มอบพระบรมสารีริกธาตุ ให้ทุกท่านพุทธศานิกชน(ปิดกระทู้)

ในห้อง 'แจกฟรี' ตั้งกระทู้โดย ธ.เธียรไท, 20 มกราคม 2007.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. ธ.เธียรไท

    ธ.เธียรไท เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    612
    ค่าพลัง:
    +1,735
    เชิญทุกท่านร่วมงานสรง
    น้ำพระบรมสารีริกธาตุ

    ๙-๑๕ เมษายน ๒๕๕๐
    ณ วัดราชบูรณะ (จ.พิษณุโลก)
    เชิญ นมัสการพระบรมสารีริกธาตุ ณ วัดราชบูรณะ
    ได้ทุกวัน
    ณ วัดราชบูรณะ ๑๖/๑๙๖
    ถนนบรมไตรโลกนาถ
    ต.ในเมือง อ.เมือง จ.พิษณุโลก
    ๐-๕๕๒๕-๘๙๗๒
    ๐๘๙-๒๗๑-๔๗๘๗
    *****ณ วัดราชบูรณะ
    อยู่ตรงข้ามวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ
    (วัดใหญ่ พระพุทธชินราช)******
    เชิญทุกท่านงานสรงน้ำพระบรมสารีริกธาตุ
    ๙-๑๕ เมษายน (ของทุกปี)
    ณ วัดราชบูรณะ
    (จ.พิษณุโลก)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 มีนาคม 2007
  2. ธ.เธียรไท

    ธ.เธียรไท เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    612
    ค่าพลัง:
    +1,735
    คัดลอกจาก....คนเมืองบัว
    ..................ฤกษ์พรหมประสิทธิ์ พ.ศ.2550

    มกราคม........2*........8*.....14*.....15**.....16**.....19***.....25**

    กุมภาพันธ์.....5***.....19***

    มีนาคม..........3**......7**.....11***.....22***.....27*** .....28*

    เมษายน.....1*........4***.....7***.....13*.....18***.......21***.....27*

    พฤษภาคม..5*.....10*.....11**.....15*.....21*.....27*...28**..29**

    มิถุนายน.....1***.....7**.....15***.....21**

    กรกฎาคม.....2***.....14**.....18**.....22***

    สิงหาคม.....2***.....7***.....8*.....12**.....15***.....18***.....24*

    กันยายน.....1*.....6*.....7**.....11*.....15*.....20*.....21**.....25**

    ตุลาคม.......1*.....7*.....8**.....9**.....12***.....18**.....29***

    พฤศจิกายน.....12***.....24**.....28**

    ธันวาคม...2***..13***..18***...19*.....23**.....26*** .....29***

    ...*ฤกษ์สิทธิโชค....**ฤกษ์มหาสิทธิโชค........***ฤกษ์อมฤตโชค
    เสาร์ที่ 21 เมษายน 2550 เป็นวันเสาร์ ขึ้น 5 ค่ำ เดือน 6
    เสาร์ที่ 18 สิงหาคม 2550 เป็นวันเสาร์ ขึ้น 5 ค่ำ เดือน 9
    คัดลอกจากฤกษ์พรหมประสิทธิ์ พ.ศ. 2550

    ของท่านพระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปุญฺโญ

    <!-- / message -->
     
  3. ธ.เธียรไท

    ธ.เธียรไท เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    612
    ค่าพลัง:
    +1,735
    ขอคัดลอกให้เป็นธรรมทาน
     
  4. ธ.เธียรไท

    ธ.เธียรไท เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    612
    ค่าพลัง:
    +1,735
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD>พระบรมสารีริกธาตุ

    [​IMG]
    พระบรมสารีริกธาตุสัณฐานต่างๆ
    [​IMG]
    ตามตำนานพระพุทธสรีระธาตุองค์ใหญ่ทั้ง ๗ ซึ่งพระเตโชธาตุมิได้สังหารให้ทำลาย คงเหลืออยู่ดังนี้
    ๑. พระอุณหิศ (กระดูกหน้าผาก) ประดิษฐานอยู่ ณ เมืองอนุราชสิงหฬ
    ๒. พระรากขวัญเบื้องขวา (กระดูกไหปลาร้าขวา) ประดิษฐานอยู่ ณ เมืองอนุราชสิงหฬ
    ๓. พระรากขวัญเบื้องซ้าย (กระดูกไหปลาร้าซ้าย) ประดิษฐานอยู่ ณ พรหมโลก
    ๔. พระทาฒธาตุขวาเบื้องบน (พระเขี้ยวแก้วขวาบน) ประดิษฐานอยู่ ณ ดาวดึงษ์เทวโลก
    ๕. พระทาฒธาตุซ้ายเบื้องบน (พระเขี้ยวแก้วซ้ายบน) ประดิษฐานอยู่ ณ คันธารรัฐ
    ๖. พระทาฒธาตุขวาเบื้องล่าง (พระเขี้ยวแก้วขวาล่าง) ประดิษฐานอยู่ ณ ลังกาสิงหฬ
    ๗. พระทาฒธาตุซ้ายเบื้องล่าง (พระเขี้ยวแก้วซ้ายล่าง) ประดิษฐานอยู่ ณ นาคพิภพ
    [​IMG]
    พระบรมสารีริกธาตุ มีสัณฐานดังเมล็ดถั่วแตกอย่างหนึ่ง ข้าวสารหักอย่างหนึ่ง เมล็ดพันธุ์ผักกาดอย่างหนึ่ง มีพรรณดังสีทองอุไร สีแก้วผลึก หรือ แก้วมุกดา สีชมพู สีแดง สีทับทิมอย่างหนึ่ง สีดอกพิกุลอย่างทองอุไรนั้นบางทีมีรูทะลุตลอด เส้นผมลอดได้

    [​IMG]

    คำนมัสการพระบรมสารีริกธาตุ
    อุกาสะ ข้าพเจ้าจะขอ ยอ กร บวร วันทนา ประนมนิ้วหัตถาขึ้นเหนือเศียร ต่างรัตนะ ประทีปธูปเทียนแก้วเจ็ดประการ แลโกสุม สุมามาลย์ ประทุมชาติอันโชติช่วงช่อชั้นวิจิตร แจ่มจำรัสสุนทโรภาส ด้วยเมื่อองค์สมเด็จพระบรมโลกนาถศาสดาจารย์ญาณสัพพัญญูบรมครูเจ้า เสด็จเข้าสู่พระปรินิพพาน พระองค์ทรงประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุไว้ สิริพระบรมธาตุทั้งหลายน้อยใหญ่ตวงได้สิบหกทะนานทอง พระรากขวัญทั้งสองพระเขี้ยวแก้วสี่ กับพระศรีอุณหิศหนึ่ง นับรวมกันได้ครบเป็นเจ็ดองค์ นี้แลคงตามสภาวะเดิมอันจะแหลกลาญด้วยเพลิงสังหารนั้นหามิได้ แต่พระอัฐิ น้อยใหญ่ทั้งหลายนั้นไซร้ พลันเพลิงไหม้สังหารละเอียดลง ยังคงแต่พระบรมสารีริกธาตุสามสถาน ใหญ่น้อยปานกลางมีประมาณต่างกันพระบรมธาตุขนาดใหญ่นั้นมีประมาณเท่าเมล็ดถั่วหักตักตวงได้ห้าทะนาน ทรงพระบวรสัณฐานประมาณแม้นเหมือนหนึ่งพรรณทองอุไร พระบรมธาตุขนาด กลางนั้นไซร้มีประมาณเท่าเมล็ดข้าวสารหักตักตวงได้ห้าทะนานทรงพระบวรสัณฐานประมาณเหมือนพรรณแววแก้วผลึกอันเลื่อนลอย พระบรมธาตุขนาดน้อยประมาณแม้นเท่าเมล็ดพันธุ์ผักกาดตวงได้หกทะนานทรงพระบวรสัณฐานดังพรรณสีดอกบุปผชาติพิกุลอดุลย์ใสสี พระบรมธาตุทั้งหลายเหล่านี้ หมู่มนุษย์และเทวะนิกร อมรินทร์ พรหมภิรมย์พากันเชิญเสด็จไปประดิษฐานรักษาไว้ พระบรมธาตุองค์ใหญ่ คือ พระรากขวัญซ้าย สถิตอยู่ชั้นพรหมา พระรากขวัญเบื้องขวา กับพระนลาตะอุณหิศ เสด็จสถิตอยู่เมืองอนุราชสิงหฬ พระเขี้ยวแก้วขวาเบื้องบนอยู่ดาวดึงษาสวรรค์ พระเขี้ยวแก้วขวาเบื้องล่างนั้น เสด็จอยู่เกาะแก้วลังกาสิงหฬ พระเขี้ยวแก้วซ้ายเบื้องบนอยู่เมืองคันธาระวิไสย พระเขี้ยวแก้วซ้ายเบื้องล่างนั้นไซร้สถิตอยู่เมืองนาคสถาน แต่พระบรมสารีริกธาตุทั้งสิบหกทะนานนั้น ประดิษฐานไว้ในแผ่นพื้นภูมิภาคแห่งพระนครทั้งแปด คือเมืองราชคฤหบุรี เมืองเวสาลีสวัสดิ์ เมืองกบิลพัสดุ์มหานคร เมืองอัลปะกะบุรีรมย์ แลบ้านพราหมณ์นิคมเขต เมืองเทวะทะหะประเทศ เมืองปาวายะบุรินทร์ และเมืองโกสินรายน์ พระเกศา โลมา นขา ทันตา ทั้งหลาย เรี่ยรายประดิษฐานอยู่ทุกทิศทั่วทั้งจักรวาล ฝ่ายพระพุทธบริขารคือ บาตรแลจีวรท่อนผ้าสันถัตรัดประคดใน สมุกเหล็กไฟกล่องเข็มผ้ากรองน้ำธะมะการกวัสสิกะฏก ผ้าชุบสรง หนังนิสิทน์มีดโกนตลกบาตรเครื่องลาด แท่นพระบรรทม ลูกดานทองฉลองพระบาท ธาตุบริขารทั้งหลายนี้ องค์ขัติยาธิบดีพราหมณ์มหาศาลผู้เลื่อมใสกมลมาล ประกอบไปด้วยศรัทธาเป็นอย่างยิ่ง ได้อัญเชิญพระบรมธาตุบริขารสิบหกสิ่งนี้ไปประดิษฐานไว้ทั้งสิบเมือง ต่างกระทำสักการบูชารุ่งเรืองเห็นปรากฏ

    กายนทนธนํ พระพุทธรัดประคด อยู่ ณ เมืองเทวะทะหะราฐ ปตฺโต บาตร อยู่เมืองอนุราชสิงหฬทวีปลังกา อุทกสาฏกํ ผ้าชุบสรงสถิตอยู่ ณ เมืองปัญจาละนคร จิวรํ ผ้าจีวร อยู่เมืองพันทะวิไสย หรนี สมุกเหล็กไฟอยู่เมืองตักสิลา วาสีสูจิฆรํ มีดโกนแลกล่องเข็มประดิษฐานอยู่เมืองอินระปัตมะไหสวรรค์ จมมํ หนังนิสิทน์สันถัต สถิตอยู่เมืองคันธาระราฐ ถวิกา ตลกบาตรแลเครื่องลาดที่พระบรรทม ลูกดานทองฉลองพระบาททั้งคู่ อยู่บ้านอุสิระคาม ยังพระธาตุบริขารอื่นอีกหกสิ่ง คือพระอังคาร ถ่านเถ้าเสาเชิงตะกอนนั้นสถิตอยู่ ณ เมืองโมรียะประเทศ จุฬามุนีบรมเกศธาตุ ประดิษฐาน อยู่ดาวดึงษาสวรรค์ กาสายะวัตถัง ผ้าทรง นั้นอยู่ ณ ชั้นพรหมา สุวณฺณโฑณํ ทะนานทอง ที่ตวงพระบรมสารีริกธาตุ สถิตอยู่นครโกสินรายน์รัตน มไหสวรรค์ พระบรมธาตุทั้งยี่สิบสองประการนั้นทรงพระคุณเป็นอันยิ่ง พระองค์ทรงอนุญาตประทานไว้ทุกสิ่งด้วยพระมหากรุณา หวังพระทัยเพื่อจะให้เห็นที่สักการบูชาเกิดผลานิสงส์อันเป็นสวัสดิมงคลแก่ฝูงเทพามนุษย์ กว่าจะยุติสิ้นสุดพระพุทธศาสนา

    ครั้นกาลล่วงนานมาในห้าพันปี พระบรมธาตุทั้งหลายนี้เสด็จไปสู่ลังกาเกาะ เพื่อที่จะทรงสงเคราะห์ชาวสิงหฬ ให้เกิดสวัสดิมงคลด้วยกระทำสักการบูชาพระคุณ เมื่อถึงกาลพระพุทธศาสนาใกล้จะสิ้นสูญครบจำนวนถ้วนห้าพันปี พระบรมธาตุทั้งหลายนี้จะเสด็จไปสู่ที่พระเจดีย์ฐานดำรงอยู่โดยจำเนียรกาลบ่มิได้คลาด ครั้นถึงพระพุทธศักราชล่วงได้สี่พันเก้าร้อยเก้าสิบเก้าพรรษาเศษสังขยาเดือนล่วงได้สิบเอ็ดเดือนกับยี่สิบสองวัน วันพฤหัสบดีเดือนหกขึ้นเก้าค่ำคิมหันตฤดูปีชวดนักษัตรอัฐศกเวลารุ่งอรุโณทัย พระบรมสารีริกธาตุทั้งหลายนี้ไซร้ จะเสด็จไปสู่สถานที่สันนิบาต มิทันนานทรงทำยมกปาฏิหาริย์ด้วยพุทธฤทธิ์อันพิเศษ บังเกิดเป็นพุทธนิเวศน์ แลพระพุทธวรกายสูงได้สิบแปดศอก เปล่งพระรัศมีออกสิบหกประการ มีพระบวรสัญฐานวิจิตรจำรัสศรีสุนทโรภาสทรงพระสิริวิลาศอันเพริศแพร้ว ดวงพระพักตร์ผุดผ่องแผ้ว ดังสีสุวรรณทองแท่งธรรมชาติ พระรูปองค์สมเด็จพระบรมโลกนาถเสด็จขึ้นสถิตนั่งเหนือรัตนบัลลังก์อาสน์ทรงพระสมาธิมั่นในควงต้นไม้พระศรีมหาโพธิ์ ทรงกระทำยมกปาฏิหาริย์ โปรดสัตว์คนธรรพ์ เทวะนิกร อมรฤษีสิทธิ์ พิทยาธร กินนร นาคราช ทั้งหมู่อสุระเดียรดาษนั่งแน่นเหนือพื้นแผ่นพสุธา สตฺตาหํ ทรงตรัสพระธรรมเทศนาโปรดสัตว์อีกเจ็ดวัน ในครั้งนั้นได้สี่อสงไขยสองล้านสามแสนหกสิบเจ็ดพันโกฏิแล้ว พระเตโชธาตุก็พวยพุ่งรุงโรจน์โชตนาการ สังหารพระบวรพุทธสรีระธาตุให้สิ้นสุดในวันพุธเดือนหกขึ้นสิบค่ำ ปีชวดนักษัตรอัฐศก พระพุทธศาสนาก็บรรจบครบจำนวนถ้วนห้าพันพรรษา

