ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,685
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ‘พยากรณ์อากาศ’ ลำบากกว่าเดิม แม่นยำน้อยลง คนเริ่มไม่ตื่นตัว ผลกระทบจาก ‘ภาวะโลกร้อน’
    .
    “การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” ทำให้สภาพอากาศทั่วโลกไม่แน่นอนมากยิ่งขึ้น รุนแรงมากกว่าเดิม ทั้งคลื่นความร้อนที่คร่าชีวิตผู้คนจำนวนมากในหลายประเทศในเอเชีย รวมถึงพายุฝนตกหนักจนเกิดน้ำท่วมสร้างความเสียหายแก่แอฟริกา ขณะที่สหรัฐเตรียมรับมือกับพายุเฮอร์ริเคนในปีนี้ที่รุนแรงและมีจำนวนมากกว่าเดิม
    .
    เมื่อสภาพอากาศเปลี่ยนแปลงไป ผู้คนจำเป็นต้องพึ่งพาการ “พยากรณ์อากาศ” ในการวางแผนใช้ชีวิตประจำวันมากยิ่งขึ้น แต่ขณะเดียวกันการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกลับทำให้พยากรณ์อากาศได้ยากขึ้นและแม่นยำน้อยลง
    .
    นักพยากรณ์อากาศอาศัยความเข้าใจเกี่ยวกับรูปแบบสภาพอากาศในอดีต เพื่อให้ทราบว่าอากาศในสภาวะปรกติ จะมีลักษณะอย่างไรในแต่ละสถานที่ และใช้คาดการณ์สภาพอากาศในอนาคต แต่ในตอนนี้อนาคตที่คุ้นเคยมันไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
    .
    ปี 1985 สหรัฐเกิดน้ำท่วมฉับพลันประมาณ 30 ครั้งต่อเดือน แต่ในปี 2020 เกิดเพิ่มขึ้นเป็น 82 ครั้ง และคาดว่าในปี 2023 จะมีเหตุการณ์น้ำท่วมฉับพลันเพิ่มขึ้นเป็น 90 ครั้ง ซึ่งเพิ่มขึ้นมาจากปี 1985 ถึง 3 เท่า
    .
    เทคโนโลยีการพยากรณ์อากาศดีขึ้นมากในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา ซึ่งช่วยให้สามารถเตือนภัยพิบัติได้รวดเร็วยิ่งขึ้นและทันต่อการเคลื่อนย้ายผู้ประสบภัยมากยิ่งขึ้น
    .
    แม้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะทำให้เกิดพายุบ่อยครั้งขึ้น แต่ในปัจจุบันสหรัฐก็สามารถเตือนผู้คนในพื้นที่ได้เร็วมากขึ้น ตั้งแต่พายุเริ่มก่อตัว และระบุพื้นที่ที่จะเกิดพายุได้แม่นยำมากยิ่งขึ้น ทำให้สามารถรักษาชีวิตและทรัพย์สินประชาชนได้มากขึ้น
    .
    เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทำให้เกิดภัยพิบัติและสภาพอากาศสุดขั้วในแต่ละปีเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ และการประกาศเตือนก็มีบ่อยขึ้นด้วยเช่นกัน หลายครั้งก็คลาดเคลื่อนไปบ้าง จนทำให้หลายคนเริ่มมีความรู้สึกเปลี่ยนไปกับข่าวพยากรณ์อากาศ การเหล่านี้ว่า “อาการเหนื่อยล้าจากการได้รับการเตือนมากเกินไป” (warning fatigue) ซึ่งจะทำให้ผู้คนหมดความรู้สึก ส่งผลให้ไม่ได้รับหรือเพิกเฉยต่อการแจ้งเตือน หรือการตอบสนองล่าช้า
    .
    ดังนั้นกรมอุตุนิยมวิทยาของสหรัฐจึงเลือกส่งคำเตือนเฉพาะกลุ่มผู้ที่มีความเสี่ยงมากที่สุดจากน้ำท่วม พายุเฮอร์ริเคน คลื่นความร้อน หรือเหตุการณ์สภาพอากาศที่เป็นอันตรายอื่น ๆ เท่านั้น ไม่ได้ส่งให้คนทั้งประเทศ เพื่อให้พวกเขาสามารถกำหนดเป้าหมายคำเตือนไปยังกลุ่มที่แคบที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
    .
