บทความให้กำลังใจ(ความเป็นมนุษย์ที่แท้ บนวิถีแห่งความรัก)

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย supatorn, 8 พฤษภาคม 2017.

  1. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,773
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,038
    นิพพานคือร่มใจ
    พระไพศาล วิสาโล
    พระพุทธเจ้าตรัสว่า “สุขอื่นยิ่งกว่าความสงบไม่มี” อาตมาคิดว่านี่แหละใช่เลย คนสมัยนี้ชอบแสวงหาความสุข แต่ไม่พบสักที เพราะไม่รู้จักความสุขที่แท้ รู้จักแต่ความสุขแบบหยาบ ๆ แต่ได้รับความสุขแบบนี้มากมายเพียงใด ๆ ก็ไม่รู้สึกพอใจหรือเต็มอิ่ม เพราะในส่วนลึกต้องการความสงบในจิตใจ ตราบใดที่ไม่พบความสงบเย็นในจิตใจ ก็จะไม่หยุดแสวงหา ดังนั้นเราจึงควรหันมาให้ความสำคัญกับความสงบทางใจ โดยเฉพาะความสงบที่เรียกว่านิพพาน อย่าลืมว่าแม้จะมีทรัพย์อื่นมากเท่าไรแต่เราก็ยังทุกข์ เช่น ลูกตาย คนรักตีจาก ถูกติวิพากษ์วิจารณ์ เพราะเรายังมีความยึดติดถือมั่นในตัวกูของกู ต่อเมื่อละความยึดติดถือมั่นในตัวตนได้นั่นแหละจึงจะได้พบความสุงบเย็นอันเป็นความสุขที่แท้ คือนิพพาน

    เป็นธรรมดาที่เมื่อพูดว่านิพพาน คนฟังอาจตกใจ เพราะรู้สึกว่าไกลตัว เป็นไปไม่ได้ และไม่ใช่สิ่งจำเป็น แต่พอพูดเรื่องความสุขสงบจากการปล่อยวาง หลายคนอาจจะฉุกคิดว่า “อืม... มันอยู่ในวิสัยที่สามารถจะทำได้นะ” ชีวิตเราสามารถเข้าถึงความสุขที่ไม่ขึ้นกับสิ่งภายนอก เราสุขใจได้แม้ภายนอกวุ่นวาย แม้ผู้คนรอบจะทำตัวไม่น่ารัก แม้กายเจ็บป่วย แม้การงานจะไม่ประสบความสำเร็จ...แต่เราก็สุขได้

    ชีวิตฆราวาสนั้นเหมือนชีวิตในที่โล่ง ต้องเผชิญกับฝนตก แดดร้อน พายุกระหน่ำ แต่เราไม่จำเป็นต้องเดือดร้อนเพราะความแปรปรวนเหล่านั้น ขอเพียงแต่เรามี “ร่ม” กันแดดกันฝน ฝนตกก็ไม่ต้อง แดดร้อนก็มิอาจแผดเผาได้ “ร่ม”ที่ว่าก็คือร่มแห่งธรรมซึ่งสามารถรักษาใจให้สงบเย็นและเป็นสุข ปลอดพ้นจากการรบกวนของสิ่งรอบตัว ทำให้อิสระจากสิ่งภายนอกได้ นั่นเองที่เรียกว่า “นิพพานชั่วขณะ” หรือ “นิพพานที่นี่และเดี๋ยวนี้”

    นิพพานชั่วขณะคือความสงบเย็นและเป็นอิสระ ที่สามารถเกิดขึ้นได้ในชีวิตเราตั้งแต่วินาทีนี้ โดยไม่ต้องรอนิพพานขั้นสมบูรณ์ที่เกิดจากการดับกิเลสสิ้นเชิง ชีวิตฆราวาสทีวุ่นวาย รุ่มร้อน เร่งรีบ... ก็สามารถสงบเย็นและเป็นอิสระ... สามารถสัมผัสนิพพานชั่วขณะได้

    นิพพานคือไม่... ไม่สุขและไม่ทุกข์ ไม่เกิดและไม่ดับ ฯลฯ

    นิพพานเป็นภาวะธรรมชาติชนิดหนึ่งที่แสดงตัวอยู่ตลอดเวลา นิพพานนั้นอยู่ต่อหน้าต่อตาเราแล้ว เพียงแต่ว่าเรามองไม่เห็นเอง เหมือนกับว่าอากาศมีอยู่รอบตัวเราแต่เรามองไม่เห็น แต่นิพพานเป็นยิ่งกว่าอากาศ เพราะนิพพานมีอยู่ทุกที่ทุกสภาวะ

    สภาวะของนิพพานนั้น พระพุทธเจ้าทรงนิยามด้วยคำว่า “ไม่” ซึ่งมีถึง ๓๐ “ไม่” ในพระไตรปิฎก ไม่นับอีก ๑๐ “ไม่”ในคัมภีร์รุ่นหลัง ๆ เช่น ไม่เกิด ไม่ตาย ไม่แก่ ไม่มีที่สุด ไม่มีใครสร้าง ไม่เคลื่อน ไม่ผุพัง ไม่เคยมีไม่เคยเป็น ไม่เศร้าหมอง ฯลฯ กล่าวคือเป็นภาวะที่ไม่ใช่อย่างที่เราเข้าใจ คนเรามักมองอะไรเป็นคู่ๆ(dualistic) เช่น สุข-ทุกข์ พบ-พราก ไป-มา ขาว-ดำ สั้น-ยาว ถ้าบอกว่านิพพานไม่ดำ คนก็จะคิดว่านิพพานคือขาว ถ้าบอกว่านิพพานไม่ต่ำ คนก็จะคิดว่านิพพานคือสูง ท่านจึงนิยามนิพพานด้วยคำว่าไม่ เช่น ไม่เกิด ไม่ตาย ฯลฯ จริงๆ แล้วภาวะดังกล่าวเป็นการพูดในเชิงสมมติสัจจะทั้งสิ้น ยกตัวอย่างเช่น สั้นกับยาว ทุกอย่างเป็นทั้งสั้นทั้งยาวในตัวเอง ดินสอยาวเมื่อเทียบกับเข็ม แต่สั้นเมื่อเทียบกับไม้เมตร เป็นต้น นี่คือสิ่งที่เป็นสมมติ สุข-ทุกข์ก็เป็นสมมติเช่นกัน แต่นิพพานเป็นภาวะพ้นจากสมมติทั้งปวง คือเป็นปรมัตถ์

    ในที่สุดท่านก็เลยอธิบายง่ายๆ ว่า นิพพานคือความสงบเย็น สงบเย็นเพราะเห็นแจ้งในความจริงว่าไม่มีอะไรที่น่ายึดถือได้เลย จึงปล่อยวาง ไม่มีความอยากหรือการปรุงแต่งอีกต่อไป ความจริงข้อนี้ทำให้เราหลุดจากความหลง หลุดจากกิเลสและเข้าถึงความสงบเย็นที่แท้จริง

    แต่เดิมคำว่า “นิพพาน” ในภาษาบาลีก็แปลว่า เย็น ท่านพุทธทาสอธิบายว่า เหล็กที่ร้อนแล้วเย็นลงก็เรียกว่าเหล็กนิพพาน ม้าที่พยศแล้วเชื่องลงก็เรียกว่าม้านิพพาน นิพพานเป็นภาษาที่ใช้กันในสมัยโบราณอยู่แล้ว ต่อมาพระพุทธเจ้านำมาใช้เพื่อชี้ให้เห็นถึงภาวะที่สงบเย็นในจิตใจ

