ประเทศไทยจะเกิดอุบัติภัยอย่างที่ทำนายกันจริงๆหรือไม่

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย koymoo, 25 มกราคม 2005.

  1. kittitpx

    kittitpx เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    570
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +2,000
    เม็กซิโกหนาวตาย9-ที่จีนอพยพแล้ว

    [​IMG]

    เม็กซิโก

    รัฐชิวาวา ที่เคยมีอากาศร้อนจัด กลับมีอุณหภูมิลดต่ำถึงติดลบ 6.6 องศาฯ ส่วนที่มณฑลซินเจียงตายไป1 ศพ และประชาชนเกือบ 5,500 คนต้องอพยพ...

    สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า วานนี้ (10 ม.ค.) จำนวนยอดผู้เสียชีวิตจากคลื่นอากาศหนาวจัดปกคลุมเกือบทั่วประเทศเม็กซิโก ขณะนี้ พุ่งขึ้น เป็น 9 ศพ โดยพื้นที่เผชิญภัยหนาวรวมทั้งภาคเหนือ ที่ปกติมีแสงแดด อากาศอบอุ่น โดยรัฐชิวาวา ที่เคยมีอากาศร้อนจัดเกือบทั้งปีเพราะเป็นเขตทะเลทราย กลับมีอุณหภูมิลดต่ำถึงติดลบ 6.6 องศาลเซลเซียส ส่วนทางทวีปเอเชียที่ประเทศจีน ทางการต้องเร่งส่งเต็นท์ และเครื่องบรรเทาทุกข์ กันหนาวอื่นๆ ไปยังมณฑลซินเจียงทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือหลังเกิดหิมะตกหนัก ทั้งนี้อากาศที่หนาวจัดได้คร่าชีวิตคนแล้วอย่างน้อย 1 ศพ และประชาชนเกือบ 5,500 คนต้องอพยพหนีจากพื้นที่ดังกล่าว
    ทั้งนี้พายุหิมะยังทำให้บ้านเรือน 799 หลังพังราบ อีก 4,897 หลังเสียหาย

    [​IMG]
    จีน


    ที่มา เม็กซิโกหนาวตาย9-ที่จีนอพยพแล้ว - ข่าวไทยรัฐออนไลน์
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 มกราคม 2010
  2. doodee1

    doodee1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    458
    ค่าพลัง:
    +1,718
    วันที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2553 ปีที่ 19 ฉบับที่ 6983 ข่าวสดรายวัน


    โวยชาวบ้านต้านขยายเหมืองทองคำ นายกอบจ.พิจิตรอ้างทำ"ต่างชาติ"ไม่มาลงทุน



    พิจิตร - จากกรณีชาวบ้านในต.เขาเจ็ดลูก อ.ทับคล้อ จ.พิจิตร กว่า 50 คน นำโดยนางสื่อกัญญา ธีรชาติดำรง ยื่นหนังสือคัดค้านการขยายโรงงานของเหมืองแร่ทองคำ เนื่องจากหากให้มีการขยายโรงงานต่อไปจะทำให้ชาวบ้านดังกล่าวเดือดร้อนเกี่ยวกับเรื่องมลพิษที่กำลังมีปัญหากับชาวบ้านอยู่ขณะนี้ ที่ยังเป็นปัญหาเรื้อรังคาราคาซังร้องเรียนมาหลายปี เคยยื่นหนังสือร้องเรียนถึงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีไปแล้ว แต่เรื่องก็ยังเงียบ ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น

    ล่าสุดนายชาติชาย เจียมศรีพงษ์ นายกอบจ.พิจิตร กล่าวถึงกรณีชาวบ้าน ต.เขาเจ็ดลูก และกลุ่มเอ็นจีโอออกมาเคลื่อนไหวคัดค้านการลงทุนขยายโรงงานของเหมืองทองนั้น ตนอยากให้กลุ่มผู้คัดค้านดังกล่าวคำนึงถึงภาพลักษณ์ของจังหวัดที่กำลังมีต่างชาติให้ความสนใจเข้ามาลงทุน หากมีการออกมาเคลื่อนไหวหรือต่อต้านโดยไร้เหตุผล และไม่ฟังคำชี้แจงเอาผลประโยชน์ และอคติส่วนตัวเป็นที่ตั้งก็จะทำให้ส่งผลเสียหายต่อการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ ที่จะลงทุนและขยายกิจการที่จังหวัดพิจิตร นอกจากนี้การลงทุนของชาวต่างชาติที่สนใจมาลงทุนที่พิจิตรก็จะชะงัก และชะลอการลงทุน การจ้างแรงงาน ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อภาคอุตสาหกรรมเลย จึงอยากขอร้องผู้เสียประโยชน์บางคน ขอให้เห็นแก่ประโยชน์ของส่วนรวมเป็นที่ตั้ง ไม่ใชˆค้านอย่างเดียว

    นายชาติชายกล่าวอีกว่า การเคลื่อนไหวของชาวบ้านมีมาเป็นระยะเวลานานพอสมควรแล้ว ซึ่งตนมองว่าเรื่องของผลกระทบนั้น ยอมรับว่ามีบ้าง แต่ก็เป็นบางรายเท่านั้น ไม่ได้ครอบคลุมพื้นที่ของชุมชนทั้งหมด อีกทั้งทางบริษัทเหมืองแร่ทองคำ และองค์การปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ก็ได้หาแนวทางในการแก้ไขมาโดยตลอด อีกทั้งมีผลการพิสูจน์จากทางราชการมาเกือบทุกเรื่องที่มีการร้องเรียน และให้เหมืองแร่ทองคำไปแก้ไขแล้ว จึงไม่เข้าใจว่าทำไมจึงร้องซ้ำในเรื่องเดิมๆ ที่เคยเกิดขึ้นและแก้ไขไปแล้ว ดังนั้นจึงอยากจะบอกกับทางแกนนำที่นำชาวบ้านผู้คัดค้านและกลุ่มเอ็นจีโอให้มองถึงผลกระทบทางด้านโอกาสที่จังหวัดพิจิตรจะได้มีต่างชาติเข้ามาลงทุนบ้าง เพราะผลดีที่เกิดขึ้นคือทำให้มีการสร้างงาน สร้างรายได้ให้กับคนในพื้นที่ได้ รวมถึงการจัดเก็บค่าภาคหลวง เพื่อบำรุงท้องถิ่นพิจิตรบ้านเราอีกด้วย

    "เขมร"ยันรอไทย ส่ง"ทูต"กลับก่อน



    เมื่อ 10 ม.ค. เว็บไซต์ข่าวกัมพูชา dap-news.com รายงานความคืบหน้ากรณีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีไทย สั่งถอนเอกอัครราชทูตไทยกลับประเทศ ตอบโต้รัฐบาลกัมพูชาแต่งตั้งพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นที่ปรึกษาเศรษฐกิจ ว่า การสั่งถอนทูตของทั้งสองชาติเริ่มต้นวันที่ 4 พ.ย. ปีก่อน และถึงปัจจุบันยังไม่มีพัฒนาการใดๆ

    นายกอย กวง โฆษกกระทรวงต่างประเทศ กล่าวว่า ยังไม่เห็นสัญญาณใดๆ ว่าผู้นำรัฐบาลไทยจะเต็มใจส่งตัวเอกอัคร ราชทูตกลับกรุงพนมเปญ เมื่อฝ่ายไทยเงียบเฉย เราจะรอต่อไป ถ้ามีความเปลี่ยนแปลงจึงค่อยปฏิบัติตาม เรื่องที่เกิดขึ้นไทยเป็นคนผิดจึงต้องหาทางแก้ไขปัญหาเอาเอง อย่างไรก็ดี แม้ความสัมพันธ์การทูตจะลดต่ำลง แต่สถานการณ์ตามแนวชายแดนปกติดี ทหารสองชาติพบปะหารือกันเป็นประจำเพื่อรักษาสันติสุข

    ไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่"เอช1เอ็น1" ระบาด"ง่ายบน"เครื่องบิน"




    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    วารสารการแพทย์บีเอ็มซี ประเทศสหรัฐอเมริกา รายงานว่า ดร.แซลลี่ โบลเวอร์ ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาแบบจำลองชีวการแพทย์ สถาบันประสาทวิทยาและพฤติกรรมมนุษย์ซีเมล มหาวิทยาลัยยูซีแอลเอ เตือนว่า ไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ เอช 1 เอ็น 1 แพร่ระบาดง่ายมากบนเครื่องบินโดยสาร ฉะนั้น มาตรการคัดแยกผู้ติดเชื้อไม่ให้ขึ้นไปบนเครื่องบินจึงสำคัญมาก และควรมีมาตรการแยกผู้ต้องสงสัยว่าจะติดเชื้อไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ที่อยู่บนเครื่องเช่นกัน เพื่อป้องกันไม่ให้โรคแพร่กระจาย

    ดร.โบลเวอร์ เผยว่า สภาพแวดล้อมบนเครื่องบิน โดยเฉพาะในส่วนผู้โดยสารชั้นประหยัดซึ่งมีที่นั่งแออัด คนต้องนั่งชิดๆ กันจำนวนมาก เอื้ออำนวยให้เชื้อไวรัสหลายโรคระบาดง่ายขึ้น อาทิ ไข้ทรพิษ หัด วัณโรค ซาร์ส รวมถึงไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ ผลจากการคำนวณด้วยระบบคอมพิวเตอร์พบว่า โอกาสที่ผู้โดยสารชั้นประหยัดจะติดเชื้อจากคนที่เป็นพาหะมีสูงกว่า 75 เปอร์เซ็นต์

    พบการวิเคราะห์ชี้ด้วยว่า ความเสี่ยงเชื้อไข้หวัดพันธุ์ใหม่ระบาดจะยิ่งเพิ่มสูงขึ้นในเที่ยวบินข้ามทวีปที่ใช้เวลาบินนานๆ ยกตัวอย่างเช่น เที่ยวบินข้าม มหาสมุทรแอตแลนติก ที่ใช้เวลาบิน 5 ชั่วโมง อาจทำให้มีผู้ติดเชื้อ 2-5 คน ถ้าบิน 11 ชั่วโมงจะมีผู้ติดเชื้อ 5-10 คน และถ้าบิน 17 ชั่วโมงจะมีผู้ติดเชื้อ 7-17 คน

    ประเด็นน่าเป็นห่วงคือ เมื่อผู้โดยสารเกิดติดเชื้อบนเครื่องบินโดยไม่รู้ตัว จะกลายเป็นพาหะนำโรคมาติดบุคคลอื่นๆ ภายหลังจากเครื่องลงจอดแล้ว ซึ่งทำให้อัตราการระบาดของเชื้อไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ขยายวงกว้างพุ่งสูงขึ้นอีก

    "จากการวิจัยของเรา เห็นได้ชัดว่าศูนย์กลางการแพร่ระบาดของไวรัสเอช 1 เอ็น 1 อยู่ที่เม็กซิโกเมื่อช่วงฤดูใบไม้ผลิปีก่อน จากนั้นจึงลามมายังประเทศอื่นๆ ผ่านทางเครื่องบิน" ดร.โบลเวอร์ระบุ

    ที่มาอากาศโลกแปรปรวน เตือน"ไทย"เตรียมรับมือภัยแล้ง




    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    ผู้เชี่ยวชาญเรื่องสภาพภูมิอากาศชั้นแนวหน้าของไทย อธิบายภาวะสภาพอากาศทั่วโลกแปรปรวนช่วงปีใหม่ รวมถึงสาเหตุที่ฝนตกหนักช่วงหน้าหนาวในประเทศไทย พร้อมกับพยากรณ์ว่า วันที่ร้อนที่สุดจะเกิดขึ้นในเดือนเมษายนนี้ และเตือนให้รับมือภัยแล้ง

    ผศ.ดร.อานนท์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ผู้อำนวยการศูนย์จัดการความรู้ด้านการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ (ศรภอ.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วท.) เปิดเผยถึงความแปรปรวนของสภาพอากาศในปัจจุบัน ที่ส่งผลให้หลายพื้นที่ทั่วโลกมีอากาศหนาวเย็นกว่าปกติ ว่า

    สภาพอากาศดังกล่าวเกิดจากความแปรปรวนของขั้วโลกเหนือในเขตมหาสมุทรอาร์กติก ส่งผลให้แนวปะทะของมวลอากาศแกว่งตัวแรงกว่าปกติ จึงทำให้พื้นที่ส่วนใหญ่ในซีกโลกเหนือหนาวเย็นกว่าปกติหลายเท่า จากเดิมเป็นพื้นที่ที่มีอุณหภูมิติดลบก็จะยิ่งติดลบมากขึ้น ซึ่งปรากฏการณ์ลักษณะนี้เกิดขึ้นไม่บ่อย
    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=right border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>


    โดยครั้งนี้ถือว่าหนาวเย็นที่สุดในรอบ 40-50 ปี

    อย่างไรก็ตาม สาเหตุที่แน่ชัดยังไม่สามารถอธิบายได้ แต่นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่เชื่อว่าอาจมาจากความไม่สมดุลของความร้อนระหว่างมหาสมุทรและแผ่นดิน ส่วนที่ว่ามีสาเหตุมาจากภาวะโลกร้อนหรือไม่ ยังไม่มีข้อมูลวิชาการยืนยัน อย่างไรก็ตาม ปรากฏการณ์ดังกล่าวจะเกิดขึ้นแค่ช่วงหน้าหนาวเท่านั้น หลังจากนั้นจะเข้าสู่ภาวะปกติ



    ผศ.ดร.อานนท์ ให้ความรู้ด้วยว่า สำหรับประเทศไทย ในทางกลับกันความเปลี่ยนแปลงของอากาศทำให้หน้าหนาวของไทยเกิดภาวะฝนตก เนื่องจากลมตะวันออกเฉียงใต้พัดมวลอากาศร้อนชื้นเข้ามาประเทศไทย ทำให้มวลอากาศเย็นหดตัวขึ้นไปทางเหนือ ส่งผลให้เกิดฝนตกกระจายในบางพื้นที่

    แต่ประกฎการณ์ดังกล่าวจะเกิดขึ้นเฉพาะในสัปดาห์ที่ผ่านมา และจะกลับเข้าสู่หน้าหนาวอีกครั้งตลอดเดือนมกราคม 2553 ซึ่งจะทำให้อุณหภูมิเย็นลงกว่าปัจจุบันเล็กน้อย

