โดนขังวิญญาณ

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย ainteerati, 14 สิงหาคม 2010.

  1. ainteerati

    ainteerati เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,233
    ค่าพลัง:
    +2,275
    [FONT=DSU_PreeCha]เพื่อน ผู้เป็นนักล่าได้ฟังก็รู้สึกไม่สบายใจเพราะได้ยิงสัตว์มาก ไม่เคยสนใจคิดถึงเรื่องบุญบาปมาก่อน หาความสนุกสนานตามอารมณ์ของคนวัยหนุ่ม จึงถามท่านพระครูว่า [/FONT][FONT=DSU_PreeCha]ท่าน อาจารย์ครับ ขอรับว่าผมเคยยิงสัตว์ป่ามาก่อน แต่ไม่คิดถึงกรรมเวรที่จะติดตามมาสนอง บัดนี้รู้สึกว่า การที่ทำไปเพราะความคะนองของคนเมื่ออยู่ในวัยขาดศีลธรรม เมื่อมารู้สึกผิดชอบเช่นนี้แล้ว มีทางใดบ้างครับเพื่อจะลบล้างบาปที่เราได้ทำมาแล้วเมื่อครั้งอดีต[/FONT][FONT=DSU_PreeCha]ท่านพระครูได้ฟังก็บอกว่า [/FONT][FONT=DSU_PreeCha]บุญกับบาปลบล้างกันไม่ได้ บุญก็อยู่ส่วนบุญ บาปก็อยู่ส่วนบาป[/FONT][FONT=DSU_PreeCha]เปรียบ เหมือนน้ำกับน้ำมันเท่าที่เรารู้สึกตัวว่าทำบาปสร้างกรรมชั่ว เมื่อคิดได้รู้บุญบาปแล้วก็เป็นนิมิตที่ดีต่อไปก็จะกลับใจสร้างแต่กรรมดี เป็นผู้ที่ควรยกย่องนับถือกว่าบุคคลบางคนที่เห็นผิดเป็นชอบ เมื่อรู้สึกตัวว่าทำผิดแต่ก็ไม่ละเว้นการทำบาปชั่ว คล้ายกับตกกระไดพลอยโจนคิดว่า ไหน ๆ ผิดเราก็ทำบาปทำกรรมมาแล้วก็ทำมันต่อไป แทนที่จะสำนึกตัวได้จะกลับตัวกลับใจสร้างกุศลสร้างกรรมดีทดแทนที่หลงผิดมา ก่อน ถ้ากลับชั่วเป็นดีได้พระท่านยกย่องสรรเสริญ หากเราสร้างกรรมดีสร้างบุญกุศลให้มากแม้บุญกุศลจะไม่สามารถลบล้างกรรมได้ดี หากกรรมชั่วบาปมีน้อยก็ยังติดตามไม่ทัน เพราะกุศลบารมีมากกว่า เมื่อเราสร้างบุญกุศลเป็นบารมีมากขึ้น เราก็แผ่ส่วนกุศลครั้งใดก็อุทิศทุกครั้งไป หากกรรมชั่วเรามีน้อยไม่มากก็จะจางไป เพราะส่วนกุศลที่เราอุทิศชดใช้หนี้กรรมไปในตัวแล้ว แต่เมื่อเราสร้างบุญกุศลสร้างกรรมดีมากขึ้น กรรมชั่วถึงไม่จางก็ค่อยห่างออกไปยังตามไม่ทัน หากหยุดสร้างบุญกุศลและหันมาสร้างกรรมชั่วสร้างบาปต่อไป กรรมชั่วก็จะเข้าใกล้ติดตามมาทันสนองเร็วขึ้น หากยิ่งเป็นกรรมหนักแล้วก็ยากที่จะหลบหลีกให้พ้นไปได้ แม้จะพยายามสร้างกรรมดีเพียงใด แต่กรรมบาปนั้นหนักเกินกว่ากรรมดีที่กำลังปฏิบัติในชาตินี้ ก็ต้องได้รับกรรมหนักชาติก่อนที่ตามมาสนองไปก่อนกว่าจะหมดเวร ส่วนกรรมดีก็คงจะสนองภายหลังหรือชาติหน้า เมื่อใช้หนี้อกุศลกรรมหมดแล้ว เช่นเรื่องที่เกิดขึ้นมาแล้ว เมื่อปี ๒๕๐๔ ซึ่งเป็นเรื่องที่ผู้ได้รับเคราะห์กรรมในเวลานั้นเป็นผู้เลื่อมใสศรัทธาใน ทางพระพุทธศาสนา มีจิตใจเป็นกุศลได้ร่วมงานทำบุญช่วยเหลือกิจการของวัดกับอาตมาหลายปี และได้สนใจศึกษาทางวิปัสสนากรรมฐานกับอาตมา บุคคลผู้นี้มีนามว่า ชลอ เกิดสุวรรณ[/FONT] [FONT=DSU_PreeCha]เพราะ ในอดีตเคยรับราชการเป็นทหารเสนารักษ์ เป็นคนใจดีมีความเมตตาเผื่อแผ่ช่วยเหลือชาวบ้านเมื่อเจ็บไข้ได้ป่วยมิได้ รังเกียจ เป็นที่รักใคร่ ชาวบ้านพากันเรียกว่า[/FONT][FONT=DSU_PreeCha]หมอชลอ[/FONT][FONT=DSU_PreeCha]ท่าน ผู้นี้เดิมมีภูมิลำเนาอยู่บ้านศาลาลอย จังหวัดอยุธยา ต่อมาได้แต่งงานอยู่กันกับนางสาวทองใบ ซึ่งมีหลักฐานบ้านเรือนอยู่ในหมู่บ้านข้างวัด หมอชลอได้มาวัดศึกษานั่งสมาธิบริกรรมเป็นประจำจนสามารถทำจิตให้สงบเป็นสมาธิ เข้าขั้นใช้ได้......[/FONT]
     
  2. จิ-โป

    จิ-โป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,006
    ค่าพลัง:
    +2,196
    วันนี้คุณ ainteerati เผาอะไรไปแล้วก็ดี อนุโมทนาด้วยครับ

    ท่านว่า "ตะเกียงให้แสงสว่างได้ทั้งนั้น ไม่ว่าใส้ตะเกียงจะขาวจะเทาจะดำ"
    ท่านเปรียบกันคนที่เผากิเลสด้วยปัญญาว่า
    คนเราเมื่อมีปัญญาเผากิเลสนั้นแล้ว ให้มีสติจับที่แสงสว่าง ที่ผลแห่งการเผากิเลส
    อย่ามองย้อนลงมาที่ตัวเราที่เป็นดุจใส้ตะเกียง ไม่ว่าจะผ่านกิเลสมามากน้อยยังไง
    ก็ตาม เมื่อเผาแล้วให้มองและจับที่ผลของมันอย่างเดียว

    การละวางสัญญาก็เหมือนกันเมื่อเราวางแล้วให้เสพอารมณ์ละนั้น อยู่ปัจจุบันในอารมณ์
    นั้น อย่าย้อนกลับมาที่ตัวเหตุแห่งสัญญาอย่างไม่หยุดหย่อน บางคนทำดีแล้วเผากิเลส
    แล้ว ดันมามีจิตคิดว่าเราทำกรรมไม่ดีมาเยอะ ครอบครัวขัดสนไม่เหมือนชาวบ้านเขา
    เลยต้องทำกรรมไม่ดีมามากกว่าคนที่รวยๆหรือมีคนคอยบอกคอยสอน

    กำลังใจตัวเองเลยตกลงไป ผลแห่งการปฏิบัติเลยได้น้อยนิดดุจทำนาเสร็จแล้วกลับ
    เดินไปเหยียบย่ำให้ต้นข้าวนั้นล้มลง

    เมื่อเราเผาได้แล้วให้ดูผลแห่งมัน แสงสว่างแห่งจิตใจ อย่าระลึกถึงใส้ตะเกียงอัน
    คือชีวิตเราที่ผ่านมา บางคนขาวสะอาด บางคนล้มลุกคลุกคลาน เมื่อสำเร็จย่อมมีผล
    ดุจเดียวกันครับ.
     