    อหํ วนฺทามิ ธาตุโย ข้าพเจ้าขอน้อมนมัสการพระบรมสารีริกธาตุทั้งหลาย ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น

    อหํ วนฺทามิ สพฺพโส ข้าพเจ้า ขอนมัสการองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ด้วยประการทั้งปวง

    คาถาบูชาพระบรมสารีริกธาตุ
    อิติปิโส วิเสเสอิ อิเสเสพุทธะนาเมอิ
    อิเมนาพุทธะตังโสอิ อิโสตังพุทธะปิติอิ ฯ
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  5. ธ.เธียรไท

    ธ.เธียรไท เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    612
    ค่าพลัง:
    +1,735
    ขออนุญาติคัดลอกให้เป็นธรรมทาน
    <!-- / message -->
     
  6. ธ.เธียรไท

    ธ.เธียรไท เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    612
    ค่าพลัง:
    +1,735
    ขออนุญาติเเละขอบคุณครับ
    www.rakpratat.com
     
  7. ธ.เธียรไท

    ธ.เธียรไท เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    612
    ค่าพลัง:
    +1,735
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD>พระอรหันตธาตุยุคพุทธกาล

    [​IMG]
    พระสารีบุตร
    สัณฐานกลมเป็นปริมณฑล , รีเป็นไข่จิ้งจก ,เป็นดังรูปบาตรคว่ำ
    พรรณสีขาวสังข์ , สีพิกุลแห้ง(น้ำตาลแดง) , สีหวายตะค้า(น้ำตาลอ่อน)
    พระสารีบุตร ภายหลังจากบวชแล้ว ๑๕ วัน ท่านก็บรรลุอรหันต์ และเป็นพระอัครสาวกเบื้องขวาของพระพุทธเจ้า พระพุทธองค์ทรงยกย่องให้พระสารีบุตรเป็นผู้เลิศด้วยปัญญา ก่อนที่พระสารีบุตรจะนิพพาน ท่านได้เดินทางกลับบ้านเพื่อไปโปรดมารดา และท่านก็เกิดอาการอาเจียนออกมาเป็นโลหิตไม่หยุด มารดาท่านก็เศร้าโศกเป็นอันมาก บรรดาเทวดา และพรหมต่างก็เสด็จมาเยี่ยมท่าน มารดาของท่านจึงถามว่าท่านเหล่านั้นเป็นใคร ทำไมจึงมีแสงรอบกาย ท่านก็ตอบว่าเป็นเทพเทวดาได้แก่ ท้าวโลกบาลทั้งสี่ พระอินทร์ และองค์สุดท้ายคือท้าวมหาพรหม มารดาท่านตกใจและคิดได้ว่าพระสารีบุตรยิ่งใหญ่กว่าท่านเหล่านั้นอีกหรือ แล้วพระพุทธเจ้าจะยิ่งใหญ่เพียงใด จึงเกิดความเลื่อมใสพระพุทธองค์ พระสารีบุตรจึงแสดงธรรมโปรดมารดาเพื่อทดแทนคุณ แล้วท่านก็ดับขันธ์ นิพพาน
    [​IMG]
    พระโมคคัลลานะ
    สัณฐานกลมเป็นปริมณฑล , รีเป็นผลมะตูม , คล้ายเมล็ดทองหลาง , เมล็ดสวาท เมล็ดคำ พรรณสีเหลืองหวายตะค้า , ขาวสังข์ , เขียวช้ำใน , ลายคล้ายไข่นก , ลายเป็นรอยร้าวคล้ายสายเลือด

    [​IMG][​IMG]
    พระโมคคัลลานะ ภายหลังจากบวชแล้ว ๘ วัน ท่านก็บรรลุอรหันต์ และเป็นพระอัครสาวกเบื้องซ้ายของพระพุทธเจ้า พระพุทธองค์ทรงยกย่องให้พระโมคคัลลานะเป็นผู้เลิศด้วยฤทธิ์ ตัวอย่างเช่น ครั้งหนึ่ง เมื่อพระพุทธเจ้าได้เสด็จพร้อมด้วยพระอรหันต์จำนวน ๕๐๐ รูป เพื่อเสด็จไปยังเทวโลก ได้ผ่านวิมานของเหล่าพญานาค ที่กำลังมีการรื่นเริงกันอย่างสนุกสนาน ที่มี นันโทปะนันทะนาคราช เป็นประธานใหญ่ เมื่อเห็นคณะสงฆ์ผ่านไปเหนือวิมานจึงมีความโกรธมาก จึงได้ตรงไปยังเขาพระสุเมรุแปลงตนเป็นนาคขนาดใหญ่ พันโอบเขาพระสุเมรุด้วยขดถึง ๗รอบ แล้วแผ่พังพานบังชั้นดาวดึงส์เอาไว้ เพื่อไม่ให้พระพุทธเจ้าและพระสงฆ์ผ่านไปได้ และเมื่อเป็นดังนั้นได้มีพระอรหันต์หลายรูปอาสาปราบ แต่พระพุทธเจ้าไม่ทรงอนุญาต จน พระโมคคัลลานะ ผู้ซึ่งตามเสด็จไปด้วยอาสา พระองค์จึงทรงอนุญาต ดังนั้น พระโมคคัลลานะ จึงได้แปลงกายเป็นนาคราชขนาดใหญ่กว่าถึงเท่าตัว พันเอานาคนันโทปะนันทะนาคราช เอาไว้ด้วยขดถึง ๑๔ รอบ นาคราชทนไม่ไหวบันดาลให้ไฟลุกขึ้น พระโมคคัลลานะ ก็ให้เกิดไฟขึ้นเช่นกัน
    ไฟของนันโทปะนันทะนาคราชสู้ไม่ไหว จึงถามว่า "ท่านผู้เจริญ ท่านเป็นใคร" ตอบว่า "เราคือโมคคัลลานะ ศิษย์ของตถาคต" นันโทปะนันทะนาคราช จึงบอกว่า ท่านจงคืนร่างกลับเป็นพระเหมือนเดิมเถิด แต่ด้วยนิสัยของผู้รู้ว่า นันโทปะนันทะนาคราช เป็นคนไม่ยอมแพ้ใครง่าย ๆ จึงได้แปลงกายให้เล็กนิดเดียว สามารถเข้ารูหู รูจมูกได้ แล้วเข้าไปตามรูต่าง ๆ จน นันโทปะนันทะนาคราช ทนไม่ไหว และนันโทปะนันทะนาคราช สู้ไม่ได้จึงหนีไป พระโมคคัลลานะ จึงแปลงร่างเป็นพญาครุฑไล่ติดตามไป เมื่อหนีไม่พ้นจึงแปลงร่างเป็นมาณพหนุ่ม ยอมแพ้พระโมคคัลลานะและที่สุดจึงยอมให้พระพุทธเจ้าพร้อมพระอรหันต์ผ่านไปแต่โดยดี แม้พระโมคคัลานะจะมีฤทธิ์มากแต่ด้วยกรรมของท่านแต่อดีตชาติ ทำให้พวกโจรคอยคิดจะฆ่าท่านอยู่เสมอ แต่พวกโจรก็ทำอะไรพระโมคคัลลานะไม่ได้เพราะท่านมีฤทธิ์มาก ก่อนที่ท่านจะเข้าสู่นิพพานท่านก็เห็นว่าต้องชดใช้กรรมเก่าแต่อดีตชาติที่ท่านเคยฆ่าพ่อแม่ จึงยอมให้พวกโจรทำร้ายทุบตีจนร่างแหลกเหลว แล้วพวกโจรก็นำร่างท่านไปทิ้งไว้ในป่า เมื่อพวกโจรไปแล้วพระโมคคัลลานะก็ประสานกายมาเฝ้าพระพุทธเจ้า เพื่อทูลลาเข้าสู่นิพพาน
    [​IMG]
    พระสิวลี
    สัณฐานดังผลยอป่า , เมล็ดในพุทรา , เมล็ดมะละกอ พรรณสีขาว ,
    สีเหลืองหวายตะค้า , สีพิกุลแห้ง , สีแดงดังหม้อไหม้ , สีเขียวดังดอกผักตบ

    พระสิวลี เป็นสาวกของพระพุทธเจ้าที่เป็นเลิศทางลาภสักการะ ในอดีตชาติของท่านสมัยพระพุทธเจ้าวิปัสสี พระสิวลีได้เกิดเป็นชาวบ้านคนหนึ่งที่หาน้ำผึ้งมาขายในเมือง ขณะที่กำลังจะเข้าเมืองได้มีชายคนหนึ่งมาขอซื้อน้ำผึ้งในราคาสูง พระสิวลีหรือชาวบ้านคนนั้นเกิดความแปลกใจสงสัยว่าทำไมจึงให้ราคาสูงก็สอบถามชายผู้นั้นได้ความว่า ขณะนี้ในเมืองกำลังจะมีงานบุญใหญ่เป็นมหาทาน และขาดน้ำผึ้งที่จะถวายพระพุทธเจ้าวิปัสสีเพียงอย่างเดียว เมื่อได้ฟังเช่นนั้นชาวบ้านจึงบอกกับชายคนนั้นว่าจะไม่ขาย แต่ต้องการนำน้ำผึ้งไปถวายด้วยตนเอง ชายผู้นั้นและชาวเมืองต่างพากันร่วมอนุโมทนาบุญกับชายชาวบ้านผู้นั้นด้วย เมื่อตายไปแล้วก็ได้ไปเกิดเป็นเทวดาหลายชาติจนได้มาเกิดในปัจจุบันชาติเป็นพระสิวลี พระสิวลีเป็นเลิศทางลาภสักการะตั้งแต่อยู่ในครรภ์ก็มีผู้เอาลาภสักการะต่างๆมาถวาย และไม่ว่าท่านจะเดินทางไปในที่แห่งใดก็มีแต่ลาภมิขาดสายจนถึงพระนิพพาน
    [​IMG]
    พระองคุลิมาล
    สัณฐานคล้ายนิ้วมือ , คอดดังคอลา , แท่งกลม , คล้ายแขนงไม้ ส่วนใหญ่มีรูทะลุตลอดหัวท้าย พรรณสีขาวสังข์ , สีเหลืองดังดอกจำปา , สีฟ้าหมอก
    พระองคุลิมาล แต่เดิมชื่อ อหิงสกะ เมื่อแรกเกิดโหรทำนายไว้ว่าจะเป็นโจร บิดาของท่านจึงส่งไปเรียนวิชาความรู้ ท่านก็เรียนได้เก่งกว่าคนอื่นจนเพื่อนๆ อิจฉาจึงยุอาจารย์ให้เกลียด อาจารย์ก็หลงเชื่อจึงหลอกให้ท่านไปฆ่าคนมาให้ได้ครบหนึ่งพันคนแล้วจะสำเร็จวิชาสูงสุด นับแต่นั้นมาท่านก็เป็นจอมโจรที่ฆ่าคนแล้วตัดนิ้วมือมาร้อยคอเป็นสร้อยเพื่อนับจำนวนให้ครบพัน จึงได้ฉายา องคุลิมาล จนกระทั้งคนสุดท้ายที่จะต้องฆ่า ท่านก็คิดจะฆ่ามารดาตนเอง พระพุทธเจ้าจึงเสด็จมาโปรด ท่านก็เปลี่ยนใจจะมาฆ่าพระพุทธองค์แทน แต่วิ่งเท่าไรก็ไม่ทันจึงตะโกนบอกให้หยุด พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า เราหยุดแล้ว แต่เจ้าสิยังไม่หยุด ด้วยความสงสัยท่านจึงถามความหมาย พระพุทธเจ้าทรงตอบว่า เราเป็นผู้ที่ไม่เบียดเบียนใคร จึงชื่อว่าหยุด แต่เจ้าเป็นผู้เบียดเบียนสัตว์ทั้งหลาย จึงชื่อว่าไม่หยุด เมื่อได้ฟังดังนั้นจอมโจรองคุลิมาลก็เกิดดวงตาเห็นธรรมจึงทูลขอบวช เมื่อท่านได้บวชเป็นพระแล้วไม่ว่าจะเดินทางไปที่ใด ก็จะถูกผู้คนที่มีความโกรธแค้นทำร้ายอยู่เป็นนิจ ท่านก็อดทนใช้หนี้กรรม และปฏิบัติธรรมอย่างไม่ลดละจนเข้าถึงซึ่งพระนิพพาน
    [​IMG]
    พระโกณฑัญญะ
    สัณฐานงอนช้อยดังงาช้าง พรรณสีขาวดังดอกมะลิตูม , สีเหลือง ,
    สีดำ ​
    พระโกณฑัญญะ แต่เดิมท่านเป็นพราหมณ์ และเคยได้ทำนายพระพุทธเจ้าไว้เมื่อตอนประสูติว่าท่านจะต้องเป็นศาสดาที่ยิ่งใหญ่ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในขณะที่พราหมณ์คนอื่นๆ ทำนายว่าพระองค์อาจจะเป็นพระเจ้าจักรพรรดิอีกทางหนึ่ง ครั้นเวลาล่วงมาจนถึงพระพุทธเจ้าทรงออกผนวชและบำเพ็ญเพียรเพื่อให้บรรลุธรรม ขณะนั้นท่านโกณฑัญญะ และเพื่อนพราหมณ์ทั้ง ๔ มาพบเข้าเกิดความเลื่อมใสศรัทธาคอยอยู่เฝ้าพระพุทธองค์ จนกระทั้งพระพุทธองค์ทรงค้นพบทางสายกลางจึงกลับมาปฏิบัติตนและเสวยอาหารตามเดิม พวกพราหมณ์จึงคิดว่าพระองค์ทรงเลิกการปฏิบัติแล้วจึงลาจากไป จนในที่สุดพระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้แล้วจึงได้เดินทางมาพบพวกพราหมณ์ทั้ง ๕ เพื่อแสดงปฐมเทศนา แต่พวกพราหมณ์ ก็ไม่อยากจะเชื่อนัก พระองค์จึงทรงเทศนาเมื่อจบกัณฑ์แรกท่านโกณฑัญญะก็บรรลุโสดาบันจึงทูลขอบวช และได้เป็นพระภิกษุรูปแรกในพระพุทธศาสนา พระองค์ได้แสดงธรรมจนถึงวันที่ ๔ พราหมณ์ทั้ง ๕ จึงบรรลุเป็นพระอรหันต์พร้อมกัน พระโกณฑัญญะ พระพุทธเจ้าทรงตั้งท่านเป็นสาวกที่รู้ราตรีนาน คือมีอายุมากอยู่มานานก่อนใคร
    [​IMG]
    พระอนุรุทธะ
    สัณฐานดังสามเหลี่ยมพรรณสีแดงเลือดนก , สีเหลืองพิกุล ​
    พระอนุรุทธะ ในอดีตชาติท่านเคยเกิดเป็นคนยากจน แต่ท่านได้ทำบุญใส่บาตรพระปัจเจกพุทธเจ้าที่ออกจากฌาณสมาบัติ และอธิษฐานขอคำว่า ไม่มี จงอย่าเกิดแก่ข้าพเจ้า และก็ได้เป็นเศรษฐี เมื่อตายไปก็ได้ไปเกิดเป็นพระอินทร์ ๗ ชาติ พระมหาจักรพรรดิ์ ๑๔ ชาติ อีกทั้งเคยทำบุญใหญ่สร้างประทีปโคมไฟหลายพันดวงเพื่อบูชาเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระปทุมุตระพุทธเจ้า และเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระกัสสปะพุทธเจ้าอีก เมื่อเกิดมาในชาตินี้ก็เป็นพระราชโอรสของ อมิโตทนะศากยะ พระอนุรุทธะถือการไม่นอนเป็นข้อวัตรอยู่ ๕๕ ปี กำจัดความง่วงเหงาได้ ๒๕ ปี และท่านมีญาณรู้เห็นทุกสรรพสิ่ง ขณะที่พระพุทธเจ้าใกล้จะปรินิพพาน ท่านก็ตามดูจิตและบอกพระอานนท์ทราบทุกขณะ พระพุทธเจ้าทรงยกย่องท่านเป็นเลิศทางตาทิพย์ ​
    [​IMG]
    [​IMG]
    พระมหากัจจายนะ
    สัณฐานดังศีรษะช้าง , ดังเบี้ยจั่น พรรณสีขาวสังข์ , สีเหลือง ​
    พระมหากัจจายนะ ในอดีตชาติท่านได้ทำบุญใหญ่เอาไว้มาก เช่นเมื่อเกิดในสมัยพระปทุมุตระพุทธเจ้าได้ถวายมหาทาน ๗ วัน ในสมัยพระสุเมธพุทธเจ้า ท่านเกิดเป็นวิชาธรเหาะไปบูชาพระพุทธองค์ด้วยดอกกรรณิกา ในสมัยพระกัสสปะพุทธเจ้า ได้บูชาเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระองค์โดยถวายอิฐทองคำราคาหนึ่งแสน จนมาถึงปัจจุบันชาติท่านก็ได้เป็นมหาอำมาตย์ ของพระเจ้าจัณฑปัชโชต และได้เดินทางไปทูลเชิญพระพุทธเจ้ามาแสดงธรรม แต่เมื่อไปถึงได้สดับพระธรรมเทศนาแล้วบรรลุอรหันต์ท่านจึงออกบวช และเหาะกลับมาโปรดพระราชา และมหาชนแทนพระพุทธองค์ จนผู้คนเลื่อมใสศรัทธาออกบวชกันเป็นอันมาก ​

