ปิดรับบริจาค เชิญร่วมอนุโมทนาแด่ทุกท่านที่ร่วมเป็นเจ้าภาพตั้งโรงทาน ณ สำนักสงฆ์ภูสูงเจริญธรรม

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย ติงติง, 5 สิงหาคม 2012.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814
    ทำไมทำดีถึงไม่ได้ดี ตอนที่ ๓
    <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->siwasak<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_6790574", true); </SCRIPT>
    สมาชิก


    เล่าต่อเรื่องทำงาน ผมทำงานมาร้อยกว่าชนิด เป็นความจริงครับ อายุ ๓ ขวบก่าๆ เลี้ยงน้อง และเก็บข้าวตกไปด้วยครับ บางครั้งโดนพ่อแม่ขังไว้ในบ้านอยู่ตามลำพัง มีครั้งหนึ่ง น้องผมลองจากผม ดากออกมา หรือเรียกเพราะๆว่า ทวารหนักนั่นเอง เมื่อมันออกมา ถูกลม มันพองใหญ่มากครับ ลำใส้คนก็เหมือนกัน ถ้าออกมาด้านนอกถูกลมมันพองใหญ่ จริงๆด้วยวิสัยเด็กที่ไม่รู้อะไรเลย น้องร้องไห้จ้า มดคันไฟก้กัน ไม่รู้ทำไงพี่ชายก็ร้องไห้กอดกัน ด้วยสัญชาติญาณ ใช้มือขว้า ดากยัดใส่ รูตูดของน้อง เอาผ้าขี้ริ้ว อัดเข้าไป แหมสมัยเด็กๆขนาดนั้น ทำได้ไงเนี่ย ตั้งแต่บัดนั้นถึงบัดนี้ ทวารหนักของน้อง ไม่เคยออกอีกเลยครับ ผมเล้ยงวัวควาย ยังไม่เข้า โรงเรียนเลยครับ เริ่มฝึกหัด ไถนา ตอนใกล้เข้า โรงเรียน ดำนาไถนา หว่านข้าว น้ำลึก ไถดะ ไถแปร วัวควายเป็นหมด เกี่ยวข้าว ทั้งไปเอาแรง กับเขา รับจ้างทุกอย่าง ขุดดิน แทงล่อง ฟันป่า ปลูกอ้อย กล้วย มัน พริก มะเขือ มะเขือเทศ มันเทศ ฟักทอง ทำครั้งหนึ่งหลายไร่ ไร่เผือก มันสัมปะหลัง ไร่ข้าวโพด ทั้งรับ จ้างทั้งทำเป็นของตนเอง

    ไร่ผักขน้า ผักกาดขาวผักกลางตุ้ง แตงกวา ผักบุ้ง ผักชี ผักกาดหัว หัวหอม ที่ไม่เอ่ยยังมีอีกนะ ไร่สวนผลไม้ ๒๐ กว่าชนิดครับ ไร่สมุนไพร อีก ๕ ไร่ ปลูกมา ๕ ปี ศึกษาในตำราปีเศษ สมุนไพร ตก ๒๐๐ กว่าชนิด เดี๋ยวนี้ลืมชื่อไปเกือบหมดแล้ว อยู่โรงสีข้าว อยู่เรือแม่น้ำท่าจีนอีก อยู่คลองเจ็ก ใกล้พุทธมณฑล ใช้หลัง กะเดียดข้าวลงเรือ เลี้ยงเป็นไข่ ๓๐๐-๔๐๐ตัว เป็ดไร่ทุ่ง ส่งโรงเชือด เลี้ยงครั้ง หนึ่ง ๑,๕๐๐ ตัว ห่าน เคยเลี้ยงถึง ๒๐๐ กว่าตัว วัวเคยเลี้ยงถึง๒๐ กว่าตัว ควายเกือบ ไม่ถึง ๑๐ ตัว ไก่ เลี้ยงขายลูก ขายไข่ หมู เคยเลี้ยง ตก ๑๐ ตัว แม่หมู เป็นลูกจ้าง เลี้ย ๔๐๐-๕๐๐ตัว ม้า เคยเลี้ยง ๒ ตัว โรงกลึงใบจักเรือ เค ๓ ตัว สามเสน ใกล้วังสุโขทัย อยู่บริษัทเชือกในล่อนบางขุนเทียน นากุ้ง หลังเขา สาม ร้อยยอด

    โอ๊ยเหนื่อยพิมไม่ไหวเล่าไม่ไหวแล้วครับ รวมความว่า ทำงานทุกอย่าง เจอคนทุกประเภท เอาอีกหน่อยครับ เคยล้างถ้วยชาม วัดท่าซุง อยู่ถึง ๓-๔ ปี ช่วยทำนาในวัดท่าซุง อีก หนึ่ง ปี ปลูก ต้นไม้ ป่าธุดงค์อีก ตกครึ่งปี พอว่าต้นไม้กำลังใหญ่มาตายตอนน้ำท่วมปีที่แล้ว เกือบหมดครับ เหลืออีกนิดหน่อยเอง เป็นนักการภารโรง อีกเกือบ ๓ ปีที่วัดท่าซุง กวาดลานวัด เช็ดถูส้วม โอ๊ยเหนื่อย และได้ช่วยในจุดต่างๆของวัดบ้างเป็นบางครั้ง เฮ่อแม้แต่ งานใน ทำแต่ของหนักๆทั้งนั้นเลย พรึ่งมาเบาเอาอีตอนนี้แหละครับ เล่ามากกว่านี้ผมว่าพวกท่านด่าแม่ผมแล้ว คี่หกทั้งเพ ฮ่าฮ้าๆๆๆๆๆๆๆๆ นี่ยังไม่หมดน่ะครัยพี่น้อง เอาแค่นี้ดีกว่า พูดมาก น้ำท่วมทุ่ง ผักบุ้งโหลงเหลง [​IMG] <!-- google_ad_section_end -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 ตุลาคม 2012
  2. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814
    :cool:({) -ขออนุโมทนาสาธุ ครับ อ.ติงๆ ที่มีความกรุณา ให้ได้มาพักพิง เดี๋ยวจะออกจากเว็บ ไปพักผ่อนสมองบ้างแล้วครับ ใช้เขามาพอสมควรแก่เวลาแล้วครับ:cool:
     
  3. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814
    ทำไมทำดีถึงไม่ได้ดี ตอนที่ ๔ <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->siwasak<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_6790574", true); </SCRIPT>
    สมาชิก


    อ้างอิง:
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%"><TBODY><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-RIGHT: 1px inset" class=alt2>ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ rungdao [​IMG]
    เล่าๆๆ ค่ะ คุณลุง คนสมัยนี้คำว่าลำบากนี่ หาแทบไม่เจอ (ตัวหนูด้วย,เมื่อเทียบกับคนสมัยลุงนะ) แดดโดนหน่อยมันบ่นร้อน ยืนนานหน่อยมันบ่นเมื่อย ไม่ค่อยทนอะไรเลย แต่จะเอาทุกอย่างที่ว่า "ดี" เนี่ย ฟังลุงเล่ามาได้กำลังใจเลย เรียนสูงกว่าลุงอีก หาเงินทำบุญเท่าลุงได้ครึ่งหนึ่งมั๊ยเนี่ย ทำได้ครึ่งของลุงมั๊ย มีแต่ใจ อยากได้ดีแต่ไม่อดทน.... ขอบคุณ คุณลุงมากค่ะ ที่ช่วยสะกิด นี่ทำให้หนูนึกถึงคุณลุงคุณป้าเพื่อนร่วมงาน ที่ส่งลูกไปเรียน ออสเตรีย หมดเงินไป(ไม่ต้องถามนะลุง มันเยอะมาก) พ่อต้องกัดฟันส่ง กว่าลูกจะจบพ่อก็หมดแรงแต่ไม่ได้พึ่งลูก เรียนสูงเกินไป งานนั่นเงินเดือนน้อย งานนี่เวลายาว งานโน้นสวัสดิการต่ำ ฯลฯ เดี๋ยวนี้ตกงาน เออออ ... ผู้จัดการก็มีตำแหน่งเดียว ผู้ช่วยผู้จัดการก็มีตำแหน่งเดียว ปีหนึ่งๆจบกันกี่คน ... ก็ไม่ได้ว่าไร แต่ก็คิดว่าชีวิตคน มันสองมือ สองเท้า บางคนเรียนสูงฉลาด เดินเท้าแทบไม่ติดดิน พ่อแม่กลับพึ่งไม่ได้ หนูล่ะเห็น ธรรมชาติของชีวิตจริงๆเลย .... เอวัง


    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    :cool:({) ที่ผมเล่ามาก็มากพอดูแล้วครับ ที่เข้ามาเพื่ออนุโมทนาสาธุกับทุกคน ทุกคนมีทุกข์เหมือนกันแต่ใครจะมากจะน้อยเท่านั้นเอง และหนัก ในกำลังของตนเท่านั้นเอง จึงอยากบอกน้องๆพี่ๆลูกหลานว่า คนที่ลำบากกว่าเรา ยังมีอยู่ และยังไม่ตายเยอะแยะครับ และจะมาช่วยดันกำลังใจ ต่อเขา ให้สู้ต่อไป ทำดีให้สุดขั้ว หนีชั่วให้สุดขีด