  3. ศิลามณี

    ศิลามณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    1,008
    ค่าพลัง:
    +1,321
    การละวางสัญญาก็เหมือนกันเมื่อเราวางแล้วให้เสพอารมณ์ละนั้น อยู่ปัจจุบันในอารมณ์
    นั้น อย่าย้อนกลับมาที่ตัวเหตุแห่งสัญญาอย่างไม่หยุดหย่อน บางคนทำดีแล้วเผากิเลส
    แล้ว ดันมามีจิตคิดว่าเราทำกรรมไม่ดีมาเยอะ ครอบครัวขัดสนไม่เหมือนชาวบ้านเขา
    เลยต้องทำกรรมไม่ดีมามากกว่าคนที่รวยๆหรือมีคนคอยบอกคอยสอน


    สวัสดีคะ แวะเข้ามาอ่าน...คำว่าสัญญา ในความหมายที่ คุณจิโป ว่า..นี่คือสัญญาอะไรนะคะ... จะเหมือนกับหนังสือสัญญา ที่ทำเป็นรายลักษณ์อักษร เช่น สัญญาซื้อ-ขาย อย่างนั้นหรือคะ ศิลามณี เคยได้ยินมาบ้างแต่ไม่เข้าใจว่าคืออะไร.. .กับอีกคำหนึ่ง คือ สายสัญญานะ....

    คุณจิโป จะกรุณาอธิบายให้ฟังบ้าง....ได้ไหมคะ
     
  4. จิ-โป

    จิ-โป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,006
    ค่าพลัง:
    +2,196
    สวัสดีคะ แวะเข้ามาอ่าน...คำว่าสัญญา ในความหมายที่ คุณจิโป ว่า..นี่คือสัญญาอะไรนะคะ... จะเหมือนกับหนังสือสัญญา ที่ทำเป็นรายลักษณ์อักษร เช่น สัญญาซื้อ-ขาย อย่างนั้นหรือคะ ศิลามณี เคยได้ยินมาบ้างแต่ไม่เข้าใจว่าคืออะไร.. .กับอีกคำหนึ่ง คือ สายสัญญานะ....

    คุณจิโป จะกรุณาอธิบายให้ฟังบ้าง....ได้ไหมคะ[/QUOTE]

    บางคนรักใครซักคน ก็สัญญาว่า หน้าตาแบบนี้มีชื่อว่ายังงี้ พอนึกแล้วใจเกิด
    อารมณ์ที่เรียกว่ารัก นี่เรียกว่าสัญญาว่ารัก

    บางคนมีทุกข์เมื่อพบเห็นปลาว่า เราฆ่าปลาแบบนี้มาก่อนเห็นปลาแล้วทุกข์
    นี้ก็สัญญา

    บางคนเห็นคนอื่นมีทุกข์ก็มานึกถึงตัวเราว่า เราเองก็เคยมีกรรมแบนั้นก็ทุกข์
    ตามนี่เรียกว่าสัญญา

    ทั้งหลายเหล่านี้ เราต้องอดทน อดกลั้นต่อการเกิดมีของอารมณ์ ไม่ปล่อยใจ
    ให้ไหลไปตามอารมณ์เหล่านั้นอันมีอกุศลมูลคือ ลาภะ โทสะ โมหะ แล้วจะมี
    สติจัดการกับอารมณ์เหล่านั้น ต่อมาเมื่อเราละวางได้แล้วจะเกิดอารมณ์เบื่อ
    เห็นเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องธรรมดาของโลก ก็จะละวางลงได้ ตรงนี้เอง ให้เสพ
    รับอารมณ์นี้ หยุดตรงนี้ อย่ากลับไปคิดถึงสัญญา(ทั้งหลาย)อีก


    คุณศิลามณีครับ สัญญาว่ารักกันบางคนก็ทำเป็นลายลักษณ์อักษรครับ แต่
    การตัดด้วยธรรมนี้ท่านว่าตัดตรงโสรัจจะ คือขันติมันภายนอก โสรัจจะมันภายใน
    ตัดภายนอกคือฉีกสัญญานั้นทิ้ง ตัดภายในคือ เราเห็นเขาใจเราไม่ร้อนรุ่ม
    เหมือนแรกๆแล้ว ก็มาอยู่ตรงอารมณ์นี้ ธรรมของเราก็จะเจริญขึ้นไป ไม่ย่ำอยู่
    กับที่ครับ ไม่ใช่เห็นเขาทีไร สัญญามันปรุงตลอดมันก็ไม่ไหว

    หรือเห็นกรรมคนอื่นทีไรมันสะอื้นในใจตลอดมันก็ไม่เข้าที ต้องเห็นเรื่องเหล่า
    นี้เป็นธรรมดา ลงท้ายด้วยสอยแบบชาวบ้าน นี่ก็สัญญา

    " สอย สอย สาวซ่ำน้อยบ่ฮู้จักสัญญา
    บัดเห็นพี่เป้าย่างมา...อ้ายสายัญ สัญญา แม่นบ่." (ไก่จ๋า.ได้ยินใหมว่าเสียงใครรร)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 พฤศจิกายน 2010
  5. angeltk229

    angeltk229 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กันยายน 2008
    โพสต์:
    1,584
    ค่าพลัง:
    +6,912
    คักแท่น้อ พูน่อยซิอยากฮ้องไห้

    ถ้าอ่านแล้วรู้สึกว่าข้อความมันไหลเข้าไปสู่ใจ ใจเกิดปีติ น้ำตาพาลจะไหล แบบนี้ถือเป็นสัญญาไหมคะท่าน

    ถ้าเราตามเห็นทันอาการปีติของใจ ถอยออกมาดูอาการที่เกิด แบบนี้ถือว่าตัดการปรุงแต่ง(สังขาร)ได้อย่างนั้นหรือเปล่าเจ้าคะท่าน

    จำเป็นไหมคะที่เราต้องหักห้ามหากมีอาการปีติเกิดขึ้นหรือเพียงแต่ออกมาดูอาการนั้นอยู่ห่างๆโดยไม่เข้าไปวุ่นวายกับมัน

