เรื่องเด่น หลวงปู่จันทร์ เขมิโย พระโพธิสัตว์ผู้เป็นศิษย์องค์ต้นหลวงปู่มั่น

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย NAMOBUDDHAYA, 5 กุมภาพันธ์ 2022.

  1. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,103
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,003
    ค่าพลัง:
    +69,974
    OGmupwNMN4ViFuiIyWt8QADkEJdjRKxKKF&_nc_ohc=_8Q_RSt_bAgAX8P7GRd&_nc_zt=23&_nc_ht=scontent.fbkk2-8.jpg



    วันที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๕ เป็นวันคล้ายวันมรณภาพของหลวงปู่จันทร์ เขมิโย รำลึก ๔๙ ปี อาจาริยบูชาคุณ “พระโพธิสัตว์ผู้เป็นอุปัชฌายาจารย์ของพระกัมมัฏฐาน” องค์ท่านเป็นศิษย์หลวงปู่เสาร์ กันตสีโล หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ท่านได้พาหลวงปู่จูม พันธุโล(ขณะยังเป็นสามเณร) มาถวายตัวเป็นศิษย์หลวงปู่เสาร์ด้วยกัน หลวงปู่จันทร์ ท่านเป็นพระปฏิบัติที่มีอภิญญา และเป็นอุปัชฌายาจารย์ให้กับพระมหาเถระหลาย ๆ รูป จึงขอน้อมนำเรื่องราวอภิญญาของหลวงปู่จันทร์ เขมิโย มาเผยแผ่เป็นคติเพื่อไม่ให้ประมาทในมรณภัยครับ

    #ปลาพระโพธิสัตว์
    เล่าโดยหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
    พอพูดอย่างนี้เราก็มาระลึกได้ถึงท่านเจ้าคุณ... ท่านบอกว่าท่านแน่ใจพอแล้ว เวลานี้ถอนไม่ได้ ท่านปรารถนาเป็นโพธิสัตว์โพธิญาณ รู้สึกท่านจะแก่กล้าพอสมควร คำฝันท่านนี้แม่นยำมากทีเดียว นี่ละที่สำคัญมาก คิดดูซิท่านอยู่บนกุฏิท่านฝันหรือท่านภาวนาอะไรไม่รู้ ท่านเห็นปลาเขาขังไว้หลังบ้านเขา โน่นน่ะฟังซิ มันมีปลาโพธิสัตว์อยู่ในนั้น
    ปลาโพธิสัตว์นี้หยั่งถึงท่านเลย ท่านก็เป็นโพธิสัตว์ จะสามารถเอาพวกเราพ้นจากความตายนี้ได้ก็คือพระโพธิสัตว์องค์นี้ อาจารย์องค์นี้แหละว่างั้น มันคงจะบันดลบันดาล ปลาโพธิสัตว์นั้นไปบันดลบันดาลให้ท่านฝัน ว่ามีคนเอาปลามาขังไว้ที่หลังบ้าน บ้านหลังนั้นๆ บอกชัดเจนเลยนะ มีปลาโพธิสัตว์อยู่ที่นั่นด้วย ท่านฝันอย่างชัดเจน ตื่นเช้ามาท่านบิณฑบาตไปเข้าในบ้านเขาเลย เป็นอย่างนั้นละโพธิสัตว์ รู้สึกว่าท่านฝันแม่นยำมาก บุกเข้าไป ไม่เคยไปบ้านเขานะมันหากเป็นเอง ท่านว่า เข้าไปในสวนหลังบ้านเขา เขาเอาปลาขังไว้ในนั้น ท่านบิณฑบาตเอาหมดทั้งถังใหญ่เลยเทียว ปลาเหล่านั้นพ้นภัยไปหมดเลย
