เป็นผู้สกปรก เศร้าหมองและเสื่อม "คือเสื่อมจากความดีงามความเจริญรุ่งเรืองความร่มเย็น"
"ผู้ทำความเสื่อมความเศร้าหมอง จึงจะเป็นผู้เสื่อมผู้เศร้าหมอง" พระพุทธศาสนาไม่ได้ทำความเสื่อมความเศร้าหมองใด ๆ แม้แต่น้อย "พระพุทธศาสนาจึงไม่เสื่อม ไม่เศร้าหมองแม้แต่น้อย" ขอให้ช่วยกันถือหลักนี้ไว้
"เมื่อมีผู้ทำบาปทำอกุศล ทำความสกปรกเศร้าหมองผิดศีลผิดธรรมวินัยมีมากมายขึ้นเพียงไร" ก็ให้รู้ว่าเขาเหล่านั้นทำตัวเขาเองให้สกปรกเศร้าหมอง... -
"คนพาล เข้าไปนั่งใกล้บัณฑิตอยู่แม้จนตลอดชีวิต เขาย่อมไม่รู้ธรรม เหมือนทัพพีไม่รู้รสแกงฉะนั้น"
"คนพาล เข้าไปนั่งใกล้บัณฑิตอยู่แม้จนตลอดชีวิต เขาย่อมไม่รู้ธรรม เหมือนทัพพีไม่รู้รสแกงฉะนั้น"
พุทธวจนะในพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
มีพระเจ้าปัญหารูปหนึ่งที่มีความประพฤติและความรู้ไม่เหมาะสมนั่นก็คือ พระอุทายี ซึ่งพระอุทายีเป็นต้นบัญญัติเรื่องที่ว่า ท่านเคยนำอุบาสิกาท่านหนึ่งไปนั่งสนทนากันในที่ลับตา คือในกุฎิ ซึ่งก็พอดีว่านางวิสาขามหาอุบาสิกามาพบเห็นเข้าจึงได้กล่าวเตือน สิ่งที่ได้รับกลับมาก็คือ ท่านอุทายีกล่าวตอบว่า "โยมยุ่งอะไรด้วย"
เมื่อพระนางวิสาขามหาอุบาสิกาได้ยินเช่นนั้นจึงนำเรื่องนี้ไปกราบทูลพระพุทธเจ้า พระพุทธองค์จึงทรงบัญญัติเป็นข้อห้ามภิกษุพูดเจรจากับสตรีสองต่อสอง หากจะเจรจาด้วยควรมีพระหรือสามเณรรูปอื่นอยู่ด้วย
อีกหนึ่งกรณีก็คือ ท่านอุทายีเป็นผู้มีฝีมือในการเย็บจีวร ครั้งหนึ่งมีภิกษุณีที่ไม่ใช่ญาติของท่านมาขอให้เย็บจีวรให้ ท่านก็เย็บให้อย่างดี ภิกษุณีผู้ไม่รู้ความก็นำไปสวมใส่ บรรดาภิกษุที่มักน้อยต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนท่านพระอุทายีจึงได้เย็บ จีวรให้ภิกษุณีเล่าเรื่องนี้ความทราบถึงพระพุทธองค์ พระองค์จึงตรัสติเตียนว่า
"ดูก่อนโมฆะบุรุษ ภิกษุที่มิใช่ญาติ... -
ความประทับใจของคนไทยในเรื่องราว ในหลวงรัชกาลที่10 กับพระอริยสงฆ์ในอดีต
ความประทับใจของคนไทยในเรื่องราว ในหลวงรัชกาลที่10 กับพระอริยสงฆ์ในอดีต
เป็นความประทับใจที่เคยเกิดขึ้นในอดีตที่ผ่านมา ของเรื่องราวน่าประทับใจของ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ในหลวงรัชกาลที่ 10 ที่พระองค์ท่านทรงเปี่ยมด้วยพระอัจฉริยภาพ และทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจเพื่อทรงแบ่งเบาพระราชภาระของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ ในด้านต่าง ๆ ตลอดระยะเวลาที่ได้ผ่านมา
เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2526 สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ในหลวงรัชกาลที่ 10 ซึ่งในขณะนั้นทรงมีพระอิสริยยศ เป็น สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร และพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ได้เสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมอาการอาพาธหลวงปู่แหวน สุจิณโณ ณ วัดดอยแม่ปั๋ง ต.แม่ปั๋ง อ.พร้าว จ.เชียงใหม่
และอีกครั้งเมื่อ วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2545 สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ในหลวงรัชกาลที่ 10 ซึ่งในขณะนั้นทรงมีพระอิสริยยศ เป็น สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร... -
2อริยะแห่งศรีสะเกษ พบกันทางจิต บทสนทนาของหลวงปู่หมุน พูดถึง "รูปคนในแบ๊งค์" ทำเอาหลวงปู่สรวงเลิกเผาเงิน
2อริยะแห่งศรีสะเกษ พบกันทางจิต บทสนทนาของหลวงปู่หมุน พูดถึง "รูปคนในแบ๊งค์" ทำเอาหลวงปู่สรวงเลิกเผาเงิน
ลูกศิษย์ลุกหาที่บูชาหลวงปู่สรวง ต่างทราบกันดีทว่า หลวงปู่สรวง ท่านได้ฉายาว่า "ขรัวขี้เถ้า เผาแหลกลาญ" โยมถวายเงินเป็นฟ่อน ท่านก็โยนเงินลงกองไฟเสมอๆ ท่านให้เหตุผลว่า
"เงินมันไม่ดี มันเป็นกิเลส"
จากข้อมูลที่ได้ฟังมา เพื่อจัดหนังสือเผยแพร่ประวัติครูบาอาจารย์ ทั้ง 2 รูป "หลวงปู่หมุน" และ "หลวงปู่สรวง"
สรุปเรื่องการเลิกเผาเงินของหลวงปู่สรวง ได้ดังนี้
1. ตอนหลวงปู่สรวงมาวัดป่าหนองหล่ม ปกติแล้วท่านจะเผาเงินที่โยมเอามาถวายลงกองไฟ แต่ครั้งนั้น ท่านกลับไม่เผา
ท่านทำพิธีอธิษฐานจิตวัตถุมงคล (รุ่นเสาร์5 บูชาครู) โดยจับสายสิญจน์ที่พาดผ่านกองไฟ เกิดเหตุอัศจรรย์! ท่ามกลางสายตานับสิบๆคู่ คือ สายสิญจน์ที่พาดผ่านกองไฟ ไม่ไหม้ไฟ!!!
หลวงปู่สรวงทำพิธีไม่นาน ท่านก็กลับ...
ช่วงเวลาที่หลวงปู่หมุนท่านมา ก็มีคนนั่งเฝ้ากันอยู่เต็มไปหมด จนกระทั่งท่านกลับ หลวงปู่หมุนก็ยังคงอยู่ที่กุฏิเป็นปกติ
ลูกศิษย์ของหลวงปู่หมุน จึงเข้าไปกราบเรียนหลวงปู่หมุนว่า
"เมื่อครู่ หลวงปู่สรวงท่านมา แต่กลับไปแล้ว"... -
ปฏิบัติแบบโง่ๆ - คำสอนหลวงปู่ดู่