    "ประเทศไทยไม่ต้องกังวลว่าจะหนาวเย็นมากเหมือนประเทศซีกโลกเหนือ เพราะเราเป็นประเทศเขตร้อน ปัญหาที่ไทยจะเจอแน่ๆ คือ ปรากฏการณ์ "เอลนินโญ่" ระดับรุนแรงในรอบ 10 ปี โดยจะทำให้เกิดภาวะร้อนและแล้งมากกว่าปีที่ผ่านมา มีการคาดการณ์แล้วว่าจะส่งผลให้อุณหภูมิสูงขึ้นถึง 40-42 องศาเซลเซียสในบางพื้นที่ โดยเฉพาะภาคกลางและภาคเหนือตอนล่าง รวมทั้งกรุงเทพมหานครน่าจะเกิน 40 องศาเซลเซียส โดยช่วงที่ร้อนที่สุดจะอยู่ระหว่างเดือนมีนาคมไปจนถึงเมษายน และวันที่ร้อนที่สุด คือ วันที่ 22 เมษายน ดังนั้น ปีนี้ประเทศไทยต้องเตรียมรับมือกับภาวะร้อนแล้ง มากกว่าจะไปกังวลเรื่องหนาวของซีกโลกเหนือ" ผศ.ดร.อานนท์ กล่าว

    ยึดหน้าบ้านสุรยุทธ์ แดงพรึบ ฮือพังรั้ว-ไถ"เขา"

    ม็อบใหญ่เขายายเที่ยง ปักหลักตั้งหมู่บ้านใหม่ จุดปม2มาตรฐานถล่ม ตร.ชี้ยอด6พันไม่ยืดเยื้อ




    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]
    พังรั้ว - คนเสื้อแดงบุกขึ้นไปที่เขายายเที่ยง จ.นครราช สีมา ใช้คีมลุยตัดลวดหนามที่ล้อมกั้นที่ดิน ฝั่งตรงข้ามบ้านของพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เพื่อเป็นที่ชุมนุม

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    ม็อบแดงชุมนุมใหญ่เขายายเที่ยงวันนี้ ตั้งเวทีจ่อหน้าบ้าน "สุรยุทธ์ จุลานนท์" ตร.ระดมหลายพันตรึงรับมือตั้งแต่ทางขึ้นเขาจนถึงบ้านองคมนตรี "แรมโบ้อีสาน"นำกำลังส่วนหน้าบุกยึดที่ดินฝั่งตรงข้ามบ้านสุรยุทธ์ ขนรถไถ จอบ เสียมปรับป่าละเมาะเป็นที่ตั้งเวที สร้างโรงครัว กางเต็นท์เต็มพรึบรองรับ เสื้อแดง 5-6 คนประเดิมปูเสื่อนอนข้างประตูบ้านแอ้ด สันติบาลประเมินม็อบมาแค่ 6 พัน คืนเดียวสลาย ไม่มีปัจจัยนำไปสู่ความรุนแรง ผบช.ภาค 3 ยันตร. ไม่มีอาวุธ ใช้แค่โล่ป้องกันตัว เตือนห้ามบุกรุกที่คนอื่น และละเมิดสิทธิ ฝ่าฝืนจับกุมหมด

    -ตรึงเขายายเที่ยงรับม็อบแดง

    เมื่อวันที่ 10 ม.ค. พล.ท.วีร์วลิต จรสัมฤทธิ์ แม่ทัพภาคที่ 2 ให้สัมภาษณ์ถึงการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงที่เขายายเที่ยง จ.นครราชสีมา ว่า ขณะนี้ฝ่ายตำรวจจัดวางกำลังเรียบร้อยแล้ว เชื่อว่าคนเสื้อแดงหรือกลุ่มนปช.ที่เตรียมไปชุมนุมน่าจะเบาบาง ตำรวจและหน่วยงานที่รับผิดชอบมีความพร้อม ขอให้ทุกอย่างดำเนินการไปตามขั้นตอนกฎหมาย ในส่วนของทหารยังอยู่ในที่ตั้ง จะไม่ออกจากหน่วยหากไม่ได้รับคำสั่ง ดังนั้น การกล่าวหาว่าทหารหรือกลุ่มเสื้อน้ำเงิน หรือกลุ่มหนึ่งกลุ่มใดจะสร้างสถาน การณ์ให้เกิดการปะทะ คงไม่มี คิดกันไปเอง เจ้าหน้าที่พยายามอย่างมากที่จะทำความเข้าใจ และชี้แจงกับกลุ่มผู้ชุมนุมเพื่อให้เข้าใจตรงกัน ขณะนี้กองทัพภาคที่ 2 ยังมั่นใจว่าตำรวจจะควบคุมสถานการณ์ได้

    ขณะที่พล.ต.ท.เดชาวัต รามสมภพ ผบช. ภาค 3 กล่าวว่า บช.ภาค 3 ตั้งศูนย์อำนวยการร่วมเพื่อแก้ไขปัญหาการชุมนุมที่เขายายเที่ยง กับฝ่ายปกครองของจังหวัดและทหารกองทัพภาคที่ 2 เพื่อประสานงานเรื่องการข่าวเป็นหลัก โดยตั้งศูนย์อำนวยการประสานงานกันหลายแห่งประกอบด้วย ศูนย์ปฏิบัติการหลักแก้ไขปัญหาการชุมนุมเขายายเที่ยงของบช.ภาค 3 ที่บช.ภาค 3 จ.นครราชสีมา, กองอำนวยการร่วมแก้ไขปัญหาส่วนหน้าที่สภ.คลองไผ่ อ.สีคิ้ว จ.นครราชสีมา และกองอำนวยการแก้ไขปัญหา ที่บริเวณรอยต่อพื้นที่บ้านเขายายเที่ยงเหนือ ใกล้กับสถานีเครื่องส่งสถานีโทรทัศน์ช่อง 7 สี หมู่ที่ 6 และบ้านเขายายเที่ยงใต้ หมู่ที่ 10 บนยอดเขายายเที่ยง ห่างจากบ้านพักของพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี ประมาณ 400 เมตร

    ผบช.ภาค 3 กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ นายประจักษ์ สุวรรณภักดี ผวจ.นครราชสีมา ได้ตั้งกองอำนวยการประสานงานร่วมที่ศาลากลางจังหวัด สถานการณ์ล่าสุดยังไม่มีสิ่งบ่งชี้ว่าจะเกิดเหตุรุนแรงในพื้นที่ ตำรวจได้ส่งเจ้าหน้าที่ชุมชนสัมพันธ์กับเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองลงพื้นที่ทำความเข้าใจชาวบ้านเพื่อไม่ให้เกิดการกระทบกระทั่งกับกลุ่มผู้ชุมนุม ผลตอบรับเป็นไปด้วยดี

    เมาไม่โชว์

    คอลัมน์ เอิ๊กอ๊ากอินเตอร์



    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>ดูจากคดีที่เกิดขึ้นในเมืองอินเวอร์คาร์กิล แดนนิวซีแลนด์ ครั้งนี้แล้วต้องบอกว่า..

    คำขวัญ "เมาไม่ขับ" คงไม่เหมาะสมกับ "เชอเรลล์ ดั๊ดฟิลด์" สาววัย 18 ปีคนนี้เท่าไหร่ เพราะต้องเปลี่ยนเป็น "เมาไม่โชว์" แทน!

    หลังจากค่ำวันหนึ่ง เธอซัดเหล้ากับเพื่อนจนเมาเละ และท้าทายกันว่า ใครกล้าไปยืนเปิด "หน่มน้ม" โชว์ข้างถนนใหญ่บ้าง?

    ปรากฏว่าเชอเรลล์ของขึ้นชูจั๊กกะแร้อาสาคนแรก แต่พอเปิด "ตู้ม" ไปได้ไม่กี่ที ก็มีคนขับชายเห็นเข้าแล้วตกใจ ขับเสียหลักพุ่งเฉี่ยวเธอล้มทั้งยืน!

    นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า เมาแล้วอย่าบ้า ไม่งั้นอาจโดนปรับ 7 พันบาทเหมือนสาวรายนี้ แถมยังเจ็บตัวฟรีอีกต่างหาก!!
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 มกราคม 2010
  3. sutatip_b

    sutatip_b เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    3,197
    ค่าพลัง:
    +26,189
    จากข้อความของคุณลาซาซ่า

    เคยได้ยินคำทำนาย..จำไม่ได้ว่าจากไหน อาจจะมาจากกระทู้นี้
    ที่ว่ารัฐบาลจะไม่มีเงินเดือนจ่าย ผู้คนจะเกิดจลาจล

    ตอนนี้เริ่มเกิดเหตุแปลกๆ ตามนิมิตรเก่าๆ ที่แจ้งข่าวกันต่อๆ มาเหมือนตำนาน
    เช่นพบผู้ทรงศีลที่รณรงค์สวดคาถามหาสันติงหลวงยามเกิดภัย
    ตรงกับที่มีเด็กฝันเห็นผู้ทรงศีลจับกลุ่มสวดมนต์ยามมีภัย และมีแสงสีม่วงห้อม
    ล้อม

    ท่านบอกว่า เหลือเวลาแค่สามปี

    สงสัยว่าสามปีคงเป็นดีเดย์
    เพราะดร. เทพนมกล่าวว่า ท่านพาราซิทัลเตือนภัยทางน้ำในอ่าวไทยปลายธันวา ๒๐๑๒
    ดร. เทพนมกล่าวว่าตรงกับปฏิทินมายา
    ท่านว่า แจ้งรัฐบาลแล้วให้สร้างเขื่อน แต่รัฐบาลไม่เชื่อ
    หลวงตาม้าว่า ในสามปีครึ่ง (ทราบมาตั้งแต่มีนา ๐๙) ถ้าสะพานวงแหวนหัก แล้วลูกศิษย์ไม่ขึ้นเหนือ ท่านคงช่วยอะไรไม่ได้
    ข้อมูลมีทิศทางมาใกล้เคียงกัน...
    โปรดใช้วิจารณญาน

    ดูแลจิตให้ผ่องใสกันนะคะ
     
  4. GoonS

    GoonS เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    811
    ค่าพลัง:
    +2,682
    หลวงตาม้า ใช่องค์ที่เป็นลูกศิษย์เอกลป.ดู่เปล่าครับ
    หรือว่าท่านอื่น อยากรู้หุๆ
     
  5. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,682
    ค่าพลัง:
    +51,931
    *** มนุษย์...อย่าได้คิดครองโลก ****

    ยิ่งคิด ก็ยิ่งทำลายตัวเอง....
    ไม่มีใครไหนอยู่ค้ำฟ้า

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 มกราคม 2010
  6. Lazaza

    Lazaza เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    991
    ค่าพลัง:
    +5,549
    สงสัยคุณอา จะอ้างถึง ข้อความของอาจารย์ไก่มั้งคะ

    ======================================

    11 ม.ค. 53

    คนละเรื่องเดียวกัน

    ตามที่ท่านสมาชิกได้อ้างอิงบทความที่ลงผ่านคุณ ลาซาซา ในบทความเรื่อง
    กินคำสุดท้าย เงินเดือนๆสุดท้าย ไชโย.....เพลงดีมีสาระ คนเอน จบลงด้วย
    ความเศร้า ความหมายของผมจะเกี่ยวกับการบาดเจ็บล้มตายของคนในชาติ ที่
    มีสาเหตุที่ผมไม่สามารถจะลงขยายความได้ แม้กระทั้งรองนายกคนนั้นก็ยังพูด
    ไม่เต็มปาก


    องค์อินทร์ - ๙๗
    ทำการแทน

    ======================================
    ภาพฐานผาแบ่นบางส่วนค่ะ
    ที่มา นาม "องค์อินทร์ ๙๗"







    ---------------------------------------------------------------------
    หลงทางเสียเวลา แต่ไหนแต่ไรมา พระพุทธเจ้าท่านสอนแต่เรื่องทุกข์ และการพ้นทุกข์เท่านั้น<STYLE>body{background-image:url("http://palungjit.org/attachments/a.758354/");}</STYLE>
     
  7. tamm16

    tamm16 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2008
    โพสต์:
    218
    ค่าพลัง:
    +466
    วันเวลาผ่านไปเร็วนัก 2010 เข้ามาเรื่องไม่จบ อนาคตนี้ไม่พ้นภัยคนแน่นอน!
     
  8. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    บทสัมภาษณ์ ดร.อาจอง ชุมสายฯ เรื่องอนาคตเมืองไทยอีก 7 ปีข้างหน้า

    [​IMG]

    ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา - คือ นักคิด-นักวิทยาศาสตร์ ผู้คิดค้นระบบการลงจอดยานอวกาศบนดาวอังคาร ร่วมกับองค์การนาซา เพื่อทำการสำรวจโลกใหม่ของมนุษยชาติ.....และอีกด้านหนึ่งที่คนไทยส่วนใหญ่ยังไม่รู้จัก ดร.อาจองฯเท่าที่ควร ก็คือ การเป็นผู้ปฏิบัติธรรมสมาธิภาวนามาเป็นเวลาต่อเนื่องยาวนานประมาณ 30 ปี จนอาจกล่าวประเมินได้ว่า ท่านเข้าถึงธรรมขั้นสูงระดับหนึ่งไปแล้ว ท่านปฏิเสธองค์การนาซาที่เพิ่มเงินเดือนให้อีก 20 เท่า แล้วกลับเมืองไทย เพื่อมาสอนหนังสือเด็กๆในชนบท สร้างคนรุ่นใหม่ขึ้นมาจากอายุ 6 ขวบ เพื่อให้เป็นอนาคตของประเทศไทยต่อไป

    ปัจจุบันท่านเป็นผู้บริหารโรงเรียนสัตยาไส ที่อ.ชัยบาดาล จ.ลพบุรี พร้อมกับได้รับเชิญไปบรรยายสอนเรื่องการอบรมพัฒนาจิตของเยาวชนไปทั่วโลกขณะนี้ ชีวิตของท่านเต็มไปด้วยความเสียสละ สมถะ และบำเพ็ยตนเพื่อประโยชน์สุขของมหาชน ประเทศชาติที่น่าสรรเสริญมาก ซึ่งเราขอปรบมือและร่วมอนุโมทนากับท่านด้วยความจริงใจ........

