วิชชาที่จะทำให้อยู่รอดจากยุคสมัยแห่งภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย kananun, 17 กรกฎาคม 2006.

  1. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,696
    ค่าพลัง:
    +51,932
    *** ตนพึ่งตน ****

    สุดท้ายแล้ว...
    ทุกคนต้องพึ่ง...การกระทำที่ได้ทำไปแล้ว

    อย่ารอ...ใครผู้อื่นมาช่วย
    เราต้องมี "ตัวกระทำ" ติดตัวไว้
    เพื่อส่งผลเป็น "กรรมเที่ยง" ให้กับตัวเรา

    *** ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ****
    หมายถึง ... ตัวตนของเรา สังขารและวิญญาณของเรา...
    ต้องพึ่ง "ตัวกระทำ" ผลการกระทำของเราที่สะสมมา
    ตัวกระทำ...ที่ส่งผลเที่ยง คือ การกระทำด้วย "สัจจะ"
    เพราะ...สัจจะธรรม คือ ธรรมเที่ยง

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 กันยายน 2007
  2. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    มีคุณอู้ด ขอนัดหมายติวเข้มในวันอาทิตย์ที่ 30กย.นี้ ที่เกาะลอยสวนลุม เวลาประมาณ 9.30 น.ครับ

    ขอท่านที่สนใจจะฝึกสมาธิทั้งเก่าและใหม่ มาฝึกมาทบทวนกันได้ครับ ช่วงนี้ต้องเร่งฝึกให้มากๆ เพื่อให้ทันงานออกพรรษาครับ
     
  3. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    นอกจากพื้นฐานแล้วก็จะเพิ่มเติมในส่วนของวิปัสนาญาณให้ละเอียดขึ้นไปด้วย

    ที่ท่านให้เร่งปฏิบัตินั้นก็เพราะว่า ใกล้จะถึงเกณฑ์ ที่พระท่านจะทรงมีพุทธานุญาตให้ใช้ "อภิญญาใหญ่"กัน แล้ว แต่ก็มีหลักเกณฑ์ของแต่ละบุคคลในเรื่องระดับของความดี คุณธรรมและการนำไปใช้

    ข้างต้นก็คือ
    - ความตั้งมั่นในสัมมาทิษฐิ สัมมาสมาธิ สัมมาปัญญา สัมมาปฏิบัติ
    - การทรงพรมวิหารสี่ เพื่อใช้ความสามารถ ใช้ทรัพย์ ใช้ปัญญาไปในทางที่เป็นการให้ การสงเคราะห์ผู้อื่นเป็นสำคัญ
    - วิปัสนาญานในการเห็นความไม่เที่ยงในกองสังขารทั้งปวง เห็นความไม่เที่ยงก็ไม่ประมาทในความตาย เมื่อไม่ประมาทในความตายก็ไม่ประมาทในการทำความดี และไม่ประมาทในการปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นไปในที่สุด

    พยายามทำให้เป็นปกติกันครับ

    ขอให้ทุกท่านได้มีความไพบูลย์ด้วยธรรมปิติในดวงจิต ตลอดไปตราบถึงซึ่งพระนิพพานครับ
     
  4. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,696
    ค่าพลัง:
    +51,932
    *** ฝากนิดหน่อย ****

    - วิปัสนาญานในการเห็นความไม่เที่ยง ในกองสังขารทั้งปวง

    แล้วอย่าลืม !!!!!!!

    - วิปัสนาญานในการเห็น ความเที่ยง ในหลักสัจจะธรรม
    ผลการกระทำไม่ตาย ติดตัวเราไปตลอด และมีผลตอบแทน

    ขอบคุณมาก จากใจจริง
    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  5. piakgear24

    piakgear24 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    2,696
    ค่าพลัง:
    +44,505
    อนุโมทนาครับ คุณอู๊ด และสามี กำลังจะไปปรียนันท์ธรรมสถานเสาร์หน้าครับ
     
  6. pat3112

    pat3112 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    373
    ค่าพลัง:
    +2,904
    30 ติดสอบครับไปไม่ได้ คราวที่เเล้วสงสัยเรื่องลมสบายครับลืมถาม
    ภาพพระท่านยังไม่เป็นประกาย เเต่รูสึกว่าสว่างมาก ลมหายใจก็เบาคำบริกรรมหายไป แต่วิชาอื่นตามพอทันครับ จะทวนในหนังสือกรรมฐาน40เพิ่มครับ ขอบคุณพี่ๆมาก โมทนาพี่ๆทุกท่านกำลังใจเด็ดเดียวมาก ทั้งเสียสละ เเละ ละ สาธุๆๆๆ(b-flower)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 กันยายน 2007
  7. ๑กุหว่าใจ๋๑

    ๑กุหว่าใจ๋๑ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2006
    โพสต์:
    371
    ค่าพลัง:
    +2,730
    พวกเราทั้งหลายต่างก็มีอัธยาศัยในการช่วยเหลือผู้อื่น ตั้งอยู่ในธรรมคือความเสียสละ ความเสียสละเมื่อทำให้ปราณีตไพบูลย์แล้ว ก็จะสละได้ เมื่อสละได้ทำให้ปราณีตไพบูลย์แล้ว ก็จะละได้ เมื่อละได้ก็จะเข้าถึงหัวใจแห่งอุเบกขา...

    ขออำนาจบารมีพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ และครูบาอาจารย์ทั้งหลาย ได้ปกป้องคุ้มครองดวงจิตของลูกและหมู่เพื่อนพี่น้องทุกๆท่าน ให้ตั้งอยู่ในสัมมาทิฏฐิ สัมมาสมาธิ สัมมาปัญญา สัมมาปฏิบัติ ขอให้ลูกและท่านทั้งหลายจงได้เจริญก้าวหน้าทั้งในทางโลกและทางธรรม เป็นร้อยเท่าพันทวี สำเร็จสมหวังในการสร้างบารมีในทางกุศลจงทุกประการเทอญ...
     
  8. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    อิสรภาพแห่งจิต
    [SIZE=-1]
    “การเป็นคน นั้นเป็นได้ไม่ยากเข็ญ แต่ถ้าเป็นอย่างที่เป็นนั้นยากหลาย คือผู้เป็นสักว่าพูดไม่ง่ายดาย จิตมุ่งหมายบรมธรรมล้ำเลิศคน ” การที่เราจะได้พบกับความลึกซึ้งกับธรรมชาติรู้ตัวนั้น ธรรมชาติได้แผ่ขยายแล้ว เราถึงจะเริ่มรู้จักมัน ทำให้เรารู้สึกปิติ เกิดความร่าเริง เบิกบาน มันก็มาจากการที่เราได้สังเกต แล้วใจมันว่างนานขึ้นจน เป็นอธิศีล อธิจิต เราเรียกว่าสัมมาสมาธิ ความสงบที่เป็นฐานของจิตใจทำให้เกิดปัญญาญาณ ทำให้เกิดปรีชาญาณ นำไปสู่การแสดงออกของปรีชาญาณ หรือปัญญาญาณ เกิดความรู้สึกตัวทั่วพร้อม


    เป็นการแสดงออกของธรรมชาติรู้ ที่เกิดจากความว่างของจิตใจแสดงออกในทุกอริยบถในทุกกิจการงาน หากเราตระหนักรู้ถึงความรู้สึกตัวทั่วพร้อมนี้ เราก็จะใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่า อย่างมีชีวิต ชีวา การที่เราฝึกอย่างนี้มันจะทำให้ฌาณ ก็คือความสงบของจิตใจ ที่มีพุทธพจน์บทหนึ่งว่า นัตถิปัญญา อฌายิโน นัตถิฌานัง อปัญญัสสะ ไม่มีปัญญา ไม่มีฌาณ ไม่มีฌาณไม่มีปัญญา ฌาณตัวนี้คือความสงบของจิตใจ หรือ เจตโส เอโกทิภาวัง มันเป็นความสงบของสัมมาสมาธิ ไม่ใช่โลกิยะฌาณที่เราไปกำหนดรู้ที่สิ่งใดสิ่งหนึ่ง แล้วใจมันสงบนิ่ง ฌาณอย่างนั้นไม่มีปัญญา นั่นคือโลกิยะฌาณ


    แต่ฌาณที่เป็นฐานให้เกิดปัญญา คือฌาณที่เป็นสัมมาสมาธิ จึงทำให้เกิดปัญญาญาณได้ถ้าใครมีฌาณ และมีปัญญาด้วย ผู้นั้นก็เข้าใกล้พระนิพพาน การขจัดความคิดปรุงแต่งนี่เป็นสิ่งที่สำคัญ สติสามารถจะเป็นเครื่องกั้นขบวนการความคิดต่างๆ หรือจิตที่มันไหลไปตามอารมณ์ต่างๆ เหมือนอย่างพราหมอชิตะ ไปถามพระพุทธองค์ว่า : อะไรจะเป็นเครื่องกั้นจิตใจที่ไหลไปตามอารมณ์ต่างๆ และอะไรเป็นเครื่องละจิตใจที่มีความยินดี-พอใจกับอารมณ์ต่างๆ พระพุทธเจ้าก็ทรงตอบว่า " สติ จะเป็นเครื่องกั้น ปัญญาจะเป็นเครื่องละ "


    ขณะที่เราสังเกตจิตใจแล้วความคิดหายไปขณะนั้นเรามี สติ แปลว่า ระลึกได้ ปัญญาแปลว่า รู้ สติและปัญญาทำหน้าที่คู่กัน ปัญญามีหลายระดับ ระดับจิตสามัญสำนึก ก็รู้เฉพาะที่ใดที่หนึ่งอย่างมีขอบเขตจำกัด ถ้าเป็นปัญญาระดับปัญญาญาณก็จะรู้พร้อมในความเป็นทั้งหมด หรือความเป็นองค์รวม สติจะเป็นเครื่องกั้น จิตใจที่มันไหลไปตามอารมณ์ ก็คือปรุงแต่งไม่ได้ “ปัญญาจะเป็นตัวละ”


    พระพุทธเจ้าตอบ อชิตะว่า จิตที่ไหลไปตามอารมณ์ต่างๆ หรืออารมณ์ทั้งปวงที่มันเข้ามาทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย นั้นเราสามารถจะหยุดยั้งได้ด้วยสติ เมื่อมีสติก็มีปัญญา การเข้าถึงตัวประสบการณ์ของการรู้แจ้งความจริง หรือสัจจะขั้นอัลติมะนั้นไว้ เมื่อเรารู้แจ้งความจริงอันนั้นได้ก็ จะมีการแสดงออก ควบคู่กับกิจกรรมต่างๆ กับการงานต่างๆ ในชีวิตประจำวันเรา ในการดำเนินชีวิตของเรา ต้องคิด ต้องพูด ต้องทำ ประกอบอาชีพ การงาน