"ปฏิบัติแบบโง่ๆ" นับเป็นเวลาที่ค่อนข้างยาวนานทีเดียว กว่าที่คำพูดที่หลวงพ่อดู่เคยพูดสอนว่า ในเวลาปฏิบัติสมาธิภาวนา ให้ปฏิบัติแบบโง่ๆ นั้น จะค่อยๆ กระจ่างชัดขึ้นเรื่อยๆ การอ่านมาก รู้มาก บางครั้งก็เป็นดาบสองคม
เพราะในด้านหนึ่ง การรู้มาก ก็ช่วยให้สามารถมองเห็นเส้นทางเดิน รวมทั้งเห็นสิ่งที่ต้องระมัดระวังล่วงหน้า ฯลฯ
แต่อีกด้านหนึ่ง ความรู้มากนั้น ก็จะมาเป็นตัวอุปสรรคเสียเอง เช่น เผลอคิดว่าความรู้ (รู้จำ) นั้นเป็นปัญญา (รู้จริง) เกิดเป็นทิฏฐิมานะ ปิดกั้นการดูดซับความรู้จากภายนอก
ที่สำคัญในขณะปฏิบัติจิตภาวนานั้น ความรู้มากนี้ก็กลายเป็นสิ่งรุงรังในจิตใจ ใช้ความคิดผิดกาลเทศะ จนกลายเป็นตัวสร้างนิวรณ์บ้าง คิดไปล่วงหน้าตามประสาคนรู้มากบ้าง คอยใส่ชื่อเรียกให้กับสภาวะต่างๆ ที่กำลังประสบบ้าง คอยสงสัยนั่นนี่บ้าง
การรับรู้หรือสัมผัสจึงไม่เป็นไปอย่างตรงไปตรงมา แล้วเจ้าตัวก็ยังสำคัญตัวว่ากำลังคิดพิจารณาหรือมองดูสภาวะต่างๆ ตามความเป็นจริง ทั้งๆ ที่ของจริง "นิ่งเป็นใบ้"
พอจิตเข้าไปปรุงแต่งจนรุงรังไปหมดแล้ว จึงยากที่จะถอยออกมาให้เห็นไปตามสภาวะที่มันเป็นอย่างธรรมชาติ... -
เคล็ดบูชาพระพุทธชินราช วัดพระศรีรัตนมหาธาตุพิษณุโลกเสริมดวง
เคล็ดบูชาพระพุทธชินราช วัดพระศรีรัตนมหาธาตุพิษณุโลกเสริมดวง
วันนี้ผมจะขอนำเอาเคล็ด การบูชาพระพุทธชินราช ตามตำรับเดิมของวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ พิษณุโลกมมาบอกกัน โดย เคล็ดนี้ได้นำมาจากตำราพระเวท108 ของท่านอาจารย์ อุรคินทร์ วิริยะบูรณะ ที่ท่านได้รวบรวมสิ่งที่เป็นประโยชน์มากมายเคล็ดต่างๆ มาบอกกันนะครับ สำหรับเคล็ดไหว้พระพุทธชินราช จะใช้ไหว้กับพระพุทธชินราชที่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ พิษณุโลก หรือองค์จำลองที่เราบูชาที่บ้านก็ได้นะครับ แต่ไม่สามารถนำไปกราบองค์จำลองที่วัดเบญจมบพิตรได้นะครับ เพราะองค์จำลองใช้อีกคาถาและ ล้นเกล้ารัชกาลที่๕ทรงอธิษฐานจิตให้ประดิษฐานต่างจากองค์เดิมที่พิษณุโลก (ในที่นี้จะขอกล่าวถึงวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ)
สำหรับท่านใดที่จะประสงค์ขอพรพระพุทธชินราช วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ พิษณุโลกนั้น สิ่งของที่จะไหว้มีดังนี้