    นิพพานชั่วขณะ ละวางตัวตน

    นิพพานคือภาวะสงบเย็นที่เกิดจากการหยุดปรุงแต่ง ไม่มีความสำคัญมั่นหมายในตัวตน นิพพานมีหลายระดับ ถ้าเป็นนิพพานที่สมบูรณ์ หรือสมุจเฉทนิโรธ เกิดขึ้นได้เมื่อหมดกิเลสสิ้นเชิงเพราะมีปัญญาแจ่มแจ้งในพระไตรลักษณ์ จนไม่มีความยึดติดถือมั่นอีกต่อไป ส่วนนิพพานชั่วขณะ หรือ ตทังคนิโรธ จะเกิดขึ้นได้เมื่อเรามีธรรมะมาระงับดับกิเลสเป็นคราว ๆ ไป เช่น มีสติเมื่อผัสสะเกิดขึ้น ก็ไม่ปรุงเป็นตัวตน ไม่เกิดกิเลสขึ้นมา สภาวะเช่นนั้นท่านพุทธทาสเรียกว่า “จิตว่าง”

    จิตว่างในที่นี้คือว่างจากตัวตน ถือว่าเป็นนิพพานชั่วขณะ นี่แหละคือนิพพานที่นี่และเดี๋ยวนี้

    คำว่า “นิพพานที่นี่และเดี๋ยวนี้” ยังหมายความได้อีกว่า ที่นี่และเดี๋ยวนี้ มนุษย์ทุกคนสามารถจะนิพพานได้ เช่น พระสาวกบางรูปบรรลุนิพพานขณะกำลังแสดงกายกรรมอยู่บนเชือก บางท่านบรรลุธรรมตอนจะหมดลมหายใจ บางท่านเกิดดวงตาเห็นธรรมขณะที่กำลังเชือดคอตนเองเพราะผิดหวังในการบวช บางท่านเป็นคนแก่เดินถือไม้เท้าแล้วล้มลง พอเห็นทุกขเวทนาเกิดขึ้นก็บรรลุธรรมเดี๋ยวนั้น บางท่านบรรลุธรรมขณะที่กำลังแสดงธรรมให้คนอื่นฟังอยู่ นี่คือตัวอย่างในสมัยพุทธกาลที่แสดงว่าทุกที่ทุกเวลาเราสามารถบรรลุนิพพานได้ เพราะนิพพานมีอยู่แล้ว นี่เรียกว่า “สมุทเฉทนิโรธ” เป็นนิพพานแบบหมดกิเลสอย่างสิ้นเชิง ซึ่งเป็นนิพพานของพระอรหันต์

    แต่นิพพานที่ปุถุชนอย่างเราสามารถสัมผัสได้คือนิพพานชั่วขณะ เราสัมผัสได้เมื่อเมื่อมีสติในทุกผัสสะที่เกิดขึ้น เมื่อจิตว่างจากการปรุงแต่งเป็นตัวตนขณะใด ก็ถือว่านิพพานเป็นขณะๆ ไป... ซึ่งเกิดได้ทุกที่ทุกเวลาเช่นกัน

    โยนิโสมนสิการ : นิพพานนั้นอยู่ที่มุมมอง

    หลายคนมีคำถามว่า เราจะสัมผัสกับนิพพานชั่วขณะได้อย่างไร ในเมื่อทุกวันนี้เรามีชีวิตอยู่ท่ามกลางกิเลส เปิดทีวีมาก็เจอความโลภ ขึ้นรถเมล์ก็เจอความโกรธ อ่านหนังสือพิมพ์ก็เจอความหลง... ต่างๆ นานา

    อาตมามองว่าของอย่างนี้อยู่ที่มุมมอง ภาษาพระเรียกว่า “โยนิโสมนสิการ” อย่างเช่นพระรูปหนึ่งเข้าไปบิณฑบาตในเมือง เห็นผู้หญิงประทินโฉมอย่างวิจิตร แต่งตัวงดงาม กำลังฟ้อนรำอยู่กลางถนน แทนที่ท่านจะเกิดราคะ ท่านกลับเกิดโยนิโสมนสิการ คือมองว่ากามนั้นน่ากลัว เป็นบ่วงแห่งมัจจุราชที่อยดักจิตดักใจของผู้คน พอเห็นอย่างนี้จิตท่านก็เกิดความหน่ายในกามและในสังขาร หลุดจากกิเลสและบรรลุธรรมเดี๋ยวนั้นเอง

    ฉะนั้น ทุกเหตุการณ์ที่ผ่านเข้ามากระทบใจเรา สามารถมองให้เห็นเป็นธรรมะได้ทั้งนั้น เห็นความสวยงามว่าเป็นความน่าเกลียดไม่น่ายึดไม่น่าเอาก็ได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องมีสติ เมื่อมีสติแล้วโยนิโสมนสิการจะมารับช่วงต่อ แต่คนทั่วไปเวลาเห็นอะไรก็ตาม เช่นดูทีวีหรืออ่านข่าวมักไม่มีสติ อารมณ์จึงกระเพื่อมไปตามผัสสะที่กระทบ เกิดความรู้สึก โกรธ เกลียด ชอบ ชัง คนทั่วไปถ้าอยู่ในภาวะเช่นนี้ อย่าว่าแต่ภาวะนิพพานเลย ความสงบเย็นธรรมดาๆ ก็เกิดขึ้นได้ยาก

    อาตมาคิดว่าเราต้องปรับเปลี่ยนชีวิตให้อยู่อย่างเรียบง่าย จึงจะพบกับความสงบเย็น จิตไม่มัวแต่ส่งออกนอก แต่ย้อนเข้ามาดูใจ เห็นใจตนเอง สมัยนี้มีสิ่งยั่วยุตลอดเวลา ทำให้เราไม่เห็นทุกข์และสมุทัยในใจ แต่ถ้าเราจัดวางชีวิตให้เรียบง่าย ไม่มีสิ่งกระตุ้นเร้ามากมาย เราก็มีโอกาสเห็นจิตใจตัวเอง พอเห็นจิตกระเพื่อม เห็นทุกข์ และเห็นสมุทัยคือความอยาก ทั้งอยากได้ และอยากผลักไส พอรู้เท่านั้นก็วางลงได้ สมุทัยดับไป เมื่อเห็นเช่นนี้บ่อย ๆ จนเห็นความจริงของจิต ว่าไม่น่ายึดและยึดไม่ได้ ปัญญาก็จะเกิดตามมา

    อาตมาแนะนำว่าควรพยายามใช้ชีวิตอย่างสงบเงียบ เรียบง่าย สองข้อนี้จะเป็นพื้นฐานของการมีสติและปัญญา

    สติคือต้นทาง สัมปชัญญะ(ปัญญา)คือมาถูกทาง

    นิพพานที่นี่และเดี๋ยวนี้อาศัยสติเป็นหลัก เมื่อตากระทบรูป เกิดผัสสะ แล้วเรามีสติในผัสสะ ไม่ปรุงแต่งเป็นตัวกู มีการเห็นแต่ไม่มีผู้เห็น เวลาเดินก็มีแต่การเดิน แต่ไม่มีผู้เดิน สิ่งที่กำลังเดินคือรูป สิ่งที่กำลังคิดเป็นนาม ไม่ตัวกูเป็นผู้คิด ไม่มีฉันเป็นผู้คิด ไม่มีฉันเป็นผู้เดิน เมื่อมันมีแต่รูปกับนามที่ทำงาน ตัวกูก็หายไป ภาวะว่างจากตัวตนนี้แหละที่ทำให้เกิดความสงบเย็นหรือนิพพานในปัจจุบันขณะ