    ขอต่ออีกนิดก็แล้วกันนะ เมื่อปี พ.ศ. ๒๖ พ่อผมตาย ไม่ถึง ๓-๕ เดือน น้องชายถูกยิง เพราะไปแย่งที่เลี้ยงเป็ด ๑,๕๐๐ ตัว ไปในถิ่นเขา เขาว่าไปแย่งเขา ถูกยิงใกล้ๆไข่ครับลงมานิดโดนกระเพราะเยี่ยว สูงหน่อยโดนไข่ คิดเอาเองครับ แต่ไม่ตาย หมอบอก ๑ ในหมื่นครับที่รอดชีวิต น้องชายถูกยิงไม่ถึง ๓ เดือน แม่มีผัวไหม่ น้องผมคนเล็ก อายุ ๕ ขวบ ปี ๒๖ น้ำมันท่วมเกือบทั่ว ประเทศ ผมทำไร่มันเทศ มะเขือเทศ แตงกวา ตก ๑๐ ไร่ กลางคืนผมต้องไปไร่ ดูน้ำมันท่วมไร่หรือเปล่า ควักดินป้องกันน้ำ ผลที่สุด เอาไม่อยู่ น้ำท่วมไร่หมดตัวพอดีครับพี่น้อง คำพังเพยเขาว่า ถ่อหักหมายถึงพ่อ แพแตกหมายถึงแม่ น้องชายอีก ไร่น้ำท่วม เปรียบอะไรเล่าครับ

    ทุกอย่างผมต้องรับผิดชอบ ในครอบครัว น้องๆ ถึง ๗ ชีวิต ต้องทำหน้าที่ เหมือนพ่อแม่ และต้องเดินเรื่อง ที่น้องชายถูกยิง เขาเอาเงินไปใช้พวกผู้หลักผู้ใหญ่ทางบ้านเมือง มาบีบผม ผมต้องสู้กับพวกมัน อย่างไม่ท้อถอย ทำทุกอย่าง ให้ชนะ ไม่ให้มันล้มมวย แต่ก้เสียเงิน ไปพอดู จนน้องหาย ได้ค่าปรอบขวัญแค่ ๒ หมื่น เลยเลิกเดินเรื่องครับ แค่นี้แหละครับ อธิบายไปก็ไม่เกิดประโยชน์อีกแล้ว จึงขอเล่าให้น้องๆ ได้ฟัง เป้นอุทาหรณ์ ถ้าโดนอย่างนี้ จะทำใจได้อย่างไรครับ พี่น้องทุกๆท่าน :cool:<!-- google_ad_section_end --> <!-- / message -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 ตุลาคม 2012
  4. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814
    ทำไมทำดีถึงไม่ได้ดี ตอนที่ ๕
    <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->siwasak<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_6790574", true); </SCRIPT>
    สมาชิก


    อ้างอิง:
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%"><TBODY><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-RIGHT: 1px inset" class=alt2>ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ แสนสวาท [​IMG]
    กรรมดี กำลังตั้งท้องอยู่ รอคลอด

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    [​IMG][​IMG] ไหนๆก้ไหนๆแล้ว ขอแหย่เล่นหน่อย ท่านย่าผมเป็นหมอตำแย และผมสมัยเด็กๆ เคยไปกับท่าน และรู้วิธีการ คลอดลูก เรียกว่าไม่เคย จับ ท้องผู้หญิงเท่านั้นเอง แต่วิธีการรู้เกือบหมด ว่าเวลาผู้หญิง ปวดท้อง ต้องทำอย่างไร บ้าง และใช้วิธี ถ้าเด็ก ไม่หันหัวออก ต้องใช้มือ คลำ แล้วค่อย ใช้ให้เขากลับหัวลง ออกทาง ช่องคลอด ถ้าเด็ก ใช้ขาและแขน ออกมา มันออกไม่ได้ มันขวางทาง ช่องคลอด เราต้อง ดันมือออกไปอีทางหนึ่ง แล้ว ผักหัวหันมาทางช่องคลอด

    ถ้าเด็กกำลังจะคลอด แม่ไม่มีแรง ใช้ตะไคร้ทุบ ให้สูดดม บางครั้ง เราจะใช้เสียง อืดๆๆๆ เบ่งๆเข้าๆอืดๆๆ และเป็นเสียงอื่นก็มี แต่ที่แน่ๆ น้องผมอย่างน้อย ๓-๔ คนผม ช่วยแม่เวลาออกน้อง ช่วยหนุนหลัง ช่วยจับ เวลาน้องออกมา ผมเป็นคน ใช้ไม้ลวกผ่าเอาผิว มาตัดสดือ ก่อนจะตัด เอาได้มัดก่อน แล้วเอาไพรมาลองสะดือ ใช้ผิวไม้ลวก เฉือนฉับ ขาดเลย แต่เดี๋ยวนี้สบาย หมอสมัยใหม่ทำให้เสร็จ ออกมาเอา ผ้าขนหนูห่มให้ เขาฉลาด กว่าคนสมัยก่อน สมัยก่อน ออกมาแล้ว เอาไปอาบน้ำอุ่น เด็กร้องจ้า อุแหว่ๆๆๆๆๆๆๆๆๆ แล้วเอาผ้า ห่ม แล้ว เอาเหมาะ มาลองรับ ใส่ไว้ในกระด้ง แทนเปลครับ ฮ่าๆฮ้าๆๆๆๆๆๆ

    เห็นแล้ว ทั้งสงสารตอนท่านผู้หญิงทั้งหลายออกลูก เมื่อเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผมก็เคยซักผ้า ที่มีเลือด มากมาย เป็นลิ่มๆๆ และมีลกติดมา เป็นกองใหญ่ บางครั้ง กั้นใจไว้ไม่ไหวมันเหม็นคาวจนอ๊วกแตกอ๊วกแตน จึงใช้วิธี ส้นตีน ถู ดันให้ออกมา แล้วเอาไปทำกับขี้ตม หลายๆครั้ง เสร็จแล้ว ค่อยเอาผงซักฟอก มาซักอีกที ไอ้เลือดคนตอนออกลูกนี่มันเหม็น กว่าเลือดออกปรกติ หลายเท่า ทั้งน้ำคราวปลา น้ำคร่ำ โอ๊ยจิปาถะ มันถึงเหม็นนักหนา แค่นี้ดีกว่าจบครับ[​IMG]
    <!-- google_ad_section_end -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 ตุลาคม 2012
  5. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814
    ทำไมทำดีถึงไม่ได้ดี ตอนที่ ๖
    <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->siwasak<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_6790574", true); </SCRIPT>
    สมาชิก


    อ้างอิง:
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%"><TBODY><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-RIGHT: 1px inset" class=alt2>ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ วรรณนรี05 [​IMG]
    การทำดี ถ้าดีแท้ ดีจริง เข้าใจ ในธรรมปฎิบัติ เราจะ ไม่ไปสนใจ ในกรรมของผู้อื่นเลย และไม่มีเวลามาเปรียบเทียบ ว่ากรรมของเราเป็นอย่าง นี้ อย่างนั้น ถ้าเข้าใจ เราก็จะอยู่กับปัจจุบันของเราได้ อย่างมีความสุข ทั้งยามที่มีทุกข์มาเยือน เช่นถูกเขาโกง เรียกว่า ปกิณณกทุข์ เป็นทุกข์ ที่จรมาเป็นครั้งคราว ได้ แก่ ความเศร้าโศก ความเสียใจ คับแค้นใจประสปกับสิ่งที่ไม่ชอบ พลัดพรากจากสิ่งที่ชอบ และความผิดหวังที่ไม่ได้ดั่งต้องการ สิ่งเหล่านี้ นักปฎิบัติ ที่ทำเป็นแล้ว จะไม่หวั่นไหว และจะมองเป็นเรื่องธรรมดา คุณแม่ของคุณท่านอาจจะเข้าใจ ดีแล้ว และท่านยอมรับสภาพได้ เพียงแต่คุณรักและหวังดีต่อท่าน ถือว่าเป็นสิ่งที่ดี อ้อ การปฎิบัติไม่จำเป็นต้องยึดตำรามาก ขอเพียงให้เข้าใจ สภาวะธรรมในขณะปัจจุบัน ก็ พอ



    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    :cool:


    :cool:({) มันคงไม่ง่ายหรอกครับ พูดมันดูเหมือนง่าย แต่การกระทำ แสนจะยาก แค่เขา ว่าเรา ก็ไม่พอใจแล้ว อารมย์หงุดหงิด ยิ่งด่าคำที่หนักมากๆ คงทำได้ยากหน่อย แต่ก็ไม่ว่าหรอกครับสำหรับคนที่ทำได้ ขออนุโมทนาสาธุ คนที่มีใจแก่กล้า เขาย่อมทำได้แน่นอน การปฏิบัติธรรมนั้น หมื่นคน จะได้มรรคผล คนหนึ่ง นั้นแสนยาก แล้ว ๑ ในพันคนจะ ได้ทิพยจักษุญาณ ก็แสนยากเหมือนกัน แต่ผมก็ยังพยายามอยู่ วันละเล็กละน้อย ก็พอใจแล้ว แต่เมื่อก่อนไม่พอใจเท่าไหร่ เดดี๋ยวนี้ ได้เท่าไหน เอาเท่านั้น ไม่เคร่งเคลียด จนเกินไปครับ

