ใครเคยเห็นพระอรหันต์ที่ก่อนหน้านั้นอยากสำเร็จอรหันต์บ้างครับ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย kengkenny, 12 ตุลาคม 2010.

  1. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    ผมเห็นว่าคนสมัยนี้ทำความดีเหมือนกับการย้ายถิ่นฐานยังไงชอบกล แต่มันดูเหมือนไม่ใช่เป็นการย้ายแบบถาวร มันย้ายแบบไปเรื่อยๆ โดยคิดว่าถ้าทำแบบนี้จะต้องเป็นแบบนี้อยู่อย่างนั้นเรื่อยไป ผมกำลังศึกษาปฎิปทาของเหล่าพระอริยะสงฆ์สาวกเช่นกันครับว่า ท่านอยากจะเป็นอรหันต์บรรลุธรรมแล้วเป็นพระอรหันต์หรือท่านอยากจะพ้นจากบ่วงพ้นจากวัฏสงสารกันแน่ เดี้ยวจะหาว่าสงสัยในผู้อื่นอีก ไม่ต้องหาเลยครับสงสัยครับ แต่สงสัยในเป้าหมายของการปฏิบัติว่าคนเราหรือชาวพุทธเรานั้นที่หันมาปฏิบัติศึกษาธรรมกันนั้นเพื่ออะไรกันแน่ เพราะดูจากเรื่องราวข่าวสารแล้ว มันไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่และยิ่งเห็นมวลรวมของความคิดแล้วยิ่งงง งองูสามตัวเลย มันดูเหมือนการออกอัลบั้มยังไงชอบกลนัก ถามว่ามันยังดีกว่าออกอัลบั้มเพลงอยู่นะเพราะพาให้คนหันมาสนใจศึกษาธรรม ผมก็ว่าดีเหมือนกันนะแต่ ทำไปๆ ทำไมกลายเป็นว่า คนปฏิบัติธรรมนั้นมีวัตถุประสงค์คล้ายกันเลยคือมีความต้องการจะบรรลุธรรมนั้นๆ เอาง่ายๆมีความต้องการจะเป็นพระอรหันต์ ผมเองไม่รู้ว่าที่จริงแล้วพระอรหันต์เถระทั้งหลายตอนท่านบำเพ็ญเพียรภาวนากันนั้น ท่านตั้งจิตอธิฐานสร้างบารมีมาเพราะต้องการเป็นพระอรหันต์ หรือท่านวางจิตว่าต้องการความหลุดพ้นในวัฏสงสารหรือ ผมมองแนวทางของพระศาสนาแล้วออกจะมึนๆสักหน่อยเพราะจริงๆแล้วพระศาสดาสอนให้ผู้มีบุญบารมีทั้งหลาย หลุดพ้นจากวัฏสงสาร หรือ สอนให้คนเป็นพระอรหันต์กันแน่ บางทีอาจพอมีคนที่หาข้อมูลในพระไตรปิฏกมากล่าวแย้งได้นะครับ ว่าพระศาสดาสอนไว้ให้ธรรมนั้นพาให้เขานั้นหลุดพ้นจากวัฏสงสาร ไม่ใช่สอนให้ธรรมนั้นพาให้เขาเป็นพระอรหันต์

    คิดว่าเป็นการแลกเปลี่ยนทัศนคติในทางพุทธศาสนาในยุคปัจจุบันแล้วกันครับ
    ลุงขันธ์ พี่สับสน พี่นิวรณ์ พี่หนึ่ง พี่ขวัญ คุณณุ คุณอะมอกซี่ คุณชื่อแปลกๆ คุณอวตาร ลุงมหา คุณพี่ศรี น้องนานา น้องอัล และท่านอื่นๆ ช่วยรบกวนเสนอแนะความคิดเห็นอันเป็นเป้าหมายที่จริงให้กระจ่างหน่อยได้ไหมครับ
    ขออนุโมทนาเป็นอย่างสูงครับ กับทุกๆท่าน
     
  2. อวตาร.