1.ดอกไม้ เป็นดอกบัวดีที่สุด
2.เทียนสีผึ้งแท้หนัก1บาท สองเล่ม
3.ธูปห้าดอก แทนพระพุทธเจ้า5พระองค์และคุณบิดามารดา
4.เครื่องบูชา หากจะบนบานศาลกล่าวให้ใช้ไข่ต้ม กี่ฟองก็ได้ตามศรัทธา
เมื่อจัดเครื่องบูชาแล้ว กลางคืนก่อนไปที่วัด(ในบ้าน) ให้ตั้งจิต กราบระลึกถึงพระคุณบุพการี... -
เหตุใดบางคนถึงเกิดมารวยล้นฟ้า และบางคนเกิดมายากจนเข็ญใจ
เหตุใดบางคนถึงเกิดมารวยล้นฟ้า และบางคนเกิดมายากจนเข็ญใจ
คลายความสงสัย ทำไมบางคนเกิดมารวย บางคนเกิดมาจน บางคนก็พอมีพอกินอยู่ได้ตามอัตภาพ ก่อนจะนำไปสู่หลักวิธีการ ขอทำความเข้าใจเรื่องคำถามที่ว่า ทำไมฟ้าช่างไม่ยุติธรรมบันดาลให้คนเรารวยจนแตกต่างกัน บางคนเกิดมาก็รวยล้นฟ้า บางคนก็เกิดมายากจนเข็ญใจแบบแทบจะไม่มีอะไรกิน
คนที่เกิดมาร่ำรวยนั้น มีเหตุให้รวยเพราะกรรมหรือการกระทำได้กำหนดเอาไว้ เช่นเดียวกับคนที่เกิดมายากจนก็เช่นเดียวกัน เพราะการกระทำกำหนดให้เป็นไป ตัวอย่างที่อยากจะกล่าวถึงเรื่องบุคคลที่ร่ำรวยมากๆ รวยมาตั้งแต่เกิดนั้นมีมากมาย ขอยกตัวอย่างบุคคลหนึ่งที่รวยแสนรวยและสามารถชี้มูลเหตุแห่งความรวยได้ชัดเจน นั่นก็คือ ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี
ท่านผู้นี้รวยแค่ไหน ก็ร่ำรวยขนาดมีเจ้าชายท้าให้เอาทองไปกองให้เต็มลานที่จะสร้างวัดได้เมื่อไหร่ก็จะยกพื้นที่นั้นให้สร้างวัด ท่านก็รับคำท้าจัดแจงเอาทองคำที่ท่านมองว่าเป็นเหมือนวัตถุธรรมดาไม่ต่างจากกระเบื้องมาปูให้เต็มลาน จนเจ้าชายต้องซูฮกยอมถอย ยกพื้นที่ให้สร้างวัด เพราะทึ่งในความศรัทธา
นี่คือ คนรวยระดับที่โลกต้องจารึก กาลเวลาผ่านไปกว่าสองพันห้าร้อยปี... -
เจาะลึก การสร้างบารมีแบบง่ายๆ
ในยุคปัจจุบัน การแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น สนใจแต่วัตถุ เงินทอง ชื่อเสียง จะมีสักกี่คนที่สนใจสะสมบารมี ชีวิตของพวกเขาเหล่านั้นย่อมอยู่ในความประมาท เพราะกินบารมีเก่าอยู่ หากคุณยังไม่ทุกข์ ยากนักที่จะมาสนใจสิ่งเหล่านี้ การทำความดีกับความชั่วก็เหมือนกับการปลูกมะม่วง จะมีสักกี่คนที่จะเข้าใจ มองย้อนดูตัวเองอย่างแท้จริง
อย่ารอให้คุณทุกข์ ค่อยมาสะสมบารมี เพราะมะม่วงความดีที่คุณปลูก ไม่มีทางออกผลทันในช่วงปัจจุบันที่คุณต้องการส่วนใหญ่ผู้ที่เจริญในทางสว่างจะแบ่งเงินออกมา 10% ทำบุญกับพระพุทธศาสนาบ้าง ช่วยเหลือสังคม มูลนิธิบ้าง สะสมบารมีตลอดเวลา และสำหรับคนที่ไม่มีเงินก็สามารถสะสมบารมีได้เช่นกัน เนื้อหาอยู่ช่วงถัดไป
พื้นฐานของบุญหลักๆจะแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ
1. จิตใจต้องบริสุทธิ์ เช่น ทำเพราะอยากช่วยเหลือสังคม พระพุทธศาสนา ทำให้โลกน่าอยู่ขึ้น เป็นต้น สำหรับผม ผมให้ เพราะอยากให้เขาได้สิ่งที่เราให้ไปได้สร้างบารมียิ่งๆขึ้นไป ปรารถนาให้พวกเขาได้สร้างสังคมที่ดีขึ้น หากคุณถวายวัด สิ่งของที่คุณถวายเป็นการสืบสานพระพุทธศาสนา อย่ามองว่าเล็กน้อย เพราะคนละน้อยย่อมมหาศาลได้ อย่าไปหวังในผลของบุญ... -
หลวงพ่อสุ่น สอน หลวงพ่อปาน "สะเดาะกุญแจ" เคล็ดวิชาแต่โบราณ เพื่อฝึกสมาธิขั้นต้น
หลวงพ่อสุ่น สอน หลวงพ่อปาน "สะเดาะกุญแจ" เคล็ดวิชาแต่โบราณ เพื่อฝึกสมาธิขั้นต้น
เมื่อครั้งที่หลวงพ่อปานได้บวชเรียนใหม่ๆ หลวงพ่อสุ่นก็เรียกเข้าไป หลวงพ่อปานก็เข้าไปกราบ หลวงพ่อสุ่นก็เอามือลูบหัวบอกว่า
“ปานเอ๊ย อยู่กับพ่อนะ จะได้ดีนะ นับตั้งแต่นี้ต่อไปเป็นลูกของพ่อ เอาล่ะ”
ท่านหันไปบอกพ่อของท่าน “เอ็งน่ะกลับไปบ้านได้แล้ว ไม่ต้องห่วง ไม่ต้องห่วงไอ้เจ้าปาน มันเป็นลูกของข้าแล้ว”
“แล้วแกไม่ต้องห่วง เจ้าปานของข้ามันไม่สึก แล้วต่อไปน่ะข้ามีอะไรข้าจะถ่ายทอดให้มันทั้งหมด ไอ้นี่ข้ามองมาตั้งแต่เล็กแล้ว ตั้งแต่ ๔-๕ ขวบข้าก็มองๆ มา นึกว่าถ้าเจ้าปานนี่มันบวชก่อนข้าตายแล้ว ข้าจะต้องเอามาไว้ วิชาความรู้ของข้านี่ถ่ายทอดใครไม่ได้ ไม่มีใครรับเอาไปได้หมด ข้ามองมานานแล้วว่าเจ้าปานมันรับของข้าได้”
ท่านบอกว่า พอฟังเท่านั้นแหละ ปลื้มใจบอกไม่ถูก คิดไม่ถึงว่าท่านจะเป็นคนที่หลวงพ่อสุ่นวัดบางปลาหมอต้องการตัว เพราะเวลานั้นหลวงพ่อสุ่นมีชื่อเสียงโด่งดังมาก ในสมัยนั้นพระอาจารย์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังก็มี หลวงพ่อปั้น วัดพิกุล, หลวงพ่อสุ่น วัดบางปลาหมอ, หลวงพ่อเนียม วัดน้อย, หลวงพ่อโหน่ง วัดคลองมะดัน... -
อดีตชาติครูบาศรวิชัย ช้างป่าเลไลย์ อนาคตกาลข้างหน้าจะสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า หลวงปู่ตื้อย้ำชัด!!!
อดีตชาติครูบาศรวิชัย ช้างป่าเลไลย์ อนาคตกาลข้างหน้าจะสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า หลวงปู่ตื้อย้ำชัด!!!
หลวงปู่ตื้อ (อจลธมฺโม) เล่าให้ฟังว่า...