    มาว่าต่อ ปี ๒๒-๒๓ ผมบวชแล้วไปกราบหลวงปู่ ครูบาธรรมชัย วัดทุ่งหลวงอ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ ท่านได้เอายา รักษาโรค หัวใจ โรคประสาท โรคกลัว และหายในที่สุดครับ ผมนั่งวงเดียวกับหลวงปู่ แถบผมนั่งมีแต่ข้าวจ้าว ไม่มีข้าวเหนียว ก็นึกอยากกินข้าวเหนียว นึกไม่จบดี หลวงปู่ท่านจิตท่านไวมาก แค่นึกยังไม่จบ ท่านก้ยก บารต ข้าวเหนียว แล้วพูดว่าเอ่าเดี๋ยวมาภาคเหนือจะไม่ได้กินข้าวเหนียว แหม วันนี้เลยซัดข้าวเหนียวอิ่มแป้เลย มื้อเดียว สบายไป ย่อยยากนานๆกีนครั้งหนึ่ง และผมสังเกตุดู เวลาผมก้มลงกราบ ๑ กราบพระพุทธเจ้า กราบ ๒ กราบพระธรรม กราบ ๓ กราบ พระอริยะสงฆ์ ผมสังเกตุดูท่าทางท่าน ๆ ไม่ค่อยเต็มใจให้ผมกราบ

    ผมก็สังเกตุหลายครั้ง ก็เป็นอย่างเดิมอีก เลยคราวนี้ ตัดสินใจใหม่ ว่า กราบ ๑ กราบ พระพุทธเจ้า ทุกพระองค์ กราบ ๒ กราบพระธรรม กราบ ๓ กราบพระสงฆ์ แหมท่านยิ้มแย้มแจ่มใส แสดงใจดีมากๆ ผมก็นึกในใจว่า ท่านคงเป็นพระโพธิสัตว์แน่นอน เพราะท่านแสดงอาการอย่างนั้น เพราะท่านยังมิใช่พระอริยะเจ้า จริงๆผมก็คิดมุมกับอีก พระโพธิสัตวืก็เหมือนพระอริยะเจ้า ทำไม่หลวงจึงแสดงอาการอย่างนั้น ครั้งหลังๆผมมาหาหลวงปู่ ก็จะกราบแบบที่ผมอธิบายมาครับ จิตท่านไวมากครับ หลวงพ่อฤาษีท่านบอก ทิพยจักษุญารของท่าน ใส และเห็นคล้ายๆกลางวัน ถ้าจำผิด ขออภัยด้วยครับผม และอีกคราวหนึ่งผมมาหาท่าน และเอาของให้ท่าอธิษฐานจิตให้ ผมออกให้ท่านหมด

    ท่านบอกยังไม่หมด ไม่หมด ผมบอกหมดแล้วครับ ท่านยืนยันเหมือนเดิม ผมล้วงเข้าไปในย่าม ไม่กล้าเอาออกมา หลวงปู่บอกเอาออกมา แหมเจ้างของยังไม่รู้ แต่หลวงปู่ท่านรู้ ผมก็งัดออกมามันเป็ปลัดขิกครับตัวเท่าข้อมือผมครับ ทั้งผู้หญิงผู้ชายลูกศิษย์ท่านหัวเราะ ฮาตึมๆ และปลัดขิกตัวนี้ เป็นรากลวดทนง หลวงปู่ถามว่า แบบนี้มีเยอะไหม ผมตอบท่านว่า มีครับหลวงปู่ที่วัด พระแท่นดงรัง อ.ท่าเรือ จ.กาญจนบุรี ครับ ผมรับปาก จะไปขอทางวัด และขุดมาให้ท่านทำยา รักษาโรค นี่เห็นไหมว่าท่าน รู้ยิ่งจริงๆ และไวจริงๆ

    มาว่าต่อครับ และปี ๒๙-๓๐ ตอนผมเป็นนักการภารโรง มีอยู่วันหนึ่ง ผม ก็นั่งคิดสัปดล อยากมีลูก เป็นพระโพธิสัตว์ นึกถึงหลวงปู่ปาน แต่แล้วมันมาคิดถึงหลวงปู่ ครูบาธรรมชัย และหยุดอยู่ตรงนี้ คิดเป็นวัน ฟุ้ง และรุ่งขึ้น หลวงพ่อสั่งพี่ปีมา พี่ปีแกเป็นแม่ครัว ทำอาหารให้เด้กนักเรียน พระสุธรรมวิทยา เป็นพี่สาวของอาจารย์พรนุช คืนคงดีครับ พี่ปีบอกมาว่าหลวงพ่อสั่งมาให้ ไปบอกบุญทรงทีว่าหลวงปู่ ครูบาธรรมชัย ท่านทำความปราถนา เป็นพระอครสาวกเบื้องขวา ของพระศรีอริยะเมตตรัย ครับ ผมหายสงสัยทันที ถึงบางอ้อแล้ว ที่ท่านแสดงอาการดังที่ผมเล่ามา แต่ก่อน ท่านอาจจะทำความปราถนา พระพุทธเจ้าแล้ว เปลี่ยนใจมาเป็น พระอัครสาวกเบื้องขวา พระศรีอริยะเมตตรัยก็ได้ครับนี่ความเห็นผมนะครับ:cool:
    <!-- google_ad_section_end -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 ตุลาคม 2012
  6. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814
    ทำไมทำดีถึงไม่ได้ดี ตอนที่ ๗
    <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->siwasak<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_6790574", true); </SCRIPT>
    สมาชิก


    อ้างอิง:
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%"><TBODY><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-RIGHT: 1px inset" class=alt2>ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ rungdao [​IMG]
    ข้อความน้อง แฮปปี้ ยอดเยี่ยมมากจ็ะ ... [​IMG][​IMG][​IMG]
    ขออนุโมทนาเน้อหล้า ... สาธุ สาธุ สาธุ

    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    [​IMG][​IMG] ขอเล่า แบบเบาๆสมองครับ ผมอ่านของคุณแฮปปี้ไม่หมดดี แต่ก็เข้าใจ เพราะสิ่งที่คุณ เล่ามา ผม โดนมาแล้ว และมากกว่านี้ อีกหลายเท่านัก ไม่ได้เอามาข่มนะ แต่มันเป็นเรื่องจริง ที่ผ่านมาแล้วทั้งสิ้น ณ ปัจจุบัน ก็ยังมีอยู่ ตาบใด ถ้ายังมีลมหายใจ อยู่ยังต้องมีคู่กับมัน ว่ามากหรือน้อยครับ ผมน่ะโดนทั้งตำรวจ ป่าไม้ อนุรักห้วยขาแข้ง เจ้าหน้าที่ ป่าไม้ ทหารมีนิดหน่อยเอง ค่อยยังชั่วหน่อย ตำรวจนี่มากพอดู เจ้าหน้าที่อีกหลายส่วน ส่วนใหญ่เขาไม่ชอบขี้หน้า ไปขวางทางปืน และการทำมาหากินของเขา ถ้าเล่า ๒ วัน ๒ คืนไม่จบแน่นอนครับ

    ผมพูดรวมๆเลยนะ ถ้าการปฏิบัติ มันได้มรรคผลง่ายคงมีพระอรหันต์ทั้งเมืองแล้วครับ ที่เกิดมาชาตินี้ ก็ถือว่า ลองมาแล้วไม่น้อย แต่ก็ไม่ได้อะไรเลย จะว่าไม่ได้ก็ไม่ได้ คือเมื่อก่อนอารมย์ฉุนเฉียวง่าย แต่เดี๋ยวนี้ อารมย์ เบาลงถือว่าดีกว่าเมื่อก่อนครับ โกรธง่ายหายเร็ว แต่ถ้าคนใกล้ชิด จะใช้เวลานานหน่อยครับ ผมทั้งบวชเณรเถร ชีพราหม์ บวชพระ ๒๒๗ ศิล ๕ ศิล ๘ ศิลเณร เสขิยวัตรอีก ๗๕ เป็น ๘๕ อยู่ในถ้ำ หุบ เหว ป่า ในเมือง ในกรุง แม้แต่กินข้าวเอาน้ำทะเลหุงข้าว ก็เคยกินมาแล้ว กินเจ อยู่เกือบ ๑ พรรษา สมาทานไม่พูดกับใคร ครั้งหนึ่ง ๑๐ วัน บ้าง ๑๕ วันบ้าง ก็เคยทำ แต่มันก็ไม่เห็นมันสำเร็จ อะไรเลย