    อวตาร. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    411
    ค่าพลัง:
    +633
    พระอรหันต์เถระทั้งหลายตอนท่านบำเพ็ญเพียรภาวนากันนั้น ท่านตั้งจิตอธิฐานสร้างบารมีมาเพราะต้องการเป็นพระอรหันต์ หรือท่านวางจิตว่าต้องการความหลุดพ้นในวัฏสงสาร
    พระอรหันต์เถระ(เอคตถะ)รวมพระอัครสาวก ท่านเห็นตัวอย่างในสมัยพระพุทธเจ้า
    พระองค์ใดพระองค์หนึ่งในอดีต แล้วท่านเหล่านั้นก็ตั้งจิต อธิฐานต้องการเป็นเลิศใน
    ด้านที่ตนเองต้องการ ส่วนความหลุดพ้นในวัฏสงสารนั้น ท่านทราบอยู่แล้วว่าเมื่อท่าน
    เป็นพระอรหันต์ก็จะถึงความหลุดพ้นในวัฏสงสารเอง

    พระศาสดาสอนให้ผู้มีบุญบารมีทั้งหลาย หลุดพ้นจากวัฏสงสาร หรือ สอนให้คนเป็นพระอรหันต์กันแน่
    พระพุทธเจ้าบำเพ็ญบารมีมาเพื่อมาเป็น "ผู้บอก" หรือมาเป็น "พระพุทธเจ้า"
    พระอรหันต์เป็นนามที่ใช้เรียกผู้ที่หลุดพ้นจากทุกข์ได้แล้วนั่นแหละครับ
     
  3. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,979
    ค่าพลัง:
    +3,259
    สงสัย แล้วรู้ว่า สงสัย อันนี้ให้ 10 แต้ม ( ตามแนวผมเนาะ )

    สงสัย รู้แล้ว แต่ไม่หายสงสัย เพราะ สงสัยตัวนี้ไม่ใช้ อกุศลที่มีรากมาจาก
    กิเลส3 แต่มาจาก นิวรณ์ มันเลยไม่หาย ก็ว่ากันไปเนาะ ของอย่างนี้มันแค่
    ขวางสมาธิ แต่ไม่ขวางธรรม จับพลัดจับพลูฝุ้งทางธรรมไปดีๆ ไม่แน่ แจ่ม

    * * * *

    เข้าเรื่อง ต้องใช้หลักการแบบนักคณิตกรณ์ คือ แบ่งแยกแล้วเอาชนะ หรือ
    Divide n Conquer กล่าวคือ

    ต้องแยกกลุ่มที่จะเอามา วินิจฉัยก่อนเป็นสองกลุ่ม คือ 1.นักพรต(พวกถือบวช ชฏิล
    ปริพาชก ออกป่า ผ่านเมือง ถือศีล ถือพรต ถือปรัชญา รวมเดียรถีย์ด้วย)
    กับ 2.ฆารวาส

    เมื่อแยกสองกลุ่มเสร็จแล้ว บุคคลาธิษฐานใดเข้าพวก 1. นักพรต ให้เรา ยกเลิกการ
    วิจัยนั้นเสีย แล้ว วิจัยเฉพาะบุุคคลธิษฐานที่เป็นฆารวาสเท่านั้น(เพราะใกล้เคียงฐานะ)

    ทั้งนี้เพราะ กลุ่มที่ 1 นักพรต นักปรัชญา ส่วนใหญ่จะมีอุดมการณ์ในการหา โมกษะ
    หรือ ความสุขแท้ หรือ สิ่งนิรันดร์ ในรูปต่างๆ ตรงนี้หากกลุ่มใดไม่เข้าข่ายมี
    สัมมาทิฏฐิ(ซึ่งก็ทั้งหมด) ก็ตกภายใต้แรงผลักดันคือ ความอยาก ทั้งนั้น ไม่ใช่ตัวอื่น
    [ ทั้งนี้หากเขาพ้นจากอำนาจของความอยาก เขาคงพบสิ่งบริสุทธิได้ก่อนพระพุทธองค์ ]

    คราวนี้ พวกกลุ่มที่ 2 ฆารวาส อันนี้ จะไปยก ตัณหา หรือ อยาก ขึ้นมาพิจารณา
    ไม่ได้ เพราะไม่มีฆารวาสคนใดที่คิดเรื่องพวกนี้ พวกเขาล้วนจมอยู่ใน ตัณหา แบบเต็ม
    ตัวเต็มใจ ถ้าไม่เต็มตัวเต็มใจก็จะต้องถูกสั่งสอนด้วยพระพรหมของลูก(พ่อแม่)ให้มีตัณหา
    แบบเต็มตัวเต็มใจ(ซึ่งประกอบด้วยจารีต ประเพณี ตามแต่ละกลุ่มที่เขามี ทำสืบต่อกันมา
    เป็นลักษณภูมิปัญญาชาวบ้าน -- เรียกว่าบัณฑิตก็ได้แต่ว่าไม่เท่าพวกพราหมณ์ซึ่งจะมี
    ระดับข้อวัตรเป็นกุศลมากกว่า )