    สติเป็นจุดเริ่มต้นของวิปัสสนากรรมฐาน เพราะสติทำให้เห็นกายเห็นใจตามที่เป็นจริง เมื่อเห็นลักษณะของมันตามที่เป็นจริงไปเรื่อยๆ ก็เกิดปัญญา จนปล่อยวางได้ สติกับปัญญาจึงมาคู่กัน อย่างที่เรามักใช้คำว่าสติปัญญา

    คนสมัยนี้เน้นการคิดเก่งและรู้มาก แต่เป็นความรู้ที่เกิดจากการฟังหรือการอ่าน ซึ่งเป็นความรู้ทางสมอง โดยไม่ฝึกใจให้คล้อยตาม พอใจไม่พัฒนาไปตามสมอง ก็เกิดภาวะดีชั่วรู้หมดแต่อดใจไม่ได้ คำว่า “อดใจไม่ได้” ก็บ่งชี้อยู่แล้วว่าเป็นเรื่องของจิตใจหรืออารมณ์ การปฏิบัติธรรมคือการฝึกจิตฝึกใจ ฝึกอารมณ์ให้งอกงาม ทำให้สมองกับใจเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

    สมมติเรารู้ว่าเหล้าไม่ดี เราตั้งใจจะงดกินหล้า พอเห็นเหล้าแล้วเราเกิดความอยากทันที ถ้าเรามีสติทันท่วงที ความอยากก็ทุเลาลง สติทำให้รู้ทันความอยาก เห็นว่าความอยากไม่ใช่เรา แต่เป็นอาการทางกายทางใจที่เกิดขึ้นเท่านั้นเอง เมื่อเห็นเช่นนี้แล้ว ความอยากก็ไม่สามารถครองใจเราได้

    เราทุกคนก็รู้ว่าโกรธไม่ดี แต่พอใครด่าเรา เราโกรธทุกที นั่นเป็นเพราะเราไม่มีสติ อีกทั้งยังไม่ได้ฝึกเมตตาภาวนา แต่ถ้าเราเจริญเมตตาอยู่เป็นนิจ กระทั่งไม่โกรธไม่เกลียด ให้อภัยได้ สมองรู้ว่าโกรธไม่ดี ส่วนใจก็ละวางความโกรธลงได้ด้วย นี่แหละคือภาวะที่สมองกับใจเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

    แต่คนที่ไม่เคยฝึกใจ แม้รู้ว่าความโกรธไม่ดี เป็นกิเลสอย่างหนึ่ง แต่ก็ยังโกรธคนนั้นคนนี้อยู่ทุกวัน เพราะใจยังสละความโกรธไม่ได้ สมาธิภาวนาเป็นการฝึกใจ ทำให้เกิดสมดุลระหว่างสมองกับใจ อย่างไรก็ตาม การฝึกใจก็ต้องฝึกให้ถูกด้วย บางคนตอนเข้าคอร์สปฏิบัติธรรมมีความสุขดี เพราะอยู่ท่ามกลางสิ่งแวดล้อมที่สงบและเป็นธรรมชาติ แต่กลับออกมาเจอฝนตกรถติดก็โกรธอีกแล้ว สาเหตุเป็นเพราะตอนปฏิบัติไปเน้นการกดข่มอารมณ์ โดยหารู้ไม่ว่าอารมณ์ที่เราข่มไว้นั้นไม่ได้หายไปไหน พอมีอะไรมากระทบมันก็ระเบิดออกมา

    จริงๆ แล้วการปฏิบัติตามหลักสติปัฏฐานไม่ได้ปฏิบัติเพื่อความสงบ เราปฏิบัติเพื่อความรู้ตัว ตื่นรู้ เมื่อมีความตื่นรู้ แม้มีผัสสะมากระทบเราก็รู้ว่าใจกระเพื่อม มีอารมณ์มาครอบงำ เมื่อรู้ก็วางอารมณ์นั้นได้ ใจกลับมาเป็นปกติ เมื่อโกรธแล้วเผลอปรุงแต่งตามความโกรธ พอมีสติระลึกได้ ก็หยุดปรุงแต่ง วางความโกรธลง ความรู้ตัวก็จะเกิดตามมา ความรู้ตัวนี่เองคือสัมปชัญญะ

    ยกตัวอย่างเช่น เวลาอ่านหนังสืออยู่แล้วใจลอยออกไปนอกตัว แต่พอระลึกขึ้นมาได้ว่าเรากำลังอ่านหนังสืออยู่นี่นา ความระลึกได้คือสติ เมื่อระลึกได้เช่นนี้ ใจก็จะกลับมาอยู่กับเนื้อกับตัว กลับมาอยู่กับการอ่านหนังสือต่อ ความรู้ตัวจะเกิดตามมาหลังจากความระลึกได้ เรียกว่าสัมปชัญญะ

    สัมปชัญญะยังหมายถึงการรู้อะไรอย่างถูกต้อง เช่น รู้ชัดในเป้าหมาย รู้ว่าอะไรควรทำไม่ควรทำ สมมติกำลังประชุมกันเพื่อหาข้อตกลงทางธุรกิจ จู่ ๆเราเกิดอารมณ์เสีย โกรธคนที่กำลังคุยด้วย อยากจะต่อว่าเขา แต่แล้วก็รู้ทันความโกรธ แล้วยังรู้ต่อไปด้วยว่าการทำเช่นนั้นจะทำให้เสียงานเสียการ จึงพูดคุยกับเขาด้วยดี การรู้ทันความโกรธเป็นงานของสติ ส่วนสัมปชัญญะทำให้รู้ว่าการต่อว่าเขาเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ควรจะพูดกับเขาด้วยเหตุด้วยผล ไม่ใช้อารมณ์

    อาตมาขอยกอีกตัวอย่างที่ท่านพุทธทาสเคยเล่าให้ฟัง แม่ลูกอ่อนคนหนึ่งตกใจมากเมื่อลูกนางกลืนเหรียญทองแดงแล้วเกิดติดคอ ขณะกำลังตกใจเธอก็นึกขึ้นมาได้ว่าน้ำกรดสามารถกัดเหรียญทองแดงได้ เธอจึงรีบไปเอาน้ำกรดกรอกใส่ปากลูก เหรียญหลุดจากคอจริง แต่น้ำกรดก็ทำอันตรายกับเด็กอย่างร้ายแรง... นี่คือตัวอย่างของคนที่ไม่มีสัมปชัญญะ คือ รู้แบบครึ่งๆ กลางๆ จึงทำสิ่งที่ไม่ควรทำ เกิดความผิดพลาดขึ้นมา การไม่มีสัมปชัญญะบางทีเราก็เรียกว่า หลง คือทำผิด ๆ ถูก ๆ

    สติและสัมปชัญญะจะทำงานคู่กันเหมือนฝาแฝดอินจัน วิธีพัฒนาสัมปชัญญะก็คือฝึกสตินั่นเอง การฝึกสติทำให้ไม่ลืมตัว เมื่อใจอยู่กับเนื้อกับตัว ความรู้ตัวก็เกิดขึ้น สัมปชัญญะเป็นปัญญาชนิดหนึ่ง เมื่อรู้ตัวก็รู้อะไรควรไม่ควร รู้อะไรถูกอะไรผิด... เรียกว่ามาถูกทาง

    ที่สำคัญคือการรู้เท่าทันในตัวตน อย่าปรุงแต่งให้เกิดมีอัตตาตัวตนขึ้น ภารกิจนี้เป็นงานของสติ หรือ แม้จะเผลอปรุงแต่งเป็นตัวตนขึ้นมาก็อย่าให้มันครอบงำจิตใจ อย่าเปิดให้อัตตาเข้ามาขับเคลื่อนชีวิตเรา ถ้าทำอย่างนี้ได้ก็เข้าถึงความสงบเย็น
    :- https://visalo.org/article/budNippanTeeNee.htm