    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    พระพิมพาเถรี
    สัณฐานบางเป็นแผ่นกระแจะ , ดังแป้งหยด , ดังเล็บมือ , บางทีมีรูทะลุตรงกลางหรือเป็นรูสะดือ พรรณสีขาว , สีเหลืองดังสีลาน , สีดำ , สีดอกพิกุลแห้ง

    พระพิมพาเถรี แต่เดิมเป็นพระมเหสีของเจ้าชายสิทธัตถะก่อนที่จะเสด็จออกผนวชเป็นพระพุทธเจ้า หลังจากพระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้แล้วได้เสด็จมาโปรดพระนางฯทำให้เกิดความเลื่อมใสศรัทธาและออกบวชเป็นพระภิกษุณีจนบรรลุเป็นพระอรหันต์เสด็จเข้าสู่นิพพานในที่สุด
    [​IMG]
    พระสันตติมหาอำมาตย์
    สัณฐานดังดอกมะลิตูม พรรณสีขาวดังสังข์ ​
    พระสันตติมหาอำมาตย์ เป็นมหาอำมาตย์ของพระเจ้าปเสนธิโกศล ไปปราบโจร และได้ชัยชนะกลับมา พระราชาจึงพระราชทานหญิงงามให้นางหนึ่ง มหาอำมาตย์จึงมัวเมาอยู่ในกาม และสุราอยู่ ๗ วันจนวันสุดท้ายพระพุทธเจ้าเสด็จผ่านมาทรงรู้ด้วยญาณว่าวันนี้มหาอำมาตย์จะหมดอายุขัยแต่ด้วยบุญบารมีจากอดีตชาติจะทำให้ท่านได้บรรลุเป็นอรหันต์ และนิพพานในวันนี้ แล้วเหตุการณ์ก็เป็นจริง มหาอำมาตย์เกิดเป็นโรคลมขึ้นในท้อง และมาหาพระพุทธเจ้า พระพุทธองค์ทรงโปรดแสดงธรรมแก่มหาอำมาตย์ จนบรรลุเป็นอรหันต์ และทราบว่าตนหมดอายุขัยแล้ว จึงเสด็จขึ้นไปบนอากาศ เข้าเตโชธาตุ ให้ไฟเผาร่างกายคงเหลือแต่พระธาตุดังดอกมะลิลอยลงมาแล้วเสด็จเข้าสู่นิพพาน ​
    [​IMG]
    พระภัททิยะ
    สัณฐานดังกลองทั้งสองข้างเรียวเล็ก พรรณสีดังดอกพุดตาน ​
    พระภัททิยะ ท่านเป็นผู้เกิดในตระกูลสูง เป็นบุตรแห่งพระนางกาฬิโคธา พระราชเทวีศากยราช ผู้มีอายุมากกว่านางศากยะทั้งหลาย และพระภัททิยะในอดีตชาติท่านเคยเกิดในตระกูลสูงติดต่อกันถึง ๕๐๐ ชาติ พระพุทธเจ้าทรงยกย่องท่านเป็นเลิศกว่าภิกษุทั้งหลาย ในด้านเป็นผู้มีตระกูลสูง พระภัททิยะท่านชอบอยู่โดยสันโดษในป่าอันวิเวก ถือธุดงควัตรอย่างเคร่งครัดจนถึงพระนิพพาน
    [​IMG]
    พระอานนท์
    สัณฐานดังใบบัวเผื่อน พรรณสีขาวดังเงิน , สีดำอย่างน้ำรัก , เหลืองหวายตะค้า
    พระอานนท์ ท่านเป็นสาวกที่พระพุทธเจ้ายกย่องให้เป็นเลิศถึง ๕ อย่าง ๑.เป็นพหูสูตร มีความรู้มาก ๒.เป็นผู้อุปัฏฐากพระพุทธเจ้าได้อย่างยอดเยี่ยม ๓.มีสติดี ไม่หลงลืม ทำอะไรไม่ผิดพลาด ๔.มีคติ คือมีความคิดดีมีประโยชน์ ๕.มีความทรงจำเป็นเยี่ยม ก่อนที่ท่านจะดับขันธ์นิพพาน พระญาติของท่านทั้ง ๒ ฝ่ายต่างก็แย่งตัวท่านไปยังเมืองของตน ท่านจึงเหาะขึ้นไปเหนือแม่น้ำซึ่งเป็นเส้นแบ่งเขตแดนของทั้ง ๒ เมือง เนรมิตไฟเผาร่างกาย เหลือแต่พระธาตุซึ่งแบ่งออกเป็น ๒ ส่วนให้เมืองทั้ง ๒ ท่านจึงเข้าสู่พระนิพพาน ​
    [​IMG]
    พระอุปคุต
    สัณฐานหัวคอดท้ายคอด พรรณสีดอกพิกุลแห้ง , สีเปลือกหอมใหญ่ ​
    พระอุปคุต ท่านเกิดหลังพุทธกาลประมาณ สองร้อยกว่าปี อยู่ในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช เมื่อพระเจ้าอโศกมหาราชได้ทรงค้นพบพระบรมสารีริกธาตุ พระองค์จึงทรงสร้างเจดีย์ ๘๔,๐๐๐ องค์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุประดิษฐานในที่ต่างๆ และ ให้มีการฉลองสมโภชเป็นเวลา ๗ ปี แต่พญามารได้บันดาลให้เกิดความอดอยากยากแค้น งานฉลองจะได้ไม่สำเร็จ พระอุปคุตจึงได้ปราบพญามารด้วยการเนรมิตซากหมาเน่าแขวนไว้ที่คอพญามาร ซึ่งแก้เท่าไรก็ไม่ออก พญามารจึงยอมแพ้ แต่ไม่ได้มาจากใจจริง พระอุปคุตจีงเอาซากหมาเน่าออกมาให้ แต่ได้จับพญามารขังไว้ในภูเขา พญามารจึงเริ่มสำนึกผิดว่าตนเองได้ล่วงเกินพระพุทธเจ้าเป็นอย่างยิ่ง แต่พระองค์มิได้ทรงตอบโต้ และ ยังได้ทูลเชิญให้พระองค์ปรินิพพานด้วยคิดว่าตนเองเป็นผู้ยิ่งใหญ่ แต่ความจริงแล้วพระพุทธเจ้าทรงมีพระมหากรุณาธิคุณมากมิได้กระทำโทษแก่ตน ซึ่งถ้าจะกระทำก็ทำได้โดยง่าย แม้แต่พระภิกษุรูปนี้ยังกระทำโทษตนได้โดยตนไม่มีทางต่อสู้ได้เลย พญามารเกิดสำนึกในพระคุณของพระพุทธเจ้าจึงปรารถนาจะบำเพ็ญบารมีเพื่อให้สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคตกาลบ้าง พระอุปคุตหยั่งรู้ความคิดของพญามารได้ด้วยญาณจึงไปปลดปล่อยพญามารและสั่งสอนการบำเพ็ญบารมีเพื่อพุทธภูมิให้ พระอุปคุตมักจะนั่งสมาธิอยู่ใต้บาดาล จึงมักทำเป็นรูปพระมีใบบัวปิดหัวเป็นเครื่องหมาย มักบูชาโดยใส่พานแช่น้ำไว้เรียกว่าพระบัวเข็ม ​
    [​IMG]
    พระอุทยีเถระ
    สัณฐานยาวแลดังกริช พรรณดังสีดอกบัวโรย สีดอกบานไม่รู้โรย สีดังดอกหงอนไก่ สีดังดอกคำ​
    พระอุทยีเถระเกิดในตระกูลพราหมณ์ที่กรุงกบิลพัสดุ์ ได้เห็นพุทธานุภาพของพระพุทธเจ้าที่ทรงแสดงท่ามกลางพระประยูรญาติ จึงเกิดความศรัทธา ออกบรรพชาไม่ช้าก็สำเร็จพระอรหันต์ ต่อมาท่านได้เห็นมหาชนสรรเสริญช้างเผือกของพระมหากษัตริย์ จึงคิดว่าคนเหล่านี้พากันสรรเสริญสัตว์เดรัจฉาน แต่ไม่สรรเสริญพระพุทธเจ้า ท่านจึงได้แสดงธรรมกล่าวสรรเสริญพระพุทธเจ้าให้มหาชนฟังนับเป็นคาถาได้ ๑๖ คาถา เช่น อุปมาว่า ความสงบเสงี่ยมได้แก่ศีล ความไม่เบียดเบียนได้แก่กรุณา เป็นช้างเท้าหน้า หมายถึงศีลและกรุณาทั้งสองนี้ เป็นหัวหน้าคุณธรรมทั้งปวง มีสิต สัมปชัญญะเป็นช้างเท้าหลัง หมายถึงสติสัมปชัญญะย่อมตามหลังคุณธรรมทั้งปวง เป็นต้น ​
    [​IMG]
    พระอุตตรายีเถรี
    สัญฐานดั่งรูปพระคะวัมปะติ พรรณดังเมฆ สีหมอกฟ้า สีแดงเข้ม ​
    พระอุตตรายีเถรี เกิดที่กรุงสาวัตถี ได้ไปฟังธรรมที่สำนักของปฏาจาราเถรี เกิดสลดใจในสงสารจึงออกบรรพชา ไม่ช้าก็สำเร็จอรหันต์ พร้อมด้วยปฏิสัมภิทา ด้วยมีวาสนาบารมีแก่กล้าแล้ว และ ได้กล่าวคาถาขึ้น ๗ คาถา ความว่าบุคคลทั้งหลายย่อมตำข้าวเลี้ยงบุตร ภรรยา หาทรัพย์มาเลี้ยงบุตร ภรรยา ท่านทั้งหลายจงกระทำสิ่งที่ไม่ทำให้เดือดร้อนในภายหลัง จงรีบล้างเท้าแล้วนั่งเจริญธรรม จงทำจิตให้มีอารมณ์แน่งแน่ในทางธรรม จงพิจารณาดูสังขารว่าเป็นของแปรปรวน ไม่ยั่งยืนถาวร ไม่ใช่ตัวตนของเรา เราได้ฟังคำสอนของนางปฏาจาราดังนี้แล้วก็รีบล้างเท้าเข้าไปเจริญสมณธรรม ก็ได้สำเร็จอรหันต์ เราได้ทำลายกองมืด เราได้มีความสุขใจอย่างยิ่งแล้ว
    เราห้อมล้อมด้วยคุณธรรมแล้ว เหมือนเทพเจ้าชาวดาวดึงษ์ห้อมล้อมท้าวสักกะเทวราชผู้ชนะสงครามแล้วฉะนั้น ​
    [​IMG]
    พระกาฬุทายีเถระ
    สัณฐานดั่งลูกหินบด พรรณดังเมฆเกล็ดฟ้า
    พระกาฬุทายีเถระ เกิดในตระกูลอำมาตย์ที่กรุงกบิลพัสดุ์ ในวันประสูติของพระพุทธเจ้า เรียกว่าเป็นสหชาติ คือ ผู้เกิดร่วมวันเดียวกันกับพระพุทธเจ้า เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วประทับอยู่ที่วัดเวฬุวัน กรุงราชคฤห์ พระเจ้าสุทโธทนะโปรดให้กาฬุทายีอำมาตย์กับราชบุรุษ ไปทูลอาราธนาเสด็จสู่กรุงกบิลพัสดุ์ และ เมื่อกาฬุทายีอำมาตย์ได้ฟังธรรมแล้ว ก็สำเร็จอรหันต์พร้อมด้วยปฏิสัมภิทาญาณ บวชเป็นเอหิภิกขุแล้วพระพุทธเจ้าพร้อมภิกษุ ๒ หมื่นรูป เสด็จไปตามทางที่จะไปกรุงกบิลพัสดุ์ ส่วนพระกาฬุทายี ได้เหาะไปแจ้งข่าวแก่พระราชา แล้วยืนอยู่บนอากาศให้พระเจ้าสุทโธทนะเห็น พระองค์จึงทรงถามว่า ท่านเป็นใคร จึงถวายพระพรตอบว่า อาตมาเป็นบุตรของพระพุทธเจ้า พระองค์เป็นบิดาแห่งบิดาอาตมภาพ พระองค์เป็นตาของอาตมภาพ พระเจ้าสุทโธทนะจึงอาราธนาให้นั่งที่บัลลังก์จัดโภชนาหารใส่บาตรถวายแล้วจะลากลับพระเจ้าสุทโธทนะจึงตรัสถามว่าพระผู้เป็นเจ้าจะไปฉันที่ใด ท่านตอบว่า จะไปฉันในสำนักพระศาสดา พระองค์จึงให้ท่านฉันที่นั่น แล้วให้นำอาหารอื่นไปถวายพระพุทธเจ้า ท่านฉันแล้วก็แสดงธรรมแก่ชุมชน แล้วนำอาหารเหาะไปถวายพระพุทธเจ้าทุกวัน ตลอดระยะเวลาการเดินทาง ๖๐ วัน พระกาฬุทายีเถระได้ทำให้ราชตระกูลเลื่อมใสในพระรัตนตรัยทั้งสิ้นด้วยอาการอย่างนี้ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงทรงตั้งท่านไว้ในตำแหน่งอันเลิศฝ่ายทำให้ตระกูลเลื่อมใสด้วยประการฉะนี้
    [​IMG]
    พระปุณณะเถระ
    สัณฐานเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส พรรณสีขาว สีดอกพิกุลแห้ง
    พระปุณณะเถระได้ทำอธิการกุศลมาในพระพุทธเจ้าแต่ปางก่อน สมัยเป็นดาบสอยู่ในป่าหิมพานต์มีพระปัจเจกพุทธเจ้าปรินิพพานอยู่ในเงื้อมเขา ท่านเห็นแสงสว่างใหญ่จึงไปเสาะหาดู พบพระปัจเจกพุทธเจ้าปรินิพพานจึงหาฟืนมาเผาแล้วรดด้วยน้ำหอม เทวบุตรเห็นเหตุการณ์จึงยืนในอากาศแล้วบอกว่า ดีแล้วๆสัตตบุรุษ ท่านจะได้ชื่อว่า ปุณณะ ซึ่งแปลว่า ผู้มีบุญมาก ครั้นมาถึงสมัยสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ได้เกิดมาในตระกูลคฤหบดี ที่ท่าเรือสุปารกะ ใน สุนาปรันตชนบท (ประเทศไทยในปัจจุบัน) ได้ไปค้าขายยังอินเดีย และ ได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าที่กรุงสาวัตถี จึงเกิดความศรัทธาและออกบวช เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว ๑๙ พรรษาท่านเจริญสมณธรรมได้ ๓ ปี ก็ใคร่จะกลับมายังเมืองไทย บ้านเกิดของท่าน จึงขอเข้าเฝ้าและขอพระโอวาทย่อๆจึงเกิดพระปุณโณวาทสูตรในพระไตรปิฎก บันลือ ๗ ครั้ง แล้วกลับเมืองไทย ไปเจริญสมณธรรม ที่บ้านมกุล หรือ แม่กุน ( ตามกระเบื้องจารไว้ว่าเป็นลูกชายคนโตของ พ่อกล่อมและแม่กุน หรือ ขุนกล่อม ขุนหญิงกุน มีน้องชายชื่อจุน หรือ จุลปุณณ และมีน้องชาย น้องสาวอีก) พระปุณณะเถระได้สำเร็จพระอรหันต์ในพรรษานั้น เมื่อพ่อค้าญาติของท่านเดินทางไปประสบภัยในทะเล ท่านก็เหาะไปช่วยให้ปลอดภัยกลับมา ได้ขนไม้จันทน์หอมมาขายได้กำไรมาก ท่านจึงชวนญาติให้สร้างโรงกลมใหญ่ ๕๐๐ ห้อง เสร็จได้ด้วยฤทธิ์ แล้วทูลเชิญพระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวก ๔๙๙ องค์ เสด็จผ่านมาโดยเรือนยอดตลอดทางประมาณ ๓๐๐ โยชน์ ทางละโว้โบราณ และได้โปรดสัจจพันธ์ดาบส (ชีพัน) บรรลุอรหันต์แล้ว ครบอรหันต์ ๕๐๐ องค์ ก็ถึงเมืองไทย ในปีพุทธพรรษา ๒๒ ทรงประทับที่ป่าชายบ้านแม่กุน ๒ คืน ต่อมาสมัยพระโสณะอุตตระ (พ.ศ. ๒๒๓ – ๒๓๕) ได้ให้มาสร้างวัดตรงที่ประทับ จึงรู้ว่าเป็นวัดพริบพลีนี้ พระปุณณะเถระได้พาเสด็จมาทางเมืองทอง และ ทรงรับสั่งว่าจะเป็นสุวรรณภูมิ (ประเทศไทย) ไปถึงหน้าเขางู ตรัสว่าจะเป็นเมืองราชพลี ต่อจากสุวรรณภูมิ แล้วได้เข้าประทับ ณ ถ้ำฤษี ตรัสว่าจะมีคนนับถือมาก เสด็จผ่านเมืองทองได้พบกับพระเจ้าทับไทยทอง และ ตรัสชวนไปมคธ แล้วพระปุณณะเถระได้พาเสด็จไป ณ นิมมทานที (ไทยว่านัมมทา) ทรงโปรดนาคราช ซึ่งทูลขอสิ่งที่บำเรอจึงประทับรอยพระพุทธบาท ณ นิมมทานที เมื่อเสด็จไปสัจจพันธคีรี พระสัจจพันธ์ได้ทูลขอบ้าง จึงได้ประทับรอยพระพุทธบาทและทรงอธิษฐานให้ขยายใหญ่ขึ้น ๓ เท่า ประดิษฐาน ณ พระพุทธบาทสระบุรีจนถึงทุกวันนี้
    [​IMG]
    พระอุปนันทะเถระ
    สัณฐานกลมเป็นปริมณฑล พรรณสีเขียว
    [​IMG]
    พระสัมปะฑัญญะเถระ
    สัญฐานเท่าหมากสงปอกแล้ว พรรณสีแดง สีขาว