    ท่านว่า ขอบิณฑบาตเถอะปลานี้ ถ้าจะคิดเอาเงินเอาทองก็ไม่คุ้มค่ายิ่งกว่าการถวายชีวิตปลาให้เป็นทานไป อันนี้มีคุณค่ามากยิ่งกว่าเงิน อย่าถามหาเงินเถอะ ว่างั้นเลย ให้ถามบุญถามกุศลถามความพ้นทุกข์ อันนี้มีคุณค่ามากที่สุดอยู่ในตุ่มนี้ ว่างั้น เขาก็พอใจ สาธุ มอบให้หมดเลย ปลาเหล่านั้นพ้นภัยมา นี่ยกตัวอย่างอันหนึ่งนะพระโพธิสัตว์องค์นี้

    #เรื่องโต้วาทีกับยมบาล
    เรื่องนี้เกิดขึ้นสมัยที่ท่านเจ้าคุณปู่ฯ ยังดำรงสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตรที่พระครูสีลสัมบัน ท่านได้กล่าวว่า เวลากลางคืนวันหนึ่ง ขณะที่ท่านนอนเล่นอยู่บนเก้าอี้ผ้าใบที่หน้ามุขกุฏิหลังเดิมซึ่งถูกรื้อไปแล้ว ท่านต้องตกใจตื่นขึ้นเมื่อท่านได้มองเห็นร่างอสุกายตนหนึ่งยืนตระหง่านจ้องมองท่านอยู่ ท่านจึงเดินเข้าไปในกุฏิแล้วปิดประตูเสีย แล้วเดินเข้าห้องส่วนตัวไหว้พระสวดมนต์ แล้วนั่งเจริญเมตตาภาวนาต่อจากนั้นก็นั่งสมาธิ ขณะนั้นเองอสุรกายตนนั้นก็เดินเข้ามาหาท่านภายในห้อง ท่านจึงเอ่ยถามอสุรกายตนนั้นขึ้นก่อนว่า คุณเป็นใคร มาจากไหน มาทำไม มีธุระอะไรหรือจึงมาพบฉัน อสุรกายตนนั้นตอบว่า ผมเป็นยมบาลมาจายมโลก มาเพื่อจะจับเอาคนที่หนีนรกมาเกิด ท่านจึงถามยมบาลว่า คนที่วัดที่หนีนรกมาเกิดเป็นใคร ยมบาลตอบว่า คนที่วัดที่หนีนรกมาเกิดนั้นเป็นสามเณรสุ ท่านจึงกล่าวว่า สามเณรสุมีอายุได้ ๑๖ ปี บรรพชาเป็นสามเณรได้ ๒ ปีแล้ว
    ท่านกล่าวว่าจะหนีนรกมาเกิดได้อย่างไร ยมบาลตอบว่า หนีมาเกิดได้เพราะวันเวลาในโลกมนุษย์กับนรกแตกต่างหันมาก นี่ก็เพิ่งจะหนีมา ผมจึงได้ติดตามมา และยังกล่าวหาท่านว่า ท่านบวชคนผิด ท่านได้ตอบยมบาลว่าตนได้รับการแต่งตั้งเป็นอุปัชฌาย์ถูกต้องตามกฏหมาย จากสมเด็จพระสังฆราชเจ้า ให้บรรพชา อุปสมบทแก่กุลบุตรได้ทั่วราชอาณาจักร จะมาพูดกล่าวหาว่าฉันบวชคนผิดได้อย่างไร ยมบาลตอบว่าท่านผิดแน่นอน เพราะท่านบวชคนของผมที่หนีมาจากนรก ผมตามมาทันจะต้องนำกลับไปเดี๋ยวนี้ท่านเจ้าคุณปู่ฯ เล่าต่อไปว่า เมื่อท่านได้ยินยมบาลพูดกล่าวหาท่าน ทั้งยังยืนยันว่าท่านเป็นคนผิดนั้น จึงตอบเขาว่า ถ้าฉันผิดจริงตามข้อกล่าวหาแล้ว ก็จงไปแจ้งนายอำเภอสิ