    เมื่อใจของเรามั่นคงหรือที่เรียกว่าสัมมาสมาธิ เราจะเห็นธรรมชาติที่ไม่มีจุดเริ่มต้น ไม่มีจุดสิ้นสุด หรือธรรมชาติที่แท้มันแสดงตัวมันออกมา ขณะที่เราเห็นมันความรู้สึกว่า “ตัวเรา” ก็ไม่มี ถ้าเราพูด เราคิด เราทำ ไม่เห็นความว่างตัวนี้ด้วย เราไม่มีตัวรู้ความว่าง หรือสัจจะตัวนี้ด้วย


    ทุกขบวนการความคิดจะมี”ตัวเรา” ถ้าเราเห็นสัจจะ ตัวสัจจะมันแสดงออกควบคู่กับการดำเนินชีวิตของเรา แสดงว่าจิตใจของเราเป็นหนึ่งเดียวกับสัจจะสมาธิมั่นคง เราจึงเห็นธรรมชาติที่แท้หรือสัจจะหรือความว่างแสดงตัวออก การปฏิบัติก็คือการทำให้ธรรมชาติที่แท้มันแสดงตัวออกมา ไม่ว่าจะเดิน ยืน นั่ง นอน ทำกิจการงานต่างๆ นี่เราถือเป็นการภาวนาในทุกขณะ จิตใจก็เริ่มมั่นคงขึ้น แข็งแรงขึ้น ตั้งมั่นขึ้น ยิ่งตั้งมั่นมากเท่าใด ธรรมชาติรู้ก็ยิ่งแสดงตัวออกมากเท่านั้น



    ธรรมชาติรู้ตัวนี้มันเกิดจากความว่าง มันก็ยิ่งแสดงตัวของมันออกมาร่วมกับกิจการงานมากขึ้น ยิ่งเรามีความมั่นคงมากขึ้น มันก็สามารถแสดงตัวออกมาได้ยาวนานขึ้น จนกระทั่งถึงที่สุดนั่นก็คือตลอดเวลาที่เรียกว่าพระอรหันต์ พระอรหันต์ท่านเห็น รู้สัจจะขั้นอัลติมะอยู่ตลอดเวลา ธรรมชาติที่แท้แสดงออกร่วมกับขันธ์ห้าต่างๆ ที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ถ้าแสดงออกได้ 75 % นี่คือพระอนาคามี ถ้า 50 % ละความโลภ ความโกรธได้บ้าง นี่คือพระสกิทาคามี หรือแสดงออกได้ 25 % นี่คือพระโสดาบัน

    แสดงออกบ้าง ไม่แสดงออกบ้างนี่ก็ถือว่าเราเริ่มเดินทางเข้าสู่กระแสของพระนิพพาน กระแสของอริยบุคคล เลื่อนระดับจากปุถุชนที่ไม่เคยเห็นความว่างของจิตใจเลย เมื่อใดก็ตามถ้าเรารู้จักวิธีการที่จะพัฒนาจิตวิญญาณของเรา พัฒนาอย่างถูกหลักการณ์ ถูกวิธีการ ผลมันย่อมเกิดขึ้น ในขณะที่ปฏิบัติเราจะเห็น ขณะที่เราเห็นความว่างจิตใจของเรามันหยุดนิ่งนานขึ้น นั่นก็คือ ผลมันอยู่ตรงนั้นมรรคก็อยู่ตรงนั้น “ทาง” ก็คือสภาจิตที่เรากำลังดำเนินอยู่บนความรู้สึกที่ไม่มีตัวเรา ดำเนินอยู่บนความรู้สึกที่รับรู้ในความเป็นเอกภาพ หรือความเป็นทั้งหมด ผลมันก็อยู่ตรงนั้น
    [/SIZE]
     
  9. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    เมื่อเราเริ่มจับประเด็นได้เข้าถึง”ทางสายกลาง” ผลมันเกิดแล้ว เมื่อเห็นทางสายกลาง แต่ก่อนเราไม่เห็นเลย เมื่อเราเริ่มปฏิบัติมาหรือปฏิบัติที่ไหนมา 5 ปี 10 ปี ยังไม่เห็น”ทางสายกลาง”เลย ผลก็ไม่เกิดเลย มรรคก็ไม่เกิด ผลก็ยังไม่เห็น เมื่อใดก็ตามถ้าเราเริ่มสัมผัสได้กับจิตใจที่บริสุทธิ์ หรือที่ปภัสสรของเราจากการที่เราได้หันเข้ามาสังเกตแล้วเราก็พบว่าขบวนการความคิดมันหยุดไปชั่วขณะ เราเห็นภาวะของจิตว่าง ขณะนั้นไม่มีของคู่ ไม่มีความรู้สึกว่ามี”ตัวเรา” ไปพ้นกาลเวลา ไม่มีอดีต ปัจจุบัน อนาคต มรรคเกิดแล้ว ผลก็เกิดตรงนั้นแหละ เมื่อเราเห็นทาง เราก็เริ่มเดินทาง พระพุทธเจ้าเป็นแต่เพียงผู้ชี้ทาง อักขา ตาโร ตถาคตา เราเป็นเพียงผู้ชี้ทาง “ทางสายกลาง " นี่แหละ





    หลังจากที่ท่านได้ตรัสรู้เมื่อวันวิสาขบูชา ทรงพักผ่อนอยู่ 7 สัปดาห์ และเดินทางไปพบปัญจวัคคีย์ที่ป่า อิสิปะตะนะมฤคทายวัน ทรงแสดงธรรมจักรกัปวรรตนสูตรใจความสำคัญก็คือ สมณทางสุดโต่งทั้งสองไม่ควรเดิน ให้เดินทางสายกลาง ถ้าเรายังไม่รู้จักทางสุดโต่งทั้งสอง เราก็จะไม่รู้จักทางสายกลาง ทางสุดโต่งทั้งสองก็คือทางของความคิดปรุงแต่งที่ไปทาง รักตรงข้ามกับชัง อัตตนิโยค กามสุขัลนิโยค คือความสุดโต่งทั้งสองก็คือปัญญาระดับเหตุผลนั่นเอง


    ปัญญาระดับเหตุผล ที่ใช้ความคิด ที่เราลงความเห็นที่ขัดแย้งกันเป็นคู่ๆ คือความสุดโต่งทั้งสอง การปฏิบัติถ้าเรายังใช้ปัญญาระดับเหตุผล เห็นมันเกิด-เห็นมันดับ,เห็นมันมีตัวตน-เห็นมันไม่มีตัวตน นี่มันเป็นความสุดโต่งทั้งสอง หลายคนไม่เข้าใจยังใช้ปัญญาระดับความสุดโต่งทั้งสองอยู่ ไม่ใช่ “ทางสายกลาง” ทางสายกลางเป็นภาวะที่อยู่เหนือความสุดโต่งทั้งสอง เป็นโลกุตระจิต ไปพ้นความรู้สึกว่ามีตัวเราและไม่มีตัวเรา ไปพ้นการรับรู้อย่างแบ่งแยก ไม่มีรูป- ไม่มีนาม, ไม่มีสิ่งที่ถูกรู้- ไม่มีผู้รับรู้, เมื่อมันไปพ้นรูป-พ้นนามแล้ว ปรีชาญาณก็เกิด ปรีชาญาณจะไปพิจารณาอะไรที่เป็นรูปเป็นนาม ปรีชาญาณเกิด ต่อเมื่อไปพ้นรูปพ้นนามแล้ว


    ปรีชาญาณก็จะตระหนักรู้ไปที่การรับรู้ของประสาทสัมผัสทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ในความเป็นเช่นนั้นเอง ของปรากฏการณ์ต่างๆ นี่คือแนวทางการปฏิบัติที่เข้าถึง “ทางสายกลาง” และพัฒนาจนเกิด อธิศีล จะกำจัดกิเลสอย่างหยาบ อย่างกลาง (นิวรณ์ต่างๆ ) จนเป็น อธิจิต เข้าถึงสัมมาสมาธิ ก็จะเป็นพื้นฐานให้เกิดปรีชาญาณ


    ทำลายความยึดถือต่างๆ และความสำคัญผิดต่างๆ จนเห็นความจริงจากจุดเริ่มต้นจนกระทั่งพัฒนาให้สมบูรณ์ขึ้น นี่คือแนวทางการปฏิบัติ “ทางสายกลาง” ที่อาตมาพยายามนำเสนอ แม้อาตมาจะพูดอธิบายให้ละเอียดยังไง ถ้าเรายังไม่เห็นสภาวะทางสายกลาง หรือภาวะของจิตที่อยู่เหนือของคู่ได้ เราก็จะไม่มีความเข้าใจอย่างซาบซึ้ง จนกว่าเราจะหันเข้ามาสังเกตจิตใจ หรือความคิดของตนเองแล้วเราก็จะพบ “ทางสายกลาง” และเกิดความเข้าใจอย่างซาบซึ้ง





    ความเข้าใจด้วยเหตุผลนี่ไม่ซาบซึ้ง มันยังไม่เห็นสภาวะต่อเมื่อเราได้เห็นสภาวะ “ทางสายกลาง” อ๋ออย่างนี้เองสภาวะของจิตที่อยู่เหนือโลก อย่างนี้เองน้ะสภาวะจิตที่ไม่มีตัวเราที่อยู่เหนือของคู่ เหนือมี-เหนือไม่มี อย่างนี้เรียกว่าอนัตตา อย่างนี้เรียกว่าสูญญตา นี่คือการเรียนรู้ด้วยตัวเอง เข้าถึงความจริงด้วยปัญญาญาณได้ด้วยตัวเองเราก็เกิดความมั่นใจ เกิดศรัทธาในคำสอนของพระศาสดา หรือองค์สัมมาสัมพุทธเจ้าที่ได้ทรงวางหลักการไว้ วางวิธีการไว้ พระองค์เป็นเพียงผู้ชี้ทางเมื่อเห็นทางสายกลาง เราก็เดินทาง เราต้องสร้างแรงจูงใจ สร้างฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา ใช้ความเพียร ความอดทนอย่างต่อเนื่องด้วยจึงจะเกิดมรรค เกิดผล