     
  2. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,773
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,038
    พุทธกับไสย : แค่ไหนจึงจะควร
    พระไพศาล วิสาโล
    แต่ไหนแต่ไรมาพุทธศาสนาไม่ได้แยกขาดจากไสยศาสตร์ ถ้าไสยศาสตร์หมายถึงระบบความเชื่อที่ยอมรับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อิทธิปาฏิหาริย์ และสิ่งลี้ลับเหนือปกติวิสัย พุทธศาสนาก็มีส่วนหนึ่งเป็นไสยศาสตร์อยู่แล้ว เพราะพุทธศาสนายอมรับว่ามีผีสางเทวดาและอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ แต่ถ้าไสยศาสตร์มิได้หมายเพียงเฉพาะความเชื่อในสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหนือสามัญเท่านั้น หากยังรวมถึงการพยายามนำอำนาจของสิ่งเหล่านี้(ซึ่งเชื่อว่ามีอยู่)มาก่อให้เกิดผลหรือความสำเร็จในทางโลก และอาจรวมถึงผลในโลกหน้า เช่นขอให้ไปเกิดในสวรรค์ พุทธศาสนาไม่จัดว่าเป็นไสยศาสตร์เพราะเชื่อมั่นในผลแห่งการกระทำหรือกรรมของบุคคลเป็นสำคัญ

    อย่างไรก็ตามในอดีตพุทธศาสนาก็ไม่เคยปฏิเสธไสยศาสตร์อย่างหลัง หรือพูดให้ถูกต้องก็คือ พุทธศาสนายอมรับไสยศาสตร์อย่างหลังในบางแง่หรืออย่างมีเงื่อนไข ทั้งนี้เพราะการยอมรับไสยศาสตร์ในบางกรณีไม่ได้หมายความว่าบุคคลจะต้องไปสยบยอมสิ่งศักดิ์สิทธิ์เสมอไป พระเจ้ากรุงธนบุรีแม้จะทรงเชื่อในอำนาจของเทวดา แต่แทนที่จะอ้อนวอนพึ่งพิงเทวดา พระองค์กลับทรงมีพระราชโองการประกาศเทพารักษ์ให้กำจัดปีศาจ ทั้งนี้เพื่อให้บ้านเมืองมีความสงบสุข


    เหตุผลสำคัญประการหนึ่งที่พุทธศาสนาในอดีตยอมรับไสยศาสตร์ ก็คือต้องการเอาไสยศาสตร์มาใช้ให้เกิดประโยชน์ในทางธรรม ทั้งนี้เพราะความจริงมีอยู่ว่า มนุษย์นั้นตราบใดที่ยังเป็นปุถุชนอยู่ ในยามเป็นทุกข์อย่างน้อยบางครั้งบางเวลาก็ต้องการสิ่งปลอบประโลมใจยิ่งกว่าเหตุผล การรู้จักใช้ไสยศาสตร์ให้เป็น โดยมีธรรมะเป็นตัวนำย่อมช่วยให้เขาเกิดความอบอุ่นใจ สามารถตั้งหลักใหม่เพื่อแก้ปัญหาของตัวด้วยวิธีการที่ถูกทำนองคลองธรรม ขณะเดียวกันก็เป็นการให้กำลังใจแก่คนที่เพียรพยายามสร้างความเจริญก้าวหน้าแก่ชีวิต ที่สำคัญก็คือไสยศาสตร์หากใช้ให้ถูกก็สามารถควบคุมกิเลสตัณหาของผู้คนให้อยู่ในขอบเขต เพื่อให้การแสวงหาโชคลาภและความสำเร็จแบบโลก ๆ เป็นไปในทางที่เหมาะสม ไม่ก่อความเดือดร้อนแก่ผู้อื่น เพราะคนบางประเภทนั้น การสอนด้วยเหตุผลหรือธรรมะล้วน ๆเพื่อให้เกิดหิริ(ความละอายต่อมโนธรรมสำนึกของตน)นั้นยากที่จะประสบผล เพราะปัญญายังไม่มีพลังพอที่จะทัดทานสัญชาตญาณใฝ่ต่ำ จำเป็นต้องเอาสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือนรกเข้ามา ขู่เพื่อให้เกิดโอตตัปปะ (ความกลัวต่อโทษทัณฑ์ที่จะได้รับจากภายนอก) ถึงจะควบคุมพฤติกรรมให้อยู่ในร่องรอยได้ มิไยจะต้องเอ่ยถึงคนอีกมากที่ต้องการทางลัดสู่ความมั่งมีศรีสุข จนง่ายที่จะติดหลงงมงายอยู่กับการอ้อนวอนบวงสรวง หรือเป็นเหยื่อของคนที่เอาไสยศาสตร์เป็นเครื่องมือแสวงหาประโยชน์ส่วนตน คนกลุ่มนี้ก็ต้องการไสยศาสตร์ที่มีพุทธศาสนากำกับเพื่อชักนำให้สู่หนทางที่ถูกต้องด้วยเช่นกัน
    ด้วยเหตุนี้แม้แต่ท่านพุทธทาสภิกขุก็ยังยอมรับว่า "พุทธศาสตร์นี้ยังต้องอาศัยไสยศาสตร์"

    การเชื่อไสยศาสตร์ไม่จำเป็นต้องหมายความว่าจะต้องหลงงมงายเสมอไป ประเด็นสำคัญอยู่ว่าเชื่ออย่างไร ถ้าเชื่อจนเลิกพึ่งพิงปัญญาหรือการกระทำของตนเอง ก็ย่อมเป็นความงมงาย แต่เมื่อเชื่อแล้วเกิดกำลังใจที่จะทำความดี เพียรพยายามที่จะกระทำให้เกิดผลสำเร็จด้วยตนเอง จะเรียกว่าเป็นความงมงายได้อย่างไร ในเรื่องนี้พระธรรมปิฎกได้ชี้ว่า การเชื่อถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นเป็นที่ยอมรับได้ในพุทธศาสนาหากว่าไม่ขัดต่อหลักการใหญ่ ๆ ๓ ประการคือ ๑)หลักกรรม กล่าวคือ ความเชื่อนั้นไม่เป็นอุปสรรคต่อการส่งเสริมให้เกิดความเพียรพยายามเพื่อให้เกิดผลสำเร็จด้วยการกระทำของตนเอง ๒)หลักสิกขา กล่าวคือ ความเชื่อนั้นสามารถถูกชักนำไปสู่การฝึกฝนพัฒนาตนให้เจริญก้าวหน้า ไม่ติดจมอยู่กับสิ่งปลอบใจภายนอก ๓) ความหมายที่แท้จริงของความศักดิ์สิทธิ์ กล่าวคือ เห็นว่าความศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริงนั้นอยู่ทีคุณธรรมและปัญญา มิใช่ควบคู่ไปกับกิเลสหรือโลภะโทสะโมหะ

