มีวัตถุมงคลสายพระป่ากรรมฐานให้บูชาราคาเบาๆ

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย Somchai 2510, 8 กันยายน 2019.

  1. Somchai 2510

    Somchai 2510 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2019
    โพสต์:
    1,740
    ค่าพลัง:
    +125
    รายการที่ 683 เหรียญ อายุวัฒนะ 100 ปีหลวงปู่จันทร์ศรี จันททีโป พระอรหันต์เจ้าวัดโพธิสมภรณ์ อ.เมือง จ.อุดรธานี เหรียญเนื้ออัลปาก้า สร้างปี 2554 มีตอก 2โค๊ต ,โค๊ตตัวเลข 88 หลังเหรียญ เเละโค๊ตยันต์ หน้าเหรียญ
    4DQpjUtzLUwmJZY369EfPJbuVx60Ree5IdWyeKmslgOL.jpg
    พระอุดมญาณโมลี หรือหลวงปู่จันทร์ศรี จันททีโป อายุ 105 ปี ประวิติพอสังเขป SAM_7096.JPG
    “หลวงปู่จันทร์ศรี จนฺททีโป” หรือ “พระอุดมญาณโมลี” เป็นพระมหาเถระสายพระป่ากรรมฐานศิษย์ ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตฺตมหาเถระ แม่ทัพธรรมแห่งอีสานฝ่ายวิปัสสนาธุระ, เป็นพระผู้มากด้วยเมตตาที่ได้รับความเลื่อมใสศรัทธา และเป็นแบบอย่างอันงดงามของพระภิกษุสงฆ์ สามเณร และประชาชนชาวอีสานมาอย่างยาวนาน ด้วยยึดหลักธรรมแห่งองค์สัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่ตั้ง มีพลังเกื้อหนุนจากธรรมะของครูบาอาจารย์ที่คอยสนับสนุนตลอดมา ปฏิปทาอันงดงามของหลวงปู่จึงเป็นครูของชีวิตที่คณะศิษยานุศิษย์ภาคภูมิใจ ยิ่ง
    หลวงปู่จันทร์ศรี มีนามเดิมว่า จันทร์ศรี แสนมงคล เกิดเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม พ.ศ.2454 ตรงกับวันอังคาร แรม 3 ค่ำ เดือน 11 ปีกุน ณ บ้านโนนทัน ต.โนนทัน อ.เมือง จ.ขอนแก่น โยมบิดา-โยมมารดาชื่อ นายบุญสาร และนางหลุน แสนมงคล ก่อนที่โยมมารดาจะตั้งครรภ์ ในคืนวันขึ้น 14 ค่ำ เดือน 3 นั้น ฝันเห็นพระ 9 รูป มายืนอยู่ที่ประตูหน้าบ้าน พอรุ่งขึ้นตรงวันขึ้น 15 ค่ำ เพ็ญเดือน 3 ซึ่งเป็นวันมาฆบูชา ได้เห็นพระกัมมัฏฐาน 9 รูปมาบิณฑบาตยืนอยู่หน้าบ้าน จึงเกิดความเลื่อมใสศรัทธา จึงรีบจัดภัตตาหารใส่ภาชนะ ไปนั่งคุกเข่าประนมมือตรงหน้าพระเถระผู้เป็นหัวหน้า ยกมือไหว้ แล้วใส่บาตรจนครบทั้ง 9 รูป แล้วนั่งพับเพียบประนมมือกล่าวขอพรว่า “ดิฉันปรารถนาอยากได้ลูกชายสัก 1 คน จะให้บวชเหมือนพระคุณเจ้าเจ้าค่ะ

    พระเถระก็กล่าวอนุโมทนา หลังจากนั้นอีก 1 เดือน นางหลุน แสนมงคล ก็ได้ตั้งครรภ์ และต่อมาก็คลอดบุตรชายรูปงามในวันอังคารที่ 10 ตุลาคม พุทธศักราช 2445 หลวงปู่ได้ละสังขารเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2559 ที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ เวลา 20.00 น. สิริอายุ 105 ปี 85 พรรษา

    ด.ช.จันทร์ศรี แสนมงคล มีแววบวชเรียนตั้งแต่เมื่อครั้งเยาว์วัย ด้วยโยมบิดา-โยมมารดาได้พาไปใส่บาตรพระทุกวัน จนเกิดความเลื่อมใสศรัทธาในบวรพระพุทธศาสนา ในบางครั้ง ด.ช.จันทร์ศรี จะนำเด็กรุ่นราวคราวเดียวกันทั้งชายและหญิง 7-8 คน ออกไปเล่นหน้าบ้าน โดยตนเองจะเล่นรับบทเป็นพระภิกษุเป็นประจำ
    อายุได้ 8 ขวบ โยมบิดาเสียชีวิตลง จนอายุได้ 10 ปี โยมมารดาจึงนำไปฝากไว้กับเจ้าอธิการเป๊ะ ธัมมเมตติโก เจ้าอาวาสวัดโพธิ์ศรี, เจ้าคณะตำบลโนนทัน และเป็นครูสอนนักเรียนโรงเรียนประชาบาล โดยรับไว้เป็นลูกศิษย์ใกล้ชิด อยู่รับใช้ได้เพียง 1 เดือน เจ้าอธิการเป๊ะนำเด็กชายเข้าเรียนภาษาไทย ตั้งแต่ชั้น ประถม ก.กา จนจบชั้นประถมบริบูรณ์ เจ้าอธิการเป๊ะเห็นว่ามีความสนใจในทางสมณเพศ จึงได้ให้เข้าพิธีบรรพชาเป็นสามเณร เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ.2468 ณ วัดโพธิ์ศรี บ้านศิลา ต.ศิลา อ.เมือง จ.ขอนแก่น
    ระหว่างปี พ.ศ.2468-2470 สามเณรจันทร์ศรี หมั่นท่องทำวัตรเช้า ทำวัตรค่ำ สวดมนต์เจ็ดตำนาน สิบสองตำนาน และพระสูตรต่างๆ จนชำนาญ อีกทั้งได้ศึกษาอักษรธรรม อักษรขอม อักษรเขมร จนอ่านออกเขียนได้คล่องแคล่ว แล้วมาฝึกหัดเทศน์มหาชาติชาดกทำนองภาษาพื้นเมืองของภาคอีสาน แล้วอยู่ปฏิบัติธรรมถึง 3 ปี
    จากนั้นได้ร่วมเดินทางกับ พระอาจารย์อ่อน ญาณสิริ และพระอาจารย์ลี สิรินฺธโร ออกไปแสวงหาความสงัดวิเวกตามป่าเขา และพักตามป่าช้าในหมู่บ้านต่างๆ เพื่อเข้ากรรมฐานและศึกษาอสุภสัญญา ปฏิบัติธุดงควัตร 13 ตามแบบพระบูรพาจารย์สายพระป่ากรรมฐานอย่างเคร่งครัด
    ครั้นต่อมาได้ขึ้นไปแสวงหาวิโมกขธรรมบนภูเก้า อ.โนนสัง จ.หนองบัวลำภู เลยขึ้นไปที่ถ้ำผาปู่ จ.เลย วัดป่าอรัญญิกาวาส อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี พักที่วัดหินหมากเป้ง และได้เดินทางข้ามแม่น้ำโขงไปนครเวียงจันทน์ ประเทศลาว พักที่โบสถ์วัดจันทน์ 7 วัน แล้วกลับมาหนองคายแล้วเข้าอุดรธานี
    ครั้นเมื่ออายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ ได้เข้าพิธีอุปสมบทเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา ณ พัทธสีมาวัดศรีจันทร์ (วัดศรีจันทราวาส) ต.ในเมือง อ.เมือง จ.ขอนแก่น เมื่อวันที่ 13 มกราคม พ.ศ.2474 โดยมี พระครูพิศาลอรัญญเขต (จันทร์ เขมิโย ป.ธ. ๓) เจ้าคณะธรรมยุตจังหวัดขอนแก่น และเจ้าอาวาสวัดศรีจันทร์ (วัดศรีจันทราวาส) เป็นพระอุปัชฌาย์, พระอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และ พระอาจารย์มหาปิ่น ปญญาพโล เป็นพระอนุสาวนาจารย์ มีพระอาจารย์กรรมฐานจำนวน 25 รูปนั่งเป็นพระอันดับ ท่านได้รับนามฉายาว่า “จนฺททีโป” อันมีความหมายเป็นมงคลว่า “ผู้มีแสงสว่างเจิดจ้าดั่งจันทร์เพ็ญ”
    อุปสมบทได้เพียง 7 วัน ท่านก็ได้ติดตาม พระอาจารย์เทสก์ เทสรังสี พระกรรมฐานผู้เคร่งวัตรปฏิบัติแห่งวัดหินหมากเป้ง ต.พระพุทธบาท อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย และ พระอาจารย์อ่อน ญาณสิริ ศิษย์สายกรรมฐานท่านพระอาจารย์มั่น เจ้าสำนักวัดป่านิโครธาราม ต.หมากหญ้า อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี เดินรุกขมูลคืออยู่โคนต้นไม้เป็นวัตร ซึ่งเป็นหนึ่งในธุดงควัตร 13 ตั้งแต่เดือนมกราคมไปจนกระทั่งถึงเดือนมีนาคม พ.ศ.2475 ก่อนกราบลาหลวงปู่เทสก์เพื่อขอไปศึกษาทางด้านพระปริยัติธรรมต่อ
    ๏ การศึกษาพระปริยัติธรรมและงานด้านการศึกษา
    พ.ศ.2474 สอบได้นักธรรมชั้นตรีได้ในสนามหลวง คณะจังหวัดขอนแก่น
    พ.ศ.2475 สอบนักธรรมชั้นโทได้ในสนามหลวง คณะจังหวัดขอนแก่น
    พ.ศ.2477 สอบนักธรรมชั้นเอกได้ในสนามหลวง สำนักเรียนวัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพฯ
    พ.ศ.2480 สอบเปรียญธรรม 3 ประโยค สำนักเรียนวัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพฯ
    พ.ศ.2485 สอบเปรียญธรรม 4 ประโยค สำนักเรียนวัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพฯ
    พ.ศ.2484 เจ้าประคุณสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ (ม.ร.ว.ชื่น นภวงศ์ สุจิตฺโต) สมเด็จพระสังฆราชเจ้าวัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพฯ ทรงมีบัญชาให้ไปเป็นครูสอนพระปริยัติธรรม แผนกธรรมและบาลี ณ สำนักเรียนวัดป่าสุทธาวาส ต.พระธาตุเชิงชุม อ.เมือง จ.สกลนคร
    ในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน ปี พ.ศ.2484 ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตฺตมหาเถระ ได้ไปพำนักจำพรรษาอยู่ที่วัดป่าสุทธาวาส จ.สกลนคร เป็นเวลา 15 วัน ทำให้หลวงปู่จันทร์ศรีได้มีโอกาสใกล้ชิดกับท่านพระอาจารย์มั่นชั่วระยะเวลา หนึ่ง ถือเป็นกำไรแห่งชีวิตอันล้ำค่า
    พ.ศ.2475 ท่านได้กลับมาอยู่จำพรรษาที่วัดบวรนิเวศวิหาร เพื่อศึกษาเปรียญธรรม 5 ประโยค
    พ.ศ.2486 เจ้าประคุณสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ (ม.ร.ว.ชื่น นภวงศ์ สุจิตฺโต) ทรงมีบัญชาให้ไปเป็นครูสอนพระปริยัติธรรม แผนกธรรมและบาลี เปรียญธรรม 3-4 ประโยค ณ สำนักเรียนวัดธรรมนิมิตร ต.บางแก้ว อ.เมือง จ.สมุทรสงคราม เป็นเวลานานถึง 10 ปี
    ๏ ตำแหน่งงานปกครองคณะสงฆ์
    หลังจากจบเปรียญธรรม 4 ประโยคแล้ว ท่านได้ช่วยเหลืองานพระศาสนา โดยเมื่อปี พ.ศ.2486 ได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดธรรมนิมิตร ต.บางแก้ว อ.เมือง จ.สมุทรสงคราม
    ต่อมาวันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ.2497 เจ้าประคุณสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ (ม.ร.ว.ชื่น นภวงศ์ สุจิตฺโต) ก็ทรงมีพระบัญชาให้มาอยู่ที่วัดโพธิสมภรณ์ ต.หมากแข้ง อ.เมือง จ.อุดรธานี เพื่อทำศาสนกิจคณะสงฆ์ เนื่องจาก พระธรรมเจดีย์ (จูม พนฺธุโล) มีอายุเข้าปูนชรา โดยแต่งตั้งให้เป็นรองเจ้าอาวาสวัดโพธิสมภรณ์ และในปีเดียวกันก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้ช่วยเจ้าคณะจังหวัดอุดรธานี (ธรรมยุต) อีกตำแหน่งหนึ่ง
    พ.ศ.2498 ได้รับแต่งตั้งให้เป็นพระอุปัชฌาย์ ประเภทวิสามัญ และในปีเดียวกันก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าคณะจังหวัดอุดรธานี (ธรรมยุต) อีกตำแหน่งหนึ่ง
    พ.ศ.2505 ได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้รักษาการเจ้าอาวาสวัดโพธิสมภรณ์ วัดราษฎร์
    พ.ศ.2507 โปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้วัดโพธิสมภรณ์ เป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดสามัญ และในปีเดียวกันท่านก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาสวัดโพธิสมภรณ์ พระอารามหลวงชั้นตรี
    พ.ศ.2519 ได้รับแต่งตั้งให้เป็นรองเจ้าคณะภาค (ธรรมยุต) และรักษาการเจ้าคณะจังหวัดอุดรธานี
    พ.ศ.2522 ได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้รักษาการเจ้าคณะจังหวัดหนองคายและจังหวัดสกลนคร
    พ.ศ.2531 ได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้รักษาการเจ้าคณะภาค 9 (ธรรมยุต) และเจ้าคณะภาค 9 (ธรรมยุต)
    รวมทั้ง ได้รับแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษามหาเถรสมาคม (มส.)
    หลวงปู่จันทร์ศรี จนฺททีโป ( พระอุดมญาณโมลี )พระอุดมญาณโมลี (หลวงปู่จันทร์ศรี จนฺททีโป)
    ถ่ายภาพอยู่ด้านหน้า “พระบรมธาตุธรรมเจดีย์” วัดโพธิสมภรณ์ จ.อุดรธานี
    ๏ ลำดับสมณศักดิ์
    พ.ศ.2475 เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นเอกที่ พระครูสิริสารสุธี
    พ.ศ.2498 เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญที่ พระสิริสารสุธี
    พ.ศ.2505 เป็นพระราชาคณะชั้นราชที่ พระราชเมธาจารย์
    พ.ศ.2517 เป็นพระราชาคณะชั้นเทพที่ พระเทพเมธาจารย์
    วันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ.2533 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นธรรมที่ พระธรรมบัณฑิต
    วันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ.2544 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นเจ้าคณะรองหิรัญบัฏ หรือรองสมเด็จพระราชาคณะที่ พระอุดมญาณโมลี นับเป็นพระมหาเถระฝ่ายธรรมยุตรูปแรกที่อยู่ส่วนภูมิภาค ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่ได้รับการสถาปนาเป็นพระราชาคณะชั้น “รองสมเด็จพระราชาคณะ”
    รวมทั้ง ได้รับแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค 9 (ธรรมยุต)
    ๏ งานด้านสาธารณสงเคราะห์
    ท่านได้ให้ทุนการศึกษาแก่เด็กนักเรียนที่มีฐานะยากจน เรียนดี และมีความประพฤติดี ปีละ 40 ทุน ทุนละ 1,000 บาท ให้รางวัลแก่พระภิกษุ-สามเณรที่สามารถสอบไล่ได้บาลีชั้นประโยค 1-2-เปรียญธรรม 3 ประโยค เป็นประจำทุกปี รูปละ 500 บาท ส่วนครูรูปละ 1,000 บาท
    นอกจากนี้ยังรับภาระหน้าที่สำคัญๆ ในคณะสงฆ์อีกมากมาย อาทิ เป็นกรรมการชำระพระไตรปิฎก (พระสูตร), เป็นพระอนุกรรมการคณะธรรมยุต, เป็นกรรมการตรวจธรรมสนามหลวง, เป็นพระธรรมทูตประจำจังหวัดอุดรธานี, เป็นประธานมูลนิธิวัดโพธิสมภรณ์, เป็นรองประธานกรรมการบริหารศูนย์บาลีศึกษาอีสาน (ธรรมยุต), เป็นผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาพุทธศาสนาวันอาทิตย์ วัดโพธิสมภรณ์
    ๏ ปฏิปทาและข้อวัตร
    แม้จะมีพรรษายุกาลมาก แต่ยังคงปฏิบัติกิจของสงฆ์และปฏิบัติธรรมอย่างคร่ำเคร่ง บิณฑบาตโปรดเวไนยสัตว์อย่างต่อเนื่อง จนศิษยานุศิษย์ขอร้องให้หยุดบิณฑบาต เนื่องจากเคยโดนวัยรุ่นซิ่งรถจักรยานยนต์ชนมาแล้ว ข้อวัตรนี้ชาวอุดรธานีทราบชัดดี และที่สำคัญท่านเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรชาวอุดรธานีอย่างแท้จริง ไม่เคยขาดงานนิมนต์ ไม่ว่าจะไกลหรือใกล้ ไม่เคยทอดธุระ ซึ่งท่านยึดเป็นหลักในการปฏิบัติเสมอที่ว่า
    “กยิรา เจ กยิราเถนํ” แปลว่า “ถ้าจะทำการใด ให้ทำการนั้นจริงๆ ทุกสิ่งทุกอย่างถ้ามีความขยันหมั่นเพียร สิ่งนั้นต้องสำเร็จตามความตั้งใจจริง”
    นับได้ว่าหลวงปู่เป็นพระมหาเถระที่ประชาชนชาวจังหวัดอุดรธานีและจังหวัดใกล้ เคียง ให้ความเคารพศรัทธามาก ไม่น้อยกว่าพระบูรพาจารย์สายพระป่ากรรมฐานแต่เก่าก่อน ทุกวันนี้หลวงปู่จันทร์ศรีท่านยังมีความจำเป็นเลิศ แม้อายุย่างเข้าวัยชรา แต่ยังจำเหตุการณ์ต่างๆ ในอดีตได้อย่างแม่นยำ โดยเฉพาะเมื่อเล่าเรื่องต่างๆ ให้ฟัง หลวงปู่จะบอกชื่อคน วันเวลา ได้อย่างละเอียดเป็นที่น่าอัศจรรย์
    สิ่งสำคัญในชีวิตหลวงปู่ คือการมีโอกาสได้ปฏิบัติใกล้ชิดกับพระเถระผู้ใหญ่ อาทิ เจ้าประคุณสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ (ม.ร.ว.ชื่น นภวงศ์ สุจิตฺโต) วัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพฯ, สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (อ้วน ติสฺโส) วัดพระศรีมหาธาตุ เขตบางเขน กรุงเทพฯ, ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตฺตมหาเถระ, พระอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม และ พระอาจารย์มหาปิ่น ปญฺญาพโล เป็นต้น
    ดังนั้น หลวงปู่จึงมีความรอบรู้ขนบธรรมเนียมประเพณี ทั้งในเมือง ในราชสำนัก ในสำนักพระกรรมฐาน และธรรมเนียมชาวบ้านเป็นอย่างดี หลวงปู่จันทร์ศรีเป็นหลวงปู่ใจดีของลูกหลานญาติโยม โดยไม่เลือกชั้นวรรณะ ไม่ยึดติดลาภสักการะ และไม่ยึดติดในบริวาร ชีวิตของหลวงปู่สมถะเรียบง่าย เป็นอยู่อย่างสามัญ แม้ท่านจะได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบการปกครองคณะสงฆ์ แต่หลวงปู่ก็ไม่ทิ้งการปฏิบัติกัมมัฏฐาน
    ,>>>>>>>>>>มาพร้อมพระเกศาหลวงปู่มาบูชา *******บูชาที่ 355 บาทฟรีส่งems SAM_7096.JPG SAM_6999.JPG SAM_7000.JPG SAM_1618.JPG
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 สิงหาคม 2020
  2. Somchai 2510

    Somchai 2510 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2019
    โพสต์:
    1,740
    ค่าพลัง:
    +125
    รายการที่ 684
    เหรียญรูปไข่หลวงปู่สมภาร ปัญญาวโร พระอรหันต์เจ้าวัดป่าวีเวกพัฒนาราม อ.พรเจิญ จ.บึงกาฬ หลวงปู่เป็นศิษย์หลวงปู่มั่น ยุคสุดท้าย รุ่นเดียวกับหลวงปู่ผ่าน ปัญญาปทีโป (หลวงปู่ผ่านเคยเล่าให้ผมฟังว่าเคยเข้าไปวัดป่าหนองผือ รุ่นเดียวกันครับ) เหรียญสร้างปี 2553 เนื้อทองเเดงผิวหิ้ง มีตอกโค๊ต พระนั่งสมาธิ หลังเหรียญ
    130802-1-1.jpg


    130802-1-2.jpg
    130802-2-1.jpg
    หลวงปู่สมภาร ท่านมีนามเดิม สมภาร อุนาพรหม บิดาชื่อ นายลี มารดาชื่อ นางปุ อุนาพรหม เกิดเมื่อวันที่ ๑๒ สิงหาคม พ.ศ.๒๔๖๗ ตรงกับวันขึ้น ๓ ค่ำ ปีชวด ณ ต.ชมภูพรอ.บึงกาฬ จ.หนองคาย การศึกษา ประถมปีที่ ๔ ท่านอุปสมบทเมื่อวันที่ ๕ เมษายน พ.ศ.๒๔๘๘ อายุได้ ๒๑ ปี วัดไชยมงคล ต.โพนสูง อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร พระอุปัชฌาย์ฮวด พระกรรมวาจารย์พระมหาสิริ ชื่อ พระสมภาร ฉายา ปัญญาวโร สังกัดนิกายธรรมยุต
    ภายหลังเข้าสู่ร่มเงาผ้ากาสาวพัสตร์ท่าน สามารถสอบได้นักธรรมชั้นเอกในเวลานั้น หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ได้รับการยกย่องว่าเป็นพระอาจารย์ใหญ่สายวิปัสสนากัมมัฏฐาน พระมหาสมภารรับทราบกิตติศัพท์ มีความเลื่อมใสศรัทธาในวัตรปฏิบัติของหลวงปู่มั่น ท่านจึงเดินทางไปจำพรรษาที่วัดบ้านหนองผือ จ.สกลนคร ฝึกฝนวิปัสสนากัมมัฏฐานปฏิบัติธรรมอยู่กับหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ท่านได้ไปๆ มารับฟังธรรมจากหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต อยู่ ๖ ปี หลังจากหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ละสังขารแล้วท่านจึงเดินทางสู่แดนใต้ ปี พ.ศ.๒๔๙๓ ได้เดินร่วมกองทัพธรรมสู่แดนใต้ นำโดย หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี แม่ทัพธรรม และท่านได้จำวัดที่ วัดเกาะลอย อ.เมือง จ.พังงา เคยจำพรรษากับหลวงปู่เจี๊ยะ จุนฺโท ที่จันทบุรี ,อ.แกลง ระยอง ปี พ.ศ.๒๕๐๗ จำพรรษาอยู่ที่วัดป่าวิเวกพัฒนาราม อ.พรเจริญ จ.บึงกาฬ คณะสงฆ์พิจารณาเห็นว่าเป็นผู้มีความพร้อมทั้งคุณวุฒิและวัยวุฒิ จึงแต่งตั้งให้ท่านดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดป่าวิเวกพัฒนาราม
    130802-3-1.jpg
    หลวงปู่สมภาร ท่านเริ่มมีชื่อเสียงอยู่ในศรัทธาของญาติโยมชาว จ.บึงกาฬ และพื้นที่ใกล้เคียงอย่างรวดเร็ว ธรรมะที่ท่านสั่งสอนญาติโยม จะเน้นไม่ให้ตั้งอยู่ในความประมาท ท่านมีอุปนิสัยเยือกเย็นสุขุมรอบคอบ แม้ท่านจะมีอายุมากถึง ๙๓ ปี แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติศาสนกิจ ท่านยังรับกิจนิมนต์ และนั่งสมาธิทุกวัน รวมทั้งคอยรับแขกญาติโยม แม้บางครั้งท่านจะไม่ค่อยสบาย แต่หาปริปากบ่นไม่ ยังคงรักษาศรัทธาของญาติโยมมิเสื่อมคลาย
    พ.ศ.๒๕๒๐ ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นตรีที่ พระครูปัญญาวรากร
    พ.ศ.๒๕๒๕ ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นโท ในราชทิน นามเดิม
    พ.ศ.๒๕๔๔ ท่านได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นพิเศษ ในราชทินนามเดิม รวมทั้งได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาเจ้าคณะอำเภอพรเจริญ
    วันที่ ๑ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๕๐ มาจำพรรษาที่ วัดฐิติธรรมาราม ต.โคกสี อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร
    หลวงปู่สมภาร ปัญญาวโร ท่านเป็นเพชรเม็ดงามของพุทธศาสนิกชนชาว จ.บึงกาฬ โดยเเท้
    130802-3-2.jpg

    ****มาพร้อมพระเกศาหลวงปู่มาบูชา >>>>บูชาที่ 275 บาทฟรีส่งems SAM_7001.JPG SAM_7002.JPG SAM_3981.JPG
     
  3. Somchai 2510

    Somchai 2510 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2019
    โพสต์:
    1,740
    ค่าพลัง:
    +125
    รายการที่ 685 หรียญปั๊มหนารุ่น 8 อาปาเช่หลวงปู่อ่อนสา สุขกาโร พระอรหันต์เจ้าวัดป่าประชาชุมพลพัฒนาราม อ.เมือง จ.อุดรธานี เหรียญเนิ้อทองเเดงผิวไฟ สร้างปี 2545 สร้างเนื่องหลวงปู่อายุครบ 88 ปี(สร้างเพียง 5000 องค์) หลวงปู่มีนามเดิมว่า อ่อนสา เมืองศรีจันทร์ เกิด ณ บ้านโนนทัน ตำบลบ้านจั่น อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี เมือวันที่ 10 กรกฎาคม 2457 ปีขาล วันศุกร์ โยมบิดา นามว่านายมา เมืองศรีจันทร์ โยมมารดาชื่อนางโม้ เมืองศรีจันทร์ มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน 10 คน เป็นผู้ชาย 5 คน ผู้หญิง 5 คน หลวงปู่อ่อนสาเป็นคนโตซึ่งมีน้องต้องค่อยดูแลถึง 9 คน ครอบครัวของหลวงปู่เป็นเกษตรกร และท่านเป็นบุตรคนโตมีโอกาสศึกษาจนจบการศึกษาชั้นประถมศึกษาปีที 4 จากนั้นได้ออกมาช่วยพ่อแม่ทำไร่ทำนาและดูแลน้องๆ
    เมื่ออายุได้ 21 ปี ท่านได้ไปเกณฑ์ทหารแต่ไม่ติด ท่านจึงได้ขอโยมบิดา- มาดาไปบวช โดยได้อุปสมบท ณ วัดโยธานิมิต ต.บ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานีเมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2478 เวลา 13.47 น. โดยมีพระธรรมเจดีย์ ( จูม พันธุโล ) เป็นประอุปัชฌาย์ มีพระครูประสาทคณานุกิจ เป็นพระกรรมวาจารย์ พระครูศาสนูปกรณ์ ( อ่อนตา เขมงกโร ) เป็นพระอนุสาวนาจารย์ มีฉายาว่า สุขกาโร ภิกขุ
    ต่อมาหลวงปู่ได้ออกธุดงไปอำเภอศรีสงคราม จังหวัดนครพนม เพื่อหาที่สัปปายะบำเพ็ญภาวนาและบังเอิญท่านได้พบกับหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน แล้วได้พากันไปภาวนาที่ภูลังกาและออกธุดงค์ด้วยกันตา ต่อมาหลวปู่ได้มีโอกาสกราบนมัสการพระอาจารย์หลวงปู่มั่นภูริทัตโต และได้ข้าจำพรรษากับพระอาจารย์หลวงปู่มั่น
    หลังจากที่หลวงปู่อ่อนสา ได้บำเพ็ญภาวนาพอสมควรแล้วท่านได้ย้ายกลับมายังภาคอีสาน ท้ายสุดท่านได้มาจำพรรษา ณ วัดประชาชุมพลพัฒนาราม บ้านหนองใหญ่ ต.หมากแข้ง อ.เมือง จ.อุดรธานี อันเป็นแผ่นดินเกิดของท่าน
    พระนครินทร์ ปริมุตโต พระดูแล ได้เล่าว่า หลวงปู่มีอาการอาพาตหนักตั้งแต่ปี 2546 โดยมีอาการเส้นเลือดในสมองตีบและเข้ารับการผ่าตัดเมือปี 2547 ที่โรงพยาบาลเอกอุดร หลังจากเข้ารับการผ่าตัดหลวงปู่ก็มีอาการอัมพาตไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ซึ่งเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลเอกอุดรตลอดในระยะเวลา 2-3 ปี หลังการผ่าตัด จากนั้นจึงย้ายมารักษาตัวต่อที่โรงพยาบาลค่ายประจักษ์ศิลปาคมได้ประมาณ 1 ปี เศษ แต่อาการไม่ดีขึ้น
    พระนครินทร์ กล่าวต่อว่า คณะลูกศิษย์และญาติของหลวงปู่ได้ทำการปรึกษาหารือกันกับแพทย์ว่า ระยะเวลาที่รักษาตัวหลวงปู่รักษามานานแล้วแต่อาการไม่ดีขึ้นซึ่งอาจจะละสังขารที่โรงพยาบาล
    ลูกศิษย์และญาติจึงได้มีความเห็นตรงกันว่าอยากจะให้หลวงปู่ละสังขารที่วัด จึงได้นำตัวหลวงปู่มายังวัดเพื่อละสังขาร และในเวลา 16.17 น. หลวงปู่ก็ได้ละสังขาร สิริอายุ 95 ปี 75 พรรษา
    สำหรับพิธีศพของหลวงปู่นั้น ในเวลา09.00 น.วันนี้ (6 ส.ค.) คณะศิษย์ได้นำศพของหลวงปู่อ่อนสา มาตั้งที่ศาลาใหญ่ เพื่อรอให้หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโนเดินทางมาคารวะศพ จากนั้นเวลา 16.00 น. จะจัดให้มีพิธีรดน้ำศพ โดยนายอำนาจ ผการัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี จะเป็นประธานฝ่ายฆราวาส และหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน จะเป็นประธานฝ่ายสงฆ์
    >>>>>>>มีพระเกศาหลวงปู่อ่อนสามาบูชาเป็นมงคล *********บูชาที่ 750 บาฟรีส่งems
    552000009644703-jpg.jpg
    552000009644704-jpg.jpg
    552000009644705-jpg.jpg
    sam_0307-jpg.jpg SAM_6982.JPG SAM_6983.JPG SAM_1450.JPG
     
  4. Somchai 2510

    Somchai 2510 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2019
    โพสต์:
    1,740
    ค่าพลัง:
    +125
    รายการที่ 686 พระผงสมเด็จ 9 มงคลหลวงปู่เหรียญ วรลาโภ พระอรหันต์เจ้าวัดอรัญบรรพต อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย หลวงปู่เป็นศิษย์หลวงปู่มั่นยุคกลาง มวลสารของพระรุ่นนี้เป็นมวลสารมงคลระดับสูง เต็มด้วยคุณค่าและความศักดิ์สิทธิ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระสมเด็จ 9 มงคลมวลสารที่ใช้สร้างพระชุด9มงคลทั้งหมดล้วนคัดสรรมาอย่างดีอันประกอบด้วย
    เส้นเกศา 9 พระสุปฏิปันโน
    อันประกอบด้วย เส้นเกศา 1, หลวงปู่พรหม จิรปุญโญ ,2 เส้นเกศาหลวงปู่อ่อน ญาณสิริ,3 เส้นเกศาหลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม,4 ,เส้นเกศาหลวงปู่ชอบ ฐานสโม,5 เส้นเกศาหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี,6 เส้นเกศาหลวงปู่เหรียญ วรลาโภ,7, เส้นเกศาหลวงปู่สิม พุทธาจาโร, 8, เส้นเกศาหลวงปู่พระอาจารย์วัน อุตตโม, 9, เส้นเกศาหลวงพ่อพุธ ฐานิโย
    9 มงคลพิเศษ
    1) ผงอังคาร ๕ คณาจารย์อันประกอบด้วย 1, ผงอังคารครูบาพรหมจักรสังวร วัดพระพุทธบาทตากผ้า จ.ลำพูน, 2, ผงอังคารหลวงปู่สิม พุทธาจาโร สำนักสงฆ์ถ้ำผาปล่อง เชียงใหม่ ,3, ผงอังคารหลวงปู่หลุย จันทสาโร วัดถ้ำผาบิ้ง จ.เลย, 4 ,ผงอังคารหลวงปู่สาม อภิญจโน วัดป่าไตรวิเวก จ.สุรินทร์ ,ผงอังคารหลวงปู่บัวพา วัดป่าพระสถิต จ.หนองคาย, 5 ,ผงอังคารหลวงปู่สิงห์ทอง วัดป่าแก้วชุมพล จ.สกลนคร,
    2) แร่ ทรายทองคำ, พลอยบดหลายชนิด, อาทิ นิล ไพลิน โกเมน ฯลฯ
    3) ผงพระกรุต่างๆผงเก่าพระธาตุหริภุญไชย,ดินสังเวชนีสถานในอินเดีย
    4) เเร่ไหลดำจากประเทศลาว
    5) ผงเกสร9ชนิด
    6) ผงว่านสาวหลง
    7)โกเมนบด ,ไพลินบด
    8)นิลบด
    9) ผงมะพร้าวนรเก พระผงสมเด็จ 9 มงคลรุ่นนี้พุทธคุณเทียบเท่าสมเด็จวัดระฆังเลย เพราะช่วงที่หลวงปู่เหรียญนุ่งปรกในวังสวนจิตรลดา องค์พระที่อยู่ในกล่องดิ้นได้ เสียงดังลั่นกล่องเลยครับ คณะศิษย์เเละพราหมณ์ในวังได้ถามหลวงปู่ว่าองค์พระที่อยู่ในกล่องทำไมดิ้นได้ละครับหลวงปู่ หลวงปู่ตอบลูกศิษย์ว่า ก็หลวงปู่นั่งสมาธิมาตั้ง 60 ปีเเล้ว มีพระเกศาหลวงปู่มาบูชาด้วย >>>>>>บูชาที่ 1,000 บาทฟรีส่งems(พระสมเด็จองค์นี้สวยมากครับ ระยิบระยับไม่มีที่ติ ผมจึงเลี่ยมกันนํ้าอย่างดี ) SAM_7272.JPG SAM_7005.JPG SAM_7006.JPG SAM_7007.JPG SAM_7008.JPG SAM_7009.JPG SAM_7010.JPG SAM_7011.JPG SAM_1808.JPG
     
  5. Peterbn

    Peterbn Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2018
    โพสต์:
    435
    ค่าพลัง:
    +280
    จอง 685, 683
     
  6. Somchai 2510

    Somchai 2510 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2019
    โพสต์:
    1,740
    ค่าพลัง:
    +125
    รายการที่ 687 เหรียญหันข้างรุ่นบูชาคุณ+เหรียญรุ่น 3พระองค์หลวงตาพระหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน พระอรหันต์เจ้าวัดป่าบ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี หลวงตามหาบัวเป็นศิษย์หลวงปู่มั่นยุคกลาง เหรียญหันข้างหลวงตาบัวสร้างปี 2552 เนื้อทองเเดงรมนํ้าตาล มาพร้อมกล่องเดิม มีตอก 2 โค๊ต โค๊ตดอกบัวด้านหลังเหรียญ เเละตอกโค๊ตยันต์ในรูปดอกบัวหน้าเหรียญ พระใหม่ไม่เคยใช้ ยันต์หลังเหรียญสวยมาก ส่วนเหรียญรุ่น 3 พระองค์ สร้างปี 2556 เนื้อทองเเดงรมดำ มีพระเกศา,พระโลหิตธาตุหลวงตา,พระธาตุมาบูชาเป็นมงคล >>>>>>บูชาที่ 455 บาทฟรีส่งems SAM_0510.JPG SAM_6655.JPG SAM_6656.JPG SAM_6657.JPG SAM_7027.JPG SAM_7028.JPG SAM_3738.JPG
     
  7. สักการะ

    สักการะ ชิวิตดั่งอาทิตย์อัศดง สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    4,922
    ค่าพลัง:
    +5,740
  8. Somchai 2510

    Somchai 2510 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2019
    โพสต์:
    1,740
    ค่าพลัง:
    +125
    รายการที่ 688 รูปหล่อพระพุทธชิณราชหลวงปู่อร่าม ชิณวังโส พระอรหันต์เจ้าวัดป่าถํ้าเเกลบ อ.เมือง จ.เลย หลวงปู่อร่ามเป็นศิษย์หลวงปู่อ่อน ญาณสิริ วัดป่านิโครธาราม เนื้อทองเหลือง มีตอกโค๊ต อ ใต้องค์พระ มีบรรจุมวลสารใต้องค์พระ มาพร้อมกล่องเดิม partiharn_1525936529_3410-jpg.jpg