    แม้ความเพียร และความอดทน ก็จะต้องเป็นความเพียร เป็นความอดทน ที่ไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของความรู้สึกว่า มีตัวเราเป็นผู้อดทน เป็นผู้พากเพียร ด้วยสัมปทาสี่ มันเป็นความเพียรหรือสัมมาวายามะ เป็นความเพียรที่อยู่บนฐานของความว่าง อยู่บนฐานของสัจจะขั้นอัลติมะ อยู่บนฐานที่ไม่มีตัวเรา หรืออยู่บนฐานของ “ทางสายกลาง” แม้ขันติก็เหมือนกัน ขันติก็ต้องไม่มีความรู้สึกว่ามีตัวเราเป็นผู้อดทน ขันติในมิติของจิตสามัญสำนึก มันมีตัวเรา เช่นใครว่า ใครด่า เจ้านายด่าเรา,พ่อแม่ว่าเรา มีตัวเราเป็นผู้อดทน ในมิติของจิตเหนือสำนึก หรือ “ทางสายกลาง” จะไม่มีตัวเราเป็นผู้อดทน
     
  10. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    เมื่อเราเข้าถึงได้แล้วมันไม่มีตัวเรา ต้องอดทน เราจะต้องมีความเพียรอยู่บนทางสายกลาง นี่แหละเป็นบารมี ไม่ว่าจะเป็น ทานบารมี,ศีลบารมี,ปัญญาบารมี,วิริยะบารมี,ขันติบารมี มันจะต้องอยู่บนพื้นฐานของจิตเหนือสำนึก จิตที่ไม่มีตัวเราจิตที่ไปพ้นของคู่ สิ่งต่างๆ ที่เป็นปัจจัยให้เกิดความสำเร็จนี่มันมีมากมายเมื่อเราเข้าถึงด้วยตัวเองแล้ว เราจะรู้ด้วยตัวเองจะใช้ขันติ ใช้ความเพียร ใช้ความต่อเนื่องของการปฏิบัติ ให้ความจริงจัง จริงใจ อย่างมุ่งมั่น นี่คือสิ่งที่ทำให้เราเกิดความสำเร็จ ในงานกรรมฐาน



    ซึ่งเป็นศิลปะอย่างยิ่ง การกระทำสิ่งต่างๆในทางโลกหรือวิชาต่างๆ เช่น วาดเขียน หรืองานศิลปะใดๆคง ไม่มีศิลปะใด ที่มีความงดงามเท่ากับศิลปะของการดำเนินชีวิตที่อยู่บนฐานของ “ทางสายกลาง “ที่เรียกว่าการปฏิบัติภาวนาซึ่งไม่มีศิลปะใดที่จะเทียบเท่า มันเป็นความวิเศษ เป็นความมหัศจรรย์มันเป็นความยิ่งใหญ่ของสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงค้นพบ และก็ชี้ทางไว้แล้วเราจะเข้าใจความหมายของความเป็นมนุษย์จริงแท้


    เราจะเข้าใจความหมายของชีวิตที่แท้จริง เข้าใจเป้าหมายของชีวิต ถ้าเราพัฒนาจนจิตวิญาณของเราเข้าสู่ระดับจิตวิญญาณสากล หรือจิตเหนือสำนึกแล้ว เราจะเข้าใจชีวิต เข้าใจโลก เข้าใจจักรวาล เข้าใจสิ่งแวดล้อมรอบข้าง ด้วยจิตใจที่เอื้ออาทร, เกื้อกูล, มีพราหมวิหาร ที่เป็นอัปมัญญา เราจะเข้าถึงสิ่งนี้ได้มันก็เนื่องมาจาก หรือเราได้พัฒนามาจากที่เราจับประเด็นเริ่มต้นได้ก็คือ "ทางสายกลาง" นั่นเอง


    หากใครยังไม่พบทางสายกลาง ใครยังไปไม่พ้นปัญญาระดับเหตุผล ใครยังไปไม่พ้นจิตสามัญสำนึก ก็ไม่สามารถจะพัฒนาจิตวิญญาณไปสู่โลกุตระจิต หรือจิตเหนือสำนึกได้การที่เราจะเข้าถึงความจริง สัมผัสได้กับสัจจะที่แท้ หรือความจริงที่แท้ ไม่ใช่เรื่องของการแบ่งแยกหรือแยกย่อย ไม่ใช่เรื่องของการแบ่งแยกจิตออกเป็นร้อยๆดวง ไม่ใช่เรื่องของการซอยสับให้ละเอียด รู้ลงไปถึงระดับปรมณู ระดับอนุภาค ชีวิตเราไม่ใช่เอาอนุภาค หรืออะตอม มากองรวมกัน แต่ความจริงชีวิตที่แท้จริง เราจะรู้ได้ในความเป็นองค์รวมด้วยปัญญาญาณ


    เราจะเข้าถึงความจริง หรือเข้าถึงสัจจะได้ด้วยปรีชาญาณ ปรีชาญาณหรือญาณทัศนะมันจะรู้อย่างไม่แบ่งแยก จะรู้ในความเป็นทั้งหมด หรือรู้ในความเป็นองค์รวม เราถึงจะเข้าถึงความจริงของชีวิต, ความจริงของโลก, ความจริงของจักรวาลได้ แต่ถ้าเราแบ่งแยก ซอยให้ละเอียดเป็นร้อยๆชิ้น พันๆชิ้น แยกลงไปจนเล็กที่สุด จนกระทั่งถึงปรมณูถึงอะตอม ถึงอนุภาคก็ตามเราก็ยังไม่สามารถเข้าใจชีวิต, หรือเข้าถึงความจริงได้


    วิทยาศาสตร์ทางกายภาพ จึงล้มเหลว ไม่สามารถค้นหาความจริงของชีวิตได้เดี๋ยวนี้ วิทยาศาสตร์ทางด้านกายภาพ เข้าถึงแควนตั้ม เข้าถึงสูญญตา เข้าถึงทฤษฎีสัมพันธภาพ วิทยาศาสตร์เริ่มเปลี่ยนไปเข้าถึงสูญญตา เข้ามาพบกับศาสนา นั่นก็คือสูญญตา หรือความว่าง วิทยาศาสตร์ทางด้าน ก็เริ่มเป็นที่ยอมรับกัน ไม่ใช่เพียงทางด้านร่างกายด้านเดียว


    จากการรับรู้อย่างแบ่งแยกด้วยปัญญาระดับความคิดหรือจินตมยปัญญาไม่สามารถจะเห็นความจริงได้ แต่เราจะเข้าถึงความจริงหรือเข้าถึงสัจจะเข้าใจชีวิตได้ เราจะต้องพัฒนาปรีชาญาณ หรือญาณทัศนะ หรือภาวนามยปัญญาให้เกิดขึ้น ปัญญาที่เกิดจากธรรมชาติที่แท้มันจะสัมผัสได้กับความจริงทำให้เราเข้าใจชีวิตได้ การปฏิบัติที่เริ่มต้นด้วย “ทางสายกลาง” มันจึงเป็นกุญแจที่สำคัญที่จะนำไปสู่ความเข้าใจชีวิต, เข้าใจโลก, เข้าใจจักรวาล ได้อย่างแท้จริง


    ทำให้เราดำเนินชีวิตอย่างสอดคล้อง กลมกลืน เป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ ไม่เบียดเบียนธรรมชาติ ไม่เอาชนะธรรมชาติ อยู่อย่างสันติสุข อยู่อย่างเกื้อกูล กับสรรพสิ่ง กับธรรมชาติ นี่คือแนวทางการปฏิบัติ ในหลักการ ในวิธีการที่พระพุทธองค์ได้ทรงบัญญัติไว้ ในอริยะสัจข้อที่ 4 นั่นก็คือมรรค หรือ “ทางสายกลาง”



    หรือไตรสิกขา หรืออริยมรรคมีองค์ 8 นั่นเอง หากเรามีความเข้าใจและจับประเด็นได้การพัฒนาย่อมเกิดขึ้น การพัฒนาจิตวิญญาณจากระดับจิตสามัญสำนึก ที่มีตัวเราเป็นศูยน์กลางเป็นจุดเริ่มต้นผ่านปัญญาระดับเหตุผล ผ่านกาล เวลา ผ่านความรู้สึกว่ามีตัวเรา ผ่านของคู่ต่างๆ ก็จะเข้าถึงปัญญาญาณหรือจิตเหนือสำนึก, จิตที่เข้าถึงโลกุตระจิต จิตที่อยู่เหนือโลก เข้าถึงภาวะที่ไม่ใช่ภาวะ, เข้าถึงมิติของจิตที่สัมผัสได้กับความจริงแท้, เราจึงจะเกิดความเข้าใจ การดำเนินชีวิตของเราจึงจะไม่มีความทุกข์ปัญหาต่างๆของมนุษย์ เพราะไม่รู้ความจริงอันนี้ เพราะไม่มีปัญญาญาณ ไม่มีปรีชาญาณ ที่จะเห็นสิ่งต่างๆตามที่มันเป็น, ตามความเป็นจริง
     
  11. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    ปัญหาต่างๆ ก็เลยเกิดขึ้นมากมาย การปฏิบัติเป้าหมายของพุทธศาสนาเพื่อพัฒนาจิตวิญญาณหรือพัฒนาปรีชาญาณให้มันเกิดขึ้นรับรู้สิ่งต่างๆตามความเป็นจริงเข้าใจชีวิตของเรา การเพ่งเพียรพิจารณายิ่งลึก ก็ยิ่งเป็นการปลุกธาตุรู้ให้ตื่นขึ้นการเพ่งพิจารณาไม่ได้หมายความไปเพ่งสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ไปกำหนดจดจ้องที่อารมณ์ใดอารมณ์หนึ่ง แต่มันเป็นการตระหนักรู้ในความเป็นองค์รวมเป็นการตระหนักรู้ในความเป็นองค์รวม ในความเป็นอิสระของจิต ในขณะนั้นเราก็จะพบความเป็นอิสระภาพ ความเป็นเอกภาพ ความสัมพันธภาพระหว่างเรากับสรรพสิ่ง ที่เรารับรู้ไม่ว่าจะทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ เป็นองค์รวมของความเป็นทั้งหมด


