รวบรวมคติธรรมดี ๆ มาให้อ่านกัน...

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย J.Sayamol, 16 มีนาคม 2009.

  1. ☞

    เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2012
    โพสต์:
    205
    ค่าพลัง:
    +561

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 44.jpg
      44.jpg
      ขนาดไฟล์:
      141.6 KB
      เปิดดู:
      105
  2. J.Sayamol

    J.Sayamol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2008
    โพสต์:
    6,190
    ค่าพลัง:
    +21,530
    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  3. J.Sayamol

    J.Sayamol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2008
    โพสต์:
    6,190
    ค่าพลัง:
    +21,530
    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  4. J.Sayamol

    J.Sayamol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2008
    โพสต์:
    6,190
    ค่าพลัง:
    +21,530
    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  5. J.Sayamol

    J.Sayamol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2008
    โพสต์:
    6,190
    ค่าพลัง:
    +21,530
    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  6. J.Sayamol

    J.Sayamol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2008
    โพสต์:
    6,190
    ค่าพลัง:
    +21,530
    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  7. J.Sayamol

    J.Sayamol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2008
    โพสต์:
    6,190
    ค่าพลัง:
    +21,530
    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  8. ☞

    เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2012
    โพสต์:
    205
    ค่าพลัง:
    +561
    คำว่ายอมรับหมายถึงว่า ยอมรับความจริงว่านี่เข้าฌานสมาบัติได้จริง แล้วทำได้จริงนี่ แต่ถึงกาลเวลาเห็นไหม เพราะพระพุทธภูมิใช่ไหม จิตใจมันยังไม่เข้าถึงหลักเกณฑ์มากนี่ มันยังไขว้เขว ไขว้เขวเห็นไหม เวลาพูดถึงว่าความเป็นไปนี่ ต้องเป็นอย่างนั้น คือว่าพยากรณ์ผิดว่าอย่างนั้นเถอะ พยากรณ์ผิดนี่หลายข้อมาก แต่ถ้าเป็นความจริงนี้จะพยากรณ์ไม่ผิด มันจะละเอียดเข้าไปเรื่อยๆ แล้วพยากรณ์จะชัดเจน ชัดเจนขึ้นไปเรื่อยๆ ถ้าบารมีแก่กล้าขึ้น นั่นพูดถึงพุทธภูมิ ฉะนั้นบอกพุทธภูมิผิดได้ไหม...ผิด นี่พูดถึงพุทธภูมินะ

    แล้วไอ้นี่มันแค่ผู้ที่ปรารถนา คำว่าปรารถนาพุทธภูมินี่มันยังปรารถนา เพราะพุทธภูมินี่หมายถึงคุณงามความดี ใครจะปรารถนาพุทธภูมิก็ได้ แล้วใครเปลี่ยนแปลงก็ได้ มันไม่มีอะไรผูกมัดว่าจะต้องถูกหรือผิดตลอดไป แต่เวลาถ้าเป็นสาวกภูมินี่นะ ถ้าเข้าถึง ถ้าเป็นสัมมาสมาธิก็ต้องเป็นสัมมาสมาธิ ถ้าไม่เป็นสัมมาสมาธิมันก็ไม่ใช่สัมมาสมาธิ ถ้าเข้าสาวกภูมิมันยังชัดเจนกว่า ชัดเจนกว่าเพราะอะไร เพราะมันเข้าอริยสัจ

    เหมือนกับสูตรทฤษฎีนี่ ทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์นี่ถ้าพวกเราเรียนมาด้วยกัน รู้เสมอกัน มันก็ต้องเป็นทฤษฎีเดียวกัน

    การประพฤติปฏิบัติก็เหมือนกัน ถ้าพูดถึงสัมมาสมาธิเข้าอริยมรรคนะ มันจะเหมือนกัน ฉะนั้นถ้าเข้าสู่สาวกภูมินี่ แล้วเข้ามานี่ มันชัดเจนกว่านี้เยอะมาก ฉะนั้นพอมันเข้ามาถูกต้องแล้วนี่ มันจะไม่มีความผิดพลาดไง ถ้าเป็นความผิดพลาดมันก็เป็นมิจฉา ถ้าเป็นความถูกต้องเห็นไหม มันก็เป็นสัมมา เพราะสัมมาสมาธินี่นะ สัมมาปัญญาต่างๆ นี่ มันจะเข้าไปสู่ความจริง

    ฉะนั้นถ้าสาวกที่ปรารถนาพุทธภูมินี่ก็คือไม่รู้อะไรเลย ถ้าเป็นพุทธภูมิที่บารมียังอ่อนอยู่ มันก็ฤๅษีชีไพรธรรมดานี่แหละ แต่ถ้าเป็นพุทธภูมิที่มีหลักมีเกณฑ์ขึ้นมา เห็นไหม นี่มันก็จะชัดเจนขึ้นมาเรื่อยๆ มันชัดเจนขึ้นมา แต่ถ้ามันไม่ใช่อย่างนั้น ถึงบอกว่า ถ้าสาวกปรารถนาพุทธภูมิแล้วผิดไม่ผิด...ผิด ปัญหาหนึ่งว่า พุทธภูมิผิดได้ไหม ผิดได้ ผิดได้ แล้วพุทธภูมินี่ละได้ แล้วถ้าปรารถนาพุทธภูมินี่มันยังไปอีกไกล แล้วสิ่งที่ทำนี้ถูกต้องไหม มันก็ดีงามอยู่ เพียงแต่ที่เวลาเขาพูดอย่างนี้ เราเข้าใจว่า พออ้างว่าเป็นปรารถนาพุทธภูมิ จะทำอะไรก็แล้วแต่ จะทำให้มีความเชื่อถือไง ต้องการความเชื่อถืออย่างเดียว

     
  9. ☞

    เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2012
    โพสต์:
    205
    ค่าพลัง:
    +561
    แต่ข้อมูลกูเป็นแบบนี้! ข้อมูลกูได้ยินมาจากพระอรหันต์ พระอรหันต์เป็นคนเล่าให้กูฟัง กูฟังพระอรหันต์! กูเชื่อพระอรหันต์! กูไม่เชื่อข้อมูลไอ้รถสิบล้อ ๔ คัน ๕ คัน แบบนั้นกูไม่เชื่อ แต่ใครจะเชื่อก็สาธุ สาธุของเขาไป นี่ไม่ว่ากันนะ แต่โดนบ่อย เวลาพูดอย่างนี้ไปเราโดนบ่อย เพราะอะไร เพราะเราจะเอามาเปรียบเทียบให้เห็น เวลาเราพูดสิ่งใดก็แล้วแต่มันจะเป็นคติธรรม เป็นข้อมูลให้เห็นว่าสิ่งนี้จะเป็นสิ่งนี้ สิ่งนี้จะเป็นสิ่งนี้ เป็นตัวอย่างไง