    จังหวัดเลย มีพระเถระที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบหลายรูป อาทิ หลวงปู่ท่อน ญาณธโร วัดศรีอภัยวัน, หลวงปู่พัน จิตธัมโม วัดป่าน้ำภู, หลวงปู่ขันตี ญาณวโร วัดป่าม่วงไข่ ฯลฯ
    แต่ยังมีพระเถระผู้ใหญ่อีกรูปหนึ่ง เป็นพระสายปฏิบัติ คือ "หลวงปู่อร่าม ชินวังโส" วัดป่าถ้ำแกลบ บ้านท่าวังแคน ต.ศรีสองรัก อ.เมืองเลย จ.เลย
    ประวัติโดยสังเขปจากหนังสือที่บรรดาลูกศิษย์รวบรวม เนื่องในงานวันเกิดครบ 86 ปี บันทึกเอาไว้ว่า หลวงปู่อร่าม มีนามเดิมชื่อ อร่าม ศรีคำมี เกิดเมื่อวันที่ 10 พ.ค.2470 ที่บ้านท่ามะนาว ต.นาอ้อ อ.เมืองเลย จ.เลย ครอบครัวประกอบอาชีพทำนา
    สมัยเป็นเด็ก ชอบไปวัดกับโยมแม่ ท่านเป็นผู้มีอัธยาศัยเรียบร้อย ไม่เคยก่อปัญหาให้กับครอบครัว เมื่ออายุ 3 ขวบ บิดาของท่านเสียชีวิต
    อายุ 7 ขวบ เข้าเรียนหนังสือที่โรงเรียนวัดในหมู่บ้าน
    ย่างวัยหนุ่ม เข้าทำงานที่แขวงการทาง อายุ 35 ปี แต่งงานมีครอบครัวอยู่ที่บ้านหนองเสือคราง ต.หนองบัว อ.ภูเรือ จ.เลย
    แต่แล้วเมื่อลูกสาวอายุ 5 ขวบ เจ็บป่วยหนักและเสียชีวิต ทำให้ท่านปลงอนิจจังกับชีวิต เกิดความเบื่อหน่าย จึงออกบวชขณะอายุ 48 ปี ที่วัดศรีอภัยวัน บ้านนาอ้อ ต.นาอ้อ อ.เมือง โดยมีหลวงปู่ศรีจันทร์ วัณณาโภ เจ้าอาวาสวัดศรีสุทธาวาส อ.เมืองเลย เป็นพระอุปัชฌาย์, พระครูญาณธราภิรัติ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระถนัด เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้ฉายานาม ชินวังโส
    หลังอุปสมบทจำพรรษาอยู่ที่วัดศรีอภัยวัน ท่านอยู่ปฏิบัติธรรมกับหลวงปู่ท่อน ญาณธโร เป็นเวลา 5 พรรษา
    จากนั้นหลวงปู่อร่าม ลาไปจำพรรษาอยู่ที่วัดถ้ำผาปู่ ต.นาอ้อ กับหลวงปู่คำดี ปภาโส เป็นเวลา 2 พรรษา ก่อนเดินธุดงค์ไปจำพรรษาอยู่ที่วัดป่านาศรีเทียน อ.ด่านซ้าย จ.เลย
    ต่อมาท่านไปกราบหลวงปู่อ่อน ญาณสิริ ที่วัดหนองบัวบาน อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี ซึ่งหลวงปู่อ่อนเมตตาสั่งสอนข้อปฏิบัติให้ ตลอดจนถึงการเร่งความเพียรในการภาวนา
    อยู่รับใช้อุปัฏฐากหลวงปู่อ่อน ที่วัดป่านิโคธาราม ระหว่างนั้นหลวงปู่อร่ามก็ขออนุญาตออกธุดงค์ เพียงลำพัง ท่านธุดงค์มาที่บ้านน้ำสวยโพนสว่าง อ.เมือง จ.เลย ออกไปที่วัดถ้ำแกลบ ปฏิบัติธรรมภาวนาอยู่ในถ้ำ
    ต่อมาชาวบ้านท่าวังแคน ต.ศรีสองรัก อ.เมืองเลย มีความเลื่อมใสศรัทธา จึงสร้างกุฏิชั่วคราวที่ถ้ำแกลบ เป็นกุฏิทำจากไม้ไผ่ให้หลวงปู่อร่าม
    ผ่านไปไม่นาน มีชาวบ้านถวายที่ดินให้เพื่อสร้างวัดขึ้นมา โดยใช้ชื่อว่า "วัดถ้ำแกลบ"

    หลวงปู่อร่าม ชินวังโส เป็นพระเถระที่ชอบความสงบ มักน้อย สันโดษ ปฏิบัติเคร่งครัดในพระธรรมวินัย ยึดถือแนวทางปฏิบัติมาจากหลวงปู่อ่อน นับเป็นพระเถระผู้ใหญ่ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบรูปหนึ่งของจังหวัดเลย
    หลวงปู่อร่าม เป็นพระสายป่า (ธ) ยึดถือแนวทางปฏิบัติมาจากหลวงปู่อ่อน นับเป็นพระเถระผู้ใหญ่ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบรูปหนึ่งของจังหวัดเลย >>>>>>>มีพระเกศาหลวงปู่มาบูชา *****บูชาที่ 355 บาทฟรีส่งems SAM_7022.JPG SAM_7023.JPG SAM_7024.JPG SAM_7026.JPG SAM_1967.JPG
     
  9. Somchai 2510

    Somchai 2510 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2019
    โพสต์:
    1,740
    ค่าพลัง:
    +125
    รายการที่ 689 เหรียญอุดมมงคลรุ่นเเรกหลวงปู่ทา จารุธัมโม พระอรหันต์เจ้าวัดถํ้าซับมืด อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา หลวงปู่เป็นศิษย์หลวงปู่มี ญาณมุนี(ลูกศิษย์ผู้ใหญ่หลวงปู่เสาร์,หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต เหรียญสร้างปี 2545 เนื้อทองเเดงรมดำ
    >>>>>>ประวัติพอสังเขป
    หลวงปู่ทา จารุธัมโม ท่านเกิดวันอังคารที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2452 ที่ต.คู่เมือง อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี บิดาของท่านชื่อ นายลี อารีวงศ์ มารดาของท่านชื่อ นางเขียว อารีวงศ์ ท่านมีพี่น้องรวมกัน 9 คน ท่านเป็นคนที่ 7 ในวัยเด็กท่านได้ช่วยบิดามารดาของท่านประกอบอาชีพทำนา พอท่านอายุได้ ๕ ขวบ โยมมารดาของท่านเสียชีวิต หลังจากนั้นไม่นานนัก โยมบิดาก็เสียชีวิตตามไปอีกคนท่านต้องเป็นเด็กกำพร้าตั้งแต่ยังเล็ก ลูกทั้ง ๗ คน ต้องแยกย้ายไปอาศัยอยู่กับญาติผู้ใหญ่ ส่วนท่านไปอยู่กับโยมน้าหญิง ซึ่งท่านเรียกว่า “แม่น้า” ที่อำเภอเขื่องใน จังหวัดอุบลราชธานี (ปัจจุบันแยกเป็นจังหวัดยโสธร) โยมน้าไม่มีลูกจึงรับท่านเป็นบุตรบุญธรรม ให้การเลี้ยงดู ให้ความอบอุ่น เป็นอย่างดี ท่านได้ช่วยโยมน้าทำไร่ ปลูกอ้อย เลี้ยงควาย เมื่อว่างจากหน้าที่การงานทางบ้าน ท่านจะไปอยู่วัดรับใช้พระพอท่านอายุได้ ๒๐ ปี ได้อุปสมบทที่ วัดใหญ่ชีทวน และได้จำพรรษาอยู่ที่ วัดท่าชีทวน เป็นเวลา ๕ พรรษา แต่เป็นที่น่าเสียดายที่ไม่มีอาจารย์ผู้สอนอุบายธรรม ท่านจึงได้ลาสิกขาบทเพื่อมาช่วยงานทางบ้านต่อมาคณะพระธุดงค์กรรมฐานซึ่งมี หลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล เป็นหัวหน้าคณะ และมี หลวงปู่มี ญาณมุนี พร้อมคณะได้เดินทางผ่านบ้านชีทวน และปักกลดที่ป่าบ้านชีทวน เพื่อเดินทางต่อไปยังบ้านข่าโคม อำเภอเขื่องใน จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งเป็นบ้านเกิดของ หลวงปู่เสาร์ ชาวบ้านชีทวนพอทราบข่าวว่า คณะพระธุดงค์มาปักกลดจึงเกิดศรัทธาเลื่อมใส ตั้งใจว่าหากได้บวชจะบวชกับพระอาจารย์ธุดงค์ หลังจากนั้น ราว ๓ ปี ท่านได้กราบลา พ่อน้า แม่น้า ผู้เปรียบเสมือนบิดามารดาคนที่สองของท่าน เพื่อไปฝากตัวเป็นศิษย์ของ หลวงปู่มี ท่านได้เดินทางลงไปทำงานที่กรุงเทพฯ เป็นเวลา ๑ เดือน แล้วจึงย้อนกลับมาหา หลวงปู่มี ฝากตัวเป็นศิษย์ปรนนิบัติรับใช้อยู่ที่เสนาสนะป่าบ้านสูงเนิน (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็นวัดป่าญาณโสภิตวนาราม) ตลอดระยะเวลา ๓ ปี ท่านได้ทำกิจวัตร ทำวัตรเช้า - เย็น ตกกลางคืนเดินจงกรมภาวนา ถึง ๖ ทุ่ม จึงขึ้นที่พัก เมื่อ หลวงปู่มี เห็นว่าท่านตั้งใจทำกิจวัตรมีกริยามารยาทเรียบร้อย จึงอนุญาตให้บวชได้ ท่านได้อุปสมบทเมื่ออายุ ๓๔ ปี ในวันที่ ๒๖ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๘๕ เวลา ๑๑.๒๔ น. ณ อุโบสถวัดใหญ่สูงเนิน อำเภอสูงเนิน จังหวัดนครราชสีมา โดยมีพระอุปัชฌาย์นามว่า พระครูญาณโสภิต(หลวงปู่มี ญาณมุนี) พระกรรมวาจาจารย์นามว่า พระอาจารย์เนียม พระอนุสาวนาจารย์นามว่า พระอธิการถนอมเป็น ได้ฉายา “จารุธมฺโม” แปลความหมายว่า “ผู้มีธรรมประดุจทอง” ท่านได้ตั้งใจประพฤติตามพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด ปฏิบัติตามคำอบรมสั่งสอนของ หลวงปู่มี ทุกประการท่านว่าถ้าผู้ใดบวชมาอยู่กับ หลวงปู่มี แล้วไม่ตั้งใจประพฤติปฏิบัติสมาธิวิปัสสนาภาวนาท่านจะขับออกจากสำนักทันที ท่านได้อยู่จำพรรษากับ หลวงปู่มี ที่เสนาสนะป่าบ้านสูงเนิน เป็นเวลาหลายปี พอออกพรรษาท่านก็เที่ยววิเวกไปตามที่ต่างๆ ในปี พ.ศ. ๒๕๐๓ หลวงปู่มี ญาณมุนี หลวงพ่อทองพูล จิตปญฺโญ และ หลวงพ่อสุพีร์ สุสญฺญโม ได้ขึ้นไปวิเวกทางภาคเหนือ และอยู่จำพรรษาที่วัดดอยพระเกิด อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ โดยท่านได้อยู่ดูแลวัดป่าสูงเนิน เพื่อคุมงานก่อสร้างศาลาการเปรียญ ช่วงที่ หลวงปู่มี เที่ยววิเวกที่เชียงใหม่ท่านเข้าออกอยู่ระหว่างวัดป่าสูงเนินกับวัดป่าสระเพลง วัดป่าสระเพลงเป็นอีกสถานที่หนึ่งถูกจริตกับท่านมาก ในปี พ.ศ. ๒๕๐๖ ท่านได้มาอยู่จำพรรษาที่วัดถ้ำซับมืด ตำบลจันทึก อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งในสมัยนั้นยังเป็นป่าดงดิบ ไข้มาเลเรียระบาดหนัก มีสัตว์ป่านานาชนิด เช่น เสือ เก้ง กวาง หมูป่า เป็นต้น พอออกพรรษาท่านได้กลับไปอยู่ที่วัดป่าสูงเนิน เพื่อเตรียมการฉลองศาลาการเปรียญ และท่านได้ขึ้นไปเชียงใหม่ เพื่อกราบนิมนต์ หลวงปู่มี ให้มาเป็นประธานฉลองศาลาการเปรียญที่วัดใหญ่สูงเนิน หลังจากจัดงานฉลองศาลาการเปรียญเสร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลวงปู่มี มีความประสงค์จะขึ้นไปเชียงใหม่อีกครั้ง โดยให้ท่านติดตามไปด้วย ในปี พ.ศ. ๒๕๐๗ - ๒๕๑๑ หลวงปู่มี ญาณมุนี หลวงปู่ทา จารุธมฺโม และ หลวงพ่อสุพีร์ สุสญฺญโม ได้จำพรรษาอยู่ที่ วัดดอยพระเกิด อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ ต่อมาท่านได้เร่งความเพียรอย่างหนัก ที่วัดป่าสระเพลง ขณะนั่งสมาธิได้ยินเสียงเหมือนมีใครมาเทศน์อยู่ข้างหลัง เทศน์เรื่อง อริยสัจจ์ ๔ ประมาณ ๑ - ๒ ชั่วโมง เป็นธรรมะอันลึกซึ้ง ซึ่งท่านไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน ในปี พ.ศ. ๒๕๑๒ หลวงปู่มี ได้มาอยู่จำพรรษาที่วัดถ้ำซับมืดโดยมี หลวงปู่ทา จารุธมฺโม และ หลวงพ่อสุพีร์ สุสญฺญโม ติดตามมาอยู่ด้วยตั้งแต่นั้นมา หลวงปู่ทา จารุธมฺโม ท่านก็ไม่เคยไปจำพรรษาที่ไหนอีกเลย ถึงแม้หลังจาก หลวงปู่มี จะได้มรณภาพไปแล้วในปี พ.ศ. 2515 ก็ตาม ท่านก็ได้อยู่จำพรรษากับ หลวงพ่อสุพีร์ สุสญฺญโม อบรมสั่งสอนลูกศิษย์ด้วยการทำให้ดู เป็นอยู่ให้เห็น ฉันน้อย นอนน้อย ปฏิบัติให้มาก ท่านครองสมณเพศ อย่างเรียบง่ายสมถะ ถือสันโดษ เปี่ยมด้วยเมตตาธรรม เป็นที่เคารพศรัทธาเลื่อมใส ของพระภิกษุ สามเณร ตลอดจนสาธุชนทั่วไป รวมทั้งมีพระกรรมฐาน ทั้งฝ่ายมหานิกายและธรรมยุต ได้มาอยู่ร่วมกับท่านปฏิบัติตามธรรมวินัยอยู่ร่วมกันอย่างเย็นใจตลอดมา จนกระทั่งท่านมรณภาพเมื่อวันที่ ๓๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๐ รวมอายุ ๙๘ ปี พรรษา ๖๕.
    55410382848_n.png?_nc_cat=102&_nc_sid=8024bb&_nc_ohc=fu3Kg0QBFjMAX9-HREP&_nc_ht=scontent.fkkc2-1.png

    >>>>>>>>มีผงอังคารธาตุหลวงปู่มาบูชาด้วยครับ ******บูชาที่ 435 บาทฟรีส่งems ******(สุดยอดหายากครับ) SAM_0561.JPG SAM_7017.JPG SAM_7018.JPG SAM_3576.JPG
     
  10. Somchai 2510

    Somchai 2510 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2019
    โพสต์:
    1,740
    ค่าพลัง:
    +125
    >>>>>สมาชิกที่สนใจ โอนเข้าบัญชีธนาคาร กรุงเทพ สาขาบ้านเเพง เลขบัญชีที่ 496-055842-9,ธนาคาร กรุงไทย สาขาบิ๊กซี ลำพูน เลขบัญชี 854-0-31280-8,ธนาคาร กสิกรไทย สาขาเสนา เลขที่บัญชี 016-3-45911-6, ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาเสนา เลขที่บัญชี 770-270878-6 ขอขอบคุณครับ
     
  11. Khun Kriang

    Khun Kriang สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2019
    โพสต์:
    290
    ค่าพลัง:
    +4
    จองครับ
     
  12. Somchai 2510

    Somchai 2510 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2019
    โพสต์:
    1,740
    ค่าพลัง:
    +125
    รายการที่ 690 เหรียญรุ่น 4 ม,1+เหรียญยืนเต็มองค์ครบรอบ 100 ปี
    "หลวงปู่บุดดา ถาวโร" พระอรหันต์เจ้าวัดกลางชูศรีเจริญ อ.บางระจัน จ.สิงห์บุรี เหรียญรุ่น 4 สร้างปี 2520 เนื้อทองเเดงรมนํ้าตาลมันปู,ส่วนเหรียญยืน 100 ปี สร้างปี 2536 เนื้อทองเเดง สร้างโดยองค์การโทรศัพท์
    มีนามว่า "มุกดา" หรือ "บุดดา" นามสกุล "มงคลทอง" เกิดในหมู่บ้านหนองเต่า ต.พุคา อ.โคกสำโรง จ.ลพบุรี ตรงกับวันที่ 5 ม.ค.2437
    สมัยเด็กท่านไม่มีโอกาสได้เรียนหนังสือ เพราะไม่มีโรงเรียนใกล้บ้าน จนเติบใหญ่จึงเป็นที่พึ่งพาช่วยบิดามารดาทำนาเลี้ยงชีพ
    กระทั่งเข้าวัยเกณฑ์ทหาร ถูกคัดเลือกเข้าสังกัดกองทัพบก ท่านจึงมีโอกาสฝึกเขียนอ่านหนังสือ พอมีความรู้
    หลังพ้นราชการทหาร ช่วยครอบครัวทำงาน จนอายุได้ 28 ปี จึงเข้าพิธีอุปสมบทที่วัดเนินยาว อ.บ้านหมี่ จ.ลพบุรี โดยมีพระครูธรรมขันธ์สุนทร เป็นพระอุปัชฌาย์, พระครูเรือง และเจ้าอธิการไพล เป็นคู่กรรมวาจาจารย์ ได้ฉายาว่า "ถาวโร"
    สมัยนั้นการศึกษาพระปริยัติธรรมบาลียังไม่แพร่หลาย ท่านอาศัยการหัดอ่าน ท่องบทสวดมนต์ ทำวัตรเช้า-เย็นอยู่ภายในวัด รวมทั้งได้รับการสอนกรรมฐานเบื้องต้นจากพระอุปัชฌาย์
    ด้วยจิตที่มุ่งมั่นแสวงหาโมกขธรรม เพียงพรรษาแรกท่านออกจาริกธุดงค์ไปตามภาคต่างๆ ข้ามฝั่งไทยไปสู่ประเทศลาวอย่างกล้าหาญชาญชัย เป็นการธุดงค์เดี่ยว ไม่มีครูผู้ชี้แนะ มีแต่ร่มเก่า บาตรหนึ่งใบ และข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นเท่านั้น
    แต่ละเส้นทางธุดงค์ของท่านได้พบปะสหธรรมิกหลายรูป ทั้งพระกัมมัฏฐานที่เก่งในทางปฏิบัติ พระเกจิเรืองวิทยาคม และพระเถระชั้นผู้ใหญ่ อาทิ พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจันโท) วัดบรมนิวาส, สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์, หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต, พระสุพรหมยาน วัดพระพุทธบาทตากผ้า, หลวงปู่สิม วัดถ้ำผาปล่อง, หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค, หลวงพ่อปาน วัดบางเหี้ย, หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ, หลวงพ่อสด วัดปากน้ำ ฯลฯ
    วัดต่างๆ ที่ท่านไปจำพรรษา ประกอบด้วย จ.เพชรบุรี 20 พรรษา, จ.ลพบุรี 14 พรรษา, กรุงเทพฯ 8 พรรษา, จ.ระยอง 7 พรรษา, จ.ชัยนาท 4 พรรษา
    ยังไม่นับวัดที่จำพรรษาระยะสั้นๆ อาทิ วัดหนองหลวง จ.นครสวรรค์, วัดเนรัญชรา จ.เพชรบุรี, วัดพิกุลทอง จ.สิงห์บุรี, วัดเหนือสน จ.ราชบุรี เป็นต้น
    กระทั่งอายุ 80 ปี ท่านจึงยุติการธุดงค์ ด้วยสังขารไม่เอื้ออำนวย ก่อนมาจำพรรษาที่วัดกลางชูศรีเจริญ อ.บางระจัน จ.สิงห์บุรี เป็นวัดสุดท้าย กว่า 40 ปี
    ปฏิปทาจริยวัตรของหลวงปู่บุดดา เคร่งครัดในระเบียบวินัยสงฆ์ ถือครองผ้าสามผืนเป็นวัตร บิณฑบาตและถวายสังฆทานทุกวัน ฉันเพียงมื้อเดียววันเว้นวัน และฉันเฉพาะในบาตร
    สิ่งที่ไม่เคยขาด คือ หาโอกาสพิจารณากัมมัฏฐาน 5 ตามอุบายที่ครูบาอาจารย์สั่งสอน พร้อมเร่งทำความเพียร ด้วยความมานะอดทนเป็นเลิศ
    ท่านไม่เคยสอนให้ชาวบ้านงมงายในวัตถุมงคลหรือเครื่องรางของขลัง แต่ท่านมีวิธีอบรมใจตัวเองได้อย่างแยบคาย แม้ในยามเผชิญอยู่กับภยันตรายเฉพาะหน้า ท่านก็จะยกสิ่งที่เผชิญอยู่นั้นเป็นอุบายในการอบรมจิตใจตนเสมอ
    เวลากว่า 40 ปี ที่ใช้ชีวิตอยู่ในป่าเขา อบรมจิตใจของท่านจนสามารถแยกแยะ กำหนด และตัดสังโยชน์ได้อย่างเป็นขั้นตอน
    ช่วงบั้นปลายชีวิต หลวงปู่บุดดาอาพาธหนัก คณะศิษย์นิมนต์พระเกจิอาจารย์ชื่อดัง ประกอบพิธีนั่งกัมมัฏฐานช่วยต่ออายุให้หายจากอาการอาพาธ แต่ท่านมิอาจฝืนสังขาร
    มรณภาพอย่างสงบ เมื่อวันพุธที่ 12 ม.ค.2537 สิริอายุ 100 ปี พรรษา 72 ******
    มีพระเกศาหลวงปู่เเละเเป้งเสก,จีวร มาบูชาเป็นมงคลด้วยครับ >>>>>บูชาที่ 455 บาทฟรีส่งems SAM_6471.JPG SAM_7031.JPG SAM_7033.JPG SAM_7029.JPG SAM_7030.JPG SAM_1360.JPG SAM_0556.JPG
     
  13. Khun Kriang

    Khun Kriang สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2019
    โพสต์:
    290
    ค่าพลัง:
    +4
    จองครับ
     
  14. ธรรมศิล

    ธรรมศิล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    426
    ค่าพลัง:
    +800
    ขอบูชาครับ รวม 4 รายการ และชำระเงินตามทื่จองไว้ครับ ส่ง PM
     
  15. Somchai 2510

    Somchai 2510 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2019
    โพสต์:
    1,740
    ค่าพลัง:
    +125
    >>>>>>เมื่อวานได้จัดส่งวัตถุมงคลให้เพื่อนสมาชิก 2 ท่านครับ เลขที่ ems ตามใบฝอยครับผม SAM_7044.JPG
     
  16. Somchai 2510

    Somchai 2510 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2019
    โพสต์:
    1,740
    ค่าพลัง:
    +125
    รายการที่ 691 เหรียญรุ่น 5 หลวงปู่วิริยังค์ สิรินธโร พระอรหันต์เจ้าวัดธรรมมงคล เขตพระโขนง กรุงเทพมหานคร หลวงปู่เป็นศิษย์หลวงปู่มั่นยุคสุดท้าย เหรียญสร้างปี 2540 สร้างเนื่องหลวงปู่อายุครบ 76 ปี เนื้อกะไหล่ทอง เหรียญใหม่ไม่เคยใช้ มาพร้อมกล่องเดิม ประวัติโดยสังเขป พระธรรมมงคลญาณ (หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร) เจ้าอาวาส วัดธรรมมงคล เกิดเมื่อวันที่ ๗ มกราคม พ.ศ. ๒๔๖๓ ในครอบครัวของนายสถานีรถไฟ
    ปากเพียว(สถานีสระบุรี ในปัจจุบัน) ท่านเป็นบุตรคนที่ ๕ ในจำนวนพี่น้อง ๗ คน ของท่านขุนเพ็ญภาษชนารมณ์ และนางมั่น บุญฑีย์กุล
    เริ่มต้นชีวิตในวัยเด็ก
    เนื่องด้วยท่านขุนเพ็ญภาษชนารมณ์ ผู้เป็นบิดา เข้ารับราชการเป็นนายสถานีรถไฟ จึงจำเป็นจะต้องโยกย้ายที่อยู่ไปประจำที่อื่นอยู่บ่อยครั้ง ครอบครัวก็ต้องย้ายติดตามไปด้วย เมื่อครั้งบิดาได้ย้ายมาประจำอยู่ ณ สถานีรถไฟบ้านใหม่สำโรง อำเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมานับว่าเป็นความโชคดีของครอบครัว บุณฑีย์กุล ที่ได้มาพบกับพระอาจารย์ ฝ่ายกรรมฐานรูปสำคัญ และท่านยังเป็นถึงศิษย์ของ “หลวงปู่มั่น ภูริทตฺตเถระ” อีกด้วย นั้นคือ “พระอาจารย์กงมา จิรปุญฺโญ” และด้วยบิดามารดาของด.ช.วิริยังค์ เป็นผู้มีความชอบในการทำบุญ เข้าวัดฟังธรรมอยู่อย่างสม่ำเสมอ ด.ช.วิริยังค์ จึงมีโอกาสได้ติดตามท่านทั้งสองไปวัดบ้าง แต่ก็ด้วยวัยที่ยังเด็กเกินไป ในขณะนั้นจึงทำให้ ยังไม่มีความสนใจในการปฏิบัติสมาธิเลยหากแต่ยังคงชอบเที่ยวเล่นสนุกไปตามประสาของเด็กทั่วๆ ไป ด.ช.วิริยังค์ เมื่ออายุได้ ๑๑ ขวบ ได้เข้าศึกษาที่โรงเรียนวัดสุปัฏนาราม ซึ่งเป็นโรงเรียนที่มีชื่อเสียงในขณะนั้นของจังหวัดอุบลราชธานี ที่ต้องมาเรียนที่นี่เพราะ บิดาได้รับคำสั่งให้ย้าย ไปปฏิบัติราชการณ สถานีรถไฟวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี และที่โรงเรียนวัดสุปัฏนารามนี่เอง ด.ช.วิริยังค์ ได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ มากมาย ทั้งกีฬา และการสมัครเป็นลูกเสือชาวบ้าน หรือแม้แต่กระทั่งเข้าโบสถ์ฟังธรรมในวันพระ แต่ด้วยความเป็นเด็กจึงไม่ได้ให้ความสนใจ ในการเข้าวัดฟังธรรมมากนัก พยายามที่จะหาวิธีหลีกเลี่ยงอยู่เป็นประจำเรียกว่า “พอหลบหนีได้ก็หลบหนีไป” กันเลยทีเดียว เมื่อ ด.ช.วิริยังค์ เรียนจบชั้นประถมศึกษาพอที่จะอ่านออกเขียนได้แล้ว บิดา มารดาก็ส่งให้ไปอยู่วัดกลาง (ปัจจุบันคือ วัดนารายณ์มหาราช) จังหวัดนครราชสีมา เพื่อฝากเป็นศิษย์ของท่านอาจารย์ปลัดตา ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสวัดกลางในขณะนั้น ณ วัดกลางแห่งนี้ ด.ช.วิริยังค์ มีความมุมานะในการเรียนบาลีไวยากรณ์ เป็นอย่างมาก แต่ด้วยกฎระเบียบที่เคร่งครัด และมักจะโดนเพื่อน ๆ เด็กวัดด้วยกันกลั่นแกล้งอยู่เสมอ ๆ ทำให้ ด.ช.วิริยังค์ เคยหนีออกจากวัดมาแล้ว แต่เมื่อย้อนกลับมานึก ถึงอาจารย์ปลัดตาที่ท่านรักและให้ความเมตตามาโดยเสมอทำให้ ด.ช.วิริยังค์ กลับตัวและพยายามทำดีตั้งหน้าตั้งตาเรียนบาลีไวยากรณ์กับท่านอย่างตั้งใจ สมาธิครั้งแรกกับการเปลี่ยนแปลงชีวิต
    หลังจากที่เด็กชายวิริยังค์ เล่าเรียนบาลีไวยากรณ์กับท่านอาจารย์ปลัดตา ณ วัดกลาง ได้สำเร็จแล้ว บิดาก็ได้มารับกลับไปอยู่ที่บ้าน ณ บ้านใหม่สำโรง อำเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมาเพื่อให้มาช่วยเหลืองานที่บ้าน จนในวันหนึ่งได้รับการร้องขอจาก น.ส.ขลิบ ซึ่งเป็นเพื่อนผู้หญิงในหมู่บ้านเดียวกันที่ ด.ช.วิริยังค์ มีความสนิทสนมอย่างมาก ให้ช่วยเป็นเพื่อนไปวัดป่าสว่างอารมณ์ เพราะต้องไปต่อมนต์กับพระอาจารย์กงมา จิรปุญฺโญ ทุกๆ คืน เช่นเดียวกับคนอื่นๆ แต่เนื่องจากวันนี้เพื่อนๆ ของเธอนั้นเสร็จธุระไปก่อน จึงได้ไปที่วัดกันหมดแล้ว น.ส.ขลิบ จึงขอให้ ด.ช.วิริยังค์ ช่วยเดินไปส่งที่วัดป่าสว่างอารมณ์ด้วยความที่ ด.ช.วิริยังค์ ยังไม่คุ้นเคยกับสำนักปฏิบัติธรรมกรรมฐาน จึงทำให้ไม่เข้าใจในขนบธรรมเนียมเมื่อเข้าไปถึงศาลาวัด ก็เข้าไปนั่งปะปนกับผู้หญิงที่กำลังนั่งต่อมนต์กัน พระอาจารย์กงมา จึงกล่าวว่า “วิริยังค์ นี่เธอทำไมไปนั่งข้างผู้หญิง เธอนั่งที่นั้น ต้องกราบก้นผู้หญิงมานั่งที่นั่งของผู้ชายทางนี้” ด้วยความตกใจที่จะต้องเข้าไปนั่งใกล้ พระอาจารย์เป็นครั้งแรก บวกกับการที่อยากจะกลับบ้านแต่ก็ไม่กล้ากลับ เพราะกลัวผี สร้างความลำบากใจ ทั้งรำคาญและหงุดหงิดให้แก่ ด.ช.วิริยังค์ เป็นอย่างยิ่ง ด.ช.วิริยังค์ จึงมานั่งรำพึงในใจว่า “เราจะไม่มาอีกแล้วๆๆ” นานเท่าไรไม่ทราบ ก็บังเกิดเหตุอัศจรรย์ใจ ปรากฎว่าจิตของ ด.ช.วิริยังค์ รวมสงบนิ่งลง พลันปรากฎมีอีกร่างหนึ่ง เดินออกจากร่างกายเดิม ลงจากศาลาเดินไปตามลานวัด และหยุดยืนอยู่ ณ บริเวณที่ปัจจุบันเป็นสถานที่สร้างอุโบสถ ปรากฎมีลมชนิดหนึ่งพัดโชยเข้ามาสู่ใจ ทำให้เกิดความสุข อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนในชีวิต ทันใดนั้นเอง ด.ช.วิริยังค์ ถึงกับอุทานออกมาว่า “คุณของพระพุทธศาสนายังปรากฎอยู่ถึงปัจจุบันนี้หรือ ?” จากนั้นจึงเดินกลับมายังศาลาที่นั่งอยู่ มองไปที่ร่างกายจึงนึกขึ้นว่า เราจะกลับเข้าร่างเดิมได้ยังไง ทันใดนั้นเองก็พลันรู้สึกตัวขึ้น ได้แต่นั่งรำพึงในใจว่า “อัศจรรย์ใจจริงๆ ทำไมถึงดีอย่างนี้ๆ” นับแต่นั้นเป็นต้นมา ด.ช.วิริยังค์ ก็ได้เปลี่ยนนิสัยเก่าโดยสิ้นเชิง เริ่มเข้าวัดฟังธรรม จำศีลสวดมนต์ภาวนาเรื่อยมานับแต่วันนั้น
    ตอนต่อสู้ในช่วงบวชเป็นสามเณร
    เมื่ออายุได้ ๑๔ ปี จากที่ ด.ช.วิริยังค์ ได้รับรสพระสัจธรรมอันเกิดจากสมาธิ และการสวมมนต์ภาวนา รักษาศีล ก็ยิ่งทำให้เชื่อมั่นในคุณของพระพุทธศาสนายิ่งขึ้นเพิ่มความศรัทธาในการที่จะออกบรรพชา เป็นสามเณรเป็นกำลัง หลังจากที่บิดามารดาได้อนุญาตแล้ว พระอาจารย์กงมา จิรปุญฺโญ จึงได้นำบวชเป็นชีปะขาว และนำไปบรรพชาเป็นสามเณรเมื่ออายุได้ ๑๖ ปี ณ วัดสุทธจินดา จังหวัดนครราชสีมา โดยมี พระธรรมฐิติญาณ เป็นพระอุปัชฌาย์ เมื่อวันที่ ๒๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ หลังจากบรรพชาแล้ว ส.ณ.วิริยังค์ ก็มาพักอยู่ที่วัดป่าสาลวันก่อน
    ซึ่งในขณะนั้นถือได้ว่าเป็นศูนย์กลางของการเผยแผ่การปฏิบัติธรรมกรรมฐาน โดยมี (พระญาณวิศิษฏ์สมิทธิวีราจารย์) พระอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม เป็นเจ้าอาวาส เพื่อความสะดวก ในการทำหนังสือสุทธิ จากนั้นจึงลาพระอุปัชฌาย์กลับไปวัดป่าสว่างอารมณ์ตามเดิม เมื่อย้ายกลับมาวัดป่าสาลวัน แล้ว ส.ณ.วิริยังค์ ก็ตั้งใจบำเพ็ญเพียรภาวนาอย่างเข้มงวดเป็นอย่างมาก โดยมี พระอาจารย์กงมา จิรปุญฺโญ ได้เมตตาอบรมสั่งสอนวิชากรรมฐาน ส่งผลให้การบำเพ็ญความเพียร ของสามเณรวิริยังค์ ได้พัฒนาขึ้นไปตามลำดับอย่างน่าพอใจ นับเป็นความโชคดีอีกครั้งหนึ่งของ สามเณรวิริยังค์ เนื่องจากพระอาจารย์กงมา มีกิจนิมนต์ไปกรุงเทพฯ แต่ด้วยความเป็นห่วงศิษย์ จึงนำสามเณรวิริยังค์ ไปฝากไว้กับ พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร ณ วัดป่าศรัทธารวม อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา เพื่อฝึกปฏิบัติข้อวัตรต่าง ๆ รวมถึงการปฏิบัติด้านสมาธิให้พัฒนายิ่งขึ้น พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร ได้ชื่อเป็นพระผู้มีพลังจิตแก่กล้า และที่สำคัญท่านก็ยังเป็นศิษย์ของ หลวงปู่มั่น ภูริทตฺตเถระ อีกด้วย
    ตอนต่อสู้ในช่วงเป็นพระภิกษุ
    นับแต่บรรพชาเป็นสามเณรอยู่ประพฤติธรรมฝึกปฏิบัติกรรมฐาน อุปัฏฐากรับใช้พระอาจารย์ อายุของสามเณร วิริยังค์ก็ร่วงเลยมาเหมาะสมแก่การอุปสมบทเป็นพระภิกษุ พระอาจารย์กงมา ท่านจึงเมตตาจัดเตรียมการอุปสมบทให้อย่างง่าย ๆ ณ วัดทรายงาม (อุทกสีมากลางทะเล) บ้านหนองบัว อำเภอเมือง จังหวัดจันทบุรี โดยมี พระปัญญาพิศาลเถระ (หนู) เจ้าอาวาสวัดปทุมวนาราม กรุงเทพมหานคร เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์กงมา จิรปุญฺโญ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระมหาทองสุข สุจิตฺโต เป็นพระอนุสาวนาจารย์ อุปสมบทเป็นพระภิกษุได้ ๑ พรรษา มีความตั้งใจอย่างแรงกล้าอยากที่จะพบและศึกษาข้อวัตรปฏิบัติ การทำสมาธิจากพ่อแม่ครูอาจารย์ “หลวงปู่มั่น ภูริทตฺตเถระ” เป็นอย่างมาก จึงรบเร้าพระอาจารย์กงมา ให้เมตตาช่วยนำไปฝากให้ประพฤติปฏิบัติ กับหลวงปู่มั่น ภูริทตฺตเถระ ซึ่งในขณะนั้นท่านพำนักอยู่ ณ วัดบ้านโคก ตำบลตองโขบ อำเมือง จังหวัดสกลนคร แต่ในใจก็นึกกล้าๆ กลัวๆ เพราะได้ยินกิตติศัพท์ เล่าลือมาว่า
    ๑. ท่านอาจารย์มั่น รู้จักใจคน จะนึกจะคิดอะไรทราบหมด
    ๒. ท่านอาจารย์มั่น ท่านดุยิ่งกว่าใครๆ ทั้งสิ้น
    ๓. ท่านอาจารย์มั่น ท่านเทศนาในธรรมปฏิบัติยอดกว่าใคร ๆ ทั้งนั้น
    ๔. ท่านอาจารย์มั่น ท่านปฏิบัติตัวของท่านเป็นตัวอย่างแก่ศิษย์อย่างยอดเยี่ยมยอด
    ๕. ท่านอาจารย์มั่น ท่านจะต้องไล่พระที่อยู่กับท่านถ้าหากทำผิด แม้แต่ความผิดนั้นไม่มากแต่เป็นเหตุให้เสื่อมเสีย
    แต่ด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจในการปฏิบัติสมาธิ ที่หวังจะให้เกิดประโยชน์อย่างสูงสุดแก่ตนเองและผู้อื่น ดังที่ได้ตั้งปนิธานไว้แล้ว ความกลัวทั้งหลายก็ไม่อาจมาขวางกั้น ความมุ่งมั่นตั้งใจในการเสาะแสวงหาครูบาอาจารย์ ท่านผู้ได้ชื่อว่าเป็นสุดยอดแห่งยุค ในด้านการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน อย่างองค์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺตเถระ ลงได้เลยประกอบกับนึกถึงคำพูดของพระอาจารย์กงมา ที่ได้เมตตากล่าวแก่ท่านว่า “วิริยังค์ หลวงปู่มั่นท่านเป็นปรมาจารย์ และเป็นอาจารย์ของเรา สมาธิทุกๆ ขั้นตอน ผมได้สอนท่านไปหมดแล้ว ต่อไปนี้ท่านจะได้เรียนสมาธิกับท่านปรมาจารย์ ท่านอย่าประมาท จงปฏิบัติหลวงปู่มั่นแบบถวายชีวิต ท่านจะได้ความรู้อย่างกว้างขวางยิ่งกว่าที่ผมสอนอีกมากนัก” พบพระอาจารย์ผู้เป็นเนื้อนาบุญอันยิ่งใหญ่
    ในที่สุดแล้วความปรารถนาของพระวิริยังค์ ก็สำเร็จผลดังตั้งใจ ณ วัดบ้านโคก ตำบลตองโขบ อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร อันเป็นสถานที่มงคลที่ท่าน ได้พบกับ หลวงปู่มั่น ภูริทตฺตเถระ มีโอกาสอยู่ศึกษาพระธรรมวินัย ข้อวัตร และการปฏิบัติสมาธิกรรมฐาน และในขณะเดียวกันก็ได้รับหน้าที่อันสุดประเสริฐของตัวท่านเอง คือ “การเป็นพระอุปัฏฐากรับใช้ใกล้ชิดหลวงปู่มั่น ภูริทตฺตเถระ อยู่เป็นเวลาทั้งสิ้น ๔ ปี” ในช่วงเวลานี้เองที่ท่านได้มีโอกาสได้จดบันทึกคำสอนของหลวงปู่มั่น ภูริทตฺตเถระ อันสุดแสนประเสริฐและเป็นที่รู้จักกันในปัจจุบันอย่างกว้างขวาง ในชื่อหนังสือ “มุตโตทัย”
    นอกจากการได้รับโอกาสให้เป็นพระอุปัฏฐากแล้ว พระวิริยังค์ยังได้รับโอกาสครั้งสำคัญสุดในชีวิตของท่านเอง นั้นคือ การได้ออกเดินธุดงค์ กับหลวงปู่มั่น ภูริทตฺตเถระ สองต่อสอง โดยมีจุดหมายปลายทางที่วัดเลียบ (วัดบูรพาราม) จังหวัดอุบลราชธานี อันจะเป็นสถานที่ถวายพระราชทานเพลิงศพ หลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล พระมหาเถระผู้เป็นพระอาจารย์ของ หลวงปู่มั่น ภูริทตฺตเถระ นั้นเองการเดินธุดงค์ร่วมกับหลวงปู่มั่นในครั้งนี้ ถือเป็นโอกาสอันสำคัญที่พระวิริยังค์ จะได้ปฏิบัติสมาธิให้พัฒนามากยิ่งขึ้น รวมถึงได้มีโอกาสเรียนถามปัญหาข้อธรรมและข้อปฏิบัติต่างๆ ทั้งตื้น ลึก หนา บาง ที่ได้นำมาสั่งสอนอบรมศิษย์ ทั้งพระภิกษุ สามเณร และฆราวาสจนถึงปัจจุบัน นับเป็นการธุดงค์ที่ล่ำค่าสุดจะประมาณนำมาพรรณนาความได้เลย