    แต่ก็รู้คุณค่าของ การปฏิบัติธรรม เคยถ้อ บ่อยๆมาก ทั้งถอยตั้งหลัก ถ้าเราถอย แต่ถอยมาตั้หลัก ไม่ใช่ถอยแล้วเลิก เมื่อมีกำลัง ก็ลุกขึ้นมาต่อสู้กับมันอย่างไม่ย่อถ้อ เหมือนกัน บางครั้ง อาจจะบ่อย เป็นครั้งคราว เคยทำความชั่ว ประชด เสียเลย แต่ยิ่งทำยิ่งลงต่ำ และทรุดหนัก จึง เลิกทำ เรื่องหนักที่สุด ขนาดจ้าง มือปืนมาช่วยร่วม ยิงคน ผก อยู่ ๓ วัน ยิงทิ้ง แล้วเข้าป่าเลย ทิ้งทั้งโลกอยู่ป่าดีกว่า มันเหตุ พระเทวดาท่านคงไม่ให้ทำ มีเหตุให้มันแคล้วคลาดทุกครั้ง และผมต้องวางภาระลง ใช้ อุเบกขาน้อยๆวางลง แล้วสู้อย่างผู้ แพ้ แต่ อยู่ได้ แต่ชาตินี้ ทำไม เกิดมาเพื่อแพ้ แต่อยู่ได้ และใครก็ทำอะไรไม่ได้เหมือนกัน แต่ส่วนใหญ่ จะแพ้ภัย ตัวเองมากกว่า สิ่งใดๆที่เล่ามานี่ครับ เอ่าพอก่อน เดี๋ยวมาต่อ เรื่องเบาๆ วันนี้ไป วัดป่าเรไรมาครับ[​IMG] <!-- google_ad_section_end -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 ตุลาคม 2012
  7. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814
    อ้างอิง:
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%"><TBODY><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-RIGHT: 1px inset" class=alt2>ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ ระบำมาร [​IMG]
    ที่ผ่านมาเข้าใจว่า การทำแท้งเป็นบาป และแน่นอน มันเป็นบาปมหันต์ แต่อยากทราบว่า ถ้าคนที่แท้งลูกเอง อาจจะเพราะสภาพร่างกาย หรืออุบัติเหตุ แบบนี้ถือเป็นบาปด้วยหรือไม่ แล้วอย่างนี้ควรที่จะต้องทำบุญ อุทิศส่วนกุศลให้เด็กที่ตายด้วยหรือไม่ครับ
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    [​IMG][​IMG]ไม่บาปหรอกครับ เพราะกรรมเขามาตัดรอนให้ตายก่อนอายุขัย อานิสงฆ์ของการเคยฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเขามาตัดรอนก่อนอานิสงฆ์เลยให้ได้ไม่ได้ทันมาดูโลกตั้งแต่อยู่ในครรย์ มารดา เรื่องทำบุญ ก็อยู่ที่เราทำหรือไม่ทำ ก็อยู่ที่เราแหละครับ แต่ถ้าเราตั้งใจจะฆ่าทิ้ง กินยาร้อนๆก้ถ่าย ออกมาแหงๆ อยู่แล้วครับ ไม่อยากให้อยู่ แค่เอาตูด ไปกะแทกอะไรก็ได้ บาปแหงๆอยู่แล้ว ไอ้เราก็ดันเสือกบอกไปอีกเดี๋ยวคนชอบก็จะไปทำกรรมเปล่าๆ อย่าตั้งใจเอาตูดไปกะแทกอะไรเข้า ถ้าล้มไปกะแทกเอง ก้ไม่เป็นไร โดยไม่ตั้งใจ คุณถามมาดีครับ คนที่ไม่รู้จะได้รู้ครับ[​IMG]
     
  8. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,730
    กลายเป็นกระทู้ธรรมะที่น่าอ่านไปแล้วค่ะพี่บุญทรง :cool:
     
  9. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814
    ทำไมทำดีถึงไม่ได้ดี ตอนที่ ๘
    <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->siwasak<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_6790574", true); </SCRIPT>
    สมาชิก


    อ้างอิง:
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%"><TBODY><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-RIGHT: 1px inset" class=alt2>ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ เอกาจริโย๕ [​IMG]
    บุญใหม่เราทำ บาปเก่าก็ยังมีเหมือนกัน

    นึกถึงที่หลวงพ่อเคยสอน ว่าถือศีลแค่กี่ปี แต่ที่เราขาดทุนมาตั้งเท่าไหร่แล้ว >.<

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    :cool:({) ผมเข้าวัดมา ประมาณว่า พ.ศ.๒๐ กว่าๆ เมื่อเข้าวัด ผมจะรักษา ศิล ๘ ทุกครั้ง และรวมๆอยู่ วัดนับเป็นสิบๆปี ผมจะรักษา ศิล ๘ มาหลายปี เอาแบบเบาๆครับ แต่มาพังเมื่อพ.ศ. ๔๗ เข้าวัดแล้วกินข้าวเย็น เอาแค่ สิล ๕ ไม่เหมือนเมื่อก่อน เอาแบบว่า สตายฉัน เคยนึกนะ ทำไมเราทำบุญมาเกิน ๒๐ ปี แต่ไม่ให้ผล น้อยใจ ทั้งอดสู แต่แล้ว เราก็สำเร็จได้ระดับ หนึ่ง กล้านำมากล่าว ในกระทู้นี่ไงครับ ว่าทั้งบุญและบาป ให้ผลผมมาแล้ว ทั้ง ๒ อย่างในชาตินี้ ไม่ต้องสงสัยอีกแล้ว ไม่ใช่อย่างเดียว หลายอย่างด้วย ทั้งสองแบบ ฟันธงได้เลย ใครจะเชื่อไม่เช่อ ไม่สนใจอีกแล้วครับ นี่คือ ประสพการณ์ จริงครับ

    วันนี้ก่อนจะเข้ากรุงเทพ มาเล่า เสียก่อน ตอนที่ผมปฏิบัติธรรม ไว้นวดเครา ธรรมมันเกิดขึ้นมาในใจ อยู่อย่างหนึ่ง ไม่เคยได้ยินที่ไหนมาก่อน เราจึงใช้วธีนั้น ปฏิบัติมาพักหนึ่ง การนุ่งของผม ท่อนล่าง นุ่งสีกลัก แบบสบง มีอังสะ คล้ายพระ แต่ใส่เสื้อสีขาว แขนยาวบางครั้งอาจใส่แขนสั้น แขนยาวเมื่อออก ไปข้างนอก หรือทำไปทำธุระ ผมปล่อยยาว แต่หวีแบบมีระเบียบ เรียบร้อย ธรรมเกิดอย่างนี้ ว่า การนุ่งของเรา หัวปล่อยผมยาว เปรียบ เสมือน คือ ศิล ๕ เป็นบาทฐาน ของศิล ๘ ตรงกลางสีขาว ศิล เป็นบาทฐาน ของสิล ๑๐ เสขิยวัตรอีก ๗๕ ข้อ ทอนล่าง เป็นสีกลัก ตอนนั้น ผมปฏิบัติ แบบนี้ ในความรู้ศึก ของผม และศิล ๑๐ ของเณร เสขิยวัตร ๗๕ ข้อ เณรต้องปฏิบัติตามนี้ เพราะชาวบ้าน เขาต้องกราบไหว้ ให้ข้าวกิน และศิล ๑๐ เป็นบาทฐาน ของศิล ๒๒๗ ข้อ ถ้าพระองค์ไหน ไม่มีศิล ๕ ถือว่าไม่ใช่พระแล้วครับ เป็นสัตว์นรก



    ถ้าผู้ใด ไม่ทำตาม ถือเป็นเดียรถีเข้ามาบวช หากิน ตอนนั้นการปฏิบัติ เหมือนจะได้ มรรคผลนิพพาน แต่แล้ว เมื่อกรรมให้ผล ผมก็ศึกออกมา อีกครั้ง ถอยมาตั้งหลัก ฌาณโลกีย์ก็ยังนี้แหละ ขึ้นๆลงๆ และไม่จำเป็นต้องเป็นนักบวชเป็นฆราวาส ก็ทำได้ และทำได้ดีกว่า ตอนบวชด้วยซ้ำไป และที่ไป ทำงานต่างๆ ผมไปใช้กรรมด้วย และสร้างบุญใหม่ด้วย จึงมีประสพการณ์ มากมาย ในชีวิต ของเรา ผมไม่ว่าจะไปอยู่ จังหวัดใด หรือที่ใดก็ตาม จะ ไปช่วยบูรณะ หรือ ทำบุญ วัดนั้นๆ ตามกำลัง ของตนครับ ไม่เคนทิ้ง เพื่อจรร โลงพระศาสนา ให้มีความเจริญรุ่งเรือง ต่อไป เพื่อจะได้ให้พระสงฆ์ ดำรงณ์ พระศาสนาต่อไป ครบ ๕,๐๐๐ ปีครับ<!-- google_ad_section_end --> <!-- / message --><!-- edit note -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 ตุลาคม 2012
  10. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814
    อ้างอิง:
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%"><TBODY><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-RIGHT: 1px inset" class=alt2>ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ หก [​IMG]
    ตามชื่อกระทู้เลยครับ ผมอยากรู้ว่าพระโพธิสัตว์ท่านจำเป็นไหมที่ในสายทางการบำเพ็ญบารมีจะต้องมีพระปัจเจกมาคอยจองล้างจองผลาญ เหมือนพระพุทธเจ้าสมัยเป็นพระโพธิสัตว์ที่มีพระเทวทัศคอยจ้องผลาญน่ะครับ อยากรู้ว่าพระโพธิสัตว์ต้องมีพระปัจเจกคู่บารมีทุกองค์เลยใช่ไหมครับ