    เมื่อแยกออกสองกลุ่มแล้วก็จะพบว่า

    กลุ่มที่ 1. นักบวช บรรลุอรหันต์เพราะ มีอยากเป็นตัวนำ อาจเป็นไปได้ และเป็น
    ส่วนมากด้วย [ ข้อสังเกตคือ บทเทศนาจะมีการชี้ให้เห็นตัณหา การสิ้นตัณหา หรือ
    ชี้ที่มิจฉาทิฏฐิ(ค่อนไปทางอัตตาทุปาทาน) และการสิ้นของมิจฉาทิฏฐิ(การสิ้นอัตตา) ]
    ( **** อันนี้เสนอในฐานะ ข้อสังเกตุเท่านั้น **** เพราะรายละเอียดของกลุ่มนี้
    มีเยอะมาก นี่ยังไม่ได้ตั้งข้อสังเกตกรณี เดียรถีย์ เลยนะนี่ เพราะการสอนธรรม
    ต่อพวกเดียรถีย์นี่จะออกแนวพิศดาร ยกมามาก เดี๋ยวพวกรักษ์คุทธ จะฟ้องร้องย้อนหลัง ยุ่ง )

    กลุ่มที่ 2. ฆารวาส บรรลุอรหันต์เพราะอยาก โดยส่วนตัวเชื่อว่า เป็นไปไม่ได้ พวก
    ฆารวาสจะบรรลุอรหันต์ก็เพราะเห็นภัยของวัฏสงสาร เข้ามาแบบตรงๆ คือ มีเหตุ
    กระทบรุนแรงแล้ววิ่งเข้าหาธรรม ได้สดับปั๊ปก็ใคร่ครวญเห็นตาม สลัดวางชีวิตแบบ
    โลก(ไม่ใช่บวชนะ) แล้วจึงฟังอีกครั้งก็แจ้งในอรรถทางธรรม [ ข้อสังเกตุคือ ฆารวาส
    จะได้รับเทศน์สองบริบท บริบทแรกจะเรียกกันว่า อุนปุพพิกกถา แล้วจึงตามด้วย ธรรมกถา ]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 ตุลาคม 2010
  4. สงกะสัย

    สงกะสัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    52
    ค่าพลัง:
    +128
    อนุโมทนาสาธุ..จุดหมายนั้นประเสริฐแล้วดีแล้ว แต่ต้องย้อนถามใจดูก่อน มีเจตนาใดฤา ถึงคิดว่าอยากไปถึง เพราะจุดหมายนั้นหมายถึงหมดตัว จะไม่เหลือทรัพย์สินเงินทองแม้แต่ชิ้นเดียว ไม่เหลือความสุขแม้แต่อะตอมเดียว แม้แต่สังขารวิญญาณก็ไม่มีเหลือ จุดหมายนั้นทำไม่ยาก แต่คนไม่อยากทำ ไม่งั้นคงมีพระอรหันต์เดินรับบิณฑบาทกันทั่วเมือง ทุกวันนี้คนเราเกิดมามีจุดหมายอย่างเดียวคือเกิดมาเอา เอา เอา และเอา สุข สุขและสุข คือเอาท่าเดียว สุขอย่างเดียว ทำอย่างไรก็ได้ขอให้ได้เป็นนั้น ได้ครอบครองสิ่งนั้น ได้เป็นเจ้าของสิ่งนี้ ได้แล้วสุขมากกอดไว้แน่นๆ..พอเจอ อนิจจัง ร้องไห้ขี้แตกขี้แตน ใจจะขาดรอนรอน.
    แม่จ๋า พ่อจ๋า เมียจ๋า ลูกจ๋า บ้านจ๋า รถจ๋า ที่ดินจ๋า เงินทองของกูจ๋าฯลฯ
    ของข้าใครอย่าแตะ..ลองทิ้งจ๋าสุดท้ายลงก่อนไหม ถ้าทิ้งได้จุดหมายแค่เอื้อม แต่อย่าหมดกำลังใจ โฮ!!ใครจะบ้าทิ้งได้ กว่าจะหามาได้เลือดตาแทบกระเด็น ถูกต้องมันเป็นของมันเช่นนั้นเอง มันเป็นกฏของธรรมะยากที่จะปล่อยคาย มันเป็นอนุสัยเรียกหยาบๆว่าสันดาน มันติดมาตั้งแต่เราเกิด พ่อแม่สอนให้เรา รู้จักเป็นเจ้าข้าวเจ้าของตั้งแต่จำความได้
    แม่รักลูกนะลูกของแม่ ครับแม่ของลูก เราถูกสอนว่าได้คือสุขเสียคือทุกข์ และความยึดมั่นถือมั่นนี้มันฝังเข้าไปในไขกระดูก ยากจะขุดขึ้นมาเผา แต่พระพุทธองค์ทรงรู้ถึงข้อนี้ดี จึงให้คนฝึกถือศีลห้า บันไดขั้นแรกของพระอรหันต์ ถ้าถือได้ดีเพิ่มเป็นศีลแปด ถ้ามีบุญถือได้ ศีลห้าหมดทุกข์
    ศีลแปดเหยียบขอบพระโสดาบันสุขยิ่ง ศีล227ข้อยิ่งสุขใหญ่ เคยพบหลวงพ่อองค์หนึ่งไปปักกรดอยู่บนดอยผีรู แม่ฮ่องสอน กันดารขัดสน มีแต่ชาวเขายางกระเหรี่ยงลาฮูมูเซอ ฉันท์วันละมื้อยังหาคนบิณฑบาตยากเย็น ต้องฉันท์ข้าวแห้งกับน้ำ ท่านยังยิ้มแย้มถามเราว่ามีอะไรให้หลวงพ่อช่วยไหม ทั้งๆที่เรานี่จะเป็นฝ่ายถามท่ามมากกว่า เพราะเราเสบียงเต็มรถ
    แต่ท่านยังมีสุขต่อไปเรื่อยๆจนถึงจุดหมายของท่าน คือหมดทุกข์หมดโศกหมดโรคภัยไข้เจ็บหมดสิ้นทุกอย่าง สุขในความไม่มีตัวตนของท่าน(อนัตตาธรรม)
    เหมือนพระพุทธเจ้าท่านทรงหมดสิ้นทุกอย่าง
    แต่ด้วยพระมหากรุณาธิคุณทรงทิ้งมรดกไว้ชิ้นเดียวให้มนุษย์คือ พุทธธรรม
    วิชชาที่จะพาให้มนุษย์หมดสิ้นเหมือนพระอรหันต์ เหมือนพระพุทธเจ้า..
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 ตุลาคม 2010
  5. หลบภัย

    หลบภัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,209
    ค่าพลัง:
    +3,129
    ไม่รู้ซิคะ ว่าคนอื่นสงสัยสนใจอะไร
    แต่ตัวเอง ไม่ได้อยากเป็นเพระอรหันต์
    แต่อยากหลุดพ้น แต่ความหลุดพ้น ก็ต้องได้ ตำแหน่งพระอรหันต์ก่อน
    ทั้งๆ ที่เราไม่เคยรู้จักตำแหน่งนี้ พระอรหันต์ ท่านทรงอารณ์ไหนก็ไม่เคยทราบ

    รู้แต่ตัวเองปฏิบัติ ก็ต้องมีฉันทะ ถ้าไม่มีตัวนี้ก็คงปฏิบัติไม่ได้
    อยาก คือ สิ่งสมมุติ เอาสิ่งสมมุติ มาเป็นเครื่องมือ เพื่อวิมุตติ
    ..............................
    หากใครไม่มีความอยาก ก็สำเร็จไม่ได้หรอกค่ะ ถามสาวยาคูล ดูซิคะ
     
  6. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,075
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    แล้วมันต่างกันเหรอครับ กับความหมาย กับนัยยะของคำว่า "อรหันต์" กับคำว่า "หลุดพ้น"

    อย่าไปติดกับบัญญัติ แล้วไปสงสัยคนอื่นนักสิ รักจะปฎิบัติมัวแต่มองคนอื่นมันจะล้าช้าเอา

    บัญญัติก็เป็นบัญญัติที่สมมุติกันขึ้นมาใช้เรียกเท่านั้นเอง ในกรณีนี้ พระอรหันต์ ก็หมายถึงรูปนามที่สิ้นอาสวะแล้ว นั่นก็คือหลุดพ้นจากสงสารวัฏแล้ว มันก็แค่ต่างไวพจน์กันก็เท่านั้นเอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 ตุลาคม 2010
  7. ekclubs

    ekclubs Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มกราคม 2010
    โพสต์:
    24
    ค่าพลัง:
    +89
    นิพพานอยู่แล้ว