    นับเป็นเวลากว่า ๔ ปี ที่พระวิริยังค์ ได้อยู่อุปัฏฐากรับใช้ใกล้ชิด “หลวงปู่มั่น ภูริทตฺตเถระ” และที่เคยได้อุปัฏฐากรับใช้ “พระอาจารย์กงมา จิรปุญฺโญ” ผู้ที่ท่านนับถือว่าเป็น พระอาจารย์องค์แรก เป็นเวลา ๘ ปี รวมเป็นเวลากว่า ๑๒ ปี ท่านได้ใช้โอกาสที่ได้รับนี้ พยายามศึกษาพระธรรมวินัย ข้อวัตร และหลักการปฏิบัติสมาธิ ทั้งอย่างหยาบ อย่างละเอียด ตื้น ลึก หนา บาง จนเป็นที่แน่ใจแล้วในหลักการและแนวทางการปฏิบัติ จึงได้กราบลาพระอาจารย์แสวงหาความวิเวกส่วนตัวตามแต่โอกาสจะอำนวย แม้พระอาจารย์ก็ให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่เช่นกัน วิชาสมาธินี้ เป็นวิชาที่เลิศและประเสริฐโดยแท้ แต่หากจะรู้เพียงคนสองคนแม้เป็นสิ่งที่มีค่ามากเพียงใด ก็คงต้องหายไปจากโลกนี้ไปสักวัน เมื่อมานึกถึงสิ่งนี้หลวงพ่อวิริยังค์ ก็บังเกิดจิตเมตตาอยากที่จะเผยแผ่วิชาสมาธินี้ให้แก่ชาวโลก สมดังปณิธานที่มั่นคงตั้งแต่ยังเป็นเด็ก ในระหว่างปี พ.ศ.๒๕๒๙ – พ.ศ. ๒๕๓๔ ท่านได้พัก ณ วิทยาลัยสงฆ์น้ำตกแม่กลาง (วัดเทพเจติยาจารย์ ในปัจจุบัน) อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ ทำให้ท่านได้มีเวลาทบทวนหลักการต่าง ๆที่ได้เคยไตร่ถามอัตถปัญหาสมาธิ พร้อมทั้งคำแนะนำจากหลวงปู่มั่น ภูริทตฺตเถระ จึงได้เขียนเป็นตำราสมาธิขึ้นมา เรียกชื่อว่า “หลักสูตรครูสมาธิ” เป็นจำนวนทั้งสิ้น ๓ เล่ม โดยรวมหลักการปฏิบัติอันเป็นทฤษฎี นับตั้งแต่ขั้นพื้นฐาน ขั้นกลาง และขั้นสูง ตามลำดับ อันแพร่หลายไปทั่วประเทศไทยแล้วกว่า ๑๑๐ สาขา ในปัจจุบัน (พ.ศ.๒๕๕๗) ภายใต้นาม “สถาบันพลังจิตตานุภาพ” และ ขยายไปยังต่างประเทศถึง ๘ สาขา ทั้งใน ประเทศแคนาดา และสหรัฐอเมริกา >>>>>>>มีพระเกศาหลวงปู่มาบูชาเป็นมงคลด้วยครับ *******บูชาที่ 375 บาทฟรีส่งems( ......อนึ่งเกศาหลวงปู่ผมได้รับมอบจากพระที่เคยไปอยู่จำพรรษา 14 พรรษากับหลวงปู่ตั้งเเต่หลวงปู่ยุังไม่เเก่มากครับ SAM_3243.JPG SAM_7034.JPG SAM_7036.JPG SAM_7038.JPG SAM_2209.JPG
     
  17. Somchai 2510

    Somchai 2510 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2019
    โพสต์:
    1,740
    ค่าพลัง:
    +125
    รายการที่ 692 เหรียญรุ่นพิเศษห่วงตันกรรมการอุปถัมถ์หลวงปู่ทองพูล สิริกาโม พระอรหันต์เจ้าวัดป่าภูกระเเต(วัดสามัคคีอุปถัมถ์) อ.เมือง จ.บึงกาฬ เหรียญสร้างปี 2556 เนื้อตะกั่ว มีตอกโค๊ตตัวเลข 1122 เเละโค๊ตอักษร ร หลังเหรียญ เหรียญใหม่ไม่เคยใช้ มาพร้อมกล่องเดิม
    416-8255.jpg
    ประวัติโดยย่อ หลวงปู่พระครูสิริธรรมวัฒน์ (พระอาจารย์ทองพูล สิริกาโม)
    วัดสามัคคีอุปถัมภ์ ( วัดภูกระแต ) อ.บึงกาฬ จ.หนองคาย
    414-1d8b.jpg
    ท่าน อาจารย์ทองพูล สิรกาโม เป็นพระกรรมฐานรุ่นแรก แห่งกองทัพธรรมสายท่านอาจารย์มั่น ภูริทัตตะเถระ โดยพระเถระรุ่นนี้ มีพระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ หลวงปู่คำตัน พระครูอุดมศีลวัฒน์ วัดป่าสถิตย์ธรรมมาราม พระครูปัญญาวรากร วัดป่าวิเวกพัฒนาราม โดยเฉพาะท่านอาจารย์ทองพูลกับท่านอาจารย์จวน ทั้ง 2 องค์ มีความสนิทสนมกันมาก
    ท่านอาจารย์ทองพูล เดิมชื่อหนูพูล นามสกุล เอนไชย เกิดที่บ้านเดื่อศรีคันไชย อำเภอวานรนิวาส จังหวัดสกลนคร บิดาชื่อนายเคน มารดาชื่อนางสุภี เป็นบุตรคนที่ 5 ในจำนวนพี่น้องทั้งหมด 7คน
    ตั้งแต่วัยเด็กท่านอาจารย์ทองพูลมีลักษณะนิสัยสุขุมเยือกเย็น พูดน้อย อ่อนน้อมถ่อมตน อยู่ในโอวาทของพ่อแม่ญาติพี่น้อง มีจิตเมตตา ท่านอาจารย์ได้บรรพชาอุปสมบทครั้งแรก เป็นพระสงฆ์ในฝ่ายมหานิกายที่วัดท่าเดื่อ โดยมีพระอุปัชฌาย์สิงห์ (ปัจจุบันคือ พระครูนรสีสาสน์ธำรง รองเจ้าคณะอำเภอวานรนิวาส)
    การบวช ครั้งนั้นเป็นการบวชในงานบุญประเพณีของผู้ที่ท่านอาจารย์คุ้นเคย และต่อมาท่านอาจารย์ทองพูลได้พบกับพระอาจารย์สีโห เขมโก ซึ่งเป็นศิษย์ของท่านอาจารย์หลวงปู่มั่น และเป็นพระเถระรุ่นเดียวกับหลวงปู่เทสก์, หลวงปู่ขาว, หลวงปู่ฝั้น โดยท่านอาจารย์ทองพูลได้เปลี่ยนนิกายใหม่เป็นฝ่ายธรรมยุต โดยมี่พระอาจารย์เจดีย์(จูม พนฺธุโล) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูสมุห์สวัสดฺ เป็นพระกรรมวาจาจาร มีฉายาว่า สิริกาโม เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2495
    นับ ตั้งแต่การอุปสมบท ท่านอาจาย์ทองพูล ได้ตั้งจิตแน่วแน่ในการปฏบัติธรรมตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า และถึงขั้นที่เรียกได้ว่ามอบกายถวายชีวิต โดยการออกธุดงค์หาสถานที่วิเวกเพื่อเร่งความเพียร บำเพ็ญภาวนา เพียงพรรษาแรกท่านอาจารย์ได้ถือเนสัชชิธุดงค์ คือการไม่นอน ไม่ยอมให้หลังแตะกับพื้นตลอดพรรษาและอดอาหารควบคู่กันไป ท่านอาจารย์ทองพูลยังป่วยอาพาธเป็นไข้มาเลเรียนอย่างหนัก แต่ท่านอาศัยธรรมโอสถขันติธรรมเพ่งเวทนาที่เกิดขึ้นจนไข้มาเลเรียหายไปเอง
    สำหรับ วัดสามัคคีอุปถัมภ์แห่งนี้ ท่านอาจารย์ทองพูลได้เดินทางมาในช่วง พ.ศ. ๒๕๐๒ ครั้งแรกยังเป็นแค่ภูดิน อยุ่ทางทิศตะวันตกของตัวอำเภอบึงกาฬ โดยชาวบ้านเรียกภูดินแห่งนี้ว่า ภูกระแต เนื่องจากมีสัตว์พวกกระรอก กระแต รวมถึงสัตว์ป่าอื่นๆ อาศัยอยู่ชุกชุมตามสภาพที่เป็นป่าดงทึบ รกครึ้ม
    เมื่อ ท่านอาจารย์มาถึงบริเวณภูกระแต ในคืนแรกท่านจำวัดใต้ต้นบก และ 3-4 วันต่อมา ชาวบ้านได้ทำเพิงพักนั่งร้าน และกุฎิชั่วคราวแบบง่ายๆ ทำด้วยไม้ไผ่ป่า จากนั้นท่านอาจารย์จึงได้พัฒนาวัดเรือยมาจวบจนถึงปัจจุบัน โดยได้รับแรงศรัทธาสามัคคีร่วมใจจากคณะลูกศิษย์ลูกหาทั้งที่เป็นพระภิกษุ สามเณร และอุบาสก อุบาสิกา
    415-2b97.jpg
    421-5f1a.jpg

    419-debd.jpg

    418-3cf3.jpg

    *****หลวงปู่ละสังขารวันที่ 12 พ.ค.ปี 2558 เวลา 18.59 น. สิริอายุ 83 ปี พรรษาที่ 63 ปี >>>>>>>>>>มาพร้อมพระเกศาหลวงปู่มาบูชาเป็นมงคลด้วยครับ ********บูชาที่ 355 บาทฟรีส่งems SAM_7039.JPG SAM_7040.JPG SAM_7041.JPG SAM_1854.JPG
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 สิงหาคม 2020
  18. Somchai 2510

    Somchai 2510 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2019
    โพสต์:
    1,740
    ค่าพลัง:
    +125
    รายการที่ 693 เหรียญกลมหลวงปู่ทูล ขิปุปปญโญ พระอรหันต์เจ้าวัดป่าบ้านค้อ อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี หลวงปูู่ทูลเป็นศิษย์หลวงปู่ขาว อนาลโย วัดถํ้ากลองเพล เหรียญสร้างปี 2550 เนื้อทองเเดงรมดำ สร้างเนื่องฉลองพระมหาเจดีย์ เฉลิมพระบารมีนวมินทร์ วัดป่าบ้านค้อ ****** ประวัติเเละสาเหตุออกบวชเเละการปฏิบัตธรรมจนบรรลุธรรมชั้นสูงในพรรษาที่ 8เเละคติธรรมของหลวงปู่ทูล(ได้เป็นพระอรหันต์) หลวงปู่ทูลได้เข้าสู่พระอุโบสถ ที่วัดโพธิสมภรณ์ จังหวัดอุดรธานี มี พระธรรมเจดีย์ (จูม) พนฺธุโล เป็นพระอุปัชฌาย์ ท่านได้ตั้งฉายาให้ว่า ขิปฺปปญฺโญ มี พระธรรมบัณฑิต (องค์ปัจจุบัน) เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ท่านเจ้าคุณจันโทปมาจารย์เป็นพระอนุศาสนาจารย์ อุปสมบทวันที่ ๒๗ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๐๔ เมื่ออายุย่างเข้า ๒๗ ปี เมื่ออุปสมบทแล้ว ก็มาจำพรรษาอยู่ที่วัดเขมวนาราม บ้านโนนสมบูรณ์ อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี
    พรรษาที่ ๑ พ.ศ. ๒๕๐๔
    เมื่อเข้าพรรษาในปีนี้ นึกหาข้อวัตรปฏิบัติว่ามีอะไรบ้างที่จะเป็นอุบายในการทำความเพียรให้เต็มเม็ดเต็มหน่วย จึงนึกขึ้นได้ในอุบายหนึ่งว่า สัจจะ ถ้าเรามีสัจจะประจำใจตัวเองแล้ว และยืนหยัดอยู่ในความจริงใจที่ตั้งไว้แล้ว ไม่เป็นผู้โกหกพกลมแก่ตนเอง เราจะต้องเป็นนักปฏิบัติที่
    จริงจัง เราจะมีสัจจะเป็นหลักยืนตัวที่มั่นคง เพื่อไม่ให้การปฏิบัติมีความย่อหย่อนหละหลวม
    เกิดนิมิตเตือนใจ
    >>>>นิมิตเห็นทางเดินจงกรมขวางหน้าอยู่ ๓ เส้น
    ในคืนหนึ่ง ขณะกำหนดจิตให้ลงสู่ความสงบในสมาธิ เกิดนิมิตเห็นทางเดินจงกรมขวางหน้าอยู่ ๓ เส้น ทางเดินจงกรมเส้นที่ ๓ สุดท้ายมีความเตียนสะอาดราบรื่นดี เหมือนกับได้เดินจงกรมทุกวัน แล้วมีเสียงบอกมาว่า ให้กลับออกมาสู่ทางเดินจงกรมสายกลางเสีย ข้าพเจ้าก็กลับเข้ามาเดินจงกรมอยู่ในทางสายกลางทันที
    เมื่อออกจากที่นั้นแล้วก็ธุดงค์ไปเรื่อย ๆ ไปถึงบ้านโคกตังแคน อำเภอสุวรรณคูหา ที่นี่เป็นวัดที่หลวงปู่มหาบุญมีเคยจำพรรษามาแล้ว ๑ ปี มีกุฏิมุงด้วยหญ้าคาเป็นกระต๊อบอยู่หลายหลัง จึงได้พักภาวนาปฏิบัติอยู่ที่นั่น เมื่อปฏิบัติมาได้ประมาณ ๑๐ วัน ก็เกิดนิมิตขึ้นมาอีก ในคืนนั้น ขณะทำสมาธิมีความสงบแล้วเกิดนิมิตขึ้น ปรากฏเห็นเป็นจักรเย็บผ้าคันหนึ่งเย็บผ้าได้เอง ไม่มีคนอยู่ที่นั่น เห็นผ้าที่เย็บเสร็จแล้วไหลออกมาเป็นตัว ๆ จากนั้น จิตก็ถอนออกจากสมาธิมา ปรากฏว่าจิตมีลักษณะหวิว ๆ เกิดขึ้น ความคิดความรู้ในแง่ต่าง ๆ ไม่ทราบว่าเกิดขึ้นมาได้อย่างไร ไม่ว่าทางโลกหรือทางธรรม จะรู้ขึ้นอย่างพิสดารอย่างกว้างขวาง เหมือนกับว่าใครจะถามปัญหาอะไรก็จะตอบปัญหานั้นได้ทั้งหมด ไม่ว่าปัญหาในทางโลกหรือทางธรรม จากนั้น ก็ไปบังคับให้เพื่อน ๆ ที่ไปด้วยกันถามปัญหา เมื่อเพื่อนถามปัญหานิดเดียวก็ตอบปัญหานั้นไปอย่างยืดยาว จนเพื่อนเกิดความรำคาญ เมื่อฉันอาหารเสร็จ เพื่อนก็หนีจากกุฏิเข้าป่าไปเสีย ความอยากพูดธรรมะให้ใคร ๆ ฟัง และอยากตอบปัญหาที่คนถามก็ฟุ้งอยู่ตลอด จนภาวนาปฏิบัติไม่ได้เลย แต่ละวันต้องเดินรอบวัดเพื่อหาคนมาฟังเทศน์ ในวันหนึ่ง มีโยมผู้ชายเอาน้ำอ้อยมาถวาย จากนั้น ก็อธิบายธรรมะให้ฟัง ไม่รู้ว่าธรรมะที่นำมาอธิบายนั้นเกิดจากอะไร คำพูดนั้นไหลติดต่อกันเป็นเรื่องเป็นราวต่อเนื่องกันตลอด เขาจะลากลับบ้านก็ไม่ให้เขากลับ ให้นั่งฟังเทศน์ต่อไปจนค่ำมืดจึงปล่อยเขาไป จากนั้น เขาก็ไม่มาให้เห็นหน้าอีกเลย คงจะเข็ดหลาบต่อพระบ้าน้ำลายนี้ไปอีกนาน
    จากนั้น มาถึงวันพระ ๘ ค่ำ มีคนออกมาส่งอาหารประมาณ ๑๐ กว่าคน เมื่อฉันเสร็จแล้ว มีโยมคนหนึ่งพูดขึ้นว่า หมู่กระผมไม่ได้ฟังเทศน์จากครูบาอาจารย์มานานแล้ว จึงขออาราธนาท่านครูบาเทศน์ให้หมู่กระผมฟังด้วย ครูบาที่นั่งเป็นหัวหน้าพูดกับโยมว่า นี่โยม อาตมาทั้งสองเพิ่งบวชใหม่ เทศน์ไม่เป็นหรอก ให้พากันกลับบ้านเสีย ไปหาฟังเทศน์องค์อื่นก็แล้วกัน เมื่อโยมกลับบ้านไปแล้ว ข้าพเจ้าจึงได้ถามกับเพื่อนว่า ทำไมครูบาไม่เทศน์ให้โยมฟัง ครูบาตอบว่า ผมเทศน์ไม่เป็น ข้าพเจ้าพูดว่า ถ้าเทศน์ไม่เป็น ทำไมไม่บอกให้ผมเทศน์เล่า ครูบาว่า ผมลืมไป ๆ คอยวันพระหน้าก็แล้วกัน จากนั้นมาอีก ๗ วัน ก็ถึงวันพระ ๑๕ ค่ำ ก็มีคนไปส่งอาหารเท่าเดิม เมื่อฉันเสร็จแล้ว ครูบาพูดว่า โยม อยากฟังเทศน์ไหม ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าอยากฟัง ครูบาพูดว่า ถ้าอยากฟังก็นิมนต์ให้ครูบาทูลท่านเทศน์ให้ฟังก็แล้วกัน จากนั้น โยมก็อาราธนาธรรม ข้าพเจ้าก็เริ่มแสดงธรรมในหัวข้อว่าด้วย กุสลาธัมมา อกุลสาธัมมา แล้วก็ขยายความออกไปอย่างพิสดารและกว้างขวาง ไม่ทราบว่าตัวเองพูดไปได้อย่างไร คำพูดนั้นจะไหลต่อเนื่องไม่ขาดวรรคตอน เทศน์นานประมาณ ๑ ชั่วโมง จึงยุติลง จากนั้น โยมผู้ชายก็คลานเข้ามาหาแล้วจับเอาฝ่าเท้าของข้าพเจ้าใส่หัวแล้วพูดว่า ผมเคยฟังเทศน์ครูบาอาจารย์มาหลายองค์ แต่ละองค์แสดงธรรมไม่ได้ดีอย่างนี้เลย นี่ครูบาเพิ่งบวชมาเพียง ๑ พรรษา ยังแสดงธรรมได้ดีขนาดนี้ เมื่อครูบาบวชต่อไปได้หลายปี คงจะยิ่งแสดงธรรมไม่มีใครเทียบได้ ทุกคนที่มาก็ต้องยอมรับว่าครูบาทูลแสดงธรรมได้ดีมาก แม้ครูบาที่ไปด้วยกันก็ยอมรับว่าเทศน์ดีเป็นพิเศษ ไม่เคยได้ยินครูบาอาจารย์องค์ใดเทศน์กุสลา อกุสลา ได้ดีขนาดนี้ จากนั้น ก็เลิกลากันไป

    *******พรรษาที่ ๒ พ.ศ. ๒๕๐๕
    เมื่อออกธุดงค์ในที่ต่าง ๆ พอสมควรก็ถึงเวลาเข้าพรรษา ปีนี้ ไปจำพรรษาที่ยอดทอน อำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย มีพระเณรจำพรรษารวมกัน ๑๐ รูป ที่แห่งนี้เป็นป่าใหญ่ มีสัตว์อาศัยอยู่นานาชนิด เช่น เสือ วัวป่า หมูป่า เก้ง กวาง และสัตว์อื่น ๆ อีกมากมาย เมื่อข้าพเจ้าเข้าไปในที่นี้ครั้งแรก พระเณรองค์ที่ท่านเคยอยู่ก่อน ท่านรู้จักสถานที่ดี ว่าที่แห่งไหนมีเสือชุกชุม ท่านก็จัดให้ไปอยู่ในที่แห่งนั้น ที่นั่นห่างจากหมู่คณะไปไกลประมาณ ๒ กิโลเมตร เมื่อถึงเวลาจะไป ได้ยินเสียงครูบากระซิบบอกเณรว่า ให้ปิดเป็นความลับนะ ดูซิว่าพระกรรมฐานจะเก่งขนาดไหน เมื่อข้าพเจ้าได้ยินคำนี้ก็แปลกใจ จึงเข้าไปถามว่า พูดเรื่องอะไรกัน แต่ครูบาและเณรก็พูดบ่ายเบี่ยงไปอย่างอื่นว่า ไม่หรอก ปีนี้มีพระกรรมฐานที่เด็ดเดี่ยวกล้าหาญ ดูซิว่าจะภาวนาเก่งขนาดไหน เมื่อได้เวลา มีเณรไปส่งให้ถึงที่ ที่นั่นเรียกว่าถ้ำจันใด อยู่ใกล้กันกับถ้ำโคกฮอม มีแคร่อยู่ตัวหนึ่ง มีทางเดินจงกรมพร้อม เมื่อจวนเวลาค่ำ เณรก็ลากลับ แล้วมีคำสั่งแปลก ๆ ออกมาว่า ครูบา ๆ ในคืนนี้ให้อยู่ตลอดคืนนะ อย่าวิ่งหนีกลางคืนก็แล้วกัน ก็ยังคิดแปลกใจว่าทำไมเณรจึงพูดออกมาอย่างนี้ จากนั้น ก็เตรียมสถานที่ให้เรียบร้อย แล้วเดินจงกรมต่อไป ใจมีความวิเวกวังเวงในการปฏิบัติไม่จืดจาง พอพลบค่ำตะวันตกดินไปแล้ว ได้ยินเสียงเสือคำรามขึ้นเป็นช่วง ๆ เมื่อตัวหนึ่งร้องขึ้น ตัวต่อไปก็ร้องส่งเสียงหากัน สัตว์น้อยใหญ่ในที่แห่งนั้นพากันเก็บตัวเงียบหมด บรรยากาศในความมืดก่อให้เกิดความระวังตัวมากขึ้น เสียงเสือก็ร้องใกล้เข้ามาทุกที มีความรู้สึกว่าตัวเองมีความกลัวเสือเกิดขึ้น ในขณะนั้น จึงได้ตั้งสัจจะอธิษฐานภายในใจว่า ถ้าข้าพเจ้าเคยทำบาปกรรมกันมากับเสือเหล่านี้ ข้าพเจ้าพร้อมที่จะชดใช้กรรมที่ทำมาแล้ว ถ้าไม่เคยสร้าง
    เวรกรรมต่อกันเอาไว้ ก็อย่าให้เสือมาทำอันตรายให้แก่ข้าพเจ้าเลย จากนั้น ก็เข้าที่ภาวนาปฏิบัติต่อไป ในคืนนั้น จิตไม่สามารถรวมสงบลงได้เลย เพราะเสือร้องครวญครางห่างตัวไม่ไกลนัก