    ยมบาลตอบว่า ผมเป็นใหญ่กว่านายอำเภอ ถ้าเช่นนั้นก็ไปแจ้งข้าหลวงสิ ยมบาลตอบว่า ผมเป็นใหญ่กว่าข้าหลวง ท่านจึงกล่าวว่า หากเป็นเช่นนั้นก็จงไปฟ้องสมเด็จพระสังฆราชเจ้าสิ ยมบาลตอบว่า ผมเป็นใหญ่กว่าสมเด็จพระสังฆราชเจ้า ท่านจึงกล่าวว่า หากเป็นเช่นนั้นก็จงไปฟ้องพระเจ้าแผ่นดินสิ ยมบาลตอบว่า ผมเป็นใหญ่กว่าพระเจ้าแผ่นดิน เพราะผมเป็นยมทูตมาจากนรก ต้องการนำสามเณรสุกลับไป ทั้งได้กล่าวต่อไปอีกว่าท่านได้บวชคนผิด บวชคนโทษที่ไม่ได้รับอนุญาต ท่านเป็นอุปัชฌาย์ ก่อนจะบวชคนทำไมไม่สอบสวนให้แน่นอนเสียก่อน ท่านตอบยมบาลว่า ก็เมื่อเขาเกิดมาเป็นคนแล้วก็เป็นเรื่องของคน ฉันก็เห็นเขาคนแล้วจึงให้บวช เพราะฉันไม่ได้เป็นอุปัชฌาย์ในเมืองผีนี่และได้ถามยมบาลไปว่า เมื่อคุณเห็นว่าเขาหนีมาเกิดจริงแล้ว คุณมีหลักฐานอะไรมาแสดงให้ดูบ้าง ก่อนที่คุณจะนำตัวสามเณรสุกลับไปท่านเจ้าคุณปู่ฯ กล่าวต่อไปว่า เมื่อท่านถามหาหลักฐานเช่นนั้น ยมบาลก็ล้วงเอากระดาษสีเหลืองแผ่นหนึ่งออกมา แล้วสลัดกระดาษนั้น สองสามครั้งก็ปรากฏว่ามีรูปสามเณรสุนั้นติดอยู่ในกระดาษสีเหลืองแผ่นนั้น
    ยมบาสลจึงชี้ให้ดูตำหนิปานสีดำใต้คางแห่งหนึ่ง ที่ใต้รักแร้ทั้งสองข้างแห่งหนึ่ง เมื่อท่านได้เห็นตำหนิปานอันเป็นหลักฐานแล้ว หลวงปู่จันทร์ จึงพูดขอชีวิตสามเณรสุต่อยมบาลไว้ว่า ไหนๆ เขาก็เกิดมาเป็นคนและได้บรรพชาเป็นสามเณรประพฤติพรหมจรรย์แล้ว ก็จงอนุญาตให้เขาอยู่ในเพศนี้ต่อไป ยมบาลบอกท่านว่าถึงแม้ท่านจะขอชีวิตสามเณรสุไว้ ผมก็อนุญาตไม่ได้ เพราะสามเณรสุยังไม่สิ้นกรรม จะต้องเสวยวิบากกรรมชั่วที่ได้ทำไว้ในอดีตอีกต่อไป จนกว่าจะหมดวิบากกรรมชั่วนั้น
    การที่ผมมาพบท่านครั้งนี้ก็เพื่อจะแจ้งให้ท่านทราบเท่านั้น หากผมจะนำตัวสามเณรสุไปตามอำนาจของผม โดยไม่ต้องแจ้งให้ท่านทราบก็ทำได้ แต่ผมไม่ทำเพราะมีความเกรงใจท่าน กระนั้นผมจึงต้องนำตัวสามเณรสุกลับไปเสวยวิบากกรรมชั่วต่อไปอย่างแน่นอน เมื่อยมบาลพูดเช่นนั้นแล้วก็กราบลาหายตัวไปในเวลาก่อนเพลของคืนวันที่อสุรกายหรือยมบาลปรากฏตัว ได้พูดโต้ตอบกับเจ้าคุณปู่ฯ นั้น สามเณรสุรู้สึกไม่ค่อยสบายมาหลายวันแล้ว แต่วันนั้นนึกอยากจะฉันลูกกระท้อนเป็นอย่างยิ่ง จึงได้จัดหาลูกกระท้อนในวัดมาฉันกับน้ำปลาร้ากับเพื่อนสามเณร ขณะฉันก็รู้สึกว่าอร่อยมากที่เดียว ฉันได้มากกว่าเพื่อนสามเณรด้วยกัน ครั้นเมื่อถึงกลางคืนประมาณ ๒ นาฬิกา รู้สึกปวดท้องอย่างแรงจึงรีบเข้าห้องน้ำ ปรากฏว่าท้องเดินอย่างรุนแรง ถ่ายท้องจนหมดเรี่ยวแรง ร้องครวญครางอยู่ภายในห้องพัก พอดีพระภิกษุปกครองซึ่งอยู่ห้องถัดไปตื่นขึ้นจึงเข้ามารักษาพยาบาลก่อน ครั้นเห็นอาการหนักมาก จึงเข้าไปกราบเรียนเจ้าคุณปู่ฯ เวลาประมาณ ๔ นาฬิกา