    มันจะมีทั้งความเป็นอิสระ มันมีทั้งความเป็นหนึ่ง หรือไม่แบ่งแยก มีทั้งความสัมพันธ์ กับสรรพสิ่ง มีทั้งความเป็นเสรีภาพ รวมลงในภาวะจิตที่ไปพ้นสังสารวัฏ สมาธิภาวนาที่แท้จริงสามารถที่จะน้อมนำมาใช้ในชีวิตประจำวันของเราได้ ในทุกกิจการงาน ถ้าเราพัฒนาที่เริ่มต้นด้วย ”ทางสายกลาง” นั่นคือเมื่อใดก็ตามที่เราหันเข้ามามองจิตใจ ไม่ว่าจะยืน เดิน นั่ง นอน หรือในขณะที่ทำกิจการงาน ถ้าเราสังเกตจิตใจขบวนการความคิดมันจะหยุดลง ใหม่ๆก็หยุดชั่วครู่ ขณะที่ใจของเราว่างจากความคิด การรับรู้ทางทวารต่างๆ จะไปพ้นการรับรู้อย่างแบ่งแยก,พ้นรูป พ้นนาม





    สภาวะตรงนี้คือจุดเริ่มต้นของจิตที่มันไปพ้นมิติของจิตสามัญสำนึก ไปพ้นความรู้สึกว่ามีตัวเรา ไปพ้นปัญญาระดับเหตุผลหรือของคู่ไปพ้นกาลเวลา เราต้องเริ่มต้นด้วยสภาวะจิตอย่างนี้ด้วยการหันเข้ามามองจิตใจ ด้วยการหันเข้ามาสังเกต หันเข้ามาดูมันเฉยๆ สังเกตมัน เรียนรู้มันจนเข้าใจมันปัญญาที่จะทำให้เราเข้าใจที่แท้จริงก็คือปัญญาที่เกิดจากจิตใจที่มันว่าง ในขณะนั้นแหละเราเรียกว่าปัญญาณหรือปรีชาญาณ, อาตมาชอบใช้คำว่าปรีชาญาณ,ในพระไตรปิฎกใช้คำว่า ภาวนามยปัญญา มันยาวไปอาตมาก็เลยใช้ปรีชาญาณ หรือปัญญาญาณจะทำให้เราเกิดความเข้าใจ, เข้าใจถึงความจริงขณะที่เรารับรู้ทางทวารต่างๆ ในขณะที่จิตมันว่าง, ของคู่ก็ไม่มี, ตัวเราก็ไม่มี, เวลาก็ไม่มีเราก็จะเห็นสิ่งต่างๆตามที่มันเป็น นี่แหละความจริง


    จุดเริ่มต้นเราต้องสัมผัสได้กับภาวะจิตที่มันว่าง หรือจิตที่ประภัสสร หรือสัมผัสได้กับสัจจะขั้นอัลติมะ ธรรมชาติที่แท้ที่ไม่มีจุดเริ่มต้นไม่มีจุดสิ้นสุด เป็นธรรมชาติที่เป็นพื้นฐานของทุกสรรพสิ่ง โดยเฉพาะตัวเราจุดเริ่มต้นเราจะต้องเห็นสิ่งนี้ก่อนและปัญญาที่เกิดจากสิ่งนี้แหละมันจะแผ่ขยายการรับรู้อย่างไม่มีขอบเขตจำกัด เท่าที่กำลังหรือสมาธิที่มันมั่นคง “ทางสายกลาง” ที่เราเริ่มมันจะพัฒนาตัวมันเอง ด้วยการทำลายกิเลสอย่างหยาบ


    ที่แสดงออกมาทางวาจา ทางกาย ทำลายกิเลสอย่างกลาง ที่เรียกว่านิวรณ์ต่างๆ นั่นแหละ, ที่เราสังเกตมัน ดูมันจะเข้าใจมัน, มันก็จะลด ละ ปล่อย วาง ความคิดก็น้อยลง, จิตก็ว่างมากขึ้น ตั้งมั่นมากขึ้น อารมณ์อะไรมากระทบก็เฉยได้ ไม่ปรุงแต่งเลยนี่คือสัมมาสมาธิมีวิธีเดียวที่เราจะพัฒนาสัมมาสมาธิ, ไม่ใช่ไปกำหนดรู้ที่สิ่งใดสิ่งหนึ่ง แล้วสงบไปเห็นนิมิตต่างๆ เห็นพระพุทธรูป เห็นจุฬามณี อะไรต่างๆ นั่นมันข้อมูลต่างๆที่เราสะสมไว้ในจิตใต้สำนึก สมาธิอย่างนั้นเขาเรียกมิจฉาสมาธิ คือความสงบที่ไม่ได้เป็นบาทฐานให้เกิดปัญญาญาณที่จะเห็นความจริง


    ซึ่งพระพุทธองค์เคยกระทำมาแล้ว เคยปฏิบัติมาแล้ว กับสองอาจารย์ อารามดาบถ กับอุทกดาบถ ได้ฌาณ ได้สมาบัติเจ็ด สมาบัติแปด สงบมาก เกวียนห้าร้อยเล่ม ผ่านไม่ได้ยินเสียงเลย แม้กระนั้นปัญญาของสองอาจารย์ก็ไม่สามารถทำให้พระองค์ประจักษ์แจ้ง ถึงความจริงได้ พระองค์จึงจากสองอาจารย์มาแสวงหาด้วยตัวเอง แล้วพระองค์ก็พบ”ทางสายกลาง” พบ “สัมมาสมาธิ” ทางสายกลางมันพัฒนาไปสู่สัมมาสมาธิเมื่อเราเข้าถึงสัมมาสมาธิ นั่นคือเข้าถึงความเป็นเองจะรู้อยู่ที่ก้นบึ้งของจิตใจเรามันว่าง มันปกติ มันเฉย กระทบอะไรก็เฉย รับรู้พร้อมในความเป็นทั้งหมดเพราะมันเป็นฐานของปรีชาญาณ





    ยิ่งมั่นคงมากเท่าไหร่ปรีชาญาณก็จะแผ่ขยายธรรมชาติรู้ที่ไม่มีขอบเขตจำกัดแผ่ขยายครอบคลุมทุกสิ่ง ครอบคลุมปรากฏการณ์ทุกสิ่ง ครอบคลุมสังขตธรรมทุกสิ่ง อะไรเกิดขึ้นกับจิตใจมันจะรู้มันจะเห็นเมื่อรู้เห็นมันก็หยุดไป สลายไปเราจะนำปัญญาตัวนี้คือ ปรีชาญาณมาใช้ในชีวิตประจำวันของเราจนกระทั่งเราตาย สัมมาสมาธิเมื่อเป็นแล้วมันจะไม่ถอยหลัง ถอยเข้า ถอยออก มันยิ่งมั่นคงขึ้น เหมือนในพระไตรปิฎกที่ท่านเปรียบไว้เหมือนเดินลงทะเล ลงมหาสมุทรยิ่งลุ่มลึกขึ้น ลุ่มลึกขึ้น นั่นคือสัมมาสมาธิมันไม่ถอยหลังและเป็นพื้นฐานให้ปรีชาญาณแผ่ขยายการรับรู้พร้อม,ก็จะนำไปสู่ปัญญาญาณ และนำมาใช้ในชีวิตประจำวันของเรา เราจะต้องคิด ต้องพูด เราจะต้องทำ กิจการงาน มีสติ มีความเพียรนี่ก็คือการดำเนินชีวิต ด้วยอริยมรรคมีองค์แปด ที่มีสัมมาทิฏฐิ


    หรือปรีชาญาณเป็นฐานของจิตใจ ที่เกิดจากสัมมาสมาธินั่นเอง เราจะเข้าถึงสิ่งนี้ได้จุดเริ่มต้นก็คือ”ทางสายกลาง” หรือภาวะจิตที่เป็นกลางๆ, มันเป็นกุญแจที่สำคัญ, หากเราไปกำหนดรู้ที่สิ่งใดสิ่งหนึ่ง ไปจำแนกว่าเป็นรูป-เป็นนาม, เห็นมันเที่ยง-เห็นมันไม่เที่ยง,เห็นมันเกิด-เห็นมันดับ นี่คือปัญญาระดับความคิด หรือปัญญาระดับเหตุผล เราดำเนินชีวิต ด้วยปัญญาระดับเหตุผลอยู่แล้ว
     
  12. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    ดำเนินชีวิตด้วยปัญญาระดับเหตุผลนี่แหละ,ถึงมีปัญหา เพราะความสำคัญมั่นหมายต่อความเห็นที่ผิดทำให้เราคิดว่านี่คือความจริง แต่มันไม่ใช่ความจริง,มันเป็นภาพลวงตาที่เกิดจากความคิด


    แต่ปุถุชนทั่วไปคิดว่านี่คือความจริง, ปัญหาต่างๆจึงเกิดขึ้นมากมาย, เพราะเราเอาความรู้ที่ไม่จริงไปบริหาร,ไปจัดการชีวิตของเรา, เมื่อสังคมอยู่บนฐานของความรู้ที่ไม่จริงปัญหาต่างๆก็เกิดขึ้น การศึกษาที่แท้จริงจะต้องทำให้เราเข้าใจชีวิต, ทำให้เราเข้าใจโลกดำเนินชีวิตอยู่ในโลกอย่างไม่มีความทุกข์ หรือมีก็น้อยที่สุด หากเราดำเนินชีวิตด้วยความรู้สึกที่ไม่มีตัวเรา ไปพ้นกาลเวลา ไปพ้นสังสารวัฏ ไปพ้นปัญญาระดับเหตุผล ปัญหาต่างๆก็จะไม่เกิดขึ้น ปัญญาหรือปรีชาญาณตัวนี้เป็นปัญญาญาณ หรือเป็นปัญญาของสัตบุรุษ ที่รู้จักเหตุ รู้จักผล รู้จักตน รู้จักประมาณ, กาล บริษัท หมู่กลุ่มบุคคลนี่คือปัญญาของผู้รู้ ที่จะนำมาใช้ในชีวิตประจำวันของเรา, ไม่ว่าจะเป็นการคิดการพูด การทำ ก็จะเป็นการพูดที่สมบูรณ์ การคิดที่สมบูรณ์ การกระทำที่สมบูรณ์นั่นคือมัน PERFECT มันสมบูรณ์ หรือมันชอบ