    >>>>>>>>เสือโคร่งใหญ่ให้กำลังใจ
    เมื่อออกพรรษาแล้ว ได้ไปทำกระต๊อบเป็นซุ้มใบไม้อยู่ข้างนอกถ้ำ ที่นั่นเป็นลานหินที่เรียบราบ มีทรายอ่อน ๆ เหมาะสำหรับการเดินจงกรมมากทีเดียว เมื่ออยู่ภาวนาที่นี่ได้ประมาณ ๑๐ วัน ในวันหนึ่ง เวลาประมาณ ๕ โมงเย็น มีนายพรานป่า ๓ คน หาบสัมภาระลงมาจากเขาใหญ่ เข้ามาหาแล้วพูดออกมาอย่างรีบร้อนลุกลี้ลุกลนเหมือนคนหนีภัยว่า ครูบา ๆ รีบเก็บของเร็วเข้า ก่อนที่มันจะมืดค่ำ จึงถามเขาว่ามีเรื่องอะไรที่จะให้อาตมาเก็บของ นายพรานพูดว่า วันนี้เสือโคร่งใหญ่ตัวเก่ามาที่นี่อีกแล้ว เสือตัวนี้เคยกินคนแถบภูฟ้าภูหลวงมาแล้วหลายคน ถ้าเห็นคน มันจะกินทั้งหมดไม่ไว้หน้าเลย เสือตัวนี้เคยมาที่นี่ปีละครั้ง ได้พบเห็นรอยใหม่ ๆ ในวันนี้เอง ถ้ามันมาในถิ่นนี้ ก็จะมาร้องเล่นที่กองทรายที่ครูบาอยู่นี่ทุกปี หมู่ผมจึงจะมารับเอาครูบาหนีจากที่นี่ไปก่อน เมื่อมันหนีไปจึงกลับคืนมาใหม่อีกก็ได้ ภายใน ๕ วันนี้ มันก็จะหนีจากถิ่นนี้ไป ข้าพเจ้าจึงตัดสินใจพูดกับนายพรานป่าไปว่า อาตมาไม่หนี มันจะมาที่นี่ก็ให้มา มันจะกินก็ยอมให้มันกิน เมื่อได้ทำกรรมต่อกันเอาไว้ ก็ให้มันกินเป็นอาหารเสีย ให้สิ้นเวรสิ้นกรรมต่อกันไป นายพรานก็ไม่ยอมฟังเสียงที่เราพูดแต่อย่างใด พากันเข้ามาเก็บเอาบาตร เก็บเอากลดจะพาหนีไปให้ได้ เขาพูดว่า ถึงยังไง ก็ต้องให้ชีวิตปลอดภัยไว้ก่อนเถอะครูบา ข้าพเจ้าก็ทำท่าดุว่า อาตมาไม่ใช่พระกรรมฐานผู้กลัวตาย ถ้ากลัวตายจะมาอยู่ในที่นี่ทำไม เสือโคร่งจะกินอาตมาในคืนนี้ก็ให้มันกิน
    ไปซิ เอาเถอะนะ ถ้ากรรมเวรไม่เคยกระทำต่อกันมา เสือก็ไม่ทำอะไรให้แก่อาตมาแต่อย่างใด เมื่อนายพรานอ้อนวอนข้าพเจ้าไม่สำเร็จก็พากันกลับไป
    พอตกค่ำตะวันลับแสง ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางใจ เริ่มจะกลัวเสือขึ้นมา บรรยากาศในป่าใหญ่ก็ดูเหมือนผิดปกติทั้งหมด แสงเดือนที่เคยมีแสงสว่างเจิดจ้าเหมือนกับว่าเป็นแสงมืดสลัวไป สัตว์ป่านานาชนิดที่เคยร้องประสานเสียงกัน แต่ในวันนั้น สงบเงียบเหมือนไม่มีสัตว์ในถิ่นนั้นเลย เมื่อตกค่ำเข้าจริง ๆ สิ่งที่ทำให้เราเพลิดเพลินเจริญใจ ก็ทำให้เราเกิดความวิตกกังวล มองไปเห็นก้อนหินและพุ่มไม้ก็เข้าใจว่าเป็นเสือไปทั้งหมด หูได้ยินเสียงใบไม้กิ่งไม้หักหล่น ก็นึกว่าเสือเข้ามาหาตัวเอง เพราะนายพรานเขาบอกว่า เวลาประมาณไม่เกิน ๓ ทุ่ม เสือตัวนี้จะมาวิ่งเล่นร้องคำรามอยู่ในที่แห่งนี้ นี่เวลาก็ประมาณ ๒ ทุ่มแล้ว ความกลัวและความกล้ารู้สึกว่ามีเท่า ๆ กัน สัญญาเก่าอีกอย่างหนึ่งในสมัยเป็นเด็ก ผู้เฒ่าเล่าให้ฟังว่า เมื่อเวลาเสือโคร่งใหญ่จะออกไปหากินในทางทิศไหน ก็จะมีลมพัดผ่านไปล่วงหน้า เพื่อเป็นสัญญาเตือนสัตว์ทั้งหลายให้รู้ตัวเอาไว้ สัตว์ที่ยังไม่ถึงแก่ความตายก็จะได้กลิ่นเสือ แล้วหาที่หลบซ่อนตัวในที่ต่าง ๆ ให้ปลอดภัย สัตว์ตัวไหนจะเป็นอาหารเสือ สัตว์ตัวนั้นก็จะไม่ได้กลิ่นเสือเลย นี่เป็นอาถรรพ์ลางบอกเหตุให้แก่สัตว์ทั้งหลาย ในขณะที่ข้าพเจ้าเดินจงกรมอยู่ ก็ปรากฏว่า มีลมพัดผ่านเบา ๆ เรี่ยราดมาตามใบหญ้า ก็เกิดสัญญาความจำ คำพูดของผู้เฒ่าเข้ามาฝังใจว่า เสือใหญ่ตัวนี้กำลังเดินเข้ามายังสถานที่เราอยู่นี้แล้ว เมื่อเสือเห็นเรา ก็จะกระโจนกัดกินเป็นอาหารทันที ถ้าคิดว่าจะหนีไปจากที่นี่ ก็คิดละอายตัวเองว่า ทำไมพระกรรมฐานจึงขี้ขลาดกลัวตายไม่ละอายหมู่เทวดาบ้างหรือไง เราเป็นพระผู้อุทิศตัวไว้แล้วในพระพุทธศาสนา ชีวิตจะเป็นอย่างไร กรรมเป็นผู้ตัดสินให้เอง เมื่อเรามาถึงจุดนี้แล้ว จะถดถอยตัวออกไปไม่ได้เลย จะเป็นตายร้ายดีอย่าไร ก็ขอมอบกายถวายชีวิตนี้เพื่อบูชาคุณพระพุทธเจ้า บูชาคุณพระธรรม และบูชาคุณพระอริยสงฆ์ จึงได้อธิษฐานว่า ถ้าหากเราเคยได้ทำกรรมเวรกับเสือตัวนี้มาแล้ว ก็ให้เสือกินเราเป็นอาหารไปเสีย และให้หมดกรรมหมดเวรต่อกันไป ถ้าไม่เคยทำกรรมต่อกันเอาไว้ ก็ขออย่าให้เสือตัวนี้ทำอะไรแก่ข้าพเจ้าได้เลย ดังคำว่า ธมฺโมหเว รกฺขติ ธมฺมจาริ ธรรมย่อมตามรักษาผู้ประพฤติธรรม ปฏิบัติธรรมกรรมยังไม่ถึงที่สุดย่อมผ่านพ้นไปได้ เมื่อมีปัญญาคิดได้อย่างนี้แล้ว จึงเกิดกำลังใจขึ้นมาและมีความกล้าหาญภายในใจอย่างเข้มแข็ง พร้อมที่จะเผชิญเสือโคร่งตัวนี้ได้อย่างมั่นใจ
    อย่างไรก็ตาม เราจะนั่งสมาธิภาวนาอยู่ที่นี่ก่อนเสือจะมาถึง ที่นี่มีช่องทางเดียวที่เสือตัวนี้ขึ้นลงไปมาเป็นประจำ ถ้าเราจะนั่งหันหน้าไปที่ช่องทางที่เสือจะมา ก็คิดว่าจะอดลืมตาดูไม่ได้ ถ้าจะนั่งหันข้างออก ก็จะอดชำเลืองตาไปดูไม่ได้เช่นกัน จึงตัดสินใจนั่งหันหลังให้กับช่องทางที่เสือจะขึ้นมาเสีย เมื่อมันขึ้นมาเห็นเรา จะได้กระโดดคาบคอเอาไปกินเป็นอาหารทันที
    ในขณะนั่งสมาธิอยู่นั้น ได้ตั้งใจไว้ว่า การนั่งสมาธิครั้งนี้ อาจจะได้นั่งเป็นครั้งสุดท้ายของชีวิตก็เป็นได้ เมื่ออธิษฐานจิตเรียบร้อยแล้วก็ตั้งใจนึกคำบริกรรมต่อไป เมื่อจิตมีความสงบพอ
    สมควร ก็หยุดคำบริกรรมเอาไว้ แล้วกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกเอาไว้ไม่ให้เผลอ เมื่อกำหนดดูลมหายใจในความรู้สึกว่า มีความละเอียดเต็มที่ สติกับผู้รู้มีความสัมพันธ์กันอย่างสนิทละเอียด จนถึงขั้นมีความละเอียดเต็มที่ จากนั้น จิตก็ลงสู่ความสงบอย่างเต็มภูมิ เมื่อจิตถอนออกจากสมาธิ เวลาก็ประมาณตี ๒ คิดว่าเสือโคร่งใหญ่คงไม่มาที่นี่แล้ว จากนั้น ก็ไปภาวนาอยู่ในกลด ใช้ปัญญาพิจารณาในสัจธรรมให้ต่อเนื่องกัน เมื่อสว่างแล้ว เพื่อความมั่นใจ จึงได้เดินไปดูในช่องทางที่เสือเคยขึ้นมา พุทโธ่เอ๋ย รอยเสือโคร่งใหญ่ตัวนั้น ห่างจากตัวเราเพียง ๓ เมตรเท่านั้น คิดว่าเสือตัวนี้คงยืนดูตัวเราในขณะที่เราทำสมาธิอยู่นั่นเอง จากนั้น ก็เกิดความมั่นใจในตัวเองเป็นอย่างมากว่า ชีวิตนี้เราจะไม่ตายเนื่องจากเสือกินแน่นอน และเชื่อมั่นอย่างสนิทใจว่า พระธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรมอย่างฝังใจ จากนั้น ก็ออกบิณฑบาตตามปกติ ขณะที่ออกเดินบิณฑบาต ก็ไปพบกับนายพรานกลุ่มเดิมเดินมาอย่างรีบร้อน มีอาวุธครบมือ เมื่อเห็นหน้าข้าพเจ้า เขาพูดว่า แหม กระผมนอนไม่หลับทั้งคืน คิดเป็นห่วงครูบามาก คิดว่าเสือโคร่งคาบเอาครูบาไปกินแล้ว หมู่ผมจึงพากันตามขึ้นมาดู
    นายพรานพูดว่า เมื่อคืนนี้ เสือโคร่งใหญ่ตัวนั้น ได้เข้าไปเอาควายในหมู่บ้านมากินอยู่ที่ดานอีสุกนี้เอง ที่นั่นห่างจากที่ข้าพเจ้าอยู่ประมาณ ๑๕ เส้นเท่านั้น จึงได้บอกกับนายพรานไปว่า เมื่อคืนนี้ เห็นรอยเสือเข้ามาหาเช่นกัน จากนั้น ก็ลงไปบิณฑบาต ส่วนนายพรานก็กลับบ้านไป ต่อมา หลังจากออกพรรษาแล้ว ข้าพเจ้าก็ลาหมู่คณะไปธุดงค์ในที่ต่าง ๆ ส่วนใหญ่จะไปตาม
    บ้านนอกที่ห่างไกลความเจริญ ค่ำที่ไหนก็นอนที่นั่น ไม่หวั่นกลัวต่อความตายแต่อย่างใด
    ในคืนหนึ่ง ขณะที่ภาวนาจนจิตมีความสงบได้ที่แล้ว เกิดนิมิตขึ้นมา ปรากฏเห็นภูเขาสูงต่อหน้า เป็นหน้าผาสูงชันจนมองสุดสายตา ความยาวก็ประมาณ ๑ กิโลเมตร มีฝูงชนเป็นจำนวนมากกำลังปีนป่ายอยู่หน้าผานั้น แล้วมีเสียงประกาศมาว่า ใครมีความสามารถปีนป่ายขึ้นไปตามหน้าผานี้ได้ ผู้นั้นจะข้ามกระแสของโลกนี้ไป คนทั้งหลายเมื่อได้ยินเสียงประกาศนี้ ก็พากันกระโดดปีนป่ายตามหน้าผานั้นเป็นทิวแถว กระโดดขึ้นทีไรก็ตกลงมาอยู่ที่เดิม ไม่เห็นใครปีนป่ายขึ้นไปได้สักคนเดียว ในขณะนั้น ตัวข้าพเจ้ามีความมั่นใจเต็มที่ว่า เรามีความสามารถปีนป่ายขึ้นไปตามหน้าผานี้ได้อย่างแน่นอน จากนั้น ก็เดินออกไป เมื่อผ่านฝูงชนเข้าไปถึงหน้าผาแล้ว ก็ยกมืออธิษฐานว่า ถ้าข้าพเจ้าจะถึงที่สุดแห่งทุกข์ในชาตินี้แล้ว ขอให้ข้าพเจ้าปีนป่ายขึ้นไปตาม
    หน้าผาให้ถึงที่สุดเถิด เมื่ออธิษฐานเสร็จแล้วก็กระโดดขึ้นเต็มกำลัง พอมือและเท้าแตะหน้าผาเท่านั้น ปรากฏว่า มือและเท้าเกาะหน้าผาได้อย่างเหนียวแน่น จากนั้น ก็วิ่งขึ้นไปตามหน้าผานั้นอย่างรวดเร็ว เมื่อถึงที่สุดของหน้าผาแล้ว ตาก็มองลงมาข้างล่าง เห็นฝูงชนทั้งหลายร้องเป็นเสียงเดียวกันว่า ช่วยด้วย ๆ บางคนก็ยกมืออนุโมทนาสาธุการ
    เมื่อขึ้นไปถึงสถานที่นั้นแล้ว พบว่าเป็นลานหินที่เรียบราบ แล้วมีเสียงประกาศขึ้นมาว่า ให้ท่านเดินตามทางเล็ก ๆ นี้ขึ้นไป แล้วจะถึงชั้นที่สอง และเดินต่อไปอีกจะถึงชั้นที่สาม เดินขึ้นต่อไปอีกจะถึงชั้นที่สี่ เมื่อถึงชั้นที่สี่นี้แล้ว จะไม่ได้ลงมาเกิดในโลกมนุษย์นี้อีก จากนั้น ข้าพเจ้าเดินตามเส้นทางเล็กนี้ขึ้นไปถึงชั้นที่สอง แล้วเดินขึ้นไปเรื่อย ๆ จนถึงชั้นที่สาม เมื่อขึ้นไปถึงชั้นที่สามแล้ว พบปราสาทชั้นเดียวสวยงามมากอยู่ติดกับริมทางพอดี เมื่อไปถึงที่นี้ ก็มีโยมผู้หญิงคนหนึ่งออกจากปราสาทมาต้อนรับ ผู้หญิงคนนั้นมีความสวยงามมาก อายุก็อยู่ในวัยสาวเต็มที่ กิริยา
    ท่าทางให้ความเป็นกันเองทั้งหมด การนอบน้อมกราบไหว้มีความอ่อนช้อยสวยงาม แล้วพูดออกมาว่า พระคุณเจ้าเดินทางมาเหนื่อย ขอนิมนต์พระคุณเจ้าเข้าพักผ่อนในปราสาทหลังนี้ก่อน ฉันน้ำให้มีความสบายใจก่อนเจ้าค่ะ ขอนิมนต์พระคุณเจ้าได้พักอยู่ที่นี่นาน ๆ ชั้นที่สี่อยู่ใกล้นิดเดียว ขึ้นไปเวลาไหนก็ได้ ข้าพเจ้าได้พูดไปว่า ไม่หรอก อาตมาต้องการจะไปให้ถึงชั้นที่สี่ในขณะนี้เอง ขอบใจนะ อาตมาจะไม่พักที่นี่ จากนั้น ก็ออกเดินทางต่อไป ชั้นที่สี่นี้มีความสูงชันอยู่มาก แต่เส้นทางเดินราบเรียบขึ้นไปเป็นอย่างดี เมื่อเดินขึ้นไปตามเส้นทางนี้ ถึงจะเป็นภูเขาสูงชัน ก็เดินขึ้นไปอย่างสะดวกสบาย ไม่มีความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าแต่อย่างใด เมื่อขึ้นไปถึงชั้นที่สี่แล้ว สภาพรอบด้านมีการเปลี่ยนไป มองไปที่ไหนไม่เห็นอะไรเลย มีแต่ความเวิ้งว้างไปเสียทั้งหมด จากนั้น จิตก็ได้ถอนออกจากสมาธิมา เหมือนกับว่าอยู่ในเหตุการณ์จริง จากนั้น ก็มาใช้ปัญญาพิจารณาในนิมิตที่เกิดขึ้นว่ามีความหมายไปในทางใดและหมายถึงอะไร ก็ใช้ปัญญาพิจารณาได้ความขึ้นมาอย่างชัดเจน เพราะเรื่องนิมิตนั้นเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติส่วนตัวทั้งหมด เป็นนิมิตหมายไปในทาง
    ที่ดี จึงทำให้มีกำลังใจภาวนาปฏิบัติอย่างเต็มที่ พรรษานี้ ตั้งใจเอาไว้ว่าจะมาจำพรรษาที่วัดป่าหนองแซง อำเภอหนองวัวซอ จังหวัดอุดรธานี

    *******พรรษาที่ ๓ พ.ศ. ๒๕๐๖
    เมื่อออกจากภาวนาปฏิบัติในสถานที่ต่าง ๆ มาแล้ว ในช่วงฤดูกาลเข้าพรรษาก็เข้ามาอยู่วัดป่าหนองแซง กับ หลวงปู่บัว สิริปุณโณ เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๖ ปีนั้น มีพระอาจารย์สิงห์ทองเป็นพระเถระผู้ใหญ่จำพรรษาอยู่ด้วย จะขอเล่าประวัติของหลวงปู่บัวให้ท่านรู้ไว้สักเล็กน้อย หลวงปู่บัวท่านเป็นพระมหาเถระผู้ใหญ่ เดิมท่านอยู่จังหวัดร้อยเอ็ด ท่านไม่ได้รับการศึกษาเลย อ่านหนังสือไม่ได้ เขียนไม่เป็น ท่านมีนิสัยชอบภาวนาปฏิบัติธรรมมาแต่วัยหนุ่ม จากนั้น ก็ได้แต่งงานไปตามประเพณีนิยม แต่ท่านก็ภาวนาปฏิบัติธรรมมิได้ขาด ส่วนมากท่านหนักไปในวิธีทำสมาธิเป็นหลักแล้วใช้ปัญญาพิจารณาทีหลัง ดำรงชีพอยู่เป็นฆราวาสจนถึงอายุ ๕๐ ปี ท่านก็ได้ออกบวชเป็นตาปะขาว ติดตามครูอาจารย์ไปหลายที่หลายแห่ง ท่านมีนิสัยที่อ่อนน้อมถ่อมตัว ปรนนิบัติครูบาอาจารย์ด้วยความเคารพ การขานนาคก็ว่าตามครูอาจารย์ด้วยปากเปล่า กว่าจะท่องคำขานนาคได้ก็ใช้เวลาถึง ๓ ปี จึงได้บวชเป็นพระ ท่านมีความตั้งใจในการภาวนาปฏิบัติอย่างจริงจัง ได้ฟังธรรมจากหลวงปู่มั่นเป็นประจำ เมื่อฟังธรรมมาแล้ว ก็พิจารณาในธรรมนั้นด้วยเหตุด้วยผล ผู้ไม่มีความรู้ทางปริยัติมาก่อน ภารภาวนาปฏิบัติย่อมรู้เห็นในสัจธรรมได้ง่าย ต่างกันกับผู้เรียนหนังสือที่มีความรู้มากทีเดียว เพราะปัญญาที่ใช้กับการพิจารณานั้น เป็นปัญญาที่ฝึกฝนออกมาจากใจล้วน ๆ ไม่มีคำว่าปริยัติเข้ามาเจือปนแต่อย่างใด ไม่เกิดความสงสัยลังเลในหมวดธรรมต่าง ๆ ว่าพิจารณาไปอย่างนี้ถูกกับธรรมหมวดใด ไม่ได้เกิดความกังวล ท่านได้เข้าใจในเรื่องของสัจธรรมดี มีปัญญาพิจารณาเรื่องของไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มีความคล่องตัวมาก จะพิจารณาเรื่องอสุภะ หรือพิจารณาเรื่องความตายและสัจธรรมทั้งหลาย เป็นปัจจัตตังเฉพาะตัวท่านเอง นี่เป็นประวัติย่อ ๆ ของหลวงปู่บัว
    เหมือนกันกับพระโปฐิละ แบกตำราพระไตรปิฎกศึกษามาอย่างโชกโชน ธรรมหมวดไหนมีความหมายอย่างไรรู้ไปหมด การแสดงธรรมออกมาในหมวดไหน ก็ทำให้คนอื่นเข้าใจได้ แต่ความรู้ของพระโปฐิละที่เลียนแบบจากผู้อื่นมานั้นแก้ปัญหาให้ตัวเองไม่ได้เลย เพราะพระโปฐิละไม่มีปัญญาความฉลาดเฉียบแหลมในตัวเอง ในคำว่าความรู้ท่วมหัวแต่เอาตัวไม่รอด ก็เป็นในลักษณะนี้ หรือเรียกว่าผู้แบกคัมภีร์เปล่า เมื่อข้าพเจ้าได้อ่านประวัติของพระโปฐิละนี้แล้ว จึงเป็นคติเตือนตัวเองได้เป็นอย่างดี ฉะนั้น การฟังเทศน์เพื่อหาเอาความรู้จากครูอาจารย์นั้น ถ้าหากปัญญาอยู่ในตัวมีความฉลาดอยู่บ้าง ก็พอจะเลือกเฟ้นเอาธรรมะมาปฏิบัติได้ ถ้ามีปัญญาทรามก็จะเป็นเหมือนกับพระโปฐิละนั่นเอง
    ข้าพเจ้าเองชอบอุบายธรรมะของหลวงปู่บัวมากทีเดียว ท่านชอบให้อุบายแก่พระเณร
    สั้น ๆ ต้องการให้พระเณรฝึกปัญญาด้วยตนเอง ท่านชอบให้เป็นผู้ช่างคิดในเหตุผล ฝึกตนให้เป็นนักสังเกต ฝึกการดำริพิจารณาด้วยปัญญาอยู่เสมอ ในวันหนึ่ง หลังจากที่สรงน้ำท่านเสร็จแล้ว ขึ้นไปกราบคอยรับฟังอุบายธรรมะจากหลวงปู่ หลวงปู่ให้ข้อธรรมะบทหนึ่งว่า หมามันมีอารมณ์ชอบเที่ยวตามกาลเวลาก็ไม่ถือว่าเลวมาก แต่ใจคนเรายิ่งเลวกว่าหมาเพราะไม่มีกาลเวลา แหม พอได้ฟังอุบายธรรมเพียงเท่านี้ จึงกระตุกถูกเส้นของพระกรรมฐานจริง ๆ จากนั้นก็กราบลาลงกุฏิไป ทุกองค์มองหน้ากันแทบไม่ติด ไม่รู้ว่าธรรมะข้อนี้โดนหัวใจของใครบ้าง แต่ผู้เขียนนี้โดยเข้าอย่างจังเชียวแหละ ก็ให้เกิดความสำนึกในตัวเองมากขึ้น อย่าให้มันเลยเถิดเกินหมาไป ให้มีความละอายต่อหมาเอาไว้บ้าง ทุกครั้งเมื่อท่านพูดออกมา ไม่ว่าอยู่ในสถานที่ไหน จะเป็นอุบายธรรมออกมาให้ได้ใช้ปัญญาคิดพิจารณาอยู่เสมอ อีกครั้งหนึ่ง พระสององค์มีทิฏฐิไม่ตรงกัน เกิดความขัดแย้งกันเรื่องอะไรไม่ทราบ เมื่อสรงน้ำท่านเสร็จแล้ว ก็พากันขึ้นไปกราบคอยฟังโอวาทจากหลวงปู่ วันนั้น หลวงปู่พูดว่า เอ.. เมื่อคืนนี้ เห็นหมาสองตัวแยกเขี้ยวใส่กัน เท่านั้น ท่านก็หยุดไม่พูดอะไรอีก จากนั้น ก็พากันกราบหลวงปู่แล้วก็ลงจากกุฏิมา
    ในวันลงปาฏิโมกข์ต่อมา หลังจากสวดปาฏิโมกข์เสร็จแล้ว หลวงปู่บัวก็ได้พูดให้สติแก่พระเณรว่า ในวัดนี้ต้องการความสงบ ใครจะมาถกเถียงกันในวัดนี้ไม่ได้ ต่อไปถ้าใครมาขัดแย้งกันในเรื่องใดก็ตาม จะให้ออกจากวัดนี้ทันที ในช่วงนั้นอยู่ในระหว่างเข้าพรรษาด้วย แต่ก็โชคดีไม่มีพระองค์ใดฝืนคำเตือนของหลวงปู่ ทุกองค์มีความตั้งใจภาวนาปฏิบัติอย่างเต็มที่ ในคืนหนึ่ง ข้าพเจ้านิมิตเห็นหลวงปู่บัวเข้ามาหาแล้วพูดว่า ท่านทูล ลงมานี่ จะพาไปเที่ยว เมื่อข้าพเจ้าลงมาแล้ว ก็เดินตามหลังหลวงปู่ไป ในขณะนั้น มีลำธารใหญ่ขวางหน้าอยู่ ลำธารนั้นกว้างประมาณ ๘ เมตร มีฝั่งที่สูงชันมาก ลึกก็ประมาณ ๘ เมตร มีน้ำไหลเชี่ยวมาก มองดูจนสุดสายตา เห็นคนล่องลอยมาตามกระแสน้ำนั้นเป็นจำนวนมาก มีทั้งคนเฒ่าคนแก่หญิงชาย ถูกกระแสน้ำพัดไหลมาเป็นแพ ดูแล้วทุกคนมีความกลัวตายเป็นอย่างมากทีเดียว ทุกคนหวังเอาตัวรอดในชีวิตเพื่อไม่ให้ตัวเองตาย ใครยังมีกำลังดีอยู่ก็กอดเอาผู้มีกำลังน้อยลอยเป็นเรือพาไป ผู้ที่มีกำลังเท่าเทียมกันก็กอดรัดฟัดเหวี่ยงกันไปมา เพื่อตัวเองจะได้อยู่ข้างบน ไม่ว่าหญิงกอดชาย หรือว่าชายกอดหญิงมั่วกันไปหมด บางคนก็ร้องขอความช่วยเหลือจากคนอื่น หลาย ๆ คนพากันปีนป่ายเข้าหาฝั่งเพื่อหาทางขึ้น แต่เกาะฝั่งไว้ไม่อยู่เลยหลุดลอยไป บางคนก็เป็นศพลอยมาน่าอนาถใจ มีทั้งผู้ใหญ่และเด็กถูกกระแสน้ำพัดไป ไม่รู้ว่ากระแสน้ำจะสิ้นสุดกันที่ไหน ต้นทางของน้ำและคนที่ตกลงไปในน้ำนั้น ไม่รู้ว่ามาจากไหน มองไปจนสุดสายตาก็ไม่เห็นที่มาของน้ำและฝูงชนนี้เลย
    ในลำธารนั้นมีไม้ไผ่ลำเดียว ใหญ่ขนาดแขนพาดเอาไว้ หลวงปู่บัวท่านก็เดินไปตามไม้ไผ่นั้นแล้วข้ามไปได้ จากนั้น หลวงปู่ก็หันหน้ากลับคืนมาแล้วกวักมือเรียกว่า ให้รีบข้ามตามผมมาเดี๋ยวนี้ ก็คิดในใจว่า เมื่อหลวงปู่ข้ามไปได้ ทำไมเราจะข้ามไปไม่ได้ จากนั้น ก็ตั้งใจเดินไปตาม
    ลำไผ่นั้น ลำไผ่นั้นวางเฉย ๆ แทนที่จะกระดกไปมา ในขณะที่เดินตามลำไผ่นั้น ไม้ไผ่มีความ
    แข็งแรงมาก ไม่มีความอ่อนแต่อย่างใด การเดินไปมีความทรงตัวดีมาก ไม่มีการเอนเอียงแต่
    อย่างใด ในที่สุด ก็ข้ามไปได้อย่างปลอดภัย เมื่อถึงฝั่งนั้นแล้ว หลวงปู่ถามว่าเห็นอะไรในลำธารนั้นไหม ก็ตอบหลวงปู่ไปว่า เห็นครับ หลวงปู่พูดต่อไปว่า โลกนี้มันเป็นอยู่อย่างนี้ จากนั้น จิตก็ถอนออกจากสมาธิ เมื่อจิตได้ถอนออกจากสมาธิมาแล้ว ได้เรียบเรียงดูเหตุการณ์ของนิมิตที่เกิดขึ้น แล้วใช้ปัญญาพิจารณาดูในความหมายในภาพนิมิตนั้น
    หลวงปู่บัวท่านมีนิสัยไม่พูดมาก แต่ก็ให้อุบายธรรมในวิธีต่าง ๆ เพื่อให้พระเณรได้ใช้ปัญญาพิจารณาด้วยตัวเอง ถ้าผู้มีปัญญาที่ฉลาดก็สามารถนำเอาอุบายธรรมของหลวงปู่มาเป็นอุบายสอนตัวเองได้เป็นอย่างดีทีเดียว
    *******หลวงปู่บอกว่าผ่านทุกข์ให้ได้
    อยู่มาวันหนึ่ง หลวงปู่บัวพูดว่า ทูล เคยนั่งสมาธิ ผ่านทุกข์ หรือเปล่า ตอบท่านไปว่า ขอโอกาส กระผมไม่เคยผ่านเลย ท่านพูดว่า ในคืนนี้ผ่านทุกข์ให้ได้นะ อย่าให้แพ้ผู้หญิงเขา จึงถามหลวงปู่ต่อไปว่า ผู้หญิงที่เขาผ่านทุกข์ได้เป็นใครหลวงปู่ ท่านบอกว่า แม่สายบัวไงล่ะ เขามีความอดทนเป็นอย่างมากทีเดียว ในวันนั้น ข้าพเจ้าได้ไปถามแม่สายบัวดูว่าอุบายผ่านทุกข์ทำอย่างไร แม่สายบัวอธิบายให้ฟังว่า นี่ครูบา การจะผ่านทุกข์ไปได้นั้น เป็นสิ่งที่ยากมาก ต้องเป็นผู้มีขันติ
    อดทนจริง ๆ จึงจะผ่านได้ หลวงปู่บอกให้ดิฉันผ่านทุกข์ครั้งแรกเกือบจะเอาตัวไม่รอด แต่ก็ผ่านไปได้ด้วยน้ำตา คิดว่าชีวิตคงจะสิ้นสุดกันเพียงเท่านี้ ฉันเองเคยคลอดลูกมาแล้ว ๖ คน ความทุกข์ทรมานในการเจ็บปวดนั้น ทุกข์มากทีเดียว ถึงขนาดนั้นน้ำตาก็ไม่เคยออก แต่เมื่อมานั่งภาวนาเพื่อผ่านทุกข์ในคืนแรก ความทุกข์นั้นร้ายแรงกว่าการคลอดลูกจนน้ำตาไหล แต่เมื่อผ่านได้ครั้งหนึ่งแล้ว เกิดมีกำลังใจเชื่อมั่นในตัวเอง ครั้งต่อไปก็ผ่านทุกข์ได้ง่ายขึ้น เมื่อได้ฟังดังนั้นแล้ว ก็คิดขึ้นได้ว่า เขาเป็นผู้หญิงแท้ ๆ ทำไมจึงมีความกล้าหาญถึงขนาดนั้น นี่เราเป็นผู้ชายเต็มตัว ทำไมถึงจะยอมแพ้ต่อผู้หญิงเขา เราเป็นพระกรรมฐานองค์หนึ่ง ทำไมจะผ่านทุกข์ไม่ได้ ในบ่ายวันนั้น ก็ตั้วใจจะเดินจงกรมแต่หัวค่ำ ตกเย็นในวันนั้น ไปสรงน้ำให้หลวงปู่ตามปกติ เสร็จแล้วก็ขึ้นไปรับฟังโอวาทจากท่าน ท่านก็เตือนสติสั้น ๆ ว่า ทุกองค์ ตั้งใจภาวนานะ อย่าเห็นแก่หลับแก่นอน กินมาก นอนมาก พูดมาก เล่นมาก ไม่ดีทั้งนั้น จากนั้น ก็พากันกราบลาหลวงปู่ ข้าพเจ้ายังทำธุระอยู่ที่นั่น เมื่อพระเณรลงไปหมดแล้ว หลวงปู่บัวพูดว่า ทูล ผ่านทุกข์ได้หรือยัง ตอบท่านไปว่า ขอโอกาส ผ่านเมื่อคืนที่แล้วครับ หลวงปู่ก็ได้สอบถามอาการที่ข้าพเจ้าประสบจากการภาวนาผ่านทุกข์ในครั้งนั้น ซึ่งข้าพเจ้าก็ได้เล่าถวายดังที่อธิบายผ่านมาแล้ว เมื่อหลวงปู่ได้รับฟังแล้วก็พูดขึ้นว่า จากนี้ไปให้ผ่านให้ตลอดนะ ผู้ที่ผ่านทุกข์ได้ต้องเป็นผู้มีความกล้าหาญ มีความเข้มแข็งไม่กลัวตาย ให้มีความขยันหมั่นเพียรให้มากขึ้น อย่าให้จิตเป็นหมันดื้อด้านเป็นเหล็กก้นเตา ให้ใช้อุบายปัญญาสอนใจอยู่บ่อย ๆ ใจก็จะค่อยรู้เห็นตามความเป็นจริงได้
    ในวันต่อมา ท่านอาจารย์สิงห์ทองได้พูดขึ้นว่า ใครจะไปฟังเทศน์หลวงปู่ขาว วัดถ้ำกลองเพล วันพรุ่งนี้ ฉันเสร็จแล้วออกเดินทางโดยไม่ต้องขึ้นรถ เมื่อได้ยินคำว่าจะไปฟังเทศน์ของหลวงปู่ขาวเท่านั้น รู้สึกว่า ใจมีความเบิกบานและเอิบอิ่มเป็นอย่างมาก เพราะคิดอยู่ในใจมาหลายวันว่า อยากไปฟังเทศน์หลวงปู่ขาวอยู่แล้ว ในวันต่อมา เมื่อฉันเสร็จแล้ว ก็พากันออกเดินทาง จากวัดป่าหนองแซง ถึงวัดถ้ำกองเพล ระยะทางประมาณ ๑๕ กิโลเมตร เมื่อไปถึงวัด ท่านอาจารย์สิงห์ทองก็พาหมู่คณะไปคารวะหลวงปู่ ซึ่งหลวงปู่ขาวก็ให้ความเมตตาอธิบายธรรมให้ฟัง มีข้อสำคัญที่จำได้ดังนี้ นักปฏิบัติถ้าเอาความตายไว้หลัง การปฏิบัติจะไม่มีอุปสรรคแต่อย่างใด การภาวนามีแต่ความเจริญก้าวหน้าไปด้วยดี ถ้าเอาความตายไว้ข้างหน้า การภาวนาจะหดตัวอยู่ที่เดิม เพราะมีความกลัวตายเป็นเครื่องขัดขวาง จึงไม่กล้าทุ่มเทความพากเพียรลงไปอย่างเต็มที่ จะนั่งสมาธิมีการปวดแข้งปวดขานิดหน่อยก็กลัวตาย เดินจงกรมไม่กี่ชั่วโมงก็กลัวตาย อดนอนผ่อนอาหารมีอาการผ่อนเพลียนิดหน่อยก็กลัวตาย ถ้าเป็นอย่างนี้ จะเกิดความรู้จริงเห็นจริงในธรรมได้อย่างไร ฉะนั้น ทุกท่านอย่าพากันกลัวตายนะ ถ้าทำความเพียรแล้วตาย ก็ให้มันตายไปจะกลัวทำไม นักปฏิบัติถ้ายังมีความกลัวตายอยู่ ใช้ไม่ได้เลย มันต้องมีใจเข้มแข็ง
    กล้าหาญ ตั้งลงไปเลยว่า ถ้ากูไม่ตาย ให้กิเลสตาย ถ้ากิเลสไม่ตาย กูยอมตาย นั่นคือ นักปฏิบัติที่เด็ดเดี่ยวกล้าหาญจริงจัง ถ้าตั้งใจปฏิบัติอยู่อย่างนี้บ่อย ๆ ก็จะรู้เห็นธรรมอย่างแน่นอน ฉะนั้น เราทั้งหลายอย่าเป็นผู้หลอกลวงตัวเอง ต้องทำตัวเป็นคนจริงเอาไว้ สักวันหนึ่ง ก็จะพบความจริงในสัจธรรมแน่นอน เมื่อหลวงปู่เทศน์จบแล้ว ก็พากันกราบหลวงปู่กลับวัดป่า
    หนองแซงตามเดิม ในพรรษานี้ พระอาจารย์สิงห์ทองพาหมู่คณะไปฟังเทศน์ของหลวงปู่ขาวสองครั้ง ไปแต่ละครั้ง ได้อุบายธรรมจากหลวงปู่ขาวมากทีเดียว เมื่อออกพรรษารับกฐินเรียบร้อยแล้ว ก็ได้กราบหลวงปู่บัว ออกภาวนาปฏิบัติในที่ต่าง ๆ ต่อไป
    *******อิทธิบาท ๔ ฝังใจในครั้งนั้น

    หลังจากนั้น ได้ไปพักภาวนาอยู่ที่ห้วยกอกยอดทอน อำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย ในวันหนึ่ง ลงจากศาลาจะไปกุฏิ ได้มองเห็นมดฝูงหนึ่งกำลังช่วยกันทำรูเป็นที่อยู่อาศัย พากันคาบดินขึ้นมาวางรอบปากรูเอาไว้ ข้าพเจ้าก็นั่งพิจารณาดูมดฝูงนั้นด้วยความตั้งใจ พิจารณาว่า มดตัวเล็ก ๆ มันยังรู้วิธีทำที่อยู่เองได้ ทุกตัวมีความสามัคคีพร้อมเพรียงกัน ต่างตัวก็ทำตามหน้าที่ ไม่มีตัวใดพักผ่อนแต่อย่างใด นี้ฉันใด ใจเราถ้ามีความขยันหมั่นเพียรพิจารณาธรรมอยู่
    บ่อย ๆ ใจก็จะมีธรรมเป็นที่พึ่งอย่างมั่นคงได้ เป็นวิหารธรรม คือ ธรรมเป็นที่พักทางใจ ถ้าใจมีธรรมก็จะนำไปสู่ความเจริญก้าวหน้าในการปฏิบัติอย่างรวดเร็ว ฐานของใจก็จะมีความมั่นคง ฉะนั้น ตัวเองก็ต้องมีความขยันหมั่นเพียรให้มากขึ้น ดูมดเป็นตัวอย่างเอาไว้บ้าง มดมีความขยันอย่างไร การภาวนาปฏิบัติของเราก็ต้องมีความขยันอย่างนั้น ในขณะที่เอามดมาเป็นอุบายในการภาวนาอยู่นั้น ได้เกิดความรู้ขึ้นที่ใจอย่างชัดเจนว่า ให้ตั้งมั่นอยู่ใน อิทธิบาท ๔ เมื่อรู้ขึ้นมาอย่างนี้แล้ว กลับนึกไม่ได้เลยว่า อิทธิบาท ๔ มีอะไรบ้าง และมีความหมายเป็นอย่างไร ใช้ความพยายามนึกหาความหมายอย่างเต็มที่ จะนึกเท่าไรก็นึกไม่ออก แต่ก็รู้ตัวอยู่ว่า แต่ก่อนเคยอธิบายเรื่องอิทธิบาท ๔ นี้ ไปสอนคนอื่นมาแล้ว เคยเรียนในตำรามาอย่างคล่องตัว
    แต่บัดนี้ ทำไมจึงนึกไม่ออกเลยว่าอิทธิบาท ๔ คืออะไรบ้าง และมีความหมายอย่างไร นึกไม่ได้เลย ในศาลานั้น มีหนังสือนวโกวาทเต็มตู้ เมื่อขึ้นไปคิดว่าจะเปิดตำราดู ก็เกิดความคิดขึ้นมาว่า พระกรรมฐานอะไรตัดสินใจโดยถือเอาตามตำรา เมื่อคิดได้อย่างนี้ก็เกิดความละอายใจตัวเองว่า ทำไมจึงจะรีบด่วนหาตำรามาอ่าน เพราะความรู้ที่เกิดขึ้นนี้ ได้จากการปฏิบัติ เมื่อยังนึกไม่ได้ก็ใช้ธรรมหมวดอื่นปฏิบัติต่อไปก่อน อย่างไรก็ตาม ก็ยังรู้สึกคับข้องใจอยู่นั่นเอง พยายามนึกคิดอยู่บ่อย ๆ แต่ก็มืดแปดด้าน จะทำกิจวัตรอื่น ๆ อาทีการปัดกวาดลานวัด เป็นต้น ก็ยังคิดนึกหาคำตอบของอิทธิบาท ๔ นี้อยู่ตลอดเวลา แต่ก็นึกหาคำตอบไม่ได้เลย พอตกค่ำมา ในวันนั้นก็เดินจงกรม นั่งสมาธิ คิดหาคำตอบของอิทธิบาท ๔ ตลอดทั้งคืน ก็นึกไม่ออกอยู่นั่นเอง จึงตัดสินใจเด็ดขาดไปว่า ถ้านึกไม่ออกก็อย่าไปนึกเลย จะไปดูตำรามาเป็นเครื่องตัดสินก็ไม่เอา สักวันหนึ่งข้างหน้าคงจะรู้ขึ้นมาเอง แล้วก็ไม่สนใจในคำว่า อิทธิบาท ๔ อีกต่อไป เมื่อภาวนาปฏิบัติไปได้ ๗ วัน ในช่วงนั้น ได้ลืมเรื่อง อิทธิบาท ๔ ไปหมดแล้ว ขณะกำลังเดินจงกรม ใช้อุบายปัญญาพิจารณาเรื่องของขันธ์ ๕ ลงสู่ไตรลักษณ์อยู่นั้น ก็ได้เกิดความรู้ขึ้นมาว่า อิทธิบาท ๔ คือ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา พร้อมทั้งความหมายรู้ขึ้นมาพร้อมกันชั่วพริบตาเดียว สติปัญญาเกิดความรอบรู้ได้อย่างชัดเจน จึงเกิดความมั่นใจในตัวเองว่า จากนี้ไป เราจะใช้ธรรมหมวดนี้เป็นแนวทางปฏิบัติอย่างจริงจัง เมื่อหากใครมีปัญหาลักษณะอย่างนี้เกิดขึ้นแล้วนึกไม่ได้ ก็คงจะวิ่งหาตำรามาอ่านเพื่อให้หายความสงสัยหรือหาถามครูอาจารย์ทันที ถ้าเป็นอย่างนี้ ก็เท่ากับเอาปริยัติมาเป็นเครื่องตัดสินภาคปฏิบัติ คำว่า ตนแลเป็นที่พึ่งของตน ก็หมดความหมายไป