    ท่านเจ้าคุณปู่เมื่อทราบเรื่อง ก็รีบจุดเทียนเดินไปดูและสั่งให้หายามาตามแต่จะหาได้เพราะยาสมัยนั้นเป็นของหายาก ท่านเจ้าคุณปู่ฯได้เอาเทียนส่องดูตามร่างกายของสามเณรสุผู้ป่วยก็มีปานสีดำเป็นจุดที่พอสังเกตได้ที่ไต้คาง แต่ที่ใต้รักแร้ทั้งสองข้างก็เป็นปานสีดำเห็นได้ชัดเจน ตรงตามที่ปรากฏอยู่ในรูปภาพอันยมบาลชี้ให้ดูในกระดาษสีเหลืองทุกประการ ส่วนสามเณรสุนั้นก็มีอาการไม่ดีขึ้นมีแต่ทรุดลงตามลำดับ จนกระทั่ง ๕ นาฬิกา สามเณรสุก็มรณภาพเมื่อสามเณรสุมรณภาพลง ท่านเจ้าคุณปู่ฯ ก็ให้จัดบำเพ็ญกุศล และได้เล่าเรื่องราวข้างต้นนี้ให้พระภิกษุสามเณรและประชาชนให้ฟังโดยทั่วกัน
    การที่ยมบาลจะติดตามมาเอาวิญญาณของสัตว์นรกที่เสวยวิบากกรรมชั่วที่ยังไม่หมดแต่หลบหนีมาเกิดเป็นมนุษย์ ย่อมมีอำนาจสิทธิ์สามารถกระทำได้ โยไม่ต้องบอกกล่าวหรือขออนุญาตแต่ประการใดเลย เพราะยมบาลนั้นมีอำนาจมากอยู่เหนือสิ่งใดทั้งหมด แต่สำหรับกรณีสามเณรสุผู้อยู่ภายใต้ปกครองของท่านเจ้าคุณปู่ฯ ยมบาลก็ไม่จับเอาไปโดยพลการของตน ยังต้องมาบอกกล่าวให้ท่านทราบเสียก่อน ย่อมเป็นเครื่องแสดงให้ทราบว่า ยมบาลยังมีความเคารพในคุณธรรมของท่านเจ้าคุณปู่ฯอยู่และท่านเจ้าคุณปู่ฯจะมีบุญวาสนาบารมีสูงส่งอย่างไรนั้น ย่อมเป็นที่ซาบซึ้งตรึงใจของท่านผู้ที่เข้าใกล้คบหาสมาคมกับท่านเป็นอย่างดี จึงฝากขอให้ท่านผู้มีวิจารณญาณได้พิจารณาไตร่ตรองเองเถิด
    #หลวงปู่จันทร์_เขมิโย_เป็นพระโพธิสัตว์
    เล่าโดยหลวงปู่จาม มหาปุญฺโญ
    ท่านเจ้าคุณเมืองนครพนมรูปนี้ (เจ้าคุณจันทร์ เขมิโย)... บำเพ็ญจะเป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งต่อไปเมื่อหน้าอันลำดับได้แต่พระศรีอาริย์ฯ ไปเป็นลำดับที่องค์ที่ ๓๐ แบบพระวิริยะที่ ๑ อายุแสนปี เจ้าคุณเมืองนครพนม องค์นี้เป็นอาจารย์ของอุปัชฌาย์ผู้ข้าฯ... เจ้าคุณจูมเมืองอุดร (ท่านเจ้าคุณธรรมเจดีย์ จูม พันธุโล) แม้อายุมากแล้ว คำเรียกขานก็ยังติดปากอยู่ว่า “จัว” (เณรๆ) ......