    ฉะนั้นถ้าการปรารถนาพุทธภูมิจะเป็นตัวขวางกั้นไหม? ถ้ามันส่งเสริมกันมันจะไม่ขวางกั้น แต่พอมันจะเข้า เห็นไหม พระโพธิสัตว์ พุทธภูมินี่จะเข้าฌานโลกีย์ จะเข้าฌานสมาบัติ ถ้ายิ่งพุทธภูมิ ยิ่งใกล้จะเป็นพุทธภูมิ ฌานนี่จะแจ่มมาก ฌานนี่จะใสมาก แล้วจะเห็นข้อมูลผิดถูก จะเห็นอะไรชัดเจนมาก แล้วพยากรณ์อะไรไม่ค่อยผิด แต่ถ้ายังเป็นพระโพธิสัตว์ ยังห่างๆ อยู่ ฌานนี้มันไม่ค่อยแจ่มชัดนัก ทายอะไรไปมีผิดมีถูกอยู่เหมือนกัน ผิดๆ ก็มี ถูกๆ ก็มี เพราะกำลังสร้างบารมีไป แต่ถ้ายิ่งใกล้พุทธภูมิมากเข้านะจะชัดมาก

    ฉะนั้นในสังคมพุทธภูมินี่เยอะ! เขาจะวัดกันตรงนี้ วัดกันที่ว่าพุทธภูมิถ้าใกล้โพธิสัตว์ การทำนายทายทักจะชัดเจน จะถูกต้อง จะถูก ๖๐ เปอร์เซ็นต์ ๗๐ เปอร์เซ็นต์ ๘๐ เปอร์เซ็นต์ ๙๐ เปอร์เซ็นต์ไป แต่ถ้าเป็นพุทธภูมิใหม่ๆ นะทายถูก ๒๐ เปอร์เซ็นต์ ผิด ๘๐ เปอร์เซ็นต์ ทายถูก ๓๐ เปอร์เซ็นต์ ผิด ๗๐ เปอร์เซ็นต์ มันมีของมัน แต่มันจะพัฒนาของมัน พุทธภูมิเป็นอย่างนั้น แต่ถ้าเป็นพุทธภูมิที่เข้มข้นนะ ทายถูก ๗๐ เปอร์เซ็นต์ ผิดซัก ๓๐ เปอร์เซ็นต์ แต่ถ้าชัดเจน ในสังคมพุทธภูมิเขารู้กัน

    ฉะนั้นพุทธภูมิ คนปรารถนาก็คือแรงปรารถนา เว้นไว้แต่ใครเห็นโทษ ใครเห็นโทษการเกิดการตาย แต่ไม่ได้เห็นโทษพุทธภูมินะ ไม่ได้เห็นโทษการเป็นพระอรหันต์นะ แต่เห็นโทษการเกิดและการตาย เพราะเวลาสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าก็คือพระอรหันต์ เป็นสาวก สาวกะก็เป็นพระอรหันต์ มันต่างกันตรงที่อำนาจวาสนาบารมี ไอ้ผลข้างเคียงเท่านั้นเอง

     
  10. ☞

    เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2012
    โพสต์:
    205
    ค่าพลัง:
    +561
    คำว่า “บารมี” นี่ผู้ที่ปฏิบัติจะรู้ได้อย่างไรว่าบารมีเราใกล้เต็ม หรือไม่ใกล้เต็ม เราบอกใกล้เต็ม ถ้าไม่ใกล้เต็มนะเราจะไม่สนใจเรื่องนี้เลย โยมสังเกตได้ไหม? โดยส่วนใหญ่เวลาผู้ที่ฟังเทศน์ ถ้าฟังเทศน์พระปฏิบัติ ฟังเทศน์ครูบาอาจารย์นะ มันฟังเทศน์ ถ้าคนฟังแล้วเข้าใจ ฟังแล้วเข้าใจ ฟังแล้วมันซาบซึ้งใจ ฟังแล้วสะเทือนใจ นั่นล่ะมีบารมี แต่ถ้าบางคนนะสังเกตได้เขาฟังแล้วเขาบอกว่าใช้ไม่ได้ เขาต้องถูกแม่แบบ แม่แบบคือพระไตรปิฎก จะเคลื่อนจากนั้นไม่ได้ ถ้าเคลื่อนจากนั้นเขาถือว่าผิด

    คำว่าแม่แบบไง แม่แบบมันเป็นทฤษฎี มันเป็นปริยัติหมดเลย แล้วถ้าเทศน์อย่างนั้นเขาพอใจมาก ถ้าเขาพอใจมาก ฉะนั้น เวลาปฏิบัติเรานี่มันมีปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ปริยัติมันเป็นทฤษฎี คำว่าทฤษฎีนี่อย่างเช่นนะ อย่างเช่นพวกเรียนจบวิศวะมา เวลาเรียนวิชาการ มันต้องเป็นทางวิชาการใช่ไหม? มีเพื่อนหลายคนนะเขาจบวิศวะแล้วมาบวชอยู่ด้วย เขาบอกหลวงพ่อ ผมนี่รู้ไปหมดเลยนะ แต่ให้ผมทำนี่ผมทำไม่ค่อยได้หรอก ไอ้กรรมกรกินแรงรายวันมันชำนาญกว่าผมอีก แต่ถ้าเอาทฤษฎีมันสู้ผมไม่ได้หรอก ผมนี่รู้ทุกอย่างเลยนะ แต่เวลาผมทำจริงๆ ผมทำสู้มันไม่ได้หรอก ทำสู้มันไม่ได้

    ปริยัติ นี่ไง นี่แม่แบบๆ แต่เวลาปฏิบัติ เวลาปฏิบัติลงไป เราลงไปในพื้นที่ หน้างานมันจะมีปัญหาไปมหาศาลเลย แล้วเราจะแก้อย่างไร? ฉะนั้น ถ้าเราต้องตรงปริยัติเลย แล้วทีนี้ปฏิบัตินะ พอปฏิบัติที่ไม่ได้ผลกันตรงนี้ พอเวลาปฏิบัติไปแล้วนะยึดแม่แบบไว้ไง ต้องเป็นแบบนี้ ต้องเป็นแบบนี้ จิตมันเลยไม่ลง จิตมันเลยไม่ละเอียดลงไง ถ้าจิตมันละเอียดลงนะ พอจิตละเอียดลงปั๊บเขาบอกไม่ได้ มันเป็นสมถะ เขาปฏิเสธ ๑.ปฏิเสธสมถะ ๒.ปฏิเสธนิมิต

    ทีนี้พอจิตมันลง พอจิตมันลงใช่ไหม? มันจะต้องมีการเคลื่อนไหว การเคลื่อนไหวเรานั่งอยู่นี่ ถ้าไม่มีอากาศผ่านเราก็อัดอั้นมากเลย แต่ถ้ามีอากาศถ่ายเท เห็นไหม เราจะมีความปลอดโปร่ง เราจะมีความร่มเย็น เราไม่อึดอัดใช่ไหม? เวลาจิตมันลง จิตมันลงมันมีการเคลื่อนไหว ทีนี้มันจะรู้ มันจะเห็นอะไรมันเป็นธรรมชาติของมัน มันเป็นเรื่องธรรมดา จิตมันจะเคลื่อนไหว มันจะเปลี่ยนแปลงมันต้องมีปฏิกิริยาของมันแน่นอน

