ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,823
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students

    FB_IMG_1559222144190.jpg

    (May 30) ค่าเงินผันผวน-ส่งออกทรุด ฉุดขีดแข่งขัน'สหรัฐ'ร่วง :รายงานจัดอันดับความสามารถด้านการแข่งขันทั่วโลกในปีนี้ของไอเอ็มดีบ่งชี้ว่าสหรัฐ ผู้นำโลกด้านโครงสร้างพื้นฐานและเป็นยักษ์ใหญ่ ด้านเศรษฐกิจ สอบไม่ผ่านสำหรับตัวชี้วัด บางด้านจนเสียแชมป์ในฐานะประเทศที่มีความสามารถด้านการแข่งขันมากที่สุดให้แก่สิงคโปร์ โดยร่วงลงไปอยู่อันดับ3ของโลก ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ติดตามได้จากรายงาน

    รายงานการจัดอันดับของไอเอ็มดี เวิลด์ คอมเพททิทีฟเนส แรงค์กิง ประจำปี2562 จัดให้ สิงคโปร์ ครองอันดับ 1 ประเทศที่มีความสามารถในการแข่งขันสูงสุดในโลกเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2553 โดยสามารถโค่นแชมป์เก่าอย่างสหรัฐได้สำเร็จ เพราะแรงหนุนจากโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยีที่ก้าวหน้า แรงงานที่มีทักษะสูง กฎหมายคนเข้าเมืองที่เอื้ออำนวย และวิธีการตั้งธุรกิจใหม่ที่มีประสิทธิภาพ ส่วนฮ่องกงตามมาเป็นอันดับ 2 ด้วยนโยบายทางธุรกิจและภาษีที่เอื้ออำนวย และการเข้าถึงแหล่งเงินทุนในการทำธุรกิจ

    สหรัฐ อันดับขีดแข่งขันในปีนี้ร่วงลงมาอยู่อันดับ 3 เนื่องจากความเชื่อมั่นที่เกิดจากนโยบายภาษีระลอกแรกของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ลดน้อยถอยลง แม้ว่าสหรัฐยังคงเป็นผู้นำของโลกด้านโครงสร้างพื้นฐาน และสมรรถนะทางเศรษฐกิจ แต่ความ สามารถในการแข่งขันของประเทศก็ได้รับผลกระทบจากราคาเชื้อเพลิงที่สูงขึ้น การส่งออกสินค้าไฮเทคที่ลดลง และค่าเงินดอลลาร์ที่ผันผวน

    ทั้งนี้ ดอลลาร์สหรัฐผันผวนเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์ก ขณะที่ข้อมูล ภาคการผลิตที่น่าผิดหวังของสหรัฐ และความ ตึงเครียดด้านการค้าโลก ทำให้นักลงทุนวิตกเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจสหรัฐ และแนวโน้มของดอลลาร์ในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัย

    ขณะที่ เจพีมอร์แกน คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะมีการขยายตัวเพียง 1% ในไตรมาส 2 ลดลงจากระดับ 2.25% ที่มีการคาดการณ์ก่อนหน้านี้ หลังจากมีการขยายตัว 3.2% ในไตรมาสแรก

    "ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนของสหรัฐย่ำแย่ในเดือนเม.ย. โดยเฉพาะรายละเอียดเกี่ยวกับคำสั่งซื้อสินค้าทุน หลังการเปิดเผย ยอดค้าปลีกที่ซบเซาในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งบ่งชี้ว่าการขยายตัวของเศรษฐกิจในไตรมาส 2 จะดิ่งลงอย่างมากจากไตรมาสแรก" รายงานระบุ

    นอกจากนี้ เจพีมอร์แกน ยังคาดการณ์ว่า มีความเป็นไปได้ที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจดำเนินการด้านนโยบายครั้งต่อไป ด้วยการปรับขึ้น หรือปรับลดอัตราดอกเบี้ย จากเดิมที่คาดการณ์ว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเท่านั้น "ความเสี่ยงต่อการขยายตัวของ เศรษฐกิจสหรัฐรวมถึงความไม่แน่นอนของการทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและประเทศคู่ค้า ซึ่งส่งผลกระทบต่อความ เชื่อมั่นในภาคธุรกิจ และทำให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัวลง" เจพี มอร์แกน ระบุ

    ขณะเดียวกัน กระทรวงพาณิชย์สหรัฐ เปิดเผยว่า ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนของสหรัฐ เช่น เครื่องบิน รถยนต์ และเครื่องจักรขนาดใหญ่ที่มีอายุการใช้งานตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป ร่วงลง 2.1% ในเดือนเม.ย. หลังจากเพิ่มขึ้น 1.7% ในเดือน มี.ค. การดิ่งลงของยอดสั่งซื้อ สินค้าคงทนในเดือน เม.ย. ได้รับผลกระทบ จากการร่วงลงของคำสั่งซื้อเครื่องบิน และรถยนต์

    ส่วนยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนพื้นฐาน ซึ่งเป็นคำสั่งซื้อสินค้าทุนที่ไม่รวม เครื่องบิน และสินค้าด้านอาวุธ ที่เป็นสิ่งบ่งชี้แผนการใช้จ่ายของภาคธุรกิจ ลดลง 0.9% ในเดือนเม.ย. ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าลดลง 0.3% หลังจากเพิ่มขึ้น 0.3% ในเดือน มี.ค. และเมื่อเทียบรายปี ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนพื้นฐานดีดตัวขึ้น 2.6% ในเดือน เม.ย.

    นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐ ยังเปิดเผยว่า ยอดค้าปลีกลดลง 0.2% ในเดือน เม.ย. สวนทางนักวิเคราะห์ที่คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 0.2% ซึ่งการปรับตัวลงของยอดค้าปลีกในเดือนเม.ย.ได้รับผลกระทบ จากการร่วงลงของยอดขายรถยนต์

    ศาสตราจารย์อาร์ทูโร บริส ผู้อำนวยการ ประจำศูนย์กลางด้านการแข่งขันโลกของไอเอ็มดี ซึ่งเป็นศูนย์วิจัยที่ทำรายงานจัดอันดับครั้งนี้ กล่าวว่า สำหรับปีที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนในตลาดโลก ที่เป็นผลมาจากสถานการณ์ทางการเมืองและความสัมพันธ์ทางการค้าที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในหลายประเทศ ดูเหมือนว่าคุณภาพของภาคสถาบันจะเป็นปัจจัยสำคัญที่สร้างความเจริญรุ่งเรืองให้กับประเทศ กรอบการทำงานที่แข็งแกร่งของภาคสถาบันสร้างความมั่นใจให้ภาคธุรกิจ ลงทุนและพัฒนานวัตกรรม รวมถึง สร้างหลักประกันว่าประชาชนจะมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

    บรรดานักเศรษฐศาสตร์มองว่า ความสามารถในการแข่งขันมีความสำคัญต่อสภาวะทางเศรษฐกิจในระยะยาวของแต่ละประเทศ เนื่องจากช่วยให้ภาคธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน ช่วยสร้างงาน และยกระดับความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชน

    โรงเรียนธุรกิจไอเอ็มดี จัดทำรายงานและจัดอันดับความสามารถด้านการแข่งขัน เป็นครั้งแรกเมื่อปี 2532 โดยใช้ตัวบ่งชี้ 235 ประการ ในการจัดอันดับ 63 ประเทศ ประกอบด้วยข้อมูลอย่างหยาบ เช่น อัตราว่างงาน ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) และการใช้จ่ายของรัฐบาลในด้านสาธารณสุขและการศึกษา รวมถึงข้อมูลอย่างละเอียดจากการสำรวจความคิดเห็นของผู้บริหารในประเด็นต่างๆ เช่น ความสมานฉันท์ในสังคม โลกาภิวัตน์ และการคอร์รัปชัน

    ในรายงานจัดอันดับปีนี้ สวิตเซอร์แลนด์ ไต่ขึ้นมาสู่อันดับ 4 จากเดิมที่อันดับ 5 โดยได้รับแรงหนุนจากเศรษฐกิจที่ เติบโต เงินฟรังก์สวิสที่มีเสถียรภาพ และโครงสร้างพื้นฐานคุณภาพสูง ส่วนซาอุดีอาระเบีย เป็นประเทศที่มีอันดับดีขึ้นมากที่สุดในปีนี้ โดยกระโดดขึ้นมา 13 ขั้น จนรั้งอันดับ 26

    ในบรรดา 10 ประเทศที่มีความสามารถในการแข่งขันสูงสุดในโลกในปีนี้ ได้แก่ สิงคโปร์ ฮ่องกง สหรัฐ สวิตเซอร์แลนด์ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เนเธอร์แลนด์ ไอร์แลนด์ เดนมาร์ก สวีเดน และกาตาร์ ส่วนเวเนซุเอลา ยังคงรั้งท้ายตาราง โดยได้รับผลกระทบจากภาวะเงินเฟ้อ การเข้าไม่ถึง สินเชื่อ และเศรษฐกิจที่อ่อนแอ

    สำหรับเขตเศรษฐกิจในกลุ่ม อาเซียนที่ได้รับการจัดอันดับ 5 เขต เศรษฐกิจ มีอันดับดีขึ้นเกือบทั้งหมด ประกอบด้วยสิงคโปร์ ซึ่งขึ้นมาอยู่อันดับที่ 1 มาเลเซียมีอันดับคงที่ที่ 22 เช่นเดียวกับปีที่แล้ว

    ส่วนประเทศไทยสูงขึ้น 5 อันดับ จากอันดับที่ 30 เป็นอันดับ 25 อินโดนีเซีย มีอันดับดีขึ้นอย่างก้าวกระโดดจาก อันดับที่ 43 เป็นอันดับ 32 และฟิลิปปินส์ จากอันดับที่ 50 เป็นอันดับ 46
    Source: กรุงเทพธุรกิจ
    เพิ่มเติม
    - Climb in competitiveness whets appetite for more
    http://www.nationmultimedia.com/detail/Economy/30370230
    - IMD เผยอันดับความสามารถการแข่งขัน 2019
    https://thestandard.co/worlds-most-competitive-economy/
     
  2. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,823
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students

    PSX_20190530_201931.jpg

    (May 30) มหาเธร์ยัน! มาเลย์จะใช้ “หัวเว่ย” ให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ : มาเลเซียจะยังคงใช้สินค้าของหัวเว่ยให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ สวนทวงแนวโน้มทั่วโลกที่เกิดจากความกังวลด้านความมั่นคงและการแบนบริษัทจีนของสหรัฐฯ นายกรัฐมนตรีของประเทศนี้ กล่าววันนี้ (30)