    ทุกอย่างคือความไม่ยึดติด
    สละอนุสัย จาคะความเป็นตัวเองทั้งหมด
    ตรงต่อนิพพานอยู่แล้ว อนิจจังอยู่แล้ว อนัตตาอยู่แล้ว
    ก็ว่างเอง วางเอง สงบ สะอาด สว่างเอง

    พุทธะ ไม่ได้ไปตามความอยาก ตัณหา
    สละทุกสิ่งทุกอย่าง สละแม้แต่อนุสัย
    ทุกอย่างคือการสงเคราะห์ทั้งหมด ทำให้ ไม่ได้ทำเอา
    ทุกอย่างคือธรรมบรรลุอยู่แล้ว
    ไม่ใช่ไปบรรลุ อะไร ให้เป็นขั้นเป็นตอน เป็นชั้นนั้น ชั้นนี้
    เพราะไม่มีอะไรมา ไม่มีอะไรไป ไร้ร่องรอย ไร้ความหมายอยู่แล้ว
    ตรงต่อความไม่ยึดอยู่แล้ว ว่าง อยู่แล้ว ก็จบกิจทั้งหมด

    ส่วนพระอรหันต์ เมื่อท่านตรงต่อนิพพานอยู่แล้ว
    ทุกอย่างก็คือการสงคราะห์เช่นกัน
    เพียงแต่ก็ยังมีอนุสัย เคยทำมาอย่างไร ก็สอนไปอย่างนั้น
    แต่ความปรารถนาแห่งพุทธะ อรหันต์ทั้งหลาย
    เพื่อที่สุดแห่งกองทุกข์ คือเห็นตามความเป็นจริง

    เมื่อมีพุทธะมาบอก ก็แค่ตรงต่อสัจจธรรมเท่านั้น
    ไม่ต้องไปเริ่ม ไปจบให้กับอะไร
    ไม่คอยไปติด ไปหลุดให้กับอะไร
    ไม่ต้องไปคอยรู้ คอยเห็นอะไร
    ไม่ใช่พยายามทำให้อะไรให้บรรลุ
    ไม่ใช่ปฏิบัติอะไร เพื่อให้ได้อะไร
    ไม่คอยมาเพ่งกาย เพ่งจิต อะไรอีก
    ไม่คอยอัพเกรด กาย จิตให้เป็นชั้นนั้น ขั้นไหนอีก
    ทุกอย่าง ก็คือ ดับอยู่แล้ว นิโรธอยู่แล้ว
    ไม่ไปสร้างกรรมซ้อนธรรมอะไรอีก
    ทุกอย่างมันผ่านมา มันก็ผ่านไป
    ไร้ความหมาย ไร้ร่องรอย อยู่แล้ว

    ไม่ใช่ตั้งหน้าจะไปนิพพาน
    นิพพานไม่ใช่ อะไร แล้วจะเอาอะไรไปนิพพาน
    เอาศีล สมาธิ ปัญญา แบบไหนไปนิพพานอีก
    เอาตัณหา เอาตัวเอง ไปหน้าเรื่อย
    แสดงว่า มันยังไม่พอ ไม่จบกิจ สร้างกรรมขึ้นมาซ้อนธรรม
    ก็เลยเป็นไปตาม กรรม ไม่ว่าจะเป็นกรรมดี หรือ กรรมไม่ดี
    ก็เลยต้องมาเสวย เวทนา เดี๋ยวดี เดี๋ยวไม่ดี เดี่ยวสุข เดี๋ยวทุกข์
    มันไม่ได้เป็นไปตามธรรม

    ทุกอย่าง ก็ตรงต่อ นิพพานอยู่แล้ว
    ไม่ อะไร กับ อะไร
    ไม่ต้องไปทำอะไร ไม่ตั้งอะไรขึ้นมาอีก
    นอกเหนือความเป็นชีวิต นอกเหนือพฤติกรรม สละอนุสัยทั้งหมด
    มันจะดี หรือ ไม่ดี จะอะไรก็ตามก็สละให้หมด วางกาย วางจิต
    ไม่ใช่ไหลตาม ต่อต้านมัน มันก็จบอยู่แล้ว วางอยู่แล้ว
    ไม่ใช่พยายามไปวาง มันวางอยู่แล้ว
    ไม่ใช่ไปพยายามไปบรรลุ ทุกอย่างคือธรรมบรรลุอยู่แล้ว
    นิพพานอยู่แล้ว ไม่เนื่องด้วยความพยายาม