    ในทางตรงกันข้าม การเชื่อในเหตุผลและวิทยาศาสตร์นั้น หากเชื่อด้วยความติดยึดหรือเกิดอุปาทานขึ้นมา ก็สามารถเป็นความหลงงมงายได้ง่าย ๆ เพราะเมื่อติดยึดในเหตุผลอย่างฝังแน่นเข้าแล้ว อะไรที่ไม่สอดคล้องกับเหตุผลของตัว (หรือไม่สามารถลำดับเป็นเหตุเป็นผลได้) ก็อาจถูกบอกปัดไปได้ทันทีโดยไม่ทันใช้ปัญญาพิจารณา ในทำนองเดียวกันคนที่เชื่อวิทยาศาสตร์ก็อาจกลายเป็นคนงมงายได้หากว่าเอาวิทยาศาสตร์เป็นเกณฑ์ประทับตราความจริงไปเสียทุกเรื่อง จนถึงขั้นว่าไม่ยอมรับว่าบุหรี่เป็นสิ่งเสพติดจนกว่าจะมีงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์มายืนยัน หรือปฏิเสธความจริงที่ว่าฟ้าทะลายโจรสามารถรักษาอาการเจ็บคอได้ตราบใดที่นักวิทยาศาสตร์ยังค้นไม่พบสารออกฤทธิ์ ส่วนอะไรก็ตามที่วิทยาศาสตร์ไม่รับรองหรือยังพิสูจน์ไม่ได้ ก็โจมตีว่าเป็นของหลอกลวง ไม่มีจริง ทั้งๆที่วิทยาศาสตร์เป็นเพียงวิถีทางหนึ่งเท่านั้นในการบ่งชี้ความจริง มิพักต้องกล่าวว่าทฤษฎีและกรอบของวิทยาศาสตร์นั้นแปรเปลี่ยนเลื่อนไหลตลอดเวลา

    อย่าว่าแต่เหตุผลหรือวิทยาศาสตร์เลย แม้สิ่งที่ประเสริฐกว่านั้นคือพระรัตนตรัย หากเชื่อด้วยความติดยึด พระรัตนตรัยนั้นแหละกลับจะกลายเป็นอุปสรรคในการเข้าถึงพุทธศาสนา ความข้อนี้ท่านพุทธทาสภิกขุได้กล่าวเตือนไว้นานแล้วว่า พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์สามารถเป็น"ภูเขาแห่งการเข้าถึงพุทธธรรม"ได้

    กล่าวโดยสรุปก็คือ ในทัศนะพุทธศาสนานั้นสิ่งสำคัญไม่ได้อยู่ตรงที่เชื่ออะไร แต่เชื่ออย่างไรต่างหากที่สำคัญกว่า ถ้าเชื่อว่ามีผีสางเทวดาแต่ไม่งมงายกับผีสางเทวดา ย่อมดีกว่าเชื่อวิทยาศาสตร์แต่กลับงมงายใหลหลงจนปฏิเสธบุญบาป ถ้าเช่นนั้นเชื่ออย่างไรถึงจะสอดคล้องกับพุทธศาสนา นอกจากหลัก ๓ ประการของพระธรรมปิฎก ตลอดจนการเชื่อโดยไม่ยึดมั่นหรือเชื่ออย่างงมงายไม่ใช้ปัญญาพิจารณาดังที่ท่านพุทธทาสภิกขุได้เน้นแล้ว เกณฑ์สำคัญอีกหมวดหนึ่งก็คือหลักตัดสินธรรมวินัย ๘ ประการ นั่นคือไม่ว่าจะเชื่ออะไรก็ตาม ประเด็นสำคัญอยู่ที่ว่า เชื่อแล้วนำไปสู่การคลายกำหนัด ส่งเสริมความเพียร เลี้ยงง่าย มักน้อย สันโดษ สงัด ไม่ก่อทุกข์ ลดกิเลส หรือไม่ เป็นต้น ถึงไม่เชื่อผีสางเทวดา หากเชื่ออย่างอื่นที่ดูส่งส่งมีเหตุมีผลกว่า แต่ถ้าก่อให้เกิดสิ่งที่ตรงข้ามกับหลัก ๘ ประการนี้ก็ไม่ถือว่าเข้ากับหลักพุทธ ไม่ว่าความเชื่อเช่นนั้นจะอ้างตัวเป็นวิทยาศาสตร์เพียงใด ก็ไม่อาจเรียกว่าเป็น"พุทธแท้"ได้เลย

    ดังนั้นพุทธศาสนาจึงไม่ควรปฏิเสธไสยศาสตร์อย่างสิ้นเชิง หากพึงยอมรับไสยศาสตร์อย่างจำแนก แต่เกณฑ์ในการยอมรับนั้นไม่พึงให้วิทยาศาสตร์มากำหนด กล่าวคือ จะยอมรับไสยศาสตร์อย่างใดแค่ไหน ไม่ได้ขึ้นอยู่ว่า ไสยศาสตร์นั้น ๆ มีความไม่เป็นวิทยาศาสตร์มากน้อยเพียงใด หากแต่เอาจุดมุ่งหมายในทางธรรมเป็นตัวตั้ง กล่าวคือรับเอาไสยศาสตร์เข้ามาเพื่อใช้ไสยศาสตร์นั้นเป็นสื่อนำไปสู่ความรู้ผิดชอบชั่วดี ไม่เบียดเบียนผู้อื่น ช่วยให้พึ่งตนเอง และพัฒนาตนให้เจริญก้าวหน้าในทางธรรม จนเป็นอิสระจากไสยศาสตร์ และแก้ปัญหาชีวิตของตนได้ด้วยปัญญาและคุณธรรม
    :- https://visalo.org/article/budBudAndSai.htm

     
  3. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,773
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,038
    viteehangkwamruk.jpg
    ความเป็นมนุษย์ที่แท้ บนวิถีแห่งความรัก

    พระไพศาล วิสาโล
    คนเราไม่ได้อยู่ด้วยข้าวปลาอาหารเท่านั้น เรายังต้องอาศัยสิ่งอื่นด้วย และหนึ่งในบรรดาสิ่งที่จำเป็นต่อชีวิตและต่อความเป็นมนุษย์ของเราก็คือ ความรัก

    ที่จริงแล้ว หากปราศจากความรัก แม้แต่ข้าวปลาอาหารเพื่อความอยู่รอด ก็คงจะเกิดขึ้นได้ยาก อย่างไรก็ตามมนุษย์เราไม่ได้ต้องการแค่มีชีวิตอยู่รอดเท่านั้น หากยังต้องการความสุขและความเจริญงอกงามด้วย

    ความรักนั้นทำให้ความเป็นมนุษย์เกิดขึ้นได้ และเจริญงอกงาม ถ้าปราศจากความรักแล้ว กล่าวได้ว่า ความเป็นมนุษย์ก็ไม่อาจเกิดขึ้นได้ด้วยซ้ำ

    อานุภาพของความรักจะเห็นได้ชัดก็ต่อเมื่อเรานึกถึงความรักของแม่ ปราศจากความรักของแม่ แม้เราจะเกิดขึ้นมาได้ในโลกนี้ ก็ไม่สามารถจะอยู่รอดได้ หลายชีวิตปฏิสนธิขึ้นมา อาจจะไม่ใช่เพราะความรักของพ่อแม่ แต่เมื่อปฏิสนธิแล้ว ความรักของแม่เป็นพลังสำคัญที่ทำให้อยู่รอดและลืมตาดูโลกได้ในที่สุด

    เมื่อเราถือกำเนิดขึ้นมา เราไม่สามารถรับอาหารอื่นใดได้เลย นอกจากน้ำนมของแม่ ถ้าปราศจากน้ำนมของแม่แล้ว แม้เพียงแค่จะมีชีวิตให้อยู่รอดก็เป็นไปได้ยาก อย่างไรก็ตามความรัก ไม่เพียงช่วยให้เรามีชีวิตอยู่รอดและเติบโตเท่านั้น นอกจากกายจะเติบใหญ่แล้ว ใจของเรางอกงามได้ ก็เพราะความรักของแม่ ความเอาใจใส่ของแม่ทำให้จิตใจของเราได้รับการเติมเต็ม ใจที่ไม่ได้รับความรักซึ่งมีจุดตั้งต้นจากแม่ ย่อมเป็นใจที่พร่อง ขาดแคลน และหิวโหยอยู่เสมอ