    มหาเธร์ โมฮาหมัด กล่าวในการประชุมในกรุงโตเกียว ยอมรับถึงความกังวลด้านความมั่นคง แต่กล่าวว่า มันจะไม่ขัดขวางมาเลเซีย

    “แน่นอน อาจมีการสอดแนมเกิดขึ้นบ้าง แต่มีอะไรให้ต้องสอดแนมในมาเลเซียล่ะ เราไม่มีอะไรต้องปิดบัง” นายกรัฐมนตรีวัย 93 ปี กล่าวในงานประชุมฟิวเตอร์ออฟเอเชีย

    มหาเธร์ กล่าวว่า หัวเว่ยมีการเข้าถึงงานวิจัย “มากกว่าของมาเลเซียทั้งหมด ดังนั้นเราจึงพยายามใช้เทคโนโลยีของพวกเขาให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้”

    “ทุกคนทราบดีว่า หากประเทศใดต้องการรุกรานมาเลเซีย พวกเขาสามารถผ่านไปได้ง่ายๆ และเราจะไม่ขัดขืนเพราะว่ามันเสียเวลา” เขากล่าวเสริม

    ความคิดเห็นของเขาออกมาหลังจากกระแสวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับบริษัทโทรคมนาคมของจีนรายนี้ที่ถูกกล่าวหาว่าทำการจารกรรมและถูกแบนจากสหรัฐฯ

    ประเทศจำนวนหนึ่งห้ามไม่ให้หัวเว่ยทำงานเกี่ยวกับเครือข่ายอุปกรณ์เคลื่อนที่ในประเทศพวกเขา และหลายบริษัทปลีกตัวออกจากบริษัทนี้หลังการแบนของสหรัฐฯ โดยอ้างความจำเป็นทางกฎหมาย

    ข้อขัดแย้งนี้เกิดขึ้นในขณะที่สหรัฐฯและจีนเพิ่มกำแพงภาษีตอบโต้กัน พร้อมกับกล่าวหาอีกฝ่ายว่ามีพฤติกรรมการค้าที่ไม่เป็นธรรม

    มหาเธร์เตือนเกี่ยวกับการตอบโต้อันดุเดือดระหว่างปักกิ่งและวอชิงตัน ซึ่งเกิดขึ้นในขณะที่สองมหาอำนาจและพันธมิตรพวกเขาประจันหน้ากันในน่านน้ำพิพาททะเลจีนใต้

    มหาเธร์ กล่าวว่า สหรัฐฯ และตะวันตกต้องยอมรับว่าตอนนี้ หลายชาติในเอเชียกำลังผลิตสินค้าที่สามารถแข่งขันได้ และไม่ควรข่มขู่คู่แข่งทางธุรกิจ

    “แน่นอน ผมเข้าใจว่าหัวเว่ยมีความก้าวหน้าเหนือเทคโนโลยีของอเมริกาอย่างมาก สหรัฐฯ ต้องแข่งขันกับจีน จีนและสหรัฐฯ จะผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะ” เขากล่าว

    เขาเตือนว่า ความสัมพันธ์ตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯและจีนอาจส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ในทะเลจีนใต้ ซึ่งจีนอ้างอำนาจอธิปไตยทับซ้อนกับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคนี้

    เขายังเรียกร้องความสงบในพื้นที่นี้ด้วย และเตือนว่า เหตุการณ์เล็กๆ อาจนำไปสู่ความรุนแรงได้โดยง่าย

    Source: ผู้จัดการออนไลน์

    - Malaysia’s Mahathir: We try to use Huawei technology ‘as much as possible’
    https://www.cnbc.com/2019/05/30/mahathir-we-try-to-use-huawei-technology-as-much-as-possible.html
     
  3. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,823
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students

    FB_IMG_1559222542279.jpg

    (May 30) บล็อกเชนของไทย สู่บริการหนังสือค้ำประกันอิเล็กทรอนิกส์ 100% : นายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ความร่วมมือภายใต้ Thailand Blockchain Community Initiative มีความก้าวหน้าอย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะการศึกษาเทคโนโลยี Blockchain และนำมาพัฒนาเป็นบริการที่จับต้องได้จริงในภาคการเงินและภาคธุรกิจ ซึ่งเริ่มต้นจากธนาคารพาณิชย์ 14 ราย ร่วมกับรัฐวิสาหกิจ และธุรกิจขนาดใหญ่ในปีที่แล้ว จนถึงปัจจุบันมีธนาคารพาณิชย์เข้าร่วมเพิ่มเติมเป็น 22 ราย และมีการจัดตั้งบริษัท บีซีไอ (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งจะเป็นผู้ให้บริการหนังสือค้ำประกันอิเล็กทรอนิกส์บนระบบบล็อกเชนเป็นบริการแรก นับว่าเป็นก้าวสำคัญในการสร้างความร่วมมือ และขยายชุมชน Blockchain ของไทยให้เกิดประโยชน์ในวงกว้าง สามารถรองรับบริการที่หลากหลายในอนาคต และช่วยยกระดับความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจ จากการใช้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐาน (shared infrastructure) และเทคโนโลยี Blockchain ร่วมกัน ซึ่งจะสร้างประโยชน์ต่อเศรษฐกิจไทยในภาพรวม ไม่เฉพาะต่อภาคการเงินของไทย แต่จะมีประโยชน์โดยตรงต่อการดำเนินธุรกิจของภาคเอกชนและการให้บริการของภาครัฐด้วย ซึ่งหวังว่าบีซีไอจะเป็นกลไกสำคัญที่จะช่วยขยายความร่วมมือด้าน Blockchain ในวงกว้างมากขึ้นต่อไป ทั้งในแง่บริการที่หลากหลายและครอบคลุมกลุ่มผู้เกี่ยวข้องที่มากขึ้น
    นายปรีดี ดาวฉาย ประธานสมาคมธนาคารไทย และประธานกรรมการ บริษัท บีซีไอ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ปัจจุบันเทคโนโลยีบล็อกเชนได้รับการยอมรับจากทั่วโลกและมีการนำมาใช้กว้างขวางมากขึ้น ในขณะที่ในประเทศไทยก็เริ่มใช้บล็อกเชนในทางธุรกิจ เพื่อเพิ่มความสะดวก ปลอดภัย สามารถลดการจัดการเอกสารที่เป็นกระดาษได้มาก และเพื่อยกระดับความร่วมมือ Thailand Blockchain Community Initiative อย่างเป็นรูปธรรม จึงร่วมกันจัดตั้ง บริษัท บีซีไอ (ประเทศไทย) จำกัดขึ้น ซึ่งเป็นความร่วมมือระดับประเทศของสถาบันการเงินและองค์กรต่าง ๆ ในการศึกษา พัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม และสร้างบริการที่ทันสมัยภายใต้การกำกับดูแลที่ดี ด้วยการเชื่อมต่อทุกธนาคารที่เข้าร่วมด้วยแพลทฟอร์มเดียวกัน เพื่อพัฒนาและต่อยอดระบบให้เป็นโครงสร้างพื้นฐานของประเทศและผลักดันเทคโนโลยีให้เข้าถึงทุกกลุ่มธุรกิจ เสริมประสิทธิภาพ ช่วยยกระดับการแข่งขันให้กับธุรกิจและเศรษฐกิจไทยอย่างยั่งยืน
    ทั้งนี้ บริการหนังสือค้ำประกันอิเล็กทรอนิกส์บนเทคโนโลยีบล็อกเชนเป็นบริการแรกของบริษัท ที่มุ่งหวังให้ธุรกิจทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่สามารถเข้าถึง ใช้งานได้จริง ด้วยต้นทุนที่รับได้ ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนในการจัดการเอกสารและการดูแลข้อมูล ตลอดจนลดขั้นตอนในการทำงาน ภายใต้ความปลอดภัยระดับโลก โดยเป็นการรับรองหนังสือค้ำประกัน ผ่านระบบ Cloud Technology ตั้งแต่ต้นจนจบกระบวนการ อาศัยเทคโนโลยีบล็อกเชนซึ่งช่วยให้การใช้งานคล่องตัว ปลอดภัย เชื่อถือได้ ป้องกันการปลอมแปลงหนังสือค้ำประกัน รองรับการทำธุรกรรม และสามารถตรวจสอบสถานะได้ตลอด 24 ชั่วโมง เพิ่มประสิทธิภาพของกระบวนการ ทำให้ผู้ออกหนังสือค้ำประกันสามารถวางหนังสือค้ำประกันได้เร็วขึ้น ผู้รับวางหนังสือค้ำประกันสามารถตรวจสอบเอกสารได้อย่างรวดเร็วบนระบบอิเล็กทรอนิกส์100%
    บริการหนังสือค้ำประกันอิเล็กทรอนิกส์บนบล็อกเชนนี้จะเริ่มใช้งานในเดือนมิถุนายนนี้ ภายใต้การทดสอบใน Regulatory Sandbox ของ ธปท. และสามารถรองรับองค์กรที่เป็นผู้รับหนังสือค้ำประกันเพิ่มได้ในไตรมาส 3 และในอนาคตจะมีการพัฒนาบริการอื่น ๆ บนเทคโนโลยีบล็อกเชนเพิ่มขึ้นด้วย โดยตั้งเป้าเพิ่มการใช้งานหนังสือค้ำประกันอิเล็กทรอนิกส์บนบล็อกเชนเป็น 50% ของหนังสือค้ำประกันทั้งประเทศ ภายใน 3 ปี จากมูลค่าหนังสือค้ำประกันผ่านระบบสถาบันการเงินไทยทั้งภาครัฐและเอกชนกว่า 1.35 ล้านล้านบาท จำนวนมากกว่า 500,000 ฉบับต่อปี
    ข้อมูลบริษัท
    บริษัท บีซีไอ (ประเทศไทย) จำกัด ก่อตั้งจากเงินลงทุนเริ่มต้นของ 6 ธนาคารพาณิชย์ไทย คือ ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารทหารไทย และธนาคารไทยพาณิขย์ ซึ่งจะร่วมใช้งานระบบพร้อมกับอีก 16 ธนาคารที่เข้าร่วมในปัจจุบัน ได้แก่ ธนาคารเกียรตินาคิน ธนาคารซิตี้แบงก์ เอ็น.เอ. ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย ธนาคารซูมิโตโม มิตซุย แบงกิ้ง คอร์ปอเรชั่น ธนาคารทิสโก้ ธนาคารธนชาต ธนาคารบีเอ็นพี พารีบาส์ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย ธนาคารมิซูโฮ ธนาคารยูโอบี ธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) ธนาคารออมสิน ธนาคารไอซีบีซี (ไทย) และธนาคารฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้แบงกิ้งคอร์ปอเรชั่น พร้อมทั้งกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ที่ร่วมใช้งาน9 ราย ได้แก่ การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) บมจ. ไทยออยล์ บมจ. ปตท. เอสซีจี บมจ. พีทีที โกลบอล เคมิคอล บจก. จีซี มาร์เก็ตติ้ง โซลูชั่นส์ และ บมจ. ไออาร์พีซี โดยมีผู้เชี่ยวชาญที่ช่วยสนับสนุนด้านเทคโนโลยี ให้คำปรึกษาในการจัดตั้งบริษัท รวมถึงด้านกฎหมาย 6 บริษัท ได้แก่ บจก. เอคเซนเชอร์ โซลูชั่นส์ บจก. เบเคอร์ แอนด์ แม็คเค็นซี่ บจก. ศูนย์ประมวลผล บจก. ไอบีเอ็ม ประเทศไทย บจก. ทีบีเอ็น ซอฟต์แวร์ และบจก. กสิกร บิซิเนส - เทคโนโลยี กรุ๊ป (KBTG)
    Source: ผู้จัดการออนไลน์
    https://mgronline.com/stockmarket/detail/9620000051147
    **********************************
    Thai and international organizations join forces to upgrade Thailand’s blockchain BCI has been established to develop the country’s infrastructure and promote the use of technologies in the business sector
    At the Bank of Thailand, Dr. Veerathai Santiprabhob, Bank of Thailand Governor, and Mr. Predee Daochai, Chairman of Thai Bankers' Association and Chairman of the Board of Directors of BCI (Thailand) Co., Ltd., together with other executives of various organizations, recently participated in a press conference on the establishment of BCI (Thailand) Co., Ltd., marking the first time in the world's banking industry in which Thai and international banks collaborate to use blockchain on the same operating system. This collaborative effort aims to see 50 percent increase in the use of blockchain-based letter of guarantee within three years, which will help slash operating costs, enhance competitiveness for both businesses and the nation, alike.
    List of executives (from left to right)
    Mr. Thakorn Piyapan, Head of Krungsri Consumer Group, Bank of Ayudhya
    Mr. Kukkong Ruckphaopunt, Executive Vice President, Customer Service Management and Technology Division, Bangkok Bank
    Mr. Silawat Santivisat, Senior Executive Vice President, KASIKORNBANK
    Mr. Veerathai Santiprabhob, Bank of Thailand Governor
    Mr. Predee Daochai, Chairman of Thai Bankers' Association and Chairman of the Board of Directors - BCI (Thailand) Co., Ltd.
    Mr. Tawatchai Cheevanon, First Executive Vice President, Krungthai Bank
    Mr. Ittiphan Jearkjirm, Executive Vice President, Global Transaction Banking Services Division, Siam Commercial Bank
    Mr. O-Larn Sukalavanij, Head of Commercial Credit Product, TMB Bank
    Source: https://www.thaipr.net/finance/934772
     