“ ครูบาศรีวิชัยท่านเทศน์น้อย แต่รู้จักความนึกคิดของผู้คน รู้ได้ใกล้ไกล เจริญแต่คาถาอิติปิโสฯ อยู่เป็นนิจ ทีแรกอาจารย์มั่น (ภูริทตฺโต) จะสอนวิปัสสนากรรมฐานบอกอุบายธรรมให้ แต่เมื่อท่านเจ้าคุณพระอุปัชฌาย์ท่านเจ้าคุณพระอุบาลีฯ(จันทร์ สิริจันโท) ท่านให้พิจารณาจึงรู้ได้ว่า ยังไม่อาจที่จะบรรลุมรรคผลได้ แต่จักได้ด้วยตัวตนของครูบาเจ้าเอง เป็นอิติปิโสฯ ได้เอง ” (สำเร็จในพุทธภูมิโพธิญาณเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า)
ครูบาศรีวิไชย เป็นพระนิยตโพธิสัตว์ บำเพ็ญมาอย่างรวยอุตมลาภ ชาติชีวิตนี้ไปไหนมาไหน ก็มีผู้คนแห่แหนเอาเงินเอาปัจจัยทั้ง ๔ มาทำบุญให้ทาน ท่านก็เอาไปสร้างวัดได้หลายร้อยวัด ทั้งบูรณปฏิสังขรณ์และทำขึ้นมาใหม่ก่อสร้างร่างแปลน แต่เช้าจนค่ำคืน นั่งปันพรให้แก่ผู้เอาเงินมาให้ถวายทาน เทศน์ธรรมก็บอกแต่ว่า “ ให้สวดท่องอิติปิโส ” สอนผู้คนชาวบ้านให้ถือศาสนารักษาศีล ๕ ศีล ๘ สอนคนก็สอนจี้ลงไปที่ใจ
ท่านภาวนาเก่ง รู้ใจผู้คนหลายอย่าง... -
ทำบุญทั้งที เอาให้แผ่นดินสะเทือน ครูบาวงศ์เล่าไว้ มีคนทำได้จริง ไม่ต้องเป็นเศรษฐีก็ทำได้
ทำบุญทั้งที เอาให้แผ่นดินสะเทือน ครูบาวงศ์เล่าไว้ มีคนทำได้จริง ไม่ต้องเป็นเศรษฐีก็ทำได้
เรื่องที่จะเล่านี้เป็นเมตตาธรรมจากครูบาวงศ์ หรือครูบาชัยยะวงศา พระอริยสงฆ์อีกรูปหนึ่งของแผ่นดินธรรม ครูบาวงศ์ หรือท่านเป็นศิษย์ของครูบาเจ้าศรีวิชัยตนบุญผู้ยิ่งใหญ่แห่งแผ่นดิน
ครูบาวงศ์ท่านมีเมตตามากโดยเฉพาะคนไทยและคนกระเหรี่ยงภาคเหนือตอนบนรู้จักท่านดี เรื่องที่ขอเมตตามาเล่าให้กำลังใจกันในวันนี้ชื่อเรื่องว่า
"ทำบุญ สอง สลึง ทำให้แผ่นดินไหว "
ในอดีตกาล ล่วงมาแล้ว สมัยองค์พระผู้มีพระภาคเจ้ายังทรงพระชนย์อยู่ มีพระยาเจ้าเมือง เมืองหนึ่ง มีใจศรัทธาปรารถนาจะถวายผ้ากฐินเป็นทาน จึงได้ ป่าวประกาศไปทั่ว บ้านเมืองเพื่อเชิญชวนให้ชาวเมืองได้ร่วมทำบุญในครั้งนี้
ข่าวทราบถึง มหาเศรษฐี สองคนผัวเมีย มีเงินทองอยู่ ๘๘ โกฏิ เขาทั้งสองเกิดความศรัทธาปิติยินดี ในกองบุญกฐินนั้น จึงตั้งใจที่จะร่วมถวายทาน ผ้ากฐิน ตกกลางคืนมา สองผัวเมียก็มาคิดว่า ตัวเรานี้ มีข้าวของมากมาย แต่ไม่มีอันใดเลย ที่หามาด้วย น้ำพักน้ำแรงของตน มีแต่ใช้คนอื่นหามา มัน จะ เกิด อานิสงส์แก่เรามากไหมหนอ เมื่อคิดอย่างนั้น... -
อภิญญาทางจิตท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ "แสดงโดยตอบคำถามเรื่องพิธีสร้างพระโดยไม่รอให้เอ่ยพูดถามก่อน"
อภิญญาทางจิตท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ "แสดงโดยตอบคำถามเรื่องพิธีสร้างพระโดยไม่รอให้เอ่ยพูดถามก่อน"
จากบันทึกการเข้าพบท่านเจ้าคุณนรฯ ของพระอาจารย์ทองเจือ