    อนุโมทนาในธรรมค่ะ
     
  6. ainteerati

    ainteerati เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,233
    ค่าพลัง:
    +2,275
    ทุ่งกุลาร้องไห้
    [​IMG]

    ทุ่งกุลาร้องไห้ เป็นที่ราบที่มีอาณาเขตกว้างขวางใหญ่ที่สุดในภาคอีสาน มีเนื้อที่ประมาณ <metricconverter productid="2,107,691 ไร่" w:st="on">2,107,691 ไร่</metricconverter> มีอาณาเขตครอบคลุมพื้นที่ 5 จังหวัด คือ ร้อยเอ็ด สุรินทร์ มหาสารคาม ศรีสะเกษ และ ยโสธร ส่วนพื้นที่ที่ต่อเนื่องกันมากที่สุด กว้างยาวที่สุดนั้น เริ่มตั้งแต่อำเภอพยัคฆภูมิพิสัย จังหวัดมหาสารคามเรื่อยขึ้นไปทางตะวันออก ส่วนกว้างที่สุดอยู่ในท้องที่อำเภอปทุมรัตต์ เกษตรวิสัย สุวรรณภูมิ โพนทราย มีเนื้อที่ประมาณ <metricconverter productid="847,000 ไร่" w:st="on">847,000 ไร่</metricconverter> ส่วนทุ่งที่มีชื่อลือนามว่า ทุ่งกุลาร้องไห้นั้น อยู่เขตอำเภอเกษตรวิสัย และอำเภอสุวรรณภูมิจังหวัดร้อยเอ็ด และอยู่ในเขตอำเภอท่าตูม อำเภอชุมพลบุรี จังหวัดสุรินทร์ ถ้าเรายืนอยู่ในใจกลางทุ่งแถบนี้แล้วเหลียวมองไป รอบ ๆ ตัวเราจะเห็นแต่ทุ่งหญ้าจดขอบฟ้าสุดสายตา เมื่อประมาณ 60-70ปี มาแล้วไม่มีต้นไม้ขึ้นอยู่เลยมีแต่ป่าหญ้าแท้ๆสูงแค่ศรีษะคนมาบัดนี้เห็นมี ต้นไม้ขึ้นบ้างเป็นแห่งๆตามเนินสูงทั่วๆไป แต่ก็มีบางตามากสภาพของทุ่งไม่ราบเรียบเสมอกันมีเนินมีแอ่งสูงๆต่ำๆมีลำห้วย เล็กใหญ่ไหลผ่านหลายสายเช่นลำเสียวเล็กลำเสียวใหญ่ลำเตาลำพลับพลาเป็นทาง ระบายน้ำออกจากทุ่งในฤดูฝนลงสู่แม่น้ำมูลสองฝังลำห้วยเหล่านี้เป็นดินทามฤดู ฝนน้ำหลากทุ่งฤดูแล้งน้ำแห้งขอด ประชาชนได้อาศัยจับปลาตามลำน้ำเหล่านี้เป็นอาหาร ในฤดูแล้งที่น้ำลดลง เมื่อราว พ . ศ . 2460 ถอยหลังขึ้นไปมีสัตว์ป่า อาศัยอยู่หลายชนิด เช่น กว้าง ละมั่ง อีเก้ง อยู่กันเป็นฝูงๆมีนกตัวใหญ่ๆ มาอาศัยอยู่ก็มาก เช่น นกหงส์ นกกระเรียน นกกระทุง นกเป็ดน้ำ อยู่กันเป็นฝูงใหญ่ๆ แต่เวลานี้สัตว์ป่าเหล่านั้นได้หายสาบสูญไปสิ้นแล้ว
     
  7. ainteerati

    ainteerati เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,233
    ค่าพลัง:
    +2,275
    ตำนานนิทานทุ่งกุลาร้องไห้ ​
    มี ตำนานเล่าสืบต่อกันมาว่าเมื่อหลายพันปีมาแล้วดินแดนทุ่งกุลาร้องไห้เคยเป็น ทะเลสาบมาก่อนกว้างยาวสุดลูกหูลูกตาไม่มีต้นไม้ใหญ่สสักต้นเพราะน้ำลึกมาก เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์น้ำนานาชนิด ในสมัยนั้นมีเมืองสำคัญอยู่เมืองหนึ่งคือ เมืองจำปาขัน หรือเมืองจำปานาคบุรี อยู่ทางทิศตะวันตกของทะเลสาบ ดังตำนานคำกลอนภาษาอีสานกล่าวไว้ว่า
    "ท่งกุลาเดิมเค้ามันเป็นทะเลใหญ่
    หัวเมืองไกลเทียวค้าเฮือข่วมท่องเที่ยว
    ทะเลสาบคดเคี้ยวฟองแก่งแฮงกระแส
    หมู่ชาวแฮือชาวแพซ่อยขนสินค้า
    ปัจจิมพ้นจำปานคเรศ
    เขตเวนตกก้ำพี้เมืองบ้านน่านนคร" ​
    พระเจ้าแผ่นดินผู้ครองเมืองนครนั้นมีธิดาอยู่องค์หนึ่งชื่อว่า นางแสนสี และมีหลานสาวคนหนึ่งชื่อว่า คำแพง นางทั้งสองเป็นหญิงสาวรุ่นราวคาวเดียวกันและมีรูปร่างหน้าตาสาวงามพร้อมทั้งลักษณะเท่ากับนางอัปสรมีวัย 15 หยกๆ 16 หยอนๆพระราชารักเหมือนดวงพระเนตรและได้จัดให้มีคนดูแลรักษาอย่างดี ผู้ดูแลรักษามีชื่อว่า จ่าแอ่น เมื่อ นางทั้งสองจะไปที่ใด จ่าแอ่นก็จะติดตามไปด้วยทุกหนทุกแห่ง ในเมืองจำปานาคบุรีนี้มีพญานาคอยู่ฝูงหนึ่ง เป็นพญานาคที่มีฤทธิ์มากถ้าชาวเมืองได้รับความเดือดร้อน พญานาคนี้จะให้ความช่วยเหลือทุกอย่าง จึงมีชื่อว่า นาคบุรี ในสมัยเดียวกันนั้น มีเมืองอีกเมืองหนึ่งชื่อว่า บูรพานคร ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกของทะเลสาบ มีโอรสชื่อ ท้าวฮาดคำโปง ละมีหลานชายชื่อ ท้าวอุทร ทั้งสองได้ออกไปเรียนวิชาศิลปศาสตร์สำนักเดียวกันเมื่อเรียนจบแล้ว อาจารย์อยากจะให้ลูกศิษย์ลองวิชาดูว่าจะมีความสามารถเพียงใด จึงเรียกลูกศิษย์ทั้งสองเข้ามาหาแล้วสั่งว่า ให้เจ้าทั้งสองไปสู้รบกับพญานาคที่เมืองจำปานาคบุรี และกำชับว่า พญานาคนั้นมีฤทธิ์มากหากเจ้าทั้งสองชนะพญานาคได้ก็หมายความว่าวิชาที่เจ้าได้ร่ำเรียนมานั้นเป็นผลสำเร็จ ศิษย์ ทั้งสองก็ยอมปฏิบัติตามคำสั่งของอาจารย์ จึงพากันกราบลาอาจารย์ออกจากสำนักไปยังเมืองจำปานาคบุรี เมื่อไปถึงท้าวทั้งสองยังมิได้ลองวิชาแต่อย่างไร แต่ ได้ทราบว่าเจ้าเมืองจำปานาคบุรีนั้นมีพระธิดาและหลานสาวที่สาวงามมาก จึงเป็นเหตุให้ชายหนุ่มทั้งสองหันมาให้ความสนใจสาวงามมากกว่าการที่จะสู้รบ ทดลองวิชากับพญานาค จึงได้พยายามติดต่อกับนางทั้งสอง แต่มองไม่เห็นหนทางที่จะสำเร็จได้ เพราะนางทั้งสองมีผู้ดูแลรักษาอย่างเข้มงวด จึงหาโอกาสติดต่อได้ยาก แต่หนุ่มทั้งสองก็มิได้ละความพยายามแต่อย่างใด และได้สืบทราบมาว่าทุกๆเจ็ดวันนางทั้งสองจะพาบ่าวไพร่และผู้ดูแลรักษาออกไป เล่นน้ำทะเลสักครั้งหนึ่งจึงคิดว่าจะใช้วิชาที่ได้ร่ำเรียนมาเข้าช่วย
     
