โดนขังวิญญาณ

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย ainteerati, 14 สิงหาคม 2010.

  1. ainteerati

    ainteerati เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,233
    ค่าพลัง:
    +2,275
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=nLHOTb8tNo0&feature=related]พญานาค 4 ตระกูล 1 - YouTube[/ame]
     
  2. ainteerati

    ainteerati เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,233
    ค่าพลัง:
    +2,275
    [MUSIC]http://palungjit.org/attachments/a.1626478/[/MUSIC]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  3. คนฝึกใหม่

    คนฝึกใหม่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    203
    ค่าพลัง:
    +101
    เอ ทำไมช่วงนี้เงียบ้เชียบจัง พี่จิโปไปไหนเนี่ย ทุกคนก็หายหมดเลย :z7
     
  4. i3lack

    i3lack เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    288
    ค่าพลัง:
    +102
    สงสัยไปจำศีลหมดแล้วครับ อิอิ :cool:
     
  5. จิ-โป

    จิ-โป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,006
    ค่าพลัง:
    +2,196
    ยังอยู่ครับ มีอะไรโพสต์ถามใว้ครับ ช่วงนี้เหตุการณ์ปกติไม่มีอะไรแปลกๆเลย
     
  6. คนฝึกใหม่

    คนฝึกใหม่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    203
    ค่าพลัง:
    +101
    สวัสดีตอนดึกค่ะทุกคน พี่จิโปหายไปนานเลยนะคะ
     
  7. คนฝึกใหม่

    คนฝึกใหม่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    203
    ค่าพลัง:
    +101
    พี่จิโปคะมีเรื่องอยากถามค่ะ คือเวลาหนูนั่งสมาธิอะ พอเริ่มเข้าสู่ภวังมันจะดิ่งลงพอจิตนิ่งแล้วเหมือนไม่รับรู้อะไรเลย เหมือนหลับไปเลยอะคะเป็นอย่างนี้สักพัก แล้วมันค่อยๆรับรู้กลับมาเหมือนเดิมทีละนิดจนลืมตา แต่ความรู้สึกในหูเหมือนมีคนกระซิบหรือคุยกันให้ได้ยิน ก่อนที่จะรู้สึกตัวกลับมาทีละนิดจนลืมตานะคะ อันนี้มันหมายความว่างัยค่ะ
     
  8. จิ-โป

    จิ-โป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,006
    ค่าพลัง:
    +2,196
    การที่เราตกภวังค์แล้วดับในสมาธิเป็นเพราะสติเรายังแบ่งออกมาไม่ได้ส่วนครับ
    ปกติเราจะแบ่งความรู้สึกส่วนใหญ่ใว้ที่สมาธิแล้วจะแ่บ่งออกมานิดหน่อยมาดูทั้ง
    หมด แต่เมื่อยังทำไม่ได้ก็จะตกภวังค์ บางทีก็ดับบางทีก็สว่างมากๆ

    ตอนที่จะออกจากภวังค์นี้จิตเราก็จะเริ่มปรับความละเอียดกลับมาที่กายหยาบ
    ทำให้เรารับรู้หรือรู้เห็นอะไรบางอย่างเช่นเสียงดังที่ได้ยิน สำหรับบางคนก็จะ
    ฝึกจิตฝึกสมาธิก็เพื่อปรับจิตให้ละเอียดให้หยาบได้ดังใจเพื่อรับรู้พวกนี้
    มันก็เหมือนเราปรับวิทยุหมุนหาสถานี ส่วนจิตเราก็เป็นเครื่องรับวิทยุครับ
    สิ่งที่เราอยากเห็นอยากคุยด้วยก็เป็นความถี่พิเศษที่จิตเราปรับเข้าหาโดยวิธี
    ที่เรียกว่าสมถะแบ่งออกเป็นกสิณต่างๆครับ
     
  9. noinid0209

    noinid0209 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    742
    ค่าพลัง:
    +570
    พี่จิโป ครับ เมื่อเย็นไปทำวัตร นั่งสมาธหลับตาไม่ได้ มีเหตุกวน (ยุงกัด) ก็เลย นั่งแบบ
    ลืมตา แล้วก็มอง รูปวาดหลวงปู่มั่นไปเรื่อย ปกติไม่ค่อยมอง เพราะหน้าท่านดุ อิอิ
    ก็นั่งมองไปเรื่อย จนรูปที่มองนั้น มันไม่ใช่รูป จะเห็นเป็น 3 มิติ แล้วจะเห็นสีขาวนวล
    ไม่ใช่ทีรูปนะครับ ที่ตาผม พอทำวัตรเสร็จ ก็กลับบ้าน ตอนนี้ถ้ามองหลอดไฟสีขาว
    จะเห็น หลอดไฟ แล้วก็สี 7 สี เรียงตามลำดับ ถ้าใกล้ ๆ จะไม่เห็น จะเห็นในระยะ
    น่าจะประมาณ 100 เมตรได้ แบบนี้เป็นอะไรหรือเปล่าครับ
     