  4. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,823
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students

    PSX_20190530_202623.jpg

    (May 30) ธนาคารกลางสหรัฐฯ ควรที่จะหลีกเลี่ยงการดำเนินนโยบายการเงินแบบตึงตัว : นาง Judy Shelton, นักเศรษฐศาสตร์แนวคิด Conservative และเป็นหนึ่งในตัวเก็งผู้ที่ประธานาธิบดี Trump กำลังพิจารณาเสนอชื่อเข้ารับตำแหน่งที่ว่างลงใน Federal Reserve Board กล่าวให้ความเห็นว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ ควรที่จะหลีกเลี่ยงการดำเนินนโยบายการเงินแบบตึงตัว ในขณะที่สหรัฐฯ ยังคงมีข้อพิพาททางการค้ากับประเทศจีน เนื่องจากทางการจีนสามารถที่จะใช้เครื่องมือที่จะส่งผลกระทบเชิงลบต่อประเทศอื่นได้ เช่น การแทรกแซงในตลาดเงินตราต่างประเทศ และการกระตุ้นทางการคลัง

    ทั้งนี้ นาง Shelton ระบุว่า ตนไม่ต้องการที่จะให้ Fed กลายเป็นภาระและกระทำสิ่งที่ผิดพลาด ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการเติบโตที่ดีของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในอนาคตได้

    นอกจากนี้ นาง Shelton ยังได้กล่าวสนับสนุนท่าทีที่แข็งกร้าวของรัฐบาลในเรื่องนโยบายการค้าต่างๆ ที่ต่อสู้เพื่อให้ได้ข้อตกลงที่ดีที่สุดสำหรับประเทศ

    อนึ่ง นาง Shelton เคยเป็นที่ปรึกษาให้แก่ประธานาธิบดี Trump ในช่วงการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ปี 2016 และถูกเสนอชื่อโดยประธานาธิบดี Trump ให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการของ the European Bank for Reconstruction and Development ซึ่งผ่านความเห็นชอบจากสมาชิกวุฒิสภาในปี 2018

    Source: BOTSS

    - Fed Shouldn't Be Trade-War Burden, Possible Fed Nominee Says: https://www.bloomberg.com/news/arti...helton-says-monetary-policy-should-aid-growth
     
  5. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,823
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students

    PSX_20190530_202956.jpg

    (May 30) คณะกรรมาธิการยุโรปเตือนถึงรัฐบาลอิตาลีว่าไม่มีความคืบหน้าที่ดีเพียงพอในการปรับลดระดับหนี้เพื่อให้ตัวเลขขาดดุลการคลังอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์มาตรฐานของสหภาพยุโรป : คณะกรรมาธิการยุโรป (European Commission) ร่างจดหมายถึง นาย Giovanni Tria รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคลังอิตาลี เพื่อสอบถามถึงความคืบหน้าในการปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ด้านการคลังของสหภาพยุโรปจากรัฐบาลอิตาลี โดยในจดหมายระบุว่า รัฐบาลอิตาลียังไม่มีความคืบหน้าที่ดีเพียงพอในการปรับลดระดับหนี้เพื่อให้ตัวเลขขาดดุลการคลังอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์มาตรฐานของสหภาพยุโรป พร้อมทั้งเรียกร้องให้รัฐบาลอิตาลีชี้แจงถึงสาเหตุของความล่าช้าในกระบวนการดังกล่าวต่อคณะกรรมาธิการยุโรปภายในวันที่ 31 พ.ค. 2019

    คณะกรรมาธิการยุโรประบุว่า ขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างพิจารณาบทลงโทษต่ออิตาลีในประเด็นดังกล่าว ซึ่งอาจต้องใช้ระยะเวลาในการพิจารณาพอสมควรก่อนจะให้คณะรัฐมนตรีด้านการคลังของสหภาพยุโรปลงนามใน “Excessive Deficit Procedure Recommendation” และส่งให้แก่รัฐบาลอิตาลี ซึ่งหลังจากนั้นจะนำไปสู่การบังคับใช้มาตรการลงโทษผ่านการเรียกเก็บ “Non-Interest Bearing Deposit” จากอิตาลีเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 0.2 ของ GDP หรือคิดเป็นเงินประมาณ 3.5 พันล้านยูโร โดยคาดว่ากระบวนการต่างๆ จะได้รับการเปิดเผยพร้อมกับรายงาน EU’s regular budget monitoring reports ในวันที่ 5 มิ.ย.

    นาย Giovanni Tria รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคลังอิตาลี กล่าวว่า รัฐบาลอิตาลีได้รับทราบถึงข้อความในจดหมายของคณะกรรมาธิการยุโรปแล้ว และพร้อมจะตอบทุกข้อคำถามของคณะกรรมาธิการยุโรป แต่ปฏิเสธที่จะระบุถึงกำหนดเวลาในการตอบข้อสงสัยดังกล่าว ขณะที่ นาย Matteo Salvini รองนายกรัฐมนตรีอิตาลี แสดงท่าทีปฏิเสธต่อข้อเรียกร้องของคณะกรรมาธิการยุโรป ทั้งนี้ หลายฝ่ายคาดการณ์ว่า รัฐบาลอิตาลีอาจอ้างถึงพัฒนาการทางเศรษฐกิจของอิตาลีที่ปรับดีขึ้น การปรับลดการใช้จ่ายภาครัฐ แผนการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ และการปรับลดเงินอุดหนุนด้านสวัสดิการสังคม ในจดหมายชี้แจงที่จะตอบกลับไปยังคณะกรรมาธิการยุโรป

    Source: BOTSS

    - EU wants answers from Italy over debt: https://www.dw.com/en/eu-wants-answers-from-italy-over-debt/a-48971946

    เรื่องเดิม
    - วิกฤตหนี้อิตาลี วิกฤตใหม่ของยูโรโซน : https://www.prachachat.net/world-news/news-322256

    - EU ไฟเขียวขยายเวลาโครงการค้ำประกันหนี้เสียภาคธนาคารอิตาลีออกไปจนถึงพ.ค.2563 : https://www.ryt9.com/s/iq29/2995295
     
  6. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,823
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students

    PSX_20190530_203337.jpg

    (May 29) ผู้เชี่ยวชาญคาดอเมริกาไม่คิดฆ่าหัวเว่ยแค่บีบให้ยอมรับผิดทำธุรกิจกับอิหร่าน - ผู้เชี่ยวชาญคาดว่า หากการห้ามการขายเทคโนโลยีในสหรัฐอเมริกาให้กับหัวเว่ยเป็นไปอย่างถาวร รัฐบาลอเมริกาจะทำให้อุปกรณ์สื่อสารโทรคมนาคมจีนยักษ์ใหญ่หลุดออกจากธุรกิจ แต่อย่างไรก็ตาม การขยายไปถึงบริษัทจีนในวงกว้างดังที่ลือกัน วอชิงตันจะก่อความเสียหายทางเศรษฐกิจอย่างมาก ไม่เพียงแต่กับจีน แต่ยังรวมถึงธุรกิจในสหรัฐอเมริกาและต่างประเทศด้วย เชื่อว่าอาจต่อรองกำหนดให้หัวเว่ยต้องสารภาพความผิดทางอาญา ในข้อกล่าวหาเชื่อมโยงทางธุรกิจกับอิหร่าน เพื่อเป็นเงื่อนไขของการพักคำสั่งแบน