    *******พรรษาที่ ๔ พ.ศ. ๒๕๐๗
    ในพรรษาที่ ๔ นี้ ได้มาจำพรรษาอยู่ที่วัดอรัญญบรรพตกับ หลวงปู่เหรียญ ในพรรษานี้ การภาวนามีความก้าวหน้าเป็นอย่างดี เพราะมีอุบายธรรม คือ อิทธิบาท ๔ มาเป็นหลักในการปฏิบัติของตนเอง คำว่า ฉันทะ คือ ความพอใจ นี้ ก็เป็นข้อสังเกตดูใจได้เป็นอย่างดี เช่น เรามีการพิจารณาในสัจธรรมหมวดใด ก็ต้องดูใจตัวเองก่อนว่า ความพอใจมีในตัวเรามากน้อยเพียงใด ถ้าฉันทะความพอใจมีน้อย ก็ต้องใช้อุบายปลอบใจตัวเองให้เกิดขึ้น เพราะความพอใจนั้น จะเป็นฐานให้กับความขยันหมั่นเพียร และจะทำให้เกิดความจริงจังในการปฏิบัติได้เป็นอย่างดี มีความฝักใฝ่ในความเพียรนั้นให้สม่ำเสมอ มีความตั้งใจ ใช้ความพยายามนั้นอย่างต่อเนื่อง วิมังสา ใช้สติปัญญาครุ่นคิดตรึกตรองในสัจธรรมนั้นอยู่บ่อย ๆ แต่ละวันแต่ละชั่วโมงแต่ละนาที จะให้มีประโยชน์ในการปฏิบัติธรรมแก่ตัวเองให้มากที่สุด จึงได้นับว่าในพรรษานี้ ได้ใช้ปัญญาพิจารณาในอิทธิบาท ๔ ให้สอดคล้องกันเป็นอย่างดี เพราะธรรมทั้งสี่หมวดนี้ มีความเกี่ยวโยงซึ่งกันและกัน จึงเป็นหลักสำคัญที่จะนำมาเป็นอุบายในการปฏิบัติธรรมได้เป็นอย่างดี อิทธิบาท ๔ นี้ ก็อยู่ใน โพธิปักขิยธรรม ๓๗ นั่นเอง ส่วนภาคปฏิบัตินั้นจะเกี่ยวโยงถึงกันทั้งหมด เช่น สติ
    ปัฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ มรรคมีองค์ ๘ ทุกข้อทุกหมวดมีความสำคัญด้วยกันทั้งนั้น เรียกว่า เป็นธรรมที่เกื้อกูลกันทั้งหมด
    เมื่อตั้งอยู่ในธรรมหมวดใดหมวดหนึ่งได้แล้ว ก็จะมีความรอบรู้ในธรรมหมวด
    อื่น ๆ ได้อย่างทั่วถึงกัน เหมือนกับห่วงสายโซ่อยู่ในเส้นเดียวกัน เมื่อจับห่วงโซ่อันเดียวดึงไป ห่วงโซ่อื่น ๆ ก็จะไหลตามกันไปด้วย ธรรมะที่นำมาปฏิบัตินั้น เมื่อตั้งหลักความเห็นชอบไว้ตรง เป็นไปในสัจธรรมที่ถูกต้องแล้ว ธรรมะหมวดอื่น ๆ ก็มารวมตัวอยู่กับปัญญาความเห็นชอบนี้ทั้งหมด การดำริพิจารณาในธรรมใด ก็จะดำริพิจารณาได้อย่างถูกต้องเป็นธรรมทั้งนั้น ตลอดการงานที่จะต้องทำเนื่องด้วยกาย การพูดออกไปทางวาจา การหาเลี้ยงชีพในทางสุจริต เพียรพยายามละจากความชั่วทางกาย วาจา ใจ เพียรพยายามสร้างความดีให้เกิดมีขึ้นจากตัวเอง และเพียรพยายามรักษาความดีนั้นไม่ให้เสื่อมคลาย ตั้งใจระลึกรู้ให้ทันต่อเหตุการณ์ ใจมีความตั้งมั่นอยู่กับความเป็นจริงอย่างแน่วแน่ ใจมีความมั่นคงอยู่กับเหตุและผล ใจยอมรับความจริงตามเหตุปัจจัยนั้น ๆ ว่า เหตุดีย่อมเป็นปัจจัยส่งผลให้ดีด้วย เหตุชั่วย่อมเป็นปัจจัยในผลที่ชั่ว การมีความตั้งมั่นภายในใจได้อย่างนี้ จึงเรียกว่าเป็นสัมมาสมาธิที่มีความมั่นคง เป็นความตั้งใจมั่นไม่มีเสื่อม เป็นความตั้งใจมั่นที่ชอบธรรม ฉะนั้น ในพรรษานี้ การภาวนาปฏิบัติจึงมีความก้าวหน้าเป็นอย่างดีทีเดียว
    เมื่อออกพรรษารับกฐินเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ได้ลาหลวงปู่เหรียญออกไปภาวนาปฏิบัติในที่ต่าง ๆ ต่อไป โดยตั้งใจไว้ว่า จะไปภาวนาที่คำสะโนด บ้านวังทอง อำเภอบ้างดุง จึงได้เดินทางไปเรื่อย ๆ ค่ำที่ไหนก็นอนที่นั่น การเดินทางก็ใช้อุบายปัญญาพิจารณาในสัจธรรมไปด้วย หรือบางครั้งก็ใช้อุบายในวิธีทำสมถะนึกถึงคำบริกรรมภาวนาต่อไป ในครั้งนั้น การเดินทางใช้วิธีเดินเท้า เพราะไม่มีเงินค่ารถ เดินผ่านอำเภอศรีเชียงใหม่ อำเภอท่าบ่อ และเรื่อยมาจนถึงบ้านหนองสองห้อง เข้าเขตอำเภอเพ็ญ ได้ไปพักภาวนาในวัดร้างแห่งหนึ่งที่เรียกกันว่าวัดป่าพระนาไฮ อำเภอเพ็ญ ในคืนหนึ่ง เกิดนิมิตขึ้นอย่างชัดเจนมาก ในขณะที่ภาวนาทำสมาธิ จิตเข้าที่ได้แล้ว ปรากฏเห็นภาพนิมิตเป็นมหาสมุทรอันกว้างใหญ่มองสุดสายตา บนฝั่งที่ข้าพเจ้าอยู่นั้น เป็นคันคูขนาดใหญ่ยาวมากมองจนสุดสายตา บนคันคูดังกล่าวนั้น มีฝูงชนเป็นจำนวนมากหลายล้านคน ยืนแออัดกันอยู่ริมฝั่งมหาสมุทรนั้นอย่างหนาแน่น พร้อมกับมีคลื่นมหาสมุทรขนาดใหญ่ซัดเข้าหาฝั่ง เสียงดังสนั่นหวั่นไหวอยู่ตลอดเวลา ในขณะนั้น ก็มีเสียงประกาศชักชวนให้คนทั้งหลายที่ยืนรออยู่นั้นให้ทราบว่า พวกท่านทั้งหลาย ใครมีความประสงค์จะข้ามน้ำมหาสมุทรไปฝั่งโน้นบ้าง เมื่อข้ามไปได้แล้วจะไม่ต้องกลับมาเกิดในโลกนี้อีก
    เมื่อทุกคนได้ฟังอย่างนั้น ดูมีความขะมักเขม้นกระโดดเต้นไปมา เตรียมตัวที่จะกระโดดลอยข้ามมหาสมุทรนั้นไป จากนั้น ก็พากันกระโดดลงไปด้วยความตั้งใจเป็นอย่างมากทีเดียว เมื่อพากันกระโดดลงไปครั้งใด ก็ถูกคลื่นน้ำมหาสมุทรขนาดใหญ่ซัดเข้ามาหาฝั่งตามเดิม ดูมีความพยายามไม่ลดละ ต่างคนต่างพากันกระโดดหวังจะข้ามน้ำมหาสมุทรไปให้ได้ เสียงที่ประกาศเชิญชวนฝูงชนทั้งหลายให้ข้ามน้ำมหาสมุทรนี้ไป ก็ประกาศกันเป็นระยะ ๆ ต่อเนื่องกันอยู่ตลอด ฝูงชนทั้งหลายก็พากันกระโดดลงเพื่อลอยไปฝั่งโน้นอย่างไม่ลดละ บางคนดูมีลักษณะเหน็ดเหนื่อยมาก เพราะถูกคลื่นมหาสมุทรตีเข้าฝั่งอย่างแรง บางคนก็นอนแผ่หราด้วยความอ่อนเพลีย บางคนก็นั่งกอดเข่าดูน้ำมหาสมุทรแบบหมดอาลัย หลาย ๆ คนที่ถูกคลื่นน้ำมหาสมุทรตีซัดขึ้นมาสู่ฝั่งเดิม ดูแล้วเหมือนหมดกำลังใจที่จะลอยข้ามกระแสผ่านคลื่นมหาสมุทรนี้ไป มีแต่นั่ง ๆ นอน ๆ เดินไปมา เหมือนกับนึกคิดในใจว่า ชาตินี้เราคงข้ามน้ำมหาสมุทรนี้ไปไม่ได้แล้ว ถึงจะมีความอยากข้ามกระแสมหาสมุทรไปฝั่งโน้นก็ตาม เมื่อกำลังเรายังไม่พร้อมก็ยากที่จะข้ามกระแสไปได้ มีคนจำนวนไม่น้อยที่มีความตั้งใจพยายามจะข้ามมหาสมุทรนี้ไป แต่ก็มีคนอีกจำนวนมากที่มายืนดูคลื่นน้ำมหาสมุทรอยู่เฉย ๆ ไม่มีกำลังใจพอที่จะข้ามกระแสไปเหมือนคนอื่นเขา บางคนบางกลุ่มก็แต่งตัวหรูหราเพียงมาดูหมู่คนข้ามกระแสเท่านั้น คนทั้งหมดนี้มีทุกเพศทุกวัย มีทั้งห่มเหลือง ห่มขาว และห่มผ้าธรรมดา พากันมาแออัดตั้งใจจะข้ามน้ำมหาสมุทรนี้ไปให้ได้ ข้าพเจ้าพิจารณาดูแล้ว ก็ดำริในใจว่า เมื่อเขาเหล่านี้ยังมีความตั้งใจพยายามอยู่ อีกไม่นานนักก็จะพากันข้ามน้ำมหาสมุทรนี้ไปได้อย่างแน่นอน
    เมื่อข้าพเจ้าได้นั่งมองดูฝูงชนเหล่านั้นอยู่ ก็เกิดกำลังใจขึ้นมาว่า คลื่นมหาสมุทรเท่านี้ เรามีกำลังว่ายตัดข้ามไปได้แน่นอน ทั้งได้ยินเสียงประกาศว่า ถ้าข้ามน้ำมหาสมุทรไปถึงฝั่งโน้นแล้วจะไม่ต้องกลับมาเกิดในโลกนี้อีก เมื่อได้ยินคำประกาศดังนี้อยู่ ก็ยิ่งมีกำลังใจอยากจะข้ามไปให้ถึงฝั่งโน้นโดยเร็ว จากนั้น ก็ได้ลุกออกไป ทั้งมีความมั่นใจในตัวเองอย่างเต็มที่ จึงเดินผ่าน
    ฝูงชนไปยืนอยู่ริมฝั่ง แล้วยกมือขึ้นอธิษฐานว่า บัดนี้ ข้าพเจ้าจะว่ายน้ำข้ามมหาสมุทรเพื่อไปให้ถึงฝั่งโน้น บารมีที่ข้าพเจ้าได้สร้างมาแล้วในอดีต และบารมีที่ได้สร้างอยู่ในชาติปัจจุบัน ขอจงเป็นพละกำลังให้ข้าพเจ้าได้ว่ายน้ำข้ามมหาสมุทรนี้ไปให้ถึงฝั่งโน้นด้วยเถิด เมื่ออธิษฐานเสร็จแล้วก็กระโดดออกไปเต็มแรง เหมือนตัวข้าพเจ้าได้เหาะลอยไปไกลประมาณ ๔๐ เมตร เมื่อหน้าอกจะแตะกับพื้นน้ำเท่านั้น ก็ปรากฏว่ามีสัตว์ชนิดหนึ่งไม่ทราบว่าเป็นปลาหรือเป็นควายกันแน่ ได้เอาหลังเข้ามาหนุนหน้าอกของข้าพเจ้าเอาไว้ เมื่อหน้าอกลงติดกันกับหลังสัตว์เท่านั้น สัตว์ตัวนั้นก็พาข้าพเจ้าแหวกน้ำไปอย่างรวดเร็ว ตัวข้าพเจ้าก็ใช้มือว่ายน้ำไปด้วย และใช้ขาใช้เท้าถีบยันน้ำไปอย่างแรง ขณะนั้นมีคลื่นมหาสมุทรขนาดใหญ่ตีมาอย่างแรง ข้าพเจ้าก็ใช้กำลังที่มีอยู่ทั้งหมด พร้อมทั้งสัตว์ที่หนุนหน้าอกอยู่ ใช้กำลังแหวกฝ่าคลื่นมหาสมุทรนั้นไป คลื่นน้ำก็แตกกระจายออกไปคนละด้าน เหมือนกับเรือขนาดใหญ่ได้ลอยตัดกระแสคลื่นมหาสมุทรนั้นไป เมื่อผ่านคลื่นมหาสมุทรลูกที่หนึ่งไปแล้ว ก็มีคลื่นมหาสมุทรลูกที่สอง สาม สี่ ห้า และหก สาดซัดเข้ามาหาอย่างแรง แต่ข้าพเจ้าก็ได้ใช้กำลังทั้งหมดว่ายน้ำฝ่าคลื่นมหาสมุทรนั้นไปได้ทั้งหมด เมื่อผ่านกระแสคลื่นมหาสมุทรขนาดใหญ่นี้ไปได้แล้ว ก็มีคลื่นมหาสมุทรลูกเล็ก ๆ ผ่านมาเรื่อย ๆ แต่ก็ไม่สามารถทำให้ข้าพเจ้าเกิดความเหน็ดเหนื่อยแต่อย่างใด
    เมื่อว่ายน้ำมาถึงกลางมหาสมุทรอันกว้างใหญ่นั้นแล้ว จะมองไปทางไหนก็ไม่เห็นฝั่งของมหาสมุทรนั้นเลย แต่ก็มุมานะว่ายน้ำไปเรื่อย ๆ จากนั้น ก็มองเห็นเกาะขนาดใหญ่อยู่ท่ามกลางมหาสมุทรนั้น ห่างจากตัวข้าพเจ้าไปไกลประมาณ ๘ กิโลเมตร แล้วมีเสียงประกาศออกมาว่า อย่าเข้าไปใกล้เกาะนั้นนะ ถ้าเข้าไปใกล้จะถูกกระแสน้ำรอบเกาะดูดเข้าไป เมื่อเข้าไปในเกาะนั้นแล้วจะว่ายน้ำต่อไปอีกไม่ได้ มีแต่จะกลับคืนไปทางเดิมเท่านั้น เมื่อได้ยินเสียงประกาศนั้นแล้ว ก็มีความระวังตัวมากขึ้น เพื่อไม่ให้หลุดเข้าไปในกระแสน้ำของเกาะนั้น จากนั้น ก็ได้ว่ายน้ำหลบไปทางด้านซ้ายมือ แต่ก็ยังถูกกระแสน้ำดูดขาเข้าอย่างแรง ข้าพเจ้าได้ใช้กำลังดีดขาออกอย่างแรงจึงสามารถหลุดออกมาได้ กระแสน้ำดังกล่าวนี้จะไหลเวียนซ้ายวนไปรอบเกาะมีบริเวณกว้างมาก ในกระแสน้ำวนนี้ ดูเหมือนจะมีพลังดึงดูดเป็นเกลียว ถ้าใครหลงเข้าไปในกระแสน้ำนั้นแล้ว ก็จะถูกดึงดูดบิดหมุนเข้าไปสู่เกาะนั้นอย่างรวดเร็วและติดอยู่บนเกาะนั้นชั่วกาลนาน
    เมื่อข้าพเจ้าว่ายน้ำหลบจากเกาะนั้นได้แล้ว มองหาฝั่งก็ยังไม่พบอีก ข้าพเจ้าก็ไม่ลดละความพยายาม ยังว่ายน้ำตัดกระแสน้ำมหาสมุทรนั้นต่อไป ตั้งใจไว้ว่า เมื่อเราว่ายน้ำไปอย่างนี้ไม่หยุด ก็จะถึงฝั่งทางด้านโน้นได้แน่นอน ในชั่วขณะนั้นเอง ข้าพเจ้ามองไปข้างหน้าก็สามารถมองเห็นฝั่งโน้นดูริบหรี่ไกลมาก จึงรีบว่ายน้ำเข้าไปหาฝั่งอย่างรวดเร็ว เมื่อเข้าถึงฝั่งได้แล้ว สัตว์ที่พาข้าพเจ้าว่ายข้ามมหาสมุทรก็หายไป ข้าพเจ้าจึงเดินขึ้นฝั่งตามลำพัง ข้าพเจ้าเดินไปมองหาช่องทางที่จะขึ้นไปบนตลิ่งนั้น ก็พอดีพบกับช่องทางเล็ก ๆ เป็นร่องลึกขอบสูงประมาณเพียงศีรษะคน พอที่จะดินผ่านไปได้หลวมตัวพอดี ๆ ในเส้นทางสายนั้น ปรากฏเห็นรอยเท้าคนทั้งรอยเก่าและใหม่เดินเข้าไปก่อนแล้ว ก็คิดขึ้นในใจว่า ใครกันหนอที่เดินไปก่อนเรา แต่ถึงอย่างไรก็ตามเถอะ คงต้องได้พบกันแน่นอน ข้าพเจ้าจึงเดินขึ้นฝั่งซึ่งเป็นที่ลาดชันสูงขึ้นไป แล้วก็เดินไปตามช่องทาง
    เล็ก ๆ รอยเท้าคนที่เดินไปก่อนแล้วปรากฏเห็นชัดเจนมาก เมื่อเดินไปไม่นานนักก็เป็นที่เวิ้งว้างมองสุดสายตา แล้วมองเห็นปราสาทขนาดใหญ่ชั้นเดียวตั้งอยู่ข้างหน้า ก็คิดว่าผู้ที่เดินไปก่อนเราแล้วนั้น ก็คงจะพบกันในปราสาทหลังนี้ จึงเดินตรงเข้าไปหาปราสาทหลังนั้น เมื่อมองไปอีกทีก็เหลือบเห็นผ้าเหลืองหลายผืนตากเอาไว้ ก็เข้าใจว่ารอยเท้าที่เดินมาก่อนหน้านี้นั้น ต้องเป็นรอยเท้าครูอาจารย์คณะนี้แน่นอน จึงเดินเข้าไปในระยะห่างประมาณ ๔๐ เมตร ก็เห็นพระแก่ ๆ องค์หนึ่ง ยืนมองข้าพเจ้าอยู่ แล้วท่านก็เดินออกมา และข้าพเจ้าก็เดินตรงไปหาท่าน
    เมื่อเข้าไปใกล้ตัวก็เห็นเป็นหลวงปู่ขาว ท่านรีบตรงเข้ามาจับแขนข้าพเจ้า และข้าพเจ้าก็จับแขนท่านตอบเช่นกัน ท่านพูดทักทายว่า เป็นอย่างไรว่ายน้ำข้ามกระแสมหาสมุทรยากลำบากไหม ข้าพเจ้าก็ตอบหลวงปู่ไปว่า ขอโอกาส ลอยข้ามมาไม่ยากครับ ท่านถามว่า มากันกี่องค์ ตอบท่านไปอีกว่า กระผมมาองค์เดียวครับผม หลวงปู่ถามต่อไปว่า เขาเหล่านั้นไม่อยากมาหรือ ตอบว่า ขอโอกาส เขาอยากมากทีเดียวแหละหลวงปู่ แต่กำลังของเขายังไม่พร้อม กระโดดลงมา
    ทีไร ก็ถูกคลื่นมหาสมุทรพัดซัดทอดเข้าหาฝั่งอย่างหัวปักหัวปำทุกคน แต่พวกเขาก็พยายามอย่างเต็มที่ แต่ไม่รู้ว่าเขาจะข้ามมาถึงฝั่งนี้ได้เมื่อไร หลวงปู่ก็บอกว่า เอาผ้าที่เปียกไปตากให้มันแห้งเสีย แล้วเข้าไปพักในปราสาทด้วยกัน เมื่อข้าพเจ้าตากผ้าแล้ว หลวงปู่ก็พาเข้าไปในปราสาท ซึ่งก็ได้พบกับหลวงปู่บัว วัดหนองแซง กำลังนั่งคอยถามข่าวคราวอยู่ในปราสาทหลังนั้น ท่านได้ถามว่า เป็นอย่างไร คลื่นมหาสมุทรลูกใหญ่ไหม ว่ายน้ำมาอย่างไรจึงตัดคลื่นมหาสมุทรผ่านมากได้ ก็เล่าถวายให้หลวงปู่ฟังว่า ขอโอกาส กระผมมีความมั่นใจในตัวเองมาก ขณะที่กระผมกระโดดลงมา เมื่อหน้าอกจะถึงน้ำ ก็มีสัตว์ประเภทหนึ่งมารองรับแล้วพากระผมว่ายน้ำตัดคลื่นมหาสมุทรมาได้ ท่านถามว่าเห็นเกาะอยู่ในกลางมหาสมุทรไหม ก็ตอบท่านว่า เห็นครับผม ท่านพูดว่า ผู้จะข้ามมหาสมุทรมาได้นี้ ถือว่ามีความพร้อมทุกอย่าง ท่านถามว่ามีผู้ว่ายน้ำตามหลังมาบ้างไหม ตอบว่า ขอโอกาส กระผมไม่ได้มองคืนหลังเลย จึงไม่รู้ว่ามีใครตามหลังมาหรือไม่ ในต้นทางนั้น มีคนเป็นจำนวนมากกำลังเตรียมตัวมา แต่ไม่ทราบว่าจะมาได้หรือไม่ เพราะคลื่นกระแสมหาสมุทรมีความรุนแรงมาก ในขณะที่พูดคุยกันกับหลวงปู่ขาว หลวงปู่บัวอยู่นั้น ก็มีอาจารย์องค์อื่น ๆ คอยฟังอยู่ด้วย จากนั้น จิตก็ถอนออกจากสมาธิ
    เมื่อจิตถอนออกจากสมาธิแล้ว ก็ใช้ปัญญาพิจารณาในนิมิตนั้นว่ามีความหมายเป็น
    อย่างไร คำว่า ฝูงชนเป็นจำนวนมากที่นับถือพระพุทธศาสนา มีการสร้างบารมีมาด้วยกันทั้งนั้น เจตนาของทุกคนก็เพื่อจะทำให้อาสวกิเลสหมดไปจากใจด้วยกัน แต่ใครจะทำให้อาสวกิเลสหมดไปจากใจช้าเร็วอย่างไร ก็ขึ้นอยู่กับผู้สร้างบารมีเอง ผู้ที่กระโดดลงไปแล้วถูกคลื่นมหาสมุทรซัดกลับขึ้นมาฝั่งนั้น หมายถึง ผู้ที่มีเจตนาความตั้งใจดี คืออยากพ้นไปให้สิ้นทุกข์จริง ๆ แต่ก็มีกำลังในภาคปฏิบัติน้อยไป มีความอยากพ้นไปเพียงอย่างเดียวไม่สำเร็จได้เลย คลื่นมหาสมุทรขนาดใหญ่ที่ซัดทอดอยู่นั้น คืออารมณ์ที่สัมผัสในอายตนะ ทำให้เกิดความรัก ความใคร่ ความยินดี ความยินร้าย ในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์นั่นเอง สัตว์ที่มาหนุนหน้าอกแล้วพาว่ายน้ำตัดคลื่นมหาสมุทรไปได้นั้น คือ สัจจะของผู้มีความตั้งใจจริงในการปฏิบัติของตัวเอง ความเวิ้งว้างในกลางมหาสมุทรนั่นคือ จิตอยู่ในความเป็นกลาง เกาะที่อยู่ท่ามกลางมหาสมุทรนั่นคือ พรหมโลกที่นักภาวนาหลงในการทำสมาธิ หลงในรูปฌาน หลงในอรูปฌาน กระแสน้ำที่ไหลเวียนอยู่รอบเกาะนั้น คือ ความสุข ความสบาย ไม่อยากออกจากความสงบในสมาธิ คำว่าทะเลมหาสมุทรนั้น คือมหาสมุทรที่สัตว์โลกทั้งหลายข้ามพ้นไปได้ยาก หรืออีกความหมายหนึ่ง คือ ตัณหา ๓ อันได้แก่ กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา รวมแล้วเรียกว่า สมุทัย ตัณหา ๓ อย่างนี้ อยู่ในวัฏจักรของภพทั้ง ๓ คือ กามภพ รูปภพ อรูปภพ รวมเรียกว่า วัฏสงสาร ที่สัตว์โลกทั้งหลายได้เวียนว่ายตายเกิดไม่มีที่จบสิ้น ฉะนั้น ภพทั้ง ๓ จึงอยู่ท่ามกลางกิเลสตัณหาทั้งหมด จึงยากที่จะผ่านพ้นไปได้เพราะเหตุปัจจัยยังไม่สมดุลกัน เหมือนผู้มีกำลังกายแข็งแรงแต่ขาดกำลังใจ หรือมีกำลังใจแต่ขาดกำลังกาย งานที่จะพึงทำนั้นจึงสำเร็จได้ยาก หรือขาดทั้งกำลังกายและกำลังใจ งานนั้นยิ่งสำเร็จไม่ได้เลย เมื่อใดมีความพร้อมทั้งกำลังกายและกำลังใจ งานนั้นจะสำเร็จลุล่วงได้เป็นอย่างดี

    *******พรรษาที่ ๕ พ.ศ. ๒๕๐๘
    ในพรรษาที่ ๕ ได้ไปจำพรรษาอยู่ที่บ้านศรีวิชัย อำเภอวานรนิวาส จังหวัดสกลนคร ในปีนี้ หลวงพ่อบุญมา ที่เป็นอาจารย์เก่าเป็นเจ้าอาวาส หลวงพ่อบุญมาองค์นี้เองเป็นผู้ให้ธรรมะเรื่องการเกิดดับเป็นครั้งแรก ก่อนจะเข้าพรรษา คณะศรัทธาทุกคนตลอดทั้งพระเณรภายในวัดทุกองค์พากันตั้งความหวังไว้ว่า พรรษาปีนี้มีความโชคดีเป็นอย่างยิ่ง เพราะมีอาจารย์ทูลมาจำพรรษาอยู่ด้วย จะได้ฟังธรรมตลอดทั้งพรรษาทีเดียว เมื่อได้ยินคณะศรัทธาและพระเณรซุบซิบกันอย่างนี้
    ตัวเองก็เริ่มวางแผนที่จะแก้ปัญหาว่าทำอย่างไรจึงจะไม่ต้องแสดงธรรม เนื่องจากอยากภาวนาปฏิบัติให้ต่อเนื่องกันไปตลอด จึงคิดได้ในอุบายหนึ่งว่า มีทางเดียว คือเอา ธุดงค์มุขวัตร คือ ไม่พูดกับใคร ๆ ทั้งสิ้นในพรรษานี้ แต่ก็มีการยกเว้น ๔ ข้อเอาไว้ คือ ๑. เมื่อหลวงพ่อบุญมาท่านถาม ก็ต้องพูด แต่กับองค์อื่นไม่พูดด้วย ๒. เมื่อมีการเจ็บป่วย มีพระเณรหรือหมอถามอาการ ก็ต้องพูด ๓. แสดงอาบัติ ไหว้พระหรือสวดปาฏิโมกข์ออกเสียงได้ ๔. เมื่อมีอธิกรณ์เกิดขึ้นใน
    หมู่สงฆ์ พูดได้ นอกเหนือจาก ๔ ข้อนี้ไป จะไม่พูดกับใคร ๆ ทั้งนั้น เมื่อได้อุบายแล้วก็เก็บเป็นความลับส่วนตัว ไม่ได้บอกให้ใครรู้แต่อย่างใด เมื่อถึงวันเข้าพรรษา มีการไหว้พระสวดมนต์และกล่าวคำเข้าพรรษาเสร็จแล้ว ก็ได้ประกาศต่อหน้าสงฆ์ออกไปว่า นับแต่บัดนี้เป็นต้นไปตลอด ๓ เดือนในพรรษา ผมจะไม่พูดกับใคร ๆ ทั้งสิ้น ๑-๒-๓ ปิดคำพูดทันที ทำให้พระเณร ญาติโยม
    ผิดหวังไปตาม ๆ กัน ต่างพากันบ่นว่าอาจารย์ทูลไม่ควรทำอย่างนี้เลย พากันมาขอร้องให้ถอนธุดงค์ข้อนี้ แต่ก็ไม่สำเร็จแต่อย่างใด
    ในพรรษานี้ภาวนาปฏิบัติได้ผลดีมากทีเดียว เพราะไม่มีอารมณ์อะไรจะไปพูดกับใคร เมื่อตัวเองไม่พูด ก็ไม่ได้นึกคิดหาคำที่จะมาพูด เมื่องดพูดผ่านไปได้ ๒ เดือน ผลของการงดพูดนั้นเห็นได้ชัดทีเดียว การทำสมาธิให้จิตมีความสงบนั้นเร็วมาก นึกคำบริกรรมไม่กี่นาที จิตก็มีความสงบลงอย่างแน่วแน่ เมื่อจิตถอนออกจากสมาธิแล้ว น้อมใจพิจารณาสัจธรรมในแง่ต่าง ๆ นั้น ก็มีความรู้เห็นชัดเจนมากทีเดียว เริ่มในวันเข้าพรรษามา การภาวนามีสติปัญญาเชื่อมต่อกันอยู่ตลอดเวลา แต่ละวันแต่ละชั่วโมง ถึงจะมีพระเณรหลายองค์ก็เหมือนกับอยู่องค์เดียว ไม่สนใจกับคำพูดของใคร ไม่ได้คิดหาคำพูดอะไรกับใคร ใจจึงมีความเป็นหนึ่งอยู่ตลอดเวลา อยู่มาในคืนหนึ่ง เมื่อจิตมีความสงบแล้ว ปรากฏเห็นชายคนหนึ่ง แต่งตัวดี จูงม้าขาวขนาดใหญ่ตัวหนึ่งเข้ามาหา พร้อมทั้งบอกว่า ม้าตัวนี้เป็นม้าของท่าน อีกไม่นานนักท่านก็จะได้ขี่ม้าตัวนี้ จากนั้น จิตก็ถอนออกจากสมาธิ เมื่อใช้ปัญญาพิจารณาดูแล้ว ม้าตัวนี้คงจะวิ่งดีเป็นพิเศษและมีความแตกต่างจากม้าตัวที่เคยขี่มาแล้วตรงที่ขน เพราะขนของม้าตัวที่เคยขี่แต่ก่อนขาวเหมือนสำลี แต่ม้าตัวนี้มีขนเป็นมันเลื่อมระยิบระยับ เป็นประกายดุจขนเพชร จึงเกิดความมั่นใจในตัวเองว่า อีกสักวันหนึ่งข้างหน้า เราจะได้ขี่ม้าตัวนี้แน่นอน เมื่อออกพรรษารับกฐินเสร็จเรียบร้อยแล้ว คิดว่าอยากไปธุดงค์ทาง
    ภาคใต้ ในที่สุดก็ได้ไปสมความตั้งใจ
    การเดินทางไปทางภาคใต้ในครั้งนี้ก็สะดวกดีทุกประการ และขอสรรเสริญน้ำใจของคนภาคใต้เอาไว้โดยมิรู้ลืม นั่นคือ เมื่อรถได้วิ่งไปจอดที่ไหนตามสายทาง คนขับรถและผู้โดยสารหลายท่าน ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเลย เมื่อรถจอดที่ไหน หลังจากที่ท่านเหล่านั้นลงไปเข้าห้องน้ำและหาอาหารว่างที่เขาชอบกันแล้ว ทุกครั้ง พวกเขาจะลงไปซื้อน้ำอัดลมหรือน้ำฉันอื่น ๆ มาถวาย พร้อมทั้งแสดงความเคารพนอบน้อมเป็นอย่างดี และเป็นอย่างนี้ทุกครั้งไป และพวกเขายังถามอีกว่า ท่านต้องการอะไรคะ ต้องการอะไรครับ ข้าพเจ้าไม่เคยขออะไรจากเขา แต่เขาก็ซื้ออย่างนั้นอย่างนี้มาถวายหลายอย่างทีเดียว เมื่อได้เวลาฉันอาหารที่อำเภอตะกั่วป่า เขาก็เป็นธุระจัดการให้ เขาทำเหมือนกับข้าพเจ้าเคยเป็นพระในเครือญาติของเขา เหมือนกับเคยได้รู้จักกันมานาน การแสดงออกมาทางกายและวาจามีสัมมาคารวะอ่อนน้อมถ่อมตนดีมาก นี้พูดกันสมัยนั้น แต่สมัยนี้จะเหมือนเดิมหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่คิดว่าคงเหมือนเดิม เพราะคนภาคใต้เป็นคนที่มีน้ำใจดีมาก ความดีต่าง ๆ ทางภาคใต้นั้นมีมาก
    เมื่อรถไปจอดที่ตำบลโคกกลอย ก็ได้ถามชายวัยกลางคนว่า วัดราษฎร์โยธีอยู่ที่ไหน เขาก็พูดภาษาภาคใต้เลยฟังกันไม่รู้เรื่อง ขอให้พูดภาษาภาคกลางเขาก็ไม่ยอมพูด บังเอิญมีชายคนหนึ่งเดินมาจึงได้ถามเขา เขาก็บอกทางให้ มิหนำซ้ำยังจัดรถไปส่งถึงวัดด้วยและก็จ่ายเงินค่ารถเองทั้งหมด ทำให้คิดในใจว่า คนภาคใต้จะมีน้ำใจเหมือนกันอย่างนี้ทั้งหมดหรือเปล่า ต่อมาท่าน หลวงพ่อคำพอง ติสฺโส ได้พาไปธุดงค์ในที่ต่าง ๆ หลายแห่ง แต่ไม่ขอเขียนไว้ในที่นี้

    ********พรรษาที่ ๖ พ.ศ. ๒๕๐๙
    ในปีนี้ ได้จำพรรษาอยู่ที่วัดราษฎร์โยธี ตำบลโคกกลอย อำเภอตะกั่วทุ่ง จังหวัดพังงา ในระหว่างเข้าพรรษา ได้ทราบข่าวว่าโยมพ่อได้เสียชีวิตไปแล้ว เมื่อออกพรรษาแล้ว ได้นิมนต์
    หลวงพ่อคำพองขึ้นมาทำบุญพร้อมพระเณรอีกหลายรูป การทำบุญในครั้งนี้จะไม่มีเครื่องมหรสพใด ๆ ไม่มีการฆ่าสัตว์ทุกชนิด และไม่ให้มีเหล้ายาต่าง ๆ ภายในงาน ญาติทุกคนต้องให้รับศีล ๕ ทั้งหมด ให้ทุกคนมีความบริสุทธิ์ในการทำบุญอุทิศกุศลในครั้งนี้อย่างสมบูรณ์ เมื่องานเสร็จสิ้นอย่างเรียบร้อยแล้ว จึงได้คิดขึ้นมาว่า การทำบุญอุทิศกุศลให้โยมพ่อครั้งนี้ โยมพ่อจะได้รับผลบุญของลูกหลานและญาติ ๆ หรือไม่ เมื่ออธิษฐานจิตแล้วก็เร่งภาวนาปฏิบัติเต็มที่ เพื่ออยากรู้ว่าโยมพ่อได้รับส่วนบุญในครั้งนี้หรือไม่ เพื่อจะได้ประกาศให้คนอื่นรู้วิธีทำบุญแบบนี้ต่อไป