    ความรักของแม่ยังปลุกพลังบวกในใจเรา คนเราทุกคนล้วนแล้วแต่มีพลังบวกอยู่ในใจ เช่น คุณธรรม ความใฝ่ดี อาตมาเชื่อว่า คุณสมบัติดังกล่าว เกิดขึ้นมาพร้อมกับความเป็นมนุษย์ แต่ว่าคุณสมบัติดังกล่าวไม่สามารถที่จะมีพลังได้ หากปราศจากการปลุกกระตุ้นด้วยความรัก และความรักที่สามารถกระตุ้นพลังบวกในใจเราให้มีอานุภาพอย่างยิ่ง ก็คือ ความรักของแม่

    เมื่อใดก็ตามที่เราขาดความรัก ใจเราย่อมรู้สึกขาดพร่อง โหยหา และเป็นทุกข์ มีบุคคลจำนวนไม่น้อยที่กำพร้าพ่อ หลายคนกำพร้าแม่ และหากไม่ได้รับความรักจากคนที่เป็นตัวแทนของแม่แล้ว ก็เชื่อได้เลยว่า เขาจะรู้สึกโหยหา อาจจะเป็นความโหยหาที่รบกวนเขาไปตลอดชีวิต ใจของเขาจะเรียกร้องความรักอย่างไม่มีวันหยุดหย่อน ยิ่งไปกว่านั้นจิตที่พร่องความรักสามารถผลักดันให้ทำสิ่งที่เลวร้าย เช่น ทำร้ายผู้อื่นอย่างไร้ความปรานี

    อาชญากรหลายคน หากสืบประวัติจะพบว่า ในวัยเด็กเขาไม่ได้รับความรักจากแม่ ซ้ำยังถูกกระทำจากผู้ที่มีอำนาจมากกว่า มันทำให้เกิดบาดแผลในจิตใจของเขา ทำให้เขาต้องการการเยียวยา และหากไม่มีบุคคลใดที่จะให้ความรักแก่เขา เยียวยาเขาด้วยความรัก เหมือนความรักของแม่แล้ว พลังบวกในใจเขาก็จะอ่อนล้า จิตใจถูกครอบงำด้วยพลังลบที่สามารถผลักดันให้เขาทำร้ายผู้อื่นในที่สุด

    เมื่อขาดความรักที่มีจุดเริ่มต้นจากแม่ คนเราย่อมเป็นทุกข์ เป็นทุกข์เพราะความโหยหา เป็นทุกข์เพราะความรู้สึกพร่อง หรือเป็นทุกข์เพราะรู้สึกว่าตนเองไม่มีคุณค่าเพียงพอที่จะได้รับความรักจากแม่ ความรู้สึกเหล่านี้ก็จะโบยตีซ้ำเติมจิตใจของเขา หลายคนมีบาดแผลเมื่อพบว่าแม่ได้ทิ้งเขาไปตั้งแต่ยังเด็ก แม่อาจทิ้งเพราะเหตุจำเป็น หรือทิ้งเพราะว่าความตายได้พรากแม่ไป แต่สำหรับเด็กที่ปราศจากความรักของแม่ เขาจะรู้สึกเสมอว่า เขาไม่มีคุณค่าเพียงพอที่แม่จะอยู่กับเขา ดูแลเขา คนที่รู้สึกเช่นนี้ย่อมมีความทุกข์อย่างยิ่ง และต้องใช้เวลานานกว่าที่จะเยียวยาบาดแผลดังกล่าวได้ หรือสามารถมองเห็นคุณค่าตัวเอง จนมีความมั่นใจที่จะดำเนินชีวิตในโลกนี้

    เมื่อปราศจากความรัก เราย่อมขาดพลังในการทำความดี ความใฝ่ต่ำย่อมครอบงำง่าย คนเราเมื่อเกิดมา แม้มีพลังแห่งความดีติดตัวมาแต่กำเนิด แต่พลังลบหรือพลังแห่งความใฝ่ต่ำก็ตามมาด้วยเหมือนกัน

    ใครก็ตามที่ได้รับความรักจากแม่เป็นจุดเริ่มต้น พลังบวกหรือพลังแห่งความดีก็จะได้รับการกระตุ้นเร้าจนสามารถมีชัยต่อพลังแห่งความใฝ่ต่ำได้ แต่หากปราศจากความรักของแม่เสียแล้ว ก็เป็นการยากที่พลังความดีจะได้รับการกระตุ้นเร้า จนมีกำลังต้านทานพลังใฝ่ต่ำได้

    นั่นก็หมายความว่า ในที่สุดพลังใฝ่ต่ำก็สามารถครอบงำจิตใจเขา ทำให้มีพฤติกรรมเบี่ยงเบน มองโลกทั้งโลกด้วยความรู้สึกลบ และพร้อมที่จะทำร้ายผู้คนหรือเบียดเบียนเอารัดเอาเปรียบเมื่อมีโอกาส

    คนที่เป็นฆาตกรหรือผู้ที่ทำร้ายเด็กตัวเล็กๆ ล่วงละเมิดเยาวชนที่อ่อนแอกว่า คนเหล่านั้นหากสาวประวัติไปก็จะพบว่าเป็นเพราะเขาขาดความรักจากแม่ ดังคนซึ่งเป็นข่าวเมื่อเร็วๆ นี้ ที่ไปล่วงละเมิดเด็กหญิงและฆ่าเด็กไปหลายคน พฤติกรรมดังกล่าวเชื่อว่าเป็นเพราะเขาไม่ได้รับความรักจากแม่ตั้งแต่เล็ก เนื่องจากเป็นเด็กกำพร้า ในวัยเด็กเขาคงถูกกระทำจากผู้ใหญ่ ครั้นโตเป็นผู้ใหญ่ก็หันมาใช้อำนาจกับเด็กอย่างควบคุมตนเองไม่ได้

    ความรักของแม่ทำให้ความดีในใจของเรางอกงามและทำให้ความเป็นมนุษย์ของเราเบ่งบาน ประดุจดอกบัวที่เบ่งบานยามต้องแสงอรุณ เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าเมื่อแม่ได้มอบความรักแก่เรา ใจเราย่อมสัมผัสได้ถึงความเมตตา เราย่อมรู้ชาติแห่งเมตตาว่าซาบซึ้งประทับใจเพียงไร ความซาบซึ้งประทับใจนี่แหละที่สามารถปลุกเร้าบันดาลความเมตตาในใจของเราให้งอกงามขึ้นด้วยเช่นกัน

    เป็นเพราะแม่เป็นแบบอย่างของความดี ความเสียสละและความสุข เราจึงเห็นคุณค่าของการเสียสละ และรู้จักที่จะทำความดี ปราศจากซึ่งแบบอย่างแห่งความดีแล้ว ยากที่ปุถุชนคนเราจะเห็นความดีมากพอที่จะมอบสิ่งนั้นให้กับผู้อื่น หรือเสียสละเพื่อผู้อื่นที่ไม่ได้เป็นญาติพี่น้องหรือมิตรสหาย

    แม่เป็นผู้ที่สอนให้เรารู้จักผิดชอบชั่วดี เพราะแม่อยากให้เราให้เราเป็นคนดี คำสอนของแม่ทำให้เราเกิดความรู้ผิดรู้ชอบ ความรู้ผิดรู้ชอบนี้แหละนำไปสู่สัมมาทิฐิ เป็นพลังขับเคลื่อนให้เกิดการทำความดีอย่างต่อเนื่อง

    ดังที่กล่าวไว้แล้วว่า ความรักของแม่ทำให้ใจของเราได้รับการเติมเต็ม และเมื่อใจได้รับการเติมเต็มก็มีความสุข ความสุขนี้เองคือสิ่งชะโลมใจและหล่อเลี้ยงความดีให้เจริญงอกงาม ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นได้เพราะแม่อยู่กับเรา ใกล้ชิดเรา แต่ถึงแม้แม่จะจากไป แต่การที่ท่านได้สอนหรือเป็นแบบอย่างก็สามารถเตือนใจให้เราอยากทำความดี และมีกำลังที่จะเอาชนะความชั่วได้