    ทอม ฮอลแลนด์ อดีตคอลัมนิสต์ หนังสือพิมพ์ "เซาท์ไชน่า มอร์นิงโพสต์" ผู้เชี่ยวชาญกิจการในเอเชียมานานกว่า 25 ปี ระบุว่า ในระยะยาวโลกอาจจะแยกเป็นสองกลุ่มที่เข้ากันไม่ได้ ซึ่งอาจส่งผลร้ายต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ในอนาคต แต่จะไปถึงวันนั้นหรือ ก็คงไม่

    อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงทางการค้าที่เกิดขึ้นนั้นมีด้านดีอยู่ เมื่อสัปดาห์ที่แล้วสื่อในแผ่นดินใหญ่เต็มไปด้วยสำนวนชาตินิยมอย่างชัดเจนเกี่ยวกับวิธีที่หัวเว่ยสามารถประสบความสำเร็จได้ แม้จะถูกแบนจากสหรัฐฯ โดยจีนจะพัฒนาเทคโนโลยีของตนเอง ทดแทนเทคโนโลยีของสหรัฐฯ

    อุปกรณ์เครือข่ายและสมาร์ทโฟนของ หัวเว่ย นั้นพึ่งพาส่วนประกอบของสหรัฐอเมริกาเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุปกรณ์กึ่งตัวนำและซอฟต์แวร์ ส่วนประกอบเหล่านี้บางส่วนไม่สามารถเปลี่ยนได้อย่างง่ายดายด้วยชิ้นส่วนที่ไม่ใช่ของสหรัฐฯ แม้สามารถทำได้โดยใช้ผลิตภัณฑ์เกาหลีหรือญี่ปุ่นทดแทน แต่โดยทั่วไปก็ยังเป็นการผลิตโดยใช้ทรัพย์สินทางปัญญาของสหรัฐอเมริกา ซึ่งหมายความว่าซัปพลายเออร์เกาหลีและญี่ปุ่นจะต้องถูกปรับ หากขายอุปกรณ์ให้กับหัวเว่ย จึงเป็นเหตุผลอธิบายว่า ในสัปดาห์ที่แล้ว ทำไมพานาโซนิคและฮิตาชิหยุดการจัดส่งส่วนประกอบสำคัญๆ ให้กับบริษัทจีน

    มีการพูดถึงกันมากเกี่ยวกับความสามารถของหัวเว่ย ในการประคองตัวอยู่รอดจากการควบคุมการส่งออก เนื่องจากเป็นเจ้าของบริษัท HiSilicon ซึ่งเป็นบริษัทเซมิคอนดักเตอร์ของตนเอง กำลังปลดแอกทำให้เป็นจีนอิสระจากการ พึ่งพาชิปที่ผลิตในสหรัฐฯ แต่ผลิตภัณฑ์ของ HiSilicon ก็ยังพึ่งพาการออกแบบจากต่างประเทศ ตัวอย่างเช่น "ระบบบนชิป" ใช้โปรเซสเซอร์ที่ออกแบบโดย ARM of Cambridge ในสหราชอาณาจักร อันที่จริงแล้ว สมาร์ทโฟนทุกเครื่องในโลกนี้พึ่งพา ARM และเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ARM ก็ได้แถลงไม่ร่วมงานกับหัวเว่ย เพราะการออกแบบของตนเป็นทรัพย์สินทางปัญญาของสหรัฐฯ แม้เจ้าหน้าที่จีนอ้างว่า การควบคุมการส่งออกของสหรัฐฯ ไม่มีผลกับธุรกิจ ปักกิ่งกำลังวางแผนที่จะจัดเสบียง "เดินทัพทางไกล" เพื่อพัฒนาการออกแบบชิปเซมิคอนดักเตอร์และซอฟต์แวร์ในบ้านของตนเอง

    เหริน เจิ้งเฟย ผู้ก่อตั้งของหัวเว่ย ยอมรับเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า " จีนไม่สามารถประสบความสำเร็จได้ หากขึ้นอยู่กับนวัตกรรมในประเทศ" เขากล่าวกับสื่อ แผ่นดินใหญ่ "เพราะจะเสียเวลามากกับนวัตกรรม" ประเด็นของเหริน คือ การสร้างเฟืองขับเคลื่อนใหม่นั้น ไม่ว่าจะมีความพยายามสนับสนุนเงินทุนอย่างฟุ่มเฟือยเพียงใด ก็ยังไม่คุ้มเท่ากับการแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างประเทศแบบเปิด ใน ทางกลับกัน ประเทศจีนจึงเป็นลูกค้านำเข้าเทคโนโลยีรายใหญ่ของสหรัฐฯ การ ตัดจีนออกจากธุรกิจนี้ ก็เหมือนสหรัฐฯ ฆ่าตัวเองเช่นกัน

    ด้วยเหตุนี้ ผู้เชี่ยวชาญ จึงมองว่า รัฐบาลสหรัฐฯ มีแนวโน้มที่จะไม่ทำลายหัวเว่ย แต่อาจจะใช้วิธีตัดปีก ด้วยการบังคับใช้การสั่งห้ามการขายเทคโนโลยีขั้นสูงของสหรัฐอเมริกาบางส่วน ซึ่งก็คงเพียงพอที่จะสร้างความพึงพอใจให้กับทุกฝ่าย ในประเด็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของสหรัฐอเมริกา

    ทอม กล่าวว่า สหรัฐฯ อาจต่อรองกำหนดให้หัวเว่ยต้องสารภาพความผิดทางอาญา ในข้อกล่าวหาเชื่อมโยงทางธุรกิจกับอิหร่าน เพื่อเป็นเงื่อนไขของการพักคำสั่งแบนบริษัทจีน ซึ่งแน่นอนว่าบริษัทจีนคงไม่พอใจ แต่ก็อาจเป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุดสำหรับทุกคนที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นหัวเว่ย จีน สหรัฐอเมริกา และประเทศอื่น

    Source: ผู้จัดการรายวัน 360 องศา

    - China’s wrong, the US can kill off Huawei. But here’s why it won’t : https://www.scmp.com/week-asia/opin...as-wrong-us-can-kill-huawei-heres-why-it-wont
     
  7. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,823
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students

    PSX_20190530_203653.jpg

    (May 29) เทควอร์' ฟาด 'แอปเปิล' : การประกาศใช้อำนาจพิเศษของ "โดนัลด์ ทรัมป์" ประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 15 พ.ค. ที่ผ่านมา นับว่าเป็นการจุดชนวน "สงครามเทคโนโลยี" กับประเทศจีนอย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อ "หัวเว่ย" ทำให้บรรดาผู้ให้บริการมือถือทั้งอังกฤษ ญี่ปุ่น ออกมาประกาศไม่ขายสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ของหัวเว่ย

    ขณะที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ประเมินว่า "แอปเปิล" อยู่จุดเสี่ยงที่จะกลายเป็นเหยื่อการตอบโต้จากความเป็น "ชาตินิยม" ของคนจีนซีเอ็นบีซีรายงานว่า "โรด ฮอลล์" นักวิเคราะห์จากโกลด์แมน แซกส์ เป็นผู้เชี่ยวชาญคนแรก ๆ ที่ออกมาระบุว่า สงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีน ที่ลุกลามมาเป็นข้อพิพาทด้านเทคโนโลยี อาจทำให้เกิดผลเสียหายมหาศาลต่อ "แอปเปิล" บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ของสหรัฐ โดยรายได้ของแอปเปิลที่มาจากตลาดจีนมากกว่า 17% ของยอดขายรวมไตรมาสที่ผ่านมา (ม.ค.-มี.ค. 2019) และสร้างกำไรให้บริษัทมากถึง 29%

    ดังนั้น มีความเป็นไปได้สูงที่รายได้ของแอปเปิลในตลาดจีนจะได้รับผล กระทบ และลดลงถึง 29% หากจีนประกาศแบนสินค้าของแอปเปิล เพื่อตอบโต้ที่สหรัฐประกาศห้ามไม่ให้บริษัทเทคโนโลยีของสหรัฐทำธุรกิจกับบริษัทของจีน ด้วยการอ้างเหตุผลเรื่องความมั่นคงของชาติ

    นายแมทธิว คาบรัล นักวิเคราะห์ของ เครดิต สวิส ประเมินว่า สถานการณ์ความขัดแย้งของ 2 ประเทศมหาอำนาจโลก จะส่งผลทำให้กำไรต่อหุ้นของแอปเปิลลดลงราว 15 เซนต์/หุ้น ต่อยอดขายในจีนที่ลดลงทุก ๆ 5% หรืออาจลดลงมากถึง 30 เซนต์/หุ้น หากสงครามเทคโนโลยีรุนแรงถึงขั้นมีการออกมาตรการคว่ำบาตรสินค้าแอปเปิลอย่างเป็นทางการ

    หลักฐานที่สนับสนุนการวิเคราะห์ เหล่านี้ เริ่มต้นจากที่ "หู สีจิน" บรรณาธิการของ Global Times สำนักข่าวชั้นนำของจีน ที่ทวีตข้อความในวันเดียวกันกับบทวิเคราะห์ของโกลด์แมน แซกส์ ระบุว่า "ผมเปลี่ยนมาใช้หัวเว่ย หลังจากที่ใช้แอปเปิลมาถึง 9 ปี ผมอาจไม่ได้ หมายถึงการบอยคอตสินค้าแอปเปิล แต่มันเป็นการสนับสนุนสินค้าของ หัวเว่ย ซึ่งอาจจะมีคุณภาพที่ดีกว่าด้วยซ้ำ"

    ขณะที่กระแส "บอยคอตแอปเปิล" ปรากฏขึ้นในสื่อโซเชียลชื่อดังของจีน "เว่ยป๋อ" (Weibo) ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มไมโครบล็อกคล้ายกับ "ทวิตเตอร์" ที่มีผู้ใช้งานหลายพันรายประกาศจะหยุดใช้แอปเปิล พร้อมทั้งกล่าวว่า รัฐบาลสหรัฐกลั่นแกล้งบริษัทเทคโนโลยีจีน ซึ่งมีคุณภาพที่ดีกว่า พร้อมกับมีการ เรียกร้องภาครัฐและภาคธุรกิจของจีน ให้ร่วมกันต่อต้านพฤติกรรมของสหรัฐ ด้วย