    บางส่วนจากบทสัมภาษณ์ ดร.อาจองฯเมื่อ 16 ตุลาคม 2548 เกี่ยวกับอนาคตของเมืองไทยและโลกในอีก 12 ปีข้างหน้า(พ.ศ.2560) จะพบกับเหตุการณ์ภัยพิบัติน้ำท่วมใหญ่ มีการสูญเสียไปบ้างพอสมควร แต่ก็ได้ความสันติสุขและความเจริญรุ่งเรืองในทางธรรมกลับคืนมา ดังนี้.-

    ขณะนี้โลกของเรา อาจกำลังจะมีความเปลี่ยนแปลงบางอย่างเกิดขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่ ก็เป็นผลมาจากมนุษย์ด้วยกัน เพราะว่าเราทำลายป่าไม้ เผาผลาญพลังงานมากเกินไป มันทำให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เยอะ แล้วก็เกิดภาวะเรือนกระจก ทำให้อุณหภูมิสูงขึ้น ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น จนน้ำแข็งขั้วโลกเริ่มละลาย ทำให้เกิดพายุใต้ฝุ่น พายุเฮอริเคน ซึ่งเกิดจากการทำลายสิ่งแวดล้อม.....

    ผมดูจากสถานการณ์ จากเหตุการณ์ที่มันเกิดขึ้น จากภาวะเรือนกระจก ทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น วิกฤตอันนี้ มันเกิดจากภาวะความเปลี่ยนแปลงของโลก เพราะเปลือกโลกมันลอยอยู่กับของเหลวข้างใน ซึ่งของเหลวข้างใน มันมีความร้อนสูง เปลือกของโลก มันก็เริ่มเคลื่อนไหวเพราะขาดสมดุล แล้วตัวน้ำทะเลที่มันสูงขึ้น ก็จะทำให้โลกข้างที่อยู่ทางมหาสมุทรแปซิฟิกมีน้ำหนักมากขึ้น จนโลกเริ่มจะแกว่ง....

    และแน่นอนว่า ถ้าระดับน้ำทะเลมันสูงขึ้น มันก็จะเกิดน้ำท่วมในหลายๆจุด แล้วถ้าลองคิดว่า น้ำทะเลมันขึ้นแค่ 2 เมตร กรุงเทพฯของเราก็คงไม่มีแล้ว เพราะกรุงเทพฯเราอยู่เหนือน้ำทะเลไม่ถึง 1 เมตร แล้วถ้าน้ำมันสูงระดับนั้นจริงๆ มันต้องท่วมเข้ามาในภาคกลางของประเทศไทย และบางประเทศ ก็อาจต้องสูญหายไป อย่างน้อยก็ประมาณเศษหนึ่งส่วนสามของหมู่เกาะแถบอันดามัน ก็อาจจะหายไปเลย......

    ผมคาดว่า อีก 12 ปี (พ.ศ.2560) โลกของเราจะเปลี่ยนแปลงไป กลายเป็นโลกที่เต็มไปด้วยความสงบสุข ไม่มีการทะเลาะเบาะแว้งกัน ไม่มีการทำสงครามกัน เพราะส่วนหนึ่ง คือธรรมชาติ เริ่มรู้ในความไม่รู้จักพอของมนุษย์.....

    ซึ่งแต่ละศาสนา ก็เคยมีการทำนายเอาไว้แล้วว่า โลกของเรา จะต้องเกิดวิกฤต แต่การที่จะไปถึงจุดนั้นได้ มนุษย์เรา คงต้องโดนกระตุ้นจากธรรมชาติเสียก่อน อย่างกรณีของการเกิดคลื่นสึนามิขึ้น คนทั่วโลก็เริ่มที่จะเข้าใจกัน ช่วยเหลือกัน เหมือนเป็นการอาศัยวิกฤต เพื่อเปลี่ยนแปลง แต่ผมคิดว่า มันก็เป็นเรื่องน่าเสียดาย ที่มนุษย์ จะต้องขอให้เกิดวิกฤตเสียก่อน ถึงจะเลิกทะเลาะกัน เลิกทำสงครามกัน.....เพราะตอนนี้ ผมคิดว่า เรามีเวลาอยู่บนโลกแค่เพียง 12 ปีเท่านั้น ก่อนที่จะเกิดความเปลี่ยนแปลง.......

    บทสัมภาษณ์ ดร.อาจองฯเมื่อ 16 ตุลาคม พ.ศ.2548

    ที่มา www.buddha-dhamma.com

    หมายเหตุ

    ผมคิดว่าปลายปี พ.ศ.2553 นี้ คงจะเริ่มต้นเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 ติดตามมาด้วยภัยพิบัติทางธรรมชาติ โรคระบาด การอดอยากขาดแคลนอาหาร ซึ่งเป็นการเริ่มต้น 7 ปีกลียุค โดยเฉพาะภัยพิบัติทางธรรมขาติคงจะปรากฏให้เห็นเด่นชัดในปี พ.ศ.2555(ค.ศ.2012) ตามคำทำนายในคัมภีร์ไบเบิ้ลและจะไปสิ้นสุดในปี พ.ศ.2560 ซึ่งก็ตรงกับการคาดการณ์ของ ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยาที่ได้กล่าวเอาไว้ว่า ปี พ.ศ.2560 โลกของเราจะเปลี่ยนแปลงไป กลายเป็นโลกที่เต็มไปด้วยความสงบสุข ไม่มีการทะเลาะเบาะแว้งกัน ไม่มีการทำสงครามกันอีกต่อไป -เกษม-

    คำทำนายของ คุณยาย วานเกเลีย ปานเดว่า กุชเตโรว่า

    ปี ค.ศ.2010 - เริ่มสงครามโลกครั้งที่ 3 ( พฤศจิกายน 2010 - ตุลาคม 2014 ) ตอนแรกก็ใช้อาวุธธรรมดา ต่อมาก็ตามด้วยนิวเคลียร์และอาวุธเคมี การนำอาวุธนิวเคลียร์มาใช้ ทำให้ซีกโลกเหนือ จะไม่เหลือทั้งพืชและสัตว์ จากนั้นพวกมุสลิม จะใช้อาวุธเคมีเข้าจัดการกับชาวยุโรปที่ยังหลงเหลืออยู่ ผู้คนจะป่วยเป็นฝีหนองและมะเร็งผิวหนังกันมากจากผลของอาวุธเคมี

    ที่มา http://hogwartsthai.com/forum/index.php?showtopic=8647
    <!-- google_ad_section_end -->
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 มกราคม 2010
  9. note_bank

    note_bank เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    380
    ค่าพลัง:
    +968
    หิมะทั่วโลกหนาขนาดนี้ หากละลายน้ำทะเลจะขึ้นขนาดไหน
    แล้วน้ำทะเลเยอะ ระเหยขึ้นไปเป็นฝนตกลงมาเยอะ กรุงเทพจะเป็นอย่างไร (น้ำทะเล + น้ำฝน)

    แล้วถ้าหิมะตกในเขตร้อนหล่ะ ข้าว ผัก และผลไม้จะตายไหม (เพราะปีที่แล้วหิมะตกที่เวียดนาม)

    ประเทศเราคงไม่เป็นอะไรเพราะมีข้าวเยอะเพียงพอสำหรับประชากร แต่ประเทศที่ปลูกเองไม่ได้หล่ะ แล้วหิมะปกคลุมจนทำเกษตรกรรมไม่ได้ เขาจะมาเอาของเราไหม แล้วเราจะให้เขาไหม เพราะเขามีเงินเยอะ แล้วถ้าเราไม่ให้แหล่ะ เขาจะบังคับเราไหม

    (เมื่อวานนี้ คำถามเหล่านี้ถูกยกขึ้นมาระหว่างเรียนของนักศึกษาปรัชญาในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง น่าคิดนะคะ)
     
  10. Falkman

    Falkman พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    19,726
    ค่าพลัง:
    +77,791
    คิดเหมือนกันเลย หิมะละลายน้ำคงเยอะ
    แล้วอีกอย่างเมื่อเช้าฟังข่าวบอกว่า ปีนี้หลายที่ทำเกษตรกรรมไม่ได้ เราทำได้ นั่นสิ จะโดนบังคับแน่ๆ

    ปีนี้ชาวนาทำข้าวนาปรังกันเยอะนะ เขียวชะอุ่มมากเลย
     
  11. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ประยุกต์ปรัชญาพอเพียงสิ

    เปลี่ยนจาก การบริหารการขาย มาเป็น การบริการการแจก แทน

    ลองดูสิว่าคุณนักศึกษา จะเห็นอะไรเจ๋งๆบ้าง :cool:

    รณรงค์ศึกด้วยการชนะใจ ไม่เสียชีวิต และ ทรัพย์สิน เป็นไปได้ไหม
     
  12. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,682
    ค่าพลัง:
    +51,931
    *** มนุษย์บริหารโลก ****

    ด้วย...พรหมวิหาร๔
    เมตตา
    กรุณา
    มุทิตา
    อุเบกขา

    แต่ทั้งหมด ต้องรักษาสัจจะ
    สิ่งที่กล่าวไปแล้ว พูดไปแล้ว ต้องทำจริง
    ถ้าพูดไปแล้ว ประกาศไปแล้ว ไม่ทำจริง....ก็จบ
    คือ ผลการกระทำจะย้อนกลับมาหาตนเอง
    เพราะ สิ่งที่ทำไปแล้วมันไม่ตาย เรียกว่า.... "ตัวกระทำ"

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  13. aottkung

    aottkung สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มกราคม 2010
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +4
    ผมว่าสิ่งที่คุณขอ มันเป็นไปไม่ได้หรอก ที่จะให้โลกสงบสุขในปัจจุบันนี้ ดูอย่างประเทศไทยของเราเองสิครับ ยังหาความสงบไม่ได้ มีหรือโลกจะสงบสุขเพราะมนุษย์บนโลกความคิดไม่เหมือนกัน และอีกอย่างโลกเรามันบอบซ้ำมากแล้ว ดูจากสภาวะโลกร้อนสิครับใครทำ มนุษย์ทุกคนแหละครับคือผู้ทำ และสำหรับตัวผมเองไม่ใช่ว่าจะไม่เชื่อเรื่องนี้ เพราะว่าดูเหตุผลแล้ว สรุปทุกสิ่งที่ตั้งอยู่ ก็ตั้งมีดับไป เหมือนช่วงยุคไดโนเสาร์ ทุกวันนี้เหตุการณ์หลายอย่างมันถาโถมเข้ามาแล้ว จะไม่ให้มันเกิดได้อย่างไร แต่จะเป็นเมื่อไรนั้น ต้องคอยดูครับ
     
  14. kittitpx

    kittitpx เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    570
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +2,000
    หิมะยังถล่มยุโรป คาดศก.เสียหายหนัก

    หลายประเทศในยุโรปยังเผชิญกับหิมะตกหนัก คาดก่อความเสียหายทางเศรษฐกิจหลายพันล้านยูโร

    หลายประเทศในยุโรปยังคงเผชิญหน้ากับหิมะตกหนัก โดยหลายพื้นที่ของสเปนมีหิมะตกเป็นครั้งแรกในรอบ 50 ปี เมื่อวานนี้
    มีผู้เสียชีวิตจำนวนมากและก่อความเสียหายต่อเศรษฐกิจของประเทศทางใต้ในยุโรปหลายพันล้านยูโร

    ทางการสเปนต้องประกาศเตือนภัยใน 18 แคว้นทางภาคกลางและเหนือของประเทศ หลังคาดหมายว่าจะมีหิมะตกลงมาเพิ่มเติม และอุณหภูมิจะลดต่ำลง
    นอกจากนี้ เที่ยวบินมากกว่า 194 เที่ยวจากทั้งหมด 1,101 เที่ยวที่สนามบินบาราจัสในกรุงมาดริด ถูกยกเลิก ส่วนเมืองเซบีญา ซึ่งตั้งอยู่ทางภาคใต้ของสเปน โดยปกติแล้วในเดือนมกราคม
    อุณหภูมิจะอยู่ที่ราว 15 องศาเซลเซียส แต่เมื่อวานนี้ กลับต้องเผชิญกับหิมะตกเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 50 ปี

    ขณะที่เพื่อนประเทศบ้านอย่างโปรตุเกส ต้องประสบปัญหาในการจัดการกับภาวะหิมะตกหนัก ซึ่งเป็นสาเหตุให้ถนนหลายหลักราว 50 สาย ต้องปิดห้ามสัญจรไปมา ทำให้ประชาชนจำนวนมากต้องค้างคืนอยู่ในยานพาหนะของตนเอง

    ส่วนทางตอนเหนือของยุโรป แม้อากาศจะปลอดโปร่งบางแล้ว แต่อุตุนิยมวิทยาก็เตือนว่าอุณหภูมิอาจลดต่ำถึงลบ
    10 องศาเซลเซียสช่วงกลางคืนในหลายพื้นที่ นอกจากนี้ยังจะมีหิมะตกหนักและลมพัดแรงอีกระลอกบริเวณภาคเหนือของชายฝั่งทะเลบอลติก

    รายงานข่าวระบุว่า หมู่บ้านหลายแห่งทางตะวันออกเฉียงเหนือของเยอรมนี ยังคงถูกตัดขาดจากโลกภายนอกจากกองหิมะขนาดยักษ์ ขณะที่สนามบินแฟร้งค์เฟิร์ต ท่าอากาศยาน ที่ผู้โดยสารคนพลุกพล่านที่สุดในยุโรป ต้องยกเลิกเที่ยวบินกว่า 320 เที่ยวในช่วงสุดสัปดาห์ และเพิ่มเติมอีก 15 เที่ยวเมื่อวานนี้

    นักวิเคราะห์ในเยอรมนี ซึ่งเศรษฐกิจกำลังฟื้นตัวจากภาวะถดถอยครั้งร้ายแรงที่สุดนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สอง เตือนว่า หากสภาพอากาศยังไม่ดีขึ้นในเร็ววันนี้ เศรษฐกิจของเยอรมนี จะสูญเสียกิจกรรมทางเศรษฐกิจเป็นเงินกว่า 3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือร้อยละ 0.4 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพีในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ ขณะที่สหราชอาณาจักร ซึ่งยังคงอยู่ในภาวะถดถอย สภาพอากาศอันเลวร้ายที่สุดในรอบหลายทศวรรษอาจก่อความเสียหายทางเศรษฐกิจ 1.6 พันล้านดอลลาร์

    ทางภาคใต้ของโปแลนด์ ประชาชนกว่า 70,000 ครัวเรือนต้องใช้ชีวิตโดยปราศจากไฟฟ้าเป็นวันที่สองติดต่อกัน
    หลังจากหิมะและฝนตกหนักตัดขาดการจราจรทางรถไฟระหว่างกรุงวอร์เซน์และทางใต้

    ส่วนในอังกฤษ ท้องถนนที่ถูกปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งและหิมะที่ตกลงมาโปรยปรายก็ทำลายความพยายามที่นำการสัญจรคืนสู่ประเทศ ด้วยรถไฟยูโรสตาร์ที่แล่นระหว่างกรุงลอนดอน กรุงปารีสของฝรั่งเศสและกรุงบรัสเซลล์ของเบลเยี่ยม ต้องให้บริการอย่างจำกัดอีกครั้ง ทั้งนี้ยอดผู้เสียชีวิตในอังกฤษ จากอุบัติเหตุที่เกี่ยวข้องกับสภาพอากาศเพิ่มขึ้นเป็นอย่างน้อย 29 รายในช่วงสุดสัปดาห์
    ขณะเดียวกัน ก็พบผู้เสียชีวิตอีกจำนวนมากจากอุบัติเหตุลักษณะคล้ายกันนี้ หรือถูกหิมะทับ รวมทั้งคนไร้ที่อยู่อาศัยตาย เพราะอากาศเย็นทั่วยุโรปในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา.