    ...ความรักของแม่ช่วยให้เรารู้จักโลก ทำให้เราเกิดพัฒนาการทางสติปัญญา ไม่ต้องอธิบายมาก ก็เห็นชัดว่า แม่เป็นครูคนแรกของเรา คนเราจะเติบโตได้ต้องมีความงอกงามทั้งอารมณ์และสติปัญญา ความงอกงามทางอารมณ์นั้น ทำให้เราใฝ่ดีและมีความสุข ขณะเดียวกันความงอกงามทางสติปัญญาทำให้เราเข้าถึงความจริงของชีวิตและโลก ซึ่งทำให้เราสามารถอยู่ในโลกและเกี่ยวข้องกับสรรพสิ่งรอบตัวได้อย่างมีคุณค่า มีความหมาย และผาสุก

    ความรักไม่เพียงประเทืองอารมณ์เท่านั้น แต่สามารถหล่อเลี้ยงสติปัญญาของเราให้เจริญงอกงามได้ ความรักของแม่ทำให้ลูกเกิดการเรียนรู้และพัฒนาตน ที่จริงไม่เพียงเฉพาะความรักของแม่เท่านั้น ความรักของครูก็ทำให้เราเกิดความใฝ่รู้ มีฉันทะในการเรียนรู้ และกล้าสู้สิ่งยาก ความรักของแม่และครู ย่อมเป็นแรงบันดาลใจให้ลูกและศิษย์ มีความเพียรพยายาม กล้าเผชิญอุปสรรค และกระตุ้นเร้าให้เกิดความเชื่อมั่นในตัวเอง

    ในฐานะที่เป็นครูคนแรก แม่ไม่เพียงให้คำแนะนำสั่งสอน แต่ยังให้แรงบันดาลใจ มีคำกล่าวว่า 'ครูธรรมดานั้นแค่สอน ครูที่ดีสาธิต ส่วนครูที่ดีที่สุดให้แรงบันดาลใจ' อาตมาเชื่อว่าหลายคนได้พบแรงบันดาลใจในการที่จะเรียนรู้จากแม่ และจากครู แรงบันดาลใจจะเกิดขึ้นก็เพราะความรัก ทั้งต่อวิชาที่ครูสอนและต่อตัวเด็กเองที่เป็นผู้เรียน หลายคนกลายเป็นครูที่มีความรักในศิษย์ มีความรักในวิชาที่ตัวเองสอนและทำให้เด็กเกิดแรงบันดาลใจใฝ่รู้ เพราะฉะนั้น ความรักและความรู้เป็นสิ่งที่อยู่คู่กัน ความรักไม่เพียงเป็นแรงขับเคลื่อนให้ทำความดีเท่านั้น แต่ความรักยังนำมาซึ่งความใฝ่รู้และการเติบโตทางสติปัญญา

    ความรักความเมตตาและน้ำใจของผู้คนสามารถปลุกพลังแห่งความดี และทำให้เรามีสติปัญญางอกงาม ไม่เฉพาะแต่วิชาความรู้จากตำราหรือในโรงเรียนเท่านั้น แต่รวมถึงความรู้เกี่ยวกับชีวิตและโลก เด็กที่หิวโหย หากได้รับน้ำใจ ได้รับอาหารจากคนแปลกหน้า เขาย่อมซาบซึ้งในคุณค่าของเมตตาและย่อมมีน้ำใจต่อคนที่หิวโหยเช่นกัน ตรงกันข้ามกับคนที่ไม่เคยได้รับความรักความเมตตาหรือใคร ย่อมยากที่เขาจะมีความรักความเมตตาต่อคนอื่นได้

    นี้คือพลังในการทำความดี ในเวลาเดียวกันก็ทำให้เกิดความเข้าใจในชีวิตมากขึ้นว่า มนุษย์ทุกคนย่อมมีความสุขเมื่อได้รับเมตตา นี่เป็นความรู้ขั้นพื้นฐานที่จำเป็นมากสำหรับการมีชีวิตอย่างมีความผาสุกและเกื้อกูลในโลก เพราะหากเราไม่ประสบด้วยตนเองว่าความรักนั้นทำให้มีความสุข เราจะรู้ได้อย่างไรว่าความเมตตาของเรานั้นสามารถจะก่อความสุขและความซาบซึ้งใจแก่ผู้อื่นได้
     
  4. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,773
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,038
    (ต่อ)
    ความดีของผู้คนช่วยให้เราเกิดการเรียนรู้หลายอย่าง ไม่ใช่แค่เพียงความประทับใจเท่านั้น อาตมานึกถึงคนๆ หนึ่งที่เป็นข่าวเมื่อสอง-สามเดือนก่อน เขาเป็นนักปั่นจักรยานที่มีชื่อมากของอิตาลีในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ชื่อจีโน บาร์ตาลี เราคงทราบดีว่าช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ชาวยิวจำนวนไม่น้อยในยุโรปหรือทั้งในอิตาลีถูกส่งไปยังค่ายนรก จนมีคนตายถึง 6 ล้านคน แต่ก็มีชาวยิวหลายคนที่ได้รับการช่วยเหลือให้ปลอดภัย บาร์ตาลีก็เป็นคนหนึ่งที่ชวยให้ชาวยิวในอิตาลีมีที่พักพิงและสามารถเดินทางออกนอกประเทศได้ เขาช่วยทำพาสปอร์ตปลอม ทำเอกสารปลอมให้ชาวยิวที่กำลังหลบซ่อนสามารถเดินทางไปยังประเทศที่ปลอดภัยหลายคน แต่เขาไม่เคยแพร่งพรายถึงวีรกรรมของเขาเลย แม้สงครามจะสิ้นสุดลง ก็มีไม่กี่คนที่รู้ว่าเขาเคยทำอะไรไว้ มีคนหนึ่งเอ่ยปากชมว่า เขาคือวีรชน แต่เขาปฏิเสธ เขาบอกว่า คนที่เป็นวีรชนที่แท้จริงคือ คนที่เจ็บปวดในจิตวิญญาณ ในหัวใจ ในดวงจิตเพื่อคนที่ตนรัก คนเหล่านี้คือวีรชนอย่างแท้จริง 'ผมเป็นเพียงแค่นักปั่นจักรยาน'

    บาร์ตาลีทำวีรกรรมอันยิ่งใหญ่ แต่เขาไม่รู้สึกเลยว่าเขาทำอะไรที่ยิ่งใหญ่ และไม่เคยคิดจะบอกเล่าป่าวประกาศถึงวีรกรรมดังกล่าว อาตมาเชื่อว่าใครที่ได้ฟังเรื่องราวของเขาย่อมรู้สึกประทับใจในตัวเขา ไม่ใช่ประทับใจในความกล้าและความเสียสละของเขาเท่านั้น แต่ยังประทับใจในความอ่อนน้อมถ่อมตนของเขาด้วย

    เรื่องราวของคนเหล่านี้สอนให้เรารู้ว่า มนุษย์ที่แท้เป็นผู้ที่มีน้ำใจ 'หัวใจเขาใหญ่' แต่ 'อัตตาเขาเล็ก' เขามีความสุขที่ได้ทำความดีแต่ไม่คิดโอ้อวด คนทั่วไปนั้น เวลาทำความดี มักอดไม่ได้ที่จะป่าวประกาศให้คนอื่นรู้ หากไม่มีใครรู้จะรู้สึกเป็นทุกข์อัดอั้นตันใจ แต่บาร์ตาลีกลับไม่มีความรู้สึกแบบนี้เลย เพราะตัวตนเขาเล็กมาก