    [​IMG]
    พระจุลลินะเถระ
    สัณฐานต่างๆหากำหนดมิได้ พรรณดังสีดอกจำปา สีกล้วยครั่ง
    [​IMG]
    พระจุลนาคะเถรเจ้า
    สัณฐานดังดอกดีปลี เป็นปุ่มยาวทบไปทบมาทั่วองค์ พรรณขาวดังสีสังข์
    [​IMG]
    พระมหากปินะเถรเจ้า
    สัณฐานดังผลชะเอม พรรณขาวข้างหนึ่ง แดงข้างหนึ่ง เขียวข้าง แดงข้างหนึ่ง เหลืองข้างเขียวข้างก็มี ​
    พระมหากปินะเถรเจ้า เกิดเป็นพระราชา ทรงพระนามว่า พระเจ้ามหากบิน พระองค์ทรงคอยสดับข่าวการอุบัติขึ้นแห่งพระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระสังฆเจ้า จนทรงทราบจากพวกพ่อค้า ก็เกิดความปิติอย่างยิ่ง ทรงพระราชทานทรัพย์ ๓ แสน แล้วตามเสด็จไปบรรพชาพร้อมด้วยอำมาตย์พันหนึ่ง ครั้นมาถึงแม่น้ำ พระองค์ทรงทำสัตยาธิษฐานว่า ถ้าพระศาสดาเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจริง ขอให้ม้าวิ่งไปบนหลังน้ำได้ และ ม้าก็ข้ามน้ำได้สำเร็จ พระพุทธเจ้าทรงรู้ได้ด้วยญาณจึงเหาะไปประทับที่โคนต้นนิโครธใหญ่ ใกล้แม่น้ำจันทภาคา ทรงเปล่งรัศมี ๖ ประการ เมื่อพระเจ้ามหากบิน และ อำมาตย์เห็นก็เข้าไปถวายบังคม ขอฟังธรรม เมื่อจบพระธรรมเทศนา ก็ได้สำเร็จพระอรหันต์ทั้งหมด แล้วบรรพชาเป็นเอหิภิกขุ พระนางอโนชาราชเทวี ทรงทราบข่าวจากพ่อค้าว่าพระราชาเสด็จออกบวช และ ข่าวการอุบัติขึ้นของพระรัตนตรัย ก็เกิดความปิติเช่นกัน และพระราชทานทรัพย์อีก ๙ แสน เป็น ๑๒ แสน พระนางพร้อมด้วยเหล่าภรรยาอำมาตย์ ตามเสด็จพระราชา ได้ข้ามแม่น้ำดุจเดียวกันเป็นปาฎิหารย์ เมื่อไปถึงที่เฝ้าแล้ว พระพุทธเจ้าทรงบันดาลให้ไม่เห็นพวกภิกษุผู้เป็นสามี ต่อเมื่อได้ฟังธรรมจนสำเร็จโสดาบันแล้ว จึงโปรดให้เห็น แล้วหญิงพันคนซึ่งมีพระนางอโนชาราชเทวีเป็นประธาน ได้บรรพชาในสำนักนางภิกษุณี แล้วสำเร็จพระอรหันต์ทั้งสิ้น
    [​IMG]
    พระยังคิกะเถรเจ้า
    สัณฐาณสี่เหลี่ยมแบนเป็นหน้ากระดาน มีรูกลาง พรรณดังสีทองแดง
    [​IMG]
    พระสุมนะเถระ
    สัณฐานดังหอยโข่ง พรรณแดงดังสีชาด ดังสีเสน กำมะถัน
    พระสุมนะเถระได้เคยบูชาพระพุทธเจ้าสิขีด้วยดอกมะลิมาในอดีตชาติ มาถึงพุทธกาลนี้ได้เกิดมาในเรือนอุบาสกคนหนึ่งซึ่งเป็นอุปัฏฐากของพระอนุรุทธะ ซึ่งลูกเกิดมาทีไรก็ตายหมด จึงคิดว่าถ้าได้ลูกอีกทีจะบวชอยู่กับพระอนุรุทธะ จึงได้ลูกมาจนลูกอายุครบ ๗ ขวบ ไม่เคยมีโรคภัยไข้เจ็บ จึงนำไปบรรพชา ได้เจริญวิปัสสนา ไม่ช้าก็ได้อภิญญา ๖ ประการ แล้วได้เหาะไปตักน้ำที่สระอโนดาตในป่าหิมพานต์ เพื่อมาถวายพระอนุรุทธะเถรเจ้า พญานาคได้จำแลงกายให้ยาวใหญ่ ขดตัวรอบสระน้ำถึง ๗ รอบ แผ่พังพานใหญ่ขึ้นไว้เบื้องบน สุมนะสามเณรจึงแปลงเป็นครุฑบินลงมาเพื่อโฉบพญานาค นาคจึงยอมแพ้ และ ได้ตักน้ำไปถวายพระเถรเจ้า วันหนึ่งภิกษุที่เป็นปุถุชนเห็นท่านเป็นเด็กน่ารัก จึงหยอกล้อดึงหู จับหัวเล่นพระพุทธเจ้าทรงดำริว่าพวกนี้ไม่รู้ทำบาปโดยไม่รู้ตัว จึงทรงออกอุบายจะทรงล้างเท้าด้วยน้ำในสระอโนดาต ให้สามเณรต่างๆไปนำน้ำมา ไม่มีใครรับ สุมนะสามเณรจึงรับอาสา แล้วเอามือจับหม้อใบใหญ่กว่าตัวคน ซึ่งจุน้ำได้ ๖๐ หม้อเล็กเหาะไปตักน้ำ เมื่อถวายบังคมกับพระพุทธเจ้าแล้ว พระองค์ก็ทรงประกาศเกียรติคุณและประทานอุปสมบทแบบทายัชชอุปสมบท คือ การอุปสมบทโดยเป็นทายาท (โดยธรรม) เหมือนโสปากะสามเณร ว่าตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปเธอจงเป็นภิกษุ​
    [​IMG]
    พระกังขาเรวตะ
    สัณฐานกลมงอกะปุ่มกะปั่มดังภูเขา พรรณเขียวดังสีลูกปัด สีปีกแมลงทับ สีลูกจันทร์อ่อน ​
    พระกังขาเรวตะ เกิดในตระกูลผู้มั่งมีทรัพย์สมบัติ ในกรุงสาวัตถี ได้ไปฟังธรรมกับมหาชน เกิดความเลื่อมใสจึงออกบวช เล่าเรียนกรรมฐาน กระทำกสิณบริกรรมจนได้ฌานแล้ว ทำฌานให้เป็นที่ตั้งแล้วได้สำเร็จอรหัตผล เป็นผู้ที่ชำนาญในการเข้าฌานทั้งกลางวันกลางคืน พระพุทธเจ้าทรงแต่งตั้งไว้ในตำแหน่งอันเป็นเลิศฝ่ายภิกษุผู้เพ่งฌาน ​
    [​IMG]
    พระโมฬีวาทะ
    สัณฐานดังฟองมัน พรรณสีเมฆหมอก สีดำเทา
    [​IMG]
    [​IMG]
    พระอุตตระเถระ
    สัณฐานดังเมล็ดแตงโม พรรณแดงดังเปลือกกรู ดังผลหว้า​
    พระอุตตระเถระเป็นพระธรรมทูตที่พระเจ้าอโศกมหาราชส่งมาเผยแพร่พระพุทธศาสนาในสุวรรณภูมิ เมื่อ พ.ศ. 235 คณะของท่านมี ๕ รูป คือ โสณะ อุตตระ ฌานียะ ภูริยะ และ มูนียะ ท่านได้มาเมืองไทยไทยพักที่ช้างค่อม นครศรีธรรมราช เทศน์พรหมชาลสูตร และ ได้วางพิธีอุปสมบท ญัตติจตุตถกรรมวาจา โดยใช้อุทุกเขปสีมา หรือ สีมาน้ำ และ ได้วางเพศชีไทย โดยถือแบบพระสากิยานี ซึ่งเป็นต้นของพระภิกษุณี ได้วางพิธีสวดปาฏิโมกข์ อุโบสถกรรม ปวารณากรรม เมื่อพระเจ้าโลกละว้า ให้มนขอมพิสสณุ ขอมเฉย ขอมสอน ขอมเมือง สร้างวัดมหาธาตุ ท่านได้วางวิธีกำหนดนิมิตผูกขันธิ์สีมา พ.ศ. ๒๓๘ เดือน ๕ ขึ้น ๑๕ ค่ำ ท่านให้ขอมปั้นพระพุทธรูปด้วยปูนขาวเป็นประธานในโรงพิธี ได้วางวิธีกราบ สวดมนต์ไหว้พระ ได้วางพิธีกฐิน และ ธุดงค์ แบบสร้างพระพุทธรูปต่างๆมีในสมัยนั้น มีการสร้างล้อเกวียนประดิษฐ์เป็นธรรมจักรแทน พระธรรม กับ มิมิค หรือ สัตว์เนื้อเป็นกวางบ้าง ฟานบ้างเป็นเครื่องหมายสมัยสุวรรณภูมิ ​
    [​IMG]
    พระคิรินันทะเถระ
    สัณฐานดังดอกพิกุล พรรณเหลืองแก่ดังสีขมิ้น สีดอกการะเกด ​
    พระคิรินันทะเถระเป็นบุตรปุโรหิตในพระเจ้าพิมพิสาร ณ กรุงราชคฤห์ ซึ่งมีชื่อว่า คิริมานนท์ ได้เห็นพุทธานุภาพของพระพุทธเจ้าแล้วเกิดเลื่อมใสจึงออกบวชอยู่วัดนอกเมือง เมื่อกลับสู่กรุงราชคฤห์พระเจ้าพิมพิสารได้นิมนต์ให้จำพรรษา ว่าจักบำรุงด้วยปัจจัย ๔ แต่พระองค์ลืมสร้างกุฏิถวาย เหล่าเทวดาเห็นว่าท่านอยู่ในที่แจ้ง จึงบันดาลไม่ให้ฝนตก เมื่อพระเจ้าพิมพิสารทรงทราบจึงสร้างกุฎิถวาย เมื่ออยู่ในกุฏิเป็นที่สบายแล้ว ก็มีใจตั้งมั่น เจริญวิปัสสนาจนสำเร็จพระอรหันต์ จึงกล่าวคาถาว่า เสียงฟ้าร้อง ฝนตกย่อมไพเราะเหมือนเสียงขับร้อง กุฎิของเรามุงดีแล้วเป็นที่สบายแล้ว มีประตูหน้าต่างปิด-เปิดดีแล้ว เราเป็นผู้มีจิตระงับ เป็นผู้ปราศจากราคะ โทสะ โทหะอยู่ในกุฏิแล้ว ถ้าฝนจะตกก็จงตกเถิด ดังนี้ ฝนก็ตกลงมาดังกล่าวทำให้ประชาชนได้ทำนาปลูกข้าวกล้ากันต่อไป​
    [​IMG]
    [​IMG]
    พระสปากะเถรเจ้า
    สัณฐาณดังผลมะม่วง กลางทะลุเป็นรูตลอด พรรณแดงเหลืองขาว ​
    พระสปากะเถรเจ้า เกิดมนตระกูลนางสาปากะ ซึ่งเป็นหญิงขัดสนคนหนึ่งในกรุงสาวัตถี ด้วยบาปกรรมที่ทำไว้แต่ปางก่อน ทำให้เวลาอยู่ในครรภ์มารดานานถึง ๑๐ เดือนแล้ว ก็มิอาจคลอดได้ นางได้สลบแน่นิ่งไปเหมือนคนตาย ญาติเข้าใจว่าตายจึงเอาไปเผาในป่าช้า ทารกคลอดออกมาได้ด้วยอานุภาพเทวดา เพราะเหตุว่าจะได้สำเร็จอรหันต์ในชาตินี้ ส่วนมารดาตายจากไป คนรักษาป่าช้าจึงนำไปเลี้ยงเป็นบุตร วันหนึ่งพระพุทธเจ้า ได้เล็งเห็นสปากะกุมาร ซึ่งอายุได้ ๗ ขวบแล้ว จึงได้เสด็จมาที่ป่าช้า สปากะกุมารได้ฟังธรรมแล้วเกิดความเลื่อมใส ขอบรรพชา พระองค์ทรงสอนกรรมฐานให้ปฏิบัติอยู่ในป่าช้าไม่นานก็สำเร็จอรหันต์วิปัสสนาที่ท่านเจริญนั้น คือ อนิจจสัญญา เพราะเคยได้อบรมมาแต่สมัยพระสิทธัตถพุทธเจ้าในกัลป์ที่ ๙๔มาแล้ว ​
    [​IMG]
    พระวิมะละเถระ
    สัณฐานกลมยาวมีรูทะลุหัวท้าย พรรณสีเขียว สีขาว
    [​IMG]
    พระเวณุหาสะ
    สัณฐานดังตาอ้อย พรรณแดงดังสีฝาง สีมะเดื่อสุก
    [​IMG]
    พระอุคคาเรวะ
    สัณฐานดังผลกระจับ พรรณแดงดังเมล็ดในทับทิมสุก
    [​IMG]
    พระอุบลวรรณาเถรี
    สัณฐานงอนดังกระดูสันหลังงู มีรูทะลุกลาง พรรณเหลืองดังเกสรบัว ​
    พระอุบลวรรณาเถรีเกิดในตระกูลเศรษฐี ณ กรุงสาวัตถี มีชื่อว่า อุบลวัณณา เพราะมีผิวดังดอกบัวเขียว เมื่อเติบใหญ่ขึ้นพระราชาในชมพูทวีปทั้งสิ้น ส่งพระราชสาส์นไปถึงเศรษฐีว่าจงให้ธิดาแก่เรา เศรษฐีจึงเรียกธิดามาถามว่า เจ้าจะออกบรรพชาได้หรือ แต่เพราะเหตุที่ธิดานั้นเป็นผู้เกิดในชาติสุดท้ายแล้ว จึงบอกว่าจะบรรพชา เมื่อบรรพชาแล้ว ถึงวาระการจัดอุโบสถ นางจุดประทีปกวาดโรงอุโบสถแล้ว ก็ถือนิมิตในแสงประทีป เพ่งดูอยู่ตลอด ทำให้เกิดฌานด้วยเตโชกสิณ ทำฌานนั้นให้เป็นที่ตั้ง ก็ได้สำเร็จพระอรหัตผล ท่านเป็นพระภิกษุณีที่เป็นอัครสาวิกาเบื้องซ้าย เลิศด้วยมีฤทธิ์มาก และ มีความงามมากด้วย แต่ด้วยกรรมเก่าของท่าน ทำให้ท่านถูกข่มขืนโดยหลานชาย ซึ่งก็ตายไปตกนรกเพราะประทุษร้ายพระอรหันต์เป็นบาปมาก
    [​IMG]
    พระโลหะนามะ
    สัณฐานดังผลฝ้าย พรรณเขียว เหลือง แดง เหมือนฟ้า ทับทิม เหมือนดอกลั่นทมอย่างหนึ่ง เหมือนปูนแดงอย่างหนึ่ง