    โดยกระแสการบอยคอตแอปเปิลยังเกิดขึ้นต่อเนื่อง และลุกลามไปถึงภาคธุรกิจในบางอุตสาหกรรมแล้ว ตัวอย่าง เช่น เจ้าหน้าที่ระดับผู้บริหารของบริษัทผู้ผลิตแผงโซลาร์เซลล์รายใหญ่แห่งหนึ่งของจีน กล่าวกับ "เซาท์ ไชน่า มอร์นิ่ง โพสต์" ระบุว่า "ตนกลายเป็นแฟนของหัวเว่ยทันที ที่มีการประกาศใช้อำนาจโดยมิชอบของผู้นำสหรัฐ หลังจากที่ใช้แอปเปิลมานานเกือบทศวรรษ เพราะต้องการแสดงการสนับสนุนแบรนด์จีนในภาวะสงครามการค้า"

    ที่น่าสนใจก็คือ ผู้บริหารรายนี้ยังกล่าวอีกว่า "ทีมผู้บริหารของเราได้เปลี่ยนมาใช้สินค้าของหัวเว่ยหมดแล้ว หากเจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติการไม่เปลี่ยนตาม ก็เป็นสิ่งที่น่าละอายต่อประเทศชาติ"

    ขณะที่ เซาท์ ไชน่า มอร์นิ่ง โพสต์ รายงานยืนยันว่า ขณะนี้มีบริษัทจีนกว่า 20 ราย ที่ประกาศในสื่อสังคมออนไลน์ว่า จะเพิ่มสัดส่วนการซื้อผลิตภัณฑ์หัวเว่ยเพื่อสนับสนุนจีน และแสดงจุดยืนความเป็นชาตินิยมที่ยิ่งใหญ่

    "คิรันจีต คอร์" นักวิเคราะห์จากบริษัทวิจัย IDC ประจำเอเชีย-แปซิฟิก กล่าวว่า แม้จะยังไม่มีมาตรการต่อต้านสินค้าแอปเปิลจากรัฐบาลปักกิ่ง แต่กระแสความเป็นชาตินิยมของคนจีนน่าจะเป็นอาวุธที่จีนสามารถใช้ตอบโต้สหรัฐได้ ท่ามกลางสารพัดปัญหาของแอปเปิล ขณะที่ยอดขายตลาดจีน ปี 2018 ที่ผ่านมาก็ค่อนข้างซบเซา ส่วนหนึ่งมาจากการที่สหรัฐสั่งการให้จับกุมตัวซีเอฟโอของบริษัทหัวเว่ยที่แคนาดา นอกจากนี้ ยังมีข้อได้เปรียบที่จีนเป็นฐานผลิตใหญ่อุปกรณ์และชิ้นส่วนให้กับแอปเปิล ดังนั้นจีนน่าจะเหลืออาวุธหลายอย่างที่เอาไว้ต่อกรกับสหรัฐได้

    ก่อนหน้านี้ ทั้งเอกอัคราชทูตจีนประจำสหภาพยุโรป (อียู) และประจำ กรุงวอชิงตันได้กล่าวว่า รัฐบาลจีนไม่ได้ นิ่งเฉยที่จะตอบโต้ แต่อาจจะยังไม่ถึงเวลาที่จะสู้กับความไม่ชอบธรรมของสหรัฐ

    ดังนั้น หากประเมินเบื้องต้นแบบ หมัดต่อหมัดระหว่างสหรัฐกับจีน ดูเหมือน ว่าตอนนี้รัฐบาลวอชิงตันอาจจะหมด มุขโจมตีจีนแล้ว ขณะที่จีนกำลังรอเวลาให้สหรัฐอ่อนแรงลงเท่านั้น

    Source: ประชาชาติธุรกิจ

    เพิ่มเติม
    - Apple’s earnings would drop by nearly 30% if China bans its products, Goldman Sachs says
    https://www.cnbc.com/2019/05/22/gol...rly-30percent-if-china-bans-its-products.html

    - Citi slashes Apple outlook, saying trade war will likely cut China sales in half
    https://www.cnbc.com/2019/05/28/cit...de-war-likely-to-cut-china-sales-in-half.html
     
  8. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,823
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students

    PSX_20190530_204040.jpg

    (May 29) เผยเหตุที่สามประเทศอาเซียนถูกสหรัฐขึ้นบัญชีประเทศต้องจับตาเรื่องค่าเงิน : เว็บไซต์บลูมเบิร์กเผยสาเหตุที่สิงคโปร์ มาเลเซียและเวียดนามถูกกระทรวงคลังสหรัฐเพิ่มไว้ในรายชื่อประเทศที่ต้องเฝ้าติดตามเรื่องมาตรการค่าเงินอย่างใกล้ชิดในรายงานรายครึ่งปีที่เผยแพร่เมื่อวันอังคารตามเวลาท้องถิ่น ขณะที่นักเศรษฐศาสตร์มองว่าเป็นเกมกดดันจีน

    สหรัฐจะขึ้นชื่อประเทศคู่ค้าไว้ในรายงานประเทศที่ต้องเฝ้าติดตามเรื่องมาตรการค่าเงินอย่างใกล้ชิด หากเข้าเกณฑ์สองในสามอย่างประกอบด้วย การเกินดุลบัญชีเดินสะพัดกับสหรัฐร้อยละ 2 ของจีดีพี จากเดิมกำหนดไว้ที่ร้อยละ 3 การแทรกแซงตลาดเพื่อพยุงค่าเงินของตนเองอยู่เสมอ และการเกินดุลการค้าอย่างน้อย 20,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 636,889 ล้านบาท)

    บลูมเบิร์กระบุว่า กระทรวงคลังสหรัฐเพิ่มชื่อสิงคโปร์ไว้ในรายงานล่าสุดเนื่องจากปีที่แล้วเกินดุลบัญชีเดินสะพัดกับสหรัฐจำนวนมาก และซื้อสกุลเงินต่างประเทศสุทธิอย่างน้อย 17,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 541,621 ล้านบาท) คิดเป็นร้อยละ 4.6 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ หรือจีดีพี (GDP) ส่วนมาเลเซียเกินดุลการค้าสหรัฐ 27,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 859,736 ล้านบาท) เกินดุลบัญชีเดินสะพัดร้อยละ 2.1 ของจีดีพี และขายสกุลเงินต่างชาติสุทธิร้อยละ 3.1 ของจีดีพีเพื่อพยุงเงินริงกิตไม่ให้อ่อนค่า ขณะที่เวียดนามเกือบเข้าเกณฑ์ทั้งสามข้อ

    ด้านนักเศรษฐศาสตร์ของบริษัทลงทุนและหลักทรัพย์เอ็นเอชในเกาหลีใต้มองว่า การที่สหรัฐเพิ่มชื่อสามประเทศอาเซียนไว้ในรายชื่อล่าสุดอาจเป็นการเดินหน้ากดดันจีน เพราะทั้งสามประเทศมีความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจใกล้ชิดกับจีน

    Source: สำนักข่าวไทย

    - Why Singapore, Malaysia, Vietnam Were Added to U.S. Currency Watchlist
    https://www.bloomberg.com/news/arti...nitoring-list-on-currencies?srnd=premium-asia
     
  9. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,823
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students

    PSX_20190530_204417.jpg

    (May 30)ทางการสหรัฐเตรียมเสนอโครงการเพิ่มกำลังการผลิต Rare Earth ภายในประเทศต่อสภา: U.S. Defence Department กำลังเสนอโครงการเพิ่มกำลังการผลิตแร่หายากภายในประเทศต่อ Congress ในเร็ววันนี้ เพื่อลดการพึ่งพาการนำเข้าแร่หายากจากจีน หลังจากเจ้าหน้าที่ของทางการจีนแสดงท่าทีกีดกันสหรัฐฯ ในการให้สัมภาษณ์ผ่านสำนักข่าว CCTV โดยมิต้องการให้สหรัฐฯ ใช้แร่หายากของจีนเพื่อผลิตสินค้าที่เกี่ยวข้องกับนโยบายจำกัดการพัฒนาเทคโนโลยีของจีนในอนาคต

    ท่าทีที่ชัดเจนขึ้นต่อประเด็นดังกล่าว ส่งผลให้เกิดความกังวลว่า ทางการจีนจะใช้แร่หายากเป็นเครื่องมือหนึ่งในการเจรจาต่อรองทางการค้ากับสหรัฐฯ อนึ่ง แร่หายากดังกล่าวเป็นวัตถุดิบในการผลิตสินค้าหลากหลายประเภท เช่น สินค้ากลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องยนต์เครื่องบิน ดาวเทียม เลเซอร์ รวมถึง catalyst

    ประเทศจีนมีขนาด reserve แร่หายากคิดเป็นร้อยละ 36 ของขนาด reserve ทั้งหมดในโลก และเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ที่สุด คิดเป็นร้อยละ 70 ของการผลิตโลก (อ้างอิง U.S. Geological Survey-Mineral Commodity Summaries 019)

    ทั้งนี้ นักวิเคราะห์หลายฝ่ายให้ความเห็นว่า แนวโน้มการใช้แร่หายากเป็นเครื่องมือหนึ่งในการเจรจามีจำกัด เนื่องจากเป็นสินค้าที่มีมูลค่าการนำเข้าต่ำเมื่อเทียบกับมูลค่าการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนทั้งหมด ทั้งยังสามารถผลิตภายในประเทศได้บางส่วน รวมถึงมีแหล่งผลิตอื่นที่สหรัฐฯ สามารถนำเข้ามาทดแทนได้

    Source: BOTSS

    เพิ่มเติม
    - Eyeing China, Pentagon briefs Congress on rare earths report: https://www.scmp.com/news/china/art...a-pentagon-briefs-congress-rare-earths-report

    - น้ำมันลง,ทองขึ้น ดาวโจนส์ร่วง220จุดผวาจีนขู่ใช้แรร์เอิร์ธตอบโต้อเมริกา: https://mgronline.com/around/detail/9620000051477
     
  10. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,823
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students

    PSX_20190530_204720.jpg

    (May 30) พาณิชย์ประกาศมาตรการคุมราคายา มีผลวันนี้ : กระทรวงพาณิชย์ เริ่มใช้มาตรการกำกับราคายาวันนี้ สั่งผู้จำหน่ายยาทุกขั้นตอน ต้องแจ้งราคาซื้อ-ขาย ในบัญชีหลักกว่า 3,000 รายการต่อกรมการค้าภายใน และหากจะขึ้นราคาต้องแจ้งล่วงหน้าก่อน 15 วัน