    แต่ท่านทั้ง ๒ รูป ก็เคารพนับถือและรักใคร่กันดีมาก ครูบาอาจารย์พระเถระ ศิษย์ของเพิ่นครูอาจารย์เสาร์ กันตสีโล เพิ่นครูอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ก็ออกมาแต่พระอุปัชฌาย์ ๒ องค์นี้โดยมาก. ผู้ข้าฯ ก็ว่าจะไปบวชกับท่านเจ้าคุณจันทร์ เขมิโย เมืองนครพนม แต่ครูอาจารย์ฝั้น อาจาโร บอกว่าไปบวชเมืองอุดรฯ ดีกว่า บางทีอาจจะได้ข่าวของเพิ่นครูอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ว่าเพิ่นอยู่ที่ได๋จะได้ประโยชน์ ๒ ทาง….." คัดลอกจากธรรมะประวัติองค์หลวงปู่จาม มหาปุญโญ ผู้มากมีบุญ วัดป่าวิเวกวัฒนาราม ตอนที่ ๑๑๖
    #หัวใจบารมี๑๐ประการ
    พระธรรมเทศนา โดยพระเทพสิทธาจารย์ (พระมหาจันทร์ เขมิโย)
    "..เราต้องเป็นผู้มีสติสัมปชัญญะรอบคอบในทุกอิริยาบถ ยืน เดิน นั่ง นอน สอนตนอยู่เสมอ ไม่เผลอไปเป็นพวกของมาร
    การที่เราจะพ้นทุกข์ได้นั้น ต้องอาศัยความเพียร พากันตั้งใจ กิน ดื่ม ทำ พูด คิด ยึดเอาความสุจริตเป็นพื้นฐานมารองรับไว้ เพื่อจะได้ปิดความชั่วไม่ให้รั่วไหลมาหาเจ้าของเอง
    เพราะฉะนั้น พวกเราจะต้องฝึกหัดทุกสิ่งทุกอย่างทุกประการ ไม่ฝึกไม่หัดไม่ได้ จะกลายเป็นคนหลงเหลิงเหลวแหลก เป็นผีหลอกผู้เจ้าของเองทั้งชาติ
    เขาคลานไปสวรรค์ นิพพาน เราคลานลงนรก จะประโยชน์อะไร ในการเกิดมาค้าทุนก็ไม่ได้มีกำไร เสียทีทั้งภพ
    โดยเหตุนี้ ลูกหลานเหลนได้ฟังแล้ว จงพากันจดจำ ไว้เป็นตำรา
    อย่าฝ่าฝืนคำสั่ง ในพระธรรมวินัย
    พวกเราจงพากันยึดเอาคุณงามความดีของเจ้าของ มาเป็นสรณะที่พึ่งที่ระลึกอยู่เสมอว่า
    พระองค์ได้ทรงสร้างบารมีมาครบ ๑๐ ประการ ตามหัวใจบารมีว่า
    “ทา สี เน ป วิ ข ส อ เม อุ”
    “ทา” ตื่นมาต้องพากันคิดทาน มากน้อยก็ตาม
    “สี” ตื่นขึ้นมาต้องพากันตรวจศีล ที่ตนรักษาไว้ว่า บริสุทธิ์บริบูรณ์หรือไม่ประการใด
    “เน” ตื่นขึ้นมาต้องพยายามสละสิ่งไม่ดีออกจากจิตให้ได้
    “ป” ตื่นขึ้นมาต้องอบรมปัญญาความรู้ทั่วถึงธรรมะ สิ่งใดควรละและควรทำตาม
    “วิ” ตื่นขึ้นมาต้องสร้างความพากเพียรพยายาม จนสุดความสามารถของตน
    “ข” ตื่นขึ้นมาต้องมีความอดทนอดกลั้น อย่าให้ความโลภ โกรธ หลง มาครอบงำจิตใจเราได้