    [​IMG]
    พระคันธะทายีเถระ
    สัณฐานดังวงพระจันทร์ข้างแรม
    [​IMG]
    พระโคธิกะเถรเจ้า
    สัณฐานดังลูกข่าง ​
    พระโคธิกะเถรเจ้า เกิดเป็นโอรสของพระราชาในเมืองปาวา พระราชา ๔ พระองค์มีโอรส ๔ พระองค์ เป็นสหายกัน ชื่อ โคธิกะ สุพาหุ วัลลิยะ และ อุติยะ คราวหนึ่งกุมารทั้ง ๔ ไปกรุงกบิลพัสดุ์ ได้เห็นพระพุทธเจ้าทรงแสดงปาฎิหาริย์ ก็เกิดความเลื่อมใส จึงออกบรรพชา ไม่ช้าก็สำเร็จอรหันต์ พระเจ้าพิมพิสารขอนิมนต์ให้จำพรรษาและโปรดให้ทำกุฏิถวายองค์และหลัง แต่ลืมมุงหลังคา พระเถระทั้ง ๔ ก็อยู่ในกุฏิที่ไม่ได้มุงหลังคา ฝนก็ไม่ตกลงมา ชาวบ้านจึงเดือดร้อน เมื่อพระเจ้าพิมพิสารทรงทราบจึงรีบมุงหลังคาถวาย ฝนจึงตกลงมา
    [​IMG]
    พระบิณฑะปาติยะ
    สัณฐานดังกลีบกนก
    [​IMG]
    พระกุมารกัสสปะ
    สัณฐานดังคอนนกเขา ​
    พระกุมารกัสสปะทรงเป็นเลิศทางแสดงธรรมได้วิจิตรงดงาม มารดาท่านเป็นลูกเศรษฐีแต่ไม่อยากแต่งงาน อยากออกบวชแต่พ่อแม่ไม่ยอม เมื่อแต่งงานแล้ว ก็ขอสามีออกบวชโดยนางไม่รู้ตัวว่าตั้งครรภ์นางได้บวชกับภิกษุณีที่เป็นพวกของพระเทวทัต ภายหลังครรภ์นางโตขึ้น พระเทวทัตจึงบอกว่านางเป็นปาราชิกแต่นางไม่ยอมสึก และ ไปเฝ้าพระศาสดา พระองค์ทรงรู้ว่านางไม่ผิดจึงให้นางวิสาขามาตรวจครรภ์และให้พระเจ้าปเสนทิโกศลเป็นพยาน นางวิสาขาคำนวณดูก็รู้ว่านางตั้งครรภ์ก่อนบวช เมื่อคลอดแล้วพระเจ้าปเสนทิโกศลจึงรับบุตรนางไปเลี้ยง ตั้งชื่อว่ากุมารกัสสปะ ซึ่งต่อมาถูกเพื่อนล้อว่าเป็นลูกไม่มีพ่อแม่เกิดความสังเวชจึงออกบวชได้สำเร็จอรหันต์ แม่ของท่านร้องไห้คิดถึงท่านทุกวัน วันหนึ่งขณะบิณฑบาตแลเห็นพระกุมารกัสสปะ จึงวิ่งมาหาด้วยความดีใจจะกอดลูก แต่หกล้มลงเสียก่อน พระกุมาระกัสสปะ จึงแกล้งพูดว่า ท่านบวชแล้วได้อะไร ความรักยังตัดไม่ได้ แม่ของท่านเกิดความสลดใจ ตัดเยื่อใยความรักได้แล้วจึงบรรลุอรหัตผลในวันนั้นเอง ​
    [​IMG][​IMG]
    พระภัทธคูเถระ
    สัณฐานดังตัว ๒/๑

    [​IMG]
    พระโคทะทัตตะเถระ
    สัณฐานดังผลมะระ
    [​IMG]
    พระอนาคาระกัสสะปะ
    สัณฐานดังหอยสังข์
    [​IMG]
    พระคะวัมปะติเถระ
    สัณฐานดังใบบัวอ่อน
    พระคะวัมปะติเถระ ได้ทำอธิการกุศลในพระพุทธเจ้ามาหลายพระองค์ ได้บูชาพระสิขีพระพุทธเจ้าด้วยดอกไม้ ได้ทำเศวตฉัตร และ แท่นที่บูชาไว้ที่เจดีย์ในศาสนาพระโกนาคมน์ ได้ทำมณฑปถวายพระขีณาสพสมัยพระกัสสปะพุทธเจ้า มาถึงชาตินี้ท่านได้เกิดในแขวงกรุงพาราณสี นามว่าควัมบดี เป็นสหายของยสกุมารซึ่งได้ออกบวชจึงได้ออกบวชตาม แล้วบรรลุอรหันต์ คราวหนึ่งภิกษุถูกน้ำท่วมยามดึก พระพุทธเจ้าทรงให้ท่านไปห้ามกระแสน้ำด้วยฤทธิ์ น้ำนั้นก็หยุดอยู่แต่ไกล ด้วยเหตุนี้เขาจึงนิยมทำพระคะวัมปะติเถระเป็นพระเครื่อง เพราะถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของเมตตามหานิยม เป็นพระปิดตา และ ยังมีความหมายว่า ให้สำรวมตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่ให้ซ่านไปตามอารมณ์ภายนอก ​
    [​IMG]
    พระกิมิละเถระ
    สัณฐานดังบัณเฑาะว์
    [​IMG]
    พระวังคิสะเถระ
    สัณฐานดังเมล็ดน้อยหน่าตัด
    ก่อนบวชมีคนเลื่อมใสท่านมาก เพราะท่านมีวิชาเคาหัวกะโหลกคนตายแล้วรู้ว่าไปเกิดเป็นอะไร แสดงว่าท่านสำเร็จฌานมาแล้ว เมื่อได้มาเฝ้าพระศาสดา พระองค์ทรงเอาหัวกะโหลกพระอรหันต์มาให้เคาะดู ท่านตอบไม่ได้ จึงถามพระองค์ว่ารู้ไหม เมื่อพระองค์บอกว่ารู้ เขาจึงขอเรียนวิชา พระพุทธเจ้าทรงบอกว่าจะสอนให้ถ้าออกบวช ท่านจึงยอมบวช เพราะคิดว่าเมื่อสำเร็จแล้วจะสึก พระพุทธเจ้าทรงให้ท่านท่องบริกรรมกายคตาสติ คือ พิจารณาร่างกายแยกเป็นส่วนๆ ได้แก่ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อกระดูก ฯลฯ พระวังคิสะเถระ พิจารณาไปก็สำเร็จพระอรหันต์ ท่านได้กล่าวสรรเสริญ พระพุทธเจ้า และ พระสาวกต่างๆ อีกหลายท่านตลอดจนแสดงปฏิภาณโวหารเป็นอันมาก เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสถามว่า คาถาเหล่านี้วังคิสะ คิดไว้ก่อนหรือคิดเดี๋ยวนี้เอง ท่านตอบว่า ข้าพระองค์ได้คิดเดี๋ยวนี้เอง พระพุทธเจ้าจึงได้ทรงยกย่องว่าเป็นผู้เลิศฝ่ายปฏิภาณ สามารถพูดเป็นกาพย์ กลอนสด ได้ กวี นักพูด และนักประพันธ์ ควรบูชาท่าน
    [​IMG]
    พระโชติยะเถรเจ้า
    สัณฐานดังผลลูกจันทน์
    [​IMG]
    พระเวยยากัปปะเถรเจ้า
    สัณฐานดังทองคำนั่งเบ้า

    [​IMG]
    [​IMG]
    พระกุณฑะละติสสะเถรเจ้า
    สัณฐานดังจาวเมล็ดลูกจันทน์

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  8. ธ.เธียรไท

    ธ.เธียรไท เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    612
    ค่าพลัง:
    +1,735
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=578 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top colSpan=3><TABLE class=webbody cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=webbody width=749 height=33>
    ประวัติและการสร้างสมเด็จองค์ปฐม<!-- #EndEditable -->​
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD height=206></TD><TD vAlign=top colSpan=3><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><!--DWLayoutTable--><TBODY><TR><TD vAlign=top><!-- #BeginEditable "detail" -->