    ที่มา Daily News Online > หน้าต่างประเทศ > หิมะยังถล่มยุโรป คาดศก.เสียหายหนัก
    วันอังคาร ที่ 12 มกราคม 2553 เวลา 9:07 น


    มีผู้เสียชีวิตกว่า 280 คน จากอากาศหนาวจัดในอินเดีย

    อินเดีย 12 ม.ค. - สภาพอากาศหนาวจัดในอินเดีย ทำให้มีผู้เสียชีวิตแล้วถึงกว่า 280 คน

    คลื่นความหนาวเย็นขั้นรุนแรงที่แผ่ปกคลุมพื้นที่ทางตอนเหนือของอินเดียมาตั้งแต่ช่วงปีใหม่
    ส่งผลให้จนถึงขณะนี้มีผู้เสียชีวิตแล้วถึง 288 คน เฉพาะที่รัฐอุตตรประเทศ เมื่อวานนี้เพียงวันเดียว
    มีผู้เสียชีวิตถึง 30 คน เจ้าหน้าที่ของทางการเผยว่า ผู้เสียชีวิตจำนวนมากมักเป็นคนเร่ร่อนไร้ที่อยู่
    มีรายงานว่า บางพื้นที่อุณหภูมิลดลงถึงจุดเยือกแข็ง ต่ำกว่าระดับปกติกว่า 10 องศาเซลเซียส เป็นครั้งแรก

    นอกจากนี้ หลายพื้นที่ยังมีหมอกหนาปกคลุม ส่งผลกระทบต่อการเดินทาง ทั้งทางเครื่องบินและรถไฟ
    คาดว่าสภาพอากาศจะเลวร้ายต่อไปอีกหลายวัน. - สำนักข่าวไทย

    2010-01-12 | 16:28:01


    ออสเตรเลียเผชิญอากาศร้อนจัดที่สุดในรอบ 100 ปี

    ออสเตรเลีย 12 ม.ค. - ผู้คนในเมืองเมลเบิร์นของออสเตรเลีย เผชิญกับสภาพอากาศร้อนจัดที่สุดในรอบ 100 ปี

    คลื่นความร้อนที่แผ่ปกคลุมทางตอนใต้และทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ของออสเตรเลีย เมื่อค่ำคืนที่ผ่านมา
    ผู้คนในเมืองเมลเบิร์นต้องเผชิญกับอากาศร้อนจัดที่สุดในรอบ 100 ปี โดยอุณหภูมิเพิ่มขึ้นถึง 37 องศาเซลเซียส
    สภาพอากาศร้อนจัดยังส่งผลให้การให้บริการรถไฟโดยสารบางขบวนขัดข้อง เนื่องจากระบบราง
    ขณะที่รถไฟโดยสารบางขบวนไม่มีเครื่องปรับอากาศ. - สำนักข่าวไทย

    2010-01-12 15:10:23

    ที่มา http://news.mcot.net
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 มกราคม 2010
  15. doodee1

    doodee1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    458
    ค่าพลัง:
    +1,718
    วันที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2553 ปีที่ 19 ฉบับที่ 6984 ข่าวสดรายวัน


    โสมเหนือแบะท่าถก6ฝ่าย




    เมื่อ 11 ม.ค. บีบีซีรายงานว่า กระทรวงต่างประเทศเกาหลีเหนือ แถลงว่า พร้อมหวนกลับสู่โต๊ะเจรจา 6 ฝ่ายเพื่อแก้ข้อขัดแย้งโครงการนิวเคลียร์ แต่มีเงื่อนไขว่ารัฐบาลสหรัฐต้องทำสนธิสัญญาสันติภาพกับเกาหลีเหนือและยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรทั้งหมด ด้านนายโรเบิร์ต คิง ทูตพิเศษสหรัฐด้านสิทธิมนุษยชนเกาหลีเหนือ กล่าวว่า ถ้าเกาหลีเหนือต้องการมีความสัมพันธ์อันดีกับสหรัฐก็ต้องแก้ไขปัญหาละเมิดสิทธิมนุษยชนให้ดีขึ้น


    เย็นยะเยือก




    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    อากาศเย็นจัดติดลบต่ำกว่าศูนย์องศาเล่นงานผลผลิตการเกษตรในรัฐฟลอริดา สหรัฐอเมริกา อีกระลอก ทำให้น้ำแข็งจับส้มและสตรอว์เบอร์รี่จนแข็ง ชาวสวนต้องคอยฉีดน้ำให้ละลายเพื่อรักษาพืชผล เมื่อ 11 ม.ค. (เอพี)






    หนุ่มจีนหงอย-24ล้านคนไร้เมีย



    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]
    ไม่สมดุล- แฟ้มภาพเจ้าสาวชาวจีนทักเจ้าบ่าว ที่มีเพื่อนเจ้าบ่าวออกันอยู่ที่บานกระจก ในมณฑลหูเป่ย ล่าสุด ทางการจีนรายงานผลการศึกษาที่พบว่า ประชากรเพศชายและเพศหญิงของจีนเกิดภาวะไม่สมดุล ในอีก 10 ปีข้างหน้าหนุ่มจีน 24 ล้านคนจะไร้ภรรยา ตามข่าว เมื่อ 11 ม.ค. (เอเอฟพี)

    </TD></TR></TBODY></TABLE>เอเอฟพีรายงานว่า เมื่อ 11 ม.ค. จีนเผชิญปัญหาอัตราการเกิดของทารกเพศหญิงกับเพศชายไม่สมดุลกัน ด้วยเหตุผลที่ซับซ้อน โดยเฉพาะธรรมเนียมเก่าแก่ที่สืบทอดกันมา บวกกับนโยบายมีลูกคนเดียวตั้งแต่ปี 2522 ทำให้คนจีนนิยมมีลูกชาย และทำแท้งทารกเพศหญิงอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะในชนบท ซึ่งจะส่งผลให้ในปี 2563 หรือ ค.ศ.2020 ชายชาวจีนกว่า 24 ล้านคน จะต้องอยู่โดดเดี่ยวเปลี่ยวเหงาเพราะไร้คู่ครอง

    การศึกษาดังกล่าวสนับสนุนโดยสถาบันการศึกษาสังคมศาสตร์ของรัฐบาลจีน พบว่าประชากร 1,300 ล้านคนของจีน กำลังมีปัญหาสัดส่วนประชากรไม่สมดุลกันทางเพศในกลุ่มเด็กเกิดใหม่ เพราะการทำแท้งทารกเพศหญิงแล้วเลือกไว้แต่เพศชาย โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบท ซึ่งค่านิยมทางวัฒนธรรมยกย่องเพศชายเหนือเพศหญิง ทำให้จีนจะมีประชากรชายมากกว่าผู้หญิง

    นายหวาง กวางโจว นักวิจัยกล่าวว่า ผู้ชายที่มีรายได้ต่ำจะหาคู่ครองยาก และจะเกิดปัญหาช่องว่างระหว่างคู่ครองตามมาด้วย เช่นเดียวกับนายหวาง หยูเสิ่ง นักวิจัยอีกคนกล่าวว่า ในเขตชนบทที่ยากจน ผู้ชายที่อายุมากกว่า 40 ปี มีโอกาสจะได้แต่งงานยิ่งยากขึ้น มิฉะนั้นก็อยู่เป็นโสดไปจนตาย ซึ่งจะทำให้ไม่มีทายาทสืบสกุลและไม่มีใครดูแลยามแก่เฒ่าด้วย

    รายงานศึกษาชิ้นนี้ยังระบุถึงปัญหาการลักพาตัวและการค้ามนุษย์เพศหญิง ว่า รุนแรงมากขึ้นในเขตชนบท ซึ่งจากสถิติของคณะกรรมาธิการประชากรและการวางแผนครอบครัวแห่งชาติ พบว่า การแต่งงานที่ผิดกฎหมาย และการบังคับเป็นโสเภณี ล้วนเป็นปัญหาในเขตที่ประชากรไม่สมดุล

    ค่าเฉลี่ยของทารกเพศชายระดับปกติ คือเพศชาย 103-107 คน ต่อเพศหญิง 100 คน แต่เมื่อปี 2548 ที่มีการเก็บข้อมูลครั้งสุดท้าย จีนมีทารกชายทะลุไปถึง 119 คนต่อทารกหญิง 100 คนแล้ว

    โลกร้อนก่อโรคร้าย

    หมุนก่อนโลก

    วิทยา ผาสุก wittayapasuk@hotmail.com



    สภาพอากาศแปรปรวนหนักในสหรัฐ และหลายชาติแถบเอเชีย/ยุโรป ซึ่งเย็นจัดติดลบจนทะลุหรือเฉียดๆ 20 องศา ยังไม่มีข้อมูลพออธิบายแน่ชัดว่า

    ตกลงแล้วมันเป็นอาการ "ตีกลับ" ของภาวะ "โลกร้อน" จริงหรือไม่!?

    แต่ที่แน่ๆ วิกฤตการณ์โลกร้อนจะยังคุกคามประชาคมโลกต่อไป และ "โบนัส" ที่ไม่มีใครอยากได้จากปรากฏการณ์นี้ ก็คือ..

    โรคระบาด-โรคติดต่อใหม่ๆ ซึ่งส่อเค้าอันตรายมากขึ้นทุก วัน!

    เกี่ยวกับประเด็นนี้ ศ.น.พ.ธีรวัฒน์ เหมะจุฑา ผอ.ศูนย์ความร่วมมือองค์กรอนามัยโลกด้านค้นคว้าและอบรมโรคติดเชื้อไวรัสสัตว์สู่คน คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ให้สัมภาษณ์เตือนไว้ในหนังสือ "ชีวจิต" ฉบับม.ค. 2553 ว่า

    ผลจากภาวะโลกร้อนจะก่อโรคติดต่อ โดยเฉพาะโรคที่แพร่จากไวรัสในสัตว์สู่คนรูปแบบใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง

    โดยปี 2553 ภัยธรรมชาติทั้งน้ำท่วม น้ำขัง และอากาศแปรปรวนน่าจะเกิดมากขึ้น..

    ทำให้มีการอพยพของสัตว์ต่างๆ โดยเฉพาะสัตว์ฟันแทะ หนู ไปจนถึงค้างคาว และนกเพื่อไปอาศัยในที่ที่ปลอดภัยกว่า

    สัตว์จำพวกนี้เป็น "พาหะ" ชั้นดีของไวรัสสารพัดชนิด ที่อาจแพร่เชื้อจาก "สัตว์สู่สัตว์" หรือ "สัตว์สู่คน" ผ่านทางยุง ไร ริ้น เห็บได้

    "ปี 2553 ยังต้องจับตาดูโรคไข้สมองอักเสบจากไวรัส "ชานดิปุระ" เป็นพิเศษ โดยมีพาหะเป็นริ้นฝอยทรายที่แพร่เชื้อไปยังวัว ควาย แล้วแพร่สู่คนอีกทอดหนึ่ง ซึ่งมีการระบาดวงกว้างในอินเดียแล้ว อัตราผู้ป่วยเสียชีวิตสูง 50-60 เปอร์เซ็นต์

    "ขณะเดียวกัน ยังมีไข้สมองอักเสบจากไวรัส "นิปาห์" ซึ่งมีค้างคาวเป็นพาหะ เพราะระบาดต่อเนื่องในมาเลเซีย สิงคโปร์ อินเดีย และบังกลาเทศ

    "สำหรับประเทศไทยอยู่ในช่วงเฝ้าระวัง แม้ยังไม่พบการระบาด แต่ตรวจพบแล้วว่าค้างคาวหลายชนิดในไทยเป็นแหล่งเพาะเชื้อนิปาห์ ลักษณะการแพร่เชื้อจะแพร่จากค้างคาวมาสู่หมู และหมูมาสู่คน หรือจากค้างคาวมาสู่คน และจากคนแพร่สู่คนด้วยการหายใจ ไอ และจามรดกัน" ศ.น.พ.ธีรวัฒน์ กล่าว

    ส่วนวิธีป้องกัน ศ.น.พ.ธีรวัฒน์ แนะนำว่า วิธีป้องกันโรคติดต่อร้ายแรงดีที่สุด คือ ทุกคนต้องมีจิตสำนึกรักษาสุขภาพอนามัยส่วนบุคคล เช่น ถ้ารู้ตัวว่าป่วยก็ควรหยุดเรียน หยุดทำงานและรักษาตัวจนกว่าจะหายดีเพื่อป้องกันการนำโรคมาแพร่ใส่ผู้อื่น

    รวมถึงออกกำลังกายและทานผักผลไม้เป็นประจำ เพื่อสร้าง "ภูมิต้านทานโรค" ให้แข็งแรง


    กสิกรฯเตือนภัย"อีเมล์"ลวงโลก



    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>ธนาคารกสิกรไทยออกประกาศเตือนภัยกลุ่มมิจฉาชีพไฮเทค ใช้กลลวงประเภท "ฟิชชิ่ง" จัดทำเว็บไซต์และอีเมล์ปลอม ต้มตุ๋นลูกค้ากสิกรที่ใช้บริการ K-Cyber Banking

    รายงานข่าวจากกสิกรไทยระบุว่า ขณะนี้มีอีเมล์หลอกลวงจากมิจฉาชีพส่งถึงบุคคลทั่วไป โดยแจ้งว่าบัญชีของท่านมีปัญหา หรือธนาคารมีการพัฒนาระบบรักษาความปลอดภัยใหม่ และร้องขอให้ท่านทำรายการ/แก้ปัญหาด้วยการคลิกลิงก์ในอีเมล์ดังกล่าว ซึ่งจะเชื่อมต่อไปยังเว็บไซต์ปลอม ซึ่งมีลักษณะเหมือนกับหน้าจอ K-Cyber Banking ทุกประการ แต่ URL หรือที่อยู่เว็บไซต์ไม่ใช่ของธนาคาร เช่น http://www.greenmonsterarts.co.uk, http://ad-park.com/catalog/Access.htm หรือชื่ออื่นๆ ที่อาจจะมีชื่อคล้ายคลึง URL ของธนาคาร