    นี่คือสิ่งที่พระพุทธองค์พยายามปลุกเราให้ตื่นขึ้น,ดำเนินชีวิตที่ไม่มีคำว่าตัวเรา,เห็นโลกในทัศนะตามความเป็นจริงหรือตามที่มันเป็นจริง หรือตามที่มันเป็น, พระองค์ได้อุปมา-อุปไมยไว้แล้วการปฏิบัติเหมือนโคแม่ลูกอ่อนเล็มหญ้าแล้ว ชำเลืองดูลูกน้อยด้วย, เหมือนกับเราต้องทำกิจการงานในชีวิตประจำวันแล้วชำเลืองดูจิตใจไปด้วย จนกระทั่งเข้าถึงความเป็นเองไม่ต้องชำเลืองมันรู้เลยว่าใจสงบนิ่งทำอะไรอยู่ก็เห็นจิตที่มันว่างไปด้วย,ทำอะไรอยู่ก็เห็นความสงบนิ่งไปด้วย นั่นคือเห็นสัจจะขั้นอัลติมะไปด้วย สัจจะขั้นอัลติมะ ก็คือ สูญญตา หรือความว่างนั่นเอง





    แล้วมันจะแสดงออกควบคู่กับกิจการงานต่างๆ ในชีวิตประจำวันของเราไม่ว่าจะเป็น การเคลื่อนไหว หรือการกระทำต่างๆ นี่คือสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงวางวิธีการไว้ในอธิศีล อธิจิต อธิปัญญา หรือหลักของไตรสิกขาในพระไตรปิฏกเล่มที่12, หากเราได้สัมผัสกับจิตที่ยังไม่ถูกปรุงแต่ง หรือ ประภัสสร มิทังจิตัง ของเรานั่นเอง จิตที่ประภัสสรมันเป็นเนื้อหา หรือเป็นหนึ่งเดียวกับสัจจะขั้นอัลติมะ, สัจจะที่สูงสุดที่เป็นพื้นฐานของสรรพสิ่ง, ไม่มีจุดเริ่มต้น, ไม่มีจุดสิ้นสุด, ไม่มีเกิด – ไม่มีดับ อยู่เหนือของคู่เราก็สามารถจะพัฒนาหรือวิวัฒนาการจิตวิญญาณระดับจิตสามัญสำนึก จิตของปุถุชน ผ่านเหตุผล ผ่านกาลเวลา ผ่านตัวตนไปสู่จิตเหนือสำนึก หรือโลกุตรจิต นำปรีชาญาณมาใช้ร่วมกับกิจกรรมในชีวิตประจำวันของเรา



    ถ้าสามารถนำปัญญาตัวนี้มาใช้ในกิจการงานต่างๆ ในชีวิตประจำวันของเราได้,เราก็จะเห็นความสัมพันธ์ของสิ่งต่างๆซึ่งมันอาศัยซึ่งกันและกัน อยู่คนทั่วๆไป หรือปุถุชนเวลากินอาหารก็ไม่รู้รสอาหารที่กินไป, คิดไปเรื่องโน้น เรื่องนี้ เลยไม่รู้รสที่กำลังกินว่ามันมีรสอย่างไร,อาบน้ำก็ไม่รู้สภาวะที่ร่างกายถูกน้ำรดอยู่ ไม่รู้สึกเย็น ไม่รู้สึกร้อน อาบไปอย่างนั้นแหละ นี่เพราะเราขาดสติปัญญาญาณ,ทุกสิ่งที่เรารู้ทางประสาทสัมผัสทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทั่วไปเราคิดว่ามันมี มันเป็นอยู่จริงๆ, สิ่งที่เราเห็นทางตา ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย วิทยุ โทรทัศน์ นาฬิกา ต่างๆ ที่อยู่ต่อหน้าเรา เย็น ร้อน นี่เราคิดว่ามันมี มันเป็นอยู่จริงๆ



    ความมีอยู่และความไม่มีอยู่เกิดจากความคิด, ถ้าเราคิดมันก็มีหรือมันไม่มี,เพราะฉะนั้นความมีอยู่ ความไม่มีอยู่ มันก็เกิดจากความคิดในระดับเหตุผล, เห็นมันเกิด-เห็นมันดับ,เห็นมันสูง-เห็นมันต่ำก็เกิดความรู้สึกพอใจ-ไม่พอใจ,ชอบ-ไม่ชอบ ขึ้นมาเป็นเพราะเราขาดปัญญาที่จะเห็นสิ่งต่างๆ ตามความเป็นจริง ก็คือขาดปรีชาญาณ เราไม่ได้รู้ด้วยปรีชาญาณ แต่เรารู้ด้วยปัญญาระดับเหตุผล เรารู้ด้วยประสาทสัมผัสตา หู จมูก ลิ้น กาย เรารู้ด้วยจักษุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฯลฯ แล้วก็นำสัญญาความจำมาปรุงแต่ง ก็คือสังขาร เกิดความเห็นที่ขัดแย้งกันเป็นคู่ๆ นี่คือมิจฉาทิฏฐิ



    นี่คือขบวนการของขันธ์ 5 มันจึงเกิดของคู่ขึ้นมา มันจึงเกิดปัญญาระดับเหตุผลขึ้นมา แต่ถ้าเรารู้ด้วยปรีชาญาณ, รู้ด้วยใจที่สงบ, ใจที่ว่าง, วิญญาณต่างๆ ที่เรารับรู้ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย เมื่อมันอยู่บนฐานของความว่าง อยู่บนฐานของปรีชาญาณ วิญญาณต่างๆ เหล่านั้นก็จะรวมลงในปรีชาญาณ,อาตมาเคยพูดบ่อยๆ ว่า จ้องมองมิอาจเห็น, สดับฟังมิอาจได้ยิน, ไขว่คว้ามิอาจจับต้อง, สิ่งนั้นก็คือสัจจะขั้นอัลติมะมันรู้ได้ด้วยใจที่ว่าง ใจที่สงบ เมื่อพื้นฐานของจิตใจเราพัฒนาจนมีปรีชาญาณเป็นพื้นฐาน
     
  13. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    การรับรู้ทางประสาทสัมผัส สิ่งต่างๆ ที่เราเห็นไม่ว่าทางตา ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ก็ไม่มีของคู่จึง ไม่อาจจะกล่าวว่ามันมีอยู่ หรือไม่มีอยู่, มันไปพ้นความมีอยู่ และความไม่มีอยู่, นี่คือรู้ด้วยปรีชาญาณรู้ด้วยใจที่ว่างซึ่งเป็นฐานของปรีชาญาณ, นั่นก็คือเข้าถึงสัจจะขั้นอัลติมะ และปรีชาญาณก็จะทำหน้าที่รับรู้สิ่งต่างๆ ร่วมกันประสาทสัมผัสจึงไม่อาจจะกล่าวได้ว่ามีหรือไม่มี, ไม่อาจจะกล่าวได้ว่ามันถูกหรือมันผิด,มันสูงหรือมันต่ำ นี่คือปรีชาญาณ ที่มันรู้สิ่งต่างๆ นั่น,ก็คือรู้ว่าสรรพสิ่งว่าง, ว่างตัวนี้ไม่ได้หมายความว่าไม่มี, แต่มันอยู่เหนือความมี และความไม่มี, นี่คือความว่าง นี่คือสูญญตา



    ถ้าเราเห็นได้อย่างนี้ สรรพสิ่งคือความว่าง นี่คือความจริง ความยึดถือต่างๆ ที่เราสำคัญมั่นหมายหรือสำคัญผิดมันก็จะละคลายลง,ที่เราลงความเห็นว่ามันมี-ไม่มี ,ว่ามันสูง-ต่ำ มันจะละ จะวาง จะปล่อยด้วยปรีชาญาณ,จะไปพ้นของคู่ ไปพ้นเกิด- พ้นดับ,พ้นการไป-การมา โดยเนื้อแท้นี่คือสภาพของความจริง หรือความเป็นเช่นนั้นเอง ที่เราเริ่มต้นด้วย”ทางสายกลาง”มันจะพัฒนาไปด้วยตัวของมันเองแล้วเห็นสิ่งต่างๆ ตามความเป็นจริง,หรือตามที่มันเป็น, มันเป็นเช่นนั้นเอง



    อย่างนี้ด้วยใจที่มันว่าง รู้ด้วยปรีชาญาณ ตระหนักรู้ในความเป็นองค์รวม,ทั้งการรับรู้ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายรวมลงในความเป็นหนึ่งคือไม่แบ่งแยก รับรู้ในความสัมพันธ์ของสรรพสิ่งด้วยปรีชาญาณ,จิตของเรายิ่งดื่มด่ำล้ำลึกมากเท่าไร ธรรมชาติรู้ที่ไม่มีขอบเขตจำกัดก็จะแผ่ขยายรับรู้พร้อม แผ่ขยายอย่างไม่มีขอบเขตจำกัดด้วยปรีชาญาณที่เราพัฒนาขึ้นจนเป็นสัมมาสมาธิ จากอธิศีล อธิจิต อธิปัญญา เมื่อใดก็ตามถ้าเราตระหนักรู้ได้ถึงสรรพสิ่งว่ามันว่างหรือสูญญตาเราก็เห็นสิ่งต่างๆ ตามความเป็นจริง ตามที่มันเป็น, การละ การปล่อย การวางก็จะเกิดขึ้นจิตใจของเราก็จะเป็นอิสระมากขึ้น



    ยิ่งเรามีประสบการณ์มากขึ้น ดำเนินชีวิตอยู่บนประสบการณ์ของสัจจะ ประสบการณ์ของพุทธะมากเท่าใด การปล่อยวางก็ย่อมมากขึ้นเท่านั้น เราจะยิ่งเห็นสิ่งต่างๆ มันว่าง จากความรู้สึกว่ามีตัวเรา ว่างจากของคู่เห็นความเป็นเช่นนั้นเอง นี่คือหัวใจของพุทธศาสนา ดำรงอยู่ในสูญญตา แม้พระพุทธองค์ก็ทรงพักอยู่ในสูญญตวิหาร ที่ทรงถามพระสารีบุตรว่า “สารีบุตรเธอดำรงจิตอยู่อย่างไร” ข้าพระองค์ดำรงจิตอยู่ในสูญญตวิหารพระเจ้าข้า พระพุทธองค์ทรงรับรอง,แม้เราเองก็ดำรงอยู่ในสูญญตวิหารเช่นกัน คือดำรงจิตอยู่ในความว่าง ว่างจากของคู่ ว่างจากตัวเรา ว่างจากกาลเวลา เห็นสิ่งต่างๆ มันเป็นเช่นนั้นเอง





    ไม่อาจจะกล่าวได้ว่ามันมีหรือมันไม่มี, ถ้าเราไปลงความเห็นว่ามันเกิด-มันดับ ,มันมีตัวตน-ไม่มีตัวตนนี่มันเป็นเพียงปัญญาระดับความคิด, ปรีชาญาณมันไม่ได้เกิดจากความคิด มันเป็นการตระหนักรู้พร้อมในความเป็นทั้งหมดทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ตระหนักรู้ในความเป็นเช่นนั้นเอง (ตถตา) เมื่อใดก็ตามถ้าเราสัมผัสตรงนี้ได้นั่นคือจิตเราเจริญมากแล้วเป้าหมายอยู่แค่เอื้อมเท่านั้นเอง

    พระสารีบุตรตอบพระอานนท์ ที่ถามว่าธรรมานุธรรมปฏิบัติ ปฏิบัตินานไหม?