    นายวิชัย โภชนกิจ อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป จะเริ่มใช้มาตรการกำกับราคายา โดยกำหนดให้โรงพยาบาลเอกชน ผู้ผลิต ผู้นำเข้า ผู้จำหน่ายส่ง ต้องแจ้งราคาซื้อ และ ราคาจำหน่ายยา เวชภัณฑ์ รวมถึงค่าบริการ ตามรายการในบัญชีเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤตกว่า 3,000 รายการ ต่อกรมการค้าภายใน และหากจะปรับราคายา ต้องแจ้งให้กรมการค้าภายในทราบก่อน 15 วัน ฝ่าฝืนมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และจะปรับอีกไม่เกินวันละ 2,000 บาท ตลอดเวลาที่ยังฝ่าฝืน หรือจนกว่าจะแจ้ง

    ขณะเดียวกัน โรงพยาบาลเอกชนจะต้องแสดง QR Code ให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลเปรียบเทียบราคาจำหน่ายยา ที่กรมการค้าภายในจัดทำไว้อย่างเปิดเผย และต้องประเมินค่ารักษาเบื้องต้น พร้อมแจ้งราคายา เวชภัณฑ์ และค่าบริการทางการแพทย์ให้ผู้ป่วยทราบ ก่อนจำหน่ายหรือให้บริการ

    ส่วนการจำหน่ายยาสำหรับผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลต้องออกใบสั่งยาตามมาตรฐานวิชาชีพ และใบแจ้งราคายา พร้อมระบุรายละเอียดที่ชัดเจน ทั้งชื่อทางการค้า ปริมาณ วิธีใช้ รวมถึง ราคาต่อหน่วย ให้ผู้ป่วยทราบล่วงหน้า หากไม่ปฏิบัติตามจะมีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

    ทั้งนี้ หากพบการร้องเรียนและพิสูจน์ได้ว่ามีการคิดราคาสูงเกินสมควรจริง จะมีโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี ปรับไม่เกิน 140,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ส่วนเรื่องค่าเวชภัณฑ์และบริการทางการแพทย์ กรมการค้าภายในอยู่ระหว่างพิจารณาดำเนินการใช้มาตรการกำกับดูแลที่เหมาะสมต่อไป

    Source: ช่อง 3
    http://news.ch3thailand.com/economy/96186

    เพิ่มเติม
    - มีผลวันนี้! พาณิชย์คุม 'ราคายา-เวชภัณฑ์-ค่ารักษา'
    https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/836578

    - กกร.ออกประกาศคุมเข้มราคายา 3,892 รายการ
    http://www.komchadluek.net/news/hotclip/373776
     
  11. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,823
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students