    "ธนาคารขอย้ำว่าไม่มีนโยบายส่งอีเมล์ที่มีลิงก์ให้ท่านคลิกเพื่อเข้าสู่ระบบใดๆ หรือสอบถามข้อมูลส่วนตัวใดๆ ผ่านทางอีเมล์ หากท่านต้องการเข้าสู่ระบบ K-Cyber Banking หรือระบบใดๆ ของธนาคาร ท่านจะต้องใช้ Shortcut (Favorite) ท่านสร้างด้วยตนเองหรือพิมพ์ URL ด้วยตัวท่านเองเท่านั้น หากท่านได้กรอกข้อมูลลงไปใน Website ปลอมแล้ว กรุณาติดต่อ K-Contact Center 0-2888-8888 โดยด่วน เพื่อเปลี่ยนรหัสลับ หรือรีบอายัดบัญชี" ธ.กสิกรไทย แถลง

    หลักฐานใหม่บ่งชี้วิวัฒนาการ"สัตว์บก" ขึ้นจาก"ทะเล"สู่"ดิน"เร็วกว่าที่คิด



    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>เว็บไซต์วารสารวิทยาศาสตร์ "เนเจอร์" เปิดข้อมูลใหม่ เป็นผลวิจัยชี้ว่า บรรพบุรุษของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม สัตว์เลื้อยคลาน และนกในปัจจุบัน มีถิ่นอาศัยอยู่ในทะเล และเริ่มขึ้นมาใช้ชีวิตบนบกเร็วกว่าที่เชื่อกันมาในอดีตหลายล้านปี

    ผลวิจัยดังกล่าวแสดงหลักฐานรอยเท้าดึกดำบรรพ์ของสัตว์สี่ขามีกระดูกสันหลัง ขึ้นมาเดินบนพื้นดินชายฝั่งทะเลเมื่อราว 397 ล้านปีที่แล้ว ซึ่งเป็นห้วงเวลาเก่าแก่กว่าที่นักวิทยาศาสตร์หลายคนคาดคิด

    การค้นพบครั้งนี้จะทำให้ผู้เชี่ยวชาญต้องกลับมาทบทวนช่วงเวลาของการวิวัฒนาการกันใหม่ ในประเด็นว่าสัตว์มีกระดูกสันหลังที่อาศัยอยู่ในทะเลขึ้นมาอาศัยอยู่บนพื้นดินครั้งแรกเมื่อใดก่อนที่จะวิวัฒนาการต่อไปเป็นไดโนเสาร์ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม และมนุษย์

    ก่อนการตีแผ่หลักฐานใหม่ นักวิทยาศาสตร์เคยคิดว่าเข้าใจดีเรื่องวิวัฒนาการของครีบมาเป็นเท้า และเชื่อว่าสัตว์ทะเลที่ขึ้นมาอาศัยบนบกเริ่มขึ้นเมื่อ 385 ล้านปีที่แล้ว สัตว์ชนิดนี้แยกสายวิวัฒนาการจากสัตว์ในตระกูลปลา แต่จากหลักฐานใหม่ที่ค้นพบทางตอนกลางของโปแลนด์ ทำให้เชื่อว่าวิวัฒนาการของสัตว์บกน่าจะเริ่มขึ้นเร็วกว่านั้นหลายล้านปี และน่าจะเป็นการวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในทะเล ไม่ใช่มาจากแม่น้ำหรือทะเลสาบ

    การค้นพบฟอสซิลใหม่ยังดูเหมือนว่าเป็นการปฏิเสธทฤษฎีเดิม 3 ทฤษฎีว่าด้วยวิวัฒนาการของขามาแทนครีบ ทฤษฎีแรกเชื่อว่ามีความจำเป็นที่จะต้องขึ้นมาวางไข่บนพื้นดินให้พ้นจากสัตว์นักล่าในทะเล ทฤษฎีที่ 2 ช่วยการกระโดดไปหาแหล่งน้ำอื่นๆ และทฤษฎีที่ 3 จะต้องมีขาเพราะไขว่คว้าหาออกซิเจนที่เริ่มมีปริมาณลดลงในน้ำ แต่จากหลักฐานล่าสุดดูเหมือนว่าสัตว์ชนิดนี้มีวิวัฒนาการมาเป็นอย่างดีก่อนที่ระดับออกซิเจนในน้ำเริ่มลดลง

    ถวาย"ในหลวง"-สคส.ยักษ์ยาว9เมตร

    ปณ.จัดทำ จากงาน เอ็มไอซีที



    ไปรษณีย์ไทยทูลเกล้าฯถวาย "ส.ค.ส.ยักษ์" ยาว 9 เมตร สูง 2.05 เมตร แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ด้านหน้ามีพระบรมฉายาลักษณ์ ฉลองพระองค์ในชุดต่างๆ ส่วนด้านหลังเป็นข้อความที่ประชาชนร่วมส่งผ่านความสุขถวายพระพรปีใหม่ ในงาน "เชียง ใหม่ MICT สร้างคน สร้างชาติ" ขณะที่ตลอดทั้งวัน เหล่าพสกนิกรยังหลั่งไหลร.พ.ศิริราช ไม่ขาดสาย ลงนามถวายพระพรให้ทรงมีพระพลานามัยแข็งแรงสมบูรณ์

    เมื่อวันที่ 11 ม.ค. ที่ศาลาศิริราช 100 ปี ร.พ.ศิริราช ประชาชนจากทั่วทุกสารทิศยังคงเดินทางมาลงนามถวายพระพรพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ให้ทรงมีพระชนมายุยิ่งยืนนาน และมีพระพลานามัยแข็งแรงสมบูรณ์ เป็นมิ่งขวัญของพสกนิกรชาวไทยตลอดไป โดยในช่วงเช้ามี คณะนักเรียนเตรียมทหารรุ่น 1 นำเงินสด 35,500 บาท ทูลเกล้าฯถวาย, ประชาชนจาก จ.นครปฐม นำขนมข้าวเม่าทอด ไข่หงส์ ต้นมะลิ ว่าวจุฬา และสละลอยแก้ว มาทูลเกล้าฯ ถวาย และคุณยายเตียง ภุมรินทร์ อายุ 76 ปี จาก อ.สองพี่น้อง จ.สุพรรณบุรี นำปลาสลิดทอดสูตรโบราณ จำนวน 14 ตัว ที่แล่เอาก้างออกทั้งหมด มาทูลเกล้าฯถวาย
    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=right border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]
    ถวายพร - บริษัท ไปรษณีย์ไทย ทูลเกล้าฯ ถวายส.ค.ส.ขนาดใหญ่ พร้อมคำถวายพระพรของประชาชนหลายพันคนจากงาน"เชียงใหม่ MICT สร้างคน สร้างชาติ" และไปรษณียบัตรถวายพระพรของพสกนิกรชาวไทย เมื่อวันที่ 11 ม.ค.</TD></TR></TBODY></TABLE>

    ผู้สื่อข่าวรายงานต่อว่า นอกจากนี้ คณะผู้บริหารและพนักงานบริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด (ปณท) นำโดยนายศิวะ แสงมณี ประธานกรรม การบริษัทไปรษณีย์ไทยฯ และ นายออมสิน ชีวะพฤกษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ นำ ส.ค.ส. ขนาดใหญ่เป็นพิเศษ ความยาว 9 เมตร และ สูง 2.05 เมตร ด้านหน้ามีพระบรมฉายาลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฉลองพระองค์ในชุดต่างๆ ที่ทางบริษัทไปรษณีย์ไทยฯ จัดทำจำหน่ายเมื่อปีพ.ศ.2552 จำนวน 6 ภาพ ส่วนด้านหลังมีข้อความที่ประชาชนร่วมส่งผ่านความสุขถวายพระพรปีใหม่ แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในงาน "เชียงใหม่ MICT สร้างคน สร้างชาติ" ที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 24-27 ธ.ค.ที่ผ่านมา ที่ จ.เชียงใหม่ พร้อมกันนี้ยังรวบรวมไปรษณียบัตรถวายพระพรจากประชาชนทั่วภูมิภาคจำนวน 5,000 ฉบับ ที่ส่งมายังที่ทำการไปรษณีย์ และตู้ไปรษณีย์ทุกแห่งทั่วประเทศ ตั้งแต่เดือนต.ค.2552 ทูลเกล้าฯ ถวาย

    ด้านนายออมสินกล่าวว่า ส.ค.ส.ที่ปณท จัดทำขึ้นเป็นพิเศษนั้น ได้รับความสนใจจากประชาชนที่เข้าร่วมงานชียงใหม่ MICTฯ ในการเขียนข้อความถวายพระพรส่งความสุข แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจนเต็มทั้งแผ่น แสดงให้เห็นถึงความจงรักภักดีของเหล่าพสกนิกรต่อพระองค์ท่านได้เป็นอย่างดี

    ต่อมา ชมรมพิทักษ์จักรีวงศ์ โครงการพิทักษ์สถาบันพระมหากษัตริย์ กองทัพภาคที่ 1 โดยกรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ นำคณะนักเรียนจากโรงเรียนสามัคคีบำรุงวิทยา เขตดินแดง กทม. เข้าลงนามถวายพระพร ต่อด้วยคณะชมรมผู้สูงอายุ อ.ท่าเรือ และ อ.ภาชี จ.พระนครศรีอยุธยา, คณะศิษย์พระธรรมวิสุทธิมงคล หรือหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน แห่งวัดบ้านป่าบ้านตาด จ.อุดรธานี,

    รวมทั้งตัวแทนสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน 117 สถานีทั่วประเทศ นำโดย น.ส.มลฤดี ยมาภัย อดีตนางเอกละครชื่อดัง นำหนังสือหยดน้ำบนใบบัว ของหลวงตามหาบัว ทูลเกล้าฯ ถวาย, คณะกรรมการพัฒนาสตรี จาก 24 ตำบล อ.เมือง จ.นครราชสีมา, จาก อ.พิบูล มังสาหาร จ.อุบลราชธานี, และ คุณหญิงพันธุ์เครือ ยงใจยุทธ ภริยา พล.อ.ชวลิต ยงใจยทุธ อดีตนายกรัฐมนตรี นำกระเช้าถวายพระพรปีใหม่ บรรจุกะละแม และเครื่องดื่มบำรุงสุขภาพ ทูลเกล้าฯถวาย
     
  16. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    โชคดีที่ผมและน้องxorce ได้มีโอกาสไปเยี่ยมชมภายในอมตะคาสเซิ่ลอย่างใกล้ชิด รวมทั้งหัวหน้าวิศวกรของไทยโอบายาชิ ได้มาอธิบาย รายละเอียดของสเปคการก่อสร้างโดยรวมครับ

    เอาเป็นว่า เป็นการออกแบบโดยมีโจทย์ว่าให้อาคาร รองรับแรงแผ่นดินไหวที่ 7.2 ริกเตอร์ที่จุดศูนย์กลางได้

    ระดับความสูงรองรับหากระดับน้ำทะเลละลายเนื่องจาก น้ำแข็งขั้วโลกละลายหมดได้

    แต่สิ่งสำคัญที่ประกอบอยู่ในการก่อสร้างคือ แนวคิดเรื่องพุทธภูมิของคุณวิกรม ครับ

    ไม่ธรรมดา
     
  17. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    ภัยที่จะเจอต่อไปคือ เกิดความอดอยากยากแค้นด้านอาหารแน่นอนครับ จากการที่หลายพื้นที่ของโลกโดยเฉพาะประเทศใหญ่ๆ ประชากรหลักพันล้าน เกิดภัยธรรมชาติด้านภูมิอากาศ

    พื้นที่เพาะปลูกเสียหาย

    ดังนั้น หากเราตั้งสติ หวนกลับสู่เศรษฐกิจพอเพียง ดึงสมดุลของสังคมกสิกรรมธรรมชาติกลับคืนมา ยังพอเป็นทางรอดให้แผ่นดินไทยและยังช่วยเหลือชาวโลกได้อีกไม่น้อย
     
  18. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    เหนือ-อีสานหนาวอีกระลอก แพทย์ย้ำดูแลสุขภาพ

    [​IMG]

    ภูมิภาค 12 ม.ค.- สสจ.พิษณุโลกห่วงสุขภาพประชาชนรับผลกระทบจากความหนาวเย็นกลับมาอีกระลอก เตือนกลุ่มเสี่ยงเด็ก-ผู้สูงอายุดูแลร่างกายไว้เป็นพิเศษ ด้านสถานีอุตุฯ เลยระบุเป็นอิทธิพลของมวลอากาศเย็นจากจีนแผ่ปกคลุม ล่าสุดอุณหภูมิอยู่ที่ 12-15 องศาฯ

    นพ.วุฒิไกร ศักดิ์สุรกานต์ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดพิษณุโลก ย้ำเตือนประชาชนดูแลสุขภาพอย่างต่อเนื่อง เพราะช่วงนี้อากาศกลับมาหนาวเย็นอีกระลอก โดยเฉพาะพื้นที่เขาสูงอุณหภูมิหนาวกว่าพื้นราบ อาจส่งผลกระทบต่อผู้มีภูมิต้านทานน้อย เช่น เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ และผู้ป่วยโรคภูมิแพ้

    จากรายงานสภาพอากาศของสถานีอุตุนิยมวิทยาจังหวัดแจ้งว่าอุณหภูมิตอนเช้าวันนี้ (12 ม.ค.) อยู่ที่ 10 – 15 องศาเซลเซียส ชาวบ้านในพื้นที่หมู่ 10 บ้านร่องกล้า ต.เนินเพิ่ม อ.นครไทย กว่า 200 ครอบครัว ส่วนใหญ่เป็นชาวไทยภูเขาเผ่าม้งต้องก่อไฟผิงคลายความหนาวเย็น และรอบหมู่บ้านปกคลุมไปด้วยหมอก สำหรับผู้ภูมิคุ้มกันอ่อนแอกว่าคนปกติ ที่สำคัญควรนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำมาก ๆ หากมีอาการตัวร้อน เป็นไข้ ควรรีบพบแพทย์ทันที