    ขอโทษทีนะครับที่ผมอาจถามคำถามงี่เง่าน่ะครับ คือผมแค่อยากทราบไว้เป็นความรู้ประดับตัวเองน่ะครับ พอถึงคราวต้องเจอบ้างจะได้เตรียมใจทันครับ[​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    [​IMG][​IMG]
    ไม่มีพระพุทธเจ้า ก็ไม่มีพระเทวทัต มีพระเทวทัต จึงมีพระพุทธจ้า มันเป็นของคู่กันอยู่แล้ว จริงๆ พระเทวทัตปราถนาที่จะเป็นพระพุทธเจ้า แต่ทำไม่ถึง ได้แค่พระปัจเจกะพุทธเจ้าครับ เป็นพระพุทธเจ้าชนิดหนึ่ง แต่ไม่สอนผู้อื่นให้ตรัสรู้ตาม ใครมีศรัทธาอย่างดีก็สอนให้อยู่ในศิลธรรมเท่านั้นครับ ใครก็ตาม พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ท่านมีมารมาขวางทางอยู่แล้ว กว่าจะเดินมาได้นี่ ยากลำบากมาก แหม คนธรรมดายังโดนแล้ว คนจะไปเป็นครูเขาไม่โดนก็ไม่ใช่งานสำคัญ สิ ท่านปราถนางานช้าง มันต้องโดนหนักกว่า พวกสาวก เป็นล้านล้านเท่า อยู่แล้ว ที่ว่ามานี่ยังน้อยนะ[​IMG]<!-- google_ad_section_end -->
     
  11. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,730
    สวัสดีค่ะพี่บุญทรง ติงทำเสร็จแล้วนะคะพี่ เหลือปรับแต่งเล็กน้อยค่ะ
     
  12. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814
    ผมเข้าใจเกี่ยวกับปัญญาญาณ แบบนี้ถูกต้องหรือไม่ครับ <TABLE id=post6806728 class=tborder border=0 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center><TBODY><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid" class=thead>[​IMG] เมื่อวานนี้, 09:47 PM </TD><TD style="BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid" class=thead align=right>#[​IMG]
    ขอสอบถามผู้รู้ครับ เกี่ยวกับคำว่า "ปัญญาญาณ" ผมเข้าใจความหมายว่าเป็นอย่างนี้ ผมเข้าใจถูกหรือไม่ รบกวนชี้แนะด้วยครับ

    - งานเจอปัญหาที่คิดทางแก้ไม่ออก และสุดท้ายทางออกก็มาแบบคาดไม่ถึง ตัวอย่างเช่น ซ่อมรถยนต์แต่ไม่รู้ว่ามันเสียตรงไหน ขุดหาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ จนความคิดมันแว๊บมาว่า เพราะจุดนี้เสีย และเสียเพราะอะไร จะแก้ด้วยวิธีไหน

    - งานที่ต้องวางแผน แต่สามารถวางแผนได้แบบล่วงหน้า 5-6 ช็อต มองออกว่าถ้าทำแบบนี้จะทำเพื่อให้เกิดผลลัพธ์แบบนี้แก่คู่แข่ง และสุดท้ายสิ่งที่เค้าทำจะทำให้เข้าหมากที่วางไว้ทั้งหมด ซึ่งสุดท้ายแผนที่วางไว้บรรลุเป้าหมายที่ต้องการ

    - งานที่ต้องรื้อระบบแก้ใหม่ เช่น เขียนโปรแกรมเว็บแต่แก้ปัญหาบั๊กไม่ได้ จนวันนึงมีปัญญาที่บอกว่าเว็บมันมีข้อผิดพลาดตรงไหน และได้สมการโค้ดขึ้นมา โดยเป็นโค้ดที่เราไม่เคยเห็น ไม่เคยได้เรียน ไม่เคยรู้จักมาก่อน แต่พอเอามาลองทำตามที่เห็น กลับสามารถแก้บั๊กดังกล่าวได้

    ขอบคุณครับ
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    :cool:({) ความเข้าใจของผม ถ้าอธิบายละเอียดคงใช้เวลานานพอดู แต่ผมพอจะเข้าใจในคำถามของคุณบ้างพอประมาณ ปัญญา แบบนี้ ก็อาศัย ที่เราสั่งสม มาแล้ว นับชาติไม่ถ้วนนั่น เอง และเกิดจากการปฏิบัติของเรา มันก็มีหลายแบบหลายขั้น หลายขั้น พระโพธิสัตว์เจ้า ทั้งหลาย พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ ย่อม ทำมาก่อน ทั้งสิ้น พระปัจเจกะพุทธเจ้า และพระอรหันต์ทั้งหลาย ย่อมผ่านมาแล้วทั้งสิ้น จนกว่าทุกๆพระองค์ จะละวาง กิเลสทั้งมวล โลภ โกรธ หลง ไปจากใจท่าน ปัญญา มันเกิดจากการสะสม และจากการสั่งสมอมรมมาตั้งแต่อดีดชาติ ถึงชาติปัจจุบัน

    ผมว่าไม่มีพระพุทธเจ้าพระองค์ ไหน พระปัจเจกะพุทธเจ้า พระองค์ พระอรหันต์พระองค์ไหน ประกาศตนปุ๊บ เป็นพระอรหันต์ เป็นพระพุทธเจ้า เป็นพระปัจเจกะพุทธเจ้า ไม่มีหรอกครับ ท่านต้องเริ่ม ทำ ขัดเกลา มาจนนับชาติไม่ถ้วน จึงจะได้แต่ละขั้น แต่ละชั้น น่ะครับ ไปค้นคว้า กันได้เลย อย่าไปมองข้าม การถามของเขา จริงๆมันคุม ในด้านโลกีย จนจะล่วงก้าว เข้าไปหา โลกุตร เขาถามมามันคุม ทั้ง ทางโลกและทางธรรมแล้ว ปัญญาทางโลก ไปหาอ่าน เรื่องพระเจ้า ๑๐ ชาติสุดท้าย ว่าด้วย ปัญญานำหน้า มันมีครบแหละ มาจากการสั่งสม ปัญญาญาณของพระโพธิสัตว์ จะล่วงรู้ ได้เฉพาะตนเท่านั้น บุคคล ธรรมดา ไม่สามารถ รู้ได้

    และปัญญา ของพระโพธิสัตว์ ก็มี ๓ แบบ ๓ ขั้น ๓ ชั้นไปหาค้นคว้าเอาเอง เพราะว่าผมพูดเรื่องของพระโพธิสัตว์ มาเป็น ๑๐ กระทู้แล้ว พระเจ้า ๑๐ ชาติ พระสงฆ์ ทั้งหลายนำมาสอนมากมาย ก็มาจากปัญญาญาณ ทั้งสิ้น เราเรียน แค่ป.๑ จะไปรู้คนเรียนป. ๔ ได้หรือ และยังมี ม.๑ ถึงม.๖ จนถึงป.ว.ช.อีก ป.ว.ศ.อีก และยังมี มหาวิทยาลัย และยังมี ปริญญา ตรี โท เอก อีก ยังมีด๊อกเตอร์อีก แค่นี้พวกท่านคงเข้าใจนะครับ ที่ผมอธิบายมา และไม่ต้องอธิบาย ปัญญาญาณ ของ พระโพธิสัตว์ อีกแล้ว ปัญญาญาณ ของพระพุทธองค์ ยิ่งแล้วใหญ่ พระอรหันต์ ยังไม่สามารถ ล่วงรู้ ของ พระพุทธองค์ ได้เลย จบดีกว่าว่า ไปแล้วยาวๆแน่นอนครับ:cool: <!-- google_ad_section_end --><!-- / message -->
     
  13. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814
    :cool:({)ขอขอบพระคุณยิ่งอย่างสูงเลยครับ ที่อนุเคราะ ครับ อ.ติงๆ ผลบุญใดที่กระผม ได้กระทำมาแล้วในอดีด จนถึงชาติปัจจุบัน ในการบุญเฉพาะกิจ จะพึงมีกับผมเพียงใด ขอผลบุญนี้ จงให้ อ.ติง พบประสพ แต่สิ่งดีในชีวิต ให้ประสพสมหวังทั้งทางโลกและทางธรรม โดย มโนรสสมหวังทุกประการ เทอญ
    :cool:
     
  14. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814
    อ้างอิง:
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%"><TBODY><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-RIGHT: 1px inset" class=alt2>ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ นพณัฐ [​IMG]
    อนุโมทนา สาธุ ๆ ๆ ด้วยครับลุง
    อ่านในหลาย ๆ เรื่องแล้ว ได้กำลังใจ ขึ้นเยอะเลยครับ

    ทำดีให้สุดขั้ว หนีชั่วให้สุดขีด ช่างเป็น วลี ที่ [​IMG] มาก ๆ ครับ
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    [​IMG][​IMG]
    ทำดีให้สุดขั้ว หนีชั่วให้สุดขีด ผมนึกออกแล้วครับว่าเป้นคำพูดของใคร เป็นคำของท่าน อ.ไกรสร พรหมพิทัก ครับท่าน ผมจึงนำคำขวัญนี้ มาไว้ในใจผม เพราะอะไร ก้เพราะว่า ผมทำอยู่แล้ว จนเป็น ปรกติ บังเอิญ ท่านพูดมามัน มาโดนใจผม เขาเรียก ขี้ตรงล่องพอดีครับผม[​IMG]<!-- google_ad_section_end -->
     
  15. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814
    อ้างอิง:
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%"><TBODY><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-RIGHT: 1px inset" class=alt2>ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ J47 [​IMG]