    พระสารีบุตรตอบว่าไม่นานเลย

    ปฏิบัติไปเถอะจนกระทั่งตลอดชีวิตนั่นแหละ จนกระทั่งมีความรู้สึกว่ามันไม่ใช่การปฏิบัติ มันเป็นการดำเนินชีวิตที่แท้จริงของเรา ร่วมกับธรรมชาติที่แท้ ซึ่งแต่ก่อนเราไม่เห็นความว่างหรือสูญญตา หรืออสังขตธรรม,มันแสดงออกร่วมกับกิจการงานเลย ที่มันแสดงออกได้เพราะมันไม่มีอุปาทานหรืออุปาทานมันน้อยลงไป ขบวนการความคิดที่มีตัวตน, มีเวลามันละวางไป ธรรมชาติที่แท้คือความว่างมันก็แสดงออกควบคู่กับกิจการงานต่างๆ ในชีวิตประจำวันของเรา


    วิปัสสนาญาณจึงกล่าวว่าเห็นความเคลื่อนไหวในความไม่เคลื่อนไหว, เห็นกายในกาย เห็นเวทนาในเวทนา เห็นจิตใจจิต เห็นธรรมในธรรม นั่นก็คือตัวรู้หรือธรรมชาติรู้ที่ไม่มีขอบเขตจำกัดของปรีชาญาณที่เกิดจากสัจจะขั้นอัลติมะหรือจากความว่าง ที่ใจของเราเข้าถึง มันรู้สองสิ่ง, รู้ตัวมันด้วย ที่มันเกิดมาจากสูญญตา, มาจากสัจจะขั้นอัลติมะ,และก็รู้ปรากฎการณ์ต่างๆ ที่เปลี่ยนแปลงจากขณะหนึ่งไปสู่ขณะหนึ่ง เป็นการเคลื่อนไหว รู้ความเปลี่ยนแปลงในความไม่เปลี่ยนแปลงนี่คือวิปัสนาญาณ, ญาณหรือธรรมชาติรู้การทำงานของสัจจะทั้งสองทำงานร่วมกันเป็นสัจจะหนึ่งเดียว ทำงานร่วมกันเป็นความจริงหนึ่งเดียว





    เหมือนคลื่นกับน้ำ,เหมือนเหรียญที่มี 2 ด้าน, หัว – ก้อย, เวลาเราเห็นเหรียญเราไม่ได้บอกว่าเราเห็นทางด้านหัวหรือด้านก้อย เราเห็นเหรียญ 1 เหรียญ, เราไปเที่ยวทะเล เราสังเกตดูคลื่นกับน้ำมันไม่ได้แยกจากกันเลย คลื่นมันเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา คลื่นก็คืออาการของน้ำ,ธาตุแท้ของคลื่นก็คือน้ำ, ธาตุแท้ของปรากฏการณ์ต่างๆ ที่เรารับรู้ได้ทางประสาทสัมผัส ก็คือสูญญตาหรือความว่าง หรืออสังขตธรรมนั่นเอง นี่ถ้าเราตระหนักรู้ได้อย่างนี้จากชั่วขณะมันจะยิ่งพัฒนาขึ้น
     
  14. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    เมื่อจิตเราว่างมากขึ้น ธรรมชาติรู้แสดงออกมากขึ้นเราก็จะตระหนักรู้ได้ด้วยตัวของเราเองทุกคนมีปรีชาญาณอยู่แล้วด้วยกันทุกคน แต่ขบวนการความคิดที่เกิดจากอวิชชาเกิดจากตัณหา เกิดจากอุปาทานที่เรายึดถือไว้มันบังเราเลยไม่เห็นสิ่งนี้,เมื่อเรารู้จักหรือเข้าใจหลักการณ์ที่พระพุทธองค์ได้ทรงวางไว้,เข้าใจวิธีการ, หรือวิธีปฏิบัติมันก็จะพัฒนาได้ก้าวหน้าขึ้น, แต่ถ้าเราไม่รู้หลักการณ์ ไม่รู้วิธีการปฏิบัติ,ยังไงก็ไม่เกิดผล,ไปติดอยู่ที่อุบาย,ไปติดอยู่ที่การกำหนดรู้สิ่งใดสิ่งหนึ่งสงบนิ่งหลับหู หลับตา แล้วมันจะไปเห็นความจริงทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ได้อย่างไรมันสงบอยู่ในภวังค์ เมื่อไปเห็นความจริงมันจะลด จะละ จะปล่อยวางได้อย่างไร


    อุปาทานต่างๆ มันจะปล่อย มันจะวาง ได้ยังไงถ้าเราไม่เห็นความจริง นี่ก็ไม่มีความเข้าใจกัน อาตมาพยายามนำเสนอการปฏิบัติที่เป็นไปได้ในชีวิตประจำวันของเรา, ในทุกขณะ,ไม่ว่าจะยืน เดิน นั่ง นอน, ปฏิบัติอย่างพระพุทธองค์เลย, ปฏิบัติอย่างไม่พัก -ไม่เพียร , ไม่จม-ไม่ลอย ปฏิบัติอย่างไม่มีของคู่ในจิตใจของเรา ลองสังเกตดูชิทำได้ไหม, ยืน เดิน นั่ง นอน ลองสังเกตจิตใจตัวเองดูชิ เห็นได้ไหมว่า มันไม่มีความคิดเลยในขณะที่เราสังเกตมัน นั่นแหละคือสภาวะที่ไม่มีพัก-ไม่มีเพียร,ไม่มีจม-ไม่มีลอย,ไม่มีถูก-ไม่มีผิด ไม่มีของคู่ๆ, ถ้าเราเห็นสภาวะนี้ได้,เราก็สามารถจะทำได้ในทุกกิจการงาน ในทุกอริยบถ


    ทุกครั้งที่เราสังเกตเราก็จะเห็นมันว่าง, ไปพ้นของคู่, นี่คือ “ทางสายกลาง” ทำอย่างนี้บ่อยๆ อย่าไปนึกเบื่อมัน ทำไปแล้วมันจะพัฒนาตัวมันเองจนกระทั่งไม่ต้องนึกที่จะไปจดจ้อง ต้องการจะไปดูมัน รู้มันเองทำอะไรอยู่มันก็รู้เองขณะที่พูด,ทำกิจการงาน,เห็นความว่าง,เราเห็นได้สักครั้งเราก็จะเกิดกำลังใจ, มันจะพัฒนาตัวมันเอง มันพัฒนาจริงๆ เราจะต้องมีความจริงใจ จริงจัง ต่อการใส่ใจมัน กฤษณมูลติ ท่านบอกว่าเราจะต้องใช้พลังของการใส่ใจอย่างมหาศาล, อาตมาก็เข้าใจว่าจะต้องใส่ใจจริงๆ ต่อการดำเนินชีวิตจากขณะหนึ่ง ไปสู่ขณะหนึ่งด้วยการเฝ้าสังเกต, หรือดำเนินไปสู่ฐานของ “ทางสายกลาง” ทุกย่างก้าว ของการปฏิบัติ,การภาวนา,มันจะต้องอยู่บนฐานของจิตใจที่มีความรู้สึกว่าไม่มีตัวเรา อยู่บนฐานของจิตเหนือสำนึก,บนทางสายกลาง


    เข้าถึงบารมีต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการให้ที่เรียกว่าทานบารมี ศีลบารมี ขันติบารมี วิริยะบารมี ปัญญาบารมี,มันจะต้องอยู่บนฐานของจิตเหนือสำนึกหรือโลกุตรจิตหรือทางสายกลาง,หากเราเข้าใจ ตระหนักรู้ด้วยปัญญาญาณของเราจริงๆ สภาวะนี้เองคือฐานของการปฏิบัติเราก็มุ่งเพียรทำให้มันจริงๆ จังๆ ลองดูชิว่ามันจะเกิดผลได้ไหม มันจะมีผลบ้างไหม,เราผ่านการได้,การเสีย มามากแล้วในชีวิตของเรา,มีอีกสิ่งหนึ่งที่เราจะต้องพัฒนาไปให้ถึงเป้าหมายให้ได้,นั่นคือการพัฒนาจิตใจจนเข้าถึงจิตวิญญาณสากล หรือจิตสากล



    ถ้าเราเข้าใจด้วยตัวเองได้โดยไม่ต้องไปฟังใครพูด โดยไม่ต้องไปอ่านหนังสือ ฟังอาตมาหรือฟังใครอธิบายแต่ตระหนักรู้ด้วยตัวเองอยู่ทุกขณะได้,เราก็จะเห็นว่าปัญหาต่างๆ หรือความทุกข์ต่างๆ มันลดน้อยลง,ความขัดแย้งต่างๆ, น้อยลง ความสุขมันก็มากขึ้น,จิตใจเราก็อิ่มเอิบ เบิกบาน ร่าเริง อยู่กับความเป็นหนึ่งเดียวกับสรรพสิ่ง มีความรัก ความเมตตา มีความเกื้อกูล เอื้ออาทร ต่อสรรพสิ่งไม่ว่าหมู หมา กา ไก่ เห็นอะไรก็รู้สึกสดชื่น เบิกบาน ร่าเริง อิ่มเอิบ นี่คือความสุขที่แท้จริง ที่ไม่ได้อาศัยวัตถุ ไม่ได้อาศัยสิ่งต่างๆ ที่เป็นวัตถุเลย มันเกิดจากจิตใจของเราที่มีความเป็นอิสระ จิตใจที่เป็นหนึ่งเดียวกับสรรพสิ่ง