    “ส” ตื่นขึ้นมาเราต้องรักษาความสัตย์ความจริงไว้
    “อ” ตื่นขึ้นมาเราต้องตั้งใจไว้ให้มั่นคง ดำรงความดีไว้ในจิตของเรา อย่าให้โอกาสความชั่ว เข้ามาปล้นหัวใจของเราได้
    “เม” ตื่นขึ้นมาต้องคิดแผ่เมตตาจิต ต่อสรรพสัตว์ทุกประเภท ไม่มีขอบเขตประมาณ ตามพระศาสดาจารย์ที่สั่งสอนไว้
    “อุ” ตื่นขึ้นมาแล้วต้องใช้ปัญญาพินิจให้รอบคอบ ในสรรพสัตว์ทุกจำพวก เมื่อเราช่วยเหลือเขาไม่ได้แล้ว เราอย่านิ่งดูดาย ควรหาอุบายช่วยทางปัญญา อย่าปล่อยโอกาสทองให้เสียไป
    เมื่อลูกหลานเหลนทำได้อย่างนี้ ก็ไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์ ได้พบพระพุทธศาสนาแล้ว.."


    #ชีวประวัติโดยย่อ
    หลวงปู่จันทร์ เขมิโย นามเดิม "จันทร์ สุวรรณมาโจ" เป็นบุตรของนายวงศ์เสนา และนางไข สุวรรณมาโจ ท่านถือกำเนิด ตรงกับวันจันทร์ที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ.๒๔๒๔ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑ ปีมะเส็ง ณ บ้านท่าอุเทน อ.ท่าอุเทน จ.นครพนม
    บรรพชา เมื่อ ปี พ.ศ.๒๔๓๔ ขณะอายุ ๑๐ ขวบ เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้บิดาที่ถึงแก่กรรม(บวชหน้าไฟ) โดยมี พระขันธ์ ขนฺติโก เป็นพระอุปัชฌาย์ ที่วัดโพนแก้ว อ.ท่าอุเทน จ.นครพนม
    อุปสมบท เมื่อปี พ.ศ.๒๔๕๔ โดยมี พระภิกษุเหลา ปญฺญาวโร เป็นพระอุปัชฌาย์ ณ วันโพนแก้ว อ.ท่าอุเทน จ.นครพนม
    ญัตติเป็นพระธรรมยุต โดยท่านพระอาจารย์เสาร์ กนฺตสีโล ได้นำพระภิกษุจันทร์ไปประกอบพิธีทัฬหิกรรมเป็นพระภิกษุสามเณรในคณะธรรมยุตโดยสมบูรณ์ เมื่อเดือนเมษายน พ.ศ.๒๔๕๖ ณ อุโบสถวัดศรีทอง(วัดศรีอุบลรัตนาราม) จ.อุบลราชธานี โดยมี พระสังฆรักขิโต(พูน) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูหนู ฐิตปญฺโญ (พระปัญญาพิศาลเถระ) วัดใต้ เป็นพระกรรมวาจารย์ พระครูประจักษ์อุบลคุณ(พระอาจารย์สุ้ย ญาณาสโย) เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า "เขมิโย"