    นายคำพัน บุตรราช ผู้อำนวยการสถานีอุตุนิยมวิทยาจังหวัดเลย รายงานว่า สภาพอากาศทั่วไปเวลา 04.00 น. วันนี้ ความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังแรงจากประเทศจีนแผ่ลงมาปกคลุมถึงประเทศเวียดนามตอนบน ทะเลจีน และภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนของประเทศไทยแล้ว ลักษณะเช่นนี้จะทำให้ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีอากาศหนาวเย็นลง โดยอุณหภูมิจะลดลง 3-5 องศาฯ กับมีลมแรงและมีฝนบางพื้นที่ เนื่องจากระยะนี้มีอากาศหนาวเย็นลงและจะมีลมแรง ขอให้ประชาชนรักษาสุขภาพให้อบอุ่นอยู่เสมอ โดยอุณหภูมิทั่วไปอยู่ที่ 12-15 องศาฯ ยอดภูต่ำสุดที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูหลวง 9.5 องศาฯ.-สำนักข่าวไทย

    2010-01-12 10:58:18

    กลุ่มเสี่ยงลำปางรับวัคซีนหวัด 2009 ส่วนใหญ่เป็นแพทย์-พยาบาล

    [​IMG]

    ลำปาง 11 ม.ค.- นพ.ศิริชัย ภัทรนุธาพร นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดลำปาง เปิดเผยว่า วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ที่องค์การเภสัชกรรม กระทรวงสาธารณสุข กระจายวัคซีนไปยังโรงพยาบาลทุกแห่งทั่วประเทศ ซึ่งจังหวัดลำปางได้รับรอบแรก 20% และนำออกมาฉีดในวันนี้ให้กับกลุ่มเสี่ยงที่ต้องฉีดวัคซีนทั้ง 5 กลุ่มเป้าหมาย จำนวน 18,110 ราย

    โดยผู้รับวัคซีนวันนี้ส่วนใหญ่เป็นแพทย์-พยาบาล รวมถึงเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องในการรักษาโรคของโรงพยาบาลศูนย์ลำปางและโรงพยาบาลประจำอำเภอทั้ง 12 แห่ง หลังจากรับวัคซีนไปแล้วจะต้องติดตามว่ามีอาการแพ้หรือไม่ หากมีอาการคันผิวหนัง มีผื่น และบวมรอบๆ ตำแหน่งที่ฉีด รวมถึงการหายใจลำบาก ทางแพทย์จะรีบนำตัวเข้ามาเฝ้าระวังอาการและให้การรักษาตามขั้นตอน สำหรับวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 นั้น องค์การเภสัชกรรมจะส่งวัคซีนมายังจังหวัดลำปางจนครบ และจะทยอยฉีดตามกลุ่มเป้าหมายให้แล้วเสร็จภายในเดือนมกราคมนี้.-สำนักข่าวไทย

    2010-01-11 18:26:02

    ชาวเชียงใหม่เมินฉีดวัคซีนป้องกันหวัด 2009

    [​IMG]

    เชียงใหม่ 11 ม.ค. - ชาวเชียงใหม่ไม่สนใจฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 เพราะเกรงผลข้างเคียง ขณะที่ในพื้นที่มีผู้เสียชีวิตจากโรคนี้แล้ว 6 คน

    วันแรกของการฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ที่ จ.เชียงใหม่ ปรากฏว่า มีกลุ่มเสี่ยงมารับการฉีดน้อยมากไม่ถึง 20 คน ทั้งหมดเป็นแพทย์และพยาบาล ทั้งนี้ เป็นเพราะส่วนใหญ่กลัวผลข้างเคียงที่จะเกิดขึ้น แต่จากที่มารับการฉีดวัคซีนในวันนี้ (11 ม.ค.) ยังไม่พบผู้มีอาการแพ้หรือผิดปกติแต่อย่างใด

    สำหรับตัวเลขผู้ป่วยในพื้นที่ จ.เชียงใหม่ พบว่ายังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เฉลี่ยวันละ 8-10 คน โดยเฉพาะในหมู่บ้านปง อ.หางดง ล้มป่วยเกือบทั้งหมู่บ้าน เนื่องจากมีนักท่องเที่ยวนำเชื้อไปแพร่ ขณะที่ยอดผู้เสียชีวิตสะสมมีทั้งหมด 6 คน ล่าสุดเป็นเด็กชายวัย 6 ขวบ. - สำนักข่าวไทย

    2010-01-11 16:15:48

    ทหารยึดยาบ้า 4 หมื่นเม็ดลำเลียงผ่านชายแดนพม่าเข้าไทย

    [​IMG]

    แม่ฮ่องสอน 11 ม.ค. - นายกำธร ถาวรสถิต ผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอน พร้อม พ.อ.อุทัย ชัยชนะ ผบ.หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารราบที่ 7 แถลงข่าวการตรวจยึดยาบ้าล็อตใหญ่หลังทหารชุดปฏิบัติการกองร้อยลาดตระเวนระยะไกล กองกำลังนเรศวร ปะทะกับกลุ่มขบวนการค้ายาเสพติดขณะลำเลียงยาบ้าข้ามเขตชายแดนไทย-พม่า เข้ามาที่บ้านหัวลาง ต.ถ้ำลอด อ.ปางมะผ้า เมื่อเย็นวานนี้ หลังปะทะกันนานประมาณ 5 นาที กลุ่มค้ายาเสพติดที่มากัน 3 คน ได้ล่าถอยเข้าไปในเขตพม่า

    จากการเคลียร์พื้นที่จุดปะทะ พบเป้สีดำ 1 ใบ ตกอยู่ในที่เกิดเหตุ ภายในมียาบ้าสีส้ม มีตัวอักษร wy จำนวน 20 มัด ประมาณ 40,000 เม็ด และยังพบกองเลือดของฝ่ายตรงข้ามเป็นทางยาวเข้าไปในเขตพม่า เจ้าหน้าที่จึงตรวจยึดยาบ้าดังกล่าวมายังหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารราบที่ 7 แม่ฮ่องสอน ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่คาดว่ากลุ่มขบวนการลำเลียงยาเสพติดดังกล่าวน่าจะเป็นทหารว้า เนื่องจากการแต่งกายคล้ายชุดทหารว้า. -สำนักข่าวไทย

    2010-01-11 14:06:11

    ส.ว. ติดตามแก้ปัญหาคลื่นกัดเซาะชายฝั่งที่สงขลา

    [​IMG]

    สงขลา 11 ม.ค.-เมื่อเวลา 09.40 น. วันนี้ ที่ริมชายหาดบ้านสวนกง ต.นาทับ อ.จะนะ จ.สงขลา คณะกรรมาธิการ (กมธ.) ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม วุฒิสภา นำโดยนายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย ประธาน กมธ.ฯ พร้อมตัวแทนจากกรมทรัพยากรธรณีวิทยา เดินทางลงพื้นที่ติดตามปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทะเล โดยมีชาวบ้านในพื้นที่กว่า 100 คน รอให้ข้อมูล พร้อมนำเสนอปัญหาและภูมิปัญญาชาวบ้านในการแก้ปัญหา

    ทั้งนี้ นายสุรชัย ระบุว่า ได้ลงพื้นที่เพื่อติดตามปัญหานี้เป็นเวลา 2 วัน โดยมาดูสภาพชายหาดที่สมบูรณ์ที่บ้านสวนกง และติดตามสภาพชายหาดที่ได้รับความเสียหายทั้งที่ ต.นาทับ อ.จะนะ และ ต.เกาะแต้ว อ.เมือง จ.สงขลา เพื่อนำข้อสรุปที่ได้จัดทำเป็นรายงานการศึกษานำเสนอไปยังส่วนราชการที่เกี่ยวข้องและรัฐบาล เพื่อแก้ปัญหาระยะยาวอย่างเร่งด่วน เนื่องจากปัจจุบันพื้นที่ริมชายหาดที่มีระยะทางยาวกว่า 3,000 กิโลเมตร ต่างได้รับความเสียหาย ในขณะที่หลายหน่วยงานได้จัดทำเขื่อนกันคลื่น เขื่อนกันทราย แนวหินทิ้งและวางกระสอบทรายริมชายหาด ซึ่งต้องศึกษาว่าสิ่งที่ทำไปแล้วได้ผลอย่างไรหรือไม่ และจะทำอย่างไรเพื่อรักษาชายหาดที่สวยงามเอาไว้อย่างยั่งยืน.-สำนักข่าวไทย

    2010-01-11 10:44:15

    ตากเตรียมสร้างฝายใต้ทรายทุกหมู่บ้านแล้งรุนแรงเก็บกักน้ำใช้หน้าแล้ง

    [​IMG]

    ตาก 12 ม.ค. - นายสามารถ ลอยฟ้า ผู้ว่าราชการจังหวัดตาก นายพัลลภ ศรีภา นายอำเภอเมืองตาก พร้อมคณะ เดินทางดูการก่อสร้างฝายใต้ทราย และศึกษาผลสัมฤทธิ์หลังจากที่มีก่อสร้างฝายใต้ทรายแล้ว ยังประโยชน์กับการปลูกพืชสวนองุ่น และไร่ปลูกพริก ในเขต ต.ป่ามะม่วง และ ต.แม่ท้อ อ.เมือง จ.ตาก มีน้ำใช้เพื่อการเกษตร ใช้ได้ตลอดปี พร้อมกล่าวว่า การสร้างฝายใต้ดินถือว่าเป็นภูมิปัญญาของชาวบ้านในเขต อ.เมืองตาก จ.ตาก ที่สร้างฝายด้วยแกนดินเหนียว เป็นแกนกลางกั้นน้ำใต้ดิน ขณะที่พื้นที่ใต้ดินเป็นหินแกรนิตที่น้ำไม่สามารถซึมลึกไหลลงดิน เมื่อก่อสร้างฝายใต้ทราย และมีการกั้นกระสอบถุงปุ๋ย และใช้หินเรียงอยู่ด้านบน จะสามารถเก็บกักน้ำไว้ใช้ได้ตลอดปีได้

    ทั้งนี้ ในงบประมาณปี 2553 จะขยายให้ครอบคลุมครบ 10 ตำบลในเขต อ.เมืองตาก และขยายไปในพื้นที่ 4 อำเภอโซนตะวันออกของตาก ประกอบด้วย อำเภอเมือง บ้านตาก วังเจ้า และสามเงา ให้ครบทุกหมู่บ้านในพื้นที่แล้งรุนแรงซ้ำซาก ใช้งบประมาณก่อสร้างแห่งละ 30,000-100,000 บาท ซึ่งดีกว่าการสร้างฝายโครงสร้างเสริมเหล็ก (คสล.) และฝายถุงปุ๋ย ฝายแม้ว ที่ใช้งานได้เพียงหน้าฤดูฝนในแต่ละปีเท่านั้น.-สำนักข่าวไทย

    2010-01-12 17:56:50

    ที่มา http://news.mcot.net/local/
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  19. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    สงครามและมันเพิม
    โดย มนตรา เลี่ยวเส็ง

    [​IMG]

    ลูกกลมๆ สีดำที่วางอยู่บนโต๊ะหลายวันมาแล้วดูเป็นสิ่งใหม่สำหรับยายนักหนา ลองหยิบขึ้นมาบีบก็แล้ว ดมดูก็แล้ว ก็ยังมืดแปดด้านไม่รู้ว่าไอ้ลูกดำๆ แข็งๆ สากๆ นี้คืออะไรหนอ อีกหลายวันถัดมา ยายจึงรู้ว่ามันคือ “บีทรูท” ผลไม้นำเข้าที่กำลังเป็นที่นิยมโดยเฉพาะในหมู่ของผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก ยายก็รู้แค่นั้นว่าเป็นของ “ฝรั่ง” รู้อีกหน่อยว่าราคาคงแพงน่าดู แต่ของพวกนี้ไม่มีทางได้กินเงินยายหรอก ยายให้เหตุผลว่าแค่กินตามที่อีพออีแมเฮาเคยกินกันมาก็แทบจะกินไม่ทันอยู่แล้ว! ยายตั้งใจจะเอาเจ้าบีทรูทไปเก็บไว้ในตู้เย็น แต่พอพลิกมันขึ้นจนเห็นไส้ในสีชมพูแปร๋นแหลนเท่านั้นแหละ ยายถึงกับร้องเสียงหลงซ้ำไปซ้ำมาว่า “มันเพิมๆ” ราวกับว่าได้เจอคนรู้จักอีกครั้งหลังจากที่ต้องจากกันมานานถึงหกสิบกว่าปี

    คนอีสานรู้จักมันแทบทุกชนิด เผือกมันตามป่าตามดงถือเป็นมรดกทางอาหารที่บรรพบุรุษทิ้งไว้ให้ ต้นไม้ใบหญ้าต้องทับถมไม่รู้กี่ร้อยกี่พันปีกว่าจะเกิดเป็นป่าที่มีของป่าไว้ให้ลูกหลานได้กิน ยายจึงสำนึกถึงบุญคุณของป่าและบรรพบุรุษยิ่งนัก

    ดูเหมือนมันของยายนั้นมีอยู่ร้อยกับแปดอย่าง แต่ที่ชื่นชอบเป็นพิเศษคือ “มันนก” ยายเล่าว่ามันนกมีหัวยาวเป็นศอกเป็นแขน มีหนวดสีน้ำตาลขึ้นอยู่เต็มตามหัว ไปหาเถอะตามที่ที่เป็นดินทราย รับรองไม่ผิดหวัง ยายย้ำนักย้ำหนาว่าเวลาเก็บมัน ให้หักเอาแต่หัวแล้วนำจุกเล็กๆ ที่ติดมากับหัวไปฝังไว้ที่เดิม จะได้มีกินในปีต่อๆ ไป มันนกนี้คนอีสานชอบเอาไปนึ่งหรือต้มกิน ถ้าวันไหนพอมีเวลาหน่อยก็จะลงทุนปอกแล้วต้มกับกะทิไว้กิน
    [​IMG]