    แต่เขาบอกไม่ได้ ผิด ไม่ได้ ผิด เพราะอะไร? เพราะยึดแม่แบบ ยึดไว้เลยนะ ต้องอย่างนี้ๆ นี่คือปัญญานะ ปัญญา อันนั้นมันสัญญา มันจำมา มันจำว่าต้องเป็นแบบนั้นไง นี่เพชรนะกว่ามันจะเป็นเพชร ดูสิมันต้องอายุขนาดไหน? นี่ด้วยกาลเวลาของมัน ด้วยแร่ธาตุจนมันเป็นเพชร แล้วเวลาที่มันเป็นมันเท่าไร? ไอ้นี่เราบอกว่าเพชร เขียนเลยนะเพชร ใช่ก็เพชร แต่ไม่มีเพชรแท้ แต่เขียนเป็นชื่อว่าเพชร ปริยัติคือชื่อ แต่ปฏิบัติคือตัวเพชร

    ฉะนั้น เวลาอำนาจวาสนา ถ้าฟังนะมันเป็นอีกชั้นหนึ่งนะ ถ้าเป็นทฤษฎี เราศึกษาแม่แบบนี่ถูก แต่มันเป็นปริยัติ ทำไมพระพุทธเจ้าถึงได้วางไว้ ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธล่ะ? ทำไมปริยัติ ปฏิบัติไม่เป็นอันเดียวกันล่ะ? ทำไมปริยัติต้องไปปฏิบัติล่ะ?

    นี่ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ คือศึกษาแล้วปฏิบัติ พอปฏิบัติแล้วมันจะไปเจอประสบการณ์ จิตมันจะมีประสบการณ์ของมัน อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ตนมันจะประพฤติปฏิบัติ มันจะมีปฏิกิริยาของมัน ถ้ามีปฏิกิริยาของมัน เห็นไหม เนี่ยสิ่งนี้ถึงว่ามีวาสนา ถ้าฟังแล้วเข้าใจนะ แต่ส่วนใหญ่แล้วฟังไม่เข้าใจ ฟังแล้วนี่จะย้อนกลับไปแม่แบบ บอกว่าผิด พระพุทธเจ้าไม่พูดอย่างนั้น แล้วเขายังพูดด้วยนะว่าปฏิบัติไม่เคารพๆ

    รอกิเลสจูง

    <IMG src='http://lh4.ggpht.com/-Xcb3zxGHjzk/R_DSEgg5IoI/AAAAAAAAAEM/oQCoW-F6DpQ/s640/100_3373.JPG' width=250>​
     
  11. ☞

    เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2012
    โพสต์:
    205
    ค่าพลัง:
    +561

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 45.jpg
      45.jpg
      ขนาดไฟล์:
      260.5 KB
      เปิดดู:
      405
  12. ☞

    เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2012
    โพสต์:
    205
    ค่าพลัง:
    +561
    <IMG src='http://palungjit.org/attachments/a.2298297/' width=700>

    พุทธพจน์กิเลสอ้าง
    พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

    เทศน์บนศาลา วันที่ ๗ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๑​
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 46.jpg
      46.jpg
      ขนาดไฟล์:
      204.3 KB
      เปิดดู:
      135
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 ตุลาคม 2012
  13. ☞

    เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2012
    โพสต์:
    205
    ค่าพลัง:
    +561

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 47.jpg
      47.jpg
      ขนาดไฟล์:
      194.9 KB
      เปิดดู:
      130
  14. ☞

    เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2012
    โพสต์:
    205
    ค่าพลัง:
    +561
    "...โลกเขาตื่นกัน ตื่นโลกเขาตื่นกันอย่างนั้นนะ โลกเขาตื่นกันเรื่องของข้าวของเงินทอง เรื่องของปัจจัยเครื่องอาศัย

    เวลาเขาตื่นธรรมเห็นไหม สิ่งนั้นเป็นธรรม สิ่งนั้นเป็นธรรม เขาก็ตื่นธรรมกัน ตื่นธรรมมันก็เป็นเรื่องอาการความรู้สึกความนึกคิดว่าเป็นพุทธพจน์ เป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใช่ ! เป็นพุทธพจน์ เป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราศึกษาธรรมขึ้นมาน่ะมันเป็นปริยัติ มันเป็นการศึกษาเห็นไหม

    ในการปฏิบัติล่ะ ? มันต้องมีอำนาจวาสนานะ ในการปฏิบัติตามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นมาตามความเป็นจริง ถ้ามันไม่เกิดขึ้นมาตามความเป็นจริง ปฏิบัติขึ้นมาก็สักแต่ว่าทำ ทำพอเป็นพิธี ทำพอเป็นสักแต่ว่าทำ พอสักแต่ว่าทำเห็นไหม ถ้าตื่นเงา เงาของโลก

    เงาของโลกคือผลของการเจริญเติบโต ผลของการเสื่อมค่าของทางโลกเขา นั่นตื่นโลก

    ตื่นเงาคือตื่นความคิด ความรู้สึกความนึกคิดเห็นไหม

    เราเป็นคนที่ปรารถนาดี เราจะเป็นผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ เราจะพ้นจากทุกข์ เวลาปฏิบัติขึ้นมามันก็ตื่นแต่เงาของตัว ความรู้สึกความนึกคิดนี่เป็นเงานะ อาการของจิตไม่ใช่จิต

    ถ้าอาการของจิตเราต้องยืนตรงให้ได้ เราต้องสงบเงาของเราให้ได้ ถ้าเราตื่นเงาของเรา แล้วเงาของเรามันมีความรู้สึกความนึกคิด เวลาตื่นเงาขึ้นมา ดูสิ ดูเวลากระต่ายมันตื่นตูมสิ มันนอนอยู่โคนต้นตาล เวลาลูกตาลตกขึ้นมาเห็นไหม “ฟ้าถล่ม ! ฟ้าถล่ม !” วิ่งหนีไปด้วยความรู้สึกนึกคิดของตัวว่าฟ้าถล่ม แล้วก็มีคนเชื่อวิ่งตามไป “ฟ้าถล่ม ฟ้าถล่ม”

    ราชสีห์น่ะ “ฟ้าถล่มที่ไหน กลับไปดู ฟ้าที่ไหนมันถล่ม” พอกลับไปดูเห็นไหม ลูกตาลมันตกใส่ก้านตาล มันมีฟ้าที่ไหนมันถล่มขึ้นมาล่ะ มันมีอะไรไปถล่ม นี่ความเห็น นี่เวลามันตื่น

    ถ้ามันตื่นความรู้สึก ความนึกคิด พอมันคิดเข้ามามันตื่นออกไป พอมันตื่นออกไปมันได้ประโยชน์อะไรขึ้นมาล่ะ วิ่งไปนะ หัวใจนี่วิ่งออกไป แล้วล้มลุกคลุกคลานไป แล้วสิ่งนั้นเป็นความจริงไหม

    ถ้ากระต่ายมันไม่ตื่นตูม สิ่งใดมันตกลงมา ลูกตาลมันตกลงมาเสียงมันดังไหม ? มันดัง ถ้ามันดัง ถ้ามีสติปัญญาดูมัน มันมีอะไรขึ้นมา

    เงามันเกิดที่ไหนก็ต้องดับที่นั่น..

    ความคิดเกิดที่ไหนก็ต้องดับที่นั่น สิ่งที่มันมีความตื่นตูมขึ้นมาที่ไหน มันก็ต้องดับที่นั่น มันก็ไม่ตื่นเห็นไหม ไม่ตื่นเงา..."