    การมีหัวใจใหญ่อัตตาเล็ก เป็นสิ่งที่มีคุณค่ามาก ทำให้เรามีความสุขและอยู่ในโลกนี้ได้ โดยไม่จำเป็นต้องประกาศตนถึงความยิ่งใหญ่ของเรา

    ที่พูดมาทั้งหมดนี้ เพื่อชี้ว่า ความรักที่ได้รับจากผู้อื่นช่วยให้ความเป็นมนุษย์ของเราเจริญงอกงามอย่างไรบ้าง แต่นอกเหนือจากการได้รับความรักแล้ว การให้ความรัก ความมีน้ำใจ การเสียสละต่อผู้อื่น ก็ช่วยพัฒนาความเป็นมนุษย์ของเราให้สมบูรณ์ได้ด้วย

    คนที่อัตตาเล็กหัวใจใหญ่ย่อมพร้อมเสียสละชนิดที่กล้าเอาชีวิตเข้าแลก แต่อีกด้านหนึ่งการเสียสละเพื่อช่วยเหลือผู้อื่นก็ช่วยทำให้อัตตาของเราเล็กลง หัวใจใหญ่ขึ้น และจิตใจงอกงาม การเสียสละ การช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่น ไม่ได้เป็นประโชน์ต่อคนอื่นเท่านั้น แต่เป็นประโยชน์แก่ตัวเราด้วย

    เด็กผู้หญิงคนหนึ่งอายุ 14 ชื่อน้องด้าย เป็นอาสาสมัครช่วยเด็กอ่อนบ้านปากเกร็ด ซึ่งมีเด็กถูกทิ้งตั้งแต่๓ เดือนถึง ๙ ขวบ บางคนพ่อแม่ไม่ได้ทิ้งแต่ไม่มีกำลังเลี้ยงก็มามอบให้บ้านปากเกร็ดดูแล ที่นั่นต้องการจิตอาสาหลายคน น้องด้ายก็ไปเป็นอาสาสมัคร หลังจากน้องด้ายไปเป็นอาสาสมัครพักใหญ่ แม่น้องด้ายก็พบกับความเปลี่ยนแปลงในตัวเธอคือ เธอนิ่ง สุขุม ใช้อารมณ์น้อยลง และรับฟังคนอื่นมากขึ้น รวมทั้งแม่ด้วย ความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวไม่ได้เกิดจากอะไร แต่เกิดจากการที่เธอได้ไปดูแลเด็ก

    เช่นเดียวกับชายวัย 30 ชื่อโป่ง เขาไปเป็นจิตอาสาบ้านปากเกร็ดเช่นเดียวกัน หลังจากไปดูแลเด็กไม่กี่เดือน เขาสังเกตว่าตัวเองใจเย็นขึ้น และยังส่งผลถึงคนอื่นด้วย เขาพบว่าการพูดจารื่นหูกับลูกน้องไม่ใช่เรื่องต้องฝืนอีกต่อไป เขาอธิบายถึงความเปลี่ยนแปลงของตัวเองว่า “เมื่อเราดูแลใส่ใจเด็ก เราจะอ่อนโยนไปเองโดยอัตโนมัติ ในขณะที่เราพยายามให้เขามีพัฒนาการที่ดี เขาก็ช่วยขัดเกลาให้เราอ่อนโยนในเวลาเดียวกันด้วย” นี้เป็นตัวอย่างที่ชี้ว่าความรักที่มอบให้กับผู้อื่นสามารถกลับมาขัดเกลาและพัฒนาจิตใจของเราได้...

    ...ความรักที่เรามีต่อผู้อื่นยังสามารถทำให้เราเอาชนะความโกรธเกลียดได้ แม้กระทั่งเมื่อต้องสูญเสียคนที่รัก....ความเมตตาความมีน้ำใจสามารถยกจิตยกใจของเราให้ออกจากความทุกข์และความเจ็บปวด อีกทั้งสามารถขัดเกลาจิตใจเราให้เจริญงอกงามได้...

    ความเมตตาทำให้ความเป็นมนุษย์ของเราเจริญงอกงามขึ้นมาได้ จะเห็นว่าความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ต้องมีเมตตาหรือความรักเป็นพลังขับเคลื่อน เพราะความรักความเมตตาทำให้มนุษย์เรายอมลำบาก มีความพากเพียรพยายาม แม้จะต้องประสบกับความทุกข์ยากลำบาก แต่เมื่อระลึกถึงประโยชน์ของสรรพสัตว์ก็ไม่หวั่นไหวต่ออุปสรรค สามารถก้าวข้ามความลำบากได้ และเมื่อใดที่บรรลุถึงสัจธรรม พัฒนาตนจนถึงที่สุดแล้ว ก็จะหมดซึ่งความเห็นแก่ตัว ทำให้ความเมตตากรุณาแผ่กระจายอย่างไม่มีประมาณ เป็นความเมตตายิ่งกว่าเดิม เพราะไม่มีความยึดมั่นถือมั่นในตัวตนแล้ว

    ความเมตตากรุณาอย่างแท้จริงเกิดขึ้นได้เมื่อบุคคลเจริญปัญญาอย่างถึงที่สุด จนเห็นว่าแท้จริงแล้วตัวตนไม่มีจริง ถึงตอนนั้นความเห็นแก่ตัวหรือความยึดมั่นถือมั่นก็หมดสิ้นไป สามารถที่จะเกื้อกูลแก่สรรพสัตว์ได้อย่างไม่มีที่สุดไม่มีประมาณและไม่มีที่รักที่ชัง ดังที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสว่า พระองค์ทรงมีเมตตาต่อพระราหุลอย่างไร ก็ทรงมีเมตตาต่อพระเทวทัตอย่างเดียวกัน ในใจของพระองค์ ไม่มีการแบ่งแยกระหว่างพระเทวทัตที่มุ่งปองร้ายเอาชีวิตพระองค์ หรือพระราหุลซึ่งเป็นลูกชายของพระองค์เลย ถึงที่สุดแล้ว ความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์คือ การมีความรักอย่างไม่มีประมาณ เพราะมีปัญญาเห็นแจ้งในสัจธรรมอันลึกซึ้ง

    กรุณาทำให้เราทำความดี ปัญญาทำให้เราเข้าถึงความจริง ทั้งความดีและความจริงทำให้เราเข้าถึงความสุข แม้พระพุทธองค์ทรงมีเมตตาอย่างไม่มีประมาณต่อทุกผู้คน แต่หากผู้คนเหล่านั้นยังมีความทุกข์อยู่ ก็ไม่สามารถทำให้พระองค์ทุกข์ตามไปด้วย เพราะเมตตาของพระองค์เป็นเมตตาที่ไม่ปรารถนาผล ทำเต็มที่ แต่หากว่าไม่สามารถช่วยได้ ใจก็เป็นอุเบกขา

    อย่างไรก็ตาม สำหรับพวกเราซึ่งเป็นปุถุชน การเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์นั้นแม้เป็นอุดมคติ เข้าถึงได้ยาก แต่ก็ควรถือเป็นจุดหมายแห่งการดำเนินชีวิต เหมือนดาวเหนือที่เป็นสิ่งนำทางผู้เดินทางไกลในยามค่ำคืน การเป็นมนุษย์ที่แท้คือ การมีเมตตา มีปัญญา และสามารถเข้าถึงความสุขได้ มนุษย์ที่แท้คือ ผู้ที่จิตเป็นอิสระไม่ถูกครอบงำด้วยโลกธรรมใดๆ
    :- https://visalo.org/article/budKwamrak.html
    . EndLineMoving.gif
     

แชร์หน้านี้

Loading...