    >>>>>>ไปโปรดโยมพ่อ
    เมื่อภาวนาไปได้ ๓ วัน ในคืนนั้น ได้เกิดนิมิตเห็นเส้นทางอันราบรื่นขึ้นต่อหน้า ข้าพเจ้าได้ออกเดินทางตามทางนั้นไป อีกพักหนึ่ง ได้เห็นประตูเหล็กขนาดใหญ่อยู่ตรงหน้า มีชายฉกรรจ์รักษาประตูอยู่ ๔ คน แต่ละคนถือหอกดาบครบมือ มีหน้าตาเคร่งขรึม ยืนนิ่งอยู่ ข้าพเจ้าก็เดินเข้าไปหาเพื่อจะถามว่านี้เป็นสถานที่อะไร ทางนี้จะไปที่ไหน ทั้ง ๔ คนนั้นได้ไหว้แสดงความเคารพนอบน้อมเป็นอย่างดี แล้วได้พูดขึ้นว่า ที่นี่เป็นประตูเข้าไปสู่ยมโลก ทุกคนที่ตายจากเมืองมนุษย์แล้วต้องเข้ามาให้สืบสวนสอบสวนในที่แห่งนี้ทุกคน เขาถามข้าพเจ้าว่า พระคุณเจ้ามีความประสงค์สิ่งใดจึงได้มาในที่แห่งนี้ จึงตอบเขาไปว่า อาตมามีความประสงค์อยากทราบว่า โยมพ่อของอาตมาที่ตายไปแล้วได้เข้ามาในที่แห่งนี้หรือไม่ เขาถาม ขณะนี้พระคุณเจ้ากำลังติดตามหาโยมพ่อใช่ไหม ตอบเขาไปว่า ใช่แล้ว อาตมากำลังติดตามหาโยมพ่อ เขาพูดว่า ถ้าเช่นนั้น ขอนิมนต์พระคุณเจ้าเข้าไปสอบถามหัวหน้าที่อยู่ภายในเถิด จากนั้น ประตูเหล็กขนาดใหญ่ก็ได้เปิดออก ข้าพเจ้าก็เดินเข้าไป พอดีไปพบกับหัวหน้าใหญ่นั่งอยู่บนเก้าอี้ เป็นผู้ตรวจบัญชีของคนตายทั้งหมดว่าคนที่ตายนั้นมีอายุเท่าไร อยู่ที่ไหน บ้านเลขที่เท่าไร ตำบล อำเภอ จังหวัดอะไร ชื่ออะไร นามสกุลอย่างไร เหมือนกันกับจดลงในใบสำมะโนครัวทั้งหมด
    เมื่อเข้าไปถึง ดูเขาทำท่าตกตะลึงไปบ้าง แต่ก็มีความอ่อนน้อมถ่อมตัวดี เมื่อเขายกมือไหว้แล้ว ก็พูดว่า พระคุณเจ้ามีความประสงค์อะไรหรือครับ ก็ได้เล่าให้เขาฟังว่า อาตมากำลังติดตามหาโยมพ่อ เพราะโยมพ่อได้ตายมาแล้วหลายเดือน ไม่ทราบว่าโยมพ่ออาตมาได้เข้ามาอยู่ที่นี่หรือเปล่า เขาถามว่าพ่อของพระคุณเจ้าชื่ออะไร นามสกุลอะไร ก็บอกเขาไปว่า ชื่อนายอุทธา นนฤาชา จากนั้น เขาก็ลุกขึ้นไปหยิบเอาหนังสือมาเปิดดู หนังสือนั้นมีความหนาประมาณ ๑ ศอก เขาใช้นิ้วมือกรีดเปิดพรืดเดียวแล้วอ่านดู และพูดขึ้นมาว่า นายอุทธา นนฤาชา อยู่บ้านหนองแวง (แก้มหอม) ตำบลไชยวาน อำเภอไชยวาน จังหวัดอุดรธานี ใช่ไหมครับ บอกเขาไปว่าใช่แล้ว เขาพูดว่า ยังอยู่ที่นี่ครับ บอกเขาไปว่า อาตมาอยากขอพบโยมพ่อหน่อย เขาก็บอกคนใช้อีกคนหนึ่งว่า รีบไปตามนายอุทธา นนฤาชา ออกมาพบกับพระลูกชายด้วย เขาก็รีบวิ่งไป อีกสักพักหนึ่ง เขาก็ตามโยมพ่อเข้ามาหา เมื่อโยมพ่อเดินมา ลักษณะคล้ายจะมีความละอาย และอีกอย่างหนึ่ง คือ ที่แก้มด้านขวาคล้ำไปนิดหนึ่ง ส่วนแก้มด้านซ้ายเป็นปกติ เวลาเดินเข้ามาจะเอียงหน้าหันด้านซ้ายเข้ามา กางเกง เสื้อผ้าที่นุ่งขณะตายนั้น ใส่อย่างไร ตายไปก็จะนุ่งห่มอย่างนั้นไปก่อน เมื่อได้รับส่วนบุญจากลูกหลานและญาติ ๆ แล้ว ผ้านุ่งห่มจึงจะเปลี่ยนไป เมื่อโยมพ่อเข้ามาแล้วก็กราบตามปกติ จึงถามโยมพ่อว่า จำอาตมาได้ไหม
    โยมพ่อตอบ จำได้
    ถาม โยมพ่ออยู่ที่นี่ถูกเขาตีไหม
    ตอบ แต่ก่อนถูกตีอยู่บ้าง แต่เดี๋ยวนี้เขาไม่ตีเลย
    ถาม มาอยู่ที่นี่มีการไหว้พระภาวนาไหม
    ตอบ ไหว้พระทุกคืนภาวนาทุกคืน
    ถาม ลูกหลานทำบุญอุทิศมาให้ได้รับไหม
    ตอบ ได้รับ ๓ ส่วน อีกส่วนหนึ่งไม่ได้รับ
    ถาม ทำไมจึงไม่ได้รับ
    ตอบ เพราะพระสงฆ์ที่รับเครื่องไทยทานศีลไม่บริสุทธิ์
    ถาม กรรมที่จะต้องใช้อยู่ในขณะนี้มีมากไหม
    ตอบ มีไม่มาก เพราะกรรมเล็ก ๆ น้อย ๆ หมดไปแล้ว
    เหลือแต่กรรมจากวัวตัวเดียว
    จากนั้น ก็ได้มาปรึกษากับหัวหน้ายมบาลว่า กรรมของโยมพ่ออาตมาส่วนใหญ่หมดไปแล้ว เหลือกรรมเนื่องจากวัวตัวเดียวเท่านั้น เมื่อกรรมเหลือน้อยนิดเดียวนี้ อาตมาอยากขอบิณฑบาตโยมพ่อพ้นจากกรรมนี้ได้ไหม จากนั้น หัวหน้ายมบาลก็ไปหยิบเอาหนังสือเล่มหนึ่งมาอ่านเพื่อดูกรรมของโยมพ่อที่ทำมา แล้วก็พูดว่า กรรมของโยมพ่อพระคุณเจ้าจะหมดในวันนี้ ผมขอแสดงความเคารพนับถือต่อพระคุณเจ้าเป็นอย่างมากที่ได้ติดตามมาโปรดโยมพ่อถึงที่ จึงได้ถามโยมพ่อว่าอยากบวชไหม โยมพ่อตอบว่า อยากบวช จากนั้น ข้าพเจ้าก็เอาผ้าขาวออกมาจากย่ามยื่นให้ โยมพ่อก็ได้นุ่งห่มผ้าอย่างเรียบร้อย พอนุ่งห่มผ้าขาวเสร็จเท่านั้น ผิวพรรณของโยมพ่อก็เปลี่ยนไปทั้งหมด หน้าตามีความอิ่มเอิบ ผิวพรรณผ่องใสเป็นอย่างมาก แล้วกราบอาตมา ๓ ครั้ง แล้วพูดขึ้นว่า กรรมที่โยมพ่อได้ทำหมดไปแล้วในวันนี้ ขอให้ลูกได้ไปประกาศ ให้ผู้ยังมีชีวิตอยู่พากันสร้างความดีไว้ให้มาก เมื่อตายไปจะได้ไม่เป็นทุกข์ โยมพ่อพูดว่า จากนี้ไป โยมพ่อจะได้ขึ้นไปอยู่ที่สูงแล้วนะ ว่าแล้วก็กราบ ๓ ครั้ง เสร็จแล้วก็ลอยขึ้นไปสู่อากาศ มองดูโยมพ่อลอยขึ้นไปจนสุดสายตา
    ********พรรษาที่ ๗ พ.ศ. ๒๕๑๐
    ในพรรษาที่ ๗ นี้ จำพรรษาอยู่ที่วัดสันติกาวาส ตำบลไชยวาน อำเภอไชยวาน จังหวัดอุดรธานี มี หลวงปู่บุญจันทร์ กมโล เป็นเจ้าอาวาส ในพรรษานี้ การภาวนาปฏิบัติก็มีความราบรื่นไปด้วยดี นิสัยของหลวงปู่บุญจันทร์ ท่านมีนิสัยที่พูดน้อย การพูดในธรรมก็น้อย แต่ก็เต็มไปด้วยเนื้อหาสาระ คำพูดที่ท่านพูดออกมา เมื่อนำไปพินิจพิจารณาดูแล้ว มีความหมายอย่าง
    ลุ่มลึก และเต็มไปด้วยเหตุด้วยผล ถ้ามีปัญญาตีพิจารณาให้รอบคอบแล้ว มีความหมายอย่างพิสดารมากทีเดียว เว้นเสียแต่ผู้มีหูหนาปัญญาทึบเท่านั้น จึงจะฟังธรรมของท่านไม่รู้เรื่อง
    ในพรรษานี้ การภาวนาปฏิบัติก็มีความก้าวหน้าไปด้วยดี ไม่มีอุปสรรคขัดขวางแต่อย่างใด เพราะโดยปกตินิสัยของข้าพเจ้านั้น พยายามที่จะตั้งอยู่ในความเพียรอยู่ตลอด ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนทำอะไรอยู่ก็ตาม สติปัญญาจะคิดหาอุบายธรรมมาพิจารณาให้ลงสู่ไตรลักษณ์อยู่เสมอ เช่น
    ปัดกวาดลานวัดหรือทำความสะอาดในศาลาและห้องน้ำ ก็จะเอาเรื่องที่กำลังทำนั่นแหละเป็นอุบายในการพิจารณาในปัญญาต่อไป ไปเห็นต้นมะพร้าวต้นหนึ่งที่ปลูกไว้ในสมัยตั้งวัดครั้งแรก เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๒ ต้นใบของมะพร้าวนั้น มีความสดเขียวเป็นปกติ แต่ก็ไม่สูงและไม่ออกผล
    แต่อย่างใด ก็เอามะพร้าวต้นนี้แหละมาเป็นอุบายปัญญา โอปนยิโก น้อมเข้ามาสอนตัวเอง
    ว่า เราอย่าทำใจให้เหมือนต้นมะพร้าวนี้เลย เพราะมะพร้าวต้นนี้เกิดมานานหลายปี ไม่มีลูกติดต้นแม้แต่ลูกเดียว ถ้าเราบวชเพียงมีพรรษามาก แต่มรรคผลไม่เกิดขึ้นกับเรา เหมือนกับว่าขาดทุนทั้งชาติไปเลย ฉะนั้น เราอย่าทำตัวให้เป็นเหมือนต้นมะพร้าวนี้เลย พอออกพรรษารับกฐินแล้ว ก็ไปอยู่วัดถ้ำกลองเพล

    ********พรรษาที่ ๘ พ.ศ. ๒๕๑๑
    เมื่อเข้ามาวัดถ้ำกลองเพลในครั้งแรก จะต้องวางตัวเองให้เป็นเต่าล้านปี ไม่ให้มีใครจับนิสัยตัวเองได้ ความโง่มีเท่าไรก็จะแสดงออกมาทั้งหมด ปีนั้น มีพระอาจารย์จวนจำพรรษาอยู่ด้วย พอเข้าไปแล้วก็ได้มอบกายมอบตัวเป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่ขาว หลวงปู่ก็มีความยิ้มแย้ม
    แจ่มใส ทักทายไปมาว่า ท่านบวชอยู่ที่ไหน ก็ตอบท่านไปว่า บวชที่วัดโพธิสมภรณ์ จังหวัดอุดรธานี ท่านก็ถามต่อไปว่า ใครเป็นพระอุปัชฌาย์ ตอบท่านไปว่า หลวงพ่อเจ้าคุณธรรมเจดีย์เป็นพระอุปัชฌาย์ หลวงปู่ยิ้ม ๆ แล้วพูดว่า อื้อ บวชในอุปัชฌาย์เดียวกันกับเฮา
    ในปีนี้จำพรรษาอยู่ที่วัดถ้ำกลองเพล จึงมีกำไรในการภาวนาปฏิบัติมากทีเดียว ในวันหนึ่ง ได้ไปขอคำปรึกษาจากหลวงปู่ขาวเรื่องสถานที่ที่จะไปภาวนา ว่าที่ไหนมีความสะดวกในการภาวนา หลวงปู่ก็ได้เล่าถึงสถานที่ที่ไปภาวนามาหลายที่หลายแห่งมากมาย ทุกแห่งก็ภาวนาดีทั้งนั้น แต่จะให้ภาวนาดีที่สุดคือ ไปภาวนาทางภาคเหนือ เพราะภาคเหนือไม่มีคนไปมาหาสู่จุ้นจ้านเหมือนภาคอีสานบ้านเรา จะได้
    ภาวนาได้อย่างเต็มที่ ให้ไปภาวนาในเขตจังหวัดเชียงรายนะ ไปหาอยู่ตามบ้านนอก ให้ห่างจากเสียงรถไปมา การภาวนาเมื่อไม่มีเสียงรบกวน จิตก็จะตั้งมั่นได้เร็ว การใช้ปัญญาพิจารณาก็จะต่อเนื่องกันดี จะเป็นที่กายวิเวก จิตวิเวก เป็นเสนาสนะสัปปายะอย่างดีที่สุด เพราะ สถานที่มีส่วนสำคัญในการภาวนาเป็นอย่างดี
    ต่อไปจะขอเล่าถึงนิสัยของหลวงปู่ขาว คิดว่าหลาย ๆ คนคงได้เคยไปกราบคารวะฟังธรรมจากท่านมาแล้ว แต่อีกหลาย ๆ คน ยังไม่ได้พบเห็นองค์จริงของท่านเลย เป็นแต่เพียงเห็นรูปถ่ายของท่านเท่านั้น หลวงปู่ขาวเป็นผู้มีนิสัยในความเมตตาสูงมากทีเดียว ใครได้ไปพบเห็นกราบไหว้ท่านแล้ว ไม่อยากลุกหนีจากท่านไป เขาว่ามีความเย็นใจเป็นอย่างมาก ใครมีปัญหาอะไรในครอบครัวมาก็จะขอความเมตตาจากหลวงปู่ให้ช่วยเหลืออยู่เสมอ
    เมื่อออกพรรษาแล้ว ก็ได้เข้าไปกราบเล่าถวายในความตั้งใจ เรื่องจะไปภาวนาปฏิบัติทางภาคเหนือให้ท่านฟัง ท่านก็ได้ให้โอวาทในอุบายการภาวนาปฏิบัติอย่างซาบซึ้งทีเดียว จากนั้น ก็ได้ไปรวมกันที่วัดป่าบ้านกุดเต่ากับพระอาจารย์ขาน เพื่อเตรียมบริขารในการออกเดินทางไปจังหวัดเชียงรายต่อไป พระเณรที่ไปด้วยกันทั้งหมดมี ๑๐ รูป เรียงลำดับพระผู้ใหญ่ได้ดังนี้ ๑. พระอาจารย์ขาน ฐานวโร ๒. พระอาจารย์ทูล ขิปฺปปญฺโญ ๓. พระอาจารย์หวัน ปณฺฑิโต (พระครูบัณฑิตธรรมภาณ) ๔. พระอาจารย์จรัส สุธมฺโม ๕. พระอาจารย์กองเหรียญ กับสามเณรอีก ๕ รูป เมื่อพร้อมแล้วก็ออกเดินทางไปด้วยกัน เมื่อไปถึงจังหวัดเชียงรายแล้ว ได้ไปพักอยู่ที่บ้านเหล่า ตำบลทุ่งก่อ อำเภอเวียงชัย จังหวัดเชียงราย พระอาจารย์ขานท่านอยู่ที่เดิม นอกนั้นก็แยกย้ายกันไปพักภาวนาปฏิบัติในที่ต่าง ๆ ในหมู่บ้านแถบนั้น ข้าพเจ้าเองได้ไปพักภาวนาอยู่ที่ป่าช้าบ้านดงหวาย มีชาวบ้านออกมาทำแคร่ให้อยู่ ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ปี พ.ศ. ๒๕๑๒ ในคืนหนึ่ง มีฝนลมกรรโชกแรงมาก ทำให้กลดที่กางนอนปลิวอยู่ตลอดคืน ทั้งฝนก็ได้กระหน่ำตกลงมาอย่างแรง ลมก็พัดเอาต้นไม้กิ่งไม้หักกระเด็นระเนระนาด จำเป็นต้องเก็บบริขารอื่น ๆ ลงในบาตร แล้วเอากลดมากั้นพอหุ้มตัวและบริขารเอาไว้ แต่ก็ถูกฝนสาดเปียกปอนไปหมด จำเป็นต้องนั่งอยู่ด้วยความหนาวเย็นตลอดคืน ที่พักนั้น อยู่ใต้ต้นมะม่วงป่าขนาดใหญ่ มีลมพัดกิ่งไม้เอนเอียงไปมาอยู่ตลอดเวลา ในทันใดนั้น กิ่งไม้ขนาดใหญ่ก็หักตกลงมา ห่างจากตัวข้าพเจ้าเพียง ๑ เมตรเท่านั้น ส่วนตัวเองก็ได้แต่เพียงอธิษฐานว่า ถ้าข้าพเจ้าจะได้ทรงไว้ซึ่งพระพุทธศาสนานี้ต่อไป ขออย่าให้ชีวิตของข้าพเจ้าได้ตายไปในช่วงนี้เลย แล้วก็ภาวนาปฏิบัติอยู่ในความหนาวเย็นของคืนนั้นตลอดทั้งคืน ในที่นั้น มีหมู่ตะขาบเป็นจำนวนมากยั้วเยี้ยเต็มไปหมด หลายตัวที่วิ่งขึ้นมา บางตัวก็วิ่งขึ้นมาเกาะอยู่ตามหลัง แต่ก็ไม่ทำอันตรายแต่อย่างใด เมื่อฝนและลมได้สงบไปแล้วก็สว่างพอดี ชีวิตนี้เมื่อยังไม่ถึงที่ตายก็อย่าประมาท หากว่าชีวิตถึงฆาตในคืนนั้นแล้ว ข้าพเจ้าคงไม่ได้มาเขียนประวัติให้พวกท่านได้รับรู้เลย จากนั้น ก็เร่งภาวนาปฏิบัติอย่างเต็มที่
    ********ณ บ้านป่าลัน(ได้ธรรมขั้นสูง)
    ก่อนเข้าพรรษาได้เดินทางไปบ้านป่าลัน ตำบลปงน้อย อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย สถานที่แห่งนี้เป็นป่าดงดิบมีต้นไม่ใหญ่นานาชนิดอย่างหนาแน่น ชาวบ้านก็ได้พากันออกมาทำ
    ที่อยู่อาศัยให้ โดยทำเป็นกระต๊อบเล็ก ๆ มุงด้วยหญ้าคา เสาไม้ไผ่ปูพื้นและกั้นฝาด้วยฟากไม้ไผ่ห้องเดียวพอแขวนกลดได้ มีระเบียงด้านหน้าพอได้อาศัยนั่งพักผ่อนตามสมควร เมื่อจวนจะเข้าพรรษาเหลืออีกไม่กี่วัน ในคืนหนึ่ง นิมิตเห็นหลวงปู่ขาวเข้ามาหา ใช้มือจับไหล่ข้าพเจ้าแล้วพูดว่า จากนี้ไปไม่นานหรอกนะ ความตั้งใจที่ท่านได้ตั้งเอาไว้ จะสำเร็จอยู่ในที่แห่งนี้ ในขณะนั้น ปรากฏมีเส้นทางขนาดใหญ่เรียบราบดี มีแนวทางที่ตรงมาจรดในที่ข้าพเจ้านั่งอยู่ หลวงปู่ขาวพูดว่า ท่านต้องเดินตามเส้นทางนี้ไป ก็จะได้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ในไม่ช้า จากนั้น จิตก็ถอนออกจากสมาธิ จึงได้พิจารณาในคำพูดของหลวง
    ในพรรษานี้ มีพระร่วมจำพรรษาด้วยกัน ๒ รูป สามเณร ๑ รูป มี พระอาจารย์หวัน (พระครูบัณฑิตธรรมภาณ) และสามเณรไสว ในที่แห่งนี้ชาวบ้านถือกันว่ามีผีดุมาก คนพื้นเมืองเดิมเขาจะไม่เข้ามาในที่แห่งนี้เลย เพราะผีได้ทำให้คนตายไปแล้วหลายคน เมื่อได้มาภาวนาอยู่ที่นี้ได้ ๗ คืน ในคืนนั้น ขณะที่จิตมีความสงบอยู่ในสมาธิ ได้ยินเสียงดังเหมือนกับภูเขาพังทลายลงมาจากทางน้ำตกห่างจากที่อยู่ไปประมาณ ๑๐๐ เมตร จึงได้กำหนดจิตไปดู เห็นหมูป่าขนาดใหญ่ ๒ ตัว มีกิริยาอาการที่โกรธจัดมากทีเดียว ดูนัยน์ตาเป็นสีแดงเหมือนกับแสงไฟที่กำลังลุกโชน แสดงความไม่พอใจในตัวข้าพเจ้าเป็นอย่างยิ่ง จากนั้น หมูทั้ง ๒ ตัว ก็ได้แสดงฤทธิ์ด้วยวิธีต่าง ๆ ทำท่าทางเพื่อให้ข้าพเจ้าได้เกิดความกลัว แล้ววิ่งเข้ามาหาข้าพเจ้าอย่างรวดเร็ว ในลักษณะที่จะมาทำร้ายให้ตายไป ทั้งสายตาก็ลุกเป็นไฟ เสียงก็แสดงการข่มขู่คำราม เมื่อเข้ามาใกล้ห่างจากตัวข้าพเจ้าไปเพียง ๓ ศอกเท่านั้น หมูทั้ง ๒ ตัวก็ทำท่าโคลงตัวไปมาพร้อมกัน จากนั้น ก็พากันกระโดดเข้ามาหา หวังจะกัดให้ข้าพเจ้าตายไป ขณะนั้น ข้าพเจ้าได้กำหนดจิตตั้งรับไว้แล้ว เมื่อหมูทั้ง ๒ ตัวกระโดดมา ข้าพเจ้าก็ใช้กำลังจิตเพ่งปะทะทันที หมูทั้ง ๒ ตัวก็ล้มกองกันอยู่ในที่แห่งนั้น หมอบไปชั่วครู่ แล้วก็ฟื้นตัวกลับกลายเป็นคน คลานเข้ามาหาข้าพเจ้าด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตัว พากันยกมือไหว้ แล้วพูดขึ้นว่า กระผมทั้งสองเป็นใหญ่ในที่แห่งนี้มานาน ได้ทำให้คนตายไปแล้วเป็นจำนวนมาก ในครั้งนี้ กระผมทั้งสองก็จะทำให้ท่านอาจารย์ได้ตายไปอีกเช่นกัน แต่ก็ไม่สามารถทำให้ท่านตายไปได้ กระผมทั้งสองจึงขอยอมแพ้ท่านอาจารย์ในครั้งนี้ ขอให้ท่านอาจารย์จงได้ยกโทษให้แก่กระผมทั้งสองในครั้งนี้ด้วย กระผมทั้งสองขอปวารณาตัวเป็นลูกศิษย์ของท่านอาจารย์นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป เมื่อท่านอาจารย์มีความประสงค์สิ่งใดที่จะให้กระผมทั้งสองช่วยเหลือ ขอจงเรียกกระผมทั้งสองได้ทุกเมื่อ พวกกระผมมีความยินดีพร้อมที่จะรับใช้ท่านด้วยความเต็มใจ และจะให้ความปลอดภัยกับพระเณรที่อยู่กับท่านอาจารย์ด้วย จึงขอให้ท่านได้โปรดเมตตาแก่กระผมทั้งสองนี้ด้วยเถิด
    จากนั้น จิตก็ได้ถอนออกมาจากสมาธิ แล้วใช้ปัญญาพิจารณาดูจึงได้รู้ว่า หมูทั้งสองเป็นพญานาคอยู่ในที่นี้เอง แต่ละคืนที่ไหว้พระสวดมนต์ปฏิบัติภาวนา ก็ได้แผ่เมตตาให้แก่เขาอยู่เสมอ และเขาเหล่านั้นก็มีความเคารพในตัวข้าพเจ้าเป็นอย่างมาก
    ขออธิบายเรื่องผีกับเทวดาให้ท่านฟังสักเล็กน้อย เพื่อจะได้เป็นข้อคิดว่าเป็นมาอย่างไร เพราะใคร ๆ ก็เคยพูดกันในเรื่องนี้มานาน จนทำให้นักปฏิบัติขี้ขลาดตาขาวเกิดความกลัวอยู่เสมอ จะไปภาวนาปฏิบัติในที่ไหน มีแต่กลัวผีกันทั้งนั้น เหมือนกับว่าผีจะมีความดุร้ายหลอกเราไปเสียทั้งหมด ที่จริงแล้ว ทางศาสนาพุทธเราไม่นิยมในคำเรียกว่า ผี มีแต่คำยกยอสรรเสริญว่าเป็น เทวดา กันทั้งนั้น คำว่าผีนั้น เป็นภาษาของชาวบ้านเรียกกันเอง เป็นคำเรียกที่ฝังลึกอยู่ในหัวใจของคนเรามานาน พอเริ่มรู้ภาษา พ่อแม่และญาติ ๆ ก็ยกคำว่าผีนี้ เข้าไปฝังไว้กับใจเด็กตั้งแต่ต้นแล้ว ว่าผีนั้นเป็นลักษณะอย่างนั้นอย่างนี้ มีร่างกายอย่างนั้น มีตาอย่างนี้ สุดแล้วแต่จะพรรณนาไป เพื่อให้เด็กเกิดความกลัว ไม่กล้าไปที่ไหนในเวลาค่ำคืน ถึงจะเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาแล้ว ความกลัวผีก็ยังติดตัวติดใจมาจนถึงปัจจุบัน สำหรับคนที่ขี้ขลาดก็จะนึกถึงผีขึ้นมาเป็นอันดับหนึ่ง คิดว่าผีจะมาหลอกเราอย่างนั้น หลอกเราอย่างนี้ จึงได้เกิดความกลัวขึ้นมา ที่แท้จริงตัวเองนั่นแหละ เป็นผีหลอกตัวเองโดยไม่รู้ตัว ฉะนั้น การกลัวผีหลอกจึงเป็นเพียงความคิดหลอกตัวเองเท่านั้น ตัวสำคัญก็คือนักภาวนาปฏิบัติ เมื่อพูดกันในเรื่องธรรมในหมวดต่าง ๆ ก็พูดได้จนน้ำไหลไฟดับ จนน้ำลายฟูมท่วมปาก ก็ยังหาที่จบลงไม่ได้ ธรรมหมวดไหนเป็นระดับใดรู้ไปหมด แต่ถ้าพูดเรื่องของผีขึ้นมาแล้ว จะตาตั้งหูผึ่งขึ้นมาทันที นี้หรือผู้จะรู้แจ้งเห็นจริงในธรรม ผู้จะนำตัวเองเข้าสู่กระแสแห่งพระนิพพาน ในด่านแรกของผีก็ยังผ่านไปไม่ได้ ไฉนคนขี้ขลาดตาขาวจะผ่านพ้นไปจากโลกนี้ได้เล่า คำว่าผีกับเทวดาก็อยู่ในตัวคนเดียวกัน แต่ละวัน ๆ เราคนเดียวจะเป็นได้ทั้งเทวดาและผี เช่น มีอารมณ์ที่ไม่ชอบใจในหมู่คณะอย่างใดอย่างหนึ่ง ก็จะเกิดหน้าแดงตาเขียวขึ้นมาทันที นี่คือผีตัวจริง ทำไมจึงไม่กลัวผีตัวนี้เล่า หรือเมื่อใดใจมีความผ่องใสร่าเริง คิดอยากจะทำบุญกุศล ใจมีความเมตตาต่อมวลสัตว์
    ทั้งหลาย ใจมีความละอายในการทำความชั่วทั้งปวง ใจมีความกลัวต่อผลของบาปกรรม ใจมีความอยากรักษาศีลภาวนา ในเวลานั้น ก็จะกลายเป็นเทวดาขึ้นมาในตัวเอง ฉะนั้น ถ้าอยากดูผีดูเทวดาตัวจริง ขอให้มาดูตัวเองก็แล้วกัน นี้เรียกว่า ผีภายใน และ เทวดาภายใน
    ส่วน ผีและเทวดาภายนอก ก็เป็นลักษณะอย่างนี้เหมือนกัน เช่น วิญญาณอันเดียวนั้นย่อมเปลี่ยนไปได้ทั้งสองอย่าง เพราะมีความโลภ มีความโกรธ มีความหลง เต็มอยู่ในวิญญาณนั้นทั้งหมด จึงหลอกให้คนกลัวได้ด้วยวิธีการต่าง ๆ หรืออาจทำให้คนตายไปได้เช่นกัน ถ้าอย่างนี้จึงเรียกกันว่าเขาเป็นผี แต่ถ้าเขาชอบใจในวิธีการทำของหมู่มนุษย์อย่างเช่น ทำบุญอุทิศให้เขา หรือภาวนาปฏิบัติแผ่เมตตาให้เขา เขาก็จะมีความรักต่อเราและช่วยเหลือเราให้มีความสุขความเจริญ ถ้าเขาทำให้เราในลักษณะอย่างนี้ ก็เรียกเขาว่าเป็นเทวดา ฉะนั้น ผีกับเทวดาและมนุษย์จึงมีอยู่ในวิญญาณอันเดียวกัน แต่มีความแตกต่างกันเพียงว่า ผีกับเทวดามีวิญญาณอย่างเดียวเท่านั้น แต่ไม่มีกายหยาบ ส่วนมนุษย์มีทั้งวิญญาณและกายหยาบ แต่นิสัยความประพฤติ ความต้องการ จะมีลักษณะเหมือนกัน หรือมนุษย์เราอาจหลอกมนุษย์กันเองยิ่งกว่าผีหลอกคนไปเสียอีก ส่วนวิญญาณที่มีคุณธรรมแฝงอยู่ก็เรียกว่า เทวดาชั้นสูง เขาจะไม่มายุ่งเกี่ยวกับหมู่มนุษย์เราเลย เพราะเขามีบุญเป็นที่พึ่งอาศัย มีหิริโอตตัปปธรรมภายในวิญญาณนั้น ๆ ส่วนวิญญาณที่ต่ำด้วยคุณธรรม จะมีความสัมพันธ์อยู่กับหมู่มนุษย์อยู่ตลอดเวลา เช่น ทำบุญในพิธีต่าง ๆ จะอัญเชิญให้เขาได้มาร่วมอนุโมทนากับหมู่มนุษย์นี้ด้วย มิหนำซ้ำ ยังมาหลอกกินเครื่องสังเวยในหมู่มนุษย์นี้อีกด้วย แต่การหลอกอย่างนี้ก็ยังไม่เท่า มนุสสเปโต ที่อ้างตัวว่าเป็นมนุษย์แต่ใจนั้นเป็นเปรต ได้หลอกลวงต้มตุ๋นในหมู่มนุษย์ด้วยกันเองดังเห็นกันในที่ทั่วไป มนุษย์เปรต มนุษย์ผีกลุ่มนี้ จึงมีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวยิ่งกว่าผีไปเสียอีก จึงได้จัดกลุ่มมนุษย์นี้ออกไปหลายหมวดหมู่ เช่น มนุสสเทโว ถึงร่างกายจะเป็นมนุษย์ แต่จิตใจเป็นเทวดา มนุสสมนุสโส ร่างกายเป็นมนุษย์ จิตใจก็ยังเป็นมนุษย์ที่ใฝ่ใจในทางคุณธรรม มนุสสเปโต ร่างกายเป็นมนุษย์ แต่ใจนั้นกลายเป็นเปรตไปเสียแล้ว มนุสสดิรัจฉาโน ร่างกายเป็นมนุษย์ แต่จิตใจได้กลายเป็นสัตว์ดิรัจฉาน อีกพวกหนึ่ง ร่างกายเป็นมนุษย์ แต่จิตใจเป็นอสุรกาย มนุษย์อสุรกายกลุ่มนี้จะมีวิชาเก่งในทางต้มตุ๋นหลอกลวงเป็นพิเศษ อะไรที่พอจะเอาได้เป็นประโยชน์ส่วนตัวจะคว้าเอาทั้งนั้น หรือสิ่งใดพอจะได้มาเป็นประโยชน์ในกลุ่มของตัวเอง ก็หาวิธีแยกแยะด้วยเล่ห์กลที่หลอกลวงเอาในสิ่งนั้นให้ได้ ใจไม่มีคุณธรรมแม้แต่นิดเดียว แต่การพูดการแสดงมีความตลบ
    ตะแลงแพรวพราวไปทั้งหมด นี่เรียกว่าปีศาจครองร่างมนุษย์ ส่วนปีศาจที่ไม่มีร่างกายครอง ก็จะหลอกลวงกินเครื่องสังเวยของมนุษย์นี้ได้เป็นอย่างดี ที่ไหนมีคนโง่ตั้งศาลพระภูมิขึ้น มีหัวหมู เป็ด ไก่ คาวหวานนานาชนิด พวกปีศาจเหล่านี้ชอบไปแสดงตัวในที่เช่นนั้น จะทำตัวเป็นเทพารักษ์
    ผู้ศักดิ์สิทธิ์เข้าอยู่อาศัยในศาลพระภูมินั้นทันที มนุษย์โง่ก็จะนำเครื่องสังเวยดี ๆ ไปให้กินเป็นประจำ มิหนำซ้ำ ยังกราบไหว้ขอความช่วยเหลือจากปีศาจเหล่านี้อีกด้วย ดูแล้วน่าสังเวช

    *******วิปัสสนาญาณเกิดขึ้น
    ในวันหนึ่ง หลังจากเสร็จจากการภาวนาและพักผ่อนแล้ว เวลาประมาณบ่าย ๓ โมงเย็น เป็นเวลาที่จะออกเดินจงกรม ในขณะนั้น ได้ออกมานั่งพักผ่อนอยู่ที่ระเบียงกุฏิ มองไปเห็นเครือตูดหมูตูดหมา (เครือกระพังโหม) พุ่มหนึ่งเกิดขึ้นข้างทางเดินจงกรม แต่ก่อนเคยให้เณรเอาออกมาแล้วสองครั้ง แต่ก็ได้เกิดขึ้นมาในที่เดิมอีก ในช่วงนั้น ใจมีปัญญารู้เห็นในสัจธรรมต่าง ๆ อยู่แล้ว และรู้เห็นเหตุปัจจัยที่จะพาให้เป็นไปในภพทั้งสามอย่างชัดเจน เมื่อมาเห็นเครือตูดหมูตูดหมา
    เท่านั้น ก็เอามาเป็นอุบายของปัญญาทันทีว่า เครือตูดหมูตูดหมานั้นก็เหมือนกันกับตัวเรา มันเกิดขึ้นด้วยเหตุปัจจัยในตัวมันเอง เมื่อใดหัวเครือตูดหมูตูดหมานั้นยังฝังอยู่ในดิน ปัจจัยที่จะเกิดขึ้นมาอีกนั้นย่อมเป็นผลต่อเนื่องกัน เมื่อใดได้ขุดเอาหัวเครือตูดหมูตูดหมาขึ้นมาจากพื้นดินได้แล้ว ตากแดดให้แห้ง หรือเอาไฟเผาให้ไหม้เสีย เหตุปัจจัยที่จะทำให้เครือตูดหมูตูดหมานั้นเกิดขึ้นอีกเป็นอันไม่มี นี้ฉันใด ใจที่ไปก่อเอาภพชาตินั้น ก็เพราะใจยังมีกิเลส ตัณหา อวิชชา พาให้เป็นไป เมื่อใดที่ได้ทำลายกิเลส ตัณหา อวิชชา ให้หมดไปจากใจได้แล้ว ชาติภพที่เกิดขึ้นมาอีกจะมีมาจากที่ไหน ในขณะนั้น ลักษณะของใจมีความว่างไปเสียทั้งหมด ไม่มีสถานที่ใดในภพทั้งสามมีความยึดถือผูกพัน ในช่วงนั้น สติปัญญามีความกล้าหาญมาก จากนั้น ก็ลงสู่ทางเดินจงกรม ใช้ปัญญาพิจารณธรรม
    ฉะนั้น กรรมดีกรรมชั่วจึงมีอยู่ในภพทั้งสามนี้ ยากที่จะออกจากภพทั้งสามนี้ไปได้ เพราะกรรมทั้งสองนี้มีความผูกพันอยู่กับมนุษยโลกทั้งหลาย มนุษยโลกทั้งหลายมีความผูกพันกับโลกนี้มานาน ความรัก ความหวงแหน ความยึดติดกับโลกนี้จึงมีอยู่อย่างแนบแน่นสนิทใจ อย่างมาก็เพียงทำกรรมดีเพื่อไปเกิดในสุคติสวรรค์ เมื่อหมดกรรมดีก็กลับลงมาเกิดในโลกมนุษย์อีก ถ้าหากเผลอตัวไปทำความชั่ว กรรมชั่วก็ส่งผลให้ไปเกิดในอบายภูมิตามภพต่าง ๆ ที่ทำความชั่วเอาไว้ วนไปเวียนมาอยู่ในภพทั้งสามนี้ ไม่มีที่สิ้นสุด คำว่า โลกวิทู ที่พระพุทธเจ้าทรงประกาศไว้ว่าเป็นผู้รู้แจ้งเห็นจริงในโลกนั้น ก็คือโลกทั้งสาม คือ กามโลก รูปโลก อรูปโลก ดังได้อธิบายมานี้เอง ฉะนั้น โลกทั้งสามนี้มีความเกี่ยวโยงกัน เรียกว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวของสัตว์โลกทั้งหลายก็ว่าได้ จึงเรียกอีกคำหนึ่งว่า วัฏจักร คือ เป็นสถานที่วนเวียนขึ้นลงไปมาของสัตว์โลก
    ดังนั้น ผู้จะหนีจากโลกทั้งสามนี้ไปได้ต้องเป็นผู้เพียบพร้อมด้วยสติปัญญา สามารถรู้เห็นความเป็นจริงของโลกทั้งสามนี้ทั้งหมด เพราะโลกทั้งสามก็ยังตกอยู่ใน
    ไตรลักษณ์ คือ ความไม่เที่ยง มีความเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ดังผู้ไปเกิดอยู่ในพรหมโลก ก็ยังต้องลงมาเกิดในโลกมนุษย์นี้อีก เรื่องของความไม่เที่ยงนั้นคงจะนำมาเขียนให้ท่านอ่านทั้งหมดไม่ได้ เพราะจะทำให้หนังสือเล่มใหญ่เกินไป แต่อยากให้เข้าใจอย่างรวบรัดไว้ว่า สพฺเพ สงฺขารา
    อนิจฺจา สรรพสังขารทั้งหลายเป็นของไม่เที่ยง
    คำว่า ทุกข์นั้นมีศูนย์รวมแห่งเดียวคือใจ หรือสุขก็มารวมที่ใจแห่งเดียวเช่นกัน ฉะนั้น ความทุกข์จึงไม่มีใคร ๆ ต้องการ ตลอดจนสัตว์ดิรัจฉานก็แสดงความไม่ต้องการเช่นกัน ถึงจะไม่ต้องการในความทุกข์ แต่เมื่อสร้างเหตุแห่งทุกข์ไว้แล้ว ก็จะต้องได้รับทุกข์อยู่นั่นเอง เหตุแห่งทุกข์นั้นเราจะสร้างขึ้นด้วยเจตนาหรือไม่เจตนาก็ตาม
    นิสัยของผู้จะหนีไปจากภพทั้งสาม จึงไม่มีการต่อรองกับกิเลสตัณหาอีก
    ต่อไป เพราะชาติภพที่ผ่านมายาวนานนั้น เราเสียเปรียบกิเลสตัณหามาตลอด ชาตินี้จะเป็นชาติสุดท้ายของเรา กิเลสตัณหาจะเอาอะไรมาต่อรองอีก เราจะไม่รับทั้งสิ้น กิเลสตัณหาได้พาให้เรายึดติดในขันธ์ ๕ ว่าเป็นตน ใจก็หลงกลลวงของกิเลสตัณหามาตลอด บัดนี้ใจเรามีปัญญารู้แจ้งเห็นจริงในขันธ์ ๕ อย่างชัดเจน เช่น รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อันเป็นรูปธรรม นามธรรม ประจำตัว เราจะไม่หลงยึดติดอยู่ในขันธ์ ๕ นี้อีกต่อไป เพราะเคยอาศัยอยู่กับรูปธรรม นามธรรม นี้มาแล้ว แต่ละชาติที่เกิดมาก็เหมือนกันกับชาติปัจจุบันนี้ จะมีชาติ อนาคตต่อไปก็เป็นธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ คือรูปธรรม นามธรรม เหมือนชาติปัจจุบันนี้เอง ถ้าธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ ยังมีการเกิดดับไปตามเหตุปัจจัยของโลกนี้อยู่ เราจะตามเอาสิ่งที่เกิดดับมาเป็นตัวตนได้อย่างไร เราเองเคยตามภพชาตินี้มาแล้วและเคยได้ครองร่างของธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ นี้มาจนนับชาติ
    ไม่ถ้วนประมวลไม่ได้ ก็ไม่มีธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ ในภพชาติใด ๆ เป็นตัวตนได้เลย ชาติก่อนเป็นมาอย่างไร ในชาตินี้ก็จะเป็นไปอย่างนั้น ในอนาคตชาติหน้าก็เป็นไปในลักษณะเดียวกัน ฉะนั้น จะไปยึดติดกับธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ อันเกิดดับนี้ไปทำไม เกิดมาชาติไหน ธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ ก็ดับไปในชาตินั้น เกิดมาในชาตินี้ ธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ ก็ดับไปในชาตินี้ จะเกิดมาอีกในชาติหน้า ธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ ก็ดับไปในชาติหน้า ถ้าธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ เกิดดับซ้ำซากอยู่อย่างนี้ ทำไมจึงไม่มีความเบื่อหน่อยใน
    ภพชาตินั้นเล่า จะมัวเมายึดติดในธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ นี้ไปทำไม นี่ก็เพราะใจมีเชื้อแห่งความเกิด คือตัวสมุทัย นั่นเอง
    เมื่อตัวสมุทัยยังฝังแน่นอยูในใจ ก็จะพาให้ใจไปก่อภพชาติในวัฏสงสารไม่มีที่
    สิ้นสุด ถ้าทำลายตัวสมุทัย คือ กามตัณหา ภวตัณหา และวิภวตัณหา ให้หมดไปจากใจ
    ได้แล้ว ความเกิดเป็นภพชาติอีกจะมีมาจากที่ไหน ถ้าภพชาติไม่มี ความทุกข์ก็หมดสภาพไป เมื่อใจไม่มีกิเลสตัณหาเป็นเชื้ออยู่ เมื่อนั้นกระแสแห่งพระนิพพานก็จะเปิดรับทันที คำว่ากระแสแห่งพระนิพพานนั้น จะมีเฉพาะพระอริยเจ้าเท่านั้นจะเข้าถึงได้ อย่างน้อยเป็นผู้บรรลุอริยธรรมขั้นพระโสดาบัน เส้นทางที่ตรงสู่กระแสแห่งพระนิพพานนั้น มีเฉพาะศาสนาพุทธเท่านั้น
    ********นิโรธคือความดับทุกข์


