ได้เมียเป็นอิสลามต้องเปลี่ยนศาสนา

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย noumthebest, 1 มีนาคม 2013.

  1. DuchessFidgette

    DuchessFidgette เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    2,607
    ค่าพลัง:
    +9,301
    เอาเป็นว่าศาสนาทุกศาสนาสอนใหเป็นคนดีคะ แต่อาจจะมีข้อยิบย้อยแตกต่างกันไป ซึงขึ้นอยู่กับ วัฒนธรรม ภูมิประเทศ ความแตกต่างของ ประเทศต้นกำเนิดของศาสนาแต่ละศาสนา ซึ่งทำให้ต่างกัน ยกตัวอย่าเช่น พุทธสอนให้ มีผัวเดียวเมีเดียว คู่เดียว เพราะการไปมีหลายคู่ หรือ คนรักมากๆ ก็ทำให้ฝ่ายหญิงแต่ละคนน้อยใจ เพราะทุกคน ต่างก็อยากจะเป็นที่หนึงในดวงใจของคนที่ตนเองรัก ไม่อยากเห็น สามีไปให้ความสำคัญคนอื่นมากกว่า ด้วยเหุนี้ พระพุทธเจ้าจึงทรงบัญญัติ ให้มีคู่ เฉพาะคู่ของตนเอง ไม่มีสามีภรรยาหลายๆคนในเวลาเดียวกัน เพราะ การมีคนรักหลายคนเมื่อไร ก็หมายความว่า สามารถสร้างความไม่ พอใจ ไม่สบายใจ แก่ คนรักได้เมื่อนั้น และการทำให้ บุคคล หรือ ชีวิตอื่น ไม่สยายใจ เพียงเท่านี้ ก็จัดว่าสร้างบาป และเจ้ากรรมนายเวรแล้ว

    ศาสนาพุทธให้ความสำคัญ เรื่องการไม่สร้างความไม่สบายกาย และใจ ต่อชีวิตอื่น ถือเป็นบาปสุดในขณะที่ ทัศนะของศาสนาอิสลาม ต่างกับของพุทธ ในการมองดูว่าอะไรบาป อะไรบุญ ยกตัวอย่าง เช่น ศาสนา อิสลามอนุญาตให้ผู้ชายมีภรรยาได้สี่คนเป็นอย่างต่ำ เพราะในประเทศทางตะวันออกกลาง แห้งแล้ง, เป็นทะเลทราย คนสู้รบรบกันเสมอเพื่อ ก่อ รางสร้างวัฒนธรรม มิได้อยู่ง่าย กินง่าย สุขสบาย เช่น ของ ศาสนาพุทธ เช่น อินเดีย, เนปาล ที่มีป่าไม้ ผลหมากรากไม้อุดมสมบูรณ์.... ผู้ชายตะวันออกกลางก็ตายง่ายจากการรบ ซึ่ตามธรรมชาติ จำนวนมนุษย์ผู้หญิงในประเทศส่วนใหญ่ จะมากกว่าผู้ชาย เพราะเพศหญิงเป็เพศดึกดำบรรพ์ ที่มีมาก่อนเพศชาย ทำให้จำนวนสตรี ในแต่ละประเทศ โดยมาก จะมากกว่าบุรุษ, ยิ่งมีการรบพุ้งอยู่ตลอดเวลาอย่างในตะวันออกกลาง ผู้ชายล้มตายมากมาย สตรีสมัยก่อนก็ไม่สามารถทำงานเลี้ยงชีพเช่นเดี๋ยวนี้ การมีกฏหมายศาสนาอนุญาตให้ชายหนึ่งคน มีภรรยาได้มากมายจึงเกิดขึ้น โดยมองข้ามเรื่อง บาปบุญ ว่าจะทำให้ฝ่ายหญิงรู้สึกไม่สบายใจหรือไม่พอใจไป, นอกจากนี้ศาสนาอิสลามยังเป็นศาสนาที่มีบัญญัติเหมาะสมแก่ประเทศที่ใช้ กฏหมายทางทหาร มากกว่าจะเป็น ประเทศที่ อยู่กันอย่างสงบๆแบบทางพุทธ เช่น ในอังกุรอ่าน มีการบังคับให้ชาวบ้านบริจาก สะกาซ อย่างเข้มงวด ไม่ว่า ชาวเมืองชาวบ้านนั้นจะจน จะมีกิน หรือไม่ ก็จะต้องบริจาคให้ศาสนาเป็นอันดับแรกก่อน การมีกินของตัวเองมิเช่นนั้น ท่าน อาบูบัค จะเอากองทหารไปปราบ