    ธรรมทั้งปวงคือความว่างนี่คือลักษณะของมันเป็นลักษณะที่เราสามารถเห็นได้ด้วยปรีชาญาณของเราหรืออย่างที่พระพุทธองค์ตรัสว่า สัพเพธัมมาอนัตตา ธรรมทั้งปวงไม่ว่าอสังขตธรรมและสังขตธรรมมันว่าง, อนัตตาคือสภาวะที่ไม่อาจจะกล่าวได้ว่ามันมีหรือมันไม่มี, อย่าไปแปล อนัตตาว่าไม่มี, อนัตตาไม่ใช่ไม่มีตัวตน, ไม่มีตัวตนคือนิรัตตา, ตรงข้ามกับอัตตา อนัตตาอยู่เหนือความมี เหนืออัตตา เหนือนิรัตตา เหนือความไม่มี สัพเพธัมมาอนัตตา คือเห็นด้วยปัญญาญาณว่าธรรมทั้งปวงไม่ว่าจะเป็นความว่าง


    (อสังขตธรรม) หรือปรากฏการณ์ (สังขตธรรม) มันเปลี่ยนแปลงจากขณะหนึ่งไปสู่ขณะหนึ่ง,ไม่อาจจะกล่าวได้ว่ามันมีหรือมันไม่มี, ลองไปดูในพระไตรปิฎฏกเล่มที่ 34,35 เรื่องความสุดโต่งทั้งสอง เราก็จะเกิดความเข้าใจ, อ๋อสภาวะที่เรารับรู้ด้วยใจที่มันว่าง(ขณะนั้นความคิดไม่มีเลย) แล้วของคู่จะมีได้ยังไง,ความมีอยู่และความไม่มีอยู่ มันจะมีได้ยังไง ถ้ามันยังมีอยู่ –ไม่มีอยู่,ยังมีเกิด-มีดับขณะนั้นมันก็คิดเอา,มันเกิดจากความคิด,การเห็นสิ่งต่างๆเป็นคู่ๆ มันเกิดจากความคิด, ถ้ามันไม่คิดรับรู้ด้วยใจที่ว่างไม่ว่าทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย การรู้ด้วยจักษุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฯลฯ มันจะรวมลงในธรรมชาติรู้ที่เรียกว่าปรีชาญาณ หรือใจที่มันว่าง,มันจะตระหนักรู้ ในความว่างของสรรพสิ่งนี่คือการตระหนักรู้ได้ด้วยปรีชาญาณ หรือปัญญาญาณ



    และตระหนักรู้ในความเป็นหนึ่งเดียวกับสรรพสิ่ง,แต่ก่อนนี้เรารับรู้อย่างแบ่งแยก มีสิ่งถูกรู้มีผู้รู้,คือชื่อต่างๆ บัญญัติต่างๆ ที่เราไปสมมุติไปตั้งชื่อมัน,ลองสังเกตให้ชัดชิว่าการรับรู้หรือการตระหนักรู้ในความเป็นหนึ่งตระหนักรู้ในการไม่แบ่งแยก,เห็นให้มันชัดเลย,ขณะใจว่าง,แล้วเราเห็น เราได้ยินอย่างไร มันไปพ้นชื่อไหม นี่คือการรับรู้ในความเป็นหนึ่ง,ถ้ามันสามารถรับรู้ได้,ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย โดยที่เราไม่ได้ไปตั้งใจกำหนดจดจ้องที่ทวารหนึ่ง ทวารใดเห็นใจมันว่างอยู่แล้วธรรมชาติแผ่ขยายรับรู้พร้อม,นี่คือการรับรู้ในความเป็นองค์รวม,หรือในความเป็นทั้งหมด,นี่คือความสมบูรณ์ของชีวิตเรา เรารู้ได้ด้วยปรีชาญาณ รับรู้ในความเป็นทั้งหมดจากขณะหนึ่งไปสู่ขณะหนึ่งปราศจากตัวเราเป็นผู้รับรู้ ไปพ้นกาลเวลา
     
  15. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    แต่ถ้าเราดำเนินชีวิต ด้วยความรู้สึกว่ามีตัวเรา ในมิติของจิตสามัญสำนึก เราไม่สามารถจะรู้ในความเป็นทั้งหมดของชีวิตราได้, เราจะรู้ได้ทีละทวาร, เช่น เราตั้งใจจะดู มันก็รู้ได้เฉพาะทางตา, ตั้งใจจะฟังก็รู้ได้เฉพาะทางหู, นี่คือปัญญาที่มีขอบเขตจำกัด, เรื่องใดเรื่องหนึ่ง, ทวารใดทวารหนึ่ง,อย่างมีขอบเขตจำกัด นี่คือปัญญาในระดับเหตุผล, หรือปัญญาของปุถุชน, รู้ได้ทีละทาง, เราจะต้องรู้ด้วยตัวเอง สัมผัสได้ด้วยตัวเอง ปรากฏการณ์สิ่งต่างๆ, ที่แวดล้อมเราอยู่ มันจะเป็นหนึ่งเดียวกับเรา เมื่อเราตระหนักรู้ด้วยปรีชาญาณ



    ธรรมชาติที่แท้ (สัจจะขั้นอัลติมะ) มันก็แสดงออกอย่างเหมาะสมต่อสถานะการณ์ต่างๆ ในชีวิตของเรา,มันจะแสดงออกร่วมกับกิจกรรมต่างๆ ของเรา เพียงแต่เราตามรักษาจิต เฝ้าสังเกตมัน ดูมัน เรียนรู้มัน (จิตตัง รักเขถเมธาวี) ปราชญ์ย่อมตามรักษาจิตของตน ซึ่งเห็นได้ยาก จิตของเรามันเห็นได้ยาก ละเอียด ประณีต ปรากฏการณ์ที่เป็นสิ่งแวดล้อมมันก็ว่างไปด้วย เมื่อใจของเราว่าง,สิ่งแวดล้อมรอบๆตัวเราอยู่นี่มันก็ว่างไปด้วย, ถ้าจิตมันเกิด รูปมันก็เกิด ถ้านามมันเกิด รูปมันก็เกิด จิตดับ รูปก็ดับ งานอะไรก็ตามถ้าเราไม่คิดมันก็จะไม่มีของคู่, การกระทำนั้นก็เป็นการกระทำที่แท้จริง, งานนั้นๆก็เป็นงานที่แท้จริง





    หากเราไม่รู้จักการฝึกฝน, ไม่รู้จักการภาวนาในทัศนะนี้ เราก็ยังจับสาระของการปฏิบัติ จับประเด็นของการปฏิบัติไม่ได้, การงานต่างๆที่เรากระทำอยู่ด้วยความรู้สึกว่ามีตัวเราเป็นผู้กระทำ,มันก็จะไปปกปิดการงานที่มีคุณภาพ, ความจริงแท้ที่เป็นธรรมชาติพื้นฐานของสรรพสิ่งหรือสัจจะขั้นอัลติมะ, เราไม่สามารถจะไปอธิบายมันได้ด้วยภาษา, ด้วยคำพูด,แต่ที่อาตมาพยายามชี้แนะเป็นเพียง จุดเริ่มต้น,ก็เพื่อจะให้เราเข้าถึงประสบการณ์ตรงต่อสัจจะด้วยตัวเอง เมื่อรู้จุดเริ่มต้น เราก็สามารถสัมผัสได้ด้วยตัวเอง, สิ่งที่อาตมาพูดก็พูดจากการตระหนักรู้ของตัวเอง,



    เมื่อเราสังเกตจิตใจมันว่างเข้าถึงสภาวะที่เรียกว่ามัชฌิมา หรือ “ทางสายกลาง” หรือศีลแล้วมันก็จะพัฒนาตัวมันเอง จนกระทั่งเกิดปรีชาญาณเห็นความเป็นทั้งหมดของชีวิตเราในแต่ละขณะ, ความว่าง หรือสูญญตา หรืออนัตตา หรือสัจจะขั้นอัลติมะก็ดี เราเพียงแต่พูด,ถ้าเราไม่เห็นมันก็เข้าใจมันไม่ได้, เมื่อใดที่เราสังเกต, เห็นใจมันว่าง,ลองสังเกตให้ชัดชิ, ขณะที่ใจมันว่างมันรับรู้ทางทวารต่างๆอย่างไร

    นิโรธะ ต้องทำให้แจ้ง, คือเห็นมันให้ชัด อ้อสภาวะอย่างนี้เองคือนิโรธะ, ไม่มีสุข- ไม่มีทุกข์,ไม่มีเกิด-ไม่มีดับ ไปพ้นของคู่ไปพ้นความรู้สึกว่ามีตัวเรา, ไปพ้นกาล เวลา,รู้ด้วยตัวเองสัมผัสได้ด้วยตัวเอง แล้วเราก็จะรู้ว่ามันก้าวหน้า, หรือมันไม่ก้าวหน้า, แน่นอนความยึดถือต่างๆ ของเรายังมีอยู่อารมณ์ต่างๆ ความพอใจ-ไม่พอใจยังมีอยู่ มันก็เป็นธรรมดา ทุกคนก็มีอย่างนั้น,แต่เมื่อเราได้ศึกษาเรียนรู้ ได้ปฏิบัติเราก็จะเห็นมัน, แต่ก่อนมันเกิดจนกระทั่งแสดงออกมาทางกาย วาจาแล้วเราก็ยังไม่รู้มันเลย, แต่ทีนี้พอมันเกิดพอใจ-ไม่พอใจ ขุ่นเคืองใจเรารู้มัน, นี่ก็เจริญขึ้นแล้ว, จนกระทั่งมันเกิดก็เห็น,มันก็ยิ่งเจริญขึ้นจนกระทั่งใครว่า ใครด่า เราเฉยได้ ไม่มีปฏิฆะเลย, นี่ก็เป็นการพัฒนาจิตใจ, ก้าวหน้ามากแล้ว


    ทำอย่างนี้บ่อยๆ, การปฏิบัติเหมือนเป็นเรื่องซ้ำซาก, แต่ทุกขณะที่เราสัมผัสได้ ภาวะจิตที่มันว่างมันทำให้เราเบิกบาน อิ่มเอิบ ร่าเริง ความท้อแท้ความเบื่อหน่ายก็ไม่มี, ถ้าเราสัมผัสไม่ได้มันก็มีขบวนการความคิดซับซ้อนขึ้นมาเกิดความเบื่อหน่าย,เกิดความท้อแท้,เราก็ดู ก็เรียนรู้ ความท้อแท้นั่นแหละ, สังเกตมัน,เรียนรู้มัน,ทุกสิ่งเกิดขั้นมาเพื่อให้เราเรียนรู้, หรือปัญหาต่างๆ เกิดขึ้นมาเพื่อให้เราแก้ไขเพื่อให้เราได้เข้าใจมัน, ไม่มีวิธีอื่นใดเลยที่ทำให้จิตใจมันว่างโดยธรรมชาติของมันหรือไม่มีวิธีใดเลยที่จะทำให้มันละ มันปล่อย มันวางนอกจากการสังเกต การเรียนรู้ ที่เรียกว่าสิกขา ในหลักของไตรสิกขาในข้อที่สี่ ของอริยสัจสี่