  10. ลูกโยคีน้อย

    ลูกโยคีน้อย สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มกราคม 2008
    โพสต์:
    13
    ค่าพลัง:
    +12
    คุณจิโปค่ะ ขอเรียนสอบถามว่า ถ้าหากมีคนที่เสียชีวิตเพราะอุบัติเหตุตอนนอนหลับอยู่นี่หลังจากวิญญาณออกจากร่างแล้วเค้าจะไปไหนได้ค่ะ ถ้าเราเอาจิตไปเกาะเกี่ยวเค้าไว้เค้าจะไปสู่สุคติภพได้หรือเปล่า ต้องทำอย่างไรเค้าถึงจะไปที่ดีๆได้ค่ะ

    ขอความกรุณาด้วยค่ะ เพราะอยากให้วิญญาณดวงนี้ได้อยู่ในที่ดีๆบ้างน่ะค่ะ ขอโทษที่รบกวนนะค่ะ
     
  11. จิ-โป

    จิ-โป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,006
    ค่าพลัง:
    +2,196
    ทางที่ดีก็อย่าเพ่งมองแบบนั้นครับ แม้จะทำกสิณท่านก็ให้เราเอามโนจิตเรา
    กำหนดเอาก่อน ต่อมาภายหลังค่อยทำแบบลืมตามองภาพนิมิตจึงจะปรากฏ
    ต่อหน้าเราเหมือนดังหลับตามอง เพราะในกาลก่อนก็มีพระภิกษุที่มองแสง
    อาทิตย์แบบพระฤาษี เพ่งเอาเป็นเอาตาย แรกๆก็เป็นหมอกขาวแบบนี้ล่ะ ต่อ
    มาเป็นรัศมีบ้างอันเกิดจากกระจกตาชำรุดเสียหายนะไม่ใช่ว่าเป็นการดี ต่อมา
    ภิกษุนี้ก็ตาบอด แต่ก็ได้ตาทิพย์มาแทนมองเห็นทั้งในที่ลับและที่แจ้งโดยตาใน
    แต่ตานอกนั้นบอดซะแล้วสิ เสี่ยงน่าดูนะ เผื่อว่าตานอกบอดตาในยังไม่ตื่นนี่สิ
    จะลำบาก

    ทางที่ดีให้ทำแบบหลับตาก่อน พอข้างในเห็นก็ค่อยลืมตามองมันจะซ้อนกัน
    กับภาพที่เรามองธรรมดานี่ล่ะแต่ใช้ใจมองไม่ได้เพ่งความรู้สึกมาที่ดวงตาครับ
     
  12. จิ-โป

    จิ-โป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,006
    ค่าพลัง:
    +2,196

    หลายปีก่อนมีคนที่บ้านผมเป็นคนเคร่งครัดในศิลธรรมมากคนหนึ่ง ก็นุ่งห่มปกติ
    แต่วันพระจะใส่ขาว เป็นผู้ชายยังหนุ่มอยู่เพิ่งเรียนจบใหม่ๆ แกก็นั่งสมาธิไปเห็น
    พระภิกษุท่านว่า ท่านเป็นอาจารย์ของแกมาหลายภพชาติแล้ว นั่งสมาธิทีไรก็
    เห็นพระรูปนี้แทรกเข้ามาอยู่ในนิมิตตลอด แกเลยเริ่มเชื่อว่าจริงก็เอามาเล่าให้
    พรรคพวกเดียวกันมั่ง พระที่วัดมั่งว่าแกมีอาจารย์ดี

    ต่อมาไม่นานแกก็นั่งสมาธิ แล้วตายไปในท่านั่งสมาธินี่เอง ทางบ้านคิดว่าแก
    นั่งอะไรนานขนาดนั้นเลยไปจับดูปรากฏว่าตัวเย็นหมดแล้ว ตายซะแล้วสิ
    ก็เลยนั่งดูปรากฏเห็นแกเดินถือย่ามเดินตามพระไปบิณบาตร(พระทางทิพย์)
    เลยรู้ว่าอ้อ ที่แท้แกคิดจะทำบุญ ในระหว่างเข้าสมาธิเลยหลับไปแล้วไปเดิน
    ตามหลังพระรูปนี้ไป เลยกลายเป็นวิญญาณบริสุทธิ์อีกนานมากเลยละถึงจะรู้
    ตัวว่านั่นมันอีกมิติหนึ่ง จนกว่าสุขของแกที่ได้ทำบุญจะหมดไปถึงรู้ตัว ก็จะรู้ว่า
    เราตายไปแล้ว อีกนานแค่ไหนไม่รู้กี่ภพชาติไม่รู้ จะช่วยให้ตื่นจากสุขก็ไม่ได้
    มันเหมือนบอกเทวดาว่าตกสวรรค์เถอะครับ ใครจะยอมลงมาใช่ใหม ใครจะยอม
    ทุกข์ทนยอมทิ้งความสุขได้

    ก็ทำนองเดียวกันคนที่ตายด้วยหลับไปนั้นเอง จะมีมิติของตัวเองบ้าง ของ
    คนอื่นทำให้เห็นเช่นนั้นบ้าง ทำให้หลงอยู่กับสิ่งลวงตา เสพอยู่กับอารมณ์ใน
    ขณะที่นอนตายนั้นไปเรื่อยๆ การที่เราทำบุญให้ก็ยังไม่ได้รับ จนเมื่อเขาฟื้นตื่น
    หลุดพ้นจากการปรุงในอารมณ์นั้นแล้ว บุญที่เราทำใว้ก็จะปรากฏต่อหน้าเขา
    ทันที เขาก็จะรู้ว่าเราตายแล้ว ก็จะได้ใช้ของนั้นๆในตอนนั้นเอง