    เทศน์พระ เรื่อง ตื่นเงา เทศน์เมื่อวันที่ 19 ม.ค. 2554
     
  15. ☞

    เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2012
    โพสต์:
    205
    ค่าพลัง:
    +561
    ถาม : ๑๐๘. พวกที่ไม่มีรูปขันธ์อยู่ได้อย่างไร โดยรับประทานอาหารอะไร ผมเข้าใจว่าพวกสัมภเวสี โอปปาติกะ เทวดา พรหม ทั้งหลายดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างไร ถ้าเป็นคนอย่างเราๆ ก็ต้องกินอาหาร แต่พวกนี้เขากินอยู่อย่างไร แล้วกรณีที่มีการเซ่นสังเวย ผี พระภูมิ เจ้าที่ พวกนี้เขากินของเซ่นนั้นอย่างไร เขากินอะไรเป็นของเซ่นครับ พวกร่างทรง เจ้าพ่อ เจ้าแม่ในสำนักต่างๆ ทำไมเขาต้องลงมาทรงเจ้า เหตุที่มามาจากอะไร และมีความเชื่อถือมากน้อยแค่ไหน พวกนี้ต้องการอะไรในการลงมาทรงเจ้า หรือว่าต้องการสร้างบารมีให้ลงมาช่วยโปรดสัตว์โลกครับ พวกที่ไม่มีรูปขันธ์คือกายหยาบ ทำไมเขาสามารถทำให้มนุษย์ไม่สบายได้ เจ็บป่วยได้ จนบางครั้งต้องมีการไปขอขมา เขาใช้อำนาจฤทธิ์เดชอะไรถึงทำได้ ถ้าเรามีศีลบริสุทธิ์ มีตบะธรรม ภพภูมิพวกนี้จะทำอะไรเราได้หรือไม่ครับ

    หลวงพ่อ : จะตอบหรือไม่ตอบเนี่ย มันถามมานี่แม่งร้อยกว่าคำถาม มันอยู่ในคำถามเดียวกันไง มันถามทุกเรื่องเลยนี่หว่า

    เพราะความเข้าใจผิดของคนถาม พวกที่ไม่มีรูปขันธ์ ไม่มี! เขามีขันธ์หมด เทวดามีขันธ์ ๔ พรหมมีขันธ์ ๑ มนุษย์มีขันธ์ ๕ แล้วอย่างเทวดาเขากินวิญญาณาหาร กินอาหารเป็นทิพย์ พรหมมีผัสสาหาร แล้วพวกผีเห็นไหม เขากินวิญญาณาหาร พวกสัมภเวสี เทวดา อินทร์ พรหมเห็นไหม อาหาร ๔ ในวัฏฏะ เทวดา อินทร์ พรหมนี่เป็นผลของวัฏฏะ กามภพ รูปภพ อรูปภพ คนเขียนมันก็จินตนาการ คืออ่านหนังสือมาก ยิ่งดูทีวีมาก ไอ้พวกจักรๆ วงศ์ๆ มากมันก็เลย... ไอ้พวกจักรๆ วงศ์ๆ มันเป็นนิยายธรรมะ มันมีหัวข้อนิดหนึ่งเขาก็เอามาเขียน พอเขียนขึ้นมาเขาก็อธิบายไป เขาเอาพระไตรปิฎกมาข้อหนึ่งใช่ไหม แล้วก็มาขยายความพระเรวัตตะทุกข์อย่างนั้นๆ ก็เขียนกันไป

    นี่ก็เหมือนกัน พวกที่ไม่มีรูปขันธ์ รูป มหาภูตรูป รูปใหญ่รูปเล็กไง มหาภูตรูปคือร่างกายนี้ นี่เขาเรียกว่ารูป แต่ถ้ารูปเป็นทิพย์ ก็เป็นร่างกายเหมือนกันแต่เป็นร่างกายที่เป็นทิพย์ เขากินอาหารที่เป็นทิพย์ นี่พวกโอปปาติกะ สัมภเวสี พวกเทวดา อินทร์ พรหม เขากินวิญญาณาหาร พรหมมีผัสสาหาร นี่อาหาร ๔ ในวัฏฏะ พระพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์นะ พระพุทธเจ้าเป็นพระศาสดานะ พระพุทธเจ้าเป็นอาจารย์ของเทวดา พระพุทธเจ้าสอนพรหม พรหมต้องมาฟังเทศน์พระพุทธเจ้า แล้วพระพุทธเจ้าจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าเทวดา อินทร์ พรหมเขาอยู่กันอย่างไร

    ทีนี้พวกเราก็จินตนาการไง นึกว่าเรากินข้าว เอาข้าวอย่างนี้นะ หลวงปู่เจี๊ยะพูดเอง เราอยู่กับหลวงปู่เจี๊ยะนะ พอมีพวกโยมมา “เฮ้ย เทวดาไม่มีตลาดนะมึง บนสวรรค์ไม่มีตลาดนะ บนสวรรค์เขาไม่ต้องซื้อขาย” หลวงปู่เจี๊ยะพูดคำนี้บ่อยมาก บนสวรรค์ไม่มีตลาดนะโว้ย เขาไม่อาศัยบุญบาปของตัวเองอยู่นะ เขาอาศัยอาหารที่เป็นทิพย์ เห็นไหมครูบาอาจารย์ท่านมีหลักมีเกณฑ์ท่านพูดด้วยความรู้จริง พูดได้สบายมาก

    สวรรค์ไม่มีตลาด พรหมก็ไม่มีตลาด นรกอเวจีก็ไม่มีตลาด มันมีตลาดเฉพาะมนุษย์นี่แหละ แล้วพอมนุษย์มีตลาดเห็นไหม จะกินอะไรก็ไปสั่งของที่ตลาดกิน ก็นึกว่าเทวดาจะกินเหมือนเรา แล้วเวลาเซ่นไหว้เขากินอะไร เขาไม่กิน! การเซ่นผีเซ่นภูมิมันเป็นความเชื่อ เราเซ่นผีเซ่นพระภูมิ

    ถึงว่าไม่อยากจะตอบ ถ้าตอบไปแล้วเดี๋ยวมันจะเปิดแผลไง

    ถ้าเราเป็นชาวพุทธจริงนะ พุทธมามกะ ต้องถือศีล ๕ ต้องถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ถ้าถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เราจะไม่ถือมงคลตื่นข่าว ไปกราบเซ่นนี่มันมงคลตื่นข่าวแล้วนะ เราจะถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ถือสัจธรรม
    ฉะนั้นไปเซ่นผี แล้วเขาพูดกัน ที่ศาลไหนดี ดูสิไปเซ่นผีนะ ทำแกงส้มแกงเผ็ดมามันรสชาติจัดมากเลย พอเซ่นเสร็จเอามากินจื้ดจืด อู้ย ผีกินรสไปหมดเลย จืดเพราะมันเซ็ง มันเย็นก็เลยจืดสิ ลองไปอุ่นสิ ไปอุ่นไฟแรงๆ มันก็อร่อยอย่างเก่า โอ้ย ผีกินไปหมดเลย มันจืดหมดเลย คนเขาไปเชื่อ!