  8. ainteerati

    ainteerati เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,233
    ค่าพลัง:
    +2,275
    อยู่ มาวันหนึ่ง พระนางทั้งสองพร้อมด้วยบริวาร และจ่าแอ่นผู้ดูแลรักษา ได้พายเรือลงไปเล่นน้ำทะเล ท้าวทั้งสองเห็นเป็นโอกาสดีจึงเสกผ้าเช็ดหน้าให้กลายเป็นหงส์ทองลอยไปข้าง หน้าเรือของนางทั้งสอง เมื่อนางทั้งสองเห็นหงส์ทองลอยน้ำมาก็อยากได้ไว้ชม จึงอ้อนวอนจ่าแอ่นให้พายเรือติดตามเอาหงส์ทองมาไห้ได้ แต่ยิ่งตามไปใกล้เท่าไรหงส์ทองก็ยิ่งลอยออกไปไกลทุกที ครั้งชะลอฝีพายลงหงส์ทองก็ลอยช้าลงด้วย ทำท่าจะให้จับตัวได้ เมื่อยิ่งตามไปเรือของนางทั้งสองก็ตกอยู่กลางทะเลใหญ่ ท้าว ฮาดคำโปงและท้าวอุทรเห็นเป็นโอกาสดี จึงแล่นเรือสำเภาของตนซึ่งจอดรอคอยอยู่แล้วออกสกัดหน้าเรือของนางทั้งสอง แล้วเอานางทั้งสองพร้อมด้วยบริวารขึ้นเรือสำเภาของตน แล้วแล่นออกไปในทะเลใหญ่
    ดังตำนานคำกลอนภาษาอีสานกล่าวว่า
    บ่าวสำน้อยท้าวฮาดคำโปง
    ท้าวอุทรกะลงสู่สำเภาลอยน้ำ
    คึดอยากไปเทียวก้ำจำปานคเรศ
    อยากเห็นเนตรยอดฟ้าสาวหล้าซาวไกล
    หลายเพลาขวบได้เฮือแล่นตามลม
    หมายซิชมเอานางต่างเมืองมาซ้อน
    สำเภามาจวนค่อยจำปาเมืองใหญ่
    เขาจอดเฮืออยู่ใกล้มนต์ร่ายใส่เสน่ห์
    เสกเป็นหงส์ทองเอ้ลงท่าลีลา
    ใช่เป็นสาส์นหงส์มาล่อเอานางน้อย
    ตอนนั่นคำแพงสร้อยแสนสีน้องพี่
    ลงวารีอาบล้างหน้าน้อยค่อยละมัย
    เห็นหงส์ทองอยากได้เอิ้นใส่ทาสา
    ให้จ่าแอ่นนั่นมาไล่หงส์บ่พอได้
    ทำมาอยากกรายใกล้ไหวดีล่อหลอก
    ออกมาหวิดเขตน้ำกรายก้ำบ่อนสิคืน
    บังคับสาวให้ขึ้นเฮือแล่นหนีไป ​
     
  9. ainteerati

    ainteerati เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,233
    ค่าพลัง:
    +2,275
    เมื่อ เจ้าเมืองจำปานาคบุรีได้ทราบข่าวว่านางทั้งสองหายไปก็ตกพระทัยเป็นอันมาก แต่พระราชาองค์นี้มีพญานาคเป็นสหาย เคยสัญญากันไว้ว่า ถ้าเกิดศึกสงครามแก่บ้านเมืองเวลาใด ให้ตีกลองชัยจะได้มาช่วย เมื่อเกิดเหตุกระทันหันขึ้นดังนี้ พระราชาจึงใช้ให้มหาดเล็กตีกลองชัยขึ้น เมื่อพญานาคได้ยินเสียงกลองของพระราชาก็ได้จัดกองทัพขึ้นมา แต่ไม่เห็นข้าศึกจึงถามพระราชาว่า มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นจึงได้ตีกลองชัย พระราชาจึงบอกว่า มีหนุ่มวิทยาคมสองคนได้ลักพาพระธิดาและหลานสาวทั้งสองหายไปในทะเลสาบจึงขอ ให้ท่านช่วยเหลือด้วย พญานาคเป็นผู้มีฤทธิ์จึงบันดาลให้ทะเลสาบแห้งเหือดทันที
    ดังตำนานคำกลอนภาษาอีสานกล่าวว่า
    เจ้าเมืองคึดสงสัยว่าลูกสาวตายคึกน้ำ
    ลูกบ่ฟังความห้ามเสียใจเครียดใหญ่
    อุกพระทัยคั่งแค้นพอม้วยละแม่งตาย
    จั้งฮู้ว่าผู้ร้ายมาแย่งชิงนาง
    หลูตนเด๊คิงบางพรางไกลเมืองบ้าน
    ขอให้นาคดั้นด้นดินปิ้นไป่
    ทะเลแห้งแต่ครั้งนาคก่นนำสาว
    ตามประวัติเรื่องรางกล่าวกลอนมาไว้​
     
  10. ainteerati

    ainteerati เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,233
    ค่าพลัง:
    +2,275
    เรือ สำเภาของท้าวฮาดคำโปงและท้าวอุทรแล่นต่อไปไม่ได้ท้าวทั้งสองจึงนำจ่าแอ่นผู้ ดูแลนางทั้งสองไปซ่อนไว้ในดงแห่งหนึ่ง ต่อมาได้เรียกชื่อว่า ดงจ่าแอ่น และได้กลายเป็นที่ตั้งของ บ้านจ่าแอ่น ซึ่งปัจจุบันนี้เรียกว่า บ้านแจ่มอารมณ์ ตั้งอยู่ในเขตอำเภอเกษตรวิสัย จังหวัดร้อยเอ็ด
    [​IMG]
    และนำนางแสนสีไปซ่อนไว้ในดงแห่งหนึ่งต่อมาได้ชื่อว่า ดงแสนสี และได้กลายเป็นที่ตั้งของ บ้านแสนสี ปัจจุบัน นี้ ตั้งอยู่ในเขตอำเภอเกษตรวิสัย จังหวัดร้อยเอ็ด ส่วนนางคำแพงผู้เป็นหลานได้นำไปซ่อนไว้ในดงแห่งหนึ่ง ต่อมาได้เรียกชื่อว่า ดงป่าหลาน และได้กลายเป็นที่ตั้ง อำเภอบาหลาน ปัจจุบันนี้เรียกว่า อำเภอพยัคฆภูมิพิสัย จังหวัดมหาสารคาม
     