    [​IMG]
    สมเด็จองค์ปฐม ท่านเป็น พระพุทธเจ้าพระองค์แรกของโลก ทรงพระนาม สมเด็จพระพุทธสิกขี เนื่องจากพระพุทธ เจ้า ได้ตรัสรู้แล้วมากมายนับได้แสนองค์ ฉะนั้นพระนามของพระองค์จึงซ้ำกัน โดยเฉพาะพระนามสมเด็จพระพุทธสิกขี มีด้วยกัน 5 พระองค์ จึงได้ขนานนามของสมเด็จองค์ปฐมว่า สมเด็จพระพุทธสิกขีที่ 1 จึงนับได้ว่า พระพุทธองค์ ทรงเป็น สมเด็จองค์ปฐมบรมครู อย่างแท้จริง ​
    สมัยที่พระพุทธองค์ ได้ทรงอุบัติในโลกมนุษย์ ซึ่งขณะนั้น คนมีอายุขัยประมาณ 8 หมื่นปี พระพุทธองค์ทรงผนวชออกมหาภิเนษกรมณ์ เมื่อพระชนมายุได้ 4 หมื่นปี หลังจากผนวชได้ 2 หมื่นปี จึงบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณตรัสรู้ เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์แรกของโลก พระพุทธองค์ทรงโปรดเวไนยสัตว์ ประมาณ 2 หมื่นปี จึงได้เสด็จดับขันธปรินิพาน
    พระพุทธองค์ ทรงใช้เวลาอันยาวนานถึง 40 อสงไขยกัปเศษ ในการบำเพ็ญพระบารมี เพื่อแสวงหาพระโพธิญาณ ด้วยพระองค์เองทรงใช้เวลาอันยาวนานในการบำเพ็ญพระบารมี เนื่องจากพระพุทธองค์เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์แรก จึงไม่มีแบบอย่างที่จะให้พระพุทธองค์ ได้ศึกษาเป็นแนวทางในการปฏิบัติเพื่อบรรลุ พระโพธิญาณ ระยะเวลาที่บำเพ็ญพระบารมี จึงใช้ ถึง 40 อสงไขยกัปเศษ
    การพบสมเด็จองค์ปฐม ครั้งแรกของพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน เมื่อประมาณ พ.ศ. 2511 คืนหนึ่ง พระเดชพระคุณหลวงพ่อกำลังสอนพระกรรมฐาน และเมื่อเสร็จจากการแนะนำ ก็ได้ทำสมาธิ ก็เกิดสิ่งที่ไม่คาดคิดมาก่อน ปรากฏขึ้น คือเห็นพระพุทธเจ้าในปางพระนิพพานทรงยืน สองแถวยาวเหยียดไปข้างหน้าแล้ว ก็พนมมือ พระเดชพระคุณหลวง พ่อมีความรู้สึกในใจว่า บางทีอาจจะเป็น อุปาทาน เพราะว่า พระพุทธเจ้า ไม่เคยก้มศรีษะให้ใคร แม้แต่บ้านเรือน เล็กๆ หลังคา ตํ่าๆ หาก พระพุทธองค์เสด็จเข้าไป หลังคาก็จะสูงขึ้นเอง แต่เวลานี้เห็น พระพุทธเจ้ายืนพนมมือ เมื่อนึกเพียงนี้ ก็เห็นภาพหลวงปู่ปาน ปรากฏขึ้นข้างหน้า หลวงปู่ปานท่านบอกว่า
    " คุณ..ไม่ใช่อุปาทาน ประเดี๋ยวพระพุทธเจ้าองค์ปฐมจะเสด็จมา "
    อีกประมาณ 5 นาที ปรากฏว่ามีพระพุทธเจ้าอีกองค์ รูปร่างท่านใหญ่โตมาก สูงมาก มาในรูป ของปางพระนิพพาน เดินมาระหว่างช่องกลาง พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ ก้มศรีษะ แสดงความเคารพ พอพระองค์ เดินไปถึง พระเดชพระคุณหลวงพ่อ ทรงตรัสว่า
    " ข้าจะนั่งที่ไหนหว่า... ในเมื่อไม่มีที่นั่ง ข้าก็เอาหัวแกเป็นแท่นก็แล้วกัน "
    พระพุทธองค์ ก็เลยนั่งบนหัว ของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ แล้วทรงตรัสกับพระเดชพระคุณหลวงพ่อว่า
    " นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ก่อนที่แกจะสอนพระกรรมฐานก็ดี จะพูดธรรมก็ดี บอกฉันก่อน ฉันจะให้พูดตอนไหน จะให้เทศน์ตอนไหนให้ว่าตามนั้น "
    เป็นอันว่าเมื่อใดก็ตาม ที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อเทศน์ก็ดี สอนพระกรรมฐานก็ดี สอนธรรมก็ดี พระเดชพระคุณหลวงพ่อ ไม่เคยได้พูดตามใจคิดเลย เป็นเพราะพระพุทธองค์ ท่านดลใจ ให้พระเดชพระคุณหลวงพ่อพูด และแนะนำธรรม ซึ่งบางครั้ง อาจจะไม่เป็นที่ถูกใจของทุกคน เพราะพระพุทธองค์ ท่านอาจจี้จุด เฉพาะคนใดคนหนึ่ง แต่บางคน อาจจะไม่ถูกใจก็ได้ นี่เป็นเรื่องธรรมดา พระเดชพระคุณหลวงพ่อก็คิดว่า เมื่อพระพุทธองค์ท่านมีบุญคุณอย่างนี้ จึงคิดที่จะหล่อรูปของท่าน
    ต่อมาเมื่อ พระเดชพระคุณหลวงพ่อ ได้เจริญพระกรรมฐานแล้ว จึงได้อาราธนาสมเด็จองค์ปฐม ขอพบพระพุทธองค์ท่าน ก็ปรากฏให้เห็น ทรวดทรงสวยงามมาก หน้าของท่านอิ่ม เหมือนรูปไข่ แก้มอิ่ม ทรงยิ้มน้อยๆ ริมฝีปาก ไม่บุ๋ม ไม่เหมือน พระพุทธเจ้าที่เขาปั้นกัน จะพบว่าช่างเขาปั้นแก้มตรงปากจะบุ๋มลงไป แล้วสมเด็จองค์ปฐม ก็แสดงรูปร่าง สมัยเป็นมนุษย์ และก็เปลี่ยนมาเป็น ปางพระนิพพาน พระเดชพระคุณหลวงพ่อ ก็ถามว่า ถ้าจะปั้นรูปของพระองค์ จะให้ปั้นแบบไหน จะให้ ปั้นปางพระนิพพานหรือมนุษย์ พระพุทธองค์บอกว่า ให้ปั้นแบบนี้ก็แล้วกัน พระพุทธองค์ทรงแสดงภาพให้ดู เป็นเหมือนกับ พระพุทธรูป และมีเรือนแก้ว แบบพระพุทธชินราช รูปที่ทรงให้ปั้น ไม่เหมือนกับ รูปจริงของท่าน แต่พระองค์ท่านต้องการ ให้ปั้น แบบที่ท่านต้องการ พระพุทธองค์ได้มาแสดงภาพ ให้พระเดชพระคุณหลวงพ่อดูถึง 3 วัน ติดๆ กัน วันละประมาณ 1 ชั่วโมง พระเดชพระคุณหลวงพ่อ ก็ได้ดูอย่างละเอียด แต่ก็คิดในใจว่า ช่างเขาปั้น แต่เขาไม่เห็นภาพ เขาจะปั้นได้ไม่เหมือน จึงได้ขอบารมีพระองค์ท่าน เวลาช่างปั้น ขอได้โปรดดลใจ ให้เป็นไปตามพระพุทธประสงค์ พระองค์ท่านก็ยอมรับ
    คัดย่อจากหนังสือ มรดกของพ่อ หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
    วัดจันทราราม ( วัดท่าซุง ) จ.อุทัยธานี

    <!-- #EndEditable --></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  9. ธ.เธียรไท

    ธ.เธียรไท เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    612
    ค่าพลัง:
    +1,735
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=578 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top colSpan=3><TABLE class=webbody cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=webbody width=749 height=33>
    คำสอนของสมเด็จองค์ปฐม<!-- #EndEditable -->​
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD height=206></TD><TD vAlign=top colSpan=3><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><!--DWLayoutTable--><TBODY><TR><TD vAlign=top><!-- #BeginEditable "detail" -->