    เวลาไปหามันนกก็ต้องเก็บ “มันน้ำ” ที่อยู่ติดๆ กันมาด้วย มันน้ำมีสีน้ำตาล หัวใหญ่กว่าและหวานกว่ามันนก คนส่วนใหญ่จึงชอบกินกันเปล่าๆ อ้อ แล้วเวลาไปหามัน ก็อย่าเก็บจนเต็มกะตา (ตะกร้าสานด้วยไม้ไผ่) ล่ะ เผื่อที่ไว้ให้ “มันแซง” เวลาเดินผ่านดงป่าทามด้วย มันชนิดนี้ชอบแซงต้นไม้ในป่าขึ้นมา เลยตั้งชื่อให้เจ็บใจเล่นว่า “มัน (ชอบ) แซง” มันแซงมีทั้งเถาเล็กเถาใหญ่ พอถึงหน้าแล้งจะทิ้งซากไว้ตามต้นไม้ ใบร่วงหมดเห็นแต่เถา คนหาไม่เป็นรับรองไม่ได้กินเพราะนึกว่ามันตายแล้ว มันแซงคล้ายกับมันมือเสือแต่อร่อยกว่ามากนัก มีรสหวาน นำมานึ่งเสียให้ดีแล้วปอกเปลือกออก กัดกินกับข้าวเหนียวร้อนๆ ก็แซ่บหลายแล้ว

    เรื่องของมันยังไม่จบเพียงเท่านี้ ยายเล่าว่ายังมี “มันอิอ้อน” หัวสั้นและกลมเท่ากำปั้นที่คนอีสานนิยมนำมาต้มกิน แต่ถ้าจะกินให้ได้บรรยากาศฝนตกพรำๆ ต้องกิน “มันสาคู” เพราะพอถึงหน้าฝนทีไร คนอีสานจะต้องลงเผือกลงมันสาคูไว้ ยายชอบกลิ่นหอมของฝนเพราะนำกลิ่นของมันสาคูติดมาด้วยทุกครั้ง ไม่ว่าอยู่ที่ไหนเป็นต้องได้กลิ่น ใบมันสาคูสีเขียวแต่หัวกลับมีสีขาว ยาวแค่ฝ่ามือ

    [​IMG]

    มันพวกนี้คนสมัยใหม่ไม่มีใครรู้จักแล้ว ยายเคยลองถามคนอีสานด้วยกันไม่รู้กี่คนต่อกี่คน ต่างก็ได้แต่ส่ายหัวว่าไม่รู้จัก ดูเหมือนคนสมัยนี้จะรู้จักแต่ “มันสำปะหลัง” หรือมัน 5 นาที เพราะใช้เวลาต้มเพียง 5 นาทีก็สุก เร็วทันใจสมชื่อ สมสมัยเสียจริง หรือไม่ก็ “มันแกว” (คนอีสานเรียกมันแกวตะเภา) และ “มันเทศ” (คนอีสานเรียกว่ามันแกว) เท่านั้น ยายได้แต่แปลกใจว่าความหลากหลายของพืชพันธุ์ธัญญาหารมันหายไปไหนหมด และมันเพิมที่ยายเคยกินมาแต่อ้อนแต่ออกนั้น มันกลายเป็นของฝรั่งไปได้อย่างไรกัน

    [​IMG]

    มันเพิม” มีชื่อเล่นกับเขาเหมือนกันว่า “มันเลือดนก” คนอีสานนิยมปลูกไว้ตามบ้าน พออากาศเย็นเข้าหน่อยอย่างเดือนสิบสองต่อเดือนอ้ายถึงเดือนยี่ หัวมันจะโผล่ดินขึ้นมาชูหน้าสลอน คนไม่รู้หลงนึกว่าหัวเล็กๆ ที่ไหนได้ต้องขุดจนเป็นหลุมเบ้อเริ่มจึงจะถอนหัวมันออกมาได้ ก็มันหัวหนึ่งหนักเป็นสิบกิโล กินอย่างไรก็ไม่หมด เลยต้องนำไปแบ่งให้ชาวบ้านช่วยกินด้วย มันเพิมยังแตกออกตามข้อบนเถาที่พันกันอยู่ตามต้นไม้ ภาษาทางการของคนอีสานเรียกส่วนที่แตกออกมานี้ว่า “หำ” พอเถาแห้งก็เก็บหำที่ติดอยู่มาต้มหรือนึ่งกิน บ้านที่มีลูกเยอะจะชอบมันเพิมนักหนา ก็กินได้ทั้งหัวทั้งหำเลยนี่นา

    ยายเล่าอย่างภูมิใจว่าที่อีสานมีความมั่นคงทางอาหารสูง ขนาดเกิดสงครามขึ้น ชาวอีสานก็ไม่อดอยากเพราะอาหารการกินมีอยู่อย่างอุดมสมบูรณ์ ยายเล่าว่าไม่ว่าจะหันหน้าไปทางไหนก็มีแต่อาหารสารพัดนึก ทั้งป่าเห็ดอีตุ๊ (หรือเห็ดส้ม) ป่าเห็ดละโงก ป่าเห็ดเผิง (เห็ดผึ้ง) ป่ามัน ป่าหน่อไม้ ป่าหัวลิงและอีกสารพัดป่ารอบตัว ปัญหาใหญ่จริงๆ ในช่วงสงครามจึงไม่ใช่อาหารแต่กลับเป็นด้ายเย็บเสื้อผ้า แต่ก็มีพวกหัวใสบางคนนำเชือกกาบกล้วยมาเย็บแทนด้าย วิธีการคือนำกาบกล้วยมาฉีกเอาแต่เส้นใยมาใช้ บางคนก็ขูดใยจากใบสับปะรดมาใช้แทนด้ายเย็บผ้าก็มี

    สงครามครั้งที่หนักที่สุดคือสงครามโลกครั้งที่สอง ยายจำได้ว่ามีลางบอกเหตุมากมายในช่วงนั้น เรื่องที่ดูจะเป็นที่สนอกสนใจของผู้คนคือเรื่องที่มีกบเขียดและแมลงต่างๆ พากันขึ้นไปตายที่ต้นหนามแท่งแถววัดใต้เป็นร้อยเป็นพันตัว ตายทับกันคากิ่งคาต้นอยู่อย่างนั้น คนดูแล้วก็สงสัยว่ามันขึ้นไปตายบนพุ่มไม้ขนาด 4-5 คนโอบที่สูงท่วมหัวได้อย่างไรกันหนอ หรือจะเป็นอาเพศของบ้านเมืองที่ดูแล้วชวนขนพองสยองเกล้าเสียจริง มีอีกครั้งที่ยายต้องไปตามนักเรียนกลับมานั่งเรียนเพราะพากันไปเบิ่งดูอีแฮ้ง (นกแร้ง) หัวแดงเป็น 20-30 ตัวที่กำลังรุมกินหมาเน่าที่ทุ่งก่อนจะเข้าวัดใต้ นักเรียนไม่เคยเห็นอีแฮ้งใกล้ๆ เห็นแต่บินอยู่บนฟ้าสูงๆ โพ่น ลางบอกเหตุอีกเรื่องคือต้นตาลเจ็ดยอดที่ขึ้นอยู่ที่วัดมหาธาตุกลางเมือง ผู้คนได้แต่พากันวิจารณ์ไปต่างๆ นานาโดยไม่คิดเลยว่าจะเกิดสงครามและยืดเยื้อยาวนานถึง 4 ปี (2484-2488) ตั้งแต่สงครามอินโดจีนจนถึงสงครามญี่ปุ่น

    จะว่าไปแล้ว คนอีสานไม่ค่อยรู้เรื่องสงครามมากนัก ยายก็รู้จากผู้ใหญ่บ้านที่ไปรับข่าวมาจากกำนันเมื่อตอนเข้าไปประชุมที่ตัวอำเภออีกต่อหนึ่ง ยายรู้ว่าญี่ปุ่นกำลังรบอยู่กับอังกฤษและอเมริกา ต่อมาสงครามขยายตัวกว้างขึ้นจนลุกลามมาถึงไทยโดยญี่ปุ่นมาขึ้นบกที่อ่าวมะนาวที่ประจวบฯ การปะทะกันครั้งนั้นทำให้มีคนตายมากมายทีเดียว ข่าวที่ได้ยินตามมาคือเรื่องการเกณฑ์เชลยสงครามมาสร้างทางรถไฟเพื่อข้ามไปพม่าที่เมืองกาญจน์ ข่าวเขาลือกันว่าหมอนรถไฟอันหนึ่งจะต้องมีคนตายคนหนึ่ง ยายมาได้ยินข่าวลืออีกครั้งตอนสงครามใกล้จบแล้วว่าเพราะระเบิดลูกเดียวทำให้คนญี่ปุ่นหูหนวกทั้งประเทศ ญี่ปุ่นจึงต้องประกาศยอมแพ้โดยดุษฎี (แต่ถ้าพูดกับคนอีสาน ต้องพูดให้ถูกเพราะแพ้ในภาษาอีสานแปลว่าชนะ)

    ยายเล่าว่าสิ่งที่น่ากลัวในช่วงสงครามอยู่ที่เรือบินทิ้งระเบิดซึ่งมักบินมาในตอนกลางคืนจนชาวบ้านไม่เป็นอันหลับอันนอน แค่ได้ยินเสียงดังหึ่งๆ ยาวๆ มาแต่ไกลก็ตัวสั่นแล้ว พอมืดลงทุกคนต้องคอยเงี่ยหูฟังเสียงเกราะสัญญาณเตือนภัยให้ดี ยายชมว่าเกราะของอีสานนั้นเสียงดัง ตีครั้งหนึ่งได้ยินกันทั้งหมู่บ้าน ตัวเกราะทำจากไม้ไผ่บ้าน ต้นหนึ่งใหญ่เท่าโคนขาและยาวเป็นแขน

    [​IMG]

    พอกำนันและผู้ใหญ่บ้านตีเกราะเท่านั้น ผู้คนจะพากันวิ่งตาลีตาลานจนตาเหลือกลงบันไดบ้านไปยังหลุมหลบภัยที่แต่ละบ้านได้เตรียมไว้โดยทำเป็นอุโมงค์ลึกแค่มิดหัว ปากหลุมต้องไม่กว้างมากนักประมาณ 3 ฟุต หลุมของบ้านยายนั้นใหญ่ขนาดแค่ 4 คนนั่ง ลำบากหน่อยก็ตอนต้องพาลูกที่อยู่ในท้องลงหลุมด้วยนี่แหละ ยายจำต้องยอมลงหลุมเป็นคนสุดท้ายเพราะใช้เวลานานกว่าเพื่อนเนื่องจากติดท้อง ต้องค่อยๆ ดึงด้านโน้นทีด้านนี้ที การเคลื่อนไหวต้องเป็นไปอย่าง “มิดจี่หรี่คือป่าซ้า” (เงียบฉี่เหมือนป่าช้า) ท่ามกลางความมืดมิดของค่ำคืนสมัยที่ยังไม่มีไฟฟ้าไว้ใช้ ช่วงหลังๆ แม้แต่น้ำมันก๊าดที่ใช้จุดตะเกียงกระป๋องก็แทบจะไม่มี ต้องนำน้ำมันมะพร้าวหรือขี้ไต้มาใช้แทน

    การหลบภัยแต่ละครั้งใช้เวลานานเป็นชั่วโมง ต้องนั่งเห็ดจ้อค่อ (นั่งยองๆ) พนมมือกันจนมือชาขาแข็ง ภายในก็แสนจะอึดอัดคับแคบหายใจแทบไม่ออก ลงหลุมแล้วก็ไม่ได้พูดได้คุยกัน ทำได้แค่นั่งสวดมนต์เงียบๆ บทสวดมนต์ถือเป็นยาแก้กลัวที่สำคัญโดยขอให้พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์คุ้มครอง ขอพระแก้วมรกต พระเจ้าใหญ่ เจ้าพ่อหลักเมือง ขอเลยไปถึงเจ้าที่เจ้าทาง ผีบ้านผีเรือน เจ้ากรรมนายเวร ปู่ย่าตายาย พ่อใหญ่แม่ใหญ่ ขอแม้กระทั่งญาติๆ ที่ล่วงลับไปแล้วให้มาปกปักรักษา แล้วจบท้ายด้วยคำพูดที่ว่า “ผู้ข่าบ่เอาเด้อลูกระเบิด เอาไปทิ่มบ่อนอื่น อย่ามาทิ้งบ่อนนี้เด้อ ไปทิ้งแม่น้ำทะเลพู่นเด้อ” ฟังแล้วก็สงสัยว่าคนอีสานสมัยนั้นรู้จักทะเลแล้วเหรอ ยายตอบว่าไม่รู้หรอกว่าหน้าตามันเป็นอย่างไร เห็นเขาพูดก็พูดตามเขาไปอย่างนั้นเอง ยายต้องทนนั่งอยู่อย่างนั้นจนกว่าจะได้ยินเสียงตีเกราะอีกครั้งจึงพากันออกมาจากหลุม โชคดีหน่อยที่อีสานไม่มีฝน แต่ฝนก็ยังดีกว่างู บางคนถูกงูที่แอบลงไปอยู่ในหลุมหลบภัยกัดตายคาที่ก็มี

    ถ้าเครื่องบินมาแบบปัจจุบันทันด่วน กลับบ้านไม่ทัน หลวงก็เตือนให้วิ่งไปที่หลุมหลบภัยสาธารณะที่หลวงขุดไว้ตามจุดต่างๆ หลายที่ หลุมหลบภัยของหลวงนั้นจะขุดเป็นร่องยาวกว้าง 1 เมตร ยาว 10 เมตรและลึกแค่ 1 เมตร ส่วนผู้ที่อยู่ในท้องนาก็ให้นอนราบใช้คันนาบังไว้ ยายบอกว่าคันนาบ้านยายนั้นทั้งใหญ่ทั้งกลมจนสามารถขี่ควยบักตู้ (ควายเขาทู่) กินหญ้าร้องเพลงบนคันนาได้อย่างสบายใจ

    จวบจนสงครามยุติก็ยังไม่ปรากฏว่าเครื่องบินฝรั่งเคยทิ้งระเบิดลงที่ใดเลย ยายเข้าใจว่าคงหาจุดทิ้งไม่เจอเพราะมืดมิดไปหมด ที่มืดเพราะผู้คนช่วยกันพรางไฟตามที่ผู้ใหญ่บ้านขอร้อง โดยการนำเขม่าก้นหม้อดินที่ขูดออกมาไปผสมกับน้ำมันยางใช้ทาหลังคาสังกะสีหรือกระเบื้องเพื่อพรางไม่ให้รู้ว่าเป็นบ้านคน ในช่วงกลางคืนก็ห้ามดูดยา (ใบตองมวนยาสูบ) หรือสูบซิกาแร็ต (บุหรี่) ห้ามแม้แต่จะไต้ขี้กระบอง (จุดขี้ไต้) โดยเด็ดขาด ยายมีประสบการณ์ในการขึ้น-ลงหลุมอยู่นานถึง 4 ปีและเบื่อหน่ายจนเป็นตาหนาย (เบื่อเต็มทน) บ่อยากพบอยากเจอสงครามอีกเลย พอมาได้ยินปัญหาเรื่องเขาพระวิหารและมีนักการเมืองบางคนพูดไปถึงเรื่องของสงคราม ก็ได้แต่นึกว่าคนพูดนั้นรู้จักรสชาติของสงครามที่แท้จริงแล้วหรือไม่