    ในกรณีนี้ไม่ได้เรียกว่าคู่บารมีนะครับ แต่เป็นการจองเวรของพระเทวทัต ฝ่ายเดียวนะครับ ลองอ่านดูนะครับ
    พระพุทธเจ้าได้ตรัสแสดงเรื่องราวที่พระเทวทัตเริ่มต้นจองเวรกับพระพุทธเจ้าไว้ใน เสรีววาณิชชาดก<SUP id=cite_ref-10 class=reference>[11]</SUP> ซึ่งปรากฏเนื้อหาโดยละเอียดในคัมภีร์อรรถกถา<SUP id=cite_ref-11 class=reference>[12]</SUP>สรุปความโดยย่อดังนี้
    <TABLE style="WIDTH: auto; BORDER-COLLAPSE: collapse" border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center><TBODY><TR><TD style="PADDING-BOTTOM: 10px; PADDING-LEFT: 10px; PADDING-RIGHT: 10px; PADDING-TOP: 10px" vAlign=top width=20>[​IMG]</TD><TD>
    ย้อนหลังไป 5 ภัทรกัป ได้มีพ่อค้าเร่เพื่อนกันสองคนชาวแคว้นเสริวรัฐ มีชื่อเดียวกันว่าเสรีวะ คนหนึ่งเป็นพระโพธิสัตว์ (พระพุทธเจ้าในปัจจุบัน) อีกคนหนึ่งเป็นพระเทวทัตในปัจจุบัน ทั้งสองได้ทำการค้าขายเร่ รับซื้อและขายของไปตามหัวเมืองต่าง ๆ
    จนวันหนึ่งทั้งสองได้ไปค้าขายเครื่องประดับในเมืองอริฏฐปุระ โดยตกลงแบ่งให้เข้าไปคนละทาง เพื่อไม่ไปค้าขายแข่งกัน
    พ่อค้าคนแรก (พระเทวทัต) ได้ตะโกนเร่ขายของตามถนนในเมืองไปเรื่อย ๆ จนไปถึงบ้านอดีตเศรษฐีผู้ดีเก่าตกยากหลังหนึ่ง ที่เหลืออยู่แต่เพียงยายกับหลานสาวในบ้านซ่อมซ่อไม่มีฐานะ เมื่อหลานสาวได้ยินเสียงพ่อค้าหาบเร่ จึงได้วิ่งออกมาดู เลยอยากได้เครื่องประดับ จึงไปขอร้องให้ยายซื้อให้ ยายจึงเรียกพ่อค้าเข้ามานั่งในบ้านและนำถาดเก่า ๆ สมบัติของตระกูลใบหนึ่งมาให้พ่อค้าดูเพื่อแลกซื้อเครื่องประดับให้หลาน
    ปรากฏว่าพ่อค้าจับดูจึงรู้ว่าเป็นถาดโลหะ เมื่อแอบเอาเข็มกรีดหลังถาด จึงเห็นว่าเป็นถาดทองคำ มีราคาถึงแสนกหาปณะ แต่ด้วยความที่พ่อค้าละโมภ อยากได้ถาดทองคำ โดยจะกดราคาให้ถึงที่สุด จึงทำทีเป็นไม่สนใจโวยวายว่าเป็นถาดไม่มีราคา แล้วก็โยนถาดทิ้งและก็ลุกเดินออกจากบ้านไป โดยหวังว่าสักพักจะเข้ามาใหม่เพื่อให้ยายแก่เปลี่ยนใจยอมแลกถาดกับของขาย เล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อคว้าถาดทองกำไรงามถาดนั้น
    คล้อยหลังไปไดสักพัก พ่อค้าพระโพธิสัตว์ผ่านมา เห็นพ่อค้าคนแรกออกจากซอยนั้นไปแล้ว จึงแวะเข้ามาขายเครื่องประดับอีก ซึ่งคราวนี้ หลานของยายอดีตตระกูลมหาเศรษฐีเมื่อกี้ก็ร้องอยากได้เครื่องประดับอีก ยายจึงเรียกให้พ่อค้าเข้ามาเพื่อขอแลกถาดเก่า ๆ สนิมเขรอะกับเครื่องประดับที่พ่อค้านำมาขาย
    เมื่อพ่อค้าจับถาดเก่าก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นถาดทองคำ มีราคาตั้งแสนกหาปณะ พ่อค้าพระโพธิสัตว์จึงบอกยายแก่ว่า "ถาดนี้เป็นถาดทองมีราคามหาศาล ของที่ฉันนำมาเร่ขายทั้งหมดนี่ก็สู้ราถาถาดของยายไม่ได้หรอกจ๊ะ"
    ยายแก่เห็นความซื่อสัตย์ของพ่อค้าจึงบอกว่า "ถาดนี้ เมื่อกี้พ่อค้าอีกคนโยนลงพื้นดูถูกว่าของไม่มีราคา แต่คราวนี้พ่อมาบอกว่ามีราคาตั้งแสน พ่อนี่ช่างตาถึงมีบุญเหลือเกิน เอาอย่างนี้ ฉันให้ถาดนี้แก่ท่าน เอาไปเถิด ส่วนท่านจะให้ของขายอะไรแก่ฉันกะหลานก็ได้ตามใจเถิด"
    พ่อค้าพระโพธิสัตว์ได้ฟังดังนั้นจึงบอกว่า "เอาอย่างนี้นะยาย ฉันยกของที่ฉันเอามาขายและเงินที่ติดตัวมาให้ยายหมดเลยก็แล้วกัน ฉันขอแค่ตาชั่งเอาไว้ทำมาหากินและเงินสัก 8 กหาปณะพอค่าเดินทางก็พอจ๊ะ"
    เมื่อพ่อค้าได้ถาดทองแล้ว จึงเดินทางไปที่ที่เรือเพื่อเดินทางกลับ ปรากฏว่า หลังจากพ่อค้าคนแรกเดินไปได้สักพักใหญ่ จึงย้อนมาหายายแก่เพื่อขอซื้อถาดใบนั้น แต่เมื่อยายเห็นพ่อค้าเข้ามาก็ตะเพิดไปว่า "ไอ้พ่อค้าจัญไร! ท่านทำให้ถาดทองคำเราเป็นของไร้ค่า ชิชะ! มาตอนนี้จะมาขอซื้อ ไป จะไปไหนก็ไป เมื้อกี้ ฉันยกถาดที่แกอยากได้ให้เป็นบุญแก่พ่อค้าตาถึงไปแล้ว แถมได้ตังค์กับของมาตั้งพันกหาปณะ"
    เมื่อพ่อค้าคนแรกได้ฟังดังนั้นถึงกับตกใจแค้นถึงสิ้นสติสลบฟุบไป พอฟื้นขึ้นก็เกิดความเสียดายอย่างเป็นกำลัง ถึงกับโปรยเงินและข้าวของที่นำมาเร่ขายทิ้งไว้หน้าบ้านยายแก่ แล้วก็ถือคันชั่งวิ่งตามรอยเท้าพระโพธิสัตว์ หวังจะแย่งถาดทองคืนไปถึงฝั่งแม่นํ้านั้น เห็นพระโพธิสัตว์กำลังขึ้นเรือไปอยู่ จึงกล่าวว่า "นายเรือโว้ย! เอาเรือกลับเข้าฝั่งเดี๋ยวนี้ ๆ" พระโพธิสัตว์ห้ามนายเรือว่า "อย่ากลับ ๆ" และแล่นเรือลับไป
    เมื่อพ่อค้าพาล เห็นพระโพธิสัตว์นั่งเรือหายวับไป จึงเกิดความโศกเศร้าเสียดายมีกำลัง หัวใจเต้นแรง เลือดพุ่งออกจากปาก และตั้งอธิษฐานผูกอาฆาตพระโพธิสัตว์ว่าจะจองเวรไปจนกว่าจะหาไม่ และถึงกับสิ้นชีวิตลง ณ ที่นั้นนั่นเอง.

    </TD><TD style="PADDING-BOTTOM: 10px; PADDING-LEFT: 10px; PADDING-RIGHT: 10px; PADDING-TOP: 10px" vAlign=bottom width=20>[​IMG]</TD></TR><TR><TD style="TEXT-ALIGN: right; PADDING-BOTTOM: 5px; PADDING-RIGHT: 2em; FONT-SIZE: 90%" vAlign=top colSpan=3>— 'อรรถกถาพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๙ ขุททกนิกาย ชาดก ภาค ๑ อรรถกถา เสรีววาณิชชาดก'</TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    สาธุครับอ้างมาได้ดีทีเดียว ผมก็ฟังพระท่านเทศบ่อย แต่จำได้ไม่หมด ได้มานิดเดียวครับ จริงๆพระเทวทัต กับพระพุทธเจ้าตอนเป็นพระโพธิสัตว์ เป็นพ่อค้า ท่านเป็นเพือนกัน จริงๆพระโพธิน่ะ มาก่อน แต่ยายยังไม่ขายให้ พระโพธิสัตว์กับไปก่อน บอก เดี๋ยวค่อยมาใหม่ พระเทวทัต มาทีหลัง แล้วกดราคา ไม่ให้ตามราคาจริง จึงไม่ขายให้ พระโพธิสัตว์มาใหม่ จึงขายให้พระโพธิสัตว์ ๆ ให้ในราคาดี ยายจึงยอมขาย เพราะตระกูลของท่านเป็นเศษฐีมาก่อน ข้อนี้พระโพธิสัตว์รู้ดี เพราะยายเล่า ให้ฟัง

    พระเทวทัตมาอีก เมื่อรู้ว่า พระโพธิสัตว มาซื้อถาดทองคำของยาย ไปจึงเจ้บใจ ไปหยิบทรายมา ๑ กำมือ แล้วอธิษฐานว่า เราจะขอจองเวรจองกรรม กับเจ้าไป จนเมล็ดทราย ในมือของเราหมด ทุกชาติ เม็ดละชาติครับคิดดู น่าจะหลายพันเม็ด และดังคุณ J 47 ว่ามาดังฉนี้แล[​IMG]
     