    .
    อ่านต่อ: https://www.bangkokbiznews.com/environment/1131459?anm=
    .
    #กรุงเทพธุรกิจ #กรุงเทพธุรกิจSustain #กรุงเทพธุรกิจClimate
    ttps://www.facebook.com/photo/?fbid=869921565173431&set=a.605386548293602

     
  2. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,685
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ‘ไมโครพลาสติก’ อยู่ที่ไหน ในร่างกายบ้าง
    .
    “ไมโครพลาสติก” ปะปนอยู่ในสิ่งแวดล้อมทุกที่ในโลก ตั้งแต่บนยอดเขาเอเวอเรสต์ ยันใต้ทะเลลึก หรือแม้แต่ในขั้วโลกเหนือและขั้วโลกใต้ พลาสติกเหล่านี้เข้าสู่ในร่างกายของเราผ่านการสูดดูมและการบริโภค
    .
    ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมามีงานวิจัยพบไมโครพลาสติกปะพบอยู่ในส่วนต่าง ๆ ของร่างกายมนุษย์เสมอ ซึ่งปัจจุบันอนุภาคจิ๋วเหล่านี้ได้แพร่ไปสู่เกือบทุกส่วนของร่างกาย
    .
    1. เลือด
    .
    พลาสติกที่พบในเลือดมีด้วยกัน 5 ชนิด ปัจจุบันนักวิจัยสนับสนุนสมมติฐานที่ว่า ไมโครพลาสติกเข้าสู่กระแสเลือดจนทำให้อนุภาคเหล่านี้เคลื่อนที่ไปสู่ส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย
    .
    2. สมอง
    .
    การศึกษาโดยนักวิทยาศาสตร์ชาวตุรกีเมื่อปี 2022 พบว่ามีไมโครพลาสติกอยู่ในเซลล์สมอง ซึ่งเป็นเรื่องที่นักวิจัยเป็นกังวล เพราะโดยปรกติแล้ว สมองจะมี “ตัวกั้นระหว่างเลือดกับสมอง” ทำหน้าที่คัดกรองไม่ให้สารต่าง ๆ ผ่านเข้าไปทำอันตรายต่อสมอง
    .
    3. น้ำนม
    .
    วิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Polymers ในปี 2022 พบไมโครพลาสติกในน้ำนมแม่เป็นครั้งแรก ทำให้เกิดความกังวลในหมู่นักวิจัยเกี่ยวกับผลกระทบต่อสุขภาพที่อาจเกิดขึ้นกับทารก
    .
    4. อัณฑะ
    .
    อัณฑะมีพลาสติกมากถึง 12 ชนิด โดยความเข้มข้นของพลาสติกสูงถึง 330 ไมโครกรัมต่อเนื้อเยื่อหนึ่งกรัม นับเป็นเรื่องที่น่ากังวลเป็นพิเศษ เพราะสมองและอัณฑะ เป็นอวัยวะเพียงสองอย่างเท่านั้น ที่ร่างกายสร้างเนื้อเยื่อบางส่วนขึ้นมาเพื่อป้องกันไม่ให้มีสิ่งแปลกปลอมทะลุผ่านเข้าไปได้
    .
    5. อสุจิ (2024)
    .
    อสุจิตัวที่มีไมโครพลาสติกปนอยู่จะสามารถเคลื่อนที่ได้ช้ากว่าปรกติ และอาจทำให้เกิดการอักเสบในร่างกาย แถมทำให้คุณภาพของอสุจิลดลง ทีมวิจัยระบุว่าไมโครพลาสติกอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้อัตราการเจริญพันธุ์ทั่วโลกลดลง
    .
    อ่านต่อ: https://www.bangkokbiznews.com/environment/1131599?anm=

    .
    กราฟิก: ณัชชา พ่วงพี
    .