    เมื่อท่านได้ติดตามหลวงปู่เสาร์เดินทางมาถึงอุบลราชธานีและได้อยู่พำนักที่วัดเลียบซึ่งเป็นสำนักของท่านแล้ว ณ สถานที่นี้เอง ที่หลวงปู่จันทร์ได้พบกับท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ครั้งแรก ดังนั้นนอกจากท่านจะได้ร่ำเรียนความรู้ในทางธรรมจากท่านพระอาจารย์เสาร์แล้ว ท่านยังได้มีโอกาสร่วมศึกษาหาความรู้และปฏิบัติธรรมกับท่านพระอาจารย์มั่นอีกระยะหนึ่งด้วย
    นอกจากการปฏิบัติธรรมกรรมฐานอย่างเคร่งครัดแล้ว ท่านยังได้ศึกษาหลักพระพุทธศาสนาแผนใหม่ด้วย คือ ศึกษาวิชาวินัย วิชาธรรม วิชาพุทธประวัติ และวิชาเรียงความแก้กระทู้ธรรม ตลอดจนยังได้ศึกษาทบทวนบาลีไวยากรณ์แบบเก่า จากคัมภีร์มูลกัจจายน์ตามที่เคยศึกษามาแล้วด้วย สำหรับการอยู่พร้อมนักร่ำเรียนทั้งปริยัติและปฏิบัติ ณ วัดเลียบแห่งนี้ หลวงปู่จันทร์ใช้เวลาอยู่นานประมาณ ๓ ปีเต็ม ๆ โดยระหว่างนั้นนอกเหนือจากการอยู่ร่ำเรียนภายในสำนักแล้ว บางครั้งบางโอกาสหลวงปู่ยังร่วมกับ ๒ พระอาจารย์ใหญ่ หลวงปู่เสาร์และหลวงปู่มั่น ออกธุดงค์แสวงหาความวิเวก เร่งทำความเพียรอย่างอุกฤษฏ์ด้วย
    ท่านได้มรณภาพอย่างสงบ ด้วยโรคชราที่กุฏิภายในวัด เมื่อวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๖ สิริอายุ ๙๒ ปี พรรษา ๗๑ สรีรสังขารของหลวงปู่เจ้าคุณได้เก็บรักษาไว้ให้ประชาชนได้กราบไหว้บูชาและบำเพ็ญกุศลอุทิศถวายเรื่อยมา จนถึงวันเสาร์ที่ ๒๒ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๒๒ จึงได้มีพิธีพระราชทานเพลิงศพของท่าน โดยได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จพระราชดำเนินไปพระราชทานเพลิงศพ ทางฝ่ายคณะคณะสงฆ์ก็มีสมเด็จพระสังฆราชพร้อมด้วยพระเถรานุเถระและคณาจารย์ทั่วประเทศได้ไปร่วมพิธีพระราชทานเพลิงศพหลวงปู่เหลือคณานับ
    “..เกิดมาเป็นคนต้องมีความคิด อุบายเครื่องพ้นทุกข์ไม่ใช่อยู่ที่อื่นไกล หากแต่อยู่ที่มีสติสัมปชัญญะรอบคอบในทุกอิริยาบถ..” โอวาทธรรมคำสอนพระเทพสิทธาจารย์ (หลวงปู่จันทร์ เขมิโย) วัดศรีเทพประดิษฐาราม อ.เมือง จ.นครพนม


    #บรรณานุกรมอ้างอิง : คัดลอกมาจากหนังสือ
    ชีวประวัติและปฏิปทาหลวงปู่จันทร์ ; พิมพ์ครั้งที่ ๓ เมื่อ มกราคม ๒๕๕๐


    ท่องถิ่นธรรม พระกัมมัฏฐาน
     

แชร์หน้านี้

Loading...