    PSX_20190530_205004.jpg
    (May 30) “เจฟฟรีย์ แซคส์” นักเศรษฐศาสตร์ระดับโลก ชี้ปัญหาเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่าโยนความผิดให้ “จีน” – ไม่มีใครเป็นผู้ชนะจากความขัดแย้ง : เจฟฟรีย์ แซคส์ อาจารย์มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย และผู้อำนวยการศูนย์การพัฒนาอย่างยั่งยืนของมหาวิทยาลัย ได้เขียนบทความแสดงความเห็นลงสำนักข่าวซีเอ็นเอ็น เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2562 ในหัวข้อ “จีนไม่ใช่ปัญหาทางเศรษฐกิจของสหรัฐแต่ประเด็นหลักคือ ความโลภของภาคธุรกิจ” China is not the source of our economic problems — corporate greed is
    เจฟฟรีย์ แซคส์ เริ่มต้นด้วยการบอกว่า จีนไม่ใช่ศัตรู แต่เป็นเพียงประเทศหนึ่งที่พยายามยกระดับมาตรฐานความเป็นอยู่ผ่านการศึกษา การค้าระหว่างประเทศ การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน และการพัฒนาเทคโนโลยี หรือหากจะพูดสั้นๆ ก็คือ จีนกำลังทำในสิ่งที่ทุกประเทศต้องทำเมื่อเคยอยู่ในภาวะยากจนมาก่อนและยังห่างไกลจากความเป็นประเทศมหาอำนาจอีกมาก แต่รัฐบาลประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์มีเป้าหมายที่จะหยุดยั้งการพัฒนาของจีน ซึ่งอาจจะสร้างความเสียหายให้กับทั้งสหรัฐฯ และโลกโดยรวม
    เจฟฟรีย์ แซคส์ ยังมองว่า จีนกลายเป็นแพะรับบาปสำหรับความเหลื่อมล้ำที่เพิ่มมากขึ้นในสหรัฐฯ ในช่วงที่ความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนยังให้ประโยชน์ของทั้งสองฝ่าย แรงงานของสหรัฐฯ บางกลุ่มถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง โดยเฉพาะโรงงานในย่านมิดเวสต์ที่แรงงานประสบกับการแข่งขัน ซึ่งเป็นผลจากผลผลิตที่สูงขึ้นและต้นทุนค่าแรงที่ต่ำโดยเปรียบเทียบในจีน แม้ว่ากำลังเพิ่มขึ้น
    “แทนที่จะโยนความผิดให้กับจีนสำหรับปรากฏการณ์การแข่งขันทางตลาดที่ปกตินี้ เราควรที่จะเก็บภาษีจากกำไรธุรกิจที่เพิ่มสูงขึ้นของบริษัทข้ามชาติของเราเอง และนำรายได้ภาษีนั้นมาช่วยเหลือครัวเรือนที่เป็นชนชั้นแรงงาน รวมทั้งปรับปรุงระบบโครงสร้างพื้นฐานที่เสื่อมโทรมจากการใช้งานมานาน ส่งเสริมทักษะการทำงานแบบใหม่ และลงทุนในวิทยาการและเทคโนโลยีใหม่ๆ” บทความระบุ
    “เราต้องเข้าใจว่าจีนเพียงแค่พยายามที่ชดเชยเวลาที่เสียไปจากการถอยหลังเป็นเวลานานด้วยความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างประเทศและความล้มเหลวทางเศรษฐกิจ” เจฟฟรีย์ แซคส์ ระบุพร้อมกับให้ข้อมูลประวัติศาตร์ย้อนหลังเพื่อเป็นประโยชน์ต่อความเข้าใจถึงการพัฒนาทางเศรษฐกิจของจีนในช่วง 40 ปีที่ผ่านมา
    ในปี 1839 อังกฤษโจมตีจีนเนื่องจากจีนปฏิเสธที่จะอนุญาตให้พ่อค้าชาวอังกฤษขายฝิ่นซึ่งเป็นสารเสพติดให้กับชาวจีนอีกต่อไป แต่อังกฤษยังคงไม่ยอมและแข็งกร้าว ส่งผลให้จีนพ่ายแพ้ด้วยความอัปยศในสงครามฝิ่นครั้งแรกที่สิ้นสุดลงในปี 1842 และยังเป็นส่วนหนึ่งของสาเหตุของการลุกฮือต่อต้านราชวงศ์ชิง หรือที่เรียกกันว่า กบฏไท่ผิง (ซึ่งเป็นกบฏที่รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์โลก) มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 20 ล้านคน ขณะที่สงครามฝิ่นครั้งที่ 2 ซึ่งจีนต่อสู้กับทั้งอังกฤษและฝรั่งเศส นำไปสู่การถดถอยทางอำนาจของจีนและการไร้เสถียรภาพภายในประเทศ
    ต่อมาในปลายศตวรรษที่ 19 จีนแพ้สงครามจากการปฏิวัติอุตสาหกรรมใหม่ของญี่ปุ่น และกลายเป็นเป้าหมายของการเรียกร้องจากฝ่ายเดียว จากยุโรปและสหรัฐฯ ในด้านการค้า ซึ่งความอัปยศนี้นำไปสู่การลุกฮือก่อการปฏิวัติรอบใหม่ แต่จีนก็พ่ายแพ้อีกครั้ง ในเงื้อมมือของมหาอำนาจต่างประเทศ
    ราชวงศ์ชิงของจีนล่มสลายในปี 1911 หลังจากที่จีนยอมจำนนยกอำนาจให้ผู้มีอิทธิผลทางทหาร เกิดเหตุจลาจลในประเทศ และการรุกรานของญี่ปุ่นเริ่มขึ้นในปี 1931 สงครามโลกครั้งที่ 2 ที่สิ้นสุดลงแต่กลับตามมาด้วยสงครามกลางเมือง มีการก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีนในปี 1949 ต่อมายังเกิดปัญหาการลุกฮือของผู้นับถือลัทธิเต๋า รวมไปถึงการเสียชีวิตของผู้คนจำนวนนับล้านคนจากการอดอยาก เนื่องจากขาดแคลนอาหารจากนโยบายก้าวกระโดดไกล (Great leap Forward) ซึ่งสิ้นสุดลงในช่วงแรกของทศวรรษ 1960 ตลอดจนความไม่มั่นคงทางการเมืองจากการปฏิวัติวัฒนธรรม (Cultural Revolution) และมีผลต่อเนื่องไปจนถึงปี 1977
    การพัฒนาอย่างรวดเร็วของจีนจากพื้นฐานระบบเศรษฐกิจแบบตลาดจึงเริ่มต้นขึ้นในปี 1978 เมื่อเติ้ง เสี่ยวผิง ก้าวขึ้นสู่อำนาจและประกาศนโยบายปฏิรูปเศรษฐกิจ (จากระบบเศรษฐกิจไปสู่ระบบเศรษฐกิจแบบตลาดด้วยนโยบาย 4 ทันสมัยหรือ Four Modernizations) ขณะที่จีนมีการเติบโตอย่างสูงในช่วง 40 ปีที่ผ่านมา ก็ยังทิ้งร่องรอยมรดกที่เกิดขึ้นมาร่วมศตวรรษ ทั้งความยากจน ความไร้เสถียรภาพ การรุกรานและการข่มขู่ของต่างชาติ ให้เห็นอย่างเด่นชัด
    ผู้นำจีนต้องการที่จะทำในสิ่งที่ถูกต้องในครั้งนี้ และนั่นหมายความว่าพวกเขาไม่เต็มใจที่จะก้มหัวให้กับสหรัฐฯ หรือประเทศมหาอำนาจทางตะวันตกอีกแล้ว
    ปัจจุบันจีนเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่อันดับสองของโลก เมื่อวัดจากผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (gross domestic produc – GDP)ในราคาตลาด แต่ก็ยังประเทศที่อยู่ในขั้นตอนของการก้าวให้ทันหลังจากหลุดพ้นความยากจน ในปี 1980 ข้อมูลของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (international monetary fund – IMF) พบว่า GDP ต่อหัวของประชากร (GDP per capital) ในจีนอยู่ในระดับเพียง 2.5% ของสหรัฐฯ แต่ปี 2018 เพิ่มขึ้นเป็น 15.3% ของระดับ GDP per capital ของสหรัฐฯ
    เมื่อวัด GDP จากทฤษฎีความเสมอภาคของอำนาจซื้อโดยเปรียบเทียบ (purchasing power parity) โดยใช้ชุดราคาระหว่างประเทศเป็นเกณฑ์ เพื่อวัดมูลค่า GDP ของทุกประเทศ พบว่า รายได้ประชากรต่อหัวของจีนในปี 2018 อยู่ที่ 28.9% ซึ่งสูงกว่าสหรัฐฯ เล็กน้อย
    จีนมียุทธศาสตร์พัฒนาไม่ต่างจากญี่ปุ่น เกาหลี ไต้หวัน ฮ่องกง และสิงคโปร์ จากมุมมองทางเศรษฐกิจแล้ว จีนซึ่งเป็นประเทศที่กำลังก้าวตามให้ทัน ก็ไม่ได้ทำอะไรที่ผิดแปลกไปจากปกติ
    การที่สหรัฐฯ ดำเนินการอย่างสม่ำเสมอในการหยุดยั้งการขโมยเทคโนโลยีของจีนนั้นเป็นการกล่าวหากันง่ายเกินไป
    หลายประเทศที่ยังล้าหลังได้ยกระดับเทคโนโลยีในหลายด้าน ทั้ง การศึกษา การเลียนแบบ (imitation) การซื้อ การรวมกิจการ การลงทุนจากต่างประเทศ มีการใช้ความรู้ทางสิทธิบัตรอย่างกว้างขวาง และแน่นอนว่า มีการลอกเลียน (copying) และโดยที่เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงเร็วมาก จึงเกิดความขัดแย้งทางทรัพย์สินทางปัญญา ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริง แม้แต่ในกลุ่มบริษัทสหรัฐฯ ด้วยกันเองในปัจจุบัน การแข่งขันในลักษณะนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของระบบเศรษฐกิจโลกเท่านั้น ผู้นำด้านเทคโนโลยีเองตระหนักดีกว่าไม่สามารถรักษาความเป็นผู้นำด้วยการคุ้มครองอย่างเดียว แต่ต้องมีนวัตกรรมใหม่ๆ ด้วย
    ในช่วงต้นศตวรรษที่ 19 สหรัฐฯ เองก็นำเทคโนโลยีของอังกฤษมาประยุกต์ใช้อย่างมาก และเมื่อต้องการปิดช่องว่างด้านเทคโนโลยีก็ได้สรรหาความรู้หรือโนว์-ฮาวจากต่างประเทศ
    โครงการขีปนาวุธข้ามประเทศหรือ ballistic missile program ของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีก็พัฒนาขึ้นจากความช่วยเหลือของอดีตนักวิทยาศาสตร์ด้านจรวดของนาซีเยอรมัน ที่สหรัฐฯ จ้างให้เข้าทำงานหลังสงครามโลกครั้งที่ 2
    หากจีนเป็นประเทศเอเชียซึ่งเป็นที่รู้จักและชื่นชอบน้อยกว่าประเทศอื่น เช่น เกาหลีใต้ และมีพลเมืองมากกว่า 50 ล้านคนเล็กน้อย ก็จะได้รับการยกย่องจากสหรัฐฯ ว่า เป็นตัวอย่างที่ดีที่ประสบความสำเร็จในการพัฒนา ซึ่งก็เป็นเรื่องจริง ที่จีนประสบความสำเร็จในการพัฒนา
    แต่ที่เป็นประเด็นคือ จีนใหญ่มาก และจีนก็ปฏิเสธการอ้างสิทธิในการปกครองโลกของสหรัฐฯ สหรัฐฯ เองมีประชากรเพียง 4.2% ของประชากรโลก ไม่ถึง 1 ใน 4 ของประชากรจีน
    ความจริงก็คือว่า ไม่มีประเทศไหนอยู่ในสถานะที่จะชี้นำโลกได้ในทุกวันนี้ เพราะเทคโนโลยีและโนว์-ฮาวได้กระจายไปอย่างรวดเร็วทั่วโลกมากกว่าที่เคย
    การค้ากับจีนทำให้สหรัฐฯ มีสินค้าอุปโภคบริโภคในราคาที่ต่ำมากและเป็นสินค้าที่มีคุณภาพสูงขึ้นด้วย รวมทั้งยังมีผลให้มีการตกงานในภาคธุรกิจที่แข่งขันโดยตรงกับจีน เช่น ภาคการผลิต แต่นั่นคือวิถีของการค้า
    การกล่าวหาจีนว่าค้าขายอย่างไม่เป็นธรรมนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง บริษัทอเมริกันจำนวนมากที่ทำกำไรมหาศาลจากการผลิตสินค้าในจีนและส่งออกจากจีน ผู้บริโภคอเมริกันเองก็พอใจกับมาตรฐานความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นจากสินค้าราคาถูกจากจีน
    สหรัฐฯ กับจีนควรที่จะเจรจาและพัฒนาปรับปรุงกฎเกณฑ์การค้าทั้งการค้าแบบทวิภาคีและพหุภาคีอย่างต่อเนื่อง แทนที่จะทำสงครามการค้าด้วยการข่มขู่อีกฝ่ายหนึ่งและการกล่าวหากันและกัน
    บทเรียนพื้นฐานจากทฤษฏีทางการค้า แนวปฏิบัติ และนโยบาย ไม่ใช่การหยุดการค้าขาย ซึ่งจะนำไปสู่มาตรฐานความเป็นอยู่ที่แย่ลง วิกฤติทางเศรษฐกิจ และความขัดแย้ง
    ในทางกลับกัน เราต้องแบ่งปันผลประโยชน์จากการเติบโตทางเศรษฐกิจ เพื่อให้ผู้ที่ได้ผลประโยชน์สามารถชดเชยให้กับผู้เสียประโยชน์ได้
    ภายใต้ทุนนิยมอเมริกัน ซึ่งหันเหไปจากจิตวิญญานความร่วมมือของยุคสู่ความหวังใหม่ (New Deal) เป็นเวลานาน ปัจจุบันผู้ชนะปฏิเสธการแบ่งปันผลประโยชน์อย่างตรงไปตรงมา และผลที่เกิดขึ้นจากการไม่แบ่งปันก็คือ การเมืองอเมริกันจึงเต็มไปด้วยความขัดแย้งทางการค้า ความโลภจึงชี้นำนโยบายสหรัฐฯ อย่างเบ็ดเสร็จ
    การสู้รบที่แท้จริงไม่ใช่กับจีน แต่เป็นการต่อสู้กับบริษัทอเมริกันขนาดใหญ่ ซึ่งหลายรายติดอันดับจากการจัดอันดับของนิตยสารฟอร์จูน แต่กลับไม่ได้จ่ายค่าแรงที่เหมาะสมให้กับแรงงาน
    ผู้นำธุรกิจอเมริกันและคนรวยต่างผลักดันให้มีการลดภาษี เพิ่มอำนาจการผูกขาดและการขยายธุรกิจไปต่างประเทศ และอื่นๆ ที่จะทำกำไรให้สูงขึ้น ขณะที่ไม่ยอมรับนโยบายใดก็ตามที่จะช่วยให้สังคมอเมริกันเสมอภาคมากขึ้น
    ประธานาธิบดีทรัมป์โจมตีจีน ด้วยความเชื่อที่ว่าจีนจะก้มหัวให้กับอำนาจตะวันตกอีกครั้ง รวมทั้งตั้งเป้าที่จะบดขยี้บริษัทที่ประสบความสำเร็จ อย่างหัวเว่ย ด้วยการเปลี่ยนแปลงกติกาการค้าระหว่างประเทศอย่างฉับพลันและทำอยู่ฝ่ายเดียว
    จีนเล่นตามกติกาของตะวันตกมาตลอด 40 ปีนี้ แต่ก้าวทันอย่างค่อยเป็นค่อยไป ในแนวทางเดียวกับชาติเอเชียอื่นซึ่งเป็นพันธมิตรของสหรัฐฯ ได้ดำเนินการในช่วงที่ผ่านมา ขณะนี้สหรัฐฯ พยายามที่จะทำให้จีนเกิดความสูญเสียและเกิดความชะงักงันด้วยการเปิดสงครามเย็นครั้งใหม่
    หากว่ายังไม่มีความคิดที่ดีกว่านี้ เราจะนำตัวเองไปสู่ความขัดแย้งกับจีน อย่างแรก ในด้านเศรษฐกิจ ตามมาด้วยการเมืองระหว่างประเทศ และทางทหาร และสร้างความเสียหายให้กับทุกคน ไม่มีใครเป็นผู้ชนะจากความขัดแย้ง
    เรากำลังเดินอยู่บนเส้นทางความตื้นเขินและการคอร์รัปชันทางนโยบายการเมือง สงครามการค้ากับจีนไม่ได้ช่วยแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของเรา ในทางกลับกัน เราต้องมีแนวทางกับการดำเนินการในประเทศ ทั้งโครงการเข้าถึงการรักษาพยาบาลได้อย่างทั่วถึง โรงเรียนที่มีคุณภาพสูงขึ้น โครงสร้างพื้นฐานที่ทันสมัย ค่าแรงขั้นต่ำที่สูงขึ้น และการจัดการกับความโลภของภาคธุรกิจ
    ภายใต้กระบวนการนี้ เราจะได้เรียนรู้ว่า เราจะได้มากกว่าผ่านความร่วมมือจากจีน แทนการยั่วยุและการปฏิบัติอย่างไม่ธรรม
    Source: ThaiPublica
    https://thaipublica.org/2019/05/jeffrey-sachs-china-usa-trade-economy-opinion/
    - China is not the source of our economic problems -- corporate greed is
    https://edition.cnn.com/2019/05/26/opinions/china-is-not-the-enemy-sachs/index.html
     