    #กรุงเทพธุรกิจSustain #กรุงเทพธุรกิจEnvironment #กรุงเทพธุรกิจ #กรุงเทพธุรกิจInfo

    ttps://www.facebook.com/photo?fbid=869825201849734&set=a.605386548293602

     
  3. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,685
    ค่าพลัง:
    +97,150
    รัฐบาล ‘งูกินหาง’ นโยบายพลังงานไม่ถึงฝั่ง | #บทบรรณาธิการกรุงเทพธุรกิจ
    .
    รัฐบาล “เศรษฐา ทวีสิน” แถลงนโยบายต่อรัฐสภาเมื่อวันที่ 11 ก.ย. 2566 จะผลักดันนโยบายเร่งด่วน โดยการลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานให้ประชาชน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการดำรงชีวิตและเศรษฐกิจ รัฐบาลจะสนับสนุนให้เกิดการบริหารจัดการราคาพลังงานทั้งค่าไฟฟ้า ค่าก๊าซหุงต้ม และค่าน้ำมันเชื้อเพลิงให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมในทันที ซึ่งนำมาสู่นโยบายการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลและน้ำมันเบนซิน เพื่อให้ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงลดต่ำลงในทันที
    .
    การจัดเก็บรายได้รัฐบาลในช่วง 7 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2567 (ต.ค. 2566 - เม.ย. 2567) ต่ำกว่าเป้าหมาย 39,000 ล้านบาท มีสาเหตุหลักมาตรการปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตดีเซลและเบนซินในช่วงต้นปีงบประมาณส่งผลให้รัฐบาลเสียรายได้ 24,000 ล้านบาท ในขณะที่กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่เป็นกลไกอุดหนุนราคาดีเซลให้อยู่ในราคาที่รัฐบาลกำหนด โดยล่าสุด 9 มิ.ย. 2567 กองทุนฯ ติดลบ 110.030 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากวันที่ 3 ก.ย. 2566 หลังการจัดตั้งคณะรัฐมนตรี มีสถานะติดลบ 57,132 ล้านบาท
    .
    สถานการณ์ดังกล่าวปฏิเสธไม่ได้ว่านโยบายการตรึงราคาน้ำมันของรัฐบาลไม่สามารถแก้ปัญหาค่าครองชีพได้อย่างยั่งยืน โดยต้นปี 2567 รัฐบาลตัดสินใจไม่ต่อมาตรการลดภาษีเบนซินและลดเฉพาะภาษีดีเซล แต่ท้ายที่สุดรัฐบาลต้องตัดสินใจยกเลิกมาตรการลดภาษีดีเซลเพราะกระทบกับรายได้รัฐบาล และยอมปรับเพดานราคาดีเซลขึ้นเป็น 33 บาท และถ้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงยังคงมีสถานะไม่ดีอาจมีข้อเสนอจากกระทรวงพลังงานเพื่อขอปรับเพดานขึ้นเป็น 35 บาท
    .
    นอกจากนี้ รัฐบาลประกาศปรับเปลี่ยนโครงสร้างการใช้พลังงานของประเทศ โดยวางแผนความต้องการและสนับสนุนการจัดหาแหล่งพลังงานอย่างเหมาะสม ส่งเสริมการผลิตและการใช้พลังงานสะอาดและพลังงานหมุนเวียน เพื่อให้สอดคล้องแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน เร่งเจรจาการใช้พลังงานในพื้นที่อ้างสิทธิกับประเทศข้างเคียงและสำรวจแหล่งพลังงานเพิ่มเติม รวมถึงสนับสนุนการจัดหาแหล่งพลังงานใหม่ เพื่อให้มั่นใจว่าประเทศไทยจะมีความมั่นคงทางพลังงานที่จะขับเคลื่อนประเทศ
    .