  11. ainteerati

    ainteerati เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,233
    ค่าพลัง:
    +2,275
    เมื่อ น้ำทะเลได้แห้งเหือดหมดแล้วนั้นบรรดาสัตว์น้ำต่างๆ มี ปู ปลา กุ้ง หอย เหรา แข้ เต่า และตะพาบน้ำที่อาศัยอยู่ในทะเลสาบนั้นได้ตายหมด แล้วเน่าเหม็นส่งกลิ่นเหม็นคลุ้งฟ้าขึ้นไปถึงพระนาสิกของพระอินทร์บนสวรรค์ ชั้นฟ้า พระอินทร์ทนไม่ไหว จึงใช้นกอินทรีสองผัวเมียลงมากินซากสัตว์ที่ตายให้หมด นกอินทรีได้กินอยู่ประมาณครึ่งเดือนจึงหมด และได้ถ่ายมูลไว้เป็นกองใหญ่มาก ทุกวันนี้เรียกว่า โพนขี้นก ปรากฏอยู่ที่กลางทุ่งกุลาร้องไห้ ( โรงเรียนบ้านโพนครกน้อย ) ในเขตตำบลหินกองอำเภอสุวรรณภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด
    ดังตำนานคำกลอนภาษาอีสานกล่าวว่า
    กล่าวเถิงท่งครั้งนั่นลมปั่นมาตี
    เหลียวเบิ่งน้ำบ่มีหาดดินหินก้อน
    ปูปลาหอยตายข่อนกองกันเป็นเถ้า
    ลางบ่อนแข่นเส้าเง้าฮาวเล้าท่อโพน
    เปลือกหอยตายกองขึ้นเป็นขี่นกอินทรี
    นกมันมีฤทธิ์เซนลงแต่เทิงฟ้า
    กินหอยปลาแล้วขี่บินหนีไปบ่อนใหม่
    ขี่กองน้อยกองใหญ่มันกะมีจั่งเว้า
    ท่งมันกว้างต่อกว้างสุดขั่วแสงตา
    พระอินทร์ใซ่ลงมาคาบกินให้มันล่อน
    ว่าให้กินปลาข่อนอย่าให้มันเน่าเหม็น
    เดี่ยวนี่เหม็นอูดเอ้าไปสู่เมืองสวรรค์
    เมินปูหอยปลาแล้วเทียวขี่ใส่จนเป็นโพน
    จักว่าโดนปานไหั่นเล่ามาเท่าสู่มื้อ ​
     
  12. ainteerati

    ainteerati เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,233
    ค่าพลัง:
    +2,275
    ส่วนนกอินทรีนั้นเมื่อกินสัตว์ที่ตายหมดแล้วจึงไปทูลถามพระอินทร์ว่า ข้าแต่จอมเทพผู้เป็นใหญ่แห่งเทวดาทั้งหลาย พระองค์จะให้หม่อมฉันกินอะไรต่อไปอีกเล่า ครั้นพระอินทร์จะบอกให้กินสัตว์ที่มีชีวิตก็กลัวศีลจะขาดจึงบอกเป็นอุบายว่า ให้ท่านทั้งสองนอนฝันกินเอาเองเถิด ถ้าหากฝันว่าได้กินอะไรก็จงไปกินตามความฝันนั้นเถิด อยู่มาวันหนึ่งนกอินทรีผัวเมียฝันว่า ได้กินพระยาช้างสาร จึงพากันไปสู่ดงใหญ่แห่งหนึ่ง อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของทะเลสาบมีชื่อเรียกว่า ดงน้ำเปียกซึ่งเป็นที่อยู่ของพระยาช้างสารคำว่า ดงน้ำเปียก ในที่นี้เพ่งตามภาษาแล้วเข้าใจว่าเป็นภาษาเขมรเช่นคำว่า ตะตึก แปลว่าเปียกน้ำ ในปัจจุบันเราเรียกว่า ดงสะตึก ซึ่ง เป็นที่ตั้งของอำเภอสะตึก จังหวัดบุรีรัมย์ ในทุกวันนี้ เพราะดงสะตึกนี้เป็นดงที่ราบต่ำและอยู่ริมทะเลด้วยเป็นดงที่มีช้างอยู่มาก มาย มีเจ้าโขลงชื่อพระยาช้างสาร เมื่อนกอินทรีผัวเมียไปพบพระยาช้างสารแล้วจึงพูดว่า พระอินทร์ได้ให้ข้าพเจ้ามากินท่านเป็นอาหาร พระยา ช้างสารไม่เชื่อนกอินทรีเพราะตามปกติแล้ว พระอินทร์จะไม่เบียดเบียนสัตว์โลกทั้งหลายมีแตจะช่วยให้พ้นทุกข์เท่านั้น พระยาช้างสารจึงพูดว่า ท่านจะกินข้าพเจ้าไม่ว่าอะไรแต่ข้าพเจ้าขอผลัดเวลาไว้สักวันหนึ่ง เพื่อจะได้ไปทูลถามพระอินทร์ให้เป็นการแน่นอน นก อินทรีก็ผ่อนผันให้ ครั้นแล้วพระยาช้างสารก็ใช้ให้ พระยาช้างเคล้าคลึง เพื่อนสนิทไปทูลถามพระอินทร์แทนตน ครั้นพระยาช้างเคล้าคลึงไปถึงพระอินทร์ จึงทูลถามว่า ข้าแต่เทพเจ้าผู้เป็นจอมแห่งเทวดา พระองค์ใช้ให้นกอินทรีไปกินพระยาช้างสารหรือ พระอินทร์ตอบไปอย่างฉับพลันว่า ข้า ไม่ได้บอกนกอินทรีไปกินพระยาช้างสาร แต่เราได้บอกนกอินทรีผัวเมียนอนเสี่ยงทายฝันกินเอง เมือฝันว่าได้กินอะไรก็ให้ไปกินตามความฝันนั้นเถิด นกอินทรีฝันว่าได้กินอะไรก็เป็นเรื่องของเขาหาใช่เรื่องของเราไม่ พระยาช้างเคล้าคลึงจึงทูลว่า ถ้า เช่นนั้นเมื่อคืนนี้หม่อมฉันฝันว่า ได้นอนร่วมกับนางสุชาดา อัครมเหสีของพระองค์ พระองค์จะให้หม่อมฉันนอนร่วมกับพระนางสุชาดาหรือไม่ ครั้นพระ อินทร์จะตอบว่า ให้นอนก็คงจะเสียเปรียบพระยาช้างเคล้าคลึง ถ้าพระองค์จะตอบว่าไม่ให้นอนก็เป็นการเสียสัตย์ ด้วยเหตุนี้พระอินทร์จึงนิ่งเฉยไม่ทรงตอบว่ากระไร จึงเรียกนางเทพธิดามาฟ้อนรำให้พระยาช้างเคล้าคลึงดู พระยาช้างเคล้าคลึงดูความสวยงามอ่อนช้อยของนางเทพธิดาจนเพลิดเพลินและเคลิ้ม หลับไปในที่สุดจนลืมวันที่นัดหมายกับนกอินทรีไว้แล้วนกอินทรีไม่เห็นพระยา ช้างเคล้าคลึงลงมาก็กินพระยาช้างสาร
     