    เราเองเอาจิตไปเกาะเกี่ยวเขาใว้ด้วยความห่วงใยก็ไม่มีผลอะไรกับเขาเพราะ
    ตอนนี้เขาเองยังไม่ได้สติ ยังอยู่คนละมิติ ไม่เหมือนกับตายด้วยอย่างอื่นนะ
    เราก็ไม่ต้องทำอะไร ทำบุญไปตามปกติเวลาเขาได้เขาก็จะอนุโมทนากับเรา
    ในตอนนั้นก็ไม่รู้ว่าเราไปเกิดกี่ภพชาติแล้วไม่รู้สิ พอเขาได้บุญนั้นแล้วก็ไปเกิด
    ใหม่ตามที่ตัวเองทำกรรมอะไรมานั่นเอง

    อีกกรณีหนึ่งที่ไม่เหมือนกันคืออุบัติเหตุมาก่อนแล้วตายด้วยทนพิษบาดแผล
    ไม่ไหว ทั้งแบบที่หลับตาลืมตาไม่ขึ้นแต่หูได้ยินทั้งหมด ทั้งแบบที่เหมือนนอน
    หลับแต่ไม่ได้หลับ อันนี้ไม่เหมือนแบบแรก เราทำบุญให้ตอนตายเขารับได้
    หมดทุกอย่าง ทั้งทำบุญตอนไหนได้ปกติครับ เราเกาะเกี่ยวเขาใว้ก็ไม่มีผล
    เขาก็ไปจุติใหม่เหมือนเดิมครับ

    ก็ปลงนะครับถือเอาตามหลักที่ว่าเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ทำสามอย่าง
    แรกให้เขาแล้วเขาได้ไม่ได้ก็ต้องเอาจิตเรานี่ล่ะมาอยู่ที่อุเบกขาใว้ เราทำดีที่สุด
    แล้วได้แค่นี้ ชีวิตคนก็มีเวียนว่ายตายเกิดแบบนี้ละครับ อยู่ร่วมกันไปตลอดกาล
    ก็ไม่ได้หรอกวันใดวันนึงก็พรัดพรากครับ ถ้าจะถามแบบไม่ต้องให้ผมพิมพ์มาก
    แบบทั่วๆไปเอาชื่อเล่นมาดีกว่าครับ จะได้ตอบสั้นๆตรงๆตัวไม่ต้องลำบากสายตา จะได้รู้ว่าเขาอยู่รึเขาไปแล้วรึยังไงเผื่อผมอาจจะรู้บ้างนิดหน่อย
     
  13. i3lack

    i3lack เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    288
    ค่าพลัง:
    +102
    คุณจิโปเล่นเกมส์อะไรอยู่ครับ :cool: เผื่อผมจะเข้าไปแจม
     
  14. noinid0209

    noinid0209 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    742
    ค่าพลัง:
    +570
    พี่จิโป เค้าเล่น SF อิอิ
    เมื่อก่อนผมก็เล่น sni แต่เลิกแล้ว มีแต่โปร
    จริง ๆ สู้ เค้าไม่ได้ 555
     
  15. noinid0209

    noinid0209 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    742
    ค่าพลัง:
    +570
    ขอบคุณครับ พี่จิโป ผมไม่ได้เพ่งหรอกครับ พอมองไปมันเห็นของมันเองอ่ะครับ เมื่อวาน
    ก็เป็นครับ หลอดนีออน สีขาวทุกหลอด มองเห็นหมดจากระยะ ประมาณ 100 เมตร
    เด๋วต้องรีบ ไปเช็คจอประสาทตา ซะแล้ว
     
  16. ลูกโยคีน้อย

    ลูกโยคีน้อย สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มกราคม 2008
    โพสต์:
    13
    ค่าพลัง:
    +12
    ___________________________________________________

    ขอบคุณค่ะคุณจิโปที่กรุณา คนที่เสียไปแล้วชื่อมนตรีค่ะ คือคิดว่าเคยเห็นวิญญาณเค้าหลังจากเสียใหม่ๆแต่ตอนนี้ก็ผ่านมาหลายปีแล้วแต่บางทีก็เหมือนกับรู้สึกว่าวิญญาณเค้ายังอยู่ ก็เลยเริ่มกังวลน่ะค่ะ เพราะอยากให้เค้าได้อยู่ในที่ๆดีไม่ลำบากแม้ว่าจะไม่มีกายหยาบแล้ว และไม่ทราบว่าจะทำบุญด้วยวิธีไหนให้เค้าไปดีได้ค่ะ
     
  17. ainteerati

    ainteerati เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,233
    ค่าพลัง:
    +2,275
    <center>[​IMG]</center>