    ยายจำได้ว่า 4 ปีที่อยู่ในช่วงสงครามนั้น งานเฉลิมฉลองจำต้องงดหมด ทำได้เพียงค้ำปิ่นโตส่งจังหัน (ถวายอาหารให้พระในตอนเช้า) หรือส่งเพล ส่วนคนเฒ่าคนแก่ที่เคยพากันไปถือศีลที่วัดในช่วงเข้าพรรษา วันโกน วันพระ ก็ต้องงดเพราะมีทหารม้า ม.พัน 7 หลายร้อยนายมาอาศัยอยู่เต็มศาลาวัดใต้ ยายรู้จักกันดีกับนายทหารม้า ทั้งพันตรีอ่อง ไชยมงคลและร้อยเอกศิริ ธนุกิจที่ชอบมากินข้าวที่บ้านปลัดฯ แต้ม คุณรัตน์ ซึ่งเป็นพี่เขย หรือไม่ก็มากินที่บ้านผู้ใหญ่บ้านและบ้านของยายซึ่งเป็นบ้านครู

    [​IMG]

    ประเพณีอีสานนั้นหากมีเจ้านายมา จะต้องจัดงานเลี้ยงต้อนรับให้อย่างดี โดยเลี้ยงอาหารที่มีทั้งไก่ต้มและเหล้ายาปลาปิ้ง (สุราเถื่อนขวดละ 5 สตางค์ หัวเหล้าแรงเหมือนแอลกอฮอล์) กินกันไม่อั้นและเลี้ยงกันทุกวัน ยายจะถือโอกาสพูดคุยซักถามเรื่องงานและแลกเปลี่ยนข่าวสารบ้านเมืองด้วย ส่วนทหารญี่ปุ่นนั้นอยู่ห่างออกไปราว 3 กิโล โดยอาศัยอาคารเรียนของโรงเรียนเทศบาล1 อยู่ ปกติจะต่างคนต่างอยู่ ว่ากันว่าคนญี่ปุ่นนั้นเวลา อาบน้ำจะไม่นุ่งผ้า เวลาเดินผ่านโรงเรียน จึงต้องรีบเดินและก้มหน้า ชาวบ้านแถวนั้นได้แต่บอกกันต่อๆ มาว่า “ยั่นหลาย” (กลัวมาก) ครั้นฝรั่งมาถึง กลับยิ่งน่ากลัวกว่าเพราะมีข่าวว่าฝรั่งชอบผู้หญิงที่แต่งงานแล้ว และขนาดตัวที่ต่างกันทำให้ข่าวความเจ็บปวดของเมียคนไทยกลายเป็นข่าวใหญ่ที่มีให้ได้ยินเป็นระยะ

    สงครามนำความเจ็บปวดมาให้ยายเมื่อตาถูกเรียกไปเข้าร่วมในสงครามอินโดจีนในปี พ.ศ. 2484 โดยต้องไปรายงานตัวที่บก. 9 จังหวัดอุบลราชธานีในตำแหน่งทหารสื่อสาร เพราะเมื่อสมัยหนุ่ม ตาเคยถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารสื่อสารสะพานแดงที่บางซื่อ อันที่จริง ตาก็เพิ่งจะลาออกจากตำรวจอินโดจีนได้ไม่กี่วัน และสามารถสอบเป็นทนายความประจำนครจำปาศักดิ์ได้ (รุ่นเดียวกับนายผาด อังกินันท์ ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นทนายชื่อดังของเมืองไทย) แต่ตาก็ไม่ได้รับการยกเว้น ยายจำได้ว่าได้ช่วยตาเตรียม กางเกงแพรหลายสี กางเกงปังลิงสีดำ เสื้อกุยเฮง เสื้อกล้ามและเสื้อคอกลมตราลูกไก่ไปไว้ใช้

    หลังจากที่ตาไปแล้ว ยายก็แทบไม่ได้ข่าวจากตาอีกเลยนอกจากจดหมายที่เขียนมาว่าตาไปประจำอยู่ที่อำเภองาว จังหวัดลำปางก่อนย้ายไปอยู่ที่บ้านจ้อง ลำปาง จากนั้นก็ไปอยู่ที่กว๊านพะเยา การติดต่อเป็นไปอย่างยากลำบากเพราะจดหมายที่ส่งมานั้นมิได้ระบุจุดที่ส่ง ต้องปิดเป็นความลับ ในจดหมายตาบอกแค่ว่าไม่ต้องห่วง สบายดี คิดถึงแต่เมียและลูก แล้วตาก็เงียบหายไปโดยก่อนที่จะขาดการติดต่อไปนั้น ตาเขียนมาบอกว่ากำลังอยู่ที่เชียงตุง ครั้งนั้นเองที่ยายได้รับของฝากเป็นเข็มขัดเงินหนักสิบบาทใส่กระป๋องผักดองจีจั๊กฉ่ายเป็นพัสดุภัณฑ์มาให้

    หลังจากตาเงียบหายไป ยายต้องทนกับแรงกดดันทางสังคมที่มีอยู่รอบด้านที่นับวันจะยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น เริ่มจากเพื่อนครูบางคนที่เดินทางไปอุบลฯ แล้วกลับมาลือว่ามีข่าวว่าตาตายแล้ว ทำให้ทุกคนเชื่อว่าตาตายแล้วจริงๆ หนำซ้ำพี่เขยยายยังคอยหาคู่ให้ยายโดยจะให้แต่งงานใหม่กับอัยการประจำจังหวัด แต่ยายนั้นลงได้รักใครแล้วเป็นรักมั่นจนตาย ยายจึงปฏิเสธไป ยายเชื่อว่าถ้าตาตาย ทางการจะต้องแจ้งข่าวให้ลูกเมียทราบ ดังนั้น ยายจึงไม่ยอมเชื่อข่าวโคมลอยใดๆ

    สมัยนั้นยังไม่มีผู้หญิงอีสานที่กล้าแต่งงานกับผู้ชายไทย ดังนั้น พอตาหายไป ชาวบ้านจึงพากันดูถูก บางครั้งถึงกับถุยน้ำลายใส่หน้าว่าคนบ้านเดียวกันไม่แต่ง อยากมีผัวไทย ก็เลยเป็นอย่างนี้ แต่หลังจาก 5 ปีผ่านไป ความเชื่อมั่นของยายก็เป็นจริงเมื่อตาเดินทางกลับมาบ้านหลังจากญี่ปุ่นประกาศยอมแพ้ได้ไม่นาน

    ยายเล่าว่าตาถือเป็นคนจีนที่หล่อเหลาเอาการคนหนึ่ง ผิวพรรณสะอาดสะอ้านเกลี้ยงเกลา แต่กลับมาเที่ยวนี้ มีแต่แผลเป็นเต็มตัวเพราะโดนทากกัดบ้าง โดนยุงกัดบ้าง ตาเล่าให้ยายฟังว่าสงครามทรมานมาก บางครั้งต้องนั่งเฝ้าศพเพื่อนๆ ที่ตายในสนามรบอยู่บนตอไม้ ไม่ให้หมาป่ามาแทะศพระหว่างรอเพื่อนคนอื่นๆ ตามมาสมทบ เวลานอนก็ต้องนอนบนแคร่ไม้ ก่อนนอนต้องเผาใบไม้เศษไม้ให้เป็นขี้เถ้าล้อมรอบแคร่เพื่อไม่ให้ทากเข้ามากัด แต่กระนั้นก็ยังไม่วายโดนกัดอยู่ดีตอนอยู่เวรยามและออกสำรวจ ส่วนเรื่องอาหารการกินก็ขาดแคลน ข้าวตังที่เตรียมไปบางครั้งหมดก่อนกำหนดกลับ ต้องทนอดข้าวอดน้ำนานถึง 3 วัน อาศัยน้ำจากบ่อน้ำนกที่อยู่ตามโพรงต้นไม้ซึ่งไม่ได้หาเจอได้ง่ายๆ กินกันตาย เวลากินต้องม้วนใบไม้ทำเป็นจอกตักน้ำ อีกสิ่งสำคัญที่ช่วยให้รอดมาได้ก็คือเผือกมันนี่เอง มิน่า ยายถึงชอบกินเผือกกินมันนักหนา

    พอลูกหลานพายายไปทานอาหารที่ร้านฝรั่งชื่อดังซึ่งมีสลัดบาร์ที่ขึ้นชื่อเพราะมีผักต่างๆ พร้อมกับน้ำสลัดและเครื่องปรุงรสอีกร่วมครึ่งร้อยรายการวางโดดเด่นบนโต๊ะกลางร้าน ยายหันไปเห็นมันเพิมที่หั่นใส่ชามกระเบื้องไว้อย่างดี ก็ยิ้มแต่ก็ยังไม่กล้ากินอยู่นั่นเองเพราะมันได้กลายเป็นอาหารต่างชาติสำหรับยายไปเสียแล้ว...

    <TABLE class=contentpaneopen><TBODY><TR><TD vAlign=top align=left width="70%" colSpan=2>โดย มนตรา เลี่ยวเส็ง </TD></TR><TR><TD class=createdate vAlign=top colSpan=2>Saturday, 01 November 2008 </TD></TR></TBODY></TABLE>

    ที่มา http://downtoearthsocsc.thaigov.net/index.php?option=com_content&task=view&id=17&Itemid=9
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • man1.jpg
      man1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      39.7 KB
      เปิดดู:
      5,900
    • man2.jpg
      man2.jpg
      ขนาดไฟล์:
      30.4 KB
      เปิดดู:
      2,257
    • man3.jpg
      man3.jpg
      ขนาดไฟล์:
      41.5 KB
      เปิดดู:
      2,090
    • man4.jpg
      man4.jpg
      ขนาดไฟล์:
      29.3 KB
      เปิดดู:
      1,829
    • man5.jpg
      man5.jpg
      ขนาดไฟล์:
      64.1 KB
      เปิดดู:
      2,644
    • man7.jpg
      man7.jpg
      ขนาดไฟล์:
      39.4 KB
      เปิดดู:
      1,735
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 มกราคม 2010
  20. Hillary

    Hillary เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    78
    ค่าพลัง:
    +338
    เอเอฟพี/ASTVผู้จัดการ - นครเมลเบิร์น เมืองของออสเตรเลีย เผชิญกับค่ำคืนที่ร้อนอบอ้าวที่สุดนับตั้งแต่ 1902 ด้วยอุณหภูมิสูงสุด 34 องศาเซลเซียส ตรงกันข้ามกับทวีปยุโรปที่ตกอยู่ท่ามกลางวงล้อมของหิมะ

    ประชาชนหลายล้านคนต่างพากันนอนไม่หลับและลุกขึ้นมารวมตัวกันตามร้านไอศครีม บ้างก็ออกมาเดินเล่นตามชายหาดและลงเล่นน้ำกลางดึกเพื่อดับร้อนในเมืองใหญ่ที่สุดอันดับ 2 ของออสเตรเลีย หลังจากอากาศอันร้อนตับแตกนี้ถูกซ้ำเติมด้วยปัญหาไฟดับในบางพื้นที่

    "มันน่าจะเป็นค่ำคืนที่ยากลำบากที่สุดนับตั้งแต่ผมย้ายมาอยู่ในออสเตรเลีย" แอดรูว์ เจฟเฟอร์สัน นักอุตุนิยมวิทยาจากบัลลารัต ทางตะวันตกของเมลเบิร์น ซึ่งอพยพมาจากอังกฤษ ตั้งแต่ปี 2001 กล่าว

    บ้านเรือนราษฎรหลายพันหลังต้องอยู่โดยปราศจากไฟฟ้า หลังสภาพอากาศร้อนจัดทำให้เกิดไฟฟ้าขัดข้อง ขณะที่ปัญหานี้ยังส่งผลต่อการจรจาจร โดยรถไฟหลายร้อยขบวนต้องยกเลิกในวันจันทร์(11) ก่อความเดือดดาลแก่นักเดินทางจำนวนมาก

    อากาศที่ร้อนระอุในเมลเบิร์น มีขึ้นท่ามกลางคลื่นความเย็นจากอาร์กติกเล่นงานหลายประเทศในยุโรป โดยเมืองเซบีญา ซึ่งตั้งอยู่ทางภาคใต้ของสเปน ซึ่งปกติแล้วในเดือนมกราคม อุณหภูมิจะอยู่ที่ราว 15 องศาเซลเซียส ทว่าเมื่อวันจันทร์(11) กลับต้องเผชิญกับหิมะตกเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 50 ปี

    ขณะเดียวกันเที่ยวบินมากกว่า 160 ไฟลต์ถูกยกเลิก ณ สนามบินมาดริด-บาราคัส ส่วนเพื่อนประเทศบ้านอย่างโปรตุเกส ต้องประสบกัญหาในการจัดการกับภาวะหิมะตกหนักซึ่งเป็นสาเหตุให้ถนนหลายหลักราว 50 สายต้องปิดห้ามสัญจรไปมา ทำให้ประชาชนจำนวนมากต้องค้างคืนอยู่ในยานพาหนะของตนเอง

    ณ สนามบินแฟร้งค์เฟิร์ต ท่าอากาศยานซึ่งคนพลุกพล่านที่สุดแห่งหนึ่งในยุโรป มีอันต้องยกเลิกเที่ยวบินกว่า 320 เที่ยวในช่วงสุดสัปดาห์ และเพิ่มเติมอีก 15 เที่ยวเมื่อวันจันทร์(11) ขณะที่เจ้าหน้าที่เตือนว่าผู้โดยสารอาจต้องเผชิญปัญหาเพิ่มเติม สืบเนื่องจากการจราจรทางอากาศคืนสู่ภาวะปกติอย่างอืดอาด

    ส่วนในอังกฤษ ท้องถนนที่ถูกปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งและหิมะที่ตกลงมาโปรยปรายก็ทำลายความพยายามที่นำการสัญจรคืนสู่ประเทศ ด้วยรถไฟยูโรสตาร์ที่แล่นระหว่างลอนดอน ปารีสและบรัสเซลล์ ต้องให้บริการอย่างจำกัดอีกครั้ง
    http://www.manager.co.th
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 มกราคม 2010

แชร์หน้านี้

Loading...