    [​IMG]
    " ดูก่อนท่านทั้งหลาย ท่านที่มาประชุมทั้งหมด จะเป็น เทวดาก็ดี นางฟ้าก็ดี พรหมก็ดี ขอทุกท่าน จงอย่าลืมความตาย นั่นหมายถึงว่า การจุติ ลืมความเป็นทิพย์เสีย อย่าเพลิดเพลินเกินไป อย่ามีความสุขเกินไป และมันจะทุกข์ทีหลัง จงดูภาพมนุษย์ว่า มนุษย์เมืองไหนบ้างที่น่าเกิด ดินแดนไหนที่มีความสุขไม่มีการงาน เราจะมองไม่เห็นความสุขของมนุษย์ เมืองมนุษย์มีแต่ความทุกข์ ต้องประกอบกิจการงานทุกอย่าง ต้องกระทบกระทั่งกับอารมณ์ มีความปรารถนาไม่ค่อยจะสมหวังทุกอย่าง ต้องใช้แรงงาน แต่ว่ามาเป็นเทวดา มาเป็นนางฟ้า ทุกอย่างหมดสิ้น นั่นหมายความ ไม่ต้องทำอะไรทั้งหมด ร่างกายอิ่มเป็นปกติ ร่างกายเยือกเย็นอบอุ่นไม่ต้องห่มผ้าและมีความปรารถนาสมหวัง ก็หมายความถ้าจะไปทางไหน ก็สามารถลอยไปถึงที่นั่นได้ทันทีทันใด ความป่วยไม่มี ความแก่ไม่มี ร่างกายไม่มีการเปลี่ยนแปลง ความเป็นทิพย์อย่างนี้ท่านทั้ง หลายจงอย่ามัวเมา จงอย่ามีความเข้าใจผิดว่า เราจะอยู่ที่นี่ตลอดกาล ตลอดสมัย
    ทั้งนี้เพราะอะไรเพราะอายุเทวดาก็ดี นางฟ้าก็ดี พรหมก็ดี มีอายุจำกัดตามบุญวาสนาบารมี ถ้าหมดบุญวาสนาบารมีก็ต้อง จุติ คือ ตาย แต่ว่าท่านทั้งหลาย จงอย่าลืมว่า เทวดาก็ดี นางฟ้าก็ดี พรหมทั้งหมด ที่นั่งอยู่ที่นี่ทั้งหมด แม้แต่จะเป็นพระอริยเจ้าที่ท่านเป็นพระอริยเจ้าก็มาก จงอย่าลืมว่าทุกท่านยังมีบาปติดตัวอยู่ และการสะสมบาปมาเป็นชาติๆ ยังมีมากมาย "
    (พอพระพุทธเจ้าตรัสอย่างนี้ บรรดาท่านทั้งหลาย อาตมาก็ใช้กำลังใจ ดูร่างกายเทวดา นางฟ้ากับพรหม เห็นเงาบาปอยู่ในหนามาก เป็นอันว่า ทุกองค์ ต่างองค์ ต่างมีบาป แต่ก็มา เป็นเทวดา เป็นนางฟ้า เป็นพรหมได้ แล้วก็ดูตัวเอง เวลานั้น ร่างกายของตัวเอง ก็เป็นทิพย์ บาปมันก็ท่วมท้นเหมือนกัน ต่อไปองค์สมเด็จพระภควันต์ทรงตรัสว่า)
    " ภิกขุเว..ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย (เวลานั้นมีพระมาด้วยหลายองค์) และท่านทั้งหลายที่นั่งอยู่ที่นี่ทั้งหมด จงอย่าลืมว่า ทุกท่าน มีบาป ติดตัวมามากมาย อาศัยบุญเล็กน้อย ก่อนจะตาย จิตใจนึกถึงบุญก่อน จึงได้มาเกิด บนสวรรค์บ้าง มาเกิดบนพรหมบ้าง ถ้าหากว่า ท่านจุติเมื่อไร โน่น..นรก (ท่านชี้มือลงเห็นนรกไฟสว่างจ้า แดงฉานไปหมด) ท่านทั้งหลาย จะต้องพุ่งหลาว ลงนรก เพราะใช้กฎของกรรมคือบาป ชำระหนี้บาป กว่าจะมาเกิดเป็นคนก็นานหนักหนา และมาเป็นคนแล้ว ก็ไม่แน่ว่าจะ ได้กลับมาเป็นเทวดา นางฟ้า หรือพรหมใหม่ ทั้งนี้เพราะอะไร ก็เพราะว่า เป็นคนอาจจะทำบาปใหม่ อาจลงนรกไปใหม่ก็ ได้ฉะนั้นเมื่อท่านทั้งหลายมาถึงที่นี่ มาอยู่สวรรค์ก็ดีพรหมก็ดี เป็นทางครึ่งหนึ่งของนิพพาน ระหว่างมนุษย์กับนิพพานเป็น อันว่า ท่านทั้งหลายได้ครึ่งทาง การมาได้ครึ่งทางของท่าน ท่านทั้งหลายจงดูนั่น นิพพาน "
    (ท่านยกมือชี้ขึ้น ให้ดูพระนิพพาน เวลานั้นเทวดา นางฟ้า กับพรหมทั้งหมด อาตมาก็เหมือนกันเห็นพระนิพพาน ไสวสว่างจ้า มีวิมานสีเดียวกันคือ สีแก้ว แพรวพราว เป็นระยับ เป็นแก้วสีขาว พระอรหันต์ทั้งหลาย ที่อยู่ที่นั่น มีความสุขขนาดไหนมี ความเข้าใจหมด รู้หมดเห็นหมดแล้วองค์สมเด็จพระบรมสุคต ก็ทรงกลับมาพูดกับเทวดากับนางฟ้าใหม่ว่า)
    " ท่านทั้งหลายจงหวังตั้งใจคิดว่า ถ้าการจุติมีคราวนี้ถ้าบุญวาสนาบารมี ของเรานี้ สิ้นสุดลงเราจะไม่ไปเกิดเป็นมนุษย์เรา จะไม่เกิดเป็นเทวดา เราจะไม่เกิดเป็นนางฟ้า เราจะไม่ไปเกิดเป็นพรหม เราต้องการไปพระนิพพานจุดเดียว และ การไป นิพพานนี่ ท่านทั้งหลายต้องยึด อารมณ์พระนิพพาน เป็นสำคัญ สำหรับพรหมก็ดี เทวดานางฟ้าเก่าๆ ก็ดี อาตมาไม่หนักใจ ทั้งนี้เพราะมีความเข้าใจแล้ว ก็แสดงว่า พรหม เทวดา นางฟ้าเก่าๆ เป็นพระอริยเจ้ามาก ที่มีความเป็นห่วง ก็เป็นห่วง เทวดา นางฟ้าใหม่ๆ ที่มาเกิดใหม่ๆ จะหลงความเป็นทิพย์ นั่นหมายความจะมีความเพลิดเพลิน ในความเป็นทิพย์ ยังมี ความรู้สึกว่าเราจะเกิดอยู่ที่นี่ตลอดไป จะไม่มีการจุติ จะไม่มีการเคลื่อนอันนี้เป็นความเห็นที่ผิด จงคิดตามนี้ เพื่อพระนิพพาน นั่นคือ จงมีความรู้สึกว่า เราจะต้องจุติวันนี้ ไว้เสมอ และอาการของชีวิตนี่ เป็นของที่ไม่แน่นอน เราจะ ตายเมื่อไหร่ก็ ได้ ความตายเป็นของเที่ยง ความเป็นอยู่ เป็นของไม่เที่ยง
    เมื่อคิดอย่างนี้แล้วทุกท่านจงอย่าประมาท จงใช้ปัญญาพิจารณาความดี ของพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ว่าท่าน ทั้งหลายควรจะเคารพไหม ถ้าจิตใจของท่าน มีความศรัทธา มีความเคารพ ในพระพุทธเจ้า ในพระธรรม ในพระอริยสงฆ์ ก็เป็นอาการ ขั้นที่สอง ที่ท่านจะไปนิพพานได้ หลังจากนั้น ขอท่านทั้งหลาย จงทรงศีลให้บริสุทธิ์ จะเป็น ศีล 5 ก็ตาม ศีล 8 ก็ตาม กรรมบถ ศีล 10 ก็ตาม ศีล 227 ก็ตาม
    (พอท่านพูดถึงศีล 227 ก็คิดในใจว่า เทวดาจะไปบวช ที่ไหนองค์สมเด็จพระจอมไตรก็หันหน้ามาตรัสว่า)
    " ฤาษี.. เทวดา เขาไม่ต้องบวช อย่างเทวดา ชั้นยามาก็ดี ชั้นดุสิตก็ดี อย่างนี้ เขามีศีลครบถ้วน บริบูรณ์ทั้ง 227 เหมือนกับ ความเป็นพระ พรหมก็ตามก็เช่นเดียวกัน ทุกท่านอยู่ด้วย ธรรมปีติ ทุกท่านอยู่ด้วยความสุขเขาไม่อาบัติ สิ่งที่จะเป็นอาบัติไม่มี สิ่งที่จะเป็นบาปไม่มี "
    (แล้วท่านก็กลับ หันหน้าไปหาเทวดา นางฟ้า กับพรหมว่า)
    " ขอทุกท่านจงอย่าลืมคิดว่า เราจะเป็นผู้มีศีล ให้ตั้งเฉพาะศีล 5 ก็ดี ศีล 8 ก็ได้ ศีล 10 ก็ได้ กรรมบถ 10 ก็ได้ ศีล 227 ก็ ได้ตั้งใจไว้ว่า เราจะไม่ละเมิดศีล หลังจากนั้นจึงมีจิตใช้ปัญญาคิดว่า การเกิดเป็นเทวดาก็ดีเป็นนางฟ้าก็ดีมีสภาพไม่เที่ยง จะต้องมีการจุติเป็นวาระสุดท้ายในเมื่อการจุติเกิดขึ้น อารมณ์จะทุกข์ จงคิดไว้เสมอว่า เราจะต้องจุติ ในเมื่อเราจะต้องจุติ เราจะไม่ยอมลงอบายภูมิ เราจะไม่เกิดเป็นมนุษย์
    ท่านทั้งหลายจงดูภาพของมนุษย์ (แล้วพระองค์ก็ชี้มาที่เมืองมนุษย์) มนุษย์เต็มไปด้วยความวุ่นวายมนุษย์เต็มไปด้วยความ โสโครก มนุษย์เต็มไปด้วยความทุกข์ มนุษย์เต็มไปด้วย การงานต่างๆ มนุษย์ มีความหิว มีความกระหาย มีความอยาก มีความต้องการไม่สิ้นสุด สิ่งทั้งหลายที่ก่อสร้างขึ้นมาแล้วจะเป็นทรัพย์สินยังไงก็ตามในเมื่อเราตายจากความเป็นมนุษย์เรา ก็หมดสิทธิ์ อย่างบางท่านเป็น พระมหากษัตริย์ อยู่ในพระราชฐานดีๆ สร้างไว้เป็นเป็นที่หวงแหนคนภายนอกเข้าไม่ได้เข้า ได้แต่คนภายใน แต่ว่าท่านทั้งหลาย เมื่อตายมาแล้ว กลับไปเกิดเป็นคน หากว่า ท่านไม่ได้เกิดในตระกูลกษัตริย์ ตามเดิม ท่านเป็นประชาชนคนภายนอก ท่านจะไม่มีสิทธิ์ เข้าเขตนั้นเลย ทั้งๆ ที่เป็นของที่ท่าน สร้างเอาไว้ ท่านทำเอาไว้ทุกอย่าง แล้วท่านจะไม่มีสิทธิ นี่ความไม่แน่นอนของความเป็นมนุษย์ มันเป็นทุกข์อย่างนี้ ถ้าเกิดเป็นคนก็ต้องหยุด ต้องเดินไปเดิน มาทำกิจการงานทั้งวัน เพื่อผลประโยชน์หน่อยเดียว คือ เงิน ถ้าไม่มีเงินก็ไม่สามารถจะมีชีวิตทรงตัวอยู่ได้ เพราะมีความ จำเป็นต้องหาเงิน (ในเมื่อท่านตรัสอย่างนี้แล้วก็บอกว่า)
    จงอย่าคิดเป็น มนุษย์ต่อไป ตัดความเป็นมนุษย์เสียเลิกความหมาย ความเป็นมนุษย์ เห็นว่าโลกมนุษย์ เป็นทุกข์ มนุษย์มี สภาพไม่เที่ยง ไม่มีการทรงตัว มีความเกิดขึ้นและมีความเปลี่ยนแปลง มีความแก่ มีความป่วย ในการพลัดพรากจากของ รักของชอบใจ มีความตายในที่สุด และจงอย่าอยากเป็นเทวดาอยาก เป็นนางฟ้า เป็นพรหมต่อไป เพราะเทวดา นางฟ้ากับ พรหม ก็มีสภาพไม่เที่ยงเหมือนกัน
    เมื่อมีความเกิดขึ้นไนเบื้องต้น ก็มีความเปลี่ยนแปลงไปธรรมดา ก็มีความจุติไปในที่สุด ทุกคนหวังนิพพานเป็นที่ไปตั้งใจ ไว้เสมอว่า
    เราจะเป็นผู้มีศีล เราจะนับถือ พระไตรสรณคมน์ คือ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ แล้วก็เราจะต้องจุติในวัน ข้างหน้า ตถาคตมีความรู้สึกว่า ท่านทั้งหลายที่เป็นเทวดานางฟ้าพรหมเก่าๆ มีความเข้าใจดีแล้ว คำว่าเข้าใจบรรดาท่านพุทธ บริษัทหมายถึงว่าเขาปฏิบัติได้นี่คือ อารมณ์พระโสดาบัน กับ อารมณ์พระอรหันต์ สำหรับเทวดานางฟ้าและพรหมใหม่ๆ จงตั้งใจไว้เสมอว่า จงลืมความเป็นทิพย์เสีย อย่าเพลิดเพลินเกินไป อย่ามีความสุขเกินไป และมันจะทุกข์ทีหลัง ตั้งใจคิดว่า ความสุขที่ได้มานี่ เราได้มาจากบุญเล็กน้อยเท่านั้น และบาปใหญ่ที่ขังอยู่ที่ตัวเรายังมีอยู่ ถ้าเราเผลอไม่สร้างความดีใน เมื่อจุติความเป็นเทวดา หรือพรหมในภพนี้แล้ว ทุกคนจะต้องลงอบายภูมิ จงดูภาพนรกว่า ขุมไหนบ้างที่น่าอยู่น่ารักมัน ไม่น่าอยู่ไม่น่าเกิด ดินแดนไหนที่มีความสุขไม่มีการงานเราจะมองไม่เห็นความสุขของมนุษย์ และก็ดูเทวดานางฟ้ากับพรหม มนุษย์ที่เดินเกลื่อนกล่นทุกคน อยู่ในเมืองมนุษย์ เคยเป็นเทวดาเคย เป็นนางฟ้า เคยเป็นพรหมมาแล้ว แต่ว่าท่านทั้งหลาย จงตั้งใจไว้เฉพาะนิพพาน
    จงดูภาพพระนิพพาน ให้ชัดเจนแจ่มใสว่า ดินแดนพระนิพพาน ไม่มีที่สิ้นสุด... (เมื่อพระองค์ตรัสเพียงเท่านี้พระองค์ก็จบ) ​
    คัดย่อจาก หนังสือธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 139 เดือนกันยายน 2535
    เรื่อง ชวนเทวดา นางฟ้า พรหม ไปนิพพาน
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  10. ธ.เธียรไท

    ธ.เธียรไท เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    612
    ค่าพลัง:
    +1,735
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=578 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top colSpan=3><TABLE class=webbody cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=webbody width=749 height=33>
    สรุปคำสอนของสมเด็จองค์ปฐม<!-- #EndEditable -->​
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD height=206></TD><TD vAlign=top colSpan=3><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><!--DWLayoutTable--><TBODY><TR><TD vAlign=top><!-- #BeginEditable "detail" -->
    [​IMG]
    <TABLE class=webbody width="96%" align=center border=0><TBODY><TR><TD colSpan=2 height=74>" สรุปคำสอนของสมเด็จองค์ปฐม ท่านทั้งหลาย การหลบหลีกไม่ต้องตกอบายภูมิ มีนรกเป็นต้น เป็นของไม่ยาก</TD></TR><TR><TD>1. </TD><TD>ขอทุกท่านจงอย่าลืมความตาย จงคิดว่า ความตายอาจจะมีกับเราเดี๋ยวนี้ไว้เสมอๆ</TD></TR><TR><TD>2. </TD><TD>เคารพพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ด้วยศรัทราแท้ (ด้วยความจริงใจ)</TD></TR><TR><TD>3. </TD><TD>มีศีลบริสุทธิ์เป็นปกติ และ </TD></TR><TR><TD>4.</TD><TD>เป็นกรณีพิเศษ ปฏิเสธการเกิด เป็นมนุษย์ เทวดา นางฟ้า และ พรหม ในชาติต่อไปทุกท่านเห็น</TD></TR><TR><TD> </TD><TD>นิพพาน แล้วตั้งใจไปพระนิพพานได้ในที่สุด " </TD></TR></TBODY></TABLE>
    หมายเหตุ : เทศน์ที่ " เทวสภา " วันที่ 8 สิงหาคม 2535 เวลา 8.00 น.
    พระเดชพระคุณ หลวงพ่อพระราชพรหมยาน เมตตาเล่าให้ลูกหลานฟังเมื่อ 11 สิงหาคม 2535 เวลา 21.00 น.

    <!-- #EndEditable --></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD height=20></TD><TD vAlign=top width=92><!--DWLayoutEmptyCell--> </TD><TD vAlign=top width=8><!--DWLayoutEmptyCell--> </TD><TD vAlign=top><!--DWLayoutEmptyCell--> </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  11. ธ.เธียรไท

    ธ.เธียรไท เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    612
    ค่าพลัง:
    +1,735
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=578 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top colSpan=3><TABLE class=webbody cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=webbody width=749 height=33>
    ประวัติหลวงพ่อศักดิ์สิทธิ์<!-- #EndEditable -->​
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD height=206></TD><TD vAlign=top colSpan=3><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><!--DWLayoutTable--><TBODY><TR><TD vAlign=top><!-- #BeginEditable "detail" -->

    [​IMG]
    หลวงพ่อศักดิ์สิทธิ์ เป็นพระพุทธรูปปูนปั้น ที่เก่าแก่อยู่ในวิหารหลวงปู่ใหญ่ มาตั้งแต่สมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ (หลวงปู่ใหญ่ มาบูรณะวัดนี้ ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 1 ครองราชย์ได้ปีที่ 9 หลวงปู่ใหญ่ท่านมาถึงวัดท่าซุง เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 23 32)​
    ในวิหารนี้มีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่หลายองค์ ส่วนมากจะเป็นพระพุทธรูปทรงสมัยอยุธยา เป็นเกศหนามขนุนทั้งสิ้น ต่อมาพระพุทธรูปบางองค์ รวมทั้งหลวงพ่อศักดิ์สิทธิ์ ถูกพวกมิจฉาชีพตัดเอาเศียรไป และมีคนมาปั้นเศียรต่อให้ แต่ก็ไม่สวยงามเท่าไรนัก โดยปั้นเป็นหน้าคนฟันเหยิน ตาโปน หมุ่นมวยผม
    ดังนั้น เมื่อปี พ.ศ. 2533 ผู้บูรณะ ได้กราบขออนุญาต จากพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อมหาวีระ ถาวโร หรือ หลวงพ่อฤาษี ลิงดำ เจ้าอาวาสวัดท่าซุง ในสมัยนั้น) ซ่อมแซมพระพุทธรูปทั้งหมดที่ชำรุด รวมทั้งขอปั้นปูนทับองค์หลวงพ่อศักดิ์สิทธิ์ด้วย หลวงพ่อท่านอนุญาต และได้กล่าวอีกว่า พระพุทธรูปองค์นี้ เมื่อปั้นเสร็จ ให้ทำป้ายชื่อ ติดเอาไว้ พ่อให้ชื่อท่านว่า หลวงพ่อศักดิ์สิทธิ์ ต่อไปภายภาคหน้า จะมีคนมาขึ้นกับท่านมาก และนี่ก็คือ ประวัติความเป็นมา ของหลวงพ่อศักดิ์สิทธิ์ ตามที่ได้กล่าวมา จนถึงทุกวันนี้
    ฉะนั้นถ้าใครได้อ่าน และปรารถนาที่จะได้ชมบารมีของท่าน ก็ขอเชิญสักการะได้ที่วิหารหลวงปู่ใหญ่ อยู่คู่กับโบสถ์เก่า วัดท่าซุง ท่านเป็นพระพุทธรูปที่เก่าแก่ และศักดิ์สิทธิ์มาก บางท่านได้อธิฐานจิต ขอพรจากท่าน และได้สมความปรารถนา ก็มีหลายราย ดังนั้นท่านที่สนใจจะเข้าชมบารมีหรืออธิฐานจิตขอพรจากท่าน ก็ขอเชิญได้ตามปรารถนา ถ้าไม่เกินวิสัย ก็ขอให้โชคดี สมความปรารถนาทุกผู้คน
    คาถาบูชาหลวงพ่อศักดิ์สิทธิ์
    [​IMG]
    ตั้ง นะโม 3 จบ
    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
    อิติ สุคะโต นะโมพุทธายะ พุทธบูชา วันทามิ

    ให้ว่าคาถานี้ วันละ 9 จบเป็นอย่างน้อย บูชาทุกวัน จัดเป็นพุทธานุสสติ และเป็นการเสริมบุญบารมี ความเป็นศิริมงคล แก่ตัวผู้สวดได้เป็นอย่างดี

    คุณพัชรบูลย์ สุตันติวรคุณ
    ผู้สร้างถวาย


    <!-- #EndEditable --></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  12. ธ.เธียรไท

    ธ.เธียรไท เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    612
    ค่าพลัง:
    +1,735
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD>พระธาตุของพระอริยสงฆ์ร่วมสมัย


    [​IMG]
    อัฐิธาตุของพระมหามุนีวงศ์ วัดนรนาถฯ ก.ท.ม.