    สาธุ
    ekclubs@hotmail.com
     
  8. ชุนชิว

    ชุนชิว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    722
    ค่าพลัง:
    +780
    ใครเคยเห็นคนอยากอิ่ม อยากหายจากอาการหิว แต่ไม่กินบ้างครับ นั่งนึกเฉยๆ ว่า อิ่มหนอ อิ่มหนอ แล้วก็หายหิวทันที (คนธรรมดานะครับ)
    สำหรับบางองค์หากชาตินี้ไม่อยาก ชาติก่อนๆ ต้องอยากแน่นอนครับ

    เยธัมมา เหตุปับพวา เตสังเหตุง ตถาคะโต เตสัญจะโย นิโรโธ จะ เอวังวาทีมหาสมโณ
    ธรรมใดเกิดแต่เหตุ องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสถึงเหตุและความดับแห่งธรรมทั้งหลายเหล่านั้น
     
  9. lldreamll

    lldreamll Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    73
    ค่าพลัง:
    +84
    1+1=2 หรือ 2=1+1...งืมตรรกะหนอ
     
  10. รู้รู้ไป

    รู้รู้ไป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    953
    ค่าพลัง:
    +3,165
    ทุกข์และกลัวทุกข์ ทำยังไงจึงจะไม่ทุกข์ ไม่ต้องกลัวทุกข์ จึงหาทางพ้นทุกข์
     
  11. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    ทำไมถึงถาม ถามเพราะอยากรู้ ขอบคุณครับทุกคำตอบ เพราะเป็นดังนี้จึงเป็นดังนั้น ไม่ใช่เพราะอยากเป็นดังนี้จึงเป็นดังนั้น โดยประมาณคำตอบจะติดอยู่กับทุกๆคนจริงๆ ผมก็เข้าใจว่าคนที่อยากและทำไปเพราะความอยากนั้นต่างกับคนที่ทำเพราะรู้ว่าทำแล้วเป็นดังนี้ ไม่ใช่เพราะอยาก แต่ตอนแรกจะรู้ได้ไงว่าต้องเป็นแบบนั้น ก็เพราะศรัทธาไง เชื่อไง เลยทำ ไม่ใช่ศรัทธาเลยทำให้รู้สึกอยากทำ และสิ่งอื่นๆจะตามมาอีกมากมาย
    ขอบคุณทุกคำตอบที่ทำให้เข้าใจครับ
    อนุโมทนาครับ
     
  12. วิมุตติ

    วิมุตติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    2,355
    ค่าพลัง:
    +2,169
    จะปรารถนาอะไรก็ตามแต่

    ทำให้มาก พิจารณาให้รอบ ไม่สงสัย ไม่ย่อท้อ

    สุดท้าย ก็ไม่มีอะไรที่เป็นสาระ เลย...
     
  13. ฟ้ากับเหว

    ฟ้ากับเหว Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2020
    โพสต์:
    1,069
    ค่าพลัง:
    +372
    เรื่องนี้จริงๆก็แค่อยากถามว่า ระหว่างมองเห็นทุกข์กับเห็นความเป็นอรหันต์สิ่งไหนเห็นก่อนกัน ที่ถามว่าไม่ได้ตั้งจิตด้วยความอยาก เพราะมันไม่ได้อยาก พระขีณาสพล้วนเห็นอยู่แก่ใจว่า แบบนี้ไม่ใช่ทาง ก็หมายถึงทางพ้นทุกข์ มันไม่ได้อยากหรือไม่อยาก แต่เพราะมันไม่ใช่ทาง อันนี้จริงไม่จริงก็พิจารณาเองด้วยปัญญาเถิด
     
  14. ฟ้ากับเหว

    ฟ้ากับเหว Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2020
    โพสต์:
    1,069
    ค่าพลัง:
    +372
    สาระคือ รู้ว่าอะไรเป็นอะไร แล้วก็จบมันด้วยสาระที่ยิ่งกว่า
    จริงไหมไม่รู้ ป่านนี้คงบรรลุแล้วสินะ รึป่าวไม่รู้
     
  15. ฟ้ากับเหว

    ฟ้ากับเหว Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2020
    โพสต์:
    1,069
    ค่าพลัง:
    +372
    อนุโมทนาเช่นเดิม ครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...