  16. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814
    ขอความกรุณาผู้สมารถหยั่งวาระจิตได้ตรวจสอบค่ะ
    <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->ช้างน้อยๆ<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_6808377", true); </SCRIPT>
    สมาชิก
    <!-- google_ad_section_end -->
    วิธีการ และการเดินนั้นไม่เหมือนกัน ทางจุดหมายปลายทางนั้น ทุกคนมีจุดหมายปลายทางคือพระนิพพาน บางทีเดินผิด เขาก็เลิกไปเองแหละ และหาวิธีเดินใหม่ บางที อาจจะถูกของเขาก็ได้ และในเจ้าของกระทู้ เป็นผู้มีปัญญา พอสมควร อ่านมาเอง ผู้อื่นไม่ได้อ่านหรือพบด้วยเอง เลยเดาได้ยากสักหน่อย และการดูจิตของผู้อื่น ก้ไม่สมควรอยู่แล้ว และถ้าดูไว้ ศึกษาหาความรู้ เพื่อจะเอาไปตัดกิเลส นั้นย่อมทำได้ และถ้าจะสงเคราะเขา ก็ส่วนใหญ่ เขาจะไปคุยกันสองต่อสอง หรือ มีที่ส่วนตัว เปิดเผยคุยกัน ใครจะดีหรือชั่ว หรือเราจะดีหรือชั่ว เขาหรือเราไม่สามารถมาเอาไปได้อยู่แล้วครับ นอกจะเราหรือเขายินดีในความชั่ว หรือความดี ซึ่งกันละกัน ก็ได้ ฝ่ายละ ๒๐ เปอร์เซ็น คือโมทนาสาธุ ความดีและชั่ว มันก็ได้ผล ทั้งสองอย่างเช่นกัน

    คนที่เขา เสมอกับเรา หรือต่ำกว่าเราๆสามารถรู้ได้ แต่ถ้าคนที่มีภูมิจิตภูมิธรรมสูงกว่าเรา ยิ่งทำเท่าไหร่ ไม่สามารถรู้ได้เลย นอกจากพระท่านสงเคราะถึงจะทำได้ครับ หรือเจ้าของท่านอนุญาติ เท่านั้น ทิพยจักษุญาณ เขามีไว้ ช่วยเหลือคน และสัตว์ แต่ถ้าไม่จำเป็น สมควรหลีกเลี่ยง และโดยเฉพาะเขาเอาไว้ สำรวจ ตัดกิเลส ของตัว เป็นอันดับแรก หรือเอาไว้พิสูตร ว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ มีความเปลี่ยนแปลงอย่างไร ถ้ายิ่งไปใช้ ในทาง ส่วนตัวของผู้อื่น ไม่ช้า เดี๋ยวก็เสื่อม ทำเพื่อสงเคราะ เห็นด้วยครับ

    การละกิเลส ไม่ใช่ทำได้ง่ายๆ พระพุทธองค์ ท่านตรัส ตัณหาอาศัยตัณหาละไม่ได้ ยิ่งเสพ ยิ่ง เพิ่ม ไม่เบื่อ ผมลองมาแล้ว ยิ่งลองยิ่งมากทวีคูณ เห็นลูกเมียใครไม่ได้ ชอบดะไปหมด เมื่อได้คนนี้ ก็อยากลองคนอื่นต่อไป กี่คนก็ตามไม่มีคำว่าเบื่อ มีอยากตลอดไป เปลี่ยนไปเรื่อยๆ คำว่าพอไม่มี การที่พระพุทธองค์ บอก ว่าต้องเอากาย ใจ ออกห่าง จาก ตัณหา จึงจะเบาบาง หรือค่อยๆลด แล้วปฏิบัติ สมาธิกรรมฐาน มันจะค่อยๆเบา อยู่ๆจะมากดหัวมันให้ยอมเรา มันไม่ง่ายหรอกครับ ยิ่งทำก็ยิ่งเหมือนม้าพยศนั่นแหละครับ ผมทำมาสาระพัด บวชเณร เถร ชี พระ จะอยู่ในหุบเหว ป่า ถ้ำ เมือง กรุง ไม่เห็นมันจะยอมเรา แต่ใช้ได้ ชั่วขณะหนึ่ง กดได้จนกว่าเราจะมีกำลัง หั้มหั่นกับมัน และชนะมัน แต่ที่ผม ไปลองทำมา มันแพ้ เสีย ๙๐ กว่าเปอร์เซ็น ไม่แน่ใจว่าชนะมันได้ถึง ๒ เปอร์เซ็นหรือเปล่าครับ


    การที่จะเอาความโกรธ ละความโกรธ นั้นละได้ ดังที่องค์สมเด็จท่านตรัสนั่นแหละ โทสะอาศัย โทสะนั้นละได้ มันก็ต้องค่อยๆแหละครับ พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ทั้งหลาย ท่านทำมา นับชาติไม่ถ้วน กว่าจะเป็นพระพุทธเจ้า และพระอรหันต์ ความ โลภะ อาศัย โลภะนั้นละได้ ผมเชื่อตามที่พระพุทธองค์บอก แต่ก็ยังทำไม่ได้ แต่บางครั้ง ก็ทำได้นิดหน่อยเอง แต่ตัณหานั้นไม่มีทางเลย ต้องเอากายใจ ออกห่างอย่างเดียว จนเรามีกำลังสู้กับมันครับ ทั้งชั่วและดี เราก็ต้องเรียน ทั้งสองแบบนั่น แหละ ใครจะเอาทางไหนไปมากกว่ากัน เท่านั้นแหละ และใครจะกับตัวใจ ได้ก่อนกัน แม้ปฏิบัติ สมถะกรรมฐานก็เหมือนกัน มันมีทั้งสองแบบ แต่ใคร จะรู้ หรือละได้ก่อนกัน ต่างหากเล่า ไม่งั้นท่านจะสอนหรือ นิมิตรจำเป็นต้องละ นิมิตรจำเป็นต้องรักษา ไปหาเอาครับ ทำมาขนาดนี้ คงรู้แล้วครับ :cool:<!-- google_ad_section_end --> <!-- / message --><!-- edit note -->
     
  17. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814
    ~ ..พลังจิตสัมผัส.. ~ (เดือน6 เริ่มต้นภัยต่างๆที่น่าเศร้าใจอีกครั้ง)
    <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->interpoo<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_6805992", true); </SCRIPT>
    สมาชิก
    <!-- google_ad_section_end -->
    :cool:({) ดีครับอนุโมทนาสาธุ ครับ อนาคตังสญาณ รู้อนาคต อตีตังสญาณ รู้อดีด ปัจจุปันนังสญาณ รู้ในปัจจุบัน เจโตปริญญาณ รู้ใจคนและสัตว์ ปุบเพนิวาสานุสติญาณ อันนี้น่าจะ รู้ใจคนและ สัตว์ ที่ตายไปแล้ว จะไปเกิดที่ไหน ไปเป็นอะไร รู้อดีดและอนาคต ของคนสัตว์ที่ตาย ไป คุณรู้ถึงขนาดนั้นหรือเปล่าครับ ถึงรู้ไม่หมด มันก็อยู่ในข้อที่ผมว่ามาครับ คุณมีทิพย์จักษุญาณที่เกิดขึ้นกับคุณ ญาณ ๘ นั่นเอง มันเป็นของเก่าของคุณที่คุณได้มาแล้วจนนับชาติไม่ถ้วน จุตูปปาตญาณ และยถากรรมมุตาญาณ ผมบอกรายละเอียดไม่หมด จำได้ไม่หมด

    ยิ่งคุณได้ปฏิบัติธรรมด้วยคุรก็ฟอกจิตของคุณให้ขาว สอาดยิ่งๆขึ้นไป คุณคงได้ไปฝึกกับครูบาอารย์ที่วัดมาแล้ว ใช่ไหม ครับ ผมพึ่งเข้ามา ได้อ่านแค่ ๒-๓ หน้า แต่ก็เข้าใจได้เลย ไม่ใช่ผมได้หรอกนะ เพราะผมมีประสพการณ์ พอสมควรแก่อัตภาพก็เท่านั้นเองครับ

    สุดท้ายนี้ก็ขอให้คุณประสพ แต่สิ่งอันพึงปราถนา ทุกประการด้วย เทอญ ทั้งทางโลกและทางธรรมครับสวัสดี:cool:<!-- google_ad_section_end --> <!-- / message --><!-- edit note -->
     