    ชมรมรักษ์พระบรมธาตุฯได้รับการอนุเคราะห์จากคุณสุมิตร คุณราชันย์ และ ผู้ไม่ประสงค์ออกนามอีกหลายท่าน ที่กรุณาแบ่งพระธาตุของพระอริยสงฆ์ร่วมสมัยที่ท่านทั้งหลายได้ใช้ความอุตสาหะรวบรวมมาเป็นเวลานับสิบปี เช่นเดียวกับที่คุณปราโมช รองประธานชมรมฯได้ใช้ความวิริยะ ในการอัญเชิญพระธาตุยุคพุทธกาลมาเป็นเวลานานนับสิบปีเช่นเดียวกัน จากการที่ท่านทั้งหลายได้เห็นความตั้งใจจริงของชมรมฯที่ต้องการจะเผยแพร่พุทธศาสนาโดยผ่านเรื่องราวของพระธาตุ จึงได้แบ่งพระธาตุที่มีให้ชมรมฯอย่างมากมาย ขออนุโมทนาบุญที่คุณสุมิตร คุณราชันย์ และ ผู้ไม่ประสงค์ออกนามที่ได้ทำในครั้งนี้ด้วยค่ะ


    [​IMG]
    พระธาตุและอัฐิธาตุที่กำลังแปรสภาพของหลวงพ่อเทพ ถาวโร วัดท่าแคนอก

    [​IMG]
    อัฐิธาติที่กำลังแปรสภาพของหลวงปู่กอง

    [​IMG]
    อัฐิธาตุของหลวงปู่เข่ง โฆษธัมโม วัดป่าสีห์พนม
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  13. ธ.เธียรไท

    ธ.เธียรไท เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    612
    ค่าพลัง:
    +1,735
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=578 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top colSpan=3><TABLE class=webbody cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=webbody width=749 height=33>
    คำสอนของหลวงปู่แหวน สุจิณโณ<!-- #EndEditable -->
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD height=206></TD><TD vAlign=top colSpan=3><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><!--DWLayoutTable--><TBODY><TR><TD vAlign=top><!-- #BeginEditable "detail" -->

    [​IMG]
    เรื่องกามกิเลส
    การต่อสู้กามกิเลส เป็นสงครามอันยิ่งใหญ่ กามกิเลสนี้ร้ายนัก มันมาทุกทิศทาง ความพอใจ ก็คือ กิเลส ความไม่พอใจ ก็คือ กามกิเลส กามกิเลสนี้อุปมาเหมือนแม่น้ำ ธารน้ำน้อยใหญ่ ไม่มีประมาณ ไหลลงสู่ทะเล ไม่มีที่เต็ม ฉันใดก็ดี กามตัณหา ที่ไม่พอดี ภวตัณหา วิภวตัณหา เป็นแหล่งก่อทุกข์ ก่อความเดือดร้อน ไม่มีที่สิ้นสุด ทั้งหมด อยู่ที่ใจ สุขก็อยู่ที่ใจ ทุกข์ก็ อยู่ที่ใจ ใจนี่แหละ คือ ตัวเหตุ ทำความพอใจ ให้อยู่ที่ใจนี่
    กามตัณหา เปรียบเหมือนแม่น้ำ ไหลไปสู่ทะเล ไม่รู้จักเต็มสักที อันนี้ฉันใด ความอยากของตัณหา มันไม่พอ ต้องทำความ พอ จึงจะได้ เราจะต้องทำใจให้ผ่องใส ตั้งอยู่ในศีล ตั้งอยู่ในทาน ตั้งอยู่ในธรรม ตั้งอยู่ในสมาธิก็ดีทุกอย่าง เราทำความพอ ดี ความพอใจ นำออกเสีย ความไม่พอใจ ก็นำออกเสีย เวลานี้เราจะพักจิตทำกายของเรา ทำใจของเราให้รู้แจ้ง ในกายใน ใจของเรา รู้ความเป็นมา วางให้หมด วางอารมณ์ วางอดีตอนาคต ทั้งปวงที่ใจนี่แหละ
    คัดมาจาก หนังสือรวมคำสอนจากพระป่า
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  14. ธ.เธียรไท

    ธ.เธียรไท เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    612
    ค่าพลัง:
    +1,735
    พระธาตุของพระอริยสงฆ์ร่วมสมัย2



    [​IMG]
    พระธาตุของครูบาพรหมา พรหมจักโก วัดพระพุทธบาทตากผ้า จ.ลำพูน ในภาพจะเห็นลักษณะของพระธาตุขึ้นมาเป็นองค์กลมๆเล็กๆจากอัฐิธาตุของท่าน
    [​IMG]
    ลักษณะอัฐิธาตุของครูบาพรหมา พรหมจักโก วัดพระพุทธบาทตากผ้า จ.ลำพูน ด้านหลัง ที่กำลังแปรสภาพไปเรื่อยๆเช่นกัน
    [​IMG]
    ประวัติของครูบาพรหมา พรหมจักโก
    วัดพระพุทธบาทตากผ้า อ.ป่าซาง จ.ลำพูน
    ชีวิตของเราทั้งหลายนั้นมันไหลไปตามกระแสแห่งความอยาก คือ ตัณหา มันจึงดิ้นรน วุ่นวาย เป็นทุกข์ทรมาน เพราะว่าเรา ไม่มีสติมากันกระแสแห่งตัณหา คือ ความอยาก เรามาปฏิบัติ วิปัสสนากัมมัฏฐานจุดมุ่งหมายก็เพื่อที่จะชำระจิตใจของเรา ให้บริสุทธิ์ ให้สะอาด หรือมาปิดกั้นเสีย ซึ่งกระแสแห่งตัณหา คือ ความอยาก จำเป็นที่จะต้องปลูกสติ สร้างสติขึ้นให้แก่กล้า จึงจะสามารถปิดกั้นเสีย ซึ่งกระแสแห่งตัณหาได้

    นามเดิม พรหมา พิมสาร กำเนิด 30 ส.ค. 2441 สถานที่เกิด บ้านป่าแพ่ง อ.ป่าซาง จ.ลำพูน อุปสมบท อุปสมบท ณ วัดป่าเหียง อ.ป่าซาง จ.ลำพูน เมื่อวันที่ 16 ม.ค. 2461 สมณศักดิ์ พระสุพรหมยานเถร มรณภาพ 17 ส.ค. 2527 อายุ 87 ปี 67 พรรษา

    ครูบาเจ้าบรรพชาเป็นสามเณรเมื่ออายุ 15 ปี และอุปสมบทเมื่ออายุได้ 20 ปี กระทั่งพรรษาที่ 4 ท่านได้เริ่มต้น เข้าสู่วิถีแห่งการปฏิบัติธรรมอย่างเอาจริงเอาจัง ท่านได้ออกธุดงค์ไปตามป่าเขาต่างๆ ทั้งเขตประเทศไทย พม่า และลาว กระทั่งในปีพ.ศ.2491 ท่านจึงได้มาจำพรรษา ณ วัดพระพุทธบาทตากผ้า และได้พัฒนาวัดจนมีชื่อเสียงเป็นศาสนสถาน ที่มีความสำคัญทางศาสนาแห่งหนึ่งของจังหวัดลำพูน และด้วยการสั่งสมบุญบารมี คุณงามความดีของท่านนี้เองทำให้ ท่านได้รับความเคารพศรัทธาจากพุทธบริษัทโดยทั่วไป แม้ท่านจะผู้มีลาภสักการะมาก แต่ก็ไม่ได้สะสมถือไว้เป็นสมบัติ ส่วนตนแม้แต่น้อย ในทางตรงข้ามกลับได้มอบสมบัติเหล่านั้น เพื่อใช้ในสาธารณกุศลทั้งหมด ดังนั้น จึงสมควรจะจดจำ ระลึกถึงคุณงามความดีของท่าน และถือปฏิบัติเป็นแบบอย่างที่ดีสืบไป

     
  15. ธ.เธียรไท

    ธ.เธียรไท เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    612
    ค่าพลัง:
    +1,735
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD>พระอัฐิธาตุของพระอริยสงฆ์ร่วมสมัย3


    [​IMG]
    พระธาตุของหลวงปู่อ่อนสี สุเมโธ
    [​IMG]
    พระอัฐิธาตุของหลวงปู่คำ ยสกุลปุตโต
    [​IMG]
    พระอัฐิธาตุของหลวงปู่เพ็ง พุทธธัมโม จ. ร้อยเอ็ด
    [​IMG]
    ผงอังคารของหลวงปู่เขียน ฐิตสีโล
    ผงอังคารของหลวงปู่อุ่น ชาลโร จ.อุดรธานี
    ผงอังคารของหลวงปู่หล้า เขมปัตโต
    ผงอังคารของหลวงปู่คำพอง ติสโส จ.อุดรธานี
    ในผงอังคารนั้นเริ่มมีองค์พระธาตุเกิดขึ้นบ้างแล้ว
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

     
  16. ธ.เธียรไท

    ธ.เธียรไท เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    612
    ค่าพลัง:
    +1,735
    ขออนุญาติคัดลอกให้เป็นธรรมทาน
     
  17. ธ.เธียรไท

    ธ.เธียรไท เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    612
    ค่าพลัง:
    +1,735
    <CENTER>พระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๓ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒๕
    ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๒ -พุทธวังสะ-จริยาปิฎก
    </CENTER><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="90%" align=center background="" border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD><TR><TD width="100%" bgColor=darkblue hspace="0" vspace="0">[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    <CENTER></CENTER><CENTER>ว่าด้วยการแบ่งพระบรมสารีริกธาตุ</CENTER><CENTER></CENTER> [๒๘] พระมหาโคดมชินเจ้าผู้ประเสริฐ เสด็จนิพพานที่นครกุสินารา พระธาตุของพระองค์ เรี่ยรายแผ่ไปในประเทศนั้นๆ พระธาตุ ทะนานหนึ่ง พระเจ้าอชาตศัตรูทรงนำไปไว้ในพระนครราชคฤห์ ทะนานหนึ่งอยู่ในเมืองเวสาสี ทะนานหนึ่งอยู่ในนครกบิลพัสดุ์ ทะนานหนึ่งอยู่ในอัลลากัปปนคร ทะนานหนึ่งอยู่ในรามคาบ ทะนานหนึ่งอยู่ในเวฏฐาทีปกนคร ทะนานหนึ่งอยู่ในเมืองปาวาของ มัลลกษัตริย์ ทะนานหนึ่งอยู่ในเมืองกุสินารา โทณพราหมณ์ให้ช่าง สร้างสถูป บรรลุทะนานทอง กษัตริย์โมริยะผู้มีหทัยยินดี รับสั่งให้ สร้างสถูปบรรจุพระอังคาร พระสถูปบรรจุพระสารีริกธาตุ ๘ แห่ง เป็น ๙ แห่ง ทั้งตุมพเจดีย์ รวมพระอังคารสถูปด้วยเป็น ๑๐ แห่ง ประดิษฐานอยู่แล้วในกาลนั้น พระทาฐธาตุข้างหนึ่งอยู่ในดาวดึงส- พิภพ ข้างหนึ่งอยู่ในนาคบุรี ข้างหนึ่งอยู่ในเมืองคันธารวิสัย ข้าง หนึ่งอยู่ในเมืองกาลิงคราช พระทันตธาตุ ๔๐ พระเกศธาตุและพระ โลมาทั้งหมด เทวดานำไปไว้ในจักรวาลหนึ่งๆ จักรวาลละอย่าง บาตรไม้เท้าและจีวรของพระผู้มีพระภาค อยู่ในวชิรานครสงบอยู่ใน กุลฆรนคร ผ้าปัจจัตถรณะอยู่ในสีหฬ ธมกรกและประคตเอว อยู่ ในนครปาฏลิบุตร ผ้าอาบน้ำอยู่ในจำปานคร อุณณาโลมอยู่ใน แคว้นโกศล ผ้ากาสาวพัสตร์อยู่ในพรหมโลก ผ้าโพกอยู่ในดาวดึงส์ (รอยพระบาทอันประเสริฐที่หิน เหมือนมีอยู่ที่กัจฉตบุรี) ผ้านิสีทนะ อยู่ในอวันตีชนบท ผ้าลาดอยู่ในดาวดึงส์ ไม้สีไฟอยู่ในมิถิลานคร ผ้ากรองน้ำอยู่ในวิเทหรัฐ มีดและกล่องเข็มอยู่ในอินทปัตถนคร ใน กาลนั้น บริขารที่เหลือ อยู่ในชนบท ๓ แห่งในกาลนั้น หมู่ มนุษย์ในกาลนั้นจักบูชาบริขารที่พระมุนีทรงบริโภค พระธาตุของ พระโคดมผู้แสวงหาคุณอันใหญ่หลวง กระจายแผ่กว้างไป เพื่อ อนุเคราะห์แก่สัตว์ทั้งหลายเป็นของเก่าในกาลนั้น ฉะนี้แล.<CENTER>จบธาตุภาชนียกถา.</CENTER><CENTER>จบพุทธวงศ์</CENTER></PRE>
     
  18. นิรันดร

    นิรันดร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มกราคม 2007
    โพสต์:
    120
    ค่าพลัง:
    +366
    ได้รับแล้วในวันนี้ ขออนุโมทนาและขอขอบพระคุณมา ณ โอกาสนี้อย่างสูง
     
  19. Supernut

    Supernut สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    3
    ค่าพลัง:
    +14
    มนัส มณีนิธิเวทย์ ได้รับพระธาตุฯแล้วครับ
    ขออนุโมทนาครับ
     
  20. โตโต้

    โตโต้ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    136
    ค่าพลัง:
    +610
    ขออนุโมทนาด้วยครับ เด๋วจะส่งซองเปล่าติดแสดมป์ไปให้นะครับ
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...