    "แก้วเสด็จ" จะมารับอรุณทุกเช้าเวลาเจ็ดโมง
    พระอาทิตย์ขึ้นบนยอดเขาฝั่งตรงข้ามหน้าวิหารพระทรงชัยรัตนพลังแผ่นดิน
    เวลานั้นให้หันหน้ารับอรุณ ตามองพระอาทิตย์ ใจสงบ ขอพรที่ปรารถนา
    สัมฤทธิ สำเร็จ เป็นมหัศจรรย์
    ดวงแก้วกายสิทธิ์ที่ปรากฏสามารถเห็นด้วยตาเนื้อ
    เป็นดวงกลมสว่างแสงจ้าออกสีชมพูม่วง ๆ สวยมาก ๆ
    เมื่อรับอรุณแล้วจะลอยกลับเข้าองค์พระ



    <ins style="display:inline-table;border:none;height:125px;margin:0;padding:0;position:relative;visibility:visible;width:125px"><ins id="aswift_0_anchor" style="display:block;border:none;height:125px;margin:0;padding:0;position:relative;visibility:visible;width:125px"></ins></ins>
     
  18. i3lack

    i3lack เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    288
    ค่าพลัง:
    +102
     
  19. ainteerati

    ainteerati เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,233
    ค่าพลัง:
    +2,275
    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]



    [​IMG]