  12. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,823
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เตือน! 'ไข้เลือดออก' ระบาด ป่วยแล้วกว่า 2 หมื่นราย เสียชีวิต 30 ศพ
     
  13. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,823
    ค่าพลัง:
    +97,150
    #ปรากฎการณ์ธรรมชาติที่นครพนม
    วันนี้ (30 พค62) ที่นครพนมได้เกิดพายุฝนฟ้าคะนอง และเมฆปกคลุมจังหวัดนครพนม โดยมีภาพจากจากบรรดาแฟนเพจเฟสบุ๊ค ไก้บันทึกเอานำมาให้ชม เป็นภาพเกิดขึ้นไม่บ่อยนัก
    Cr.เจ้าของภาพถ่ายทุกๆท่าน
    #เพจพี่ก๊อต รายงาน
     
  14. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,823
    ค่าพลัง:
    +97,150
    18 สัญญาณเตือน ประเทศไทยใกล้เข้าสู่ยุค “ฟองสบู่แตก รอบ2” เก็บเงินไว้อย่าเพิ่งลงทุน
     
  15. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,823
    ค่าพลัง:
    +97,150
    John Traczyk

    นักข่าวรายงานสภาพอากาศของ Fox แสดงดวงอาทิตย์ขึ้นสองดวงเมื่อพระอาทิตย์ขึ้นและไม่ได้พูดถึงมัน
    PSX_20190530_210535.jpg


    killercat32
    เผยแพร่เมื่อ 30 พฤษภาคม 2019

    Fox weather reporter shows two suns at sunrise and doesn't mention it.

    killercat32
    Published on May 30, 2019

     
  16. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,823
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Setiawan

    ออสเตรเลียกล่าวว่าการเกิดแผ่นดินไหวขนาด 5.4 ประมาณเที่ยงวันในทานามิ ทางตะวันตกเฉียงเหนือของอลิซสปริงส์

    นักมานุษยวิทยาอาวุโส Tanja Pejic กล่าวว่าแผ่นดินไหว ขนาด 5.4 นั้นค่อนข้างสำคัญ

    "ถ้าคุณพูดถึงบริบทแผ่นดินไหวในนิวคาสเซิลปี 1989 คือ ขนาด 5.6 ดังนั้นนี่จะเล็กกว่านั้นนิดหน่อย ถ้ามันอยู่ในพื้นที่ที่มีประชากรพอสมควร มันอาจจะทำให้เกิดปัญหา"

    เธอบอกว่าอาฟเตอร์ช็อก อาจรู้สึกได้นานหลายสัปดาห์หรือหลายเดือน

    IMG_2717.JPG IMG_2718.JPG

    Australia says a 5.4 magnitude earthquake occurred around midday in the Tanami, north-west of Alice Springs.


    Senior seismologist Tanja Pejic says the magnitude of 5.4 is pretty significant.


    "If you put it into context, the 1989 Newcastle earthquake was 5.6, so this is only just slightly smaller than that. If it had been in a fairly populated area it would probably cause issues"


    She says aftershocks could be felt for weeks, even months.


     
  17. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,823
    ค่าพลัง:
    +97,150
    John Traczyk

    ประชาชน 2 แสนคนได้รับผลกระทบ 7 คนเสียชีวิต 2 คนทางภาคใต้ของจีนสูญหายเนื่องจากน้ำท่วมหนัก

    ฝนตกหนักส่งผลกระทบต่อ ส่วนต่าง ๆ ของภาคใต้ ภาคตะวันออก และภาคกลางของจีน ในช่วงสองวันที่ผ่านมาทำให้เกิดน้ำท่วมและแผ่นดินถล่ม มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 7 คนและมากกว่า 200,000 คนได้รับผลกระทบ

    เจ็ดเมืองใน 21 มณฑลของเขตปกครองตนเองกวางสีจ้วง (Guangxi Zhuang) ประเทศจีนประสบฝนตกหนักตั้งแต่วันเสาร์ที่ 25 พฤษภาคม 2019 ทำให้เกิดน้ำท่วมและแผ่นดินถล่ม

    ภาคใต้มีฝนตกหนักมากขึ้นในอีก 2 สัปดาห์ข้างหน้า

    โดย Rodrigo Contreras Lopez - 29 พฤษภาคม 2019

    Two hundred thousand people affected, 7 dead and 2 missing in southern China due to heavy floods.


    Heavy rains are affecting parts of southern, eastern and central China in the past two days, causing floods and landslides. At least 7 people have died and more than 200,000 have been affected.


    Seven cities in 21 counties of the Guangxi Zhuang Autonomous Region of China experienced heavy rains since Saturday, May 25, 2019, causing floods and landslides.


    More heavy rains are expected in the south during the next 2 weeks.


    By Rodrigo Contreras Lopez - May 29, 2019


     
  18. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,823
    ค่าพลัง:
    +97,150
    John Traczyk

    IMG_2719.JPG
    การโจมตีของสภาพอากาศที่รุนแรงยังคงดำเนินต่อในโอไฮโอ วัลเลย์, รัฐตอนกลาง-แอตแลนติกในคืนวันพฤหัสบดี


    โอไฮโอ วัลเลย์ และภูมิภาคกลางแอตแลนติกกำลังเผชิญกับการโจมตีอย่างไม่มีที่สิ้นสุดของสภาพอากาศที่รุนแรงและภัยคุกคามจากพายุฝนฟ้าคะนองอีกครั้งหนึ่ง ในคืนวันพฤหัสบดี


    วันพฤหัสบดีจะเป็นวันที่สามติดต่อกันของสภาพอากาศรุนแรงทั่วทั้งภูมิภาค หลังจากพายุก่อให้เกิดลูกเห็บตกเป็นจำนวนมาก ความเสียหายจาก ลมพายุ น้ำท่วม และพายุทอร์นาโดไม่กี่ครั้ง ในช่วงวันอังคารและวันพุธ ในพื้นที่เดียวกัน ซึ่งจัดการกับสภาพอากาศที่รุนแรง ในวันอังคารและวันพุธ มีแนวโน้มที่จะเผชิญกับความเสี่ยงที่คล้ายกันอีกครั้งในคืนวันพฤหัสบดี


    โคลัมบัส โอไฮโอ; Pittsburgh, Harrisburg และ Philadelphia, Pennsylvania; มอร์แกนทาวน์, เวสต์เวอร์จิเนีย; บัลติมอร์แมริแลนด์; และวอชิงตัน ดี.ซี. เป็นเพียงชุมชนบางแห่งที่มีความเสี่ยง


    “ พายุที่รุนแรงที่สุดสามารถก่อให้เกิดลูกเห็บ และลมกระโชกแรงจากบางส่วนของโอไฮโอตอนกลาง ไปยังนิวเจอร์ซีย์ตอนกลาง” นักพยากรณ์อุตุนิยมวิทยา Maura Kelly กล่าว


    ในช่วงบ่ายวันพฤหัสบดีพายุในส่วนของใจกลางรัฐแมริแลนด์และเวอร์จิเนียตอนเหนือทำให้ต้นไม้ล้มลงและทำให้ไฟฟ้าดับ


    ในขณะที่ภัยคุกคามพายุทอร์นาโดจะลดลงในคืนวันพฤหัสบดีมันจะเป็นพายุทอร์นาโดเพียงครั้งเดียว เพื่อทำลายล้างชุมชน


    Onslaught of severe weather to continue across Ohio Valley, mid-Atlantic states into Thursday night


    The Ohio Valley and mid-Atlantic region have been facing a seemingly never-ending onslaught of severe weather, and another threat for dangerous thunderstorms is in store into Thursday night.


    Thursday will mark the third straight day of severe weather across the region, following storms bringing widespread hail, wind damage, flooding and even a few tornadoes during Tuesday and Wednesday. The same areas which dealt with severe weather on Tuesday and Wednesday are likely to face a similar risk again into Thursday night.


    Columbus, Ohio; Pittsburgh, Harrisburg and Philadelphia, Pennsylvania; Morgantown, West Virginia; Baltimore, Maryland; and Washington, D.C., are just some of the communities at risk.


    "The strongest storms can bring hail and damaging wind gusts from parts of central Ohio to central New Jersey," AccuWeather Meteorologist Maura Kelly said.


    As of the mid-afternoon on Thursday, storms in parts of central Maryland and northern Virginia have knocked down trees and caused power outages.


    While the tornado threat will be low into Thursday night, it only takes a single tornado to devastate a community.


    https://www.accuweather.com/en/weat...lley-mid-atlantic-states-on-thursday/70008403


     
  19. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,823
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ภาพระยะใกล้ที่น่าเหลือเชื่อของทอร์นาโด ซึ่งทำให้เกิดความเสียหายในแคนตัน เท็กซัสในวันพุธ!

    #TXwx #Texasweather


     
  20. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,823
    ค่าพลัง:
    +97,150
    John Traczyk

    30 พฤษภาคม 2019 13 วันแห่งพายุทอร์นาโดที่ทำลายสถิติทอร์นาโดของสหรัฐ กับพายุรุนแรง ปล่อยพายุทอร์นาโดที่สร้างความเสียหายมากขึ้น ในภาคกลางของสหรัฐ ทำให้มีผู้เสียชีวิต 1 ราย ในรัฐเคนตักกี้


    พายุทอร์นาโดเกือบ 30 ลูก ถูกรายงานจากเท็กซัส ไปยังไอโอวา ในวันพุธที่ผ่านมา ติดต่อกันเป็นวันที่ 13 ทั่วสหรัฐอเมริกา โดยมีรายงานพายุทอร์นาโดอย่างน้อย 8 ครั้ง


    จะมีการแบ่งในสภาพอากาศที่รุนแรงอย่างกว้างขวางทั่วรัฐตอนกลาง ในวันพฤหัสบดีและวันศุกร์

    IMG_2720.JPG IMG_2721.JPG IMG_2722.JPG IMG_2723.JPG

    May 30, 2019. 13 straight days of tornadoes shatter US twister record. Severe storms unleash more damaging tornadoes across central US, leave 1 dead in Kentucky.


    Nearly 30 tornadoes were reported from Texas to Iowa on Wednesday, continuing a streak of 13th consecutive days across the United States with at least eight tornado reports.


    There will be a break in widespread severe weather across the Central states on Thursday and Friday.


    https://www.accuweather.com/en/weat...r-record-leave-heartland-storm-weary/70008393


     

แชร์หน้านี้

Loading...