    :SLP_086: http://www.bloggang.com/viewdiary.ph...roup=1&gblog=8
     
  16. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,696
    ค่าพลัง:
    +51,932
    *** ค้นพบ "สัจจะ" ****

    โลกุตตระธรรม จึงย่อการปฏิบัติเพื่อการหลุดพ้น
    จนเหลือเพียง "สัจจะ"

    "การกระทำ" ในชีวิต กับ สัจจะ"
    เป็นสิ่งสำคัญที่สุด


    ไม่มีใคร...สามารถขจัดกิเลสนิสัยตนเองไปได้.
    หากไม่มี....ไม่ฝึกด้วย "สัจจะ"

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  17. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,696
    ค่าพลัง:
    +51,932
    *** ทำผิดกับตัวเอง ****

    *** สัญญาใจ ****

    สัจจะ...คือ สัญญาใจตนเอง

    ผิดสัจจะ .... คือ การผิดสัญญาของตัวเอง

    ผิดคำสัญญา ... คือ การผิดสัญญากับใจตัวเอง....คือ ผิดสัจจะ

    ผิดคำสาบาน .... คือ การผิดสัญญากับใจตัวเอง...คือ ผิดสัจจะ

    ผิดคำบนบานศาลกล่าว ... คือ การผิดสัญญากับใจตัวเอง....คือ ผิดสัจจะ

    ผิดคำอธิษฐาน .... คือ การผิดสัญญากับใจตัวเอง...คือ ผิดสัจจะ

    ผิดคำสัตย์ปฏิญาณ ...คือ การผิดสัญญากับใจตัวเอง....คือ ผิดสัจจะ



    *** เคยบ้างไหม ****

    ผมสัญญาว่า.......
    ฉันสัญญาว่า.......

    ผมสาบานว่า.......
    ฉันสาบานว่า.......

    ข้าพเจ้าขอบนต่อ.......ว่า.......
    ข้าพเจ้าขออธิษฐานว่า จะ.......
    ข้าพเจ้าขอถวายสัตย์ปฏิญานตนว่า.......



    " ตัวกระทำมีจริง ตัวกระทำไม่ตาย ตัวกระทำมีผลตอบแทน "
    ประโยคนี้ คือ......."หลักสัจจะธรรม"

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  18. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    <center>ชวนคนไทย “ทำดีเพื่อพ่อ” นายกฯ ตั้งปณิธาน "รักษาศีล 5 ตลอดชีวิต"

    [​IMG]</center><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td><dd>นายกรัฐมนตรี ชวนชาวไทย "ทำดีเพื่อพ่อ” ถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา</dd><dd>โดย "พล.อ.สุรยุทธ์" ตั้งปณิธาน “รักษาศีล 5 ตลอดชีวิต” </dd><dd> พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดโครงการ “ทำดีเพื่อพ่อ” โดยนายไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) กล่าวรายงานร่วมกับนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าฯ กทม. ผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศและเหล่าบรรดาข้าราชการพร้อมด้วยศิลปิน ดารานักแสดงประชาชนจำนวนมาก พร้อมใจกันใส่เสื้อเหลืองเข้าร่วมงาน ณ ลานพระบรมรูปทรงม้า </dd><dd> พล.อ.สุรยุทธ์ กล่าวเปิดงานว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นผู้ให้ เสียสละความสุขส่วนพระองค์เสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมเยียนประชาชนทุกภาค ทรงริเริ่มโครงการในพระราชดำริกว่า 2,000 โครงการ เพื่อส่งเสริมให้ราษฎรมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น บัดนี้ถึงเวลาที่ปวงชนชาวไทย ในฐานะผู้รับจะได้ร่วมแสดงออกถึงความจงรักภักดี ด้วยวิธีปฏิบัติบูชา คิดดี ทำดี และดำรงชีวิตอยู่บนพื้นฐานของความพอเพียง ตามแนวพระราชดำริ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา </dd><dd> หลังจากนั้น ได้เขียนดอกไม้ แห่งความดี ข้อความ “รักษาศีล 5 ตลอดชีวิต” และนำไปแขวนที่ต้นไม้แห่งความดี ต่อด้วยการมอบต้นกล้าราชพฤกษ์ ซึ่งใช้เป็นสัญลักษณ์ของโครงการ ให้แก่ผู้ว่าราชการจังหวัดทั้ง 76 จังหวัด กระทรวงต่างๆ และภาคีเครือข่าย </dd><dd> นายไพบูลย์ กล่าวว่า โครงการแบ่งเป็น 2 ระยะ ระยะสั้นเป็นการรณรงค์สร้างจิตสำนึกและการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน นับจากวันที่ 16 กันยายนนี้ ไปจนถึงวันเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวาคม หลังจากนั้น คณะกรรมการจะนำเรื่องราวความดีทั้งหมดมาร้อยเรียงกัน เพื่อนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายเป็นของขวัญแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ส่วนระยะยาว รณรงค์ต่อเนื่องไปจนถึงโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 84 พรรษา ในปี 2554 ซึ่งเชื่อว่าเวลาเกือบ 5 ปี ของการรณรงค์จะช่วยบ่มเพาะให้สังคมไทยเป็นสังคมคุณธรรมมากขึ้น </dd><dd> ส่วนความดี 8 ประการ ได้แก่ การรู้จักดูแลสุขภาพร่างกายและจิตใจของตนเองให้แข็งแรง, การลด-ละ-เลิก อบายมุขทั้งปวง, การให้ความรักและเอาใจใส่ต่อครอบครัวและคนใกล้ชิด, การเสียสละช่วยเหลือสังคม, การมีจิตสำนึกรักษาสิ่งแวดล้อม, การช่วยกันปลูกต้นไม้เพื่อลดภาวะโลกร้อน, การรู้จักประหยัดอดออมและกินอยู่อย่างพอเพียง และการให้ทาน </dd><dd> ด้านนายอภิรักษ์ กล่าวว่า กทม.จะรณรงค์ให้ประชาชนทุกคนในกรุงเทพมหานคร น้อมนำกระแสพระราชดำรัสเศรษฐกิจพอเพียง ส่วน ผู้ว่าฯ กทม.เขียนข้อความว่า “จะทุ่มเททำงานด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต เพื่อประชาชนชาวไทยและประเทศไทยตลอดไป” <hr> ที่มา : คมชัดลึก
    </dd></td></tr></tbody></table>
     
  19. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    <center>สมาธิไฮเทคทำน้อยได้ผลมาก</center>
    <center>[​IMG]</center>
    <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td><dd>วิทิสาสมาธิคืออะไร ?</dd><dd> พระเทพเจติยาจารย์ (หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินโร) ได้สร้างหลักสูตรนี้ให้เหมาะแก่ชาวโลกทั้งมวลเป็นหลักสูตรการทำสมาธิที่ง่ายที่สุด ใช้เวลาน้อยที่สุด เพราะเป็นสมาธิแบบไฮเทคทำน้อยแต่ได้ผลมากและทำได้ทุกที่ทุกเวลาทั่วโลก ไม่จำกัดชาติ ศาสนา ผู้ทำสมาธิจะได้สะสมพลังจิตอย่างต่อเนื้องทุกวัน พลังจิตนั้นจะเพียงพอต่อการเป็นมนุษย์ได้อย่างสมบูรณ์</dd><dd> เหมาะกับใคร ?</dd><dd> เหมาะกับทุกๆ คน ทั้งเด็ก ผู้ใหญ่ ผู้ที่เคยทำสมาธิหรือไม่เคยทำสมาธิ และเหมาะที่สุดสำหรับผู้ที่มีหน้าที่การงานมาก เมื่อทำวิทิสาสมาธิจะเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานและจะมีความสุขในการทำงาน</dd><dd> ทำที่ไหน ? </dd><dd> ทำได้ทุกสถานที่ เช่นที่บ้าน ที่ทำงาน ศูนย์การค้า สถานที่สาธารณะ และขณะโดยสารยานพาหนะเป็นต้น แต่ขณะทำวิทิสาสมาธิอย่าทำโอ้อวดใคร</dd><dd> ทำอย่างไร ?</dd><dd> ทำง่ายๆ ในอิริยาบถที่สบายๆ จะยืน เดิน นั่ง นอนก็ได้ ให้กำหนดจิตไว้ที่หน้าผาก ปลายจมูก ที่หัวอกด้านซ้าย ที่สะดือ หรือที่เฉพาะหน้า ให้เลือกที่ใดที่หนึ่งแล้วหลับตาบริกรรม พุทโธๆหรือ คำใดคำหนึ่งที่กำหนดไว้ในจิต</dd><dd> ใช้เวลาเท่าไร ?</dd><dd> ใช้เวลาเพียง 5 นาทีต่อครั้ง วันหนึ่งทำ 3 ครั้ง เช่น เช้า กลางวัน เย็น รวม 15 นาทีและทำต่อเนื่องทุกวันเป็นเวลา 1 เดือนก็ได้ 7 ชั่งโมงครึ่งจะได้พลังจิตที่เพียงพอต่อการดำรงชีวิตอยู่อย่างมีความสุขทางใจถ้าต้องการให้ก้าวหน้าเชิญมาเรียนหลักสูตรชินนสาสมาธิ นิรสาสมาธิ คณะสาสมาธิและครูสมาธิเป็นต้น</dd><dd> ได้ประโยชน์อย่างไร ?</dd><dd> 1.แก้ความเครียด ความเศร้าใจ ความทุกข์ใจ</dd><dd> 2. ทำให้หลับสบายคลายกังวล</dd><dd> 3. เพิ่มความรอบคอบในการตัดสินใจ</dd><dd> 4. เพิ่มพูลความสุขทางใจ</dd><dd> 5. เพิ่มพูลสติปัญญาความเฉลี่ยวฉลาด</dd><dd> 6. เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน</dd><dd> 7. สามารถป้องกันและรักษาโรคภัยไข้เจ็บได้</dd><dd> 8. เสริมสร้างสุขภาพจิตให้เข้มแข็ง</dd><dd> 9. ได้สะสมพลังจิตเพิ่มพูลชีวิตให้สมบูรณ์</dd></td></tr></tbody></table>
     
  20. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,696
    ค่าพลัง:
    +51,932
     

แชร์หน้านี้

Loading...