    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  20. ainteerati

    ainteerati เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,233
    ค่าพลัง:
    +2,275
    [SIZE=+3]ลางบอกเหตุตามความเชื่อโบราณ [/SIZE]
    >> เรื่องทั่วๆไปในทางไม่ดี
    >ห้ามใส่ชุดดำเยี่ยมคนป่วย
    > ชุดสีดำเป็นสีที่คนโบราณถือนักถือหนาว่า เป็นสีแห่งความทุกข์โศก
    >ใช้ใส่เฉพาะงานศพเท่านั้น หรือหากจะใช้แต่งกายสีดำ ก็ไม่ควรเป็นสีดำทั้งชุด
    >ควรเป็นครึ่งท่องใส่ผสมกับสีอื่นๆ
    > ชุดสีดำ จึงไม่นิยมใส่เข้าไปในงานมงคลต่างๆ เช่นงานวันเกิด งาน
    >แต่งงาน หรือแม้กระทั่งไป เยี่ยมผู้ป่วยก็เหมือนกัน เท่ากับว่า เป็นการแช่งหรือ
    >เดาเหตุการณ์ล่วงหน้าให้ผู้ป่วยนั้นตายเร็วขึ้น ทำให้จิตใจผู้ป่วยหดหู่และหมด
    >กำลีงใจ เกิดอาการทรุดลงได้ง่ายจึงไม่ให้ใช้สีดำ ควรเป็นสีที่สดใสและแสดง
    >ใบหน้าที่สดชื่นอีกด้วย
    >
    >
    >
    >
    >จิ้งจกร้องทัก ห้ามออกจากบ้าน
    > จิ้งจกในปัจจุบันหาพบได้ง่ายกว่าตุ๊กแก มักจะเกาะอยู่ตามฝาผนัง
    >ของบ้าน โดยปกติทั่วๆ ไป เรามักจะไม่ค่อยได้ยินเสียงจิ้งจกร้องมากนัก จะ
    >เป็นเพราะมีจำนวนน้อย หรือบางบ้านไม่มีให้เห็นเสียแล้ว หรือไม่ค่อยมีเวลาอยู่
    >บ้านมากนัก จึงไม่ได้ยินเสียงของมัน
    > ตามคำเชื่อของคนโบราณกล่าวว่า หากจิ้งจกร้อทัก จะกี่ครั้งก็ตาม
    >ทว่าเสียงนั้นอยู่ด้านหลังหรือตรงศรีษะของคุณ ให้พยายามเลื่อนการเดินทาง
    >เป็นเวลาอืน อาจจะเป็นภายในวันเดียวกันก็ได้ แต่ไม่ใช่เวลานั้น เพราะอาจทำให้
    >คุณได้รับอุบัติเหตุหรือไม่มีโชคลาภ แต่หากเสียงร้องทักอยู่ด้านหน้า หรือซ้าย
    >มือ ให้เดินทางได้ จะทำให้การเดินทางเป็นไปอย่างสะดวกสบาย จะได้พบโชค
    >ลาภ หรือติดต่อธุรกิจเป็นผลสำเร็จ
    >
    >
    >
    >
    >ตุ๊กแกร้องกลางวัน มีเหตุร้าย
    > ตามปกติแล้วตุ๊กแกที่อาศัยอยู่ในบ้าน มักจะร้องตอนกลางคืน แต่
    >ถ้าวันดีคืนดีเกิดร้องลางวันขึ้นมาไม่ว่าจะร้องกี่ครั้งก็ตาม ให้ถือว่า เป็นการ
    >บอกเหตุร้ายว่า กำลังจะเกิดขึ้นกับคนในครอบครัว หรือภายในบ้าน ซึ่งโดย
    >ปกติแล้วตุ๊กแกจะไม่ค่อยร้องในช่วยกลางวันอยู่แล้ว ( กลางวันในที่นี้หมายถึง
    >ตั้งแต่เวลาเริ่มสว่างจนถึงมืดลง )
    > คนโบราณเชื่อว่าตุ๊กแกคือ ร่างที่วิญญาณของปู่ย่าตายายที่ตายไป
    >แล้วมาอาศัยอยู่ คอยดูแลคุ้มครองเพื่อให้สัญญาณบอกเหตุแก่ลูกหลาน และ
    >จะไม่เคยเห็นตุ๊กแกทำร้ายใครเลย
    >
    >
    >
    >
    >
    >นกแซกเกาะหลังคาบ้าน เกิดลางร้าย
    > นกแซกเป็นนกที่ถือว่า ให้ความอัปมงคลเป็นอย่างยิ่ง ไม่แต่เฉพาะ
    >คนไทยเท่านั้นที่ถือในเรื่องนี้ฝรั่งเองก็ถือเคล็ดนี้เช่นกัน ก็เพราะโดยธรรมชาติ
    >ของนกแซกมักจะไม่มาปะปนอยู่ตามที่อยู่อาศัยของคนให้เห็นนัก
    > หากเมื่อใดมีนกแซกมาเกาะที่หลังคาบ้านใดแล้ว ก็มักจะมีอะไรไม่ดี
    >แก่บ้านนั้น เช่น คนป่วยเอยคนเจ็บอยู่ก็อาจเสียชีวิตก็ได้ จึงมักจะมีคนนิยมแก้
    >เคล็ดให้ร้ายกลายเป็นดี ด้วยการนำเอาดอกไม้ ธูปเทียน สุรา บอกเล่าก็เพียง
    >พอแล้ว คนโบราณบางท่านที่เคร่งมากๆ ก็อาจเพิ่มด้วย ข้าวสาร ข้าวตอก
    >ผ้าแดง ผ้าขาวและเงินทอง
    >
    >
    >
    >
    >นกถ่ายรดศรีษะ จะมีโชคคร้ายยย
    > ปกติแล้วนกนี่มันก็บินไปทั่ว ถ้าไม่ใช่นกเลี้ยง จะชอบมาบินเกาะบน
    >ท้องฟ้า ไม่ชอบมาอยู่กะคนเท่าไหร่และเมื่อใดที่คุณกำลังจะออกเดินทางแล้วจู่ๆ
    >นกก็ถ่ายรดที่ศรีษะ คนโบราณว่าไว้ ให้หยุดการเดินทางทันที หรือเลื่อนกำหนด