    เราไม่อยากจะพูดเพราะอะไรรู้ไหม เพราะว่าเราก็คนจีนนะ ที่ภูเก็ต ที่พังงา ที่ศาลเจ้าเวลาเขาทรงเจ้า ที่เขาทำเพื่อประโยชน์ก็มี เราไม่อยากจะล้มทำลายสังคม จริงๆ แล้วเราไม่อยากจะพูดมาก ความเชื่อของเขาใช่ไหม เวลากินเจเวลาเขาทำอะไรกัน เขาทำเพื่อประโยชน์ของเขา เขาเซ่นไหว้ของเขา นั่นอันหนึ่งก็เป็นครั้งเป็นคราว แต่ไอ้พวกถือผี ไอ้พวกเข้าไปหาผี ไอ้พวกที่ไปอ้อนวอนกัน มันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ไอ้พวกนี้มันเป็นผลของวัฏฏะสิ่งที่เราเชื่อถือกัน

    แต่ถ้าเราเชื่อมั่นในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เห็นไหมเราไม่เคยกลัวอะไรเลย ใครมาก็บอกประจำที่วัดเราไม่มีอะไรเลย เขาบอกว่าที่วัดหลวงพ่อไม่เจริญเพราะไม่มีพระภูมิ โอ้โฮ เขาจะมาสร้างให้เยอะแยะเลยนะ โอ้ยเวรกรรม จิตใจมันคนละชั้น ไม่มีทาง มันจะเจริญหรือไม่เจริญนะ มันอยู่ที่เวรที่กรรม มันเจริญหรือไม่เจริญนะ แล้วถ้ามันเจริญมันก็เจริญทางโลก

    หลวงปู่มั่นอยู่กับหลวงตา ตอนอยู่ที่บ้านผือ เวลามีโยมมาหาหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นจะลุกหนีเลย แล้วให้หลวงตาเป็นคนรับ ท่านบอกคุยกับโยมนี่เสียเวลา หลวงปู่มั่นถ้าไม่จำเป็นจะไม่พูดกับโยมนะ หลวงปู่มั่นจะพูดกับโยมก็ต่อเมื่อโยมที่คุ้นเคย ถ้าโยมที่ไม่คุ้นเคย หลวงปู่มั่นจะไม่พูดด้วยเลย จริงๆ นะเหมือนสีซอ พูดธรรมะชั้นสูงหรือธรรมะที่เป็นพื้นๆ พวกเราก็ไม่เข้าใจแล้ว หลวงปู่มั่นนะท่านจะไม่พูด..."

    อาหาร ๔ เทศน์เมื่อวันที่ 20 มิ.ย. 2553
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 ตุลาคม 2012
  16. ☞

    เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2012
    โพสต์:
    205
    ค่าพลัง:
    +561

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 48.jpg
      48.jpg
      ขนาดไฟล์:
      168.4 KB
      เปิดดู:
      129
  17. ☞

    เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2012
    โพสต์:
    205
    ค่าพลัง:
    +561
    ถาม : ที่มีการทำนาย ว่าจะมีแต่ภัยพิบัติเกิดขึ้นตามมามากมายใหญ่หลวง หลวงพ่อว่าเท็จจริงอย่างใด?

    หลวงพ่อ : เราไม่เชื่อเลย เราไม่เชื่อเรื่องคำทำนาย แต่เราเชื่อเรื่องจริง เราเชื่อเรื่องจริงเพราะว่าในเมื่อสภาวะแวดล้อมเป็นแบบนี้ มันก็ต้องเกิดอย่างนี้ โดยทางวิทยาศาสตร์เขาบอกว่าโลกร้อน นี่โลกมันร้อน พอโลกร้อนขึ้นมา เวลาหน้าแล้งจะแล้งรุนแรง เวลาฝนตก ตกจนท่วมโลก ไอ้อย่างนี้มันเป็นเรื่องจริง เราดูเรื่องจริง ถ้าเรื่องจริงเราแก้ไขตามความเป็นจริง ถ้าแก้ไขตามความเป็นจริง

    ทีนี้ไอ้คำทำนาย ทำนายอย่างไร? ดูสิกรมอุตุฯ ทำนายได้แค่ ๗ วัน แต่ถ้าของอเมริกาเขาทำนายได้มากกว่า แล้วอย่างนี้นะ พูดถึงว่าเกิดภัยพิบัติมากๆ หมอดูกำลังจะรวย ทำนายถูกต้องหมดเลย ทุกคนจะไปหาหมอแม่นๆ ไอ้หมอไม่แม่นไม่มีใครเขาหาแล้วนะ แต่ถ้าเราไม่ต้องหาหมอแม่นๆ สภาวะแวดล้อมเราก็เห็น ทุกอย่างเราเห็น ทางวิทยาศาสตร์เขาพิสูจน์กันได้อยู่แล้ว เอาความจริงนี่แหละ เอาความจริงนี่ เอาความจริงแล้วแก้ไขอย่างนี้ เราแก้ไขใจของเรา นี่เขาทำนาย เราจะไปทำนายกับเขาหรือ? ไม่มี

    เวลาเขาบอกโลกจะแตกนะ น้ำจะท่วมโลก หลวงตาบอกว่า “น้ำจะท่วมปอด” เพราะคนวิตกกังวลมากไง น้ำจะท่วมปอด จะเกิดทุกข์ เกิดยากในใจก่อน กว่าที่มันจะท่วมโลกนะมันท่วมปอด ท่วมปอดจนหายใจไม่ออกนู่นน่ะ ต้องไปเจาะน้ำออกจากปอด น้ำยังไม่ท่วมโลกเลยมันท่วมปอดตายก่อน

    ที่นี้ถ้ารักษาปอดของเรานะ น้ำจะท่วมโลกเราก็ลอยแพกัน เราต่อแพกันไว้ เราจะอยู่บนแพ แล้วเราจะมีความสุขร่มเย็น เราจะไม่ไปตื่นกับเขา เราตั้งสติไว้อย่าเป็นเหยื่อของใครนะ อย่าเป็นเหยื่อ นี่พุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งปัญญา เรามีปัญญาของเรา เราแก้ไขของเรา อย่าไปเชื่อ ถ้าเขาเป็นไปได้ มันอย่าไปเชื่อ

    เดี๋ยวนี้โลกมันเป็นอย่างนั้นแหละ เวลาห่วงโซ่นะ ไอ้แชร์ลูกโซ่ต้องส่งข่าวต่อๆ กัน ต่อๆ กัน กระพือกันทุกที กระพือกันจนโลกนี่ อู้ฮู วุ่นวายไปหมดเลย แล้วเราก็เป็นเหยื่อของเขาไปอยู่กับเขา เราไม่ทำอย่างนั้น เราทำเพื่อความจริงของเราเนาะ จบ เอวัง

    อิทธิพลของธรรม 26 พ.ย. 2554
    พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต​
     
  18. ☞

    เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2012
    โพสต์:
    205
    ค่าพลัง:
    +561
    ถาม : ลูกเคยมาภาวนาที่วัดหลวงพ่อ ช่วงที่มาอยู่ที่นี่กังวลคือลูกต้องระลึกว่าวันหนึ่งวันที่เท่าไหร่ เพราะลูกต้องกลับไปทำงาน เป็นสิ่งเดียวที่ลูกอยากหลุดพ้นจากเวลานั้นให้เหลืออยู่ปัจจุบันนี้ (แล้วเขาบอกว่าให้พ้นจากเวลานั้นไง)

    (นี่พูดถึงคำถามถามมาถึงบอกว่า) ไปดูหมอ แล้วหมอบอกว่าจะหมดอายุ ก็ถามว่าสิ่งที่มาปฏิบัติอยู่นี่ บุญมันจะช่วยได้หรือเปล่า?