    มีการบรยายว่า จะเอามีดจ่อคอ จะบังคับอย่างงั้นงี้ จนกว่าพวกชาวบ้านนั้นจะบริจาคสะกาซ ให้ศาสนา ซึ่งถือว่าสำคัญสุด ตรงนี้เองที่ทำให้แตกออกมาเป็นสองนิกาย คือ สุนหนี่ กับ ชิอะห์ เพราะในสมัยที่ ศาสดา ท่าน นบี มูฮัมมัด สิ้นชีพลง.... มีผู้นำสองท่าน คือ ท่าน อาร์บูบัค กับ ท่าน อาลี ซึ่งมีความเห็นไม่ตรงกัน คือ ท่าน อาร์บูบัค จะบังคับให้ชาวบ้านต้องจ่ายสะกาซ ไม่ว่าจะจน จะมีเงิน ซื้ออาหารกิน หรือไม่ ต้องให้ศาสนาอันดับแรก, ในขณะที่ผู้นำอีกท่าน คือ ท่านอาลี บอกว่า ถ้าจนยังไม่มีก็ยังไม่ต้องจ่าย

    นอกจากนี้อิสลามยังอนุญาตให้ตี ภรรยาได้ ถือเป็นการสั่งสอน หรือ กฏหมาย ตาต่อตาฟันต่อฟัน ฯลฯ ที่ดูจะรุนแรง แต่กระนั้นศาสนานี้ก็ยังตั้งมั่นอยู่ในขอบเขตที่สอนให้คนเป็นคนดี เช่น มีกฏ ทีบอกในอักุรอ่านว่า การขายมนุษย์ การนำเด็กสาว หรือ สตรีมาขาย เพื่อบริการทางเพศ หรือ ขืนใจผุ้หญิง ถือว่าเป็นบาปหนัก ถ้าอยากมีความสัมพันธ์ทางเพศกับสตรี ต้องสามารถ ยกให้เป็นภรรยา เอามาเชิดหน้า ชูตา ให้ทัดเทียม และฝ่ายหญิงทุกคนนั้นพอใจ จึงจะไม่บาป ถ้าชอบหญิงสิบคน ก็หมายความว่า ต้อง นำมาเชิดชู ยกย่องเป็นภรรยาได้ทั้งสิบคน และสตรีคนใดคนนึงในนั้นต้องเห็นด้วยและไม่คัดค้านถึงจะแต่งภรราเพิ่มได้, ซึ่งข้อนี้ก็ไม่ต่างอะไรจากศีลห้า คือถ้าไม่เป็นการสร้างความม่พอใจกับอีกฝ่ายก็ไม่ถือว่าบาป ในขณะ ศีลของฝ่ายหญิงเอง ในอังกุรอ่านก็มีการกล่าวว่า ผู้หญงที่จะได้บุญ หรือ มีอิหม่าน คือ สตรีที่ยอมให้สามีมีภรรยาได้มากกว่าหนึ่ง ถ้าสามารถยอมให้สามีมีภรรยาเพิ่มได้ สตรีผู้นั้นก็ก็ได้ บุญ ตรงนี้ก็ไม่ต่างจาก การมี พรหมวิหาร สี่ หรือ การมี อุเบกขา ในศาสนาพุทธ นั้นเอง......แต่ในทางปฏิบัติพระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้มาแล้วว่า มันเป็นไปได้ยาก ที่การจะมีภรรยา มากกว่า หนึ่งคน และไม่ทำให้ภรรยารู้สึกไม่พอใจ เพราะตามธรรมชาติ ไม่ว่ามนุษย์ หญิง หรอ ชาย ต่างอยากเป็นคนรักพียงคนเดียวของคู่ครองตนเองเท่านั้น สรุปแล้วศาสนาอิสลามก็สอนให้คน เป็นคนดี เพียงแต่มีหลักการสอนที่รุนแรง ต่างจากศาสนาพุทธ


    Edit : ส่วนคำถามที่คุณถา ที่ว่า เปลี่ยนเป็นอิสลามแล้ว บุญที่ทำมาแบบพุทธจะลบไป นับเริ่มใหม่ไหม อันนี้ขอตอบว่า คำว่า ความดีนั้น ฝรั่งเขาว่าเป็น Universel คือ คุณรู้ว่า อันนี้ เจ็บ อันนี้ สบาย, อันนี้ ร้อน, อันนี้เย็น..... คนชาติไหนๆ หรือศาสนาไหนก็ล้วนรับรู้ถึง ความ ร้อน, ความเย็น, ความ เจ็บ, ความสบายหมือนกันทั้งสิ้น? ดังนั้นคำว่าการทำบุญหรือทำดี ก็ไม่ต่างกัน เพียงแต่อาจจะมีพิธีกรรมที่ต่างกัน เช่น อิสลามไป มัสยิด ส่วนพุทธไปวัด
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 มีนาคม 2013

แชร์หน้านี้

Loading...