    >ออกไปวันรุ่งขึ้น ไม่เช่นนั้น อาจได้รับอันตรายจากอุบัติเหตุได้
    > ในกรณีเดียวกัน หากอยู่ในบริเวณบ้าน นกบินมาถ่ายรดศีรษะซึ่ง
    >โอกาสจะมีน้อยมาก แต่หากเป็นเช่นนั้นแล้ว ก็ให้เตรียมตัวรับเหตุการณ์ได้เลย
    >เพราะจะต้องมีเรื่องเดือดร้อนใจ หรือเกิดเหตุร้ายกะตัวเองแน่นอน
    > ระวังเด้อ....
    >
    >
    >
    >
    >
    >เมื่อตัวเงินตัวทองคลานเข้าบ้าน
    > บ้านใดที่มีต้นไม้มากๆนั้น จะมีที่ที่ตัวเงินตัวทองมักจะปรากฎให้เห็น
    >ตามที่ดังกล่าว มักจะไม่คลานในที่โล่งแจ้ง และก็หาแหล่งที่มาไม่พบอีกด้วยว่ามา
    >จากที่ใด เพราะในหมู่บ้านกลางเมืองก็ยังมีปรากฎให้เห็นบ้าง
    > ลักษณะตัวเงินตัวทอง บางคนว่าคล้ายจระเข้ แต่มีหางยาวมาก มี
    >ขนาดตั้งแต่ตัวเล็กๆ เท่าจิ้งเหลนจนไปถึงตัวโดมากๆเท่ากับลูกจระเข้เลยทีเดียว
    > ปกติตัวเงินตัวทองนี้จะไม่ทำร้ายใคร แต่คนโบราณท่านว่าเป็นตัว
    >อัปมงคลอยู่ดี จึงมีชื่อเรียกเสียเพราะแก้เคล็ด หากบ้านใดมีเข้ามาให้เห็น ท่านว่า
    >ให้พูดแต่สิ่งดีๆ ไม่ให้ไล่ บางท่านก็ให้หาดอกไม้ธูปเทียนจุดบอกเล่า
    >ให้กลายเป็นการนำเอาสิ่งดีๆ เข้ามาในบ้าน
    >
    >
    >
    >
    >กลางคืนได้ยินเสียงร้องเรียก ห้ามขานรับ
    > สำหรับบ้านในสมัยโบราณ ที่ยังไม่มีไฟฟ้าใช้สะดวกเหมือนในปัจจุบัน
    >ค่ำลงต่างคนก็ต่างดับตะเกียงปิดฟงปิดไฟกันเลย คนโบราณจึงว่าว่า หากปิดบง
    >ปิดบ้านแล้วมีเสียงคนมาร้องเรียก ให้เงียบเสีย เพราะนั่นเป็นเสียงของดวง
    >วิญญาณ อาจจะมาหลอกมาหลอนก็เป็นได้
    > แต่หากมองกันให้ลึกลงไปอีก อาจเป็นการป้องกันขโมยมาเข้าบ้านใน
    >ยามวิกาลก็เป็นได้ เพราะขโมยอาจมาหลายรูปแบบ บางคนก็ว่า หากมีเสียงเรียก
    >แล้วยังขานรับ จะทำให้วิญญาณนั้นเข้ามาหรือเข้ามาในบ้านได้
    >
    >
    >
    >
    >
    >เลขนั้นสำคัญฉะไหน
    > เลขต่างๆ ตั้งแต่ 1 - 10 หรือแม้กระทั่งเลขเกิน 10 ก็ตามมีความเชื่อ
    >ไปต่างๆกัน บ้างก็เหมือนกันแล้วแต่ความถูกโฉลกของแต่ละบุคคล นั่นเป็นความ
    >เชื่อ เช่น บางคนไม่ชอบเลข 13 เพราะถือเป็นเลขของความโชคร้ายของฝรั่ง ซึ่ง
    >จะสังเกตว่าตามตึกใหญ่สูงๆ ภายในลิฟต์จะไม่มีชั้น 13 เนื่องจากคนก่อสร้างหรือ
    >สถาปนิกเป็นฝรั่งจ้า เค้าว่ากันว่าทะเบียนเลขรถเนี้ยะ
    >
    >
    >
    >
    >ผมหยิก หน้าก้อ คอต่อ คิ้วสั้น คบไม่ได้เด้อ
    > คำกล่าวนี้ได้ยินมาน๊านนน นาน... .ซึ่งหากดูให้ครบลักษณะที่กล่าวมาก
    >คนใดที่มีลักษณะผมหยิกๆ หน้าสั้นๆ หักๆ คอหาแทบไม่เจอ จะด้วยเพราะอ้วนหรือ
    >เหตุใดก็ตาม ประกอบกับมีคิ้วก็สั้นๆ รวมดูแล้ว ไม่ค่อยน่ามองเท่าไหร่
    > แต่อย่างไรก็ตามอย่าดูแค่รูปกายภายนอก ให้ศึกษานิสัยใจคอด้วยจ๊ะ
    >
    >
    >
    >
    >
    >ไทยเล็ก เจ็กดำ คบบ่ได้ จิงหรือ?
    > โบราณท่านว่าไว้ว่า คนที่มีลักษณะดังต่อไปนี้คบยากเหลือเกิน หากเป็น
    >คนไทยก็ต้องตัวไม่เล็กแคระแกรน เนื่องจากคนไทยในสมัยโบราณตัวใหญ่ทั้งผู้
    >หญิงและผู้ชาย หาคนตัวเล็กมีน้อยมาก และถ้าเป็นคนจีนก็ต้องตัวไม่ดำ
    > "ไทยเล็ก เจ็กดำ" จึงติดปากมาจนทุกวันนี้ แต่หากจะพิจารณากันให้
    >ถ่องแท้ คงจะต้องดูที่นิสัยรวมไปด้วย นั่นเป็นเพียงแต่การสันนิษฐานเบื้องต้นให้
    >ได้ยินเท่านั้น ก็ลองใช้ดุลพินิจดูว่า จะเป็นจริงตามที่ท่านกล่าวมาไว้หรือไม่ ทั้งนี้
    >คำกล่าวที่ว่า ไม่ได้รวมหมายถึง การงานของเขาเหล่านั้น ท่านหมายแต่เพียงว่า มัก
    >จะมีนิสัยออกไปทางคนโกงเจ้าเล่ห์เพทุบาย เอาเปรียบประมาณนั้น
    >
    >
    >
    >
    >คนหลายเสียงคบไม่ได้