    ตอบ : ทีนี้เรื่องการไปดูหมอนี่เราวางไว้ก่อนนะ ฉะนั้น เรื่องปฏิบัตินี่เราเป็นชาวพุทธหรือเปล่า? ถ้าเราเป็นชาวพุทธนะ ถ้าเราเป็นชาวพุทธ ถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แก้วสารพัดนึก เขาไม่เชื่อหรอก กรรมฐานไม่เชื่อเรื่องนั้นนะ นี่สิ่งที่เป็นการพยากรณ์มีไหม? มี เรื่องหมอดู วิชานั้นมี แต่มันวิชาทางโลกๆ ถ้าพูดถึงหมอดูนะ วังคีสะๆ พระวังคีสะเป็นหมอดูที่แม่นมาก ไปไหนจะมีคนหามหมดเลย นั่งเสลี่ยงไป ไปที่ไหนเคาะกะโหลกนะ กะโหลกนี้ไปเกิดที่ไหนรู้หมดเลย

    ฉะนั้น มาถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะไปลองกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เอากะโหลกมา ๓ กะโหลกให้เขาเคาะ เคาะอันที่ ๑. บอกว่า “อันนี้ตกนรกใช่ไหม?”

    พระพุทธเจ้าบอก “ใช่”

    อันนี้ ๒. เคาะๆ “อันนี้ไปสวรรค์ใช่ไหม?”

    บอก “ใช่”

    อันนี้ ๓. เคาะแล้วเคาะอีก เคาะแล้ว “ไม่รู้ ไม่รู้

    พระพุทธเจ้าถามว่า “อยากรู้ไหม?”

    “อยากรู้”

    “อยากรู้มากำหนดพุทโธ พุทโธสิ”

    พอพุทโธ พุทโธ สำเร็จเป็นพระอรหันต์ พอสำเร็จเป็นพระอรหันต์ไม่ถามเลยว่าอันที่ ๓. ไปไหน อันที่ ๓. ไปไหนเพราะตัวเองรู้จริง นี่สิ่งนั้นวังคีสะ ในพระไตรปิฎกนะ แม้แต่เขามีความรู้สึกว่าเขาเสมอพระพุทธเจ้าเลย แล้วเขาจะไปแสดงฤทธิ์กับพระพุทธเจ้าด้วยการทายหัวกะโหลกนี่ไง นี่พระพุทธเจ้าเอากะโหลกให้เคาะเลย ไปไม่รอดครับ ไปไม่รอด

    เราจะบอกว่าเราเป็นชาวพุทธ เรานับถือพุทธศาสนา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอน เห็นไหม

    “เธอจงมีธรรมเป็นที่พึ่งเถิด อย่ามีอย่างอื่นเป็นที่พึ่งเลย”

    แล้วเวลาไปดูหมอ หมอนี่เป็นพระซะด้วยนะ พระเป็นคนทาย พอทายขึ้นมานี่เราเองเราก็จิตใจวูบวาบ แล้ววูบวาบ ถ้าเราเชื่อ เราเชื่อเรื่องกรรม “เธอจงมีธรรมเป็นที่พึ่งเถิด” ธรรม เห็นไหม ธรรมมันคืออะไรล่ะ? ธรรมคือสัจจะความจริง นี่ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว แล้วถ้าเราทำดีของเรา เรามีบุญกุศลของเรา บุญมันเป็นที่พึ่งได้ไหม? แล้วตอนนี้เรามีที่พึ่งได้ไหม? เรามีที่พึ่งได้ แล้วคนที่ทายเรามาเขาเป็นพระ พระเขาสอนอะไร? เขาเป็นพระหรือเปล่า? ถ้าเขาเป็นพระจริงเขาจะพูดอย่างนั้นไหม? เขาเป็นพระจริง เขาทายเราเขาทายชีวิตเขาได้ไหม? เขาทายตัวเขาได้หรือเปล่า? ถ้าเขาทายตัวเขาได้

    นี่เราจะบอกว่าเราเป็นชาวพุทธหนึ่ง สองเป็นลูกศิษย์กรรมฐานนะ ฉะนั้น เรื่องอย่างนั้นเขาพูดมา ใครจะพูดกรอกหูขนาดไหนเราไม่สนเลย โลกธรรม ๘ มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ สรรเสริญ นินทา เขาจะสรรเสริญขนาดไหนมันจริงอย่างที่เขาสรรเสริญไหม? เขาจะนินทาขนาดไหนมันจะเป็นจริงอย่างที่เขานินทาไหม? เขาทายมามันจะถูกไหม? นี่เขาทายมา เขาทายถึงชีวิตเขาได้ไหม?

    ถ้าเรามีธรรมเป็นที่พึ่งเถิด เห็นไหม ในชีวิตวันหนึ่งๆ เราทำแต่ความดีของเรา เรามีหลัก มีเกณฑ์ของเรา เราจะไปกลัวอะไร? เราไปกลัวสิ่งใด มันไม่มีสิ่งใดมันจะมหัศจรรย์ไปกว่านี้อีกแล้วล่ะ นี่เราอยู่กับความจริง อยู่กับความจริง เห็นไหม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพาน บอกว่า

    “ภิกษุทั้งหลาย เธอจงพิจารณาสังขารด้วยความไม่ประมาทเถิด”

    ความไม่ประมาท ความไม่ประมาท ถ้าเราไม่ประมาทมันจะมีอะไร? เราไม่ประมาทกับชีวิตเราจะมีอะไร? เราก็ดำรงชีวิตของเราด้วยสติปัญญาของเรา นี่คนเรานะมันมีเวรมีกรรมไง ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ถึงเวลามันทุกข์ เวลามันเป็นอย่างนั้นมันก็เป็นแบบนั้น พอเป็นแบบนั้นนะ คนเรานี่ดูอนาถบิณฑิกเศรษฐีสิ เวลาสร้างวัดนะเอาเงินปูเลยล่ะ ปูนะซื้อเชตวันถวายองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นพระโสดาบัน

    นี่เวลาเงินสมัยนั้นไม่มีก็ใส่ไหฝังไว้ น้ำมันเซาะชายตลิ่งไงมันไปหมดเลย พอมันไปหมดเลยนี่กลับมาจนไง ต้องกินข้าวกับน้ำผักดอง แล้วเทวดาก็มาพูดเลย

    “เห็นไหม ว่าทำบุญแล้วต้องได้บุญ ทำบุญแล้วต้องได้บุญ เดี๋ยวนี้มันไม่มีจะกินแล้ว”