  13. ainteerati

    ainteerati เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,233
    ค่าพลัง:
    +2,275
    แล้วคาบเอาเท้าของพระยาช้างสารไปทิ้งไว้ใน ดงเมืองศรีภูมิ ชื่อว่า ดงท้าวสาร ปัจจุบันคือที่ตั้งอำเภอ สุวรรณภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด คาบเอาหัวของพระยาช้างสารไปทิ้งไว้ที่ บ้านหัวช้าง และต่อมาได้ตั้งอำเภอขึ้นครั้งแรก เรียกว่า อำเภอหัวช้าง ครั้นต่อมาท้าวพรมสุวรรณธาดา จึงย้ายไปตั้งที่ทำการใหม่จึงเรียกว่า อำเภอ จตุรพักตร์พิมาน เหตุที่เรียกเช่นนี้ก็เพราะว่า พระพรหมโดยมากมีสี่หน้าจึงเรียกตามชื่อของพระพรหมมาจนถึงปัจจุบันนี้

    [​IMG]

    เมื่อ นกอินทรีได้กินพระยาช้างสารตามความฝันแล้ว ก็มีใจกำเริบเสิบสานนึกอยากจะฝันกินมนุษย์และสัตว์ทั้งหลายเป็นอันมากทำให้ มนุษย์และสัตว์จะไปไหนมาไหนก็ลำบากเพราะกลัวแต่นกอินทรีจะกิน จนไม่เป็นอันทำมาหากินในขณะเดียวกันนั้น พระพุทธเจ้าซึ่งเป็นที่พึ่งของสัตว์โลกทั้งหลายซึ่งประทับอยู่ ณ พระเวฬุวันมหาวิหาร ทรงแผ่พระสัพพัญญตญาณตรวจดูสัตว์โลกในเวลาปัจจุบันสมัยตามพุทธวิสัยของ พระองค์ ได้ทรงเล็งเห็นความโหดร้ายของนกอินทรีผัวเมียซึ่งกำลังเบียดเบียนสัตว์โลก อยู่ จึงทรงตรัสเรียก พระโมคคัลลานะเข้ามาหาแล้วตรัสว่า ดูก่อนโมคคัลลานะเธอเป็นผู้ได้เอตทัคคะในทางฤทธิ์เธอจะไปช่วยสรรพสัตว์ที่ได้รับความเดือดร้อนอยู่นั้นเถิด ครั้น แล้วพระโมคคัลลานะก็ถือบาตรและจีวรเหาะเหินมุ่งหน้าสู่ดงท้าวสาร ได้มาพักอยู่ดงท้าวสารเข้าฌาณเตโชกสิณเพ่งไฟเป็นอารมณ์ เกิดเป็นเพลิงลุกโพลงขึ้นไปกระทบทรมานนกอินทรีผัวเมียทั้งสองร้อนแทบใจจะขาด นกอินทรีผัวเมียจึงแผดเสียงร้องขึ้นดังไปไกลได้ร้อยโยชน์สะเทือนไปถึงพื้น บาดาล
     
  14. ainteerati

    ainteerati เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,233
    ค่าพลัง:
    +2,275
    ขณะ นั้นมีพญานาคอยู่ฝูงหนึ่งซึ่งอยู่ในบ่อแห่หนึ่งไม่ไกลจากดงท้าวสารได้ยิน เสียงแปลกประหลาดดังจนหวั่นไหวนึกว่าอันตรายจะมาถึงตัว จึงโผล่ขึ้นมาจากพื้นบาดาลพ่นพิษออกไปเป็นควันมืดฟ้ามัวดิน พิษไปถูกลูกตาของมนุษย์ที่อยู่บ้านใกล้เคียงเป็นอันตรายจำนวนมาก บางคนถึงกับลูกตากระเด็นออกมา ต่อมาหมู่บ้านนั้นได้ชื่อว่า บ้านตาเด็น ปัจจุบัน คือ บ้านตาเณร อำเภอสุวรรณภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด
    [​IMG]
     
  15. ainteerati

    ainteerati เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,233
    ค่าพลัง:
    +2,275
    เพราะ พิษของ พญานาคมีรสเค็มจัดยิ่งกว่าเกลือเสียอีก พระโมคคัลลานะอรหันต์ เมื่อเล็งเห็นเหตุการณ์ดังนั้นจึงเข้าฌาณเตโชกสิณ เกิดเป็นเปลวไฟไปปกปิดปาดบ่อที่พญานาคโพล่ขึ้นมาพ่นพิษ ไม่ให้โผล่ขึ้นมาพ่นพิษได้อีก และท่านเกรงว่าพญานาคจะขึ้นมาได้อีก จึงอธิษฐานเท้าซ้ายเหยียบที่ชายจีวร ปัจจุบันยังเหลือให้เห็นเป็นรอยเท้าคนขนาดยาว <metricconverter productid="1 เมตร" w:st="on">1 เมตร</metricconverter> กว้าง <metricconverter productid="40 เซนติเมตร" w:st="on">40 เซนติเมตร</metricconverter> อยู่ระหว่างเนินย่าน้อยบริเวณบ่อพันขัน และอธิษฐานเท้าขวาเหยียบที่ชายจีวรห่างกันไปทางทิศใต้ประมาณ <metricconverter productid="1 กิโลเมตร" w:st="on">1 กิโลเมตร</metricconverter> ตรงปากน้ำลง ลำน้ำเสียว ( คอคีบ ) มีรอยขนาดเท่ากันยังเหลือปรากฏอยู่เหมือนเดิม ปัจจุบันเป็นที่น่าเสียดายที่ทางราชการได้ปิดบ่อเป็นฝายกั้นน้ำ จึงทำให้น้ำท่วมทั้งสองรอย ต่อมาจีวรของพระมหาโมคคัลลานะ จึงเกิดเป็นแผ่นหินเป็นรูปจีวรและท่านเกรงว่าประชาชนต่อไปจะไม่มีน้ำจืดกิน จึงได้อธิษฐานใช้นิ้วชี้ชี้ลงไปตรงผ้าจีวรผืนนั้น เกิดรอยแตกเท่าขันน้ำมีรัศมีกว้าง <metricconverter productid="9 นิ้ว" w:st="on">9 นิ้ว</metricconverter> ความลึกประมาณ <metricconverter productid="8 นิ้ว" w:st="on">8 นิ้ว</metricconverter> มีน้ำไหลออกมาประจำ ชาวบ้าเรียกว่า น้ำสร่างโครก เพราะมีลักษณะเหมือนครกตำข้าว และบริเวณทั้งหมดทั่วบริเวณนั้น เรียกว่า บ่อพันขัน
    [​IMG]
     