    > คนทั่วไปตามปกติแล้ว หากไม่มีเสียงธรรมดาแล้ว ก็อาจจะมีเสียง
    >แหลมเล็ก หรือทุ้มใหญ่ไปเลย คนโบราณกล่าวไว้ว่า หากคนใดมีหลายเสียงในขณะ
    >ที่พูดคุยตามปกตินั้น เป็นคนคบยาก เพราะเท่ากับว่า หาความแน่นอนอะไรไม่ได้
    >แม้แต่เสียงของตัวเองยังบังคับให้อยู่ในระดับเดียวกันไม่ได้เลย ขณะพูดคุย
    >เดี๋ยวทำเสียงสูง เสียงต่ำ เสียงใหญ่ เสียงเล็กไปเรื่อย
    > แต่คนในลักษณะนี้หายาก และในเมื่อหายาก ก็ดูจะยิ่งเพิ่มความขลังให้
    >ความเชื่อนี้แม่นยิ่งขึ้นไปอีก ถ้าเจอก็ให้ห่างๆ ไว้เป็นดี
    >
    >
    >
    >
    >
    >คนหัวล้านมักเจ้าชู้และเจ้าเล่ห์
    > คำกล่าวนี้ได้ต้นแบบมาจากขุนช้างในวรรณคดีนั่นเอง ขุนช้างเป็นคน
    >เจ้าชู้ ชอบหญิงสาวที่มีรูปงาม จุดเด่นของเรื่องในวรรณคดี มีการแย่งหญิงสาวอัน
    >เป็นคนรักของขุนแผน โดนขุนช้างใช้เล่ห์ทุกวิถีทาง เพื่อหลอกให้คนรักของขุนแผน
    >มาอยู่กับตน
    > จึงถูกมองว่า ผู้ที่มีลักษณะเช่นเดียวกับขุนช้างคือ หัวล้าน มีรูปร่างอ้วน
    >ท้วม ขาวนั้น จะต้องมีนิสัยเช่นเดียวกับขุนช้างเสมอไปแต่ขุนช้างก็เป็นคนร่ำรวยมาก
    >ดังนั้นก็เป็นเรื่องที่แปลกว่า คนหัวล้านก็มักจะรวยเสียทุกคนเหมือนขุนช้างอีกด้วยซิ
    >
    >
    >
    >
    >ชมีปาน แสดงว่าเคยเกิดมาแล้ว
    > เด็กทารกคนใดที่เกิดมาแล้วมีปานหรือเรียกว่า มีตำหนิ ในส่วนใดส่วน
    >หนึ่งของร่างกาย คนโบราณถือว่า ได้เกิดมาแล้วชาติหนึ่ง และถูกป้ายด้วยของ ทำ
    >เป็นตำหนิเอาไว้ หากเป็นปานแดง ก็เชื่อกันว่า ถูกป้ายด้วยปูนแดงและหากเป็นปานดำ
    >ก็เชื่อกันว่า ถูกป้ายด้วยถ่านเพราะถ้าหากมีบุญจริง อาจจะพบกันชาติหน้าและจำกันได้
    >โดยให้สังเกตจากตำหนิ
    > แต่ในหลักความเป็นจริงแล้ว การเกิดปานไม่ว่าจะมีสีใดก็ตาม เป็นเพราะ
    >ผิวหนังผิดปกตินั่นเอง
    >
    >
    >
    >
    >ห้ามปลูกต้นไม้ที่วัดปลูก
    > เชื่อกันว่า ต้นไม้ที่ขึ้นตามวัดหรือนำไปปลูกที่วัด เป็นของสูงและสมควรอยู่
    >ในวัดเท่านั้น ไม่ควรนำมาปลูกที่บ้าน จะทำให้บ้านนั้นตกอับ ไม่เจริญ เท่ากับเอาของสูง
    >มาวางไม่ถูกที่ หากเกิดขึ้นเองโดยที่ไม่ได้นำมาปลูก ก็ให้ถอนออกเสีย หากจะให้ดี ก็ให้
    >นำไปไว้ที่วัดเสีย
    > ต้นไม้ดังกล่าวอันได้แก่ ต้นโพธิ์ ต้นหวาย ต้นโมกข์ ต้นไทร ต้นนนทรีย์ ต้น
    >ตะเคียน เป็นต้น
    > แต่ทั้งนี้จะรวมถึงต้นไม้ที่ไม่เป็นสิริมงคลดวย เช่นต้นโศก ต้นระกำ ต้นยาง
    >ที่มักนำมาทำโรงศพ ต้นสำโรงที่ดอกมีกลิ่นเหม็น ซึ่งเหล่านี้ดูไม่เป็นสิริมงคล จึงไม่นิยม
    >นำมาปลูกในบริเวณบ้านกัน
    >
    >
    >
    >
    >ห้ามตัดผมวันพุธ
    > วันพุธห้ามตัดผม เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ห้ามกันนักห้ามกันหนาเชื่อกันว่า ตัดผม
    >วันพุทธจะทำให้เกิดอัปมงคลกับชีวิตทีเดียว จะเห็นได้ว่า ร้านตัดผมมักจะปิดร้านในวัน
    >พุธกัน บ้างก็อ้างว่า ตัดผมในวันพุธหัวกุดท้ายเน่า
    > ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ก็ควรเชื่อเสียบ้าง ตัดในวันรุ่งขึ้นก็คงไม่นานเกินรอไป
    >ได้ และก็ยังไม่ได้ยินเช่นกันว่า นิยมตัดผมกันในวันพุธ
    >
    >
    >
    >
    >
    >ตาเขม่น
    > ฮิต ฮิต ฮิต เรื่องตาเขม่นตามความเป็นจริงแล้ว เขม่นได้หลายส่วนของ
    >ร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นริมฝีปาก แขน ขา หรือแม้กระทั่งตา ดังนั้นการเขม่นตาจะแบ่งออก
    >เป็น 3 ช่วงคือ
    > หากเขม่นตาในช่วงเช้า - บ่าย คนโบราณกล่าวไว้ว่า หากเป็นข้างขวาจะมีโชค