    คำว่าง่าย ก็เหมือนกันกับเราเอาสว่านไปเจาะรูไม้ที่เจาะไว้แล้ว ถึงแม้จะทิ้งไว้นานจนเปลือกไม้เกิดหุ้มปิดรูเอาไว้ เมื่อบังเอิญได้โอกาสมาเจาะอีกในคราวหลังให้ถูกรูเดิม ก็เจาะทะลุได้อย่างง่ายดาย นี้ฉันใด ผู้ที่ท่านภาวนาง่ายได้รับผลจากการปฏิบัติเร็ว จึงมีเหตุผลใหญ่ ๆ อยู่ ๓ ประการ คือ ๑. วาสนาบารมีเก่าเคยทำมาแล้วในอดีต ที่เรียกว่า ปุพเพกตะปุญญตา คือ ผู้ที่ได้บำเพ็ญบุญกุศลมาแล้วในปางก่อน ๒. ได้อุบายธรรมในการปฏิบัติตรงกับนิสัยวาสนาบารมีของตัวเอง ๓. มีความตั้งใจที่แน่วแน่จริงจังในการปฏิบัติธรรม ทั้ง ๓ อุบายนี้ เมื่อมารวมตัวกันเมื่อไร การภาวนาปฏิบัติก็ง่ายไม่มีอุปสรรคในการปฏิบัติแต่อย่างใด จะเรียกได้ว่า สุขาปฏิปทา ขิปปาภิญญา คือ ปฏิบัติง่ายและรู้เห็นในสัจธรรมได้เร็ว ไม่มีอุปสรรคแต่อย่างใด
    การภาวนาปฏิบัติ กว่าจะเข้าถึงวิปัสสนาญาณได้นั้น ไม่ใช่เป็นของง่ายเลย เพราะวิปัสสนาญาณนั้นเป็นต้นทางของอริยมรรค เมื่อท่านผู้ใดทำให้วิปัสสนาญาณเกิดขึ้นได้แล้ว เรียกว่า นิตยมรรค คือ เส้นทางที่ตรงและเป็นเส้นทางที่แน่นอน ไม่มีทางแยกอื่นใด ที่จะทำให้เกิดความลังเลสงสัย และไม่มีทางอื่นอันจะทำให้เกิดความหลง เพราะเส้นทางนี้จะตรงเข้าสู่พระนิพพานโดยตรง เมื่อวิปัสสนาญาณได้เกิดขึ้นกับท่านผู้ใดแล้ว ท่านผู้นั้นจะรู้ตัวทันทีว่า ปัญญาญาณของเราได้เกิดขึ้นแล้ว การภาวนาปฏิบัติก็ไม่ต้องไปหาถามใครอีกต่อไปว่าผิดหรือถูก เพราะตัวเองจะรู้ทั้งหมดแล้ว โอกาสที่จะไปถามผู้อื่นนั้นไม่มี เหมือนกับบัณฑิตสามเณรผู้เป็นลูกศิษย์ของพระสารีบุตร เมื่อเข้าไปบิณฑบาตกับอาจารย์ ไปเห็นชาวนาเอาน้ำเข้านา ก็ถามอาจารย์ว่าเขาทำอะไร อาจารย์บอกว่าเขากั้นดินเอาน้ำเข้านา เขาต้องการจะให้น้ำไหลไปทางไหน เขาก็กั้นดินเอาไว้ น้ำก็จะไหลไปในทางที่ต้องการ เมื่อสามเณรได้ฟังดังนั้น ก็ดำริพิจารณาว่า น้ำไม่มีหัวใจไหลไปตามธรรมชาติ และไหลไปในทางที่ต่ำอยู่ตลอดเวลา คนผู้มีปัญญาที่ฉลาดก็สามารถกั้นเอาน้ำไปใช้ประโยชน์ในการทำนาในพื้นที่สูงได้ โอปนยิโก สามเณรก็น้อมเอาชาวนากับน้ำที่ไหลไปนั้นเข้ามาหาตัวเองว่า ใจเราก็ชอบคิดไปในทางที่ต่ำอยู่เสมอ ถ้าปล่อยให้คิดไปอย่างนี้ก็ไม่มีประโยชน์กับตัวเราเลย มิหนำซ้ำ ยังจะเป็นโทษให้แก่เราผู้ปล่อยใจไปตามอารมณ์อย่างแน่นอน
    สามเณรเดินตามหลังอาจารย์ไปด้วย คิดพิจารณาไปด้วย ไปถึงอีกแห่งหนึ่งก็เห็นนายพรานเขากำลังดัดลูกศร ก็ได้ถามอาจารย์ว่า ท่านอาจารย์ครับ คนเหล่านั้นเขาทำอะไร อาจารย์ก็บอกว่า คนเหล่านั้นเป็นนายพราน เขากำลังดัดลูกศรให้ตรง สามเณรถามต่อไปว่า เขาดัดลูกศรให้มันตรงเพื่ออะไร อาจารย์ตอบว่า ถ้าลูกศรดัดให้ตรงแล้ว เขาก็จะเอาไปยิงสัตว์ และยิงถูกเป้าหมายตามที่เขาต้องการ ถ้าลูกศรไม่ตรง ถึงจะยิงสัตว์หรือยิงอะไรก็ตาม ก็จะไม่ถูกตาม
    เป้าหมายนั้นเลย เมื่อสามเณรได้ฟังดังนั้น ก็ โอปนยิโก น้อมเข้ามาหาตัวเอง พิจารณาด้วยปัญญาทันที เกิดความฉลาดรอบรู้ขึ้นที่ใจ จึงได้พูดกับอาจารย์ว่า ท่านอาจารย์ครับ นิมนต์ท่านอาจารย์ไปบิณฑบาตองค์เดียวเถิด กระผมจะกลับวัด ถ้าท่านอาจารย์ได้อาหารขอได้เอามาฝากกระผมด้วย จากนั้น สามเณรก็กลับวัด แล้วขึ้นสู่บนกุฏิเข้าที่นั่งภาวนาอย่างกล้าหาญทีเดียว
    เมื่อท่านได้ฟังได้อ่านมาถึงจุดนี้แล้ว ท่านคิดว่าสามเณรจะนั่งภาวนาอย่างไร ต้องตอบว่า สามเณรคงรีบไปนั่งสมาธิภาวนาทำใจให้มีความสงบใช่ไหม รับรองว่าท่านต้องตอบอย่างนี้ด้วยกันทั้งนั้น เพราะ ขณะนี้ นักภาวนามักจะเข้าใจและทำกันจนเป็นนิสัย เพราะเข้าใจว่าการนั่งภาวนาก็คือ การนั่งทำความสงบในสมาธินั่นเอง ที่จริงแล้วสามเณรนั่งภาวนานั้น มิใช่นั่งสมาธิภาวนาตามความเข้าใจของเรา แต่นั่งเจริญวิปัสสนาภาวนาต่างหากเล่า นั่นคือ สามเณรได้ข้อมูลจากชาวนาที่กำลังเอาน้ำเข้านา และไปเห็นนายพรานกำลังดัดลูกศรที่จะไปยิงสัตว์ เมื่อนั่งได้ที่แล้วก็ โอปนยิโก น้อมเอาเรื่องของชาวนาเอาน้ำเข้านามาเป็นอุบาย และน้อมเอาเรื่องของนายพรานดัดลูกศรมาเป็นข้อมูลในการใช้ปัญญาพิจารณา เอาอุบายเหตุภายนอกเข้ามาประกอบเปรียบเทียบเหตุภายใน คือ กายและใจ ให้เป็นไปตามหลักความเป็นจริงที่เพียบพร้อมด้วยเหตุผล สามเณรพิจารณาในเรื่องนี้อย่างไร จะไม่เขียนไว้ให้อ่านหรอกนะ ขอให้เราได้ใช้ปัญญาของตัวเอง ถ้าเราพบเหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้น เราจะใช้ปัญญาพิจารณาเปรียบเทียบได้อย่างไร ให้ทดสอบดูปัญญาเราก็แล้วกัน
    ในช่วงนั้น สามเณรภาวนาอย่างหนักทีเดียว แต่ก็ยังไม่ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ ฝ่ายพระสารีบุตรได้หางปลาตะเพียนและอาหารอย่างอื่น ๆ แล้ว ก็นึกถึงสามเณรว่า ขณะนี้สามเณรคงจะหิวอาหาร และนั่งรอเราอยู่ที่กุฏิแล้ว จึงรีบนำเอาอาหารไปให้สามเณร ขณะนั้น พระพุทธเจ้ามีพระญาณอันรอบรู้ในเรื่องของสามเณรนี้อยู่แล้ว พระองค์ทรงดำริว่า ถ้าเราไม่ไปกันพระสารีบุตรเอาไว้ก่อน พระสารีบุตรก็จะไปเรียกสามเณรมาฉันอาหารซึ่งจะไปทำลายวิถีจิตของสามเณรผู้กำลังจะบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์นี้อย่างแน่นอน จากนั้น พระพุทธเจ้าจึงได้มาปรากฏพระองค์อยู่ในเส้นทางของพระสารีบุตรที่กำลังเดินมา จากนั้น พระพุทธเจ้าก็มีอุบายธรรมต่าง ๆ สนทนากับพระสารีบุตรเพื่อถ่วงเวลาเอาไว้ เพราะขณะนี้สามเณรยังไม่ได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ เมื่อสามเณรบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์แล้ว พระพุทธเจ้าก็ปล่อยให้พระสารีบุตรนำอาหารมาให้สามเณรทันที นี้เพียงอธิบายให้ลักษณะผู้จะบรรลุเป็นพระอรหันต์ให้ท่านได้รู้เอาไว้
    ฉะนั้น อุบายของผู้จะบรรลุธรรมนั้นไม่เหมือนกันทั้งหมด แต่เมื่อได้บรรลุธรรมแล้ว ความบริสุทธิ์จะเหมือนกันทั้งนั้น ถ้าท่านผู้ที่เคยอ่านตำราเกี่ยวกับปฏิปทา ๔ จะเข้าใจทันที นั่นคือ สุขาปฏิปทา ขิปปาภิญญา สุขาปฏิปทา ทันธาภิญญา ทุกขาปฏิปทา ขิปปาภิญญา ทุกขาปฏิปทา ทันธาภิญญา ทั้งสี่อย่างนี้มีอุบายธรรมแตกต่างกัน แต่ก็เป็นไปตามวาสนาบารมีของแต่ละท่านที่สร้างมาแล้วในอดีตชาตินั้นเอง ผู้จะบรรลุธรรมได้เร็วหรือผู้จะบรรลุธรรมได้ช้า อย่าไปถือเป็นเรื่องสำคัญ เพราะพระอรหันต์ท่านไม่มีนิสัยอย่างนี้ ไม่มีการโอ้อวดกันว่า ผู้บรรลุธรรมก่อนจะดีกว่าผู้ที่ได้บรรลุธรรมทีหลัง อย่างไรก็ขอให้ภาวนาให้ถึงที่สุดในชาตินี้ก็แล้วกัน เพราะความบริสุทธิ์ของพระอรหันต์นั้นเหมือนกันทั้งหมด ไม่ได้แบ่งแยกกันเป็นหมวดเป็นหมู่ในความบริสุทธิ์นี้เลย นับแต่พระพุทธเจ้าลงมาถึงพระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์ผู้ถึงพร้อมด้วยจตุปฏิสัมภิทา พระอรหันต์ผู้มีฉฬภิญโญ พระอรหันต์ผู้มีเตวิชโช พระอรหันต์ผู้เป็นสุกขวิปัสสโก ทั้งหมดนี้มีความบริสุทธิ์เสมอภาคกัน ถึงพระนิพพานคือความดับทุกข์อย่างสนิทเหมือนกัน ฉะนั้น พระอรหันต์ที่อยู่รวมกันตั้งแต่สององค์ขึ้นไป ท่านไม่ได้ถามถึงจิตที่มีความบริสุทธิ์ต่อกันแต่อย่างใด อย่างมากก็ถามเพียงว่าได้อุบายใดเป็นหลักของวิปัสสนาญาณ หรือได้กำลังใจอย่างเต็มที่อยู่ที่ไหนไปทำนองนั้น ไม่ได้ถามซักไซ้กันถึงเรื่องความบริสุทธิ์แต่อย่างใด ที่ถามกัน ซักไซ้กันนั้น เป็นเรื่องของคน
    *********ณ วัดถ้ำกลองเพล
    เมื่อออกพรรษาแล้วก็กลับวัดถ้ำกองเพล ได้คิดไว้แล้วว่า ถ้าหลวงปู่ขาวท่านถามเรื่องผลของการภาวนาก็จะเล่าถวายท่านไป แต่ถ้าท่านไม่ถาม ก็จะไม่ขอโอกาสเล่าถวายให้ท่านฟังเลย เมื่อไปถึงวัด เป็นเวลามืดค่ำราว ๆ ประมาณ ๒ ทุ่ม จึงไม่ได้ขึ้นไปกราบท่าน เช้าวันต่อมาก่อนออกบิณฑบาต ท่านหลวงปู่ก็ลงมาที่ศาลา จึงได้เข้าไปกราบท่าน กราบยังไม่ทันเสร็จ ท่านก็รีบถามขึ้นมาว่า เป็นอย่างไร ทูล การภาวนา เล่าให้ฟังหน่อยซิ จึงเรียนท่านไปว่า ขอโอกาสหลวงปู่ ตอนเย็นวันนี้ กระผมจะไปเล่าถวายให้หลวงปู่ฟังที่กุฏิครับ หลวงปู่ก็พยักหน้า แล้วก็ออกบิณฑบาตตามปกติ เมื่อถึงตอนเย็นหลังจากที่พระเณรลงจากกุฏิหลวงปู่ไปหมดแล้ว ข้าพเจ้าก็ได้โอกาสอยู่กับหลวงปู่เพียงลำพัง จากนั้น ก็ขอโอกาสเล่าถวายเกี่ยวกับผลของการปฏิบัติให้ท่านฟัง เมื่อเล่าถวายเสร็จแล้ว หลวงปู่ท่านก็พูดว่า ผลของการปฏิบัติอย่างนี้ น้อยองค์นักที่จะเป็นไปได้ ผมก็เป็นมาอย่างนี้เหมือนกัน ผลของการปฏิบัติที่เป็นของจริง ไม่ต้องพูดกันมาก เมื่อพูดกันเพียงประโยคแรกก็รู้ความหมายทันที ทุกวันนี้มีผู้รู้ผลของการปฏิบัติน้อยมาก หลวงปู่ถามว่า บวชมาได้กี่ปีแล้วจึงรู้ผลอย่างนี้ ตอบว่า ขอโอกาส กระผมบวชมาได้ ๘ ปี หลวงปู่ก็ยิ้ม ๆ แล้วพูดว่า คงเป็นเพราะบารมีเก่าได้สร้างมาแล้วในชาติก่อนเป็นเหตุปัจจัย ไม่เช่นนั้น จะไม่รู้ผลของการปฏิบัติเร็วถึงขนาดนี้หรอก หลวงปู่ถามว่า ก่อนที่จะมีปัญญาเกิดขึ้น ได้มีอะไรเป็นอุบายในการพิจารณา ก็ขอโอกาสต่อหลวงปู่ แล้วก็เล่าถวายในเหตุปัจจัยที่ทำให้เกิดปัญญา ได้เล่าเรื่องเครือกระพังโหม ให้หลวงปู่ฟัง การเล่าเรื่องทั้งหมดนั้น ก็เหมือนกับที่ได้อธิบายมาแล้วทั้งหมด
    เมื่อเล่าถวายจบ หลวงปู่ก็ยิ้ม ๆ แล้วพูดขึ้นมาว่า เหตุและอุบายที่ทำให้เกิดปัญญา ดังที่ท่านได้เล่ามานี้ เหมือนกันกับเฮา แต่ต่างกันเพียงเป็นวัตถุคนละอย่างกัน จึงขอโอกาสถามหลวงปู่ว่า เหตุที่ทำให้เกิดอุบายปัญญาของหลวงปู่นั้น หลวงปู่มีอะไรเป็นเหตุเป็นอุบายครับผม จากนั้น หลวงปู่ก็ได้เล่าเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ผ่านมาแล้วหลายสิบปี หลวงปู่เล่าให้ฟังอย่างละเอียดติดต่อกัน เหมือนกับว่าประสบการณ์นั้นเพิ่งเกิดขึ้นเพียง ๒ - ๓ วันนี้เอง กิริยาท่าทางการแสดงออก หลวงปู่จำได้อย่างแม่นยำทีเดียว หลวงปู่เล่าถึงเหตุที่ทำให้เกิดปัญญาในครั้งนั้นว่า ในบ่ายวันหนึ่ง ได้ลงไปสรงน้ำที่เชิงดอย เป็นเวลาที่ชาวนากำลังเก็บเกี่ยวข้าว เมื่อมองดูทุ่งนา ก็ล้วนแต่มีข้าวแก่เหลืองเต็มไปหมด ในตอนนั้นน้ำก็ยังไม่ได้สรง ในขณะที่ดูข้าวในนาเขาอยู่นั้น มีความคิดเกิดขึ้นที่ใจว่า เมล็ดข้าวนี้เกิดมาจากอะไร มีอะไรเป็นเหตุให้เมล็ดข้าวเกิดขึ้น ก็คิดตอบทันทีว่า เมล็ดข้าวเกิดขึ้นจากเมล็ดข้าวเอง เพราะเมล็ดข้าวนั้นมีเชื้อพาให้เกิด เมื่อคนเอาเมล็ดข้าวที่มีเชื้อนั้นไปหว่านลงบนพื้นดิน เชื้อของเมล็ดข้าวนั้นก็เริ่มแตกตุ่มออกมาจากเมล็ดข้าวนั้น ทีแรกก็เป็นตุ่มขาว ๆ เล็ก ๆ มีรากหยั่งลงไปในพื้นดิน แล้วดูดเอาปุ๋ยต่าง ๆ จากพื้นดินมาเป็นอาหาร ต่อมาก็มีต้นข้าวเล็ก ๆ งอกออกมาจากเมล็ดข้าวนั้น หลายวันต่อมาก็งอกงามเหมือนกับต้นหญ้า เมื่อได้ประมาณ ๑ เดือน เขาก็ถอนขึ้นมา แยกออกไปปลูกในพื้นดินอีก ต้นข้าวก็ใหญ่ขึ้นแก่ขึ้น เมื่อโตเต็มที่แล้วก็ออกรวงเป็นเมล็ดข้าวเปลือกอ่อน ๆ จากนั้นเมล็ดข้าวเปลือกอ่อน ๆ ก็แก่ขึ้น มีเมล็ดข้าวสารเกิดขึ้นในเมล็ดข้าวเปลือกนั้น และมีเชื้อติดอยู่กับหัวเมล็ดข้าว เมื่อแก่แล้ว ชาวนาก็จะเก็บเอาเมล็ดข้าวที่มีเชื้อนั้นไว้ เพื่อจะไว้ใช้ทำพันธุ์ต่อไป เมล็ดข้าวที่จะได้เกิดขึ้นมาใหม่ ก็เหมือนกันกับเมล็ดข้าวเก่านี่เอง
    หลวงปู่อธิบายต่อไปว่า เมล็ดข้าวที่มีเชื้ออยู่นี้ เมื่อไปตกอยู่กับพื้นดินที่ชุ่มเมื่อไรก็จะเกิดเป็นต้นขึ้นมาอีก แต่ถ้าแกะเอาเปลือกนอกมันออกทิ้งไป แล้วใช้เล็บมือแกะเอาหัวเชื้อที่เมล็ดข้าวออกทิ้งไปเสีย เมล็ดข้าวที่เหลือถึงจะเอาไปหว่านลงในพื้นดินที่ชุ่มไปด้วยน้ำและปุ๋ย เมล็ดข้าวนั้นก็จะไม่เกิดเป็นต้นขึ้นมาอีกเลย หรือเอาเมล็ดข้าวเปลือกนั้นไปคั่วด้วยไปให้ร้อนไหม้ เมื่อนำมาหว่านบนพื้นดินก็จะไม่เกิดอีกเช่นกัน เพราะเชื้อในเมล็ดข้าวนั้นได้ถูกทำลายไปหมดแล้ว จึงหมดเหตุหมดปัจจัยที่จะทำให้เมล็ดข้าวเกิดขึ้นมาได้อีก เมื่อพิจารณาเมล็ดข้าวเสร็จแล้วก็ โอปนยิโก น้อมเอาเมล็ดข้าวนั้นเข้ามาหากาย และน้อมเข้ามาหาใจ แล้วใช้ปัญญาพิจารณาต่อไปว่า ต้นข้าวทั้งหมดเหมือนกันกับร่างกายเรา เมล็ดข้าวนั้นเหมือนกันกับใจเรา เชื้ออยู่ในหัวเมล็ดข้าวนั้นเหมือนกันกับกิเลส ตัณหา อวิชชา การใช้เล็บมือแกะหัวเชื้อที่อยู่ในเมล็ดข้าวทิ้งไป ก็เหมือนกันกับได้ใช้สติปัญญากำจัดกิเลส ตัณหา อวิชชา ออกจากใจได้แล้ว ถ้าใจไม่มีเชื้อที่จะพาให้เกิดเป็นภพเป็นชาติอีก ร่างกายนี้จะมีมาจากที่ไหน ฉะนั้น เรื่องของใจและเรื่องกิเลส ตัณหา อวิชชา ที่มีอยู่ในใจจึงเป็นสิ่งสำคัญ ต้องกำจัดให้หมดไปในชาตินี้ให้ได้ เพื่อจะไม่ให้ภพชาติของเรายืดเยื้อในการไปเกิดใหม่อีกต่อไป ท่านผู้อ่านทั้งหลาย ในช่วงที่หลวงปู่เอาเมล็ดข้าวมาพิจารณาด้วยปัญญานี้เอง จึงเป็นจุดเริ่มต้นของวิปัสสนาญาณที่ได้เกิดขึ้นแล้ว ถ้าดูเพียงผิวเผินก็เหมือนกับใช้ความคิดพิจารณาธรรมดา ไม่แตกต่างกันกับความคิดพิจารณาของนักปฏิบัติทั่ว ๆ ไป แต่มีอีกอย่างหนึ่งที่ไม่เหมือนกัน นั่นคือ กำลังของใจ กำลังของสติ กำลังของปัญญา และกำลังบารมี ที่มาบรรจบกันพอดี เรียกว่า บารมี
    หลังจากนั้น หลวงปู่ก็ได้สรงน้ำ และใช้กระบอกไม้ไผ่ตักเอาน้ำสะพายกลับมากุฏิทันที ในระหว่างที่เดินกลับนี้ หลวงปู่ก็ใช้อิริยาบถเดินจงกรม โดยใช้ปัญญาพิจารณาในสัจธรรมอยู่ตลอด ปัญญานี้จะมีความต่อเนื่องกันจากเมล็ดข้าวดังที่ได้อธิบายมาแล้ว เพื่อเป็นอุบายสอนใจอยู่ตลอดเวลา พิจารณาด้วยปัญญาประกอบเหตุผลให้เป็นไปตามความเป็นจริง ให้ใจได้เห็นทุกข์ โทษ ภัย ในชาติ คือ ความเกิด แก่ เจ็บ ตาย ว่าไม่มีอะไรเป็นของของเราอยู่ตลอดเวลา ปัญญาที่นำอุบายธรรมมาสอนใจนั้นห้าวหาญเด็ดเดี่ยวมาก จะพิจารณาเรื่องใดก็รู้เห็นชัดเจนไปทั้งหมด อุบายปัญญาที่นำมาพิจารณานั้นก็เป็นอุบายเก่า ๆ ที่เคยใช้มาแล้วทั้งหมด แต่ก่อนพิจารณาไม่ได้ผลเท่าที่ควร เพราะใจยังไม่ยอมรับความจริงในสิ่งนั้น ๆ แต่เมื่อวิปัสสนาญาณเกิดขึ้นที่ใจได้แล้ว ก็จะประหารกิเลสตัณหาอวิชชาที่มีอยู่ในใจให้หมดไป นั่นคือ ใจยอมรับตามความเป็นจริงทั้งหมด จะรู้เห็นในความเกิด แก่ เจ็บ และตาย ว่าเป็นทุกข์ เป็นโทษ เป็นภัย ที่น่ากลัวไปเสียทั้งหมด ชาติคือ ความเกิดในอดีตที่ผ่านมา ก็มีแต่ทุกข์ โทษ ภัย ในชาติปัจจุบันนี้ก็มีแต่ทุกข์ โทษ ภัย เต็มอยู่ในกายในใจทั้งหมด อนาคตที่จะไปเกิดในภพชาติต่อไป ก็จะมีแต่ทุกข์ โทษ ภัย เหมือนในชาติปัจจุบันนี้เอง ใจจึงมีความกลัวในการเกิดเป็นอย่างยิ่ง และเบื่อหน่ายในธาตุขันธ์ที่จะไปเกิดเอาภพชาติอีกต่อไป ในตอนเย็นวันนั้น หลวงปู่เดินจงกรมใช้ปัญญาพิจารณาอยู่ตลอด เมื่อค่ำมืดหลวงปู่ก็ขึ้นไปภาวนาที่กุฏิต่อไป หลวงปู่เล่าว่า การขึ้นไปภาวนาที่กุฏินั้นใช้อุบายในการทำสมาธิ เมื่อใช้สติกำหนดจิตนิดเดียวเท่านั้น ก็ลงสู่ความสงบเต็มที่ หลวงปู่ว่า นับแต่ปฏิบัติภาวนามาหลายปี เพิ่งรู้จักจิตสงบเป็นสมาธิในครั้งนี้เอง แต่ก่อนจิตมีความสงบเหมือนกับสายฟ้าแลบแวบเดียวก็ถอนออกมา แล้วจึงใช้ปัญญาพิจารณาด้วยอุบายธรรมต่าง ๆ ตลอด แต่บัดนี้ จิตมีความสงบหนักแน่นแน่วแน่มาก หลวงปู่จำคำสอนของหลวงปู่มั่นที่สอนไว้ว่า ขาว ถ้าจิตมีความสงบถึงฐานของสมาธิแล้ว อย่าไปบังคับให้ถอนนะ ปล่อยให้อยู่ในความสงบนั้นไปจนจิตได้มีความอิ่มตัวในสมาธินั้น ๆ ได้เวลาแล้วจิตก็จะถอนออกมาเอง เมื่อจิตถอนออกจากสมาธิแล้ว ก็ให้ใช้ปัญญาพิจารณาต่อไป ในคืนนั้น หลวงปู่ข่าวได้ปฏิบัติตามโอวาทของหลวงปู่มั่นได้เป็นอย่างดี ในที่สุด หลวงปู่ขาวก็ได้ตัดกระแสวัฏจักรให้ขาดไปจากใจในคืนนั้นเอง
    ในคืนต่อมา เมื่อได้เวลาปลอดพระเณรแล้ว ก็ขึ้นไปที่กุฏิหาหลวงปู่เพื่อสนทนาธรรมกัน
    ต่อไป ในคืนนี้ หลวงปู่ได้ปรารภเรื่อง อัตตาและอนัตตา หลวงปู่พูดว่า เรื่องอนัตตา ที่จะรู้เห็นได้ชัดนั้น ก็เมื่อจิตได้ลงสู่มัคคสมังคีได้เต็มที่แล้ว เพราะมีความดับในตัวอัตตาทั้งหมด จึงไม่มีอะไรที่จะไปยึดติดต่อกันและกัน รูปไม่ใช่เรา เราไม่ใช่รูป รูปไม่มีในเรา เราไม่มีในรูป เวทนาไม่ใช่เรา เราก็ไม่ใช่เวทนา เวทนาไม่มีในเรา เราก็ไม่มีในเวทนา สัญญาไม่ใช่เรา เราไม่ใช่สัญญา สัญญาไม่มีในเรา เราก็ไม่มีในสัญญา สังขารไม่ใช่เรา เราไม่ใช่สังขาร สังขารไม่มีในเรา เราไม่มีในสังขาร วิญญาณไม่ใช่เรา เราไม่ใช่วิญญาณ วิญญาณไม่มีในเรา เราไม่มีในวิญญาณ กาย เวทนา จิต ธรรม ทุกอย่างก็ไม่เป็นสัตว์เป็นบุคคลตัวตนเราเขา รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ก็เป็นขันธ์ล้วน ๆ ไม่มีอัตตา คือ กิเลสตัณหาแฝงอยู่ในขันธ์ ๕ นี้เลย จึงเป็นความว่างจากอัตตาไปทั้งหมด ไม่มีความหมายและไม่มีสาระอะไรเลย เหมือนกับเลขศูนย์ ถึงจะมาเรียงกันอยู่เป็นจำนวนมากก็ไม่มีความหมายอะไร แต่ถ้าหากมีเลข ๑ - ๒ - ๓ … นำหน้าเอาไว้ ศูนย์ทั้งหมดนั้นก็จะมีความหมายขึ้นมาทันที
    หลวงปู่ได้ย้อนถามข้าพเจ้าบ้างว่า เมื่อรู้ธรรมขึ้นมาแล้ว มีการเปรียบเทียบกับอะไร ตอบว่า ขอโอกาสหลวงปู่ เมื่อรู้ธรรมแล้ว ในขณะนั้น เหมือนกันกับเอาถ่านไฟที่ลุกแดงก้อนใหญ่ จุ่มลงในน้ำให้ท่วม แล้วปล่อยทิ้งไว้ให้นานแล้วเอาขึ้นมา ไฟนั้นก็จะดับสนิทไปทั้งหมดครับผม หลวงปู่ยิ้ม ๆ แล้วพูดว่า มีการเปรียบเทียบเหมือนกันกับเฮานี้ ถามหลวงปู่ต่อว่า ในเมื่อหลวงปู่รู้ธรรมแล้ว คิดอยากจะสอนธรรมะให้ใครบ้างไหม หลวงปู่พูดว่า ไม่คิดอยากสอนธรรมะให้ใคร ๆ เลย แต่เป็นในลักษณะนี้อยู่ประมาณ ๕ นาทีเท่านั้น เรื่องที่ไม่อยากสอนใคร ๆ นั้น มันเป็นเองโดยไม่ได้ตั้งใจไว้ หลังจากที่เล่าผลของการปฏิบัติถวายหลวงปู่แล้ว หลวงปู่ก็พูดว่า เมื่อจิตมีความบริสุทธิ์เต็มที่แล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาคือไม่อยากสอนธรรมะให้กับใคร ๆ ความคิดถึงพระพุทธเจ้า และมีกำลังใจเกิดขึ้นนั้น ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นไม่นาน ประมาณ ๗ วัน ต่อจากนั้นก็ค่อย ๆ เลือน ๆ ไปวันละนิด ๆ อีกประมาณ ๗ วันก็กลับเป็นปกติ ส่วนความรู้อันบริสุทธิ์นั้นไม่ได้เสื่อมไปด้วย ความบริสุทธิ์ที่เกิดขึ้นแล้วในวันนั้น ก็ยังมีความบริสุทธิ์อยู่เหมือนเดิม ไม่มีความเปลี่ยนแปลง
    เมื่อเล่าผลของการปฏิบัติถวายให้หลวงปู่ฟังแล้ว จากนั้น ก็สนทนากันแบบย้อนหลังกันเล่น ๆ เท่านั้น หลวงปู่ถามว่า ในสถานที่ที่ได้รู้ธรรมนั้น ได้พิจารณาดูไหมว่าในที่นั้นเราเคย
    เกี่ยวข้องอะไรบ้าง จึงขอโอกาสหลวงปู่ว่า ในที่นั้น กระผมเคยได้เป็นหมามาตายอยู่ที่นั้นมาแล้ว หลวงปู่ก็หัวเราะ ข้าพเจ้าก็ได้ถามหลวงปู่คืนไปว่า ขอโอกาส ที่หลวงปู่ได้รู้ธรรมที่โหล่งขอดนั้น มีความเกี่ยวข้องในที่แห่งนั้นอย่างไรบ้าง หลวงปู่บอกว่า แต่ก่อนเฮาเคยเป็นอีเก้งอาศัยอยู่ในที่นั้นมาแล้ว และได้แก่เฒ่าตายอยู่ในที่แห่งนั้น หลวงปู่ถามอย่างนี้เพื่อหยั่งเชิงดูว่า จะรู้เรื่องความเป็นมาของตัวเองหรือไม่ เมื่อตอบหลวงปู่ไปได้ หลวงปู่ก็เข้าใจ แต่หลวงปู่ก็ได้ถามในเรื่องใหม่อีก
    ถามว่า ท่านสร้างบารมีอะไรเป็นหลักสำคัญ และสร้างมาตั้งแต่เมือไหร่ได้เล่าหลวงปู่ฟังว่า
    ในยุคหนึ่ง กระผมได้เกิดร่วมในปลายพระพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้า พุทธสิขี ในสมัยนั้น กระผมเป็น อารามิกวัตร (ผู้อุปฐากพระเณรและดูแลเสนาสนะภายในวัด) ได้ปรนนิบัติพระอรหันต์เป็นจำนวนมาก ปรนนิบัติด้วยความเคารพเชื่อถือในทุก ๆ รูป ตลอดทั้งสามเณรทุกรูปด้วยความเลื่อมใสศรัทธา ในวัดนั้นมีพระเณรรวมกันไม่ต่ำกว่าห้าร้อยรูป กิจวัตรประจำคือต้มน้ำร้อนให้พระเณรฉันและต้มน้ำร้อนให้พระมหาเถระสรง นำเอาน้ำร้อนเครื่องฉันต่าง ๆ ไปถวายพระมหาเถระตามกุฏิ อุปฐากพระเณรที่เจ็บป่วยภายในวัดด้วยความเต็มใจ ดูแลความสะอาดที่กุฏิพระเถระ
    จากนั้น ข้าพเจ้าก็ได้ถามหลวงปู่ว่า ในอดีตที่ผ่านมาในครั้งพุทธกาลนั้น หลวงปู่ได้สร้างบารมีมาอย่างไร กระผมขอนิมนต์หลวงปู่เล่าความเป็นมาในอดีตให้กระผมฟังด้วยเถิดครับ หลวงปู่ก็ยิ้ม ๆ แล้วเริ่มเล่าความเป็นมาในสมัยครั้งนั้น หลวงปู่บอกว่าในสมัยนั้น เฮาเป็นพระนวกะเพิ่งบวชใหม่ ยังไม่รู้จักความผิดถูกในธรรมวินัยดี ตลอดข้อวัตรปฏิบัติก็ยังไม่เข้าใจพอ แต่มีความหวังดีในการบวช มีความยินดีในการปฏิบัติ และอยากพ้นไปจากทุกข์ทั้งหลาย ในครั้งนั้น มีพระบวชใหม่ด้วยกันประมาณ ๕๐๐ องค์ ทุกองค์ต่างก็ยังไม่รู้ในพระธรรมวินัยดี แล้วก็มีพระองค์ที่ท่านบวชก่อนมาชักชวนให้ไปเป็นหมู่คณะ โดยพูดว่า มีพระอาจารย์องค์หนึ่งท่านได้เป็นพระอรหันต์ มีความรู้เฉลียวฉลาดเฉียบแหลมมาก แนวทางปฏิบัติตรงต่อมรรคผลนิพพานทีเดียว มีข้อวัตรปฏิบัติเคร่งครัดในพระธรรมวินัย จึงทำให้ผู้ปฏิบัติถึงพระนิพพานได้เร็วขึ้น เฮาเองก็มีความเชื่อ เพราะอยากเป็นพระอรหันต์อยู่แล้ว พระผู้บวชเก่าองค์นั้นก็ได้พูดในลักษณะเดียวกันนี้ให้พระบวชใหม่ฟังอีกหลายองค์ ซึ่งทุกองค์ก็เชื่อแล้วยอมมอบตัวเป็นลูกศิษย์เพิ่มขึ้นมาอีก และพร้อมใจยินยอมติดตามไปด้วย เมื่อถึงวันเวลาแล้ว ก็พากันออกเดินทางพร้อมกัน ทั้งหมดมีพระใหม่ประมาณ ๕๐๐ องค์ เมื่อไปถึงสถานที่แห่งหนึ่ง มีพระเถระผู้ใหญ่คอยอยู่ในที่นั้นแล้ว จากนั้น ก็พากันเข้าไปกราบคารวะคอยรับฟังโอวาทต่อไป ขณะนั้น มีประธานสงฆ์ให้โอวาทว่า คณะสงฆ์ทั้งหมดต้องอยู่ในข้อปฏิบัติอันเดียวกัน ๕ ประการ คือ ๑) ไม่ฉันเนื้อสัตว์ทุกชนิดเป็นวัตร ๒) ต้องอยู่ป่าเป็นวัตร ๓) ถือผ้าบังสุกุลเป็นวัตร ๔) บิณฑบาตเป็นวัตร ๕) อยู่โคนต้นไม้เป็นวัตร ทั้ง ๕ ข้อนี้ให้พระสงฆ์ทุกองค์ถือเอาเป็นข้อปฏิบัติอย่างเคร่งครัด อาจารย์ใหญ่ที่เป็นประธานสงฆ์นั้นชื่อว่า พระเทวทัต องค์ที่รองลงมาชื่อว่า พระโกกาลิก และยังมีรองลงไปอีกหลายองค์ จากนั้น ก็พากันปฏิบัติในข้อบัญญัติ ๕ ประการอย่างจริงจังทีเดียว ต่อมาไม่นานนัก ได้เห็นพระโมคคัลลาน์และพระสารีบุตรตามไป แล้วทำความสนิทสนมกับพระเทวทัตเป็นอย่างดี ในคืนหนึ่ง พระเทวทัตให้โอกาสแก่พระสารีบุตรได้แสดงธรรมแก่พระบวชใหม่ทั้งหลาย ในขณะนั้น เฮามีความเลื่อมใสในพระสารีบุตรมาก ท่านแสดงธรรมได้ไพเราะมีเหตุผลพอเชื่อถือได้ จึงคิดเปลี่ยนใจว่าเราจะขอติดตามกับท่านสารีบุตรไปอย่างแน่นอน
    ในขณะนั้น พระเทวทัตผู้มีทิฏฐิสูงไม่ยอมฟังธรรมของพระสารีบุตร เอาแต่นอนเฉยไม่
    สนใจในการฟังธรรมเลย พระโกกาลิกก็พากันนอนฟังเช่นเดียวกัน อาจจะเป็นเพราะอำนาจฤทธิ์ของพระโมคคัลลาน์ก็เป็นได้ จึงทำให้พระเทวทัตและพระโกกาลิกนอนหลับไปอย่างสนิททีเดียว พระใหม่ทั้งหมดมีความเลื่อมใสศรัทธาในพระสารีบุตรและพระโมคคัลลาน์เป็นอย่างมาก เมื่อพระ
    สารีบุตรพูดว่า จะพาพระใหม่ไปกราบพระพุทธเจ้าเท่านั้น ทุกองค์ก็เตรียมพร้อมทันที เมื่อพร้อมกันแล้ว พระใหม่ทั้งหมดก็ออกเดินทางตามพระโมคคัลลาน์และพระสารีบุตรไป เฮาก็ได้เป็น
    ลูกศิษย์ของพระสารีบุตรองค์หนึ่ง แต่เฮาก็ไม่ได้บรรลุมรรคผลอะไรเลยในสมัยนั้น แต่มีความศรัทธายินดี เชื่อว่าการบวชนั้นมีอานิสงส์มาก และยินดีในการปฏิบัติ ยอมเสียสละชีวิตอุทิศต่อพระพุทธศาสนาจวบจนวันตาย จึงเป็นอันว่าหลวงปู่ขาวก็เคยเป็นลูกศิษย์ของพระสารีบุตรมาแล้วในอดีตชาติ ในชาติปัจจุบันของหลวงปู่ที่กำลังภาวนาปฏิบัติอยู่ ก็นิมิตเห็นพระ
    สารีบุตรมาแสดงธรรมให้ฟังอยู่เสมอ นี่คือความเกี่ยวข้องกันมาในชาติอดีต ถึงท่านจะเข้าถึงพระนิพพานไปแล้วก็ตาม คุณธรรมในความเมตตานั้น ยังมาแสดงตนเป็นภาพในนิมิตเพื่อโปรดผู้ที่ยังตกอยู่กับโลกนั่นเอง ก็เหมือนกับท่านที่ไม่เคยเห็นครูอาจารย์มั่นมาก่อน แต่ทำไมท่านจึงมีนิมิตปรากฏเห็นท่านครูอาจารย์มั่นมาแสดงธรรมให้ฟังเป็นประจำเล่า เฮาก็เหมือนกัน ท่านพระสารีบุตรนิพพานไปนานแล้ว แต่เฮาก็เห็นนิมิตเห็นท่านมาสอนเช่นกัน เรื่องอย่างนี้ท่านผู้อ่านอาจจะสงสัยว่าเป็นไปได้อย่างไร หรืออาจารย์ทูลแต่งขึ้นเอง เพื่อความแน่ใจ ให้ไปถามท่านอาจารย์บุญเพ็ง วัดถ้ำกองเพล ดูก็แล้วกัน หลวงปู่เคยเปรย ๆ ให้ฟังมาแล้ว แต่ท่านไม่ได้พูดมาก กลัวพระเณรจะไม่เข้าใจ ตัวข้าพเจ้าได้ถามเรื่องนี้กับหลวงปู่โดยตรง หลวงปู่จึงได้เปิดเผยเรื่องนี้ทั้งหมดออกมาอย่างละเอียด และมีข้าพเจ้าองค์เดียวเท่านั้นที่ได้รับฟังในเรื่องนี้ทั้งหมด
    หลวงปู่ได้ถามเรื่องนรกว่า ท่านเคยไปตกนรกไหม ก็ตอบว่าเคยได้ไปตกครับผม หลวงปู่ถามว่า ทำกรรมอะไรไว้จึงได้ไปตกนรก จึงได้เล่าเรื่องที่ไปตกนรกให้หลวงปู่ฟังว่า ในครั้งหนึ่ง กระผมมีครอบครัวแล้ว แต่ก็มีน้องเมียอีกคนหนึ่งเป็นสาวสวยงามมาก (ไม่อยากเขียนในเรื่องนี้ ให้นึกเดาเอาเองก็แล้วกัน) แต่ก็ได้เล่าให้หลวงปู่ฟังไป เมื่อตายไปแล้ว กรรมนี้ก็ให้ผล จึงได้ไปตกนรกขุมหนึ่ง
    เมื่อเล่าเรื่องนี้จบลง หลวงปู่ก็หัวเราะเอิ้กอ้าก ๆ แล้วพูดว่า นี่เคยไปตกนรกขุมเดียวกันกับเฮา จากนั้นก็ขอนิมนต์ให้หลวงปู่เล่าเรื่องไปตกนรกให้ฟัง หลวงปู่พูดว่า ในครั้งนั้น เฮาก็ได้ไปตกนรกขุมไฟนี้เหมือนกัน แต่ไม่ได้เป็นกับน้องเมียเหมือนท่านนะ แต่เป็นกันกับหญิงทั่วไปไม่เลือกหน้าทั้งนั้น พูดไปก็หัวเราะไป แล้วเล่าต่อไปว่า เมื่อเฮาตายไป จ่ายมบาลก็จับตัวไปลงนรกขุม
    ไฟนี้ ตกลงไปครั้งแรกมีแต่ความมืดทั้งหมด ไม่รู้ว่าจะไปทางไหนดี จากนั้น ก็เกิดความร้อนขึ้นที่ฝ่าเท้า เหยียบลงไปที่ไหนก็ร้อนที่นั่น ถึงกระโดดหนีไปยืนที่อื่น ความร้อนก็เกิดขึ้นตามมาอีก กระโดดไปกระโดดมาจนหัวไปชนฝานรกเกือบตาย จากนั้น ก็เกิดความร้อนพุ่งออกมารอบด้านและร้อนขึ้น ๆ เป็นทวีคูณ เมื่อความร้อนนั้นพุ่งเข้ามาหากาย ร่างกายก็แห้งกรอบไปหมด แต่ก็ยังไม่ตาย ยังรู้สึกตัวอยู่ ร่างกายแดงเหมือนกันกับแท่งเหล็ก ความร้อนนั้นสุดที่จะหาความร้อนใดมาเปรียบได้ ทนทุกข์ทรมานอยู่ในนรกขุมนี้ตั้งนานกว่าจะได้พ้นขึ้นมา ได้ถามหลวงปู่ต่อไปว่า ขอโอกาสหลวงปู่ เมื่อพ้นจากนรกขึ้นมาแล้ว ในชาติต่อมา หลวงปู่เคยล่วงเกิดศีลข้อกาเมอีกหรือไม่ หลวงปู่พูดว่า ในชาตินี้ก็เหมือนเดิม และก็พูดไปยาวมาก เพียงสรุปได้ว่า ถ้านายขาวไปเล่นสาวหรือไปเที่ยวที่อื่นใดก็ตาม พ่อต้องขายวัวเอาไว้เพื่อเป็นค่าปรับไหม วัวที่คอกที่มีอยู่เป็นจำนวนมากเกือบจะหมดคอกก็แล้วกัน เพียงเท่านี้ ท่านผู้อ่านก็พอจะเข้าใจเรื่องของหลวงปู่ขาวหรอกนะ หลวงปู่พูดว่า ในชาตินี้ ถ้าภาวนาพ้นไปไม่ได้ ก็คงจะได้กลับไปเยี่ยมนรกขุมเก่าอีกแน่นอน ข้าพเจ้าได้พูดแหย่เล่นกับหลวงปู่ไปว่า ถ้าเช่นนั้น จ่ายมบาลก็คงจำหน้าหลวงปู่ได้แน่นอน ถ้าจ่ายมบาลมีลูกสาว เขาก็คงไม่ไว้ใจ ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษแล้วซิท่า เขาอาจจะเพิ่มโทษนรกขุมไฟขึ้นเป็นพิเศษอีกหลายเท่า เพื่อให้นายขาวได้เข็ดหลาบ แม่นบ่หลวงปู่ แล้วหลวงปู่ก็หัวเราะ
    เอิ้กอ้าก ๆ จนน้ำตาไหล ในคืนนี้คุยกันสนุกมาก เพราะเป็นเรื่องหมูไม่กลัวน้ำร้อนเหมือนกัน
    จากนั้น ก็ลาหลวงปู่กลับกุฏิเพราะจวนสว่างของวันใหม่แล้ว
    ในคืนต่อมา ได้คุยกันถึงเรื่องเทพบุตรและเทวดากันบ้าง หลวงปู่เป็นผู้เริ่มต้นถามก่อนเช่นเคย ถามว่า ท่านเคยได้ไปเกิดบนสวรรค์ไหม เล่ามาให้ฟังบ้างซิ ตอบว่า ขอโอกาสหลวงปู่ สวรรค์นั้นผมก็เคยไป การไปสวรรค์แต่ละครั้งนั้น ก็ทำให้หลงได้ เพราะสวรรค์มีความสุขใน
    กามคุณรื่นรมย์ดี แต่กระผมไม่ชอบ เพราะอยู่ในสวรรค์ทำให้เสียเวลาในการสร้างบารมี เพียงไปอยู่ด้วยความสนุกสนานเป็นการพักผ่อนชั่วคราวเท่านั้น ถ้าไปอยู่นาน ๆ ก็อาจทำให้ลืมตัวได้ เมื่อหมดบุญกุศลที่ได้ทำเอาไว้ในเมืองมนุษย์แล้ว ก็ต้องกลับมาเกิดที่เมืองมนุษย์อีก ถ้ามาเกิดในเมืองมนุษย์ หากได้พบกับบัณฑิตนักปราชญ์เป็นกัลยาณมิตรก็โชคดีไป ถ้าได้ไปเกิดในสถานที่ที่มีคนพาล ก็อาจหลงทำความชั่วได้
    ฉะนั้น การไปเกิดบนสวรรค์ชั้นสูง โอกาสที่จะได้สร้างบารมีนั้นยากมาก วันคืนผ่านไป ๆ ไม่ได้นึกถึงบุญกุศลแต่อย่างใด
    เมื่อเล่าเรื่องเทวดาทั้งหมดให้หลวงปู่ฟัง หลวงปู่ก็ยอมรับว่าความจริงเป็นอย่างนั้น แล้วหลวงปู่ก็ได้อธิบายต่อไปว่า การเป็นเทวดาอยู่ในระดับต่ำนี้มีกำไร เพราะได้บำเพ็ญกุศลร่วมกันกับหมู่มนุษย์มิได้ขาด ได้อนุโมทนาส่วนบุญที่มนุษย์ได้ทำแล้ว การไปอยู่บนสวรรค์ชั้นสูง ๆ นั้น ก็เหมือนอย่างที่ท่านว่านั่นแหละ ถึงจะไปอยู่ก็อยู่ได้ไม่ตลอด เมื่อบุญกุศลหมดเมื่อไร ก็ต้องลงมาเกิดในเมืองมนุษย์อีก เพราะ การบำเพ็ญบุญกุศลนั้น ต้องกระทำอยู่ในเมืองมนุษย์นี้ ผู้จะเป็นพระพุทธเจ้าหรือพระอริยเจ้าทั้งหลาย ก็ต้องมาสร้างบารมีอยู่ที่เมืองมนุษย์นี้ทั้งนั้น ฉะนั้น เมืองมนุษย์จึงเป็นสถานที่สร้างบารมี ถ้าผู้มีความประมาทลืมตัว ก็เอาเมืองมนุษย์นี้เป็นสถานที่ทำบาปอีก น่าเสียดายที่เกิดมาเป็นมนุษย์แล้วไม่ได้ทำประโยชน์ให้แก่ตัวเอง ส่วนใหญ่จะทำเพื่อเสียประโยชน์ให้ตัวเองทั้งนั้น คำว่า เสียประโยชน์ นั้น คือเราทำในสิ่งที่ไม่ดีนั่นเอง เมื่อทำไปแล้ว ผลที่ไม่ดีก็ต้องได้รับเอง หลวงปู่ขาวได้พูดกับข้าพเจ้าอีกว่า นี่ทูล จากนี้ไป จงตั้งใจประกาศศาสนา อบรมพระเณรและญาติโยมให้เขาได้รู้จักแนวทางปฏิบัตินะ
    อยู่มาวันหนึ่ง ข้าพเจ้ามีกิจธุระไปวัดป่าหนองแซง และได้ไปกราบหลวงปู่บัว สิริปุณโญ เมื่อกราบแล้ว หลวงปู่ก็ถามทันทีว่า เป็นอย่างไร ได้ยินข่าวว่าไปภาวนาปฏิบัติที่จังหวัดเชียงราย ผ่านทุกข์ได้หรือยัง ไหนเล่ามาให้ฟังดูซิ จึงได้เล่าถวายหลวงปู่ไปว่า ขอโอกาสหลวงปู่ กระผมได้ผ่านทุกข์ไปได้แล้ว หลวงปู่ถามอีกว่า ผ่านทุกข์ไปได้แค่ไหน เพราะทุกข์มันมีหลายขั้นตอน จากนั้น ก็เล่าถวายให้หลวงปู่ฟังทั้งหมด เมื่อหลวงปู่รับฟังจบแล้ว ได้พูดขึ้นมาว่า แหม ไปภาวนาทางไกล กลับคืนมามันต้องได้ของดีมาฝากครูอาจารย์อย่างนี้ซี ผู้ที่ผ่านทุกข์ได้ในขณะนี้มีน้อยเต็มที ส่วนมากมันกลัวทุกข์ทั้งที่ตัวเองยังไม่เห็นทุกข์ ทางที่ไปพระนิพพานมันต้องผ่านทุกข์นี้ไป ถ้ามันรู้ทุกข์เห็นทุกข์จริง ๆ แล้ว มันจะต้องผ่านทุกข์ไปได้ คนที่กลัวทุกข์มันก็จะจมอยู่กับทุกข์ในโลกนี้ตลอดไป หลวงปู่ถามว่า บวชมานานเท่าไรถึงได้ผ่านทุกข์ไปได้ ก็เล่าถวายท่านว่า บวชมาได้ ๘ ปีครับผม หลวงปู่ถามว่า เล่าให้หลวงปู่ขาวฟังแล้วใช่ไหม ก็ตอบท่านไปว่า เล่าถวายท่านแล้ว หลวงปู่ถาม ท่านว่าอย่างไร ตอบ ท่านก็อนุโมทนาด้วย และพูดว่า ในยุคนี้ จะมีผู้รู้ความจริงตามหลักความเป็นจริงในสัจธรรมนั้นน้อยมาก หลวงปู่บัวพูดว่า เมื่อท่านสอนตัวเองได้แล้วก็อย่าลืมไปสอนอาจารย์ของท่านนะ หลวงพ่อบุญมานั้น ผมพยายามเทศน์ให้ฟังทุกอย่างในเรื่องการปฏิบัติธรรม ก็ยังเป็นพระที่หัวรั้นหัวแข็ง ไม่ยอมผมอยู่นั่นเอง ฉะนั้น ขอให้ท่านไปโปรดหลวงพ่อบุญมาบ้างสิ บางทีความเกี่ยวข้องกันอาจจะโปรดกันได้
    เมื่อรับคำหลวงปู่แล้ว ในคืนวันนั้น ข้าพเจ้าก็ไปหาหลวงพ่อบุญมาที่กุฏิ ขณะนั้น ท่านกำลังเดินจงกรมอยู่ เมื่อเห็นข้าพเจ้าไป ท่านก็หยุดเดินจงกรมและขึ้นมาที่กุฏิ เมื่อกราบเสร็จแล้ว ท่านก็ถามทันทีว่า เป็นอย่างไร ได้ทราบข่าวว่าไปภาวนาที่จังหวัดเชียงราย ดีไหม ก็ตอบท่านไปแบบถ่อมตัวว่า ขอโอกาส พอทรงตัวอยู่ได้ครับผม ท่านพูดไปว่า ก็เท่านั้นแหละ ถ้ามีความตั้งใจจริงไม่จำเป็นต้องไปภาวนาไกลหรอก ในภาคอีสานเราที่ธุดงค์มากมาย ในวัดป่าหนองแซงนี้ก็มีสัปปายะดีอยู่แล้ว แต่มันขาดความตั้งใจจริงเท่านั้น เมื่อข้าพเจ้าได้จังหวะก็ขอโอกาสท่านทันทีว่า ขอโอกาสหลวงพ่อ ความตั้งใจจริงนั้น จะตั้งอย่างไรจึงจะถูกต้อง จากนั้น ท่านก็ได้อธิบายในความสงบของสมาธิที่ท่านมีความชำนาญอยู่แล้ว ท่านได้อธิบายในเรื่องญาณ เรื่องฌาน เรื่องสมาบัติ ๘ ไปอย่างละเอียดมาก จิตมีความสงบอย่างนั้น มีญาณรู้ขึ้นมาอย่างนี้ ท่านก็อธิบายฌานนั้นฌานนี้ไปเรื่อย ๆ ข้าพเจ้าก็นั่งฟังไปเรื่อย ๆ เช่นกัน ในจุดหนึ่ง ท่านจะเน้นหนักเรื่องนิโรธสมาบัติ พูดไปวนมาเหมือนวัวพันหลักหาที่สรุปลงไม่ได้ ปล่อยให้ท่านพูดไปประมาณ ๑ ชั่วโมง คำพูดของท่านก็อ่อนลง ๆ พอดีท่านฉันน้ำ ข้าพเจ้าก็ได้จังหวะพอดี จึงขอโอกาสถามท่านว่า ขอโอกาสหลวงพ่อ ที่หลวงพ่ออธิบายไปนั้นไม่เกี่ยวกับมรรคผลนิพพานเลย หลวงพ่อคิดว่ามรรคผลนิพพานนั้นอยู่ตรงไหน ท่านก็พูดออกมาว่า โอ๊ย มรรคผลนิพพานมันอยู่ไกลแสนไกล ในชาตินี้จะถึงหรือไม่นั้น ก็ภาวนาปฏิบัติกันไป ถามท่านว่า เมื่อหลวงพ่อพูดเรื่องนิโรธสมาบัติ ผมคิดว่าหลวงพ่อถึงพระนิพพานแล้ว เพราะ นิโรธสมาบัตินั้น เป็นวิหารธรรมของพระอรหันต์เท่านั้นจะเข้าได้ ปุถุชนธรรมดาจะเจ้าได้แต่สมาบัติเท่านั้นเอง ผู้จะได้บรรลุมรรคผลนิพพานไม่จำเป็นจะเข้านิโรธสมาบัติเสมอไป ทำไมหลวงพ่อจึงไม่ใช้ปัญญาพิจารณาในสัจธรรมให้มากขึ้น ท่านก็ถามว่า การใช้ปัญญาพิจารณาในหลักธรรมนั้นมีหลักการอย่างไร อธิบายให้ผมฟังได้ไหม ตอบว่า อธิบายให้ฟังได้ จากนั้น ข้าพเจ้าก็กราบท่านสามครั้ง แล้วขอโอกาสท่าน แล้วก็เริ่มอธิบายอุบายการใช้ปัญญาพิจารณาในหลักความจริงให้ท่านฟัง เริ่มจากการ เกิด-ดับ ที่สมัยหลวงพ่อบุญมาสอนข้าพเจ้ามาแล้วในสมัยเป็นฆราวาส ได้อธิบายต่อเนื่องกัน ตลอดจนถึงความรู้จริงเห็นจริงที่บ้านป่าลันเป็นจุดสุดท้าย เมื่อได้จังหวะดีแล้วก็แสดงความจริงนั้นให้ท่านได้รู้ มีทั้งการขู่ มีทั้งการปลอบโยนไปในตัว อุบายขู่และปลอบโยนนั้น มันเป็นวิธีการของข้าพเจ้าที่จะต้องพูดเอง
    เมื่อท่านได้รับฟังข้าพเจ้าอธิบายให้ฟังในผลของการปฏิบัติแล้ว ท่านหลวงพ่อก็ร้องไห้พร้อมทั้งพูดว่า ผมขอยกมือสาธุในธรรมที่ท่านอธิบายมาแล้ว จากนั้น ก็ใช้อุบายปลอบโยนท่านไปว่า หลวงพ่อครับ ในชาตินี้มีบารมีแล้วนะ มีความโชคดีที่ได้ผมเป็นลูกศิษย์ ผมจะไม่ลืมบุญคุณของหลวงพ่อที่มีต่อตัวผม ในสมัยผมเป็นฆราวาส หลวงพ่อก็ได้โปรดผมมาแล้ว จนผมได้ออกบวชภาวนามาจนได้ผลอย่างนี้ บัดนี้ ผมได้มาโปรดหลวงพ่อให้กลับอุบายในการปฏิบัติธรรมเสียใหม่ เมื่อชี้นำแนวทางปฏิบัติให้ท่านแล้วก็บอกสถานที่ไปว่า ให้หลวงพ่อไปอยู่บ้านฝั่งแดง อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย นับแต่บัดนี้เป็นต้นไปให้หลวงพ่อรู้ตัวเสียว่า หลักอุบายภาวนาของหลวงพ่อนั้นผิดแล้ว ให้กลับตัวใหม่ ยังไม่สายเกินไป จากนี้ไป หลวงพ่ออย่าพูดธรรมะให้ใคร ๆ ฟังอีกเป็นอันขาด ให้เร่งภาวนาปฏิบัติไปอย่างเดียว อย่าเกี่ยวข้องกับใคร ๆ ทั้งสิ้น ไม่เพียงแต่ไม่คุยในธรรมะเท่านั้น แม้เรื่องทางโลกก็ห้ามคุยอีกเช่นกัน ไม่เช่นนั้น กระผมจะปล่อยหลวงพ่อไปตามยถากรรม ถือว่าเป็นชาติสุดท้ายที่จะได้พบกัน ชีวิตของหลวงพ่อไม่เหลืออยู่นานหรอกนะ ก่อนจะตายก็ขอให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ในช่วงที่มีชีวิตอยู่นี้ก็แล้วกัน จากนั้น หลวงพ่อก็รับปากว่าจะไปจังหวัดเชียงราย รับคำว่าจะไม่พูดธรรมะให้ใคร ๆ ฟังทั้งนั้น และรับคำว่าจะเอาอุบายภาวนานี้ไปปฏิบัติให้เต็มที่ เมื่อถึงวันรุ่งขึ้น ท่านก็ได้จัดเก็บสิ่งของและออกเดินทางต่อไป จากนั้น ข้าพเจ้าก็ได้นำเรื่องนี้ไปเล่าให้หลวงปู่บัวฟัง หลวงปู่บัวก็หัวเราะเป็นการใหญ่แล้วพูดว่า ต้องเอาขนาดนั้นแหละพระหัวแข็ง ตัวเองภาวนาผิดแล้วไม่ยอมเชื่อผู้อื่น ถือว่าตัวเองภาวนาถูกไม่ยอมฟังเสียงใคร ในปีนั้น หลวงพ่อบุญมาก็ไปจำพรรษาที่บ้านฝั่งแดง อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย รีบเร่งภานาปฏิบัติอย่างเต็มที่ ในที่สุดก็รู้แจ้งเห็นจริงในพรรษานั้นเอง .
    >>>>>>อนึ่ง.......หลวงปู่ละสังขารเมื่อ
    หลวงพ่อทูล ขิปฺปปญฺโญ มรณภาพ เมื่อวันอังคารที่ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๑ ณ วัดป่าบ้านค้อ รวมสิริอายุ ๗๓ ปี ๔๘ พรรษา และได้รับพระราชทานเพลิงศพ เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ ณ วัดป่าบ้านค้อ
    อัฐิธาตุของหลวงพ่อทูลได้แปรสภาพเป็นพระธาตุ เป็นเครื่องประกาศคุณธรรมที่บริสุทธิ์ เป็นพระอริยบุคคลอีกท่านหนึ่งที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ สมดังความมุ่งมั่นตามที่ท่านได้ตั้งสัจจะ
    >>>>>>,มีพระเกศาหลวงปู่มาบูชาด้วยครับ******บูชาที่ 245 บาทฟรีส่งems (......เหรียญทันหลวงปู่ครับ) SAM_7776.JPG SAM_6199.JPG SAM_6200.JPG SAM_1827.JPG
     