  16. ainteerati

    ainteerati เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,233
    ค่าพลัง:
    +2,275
    เมื่อ ปราบพญานาคเสร็จแล้วก็แสดงธรรมโปรดชาวเมืองให้ยึดมั่นใน พระรัตนตรัย จากนั้นก็กลับเข้าเฝ้าพระพุทธองค์ และมิได้กลับคืนมาสู่ดินแดนแถบนี้จนกระทั่งนิพพานข่าวการนิพพานของพระเถระ เจ้าได้แพร่กระจายรู้ถึงชาวเมือง จึงได้ส่งคนให้ไปอัญเชิญพระอัฐิธาตุมาทำสถูปบรรจุไว้ที่ดงเท้าสาร ปัจจุบันสันนิษฐานว่าคงเป็น พระธาตุอรหันต์โมคคัลลาน์ วัดกลาง อำเภอสุวรรณภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด หรือเป็นอุทเทสิกเจดีย์ให้พวกเราชาวพุทธได้สักการะต่อมาช้านาน
    บริเวณ บ่อพันขัน ที่นั้นเป็นลำห้วยมีขนาดกว้างประมาณ 20 เส้นเศษ ยาวประมาณ 30 เส้น เศษ เป็นลำน้ำเล็กไหลลงสู่ลำน้ำเสียว หน้าแล้งน้ำแห้งขอดดินในท้องบ่อจะเป็นส่าเกลือเพราะพิษพญานาคไหลออกมาจาก จีวรเค็มเป็นเกลือ อยู่ที่ดินแดนอำเภอพนมไพรและสุวรรณภูมิจดกัน หน้าแล้งคนสองอำเภอนี้จะพากันขูดเอาผิงดินในท้องบ่อ มากรองเอาน้ำเกลือที่ไหลออกมาต้มเป็นเกลือสินเธาว์ เป็นสินค้าประจำตลอดมา ที่เรียกว่า บ่อพันขัน นั้นเพราะว่าจีวรของพระนั้นนับเป็นขัน จีวรพระที่ใช้กันอยู่ทุกวันนี้มี 7 ขัน และ 9 ขัน แต่จีวรของพระมหาโมคคัลลานะนั้น ท่านทำด้วยฤทธิ์ใหญ่ตั้ง พันขัน จึงปกคลุมพญานาคได้ ผู้คนจึงเรียกบ่อนี้ว่า บ่อพันขัน


    [​IMG]
     
  17. ainteerati

    ainteerati เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,233
    ค่าพลัง:
    +2,275
    จะ กล่าวถึงท้าวฮาดคำโปงและท้าวอุทรเมื่อได้นางแสนสีและนางคำแพงเป็นเมียแล้ว นั้น ท้าวทั้งสองได้เกิดขัดใจกันและได้ชิงดีชิงเด่นกัน เพราะเกิดรักนางแสนสีร่วมกัน เมื่อตกลงกันไม่ได้จึงเกิดการรบพุ่งกันขึ้น ท้าวฮาดคำโปงเป็นฝ่ายปราชัยโดยถูกท้าวอุทรฟันคอขาดและสิ้นชีพไปอย่างอนาถจึง กลายเป็นผีหัวแสง หรือ ผีทุ่งศรีภูมิ เฝ้าทุ่งกุลาร้องไห้ ใครไปคนเดียวในเวลาค่ำคืนจะเห็นแสงไฟออกจากหัวพุ่งขึ้นเหมือนแสงตะเกียงเจ้า พายุออกสกัดลัดต้อนผู้คน จนไม่มีใครกล้าออกบ้านในเวลาค่ำคืนคนเดียวเมื่อเจ้าเมืองจำปานาคบุรีทราบราย ละเอียดดังกล่าว จึงทำให้เกิดความสงสารและให้อภัยโทษ และจัดเสนาข้าราชการไปติดตามเอานางทั้งสอง พร้อมท้าวอุทรกลับเข้ามายังเมืองจำปานาคบุรี พร้อมทั้งประทานไพร่พลให้ท้าอุทรไปสร้าง ดงท้าวสาร ขึ้นเป็นเมืองเท้าสาร ปัจจุบันคือที่ตั้ง อำเภอสุวรรณภูมิ พร้อมทั้งยกนางแสนสีให้เป็นมเหสีท้าวด้วย เมื่อ ทะเลอันกว้างใหญ่ไพศาล ไดกลายสภาพมาเป็นท้องทุ่งอันกว้างใหญ่ ทำให้มองเห็นดินจดขอบฟ้ามาแล้วเป็นเวลานานเท่าไร ไม่มีใครสามารถจะบอกได้ แต่คนเฒ่าคนแก่ได้เล่าสืบต่อกันมาว่า เมื่อหลายร้อยปีมาแล้ว ได้มีการไปมาค้าขายติดต่อกับพ่อค้าต่างบ้านต่างเมือง ทั้งที่ใกล้เคียงและห่างไกลกัน มีพ่อค้าหาบสินค้าเที่ยวขายไปตามหมู่บ้านแถบทุ่งกว้าวนี้เป็นประจำโดยเฉพาะ ในฤดูแล้งบรรดาพ่อค้าที่มาค้าขายในเขตทุ่งกุลาร้องไห้นี้ ได้มีพ่อค้าพม่าเผ่าหนึ่งมีชื่อว่า เผ่ากุลา ได้นำสินค้ามาเร่ขาย และมากันเป็นหมู่ หมู่ละ 20 30 คน สินค้าที่นำมาขายได้แก่ สีย้อมผ้า เข็ม เสื้อผ้า ยาสมุนไพร เครื่องถม ซึ่งสารด้วยไม้ไผ่ทารักลงสี ลวดลายสวยงามเป็นกล่องคล้ายกระติบข้าวเหนียว ชาวบ้านนิยมซื้อไว้ใส่บุหรี่แลหมากพลู เวลาเดินทางไปไหนมาไหนพวกพ่อค้าจะนำสินค้าใส่ถึงใบใหญ่ ที่เรียกว่า ถึงกระเทียว มาขายจะหาบเร่ร่อนรอนแรมไปเรื่อย ๆ เป็นแรมเดือนแรมปี ขายหมดที่ใดจะซื้อสินค้าหาบขายไปเรื่อย ๆ
     