    >ลาภ ได้รับข่าวดี เรียกว่า จะสมหวังในเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่คอย และหากเขม่นที่ตาซ้าย
    >ท่านว่าจะมีเคราะห์ โชคร้ายผิดหวังเรื่องใดเรื่องหนึ่งอย่างแน่นอน เช่น มีการทะเลาะกัน
    >เกิดขึ้น หรือจะต้องสูญเสียของรักบางอย่างไป
    > ถ้าเขม่นตาไม่ว่าจะเป็นข้างซ้ายหรือข้างขวา ในช่วงเวลาเย็นถือว่ามีโชคมีลาภ
    >จะได้พบญาติสนิทมิตรรักเดินทางมาหา
    > แต่ถ้าเป็นในช่วงกลางคืน การเขม่นตาขวาจะได้ดี จะมีเคราะห์มีเหตุร้ายเกิด
    >ขึ้น ตรงกันข้าม ถ้าหากเขม่นตาซ้ายจะมีโชคลาภจากเพื่อน จะสมหวังสิ่งที่รอคอย เรียกว่า
    >ขวาร้าย-ซ้ายดี
    > การเขม่นตานี้ เชื่อกันว่า เป็นลางบอกเหตุที่แม่นยำมาก ท่านให้ถือเวลาที่จะเกิด
    >เหตุไม่ดีและร้ายภายใน 3 วันอย่างแน่นอน
    >
    >
    >
    >
    >เมื่อสัตว์ป่านเข้าบ้าน
    > เรื่องของสัตว์ป่านั้น ตามธรรมชาติแล้วสัตว์ป่าก็ควรที่จะอยู่ตามป่าตามเขาจึง
    >จะถูกต้อง แต่หากเมื่อใดสัตว์เหล่านี้เป็นต้นว่า งูต่างๆ ชนิด หรือแม้กระทั่งเต่า คำโบราณ
    >ถือนักว่า ผิดธรรมชาติและหากจะให้สัตว์จำพวกนี้อยู่ในบ้านก็คงอยู่ไม่ได้ ถือว่านำความ
    >อัปมงคลมาสู่ครัวเรือน ท่านให้แก้เคล็ดด้วยการ จุดธูปเทียน ดอกไม้บอกเล่าและเชิญให้
    >ออกจากบ้าน พร้อมกับขอพรให้นำพาสิ่งดีงามมาให้
    > สัตว์ป่าที่เข้าบ้านนี้ ตามคำโบราณยังถือรายละเอียดอีกมากมายเกี่ยวกับว่า มา
    >ทิศใดจะนำอะไรมาให้ ยกเว้น หากเป็นทางทิศตะวันตกและทิศเหนือจะได้รับโชคลาภ แต่ก็
    >นั่นแหละตอนที่สัตว์ป่าเหล่านี้คลานมาคงไม่มีใครรู้ มาทางใดมารู้อีกทีก็อยู่ในบ้านเสียแล้ว
    >ดังนั้นทางที่ดีก็อย่ามาเลยดีก่าเนอะ
    >
    >
    >
    >
    >
    >ห้ามเผาศพวันศุกร์
    > คนโบราณถือว่า "เผาศพในวันศุกร์ให้ทุกข์กับคนเป็น" และโดยปกติทั่วไปจะ
    >สังเกตว่า ไม่มีผู้ใดเผาศพในวันศุกร์ให้เห็นเลย เพราะเชื่อกันว่า วันศุกร์เป็นวันแห่งโชคลาภ
    >วันแห่งความร่มเย็นเป็นสุข เหมาะที่จะมีงานมงคลมากกว่างานเผาศพน๊ะ
    >
    >
    >
    >
    >หวีหัก โชคไม่ดี
    > คนโบราณเชื่อกันว่า ในขณะที่กำลังสางหรือหวีผมนั้น ไม่ว่าจะใช้หวีไม้หรือหวี
    >พลาสติกก็ตามแต่ แล้วหวีเกิดหักคาผมในขณะที่ยังหวีอยู่นั้น ท่านให้เชื่อได้เลยว่า จะเกิด
    >เรื่องไม่ตีตามมาอย่างแน่นอน เป็นต้นว่า อาจมีเรื่องทะเลาะวิวาทเกิดขึ้น สูญเสียของรัก
    >หรือมีเรื่องทุกข์ร้อนใจให้หงุดหงิดได้
    > การแก้เคล็ดด้วยการนำหวีนั้นทิ้งไปเลย ไม่ให้เก็บไว้ใช้หรือนำไปซ่อมมาใช้ใหม่
    >และจุดธูปบอกเล่าให้สิ่งร้ายกลายเป็นดีเรื่องหนักก็จะกลายเป็นเบาเสีย
    > แต่ความเชื่อของคนโบราณเรื่องหวีหักนี้ อาจจะเกิดเรื่องที่ไม่รุนแรงนักก็ได้
    >แล้วแต่โชคชะตาและดวงในตอนนั้นด้วย
    >
    >
    >
    >
    >
    >มีกลิ่นธูป หมายถึงวิญญาณ
    > ในยามวิกาลเสียงเงียบสงัด เมื่อใดได้กลิ่นธูปลอยมา โดยที่ไม่มีใครจุดธูปใน
    >บริเวณนั้นๆ เลย คนโบราณเชื่อกันว่า เป็นวิญญาณของญาติสนิทภายในครอบครัวมาหา
    >จะเป็นเพราะคิดถึง ห่วงใยกันหรือด้วยเหตุใดก็ตาม ท่านให้คนที่ได้กลิ่นธูปนั้น จุดธูป 1
    >ดอก ลอกเล่าให้ไปที่สงบๆ อย่ากังวลสิ่งใดที่จะทำให้วิญญาณไม่สงบสุขเลยบางคนอาจ
    >ขอพรจากวิญญาณญาติสนิทนั้นให้ปกปักรักษา และให้โชคลาภด้วย
    > แต่หากไม่มีญาติสนิทในระยะนั้นเสียชีวิต ก็เชื่อกันว่า อาจจะเป็นวิญญาณ
    >พเนจรทั่วไป ก็ให้จุดธูปเช่นเดียวกันบอกเล่าว่า อย่ามารบกวนให้กลัว ให้ไปที่ชอบที่สงบ
    >และนิยมใส่บาตรแผ่ส่วนกุศลให้ในวันรุ่งขึ้นด้วย
     

แชร์หน้านี้

Loading...