ท่าน เล่าให้ผู้เขียนฟังว่าเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2512 ท่านได้ไปกราบนมัสการท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ เป็นครั้งแรกในพระอุโบสถวัดเทพศิรินทร์ฯ เพื่อจะขออนุญาตสร้างพระพร้อมทั้งขอคำแนะนำในการสร้าง ซึ่งครั้งแรกที่ท่านพบท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ รู้สึกเคารพนับถือขึ้นมาทันที เพราะเห็นผิวพรรณอันผ่องใส ใบหน้าอิ่มเอิบมีสง่าราศีผิดแผกกับพระอื่น ๆ ที่ท่านเคยพบมา ท่านจึงนึกในใจว่าท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ คงจะสำเร็จญาณขั้นสูงสมกับที่เขาเล่าลือกันแน่ แต่จะสำเร็จญาณขั้นใดไม่อาจจะรู้แน่ ท่านนึกในใจต่อไปว่า ทำอย่างไรจึงจะทราบได้ว่า ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ สำเร็จญาณขั้นใด พอนึกในใจเสร็จ ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ก็หันมามองหน้าแล้วพูดออกมาดัง ๆ ว่า
“อันกระแสจิตวิทยุหรือโทรทัศน์นั้น ผมได้ค้นพบมานานแล้ว และก็ได้สำเร็จมาหลายปีแล้ว” เมื่อได้ยินท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ พูดออกมาเช่นนั้นก็รู้สึกขนลุกซ่า มีความมหัศจรรย์ในใจอย่างยิ่ง จึงคิดว่าท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ คงรู้วาระจิตแน่ ๆ... -
สาธุ! ยอดพระคาถาบารมี 9 ชั้น ครูบาศรีวิชัย ทั้งแคล้วคลาดและเมตตาเป็นเลิศ แม้ถูกปองร้าย หาได้รับอันตรายไม่!!
สาธุ! ยอดพระคาถาบารมี 9 ชั้น ครูบาศรีวิชัย ทั้งแคล้วคลาดและเมตตาเป็นเลิศ แม้ถูกปองร้าย หาได้รับอันตรายไม่!!
ตำนานคาถาของครูบาศรีวิชัยเจ้า ต้นบุญ แห่งล้านนา เพื่อให้ท่านทราบถึงที่มาของคาถาบทนี้ ครั้งหนึ่ง......นานมาครูบาศรีวิชัยเจ้าออกเดินธุดงค์ในแถบภาคเหนือ.....ใน ระหว่างเดินทางผ่านโต้งนา (ทุ่งนา) แห่งหนึ่งก็ได้ไปปะ (ไปพบ) เถียงนา (ที่พักกลางนา) หลังหนึ่งที่ถูกไฟไหม้ แต่ไฟไหม้ไม่หมดเหลือส่วนหนึ่งตรงใจคา (ชายคา) ด้วยเหตุที่ไฟไหม้ไม่หมดจึงทำให้ครูบาศรีวิชัยเจ้าเดินเข้าไปดู ท่านก็ได้พบ กระดาษสาแผ่นหนึ่งซึ่งเขียนเป็นภาษาล้านนา เขียนว่า คาถาบารมีเก้าจั้น....ท่านจึงเกิดอัศจรรย์ใจ ท่านจึงนำมาใช้กับตัวท่านตลอดมา คาถาบารมีเก้าชั้นหรือคาถาเรียกบารมี 30 ทัดปกปักรักษาเวลากลางคำกลางคืนรวมถึงเรียกคุณพระแม่ธรณีและคุณทั้งปวงมาปก ปักรักษาให้รอดพ้นจากภัยพิบัติอันตรายทั้งหลายทั้งปวง นี่ก็เป็นคาถาอีกบทหนึ่งที่นิยมใช้กันทางภาคเหนือ ปัจจุบันค่อยเลือนหายไปน้อยคนนักที่จะรู้จัก ส่วนมากจะพากันไปสวดไปท่อง คาถาบารมี 30 ทัด ซึ่งก็เป็นคาถาประจำตัวท่านครูบาศรีวิชัยเจ้าอีกบทหนึ่งเช่นกัน
พระคาถาบารมี ๙ ชั้น หรือ...
หน้า 390 ของ 412