  18. ainteerati

    ainteerati เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,233
    ค่าพลัง:
    +2,275
    ครั้ง หนึ่ง ได้มีกุลาพวกหนึ่งเที่ยวเร่ขายสินค้าจาก อุบลราชธานี ศรีสะเกษ เรื่อยมาจนถึงสุรินทร์พอมาถึงอำเภอท่าตูม พวกกุลาได้ซื้อครั่งเป็นจำนวนมาก เพื่อนำไปขายต่อพอหาบครั่งข้ามแม่น้ำมูล มาได้สักหน่อยหนึ่งก็ถึงท้องทุ่งอันกว้าวใหญ่ หมายใจว่าจะเดินตัดทุ่งไปสู่ เมืองป่าหลาน ( อำเภอพยัคฆภูมิพิสัย ) มหาสารคาม ขอนแก่น อุดรธานี ขึ้นเหนือไปเรื่อย ๆ ซึ่งเป็ยเส้นทางที่พ่อค้าพวกนี้ยังไม่เคยเดินผ่านทุ่งแห่งนี้มาก่อนทำให้ไม่ ทราบระยะทางที่แท้จริง เพราะมองเห็นเมืองป่าหลาน อยู่หลัด ๆ หาทราบไม่ว่า ใกล้ตาแต่ไกลตีน ( สำนวน ภาษาอีสาน แปลว่า มองเห็นเป็นใกล้แต่ต้องเดินไกล ) ขณะเดินทางข้ามทุ่ง รู้สึกเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้ามากและในช่วงนั้นเป็นฤดูแล้งด้วย น้ำจะดื่มก็ไม่มี ต้นไม้จะอาศัยร่มเงาแม้แต่เพียงต้นเดียวก็ไม่มี ทั้งแดดก็ร้อนจัด ต่างพากันอิดโรยไปตาม ๆ กันครั่งที่หาบมาจะทิ้งก็เสียดาย จึงพากันโอดครวญและคิดว่าคงจะเอาชีวิตมาตายในทุ่งแห่งนี้เป็นแน่แท้ จึงพากันร้องไห้ไปตาม ๆ กัน
    ดังตำนานคำกลอนภาษาอีสานกล่าวว่า
    ตกกลางท่งแล้วล้าเดินฝ่าเทิงหัว
    เห็นแต่ท่งเป็นทิวมือกุมควันกุ้ม
    เหลียวไปไสฟ้าหุ้งงุมลงคือสักสุ่ม
    มือกลางเวนจุ้มกุ้มคงไม้กะบ่มี
    คักละนอบาดนี่หลงท่งคนเดียว
    ถิ่มฮอดถงกะเทียวย่ามของสินค้า
    เหลียวทางหลังทางหน้ากุลายั้งบ่อยู่
    ลมออกหูจ้าวจ้าวไคค้าวย่าวไหล
    จนปัญญาแล้วไห้เทิงจ่มระงมหา
    คึดฮอดภรรยาลูกเมียอยู่ทางบ้าน
    ลมอัสสวาสกั้นเนื้อสะเม็นเย็นหนาว
    อ้าปากหาวโหยแฮงแข้งลาขาล้า
    เพื่อไปนำกองหญ้าเวลาค่ายค่ำ
    ยากนำปากและท้องเวรข่อยจ่องเถิง
    ป่าหญ้าแฝกอึ้งตึงกุลาฮ่ำโมโห
    ตายย้อนความโลโภล่องเดินเทียวค้า
    ใจคะนึงไปหาโศกาไห้ฮ่ำ
    คึดผู้เดียวอ้ำล้ำทางบ้านบ่เห็น
    ในหนังสือกล่าวไว้บอกว่ากุลา
    หรือแม่นไปทางได้แต่นานมาไว้
    ท่งกุลาฮ้องไห้ที่หลังท้ายหมู่
    อยู่โดนมาแต่พ้นพันร้อยกว่าปี ​
     
  19. ainteerati

    ainteerati เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,233
    ค่าพลัง:
    +2,275
    พวก กุลาต่างพากันร้องไห้ แล้วได้พากันพักพอหายเหนื่อยจึงเดินทางต่อไป แต่ครั่งที่หาบมามันหนักมาก พวกกุลาจึงพากันเทครั่งน้อยทิ้งหมด ( ครั่งน้อย คือ ครั่งที่แยกตัวครั่งออกแล้วราคาไม่คอยดี ) ต่อมากลายเป็นหมู่บ้านชื่อ บ้านดงครั่งน้อย อำเภอเกษตรวิสัย จังหวัดร้อยเอ็ด
    เมื่อ พวกกุลาเดินต่อไปอีก รู้สึกอิดโรยมาก ครั้นไปถึงกลางทุ่งจึงตัดสินใจเทครั่งใหญ่ทั้ง หมดทิ้ง ( ครั่งใหญ่ คือ ครั่งที่ยังไม่แยกตัวครั่งออกจากครั่งเพราะเวลาย่อมไหมจะมีสีแดงสดและได้ ราคาดี ) คงเหลือไว้แต่อาหาร เท่านั้น บริเวณที่พวกกุลาเทครั่งทั้งหมดนี้ ต่อมาได้กลายเป็นหมู่บ้านชื่อ บ้านดงครั่งใหญ่ อำเภอเกษตรวิสัย จังหวัดร้อยเอ็ด
    เมื่อ พวกกุลาเดินทางมาพ้นทุ่งแล้ว เข้าสู่หมู่บ้านมีคนมามุงดูเพื่อจะซื้อสินค้าเป็นจำนวนมาก แต่พวกกุลาไม่มีสินค้าที่จะขายให้แก่ชาวบ้าน พวกกุลาพากันเสียใจและเสียดายสินค้าที่ตนได้เททิ้งที่กลางทุ่ง พวกกุลาจึงพากันร้องไห้อีกเป็นครั้งที่สอง ทำให้เกิดเป็นชื่อเรียกท้องทุ่งอันกว้างใหญ่ไพศาลนี้ว่า ทุ่งกุลาร้องไห้ มาตราบเท่าทุกวันนี้

    ทุ่งกุลาร้องไห้ | history48

     
  20. จิ-โป

    จิ-โป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,006
    ค่าพลัง:
    +2,196
    เราตามเห็นทันอาการปิตินี่เรียก มีสติครับ
    การถอยออกมาดูอาการที่เกิดว่าจะจัดการกับมันยังไง กิเลสมาหรือบุญมา
    แรง หรือมาค่อย จะจัดการยังไงนี่เรียกปัญญาครับ

    การจะเสพปิตินั้นหรือจะละวางมันลงแล้วแต่ทุกข์ของคนๆนั้นครับ บางคนมี
    ความทุกข์ย่อมเสพปิติ บางคนไม่มีความทุกข์(เพราะละวางหรือไม่มีจริงๆก็ตาม)
    ก็จะเอาปิตินี้วิปัสสนาต่อ คือใช้ปัญญาจากอาการนี้เพื่อประโยชน์ในธรรมต่อไป
    เพราะทั้งบาปและบุญท่านให้ละวางทั้งสองอย่าง

    แล้วแต่ครับ กรรมคนเราไม่เท่ากัน เลือกทางเอาเองจะเสพปิติหรือเอาไป
    ต่อยอดวิปัสสนา แต่ผมเองเอามาทำสมถะ เมื่อมีปิติจะเข้าฌาณง่าย แล้วเข้า
    ไปละวางในฌาณอีกทีเพราะจะเกิดอภิญญาด้วย (ละวางนอกสมาธิไม่ได้
    อภิญญาครับ) อนุโมทนาครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...