    ขนาดว่าเขาเป็นอย่างนั้นนะเขายังไล่เทวดาไปเลย แล้วเทวดาไปแล้วนะ เขาไปฟ้องพระอินทร์หรือพระพุทธเจ้าไม่รู้ สุดท้ายแล้วเขาบังคับให้เทวดานั้นไปเอาเงินมาคืนให้ นี่คนเรามันมีสูง มีต่ำ มันมีเวรมีกรรม มันเป็นอย่างนั้น

    คำว่าเวรกรรม กรรมนี่ใครทำให้เรามา? เราทำของเรามาเองทั้งนั้นแหละ ถ้าเราทำของเรามาเอง เวลาเราเผชิญกับสิ่งที่มันเกิดขึ้น เห็นไหม เผชิญสิ่งที่เกิดขึ้น เราก็เผชิญกับความจริงสิ เผชิญกับความจริง ถ้าเผชิญความจริงแล้วเราตั้งสติ เราไม่ประมาท เราทำของเราไป มันต้องพ้นสิ่งนี้ไปได้ มันพ้นสิ่งนี้ไปได้เราก็กลับมาเป็นปกติ นี่เราไปเชื่อเขา ไปเชื่อเขา ถือมงคลตื่นข่าว ถ้าถือมงคลตื่นข่าวแล้วนี่หมดนะ

    เรื่องพระ เพราะพระนี่พระอาชีพ ถ้าพระอาชีพเขาก็พยายามประพฤติปฏิบัติเพื่อพ้นจากกิเลส เพื่อพ้นจากทุกข์ ประพฤติปฏิบัติ ทำสมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐานเพื่อชำระกิเลส นี่พระอาชีพ ถ้าอาชีพพระ เป็นพระแต่มีอาชีพเสริม ถ้าอาชีพเสริม มันไม่อยากลงรายละเอียดนะ เพราะโลกมันเป็นอย่างนี้ไปกันหมดแล้ว แล้วทำไมเราไปเชื่อเขาล่ะ? แล้วบอกว่านี่สมัยเด็กๆ เรามีอุบัติเหตุ ๒ หน นี่ก็ใช้กรรมไปแล้ว สมัยเด็กๆ มีอุบัติเหตุ ๒ หน แล้วตอนนี้ก็คิดอีกกลัวเป็น กลัวตายไปหมดเลย

    มันไม่จริงหรอก ไม่จริง กรรมก็กรรมของเรา กรรมของพระที่ทายก็เป็นกรรมของเขา กรรมของใครก็กรรมของมัน ถ้ากรรมของใครก็กรรมของมัน นี่เรารักษา ดูแลใจของเรา แล้วเราทำของเรา ถ้าพูดถึงแก้กรรม แก้กรรมก็ภาวนาพุทโธ พุทโธ พุทโธระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าเราระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่รักษาใจของเรา นี่แก้กรรม ถ้าแก้กรรมเพราะจิตมันไม่มีเวรไม่มีกรรม มันก็พ้นจากกรรม

    ถ้ามันพ้นจากกรรม แก้กรรมก็แก้ที่นี่ แก้กรรมก็คือการภาวนา ภาวนาคือการสร้างปัญญา ถ้าจิตมันสงบแล้วนะมันรู้ของมันเอง อ๋อ เป็นเพราะเหตุนี้ๆ แล้วมันวางได้เอง แต่ถ้าจิตเราไม่รู้ นี่ให้คนอื่นเขาทายให้มา พอเขาทายให้มา นี่ถือมงคลตื่นข่าว มีหลายคนมากนะที่มีชีวิตนี้ลำเค็ญ หรือมีอุบัติเหตุ หรือมีสิ่งใดที่ว่ามีคนจะมาทำร้ายต่างๆ แล้วไปหาพระ นี่มันเป็นช่องทางเลยล่ะให้เขาได้ผลประโยชน์ จนหมดเนื้อหมดตัว โดนหลอกก็เยอะ

    ไม่เชื่อนะ เราไม่เชื่อ อย่างไรเราก็ไม่เชื่อ เราเชื่อพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เราเชื่อรัตนตรัย เราไม่เชื่อนอกจากพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ถ้าเราเชื่อในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ สิ่งนั้นมันนอกพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เพียงแต่เขาถามมา แล้วเขาบอกว่าเคยมาที่วัดนี้ เคยมาที่วัดนี้ไง แล้วปฏิบัติแล้วมันเป็นอย่างนี้ๆ ฉะนั้น พอไปที่อื่นแล้วเขาเป็นอย่างนั้นไปแล้วเราว่าอย่างไร?

    เราพูดนี่เราไม่อยากลงรายละเอียดมาก เพราะมันเป็นวงการพระ ถ้าพูดไป แหม มันเป็นอาชีพของเขา แล้วเราจะไปทำลายเขา มันก็ไม่สมควร ไม่ใช่ไม่สมควร พูดไปแล้วมันกระเทือนกัน ฉะนั้น เพียงแต่ว่านี่พูดถึงหลักเกณฑ์ ว่าถ้าเราเป็นกรรมฐานเราไม่เชื่อเรื่องนั้นเลยนะ ถ้าเป็นกรรมฐานแล้วเรื่องนี้เราไม่เชื่อเลย เราเชื่อทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว แล้วเราทำของเรา ปฏิบัติของเรา นี่เราเข้ามาถึงแก่นแล้ว แล้วเราจะถอยออกไปทำไม? เราบอกว่าชีวิตเราเป็นอย่างนั้น เป็นก็เป็นทุกคนแหละ โธ่ เราบิณฑบาตเรายังล้มเลย เดินไปนี่ยังลื่นล้มเลย มันจะเป็นไรไป

    มันเป็นทุกคนแหละ มันมีทั้งนั้น เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพานนะ ให้พระอานนท์ไปตักน้ำมาให้ฉัน

    “อานนท์ เรากระหายเหลือเกิน ขอน้ำฉันเถอะ”

    พระอานนท์ไปเห็นเกวียนมันเพิ่งผ่านไป ไม่อยากตักเลย กลับมาเที่ยวหนึ่งก็ว่าไม่อยากตัก ไปบอกพระพุทธเจ้าว่าไปข้างหน้าเถอะ น้ำมันใสอยู่ข้างหน้า

    “นี่เรากระหายเหลือเกิน”

    พอไปตักมันก็ใส เพราะด้วยบุญไง

    ไปถามพระพุทธเจ้า “ทำไมเป็นอย่างนั้นล่ะ?”