  19. Somchai 2510

    Somchai 2510 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2019
    โพสต์:
    1,740
    ค่าพลัง:
    +125
    ายการที่ 694 เหรียญพููลสุขหลวงปู่สิม พุทธาจาโร พระอรหันต์เจ้าวัดถํ้าผาปล่อง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ หลวงปู่สิมเป็นศิษย์หลวงปู่มั่นยุคกลาง เหรียญสร้างปี 2518 เนื้อทองเเดงรมนํ้าตาล มีตอกโค๊ต ยันต์หลังเหรียญ เหรียญสวยมาก >>>>>> ประวัติโดยสังเขป ประวัติ หลวงปู่สิม พุทธาจาโร
    h99b46f6.gif
    หลวงปู่สิม พุทธาจาโร
    สำนักสงฆ์ถ้ำผาปล่อง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่
    นามเดิม สิม วงเข็มมา กำเนิด 26 พ.ย. 2452 สถานที่เกิด ต.สว่าง อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร
    อุปสมบทอุปสมบท ณ วัดศรีจันทราวาส อ.เมืองจ.ขอนแก่น ในวันที่ 16 กรกฎาคม 2472 โดยมี
    ท่านเจ้าคุณพระเทพสิทธาจารย์(จันทร์ เขมิโย) เป็นพระอุปัชฌาย์
    สมณศักดิ์ 2502-พระครูสันติวรญาณ 2535-พระญาณสิทธาจารย์(ฝ่ายวิปัสนา)
    หลวงปู่บรรพชาเป็นสามเณรเมื่ออายุได้ 17 ปี ณ วัดศรีรัตนาราม ซึ่งเป็นวัดมหานิกาย ต่อจากนั้นไม่นาน จึงได้ถวายตัวเป็นศิษย์ของ พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต และได้ขอญัตติใหม่เป็นธรรมยุตินิกาย ได้รับฉายาว่า “พุทธาจาโร”

    จากนั้นได้ออกธุดงค์เพื่อปฏิบัติธรรมตามที่ต่างๆ หลวงปู่เป็นเจ้าอาวาสวัดต่างๆ หลายวัด จนกระทั่งปี 2510 หลวงปู่ได้ลาออก จากตำแหน่งเจ้าอาวาสทุกวัด และได้เริ่มพัฒนาถ้ำผาปล่อง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ ขึ้นเป็นสำนักสงฆ์
    ปี พ.ศ. ๒๕๑๐-๒๕๑๘ (พรรษาที่ ๓๙-๔๗) ลาออกจากตำแหน่งเจ้าอาวาสทุกวัด เริ่มพัฒนาถ้ำผาปล่อง”
    ที่ว่า ลาออกจากตำแหน่งเจ้าอาวาสทุกวัด ก็คือ : -
    ๑. เจ้าอาวาสวัดอโศการาม จ.สมุทรปราการ มอบให้พระเถระองค์อื่น ทำหน้าที่เจ้าอาวาสต่อไป
    ๒. เจ้าอาวาสวัดสันติธรรม จ.เชียงใหม่ ได้แต่งตั้งให้หลวงพ่อพระมหาทองอินทร์ กุสลจิตฺโต เป็นเจ้าอาวาสอย่างเป็นทางการ ในปีพ.ศ. ๒๕๑๐
    ๓. เจ้าอาวาสวัดป่าสุทธาวาส จ. สกลนคร ได้แต่งตั้งให้ หลวงปู่แว่น ธนปาโล เป็นเจ้าอาวาสลำดับถัดไป
    ดังนั้นในปี พ.ศ. ๒๕๑๐ หลวงปู่สิม ท่านจึงกลับไปจำพรรษาที่ ถ้ำผาปล่อง อ.เชียงดาว จ. เชียงใหม่ เป็นการเริ่มต้นพัฒนาถ้ำผาปล่อง ให้เป็นสำนักสงฆ์ ที่ถาวรต่อไป
    เหตุการณ์การเริ่มต้นพัฒนาถ้ำผาปล่อง ได้รับการบันทึกไว้ในหนังสือ“ละอองธรรม” ดังนี้ : -
    เจ็ดปีหลังจากหลวงปู่พบ ถ้ำผาปล่อง คือในปี พ.ศ. ๒๕๑๐ หลวงปู่ จึงวางภารกิจที่อื่นทั้งหมด เริ่มพัฒนาถ้ำผาปล่องอย่างจริงจัง
    โยมที่อยู่ในคณะบุกเบิกรุ่นแรก ได้ช่วยกันเล่าบรรยากาศของสำนักสงฆ์แห่งใหม่ ในตอนนั้นให้ฟังว่า
    หลวงปู่ในช่วงบุกเบิกนั้นยังเป็น “ท่านอาจารย์” แม้วัยใกล้๖๐ ท่านยังทะมัดทะแมงแข็งขัน และไม่หวั่นงานหนัก
    นอกจากงานด้านสถานที่ก่อสร้างเสนาสนะแล้ว ท่านยังเอาธุระจัดหาฟืนที่ใช้ในโรงครัวด้วย โดยรวบรวมกิ่งไม้เก่าๆ ที่แห้งอยู่บริเวณถ้ำแงบ ซึ่งเป็นที่ตั้งพระเจดีย์ ในปัจจุบัน สมทบกับฟืนแห้งที่เด็กผ่าจากไม้สดเตรียมไว้ แล้วท่านก็แบกไปให้ที่โรงครัว
    บางครั้งหลวงปู่ แบกฟืนท่อนใหญ่ เท่าสองกำมือไปให้ทางโรงครัวเผาถ่านไว้ใช้เอง
    ฝ่ายหญิงนอกจากเผาถ่านแล้ว ก็ขนกรวดโรยทางเดินเข้าครัวด้วย
    ถึงเวลาสรงน้ำ “ท่านอาจารย์” ไปสรงที่ลำธารต้นน้ำ ขาเดินไปก็เก็บกวาดทำความสะอาดทางน้ำ ไม่ให้มีใบไม้เน่าหล่นลงมาที่รางน้ำโจ้ก
    พร้อมกันนั้น ท่านก็หมายตาหินก้อนสวยๆ เอาไว้ สรงน้ำเสร็จขากลับก็เก็บหินมาทำขั้นบันได
    ถ้าหินก้อนใหญ่ ท่านก็แบกใส่บ่า ขนาดย่อมหน่อย ท่านก็แบกก้อนหนึ่ง หิ้วหอบอีกก้อนหนึ่ง
    หลวงปู่ใช้เวลาทุกนาที “ได้ประโยชน์หลายอย่าง” แม้มือข้างเดียวท่านก็ไม่ยอมให้ว่าง
    มีเหมือนกันที่บางวัน หลวงปู่สรงน้ำในแอ่งบริเวณใต้สะพานข้ามห้วยในปัจจุบัน
    ครั้งหนึ่ง หลังเสร็จจากสรงน้ำที่แอ่ง มีคนเห็นหลวงปู่เขียนตัวหนังสือไว้บนแผ่นหินข้างๆ แห่งน้ำ มีใจความคล้ายจะประกาศสถานภาพขององค์ท่านในเวลานั้น ว่า “ฤๅษีภิกขุ”

    *******
    หลวงปู่ละสังขาร 14 สิงหาคม 2535 สิริอายุ 83 ปี 63 พรรษา ณ วัดถํ้าผาปล่อง
    *****คติธรรมหลวงปู่
    ลมหายใจเข้า-ออกนี่แหละ คือชีวิตของแต่ละบุคคล อายุจริงๆ อยู่ที่ลมหายใจเข้า-ออก อายุที่นับกันอยู่ คือ สิ่งที่ล่วงหายไป อายุที่แท้เหลืออยู่แค่ลมหายใจ เข้า-ออก ถ้าปล่อยออกมาแล้วสูดเข้าไปไม่ได้ ก็ตาย สูดเข้าไปแล้วปล่อยออกมาไม่ได้ก็ตาย ความตายนั้น แก้ไม่ได้ ท่านจึงให้แก้ใจตัวเองให้สงบนิ่งอยู่ภายใน หายใจเข้ามาชีวิตหมดไปหายใจออกมาชีวิตหมดไป เดือน-ปี ไม่ไปไหน วันนี้หมดไป วันใหม่ก็มาแต่ว่า ชีวิตของคนเรา หมดไป สิ้นไป จงทำความรู้สึกอยู่ ภายในใจว่า “เราต้องตาย” ทุกลมหายใจ
    >>>>>>>มีพระเกศาหลวงปู่มาบูชาด้วยครับ *******บูชาที่ 355 บาทฟรีส่งems SAM_7562.JPG SAM_7047.JPG SAM_7048.JPG SAM_1808.JPG
     
  20. Khun Kriang

    Khun Kriang สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2019
    โพสต์:
    290
    ค่าพลัง:
    +4
    จองนะครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...