  18. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814
    วิธีบรรลุธรรมของแท้
    <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->bigtoo<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_6801522", true); </SCRIPT>
    สมาชิก
    <!-- google_ad_section_end -->
    :cool:({)ผมอ่านหน้าแรกก็พอจะเข้าใจ แต่ไม่ได้ตามอ่านหมดหรอกนะ เข้ามาศึกษาผมว่าดีครับ ผมว่า อย่ามาก่อกรรมก่อเวรกันเลยครับ เพราะไม่มีประโยชน์ จะเกิดโทษเปล่าๆ ของใครของมัน ทำถึงไม่ถึง เป็นเรื่องของบุคคลครับ ใครทำได้ ก็อนุโมทนาสาธุ ใครจะแยกแยะได้ นั่นต่างห่าง กรรมฐานกองเดียว ถ้าเอาจริง ก็ถึงนิพพานได้ หลุดพ้นได้ กรรมฐาน ๔๐ แยกไปเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า ๘๔,๐๐๐พระธรรมขัน คำว่าพุทโธ ยังแยกปีกย่อยไปได้อีกมากมาย มีคนชอบไม่ก็ไม่มีคนไม่ชอบ มันเป็นของคู่กันอยู่แล้ว บางอย่างมีคุณ มันก็มีโทษ การก่อเวร มันไม่จำเป็นต้องอยู่ ซึ่ง หน้า ถ้าทำกับคนที่มีศิลธรรมดา ก็มีโทษหนักแล้ว ถ้าคนที่ได้ฌาณสมาธิ กรรมจะหนักกว่าครับ จะให้ผลในชาตินี้ ไม่ต้องเอาถึงขั้นอริยะหรอก แต่ถ้าทำถึงเขาก็ไม่ให้ใครได้รับโทษ ผมเข้ามาสัมผัส ครึ่งเดือนกว่า ก็พอจะเข้าใจบ้าง มันก็มีทั้งคุณและโทษครับ คนเห็นผี บอกมีผี คนไม่เห็นผีบอกไม่มีผี มันถูกทั้งคู่ แต่ใครจะถูกมากถูกน้อย และละเอียดกว่ากันเท่านั้นเอง ทุกคนเป็นผู้ศึกษาทั้งนั้น พระโยคาวจร ระดับไหน

    อภิญญา ๕ มันเสื่อมได้ แต่ก็ไม่ได้ง่ายนะ ขนาดของเด็กๆ ยังทำไม่ได้เลย แล้วจะไปพูดถึงพระอริยะเจ้า พวกนี้ถ้าบวชพระยังมีศึกครับ ถ้าเป็นพระโสดาบันนั่นไม่ศึกแล้ว นอกจาก โซดาเท่านั้น ผมเห็นมาพอสมควรครับ สิ่งใดทำได้เราก็โมนาสาธุกับเขา เขาทำไม่ได้ก็เรื่องของเขา ปริยัติ การเรียนรู้ และตำรา เป็นหนทางให้เราเดิน ส่วนการปฏิบัติ เป็นหนทางแห่งมรรคผล จะอยู่ในโลกียยังไม่เรียกว่าพระๆพระโยคาวจร หรือ ถ้าได้โลกุตร จะเป็นนักบวช หรือฆราวาส พระพุทธเจ้าเรียกว่าพระ แต่ถ้าบวช ห่มเหลืองนุ่งเหลือง พระพุทธเจ้ายังไม่เรียกว่าพระ ท่านเรียกว่า สมมุติสงฆ์ ครับ เดี๋ยวไปใส่บารตก่อนครับ วันนี้วันพระ เดี๋ยวเข้ามาใหม่ ผมพึ่งเข้ามา พึ่งเห็นครับ ขอตอบแค่นี้ก่อนครับ:cool:<!-- google_ad_section_end --> <!-- / message --><!-- edit note -->
     
  19. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814
    คนที่ชอบด่าหรือใส่ร้ายผู้อื่น กรรมจะมาเร็วมาก เป็นกรรมทางวาจา มีผลร้ายแรงมาก
    ปาวาสมาชิก<!-- google_ad_section_end -->


    แต่คนเดี๋ยวนี้จะชอบสวนทาง กันน่ะครับ ที่ประสพมา คนเราชอบ ให้ใครมาพูด เรื่องที่เป็นความจริง ทำจริงทุกอย่าง แต่เมื่อเราเอาเรื่องจริงมาพูด กับไม่ยอมรับ แห่งความเป็นจริง ตะแบกเรื่อยเปื่อยไปที่อื่น เสียส่วนใหญ่ แต่มักจะชอบ คนที่พูดเรื่องไม่จริง ประจบประแจง สอพอ เรื่องไม่จริง แต่ชอบนัก ให้การสนับสนุน ในทุกเรื่อง โดยไม่ใช้ปัญญา ไตร่ตรองแม้แต่น้อย แล้วยิ่งทำความผิดมา เอาเงิน มาให้ยิ่งชอบ ไปเข้าข้างเฉย ยิ่งในวงของข้าราชการด้วยแล้ว คนไทยกระเหรี่ยงตาย ไม่คัดชื่อออก เขาเอาเงินมาให้ ๕๐,๐๐๐หมื่นบาท หรือ ๑๐๐,๐๐๐ บาท มึงได้เป็นคนไทยแล้ว ๑๐๐ เปอร์เซ็น พม่า มอญ กระเหรี่ยง มาอยู่ไทย ใช้ผู้ใหญ่ บ้านกำนันรับ ลอง หรือคนในหมู่บ้านที่ได้กิน อีก ๒ คน มึงได้เป็น คนพื้นราบสูง คนไทยภูเขาแล้วอ่ะ เสียแค่ ๒,๐๐๐บาท เดี๋ยวนี้ทำง่าย เมื่อก่อนยังยากกว่านี้ ต้องใช้คนครึ่งหมู่บ้าน เดี๋ยวนี้เงินมันซื้อง่ายจริงๆคนไทยเกิดในไทย กับจะอยู่ แผ่นดินเกิด ไม่ค่อยได้ เพราะมันไม่ได้กิน

    นี่มันเกี่ยวอะไรกับเจ้าของกระทู้เนี่ย ถึงได้พูดออกมาอย่างนี้ ขออภัยด้วยครับ<!-- google_ad_section_end --> <!-- / message --><!-- edit note -->

    <HR style="BACKGROUND-COLOR: #ffffff; COLOR: #ffffff" SIZE=1>
     
  20. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814
    ขอสอบถามเรื่องการปฏิบัติครับ<!-- google_ad_section_end -->


    อ้างอิง:
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%"><TBODY><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-RIGHT: 1px inset" class=alt2>ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ Gorgeous [​IMG]
    ขอบพระคุณพี่ทั้งสองคนมากครับ เข้าใจถ่องแท้แล้ว ขอบพระคุณครับ
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    :cool:({) ไม่ว่าจะภาวนาพิจรณาก็ใช้ได้ทั้งนั้นแหละ แต่ถ้าเราทำมาอย่างไหนคล่องหรือถนัดอย่างไหน ให้เอาอย่างเดิม แต่ถ้าเก่งแล้ว อะไรก็ได้ แต่ผมน่ะเคยเปลี่ยน แต่มันฟุ้งไปหมด ไม่ว่าคุณ จะ พิจรณา หรือภาวนา มันก็ขึ้นต้น ด้วยสมถะ ทั้งนั้นแหละ คนเราถ้าไม่ขึ้นต้นก่อน จะกะโดดไปยอดนั้น ได้หรือ ขึ้นต้นไม้ มันก็ขึ้นโคนต้นไปก่อนครับ กรรมฐานก็เหมือนกัน วิธีของครูบาอาจารย์แต่ละองค์ไม่เหมือนกัน แต่ความปราถนาเหมือนกัน คือความพ้นทุกข์ การสอนก็ไม่เหมือนกัน และยิ่งคุณธรรมแต่ละองค์ ท่านทำได้แค่ไหน ท่านก็สอนแค่นั้น


    การพิจรณา เช่น คนเราเกิด แก่ เจ็บ ตาย มีความหิว กระหาย หนาว ร้อน ป่วยไข้ไม่สบาย ใช้ความคิด แม้แต่พิจรณา คุณงามความดี ของพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยะสงฆ์ ก็ขึ้นต้นด้วยสมถะ ตาบใด ถ้าคุณ พิจรณา เห็นไตรลักษ์ ให้เป็นอนิจจังทุกข์ ขัง อนัตตา เสื่อมสลายไป นั่นแหละ เมื่อนั้นแหละ เป็น วิปัสนาญาณ กรรมฐานมีหัวข้อหลัก ๔๐ ข้อ มหาสติปัฏฐาน อีก ๑ ปีกย่อยแตกแขนงไปอีกเยอะ แล้วแต่ อุบาย เป็นเครื่องสงบจิต เมื่อคุณ ภาวนาจนจิตสงบลง คุณก็หันมาพิจรณา มันจะเร็วขึ้น คนที่จะผ่าน และได้มรรคผล มันก้ต้องหันมาพิจรณากาย ถึงจะเข้าถึงความจุดจบได้ พระอริยเจ้าทั้งหลาย ท่านก็มาพิจรณาที่กายจุดเดียว จนจบถึง ที่สุด สักกายทิฏฐิ หยาบไปถึงละเอียดครับ

    ฉนั้นคุณถามใจคุณว่าจะเอาแบบไหนดี สมควรหรือไม่ อย่างไหนสงบเร็วกว่าครับ การภาวนาจริงๆอะไรก็ มันเป็นเครื่องอุบายให้ใจเราอยู่กับที่ แต่กรรมฐานทุกกองจะทิ้ง อาปานุสติกรรมฐานนั้นไม่ได้ จะทำให้กรรมฐาน ทุกๆๆกองเสื่อม จะอยู่ได้ไม่นานครับ พระพุทธองค์กล่าวกับพระอานนท์ว่า อานันท ดูก่อนอานนท์ แม้เราตถาคต ก็มากด้วยอนาปานัสติ อานาปานุสติ จะระงับกายสังขารและเวทนาได้เป็นอย่างดีครับ<!-- google_ad_section_end -->
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...