    สิ่งที่ไม่เคยมี ไม่เคยเป็นได้เป็นแล้ว น้ำขุ่นๆ เวลาจะตัก ใสตรงที่จะตักนั่นแหละ

    “อานนท์ มันเป็นอย่างนี้เอง สิ่งที่น้ำมันขุ่นมันเป็นกรรมของเรา เราเคยเป็นพ่อค้าโคต่าง แล้วเวลาโคของเราไปตามหลังเขา มันจะกินน้ำ เราคิดเหมือนอานนท์นี่แหละ คือว่าอยากให้กินน้ำใสๆ เราก็ดึงไว้ กรรมอันนั้นมันตามมา” เห็นไหม

    แล้วที่น้ำใสล่ะ? น้ำใสเพราะว่าบารมีธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันคุ้มครอง เห็นไหม เวลาจะตักน้ำมันใส ทั้งๆ ที่มีกรรมนะ มีกรรมน้ำมันขุ่นๆ แต่ด้วยบารมีธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่ใส ใสเฉพาะที่ตักมา พระอานนท์นี่ทึ่งเลยล่ะ

    นี่เวลาเรื่องกรรมมันก็มีนะ แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังมีเศษกรรมตามมานะ แต่ไม่ถึงใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ทึ่ง พระอานนท์ถามขนาดไหน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า

    “อานนท์ มันเป็นอย่างนี้เอง มันเป็นอย่างนี้เอง”

    เรื่องกรรมมันเป็นอย่างนี้เอง เรื่องบารมีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทำมาก็เป็นอย่างนี้เอง ไม่สงสัยอะไรเลย แต่เรานี่พอสงสัยแล้วนะจิตใจมันก็ร้อน วูบวาบไปทั้งตัวเลย แล้วก็วิตก วิจารเลย ชีวิตนี้ก็ล้มลุกคลุกคลาน จะทำอะไรก็ไม่ได้ดั่งใจเลย เห็นไหม เพราะเราวูบวาบไง ฉะนั้น ถ้าเราเป็นกรรมฐานแล้วไม่ต้องไปเชื่ออย่างนั้น ไม่ต้องเชื่ออย่างนั้น ให้เชื่อเอาความจริง นี่พูดถึงเรื่อง “พระหมอดู” เอวัง

    <IMG src='http://palungjit.org/attachments/a.2298884/' width=500>

    มาดูธรรม 28 ก.ค. 2555
    พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต​
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 49.jpg
      49.jpg
      ขนาดไฟล์:
      600.2 KB
      เปิดดู:
      141
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 ตุลาคม 2012
  19. ☞

    เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2012
    โพสต์:
    205
    ค่าพลัง:
    +561
    <IMG src='http://palungjit.org/attachments/a.2298894/' width=700>

    มาดูธรรม 28 ก.ค. 2555
    พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต​
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 50.jpg
      50.jpg
      ขนาดไฟล์:
      395.8 KB
      เปิดดู:
      131
  20. ☞

    เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2012
    โพสต์:
    205
    ค่าพลัง:
    +561
    ทีนี้คำพูดอย่างนี้ คำพูดแบบโยมนี่ มันมีอาจารย์องค์หนึ่งบอก ว่า “อะไรก็สักแต่ว่า”

    โยม ๑ : ค่ะ สักแต่ว่า ใช่

    หลวงพ่อ : พอทุกอย่างเป็นสักแต่ว่า พอเริ่มการสักแต่ว่า ทำอะไรก็เป็นสักแต่ว่า ธรรมะเป็นสักแต่ว่า ทุกอย่างเป็นสักแต่ว่า อริยสัจเป็นสักแต่ว่า ผมเป็นอริยสัจ ผมเป็นอริยสัจ... ไม่ใช่! ถ้าเป็นการสักแต่ว่า ของที่เป็นสักแต่ว่านี้มันต้องเป็นพระอรหันต์พูด แต่ถ้าเป็นปุถุชนพูด มันจะเป็นสักแต่ว่าไม่ได้

    อย่างเช่นชีวิตนี้ เห็นไหม เขาบอกว่าชีวิตนี้เป็นสมมุติๆ ใช่! เราบอกว่าชีวิตนี้เป็นสมมุติ ถ้าเป็นพระอรหันต์พูด แต่ความจริงนะ “ชีวิตเป็นความจริงโว้ย! ”

    ถ้าชีวิตเป็นความจริง เราจริงตามสมมุติไง ถ้าชีวิตไม่เป็นความจริง แล้วเราร้องไห้ทำไม เราโศกเศร้าทำไม ทำไมพ่อแม่ต้องเลี้ยงเรา “มันจริงตามสมมุติ” คือบอกว่าเริ่มต้นนี้ เราต้องจริงจังกับมันก่อน หลวงตาสอนอย่างนี้

    หลวงตาบอกว่า “ใครจะมาเหลาะแหละไม่ได้นะ ใครทำอะไรโดยพลการไม่ได้ ต้องทำด้วยความจริงจังก่อน”

    ความจริงจัง พอเราไปจริงจังกับมัน ทางโลกเขาบอกว่า “นี่คือความจริงจังกับมัน” ถ้าความจริงจังกับมัน เพราะเราทำจริงจังกับมัน เราถึงได้ความจริงมา พอเราได้ความจริงมา “คือความจริงมันเห็นความจริง”

    อย่างที่พูดนี่เห็นไหม “จิตจริงไง” เพราะถ้าจิตมันไม่จริงนะ เราจะเป็นอย่างไรก็แล้วแต่ จิตเราไม่จริง เราเห็นอาการอย่างไร คืออาการอย่างนั้นปลอมหมด เห็นไหม แม้แต่จิตสงบนี่ก็ยังไม่จริง จิตเป็นสมาธิก็จิตไม่จริง “เพราะจิตนั้นมันเป็นเหมือนหินทับหญ้า”

    พอหินทับหญ้านี้มันออกไปวิปัสสนา “การวิปัสสนา” มันเท่ากับไปแก้ปัญหาตัวจิตด้วย วิปัสสนาไปแล้วมันปล่อยเข้ามา มันแก้ถึงตัวจิตด้วย จิตจากที่ไม่จริง มันจะจริงขึ้นมาเรื่อยๆ เพราะสิ่งที่สกปรกมันจะออกไปเรื่อยๆ

    เวลาถ้ามันจริงนะ หลวงตาสอนอย่างนี้ เวลามันจริงขึ้นมานะ “เวทนาก็เป็นจริงของเวทนา จิตก็เป็นจริงก็จิต ทุกข์ก็เป็นจริงของทุกข์” ถ้ามันจริงต่างอันต่างจริง “จิตก็จริง! ” ถ้าจิตจริงนี่เป็นโสดาบัน

    แต่นี่เริ่มต้นบอกสักแต่ว่า “พอสักแต่ว่านี่มันเป็นกิเลสซ้อนกิเลส” กิเลสซ้อนกิเลสบอก “สรรพสิ่งนี้เป็นสักแต่ว่า” พอกิเลสมันว่านี่ จิตมันบอกสักแต่ว่าก็เป็นสักแต่ว่าอยู่แล้ว พอเป็นสักแต่ว่านะ ประสาเรา “คือมันก็อยู่โดยธรรมชาติของมัน เป็นอันหนึ่งที่จิตมันไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว”

    พอจิตไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว ตัวจิตเองอย่างที่ว่า “แม้แต่ว่าจิตเป็นสมาธิ มันก็ไม่จริงอยู่แล้ว” พอไม่จริงนี่มันไปเห็นว่า “สรรพสิ่งนี้เป็นสักแต่ว่า” คือว่ามันไม่จริง มันอยู่ของมันโดยเอกเทศ เพราะเราไม่เกี่ยวกับมัน พอไม่เกี่ยวกับมัน ต่างคนต่างไม่เกี่ยวกัน แล้วก็ว่าว่างๆ ว่างๆ ไง

    เราจะบอกว่า “กระบวนการของการกระทำอย่างนี้ มันไม่เป็นกระบวนการของวิปัสสนา”



    แก้เวทนา 15 ส.ค. 2552
    พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 ตุลาคม 2012

แชร์หน้านี้

Loading...