    รัฐบาลมีอำนาจเต็มบริหารประเทศเข้าสู่เดือนที่ 10 โดยกระทรวงพลังงานเตรียมร่างกฎหมายปิดทางผู้ค้าน้ำมันผลักภาระต้นทุนบางส่วนให้ประชาชน แต่ประเมินได้ลำบากว่าจะมีผลบังคับใช้เมื่อใด ขณะที่การปรับโครงสร้างค่าไฟฟ้ายังไม่ชัดเจน ซึ่งคะแนนนิยมที่รัฐบาลได้ช่วงต้นการจัดตั้งรัฐบาลที่กระชากค่าไฟฟ้าและน้ำมันลงได้ลดหายไปแล้ว เพราะมาตรการดังกล่าวเป็นการแก้ปัญหาระยะสั้นที่กลับสร้างปัญหาใหม่ให้รัฐบาลจากการจัดเก็บรายได้พลาดเป้าและสถานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่เข้าขั้นวิกฤติจนกลายเป็นปัญหางูกินหาง
    .
    .
    #กรุงเทพธุรกิจ #กรุงเทพธุรกิจEconomic
    tps://www.facebook.com/photo?fbid=869984311833823&set=a.605386548293602

     
  4. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,685
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เงินกีบอ่อนค่าไม่ไหว 'ลาว' เตรียมขึ้นเงินเดือนขั้นต่ำให้ข้าราชการ รอบที่ 3
    .
    'ลาว' เตรียมเพิ่มเงินเดือนขั้นต่ำให้ข้าราชการเป็นครั้งที่ 3 หวังบรรเทาปัญหา 'ค่าครองชีพพุ่งทะยาน-ค่าเงินกีบอ่อนค่าหนัก' ย้ำจะพยายามจ่ายเงินเดือนให้ 'ตรงเวลา'
    .
    เว็บไซต์สื่อท้องถิ่นในลาวรายงานว่า รัฐบาลเวียงจันทน์ได้ประกาศแผนเตรียมขึ้น "เงินเดือนขั้นต่ำ" ให้ข้าราชการในสปป.ลาว อยู่ที่ระหว่าง 2 - 2.22 ล้านกีบต่อเดือน (ราว 91.45 - 199.60 ดอลลาร์) หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 3,368 - 3,705 บาท โดยคาดว่าจะเริ่มได้ภายในปี 2568 เพื่อรับมือกับปัญหาเศรษฐกิจและค่าครองชีพที่พุ่งสูงขึ้น
    .
    นายสันติภาพ พรหมวิหาร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของลาว เปิดเผยเรื่องนี้ระหว่างการประชุมรัฐสภาเมื่อวันที่ 13 มิ.ย. ที่ผ่านมา โดยเป็นส่วนหนึ่งในแนวนโยบายของรัฐบาลที่จะขึ้นเงินเดือนและค่าตอบแทนให้กับข้าราชการและตำรวจ
    .
    อย่างไรก็ดี แม้ว่ารัฐบาลลาวจะมีการปรับขึ้นเงินเดือนมาแล้วหลายครั้งเมื่อไม่นานมานี้ แต่รัฐมนตรีคลังของลาวยอมรับว่าอัตราเงินเดือนและค่าตอบแทนที่เพิ่มให้ยังไม่เพียงพอที่จะรับมือกับ "ผลกระทบจากเงินเฟ้อ" และ "ค่าเงินกีบที่อ่อนค่าลงได้"
    .
    ทั้งนี้ในปี 2566 ที่ผ่านมา รัฐบาลได้ขึ้นเงินเดือนขั้นต่ำไปแล้วอยู่ที่ 1.7 ล้านกีบ (ราว 2,863 บาท) และเพิ่มค่าตอบแทนอีก 1.5 แสนกีบ (ราว 253 บาท) เพื่อช่วยให้ข้าราชการสามารถรับมือยุคค่าครองชีพแพงได้ และในปี 2567 นี้ รัฐบาลได้ขึ้นเงินเดือนขั้นต่ำให้อีกครั้งเป็น 1.85 ล้านกีบ (ราว 3,115 บาท)
    .
    รัฐมนตรีคลังของลาวย้ำด้วยว่า รัฐบาลคำนึงถึงการจ่ายเงินเดือนและเบี้ยเลี้ยงให้ "ตรงเวลา" สำหรับข้าราชการ ทหาร ตำรวจ และลูกจ้างเกษียณอายุเป็นสำคัญ แต่ถึงอย่างนั้นด้วยสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่ท้าทาย จากอัตราเงินเฟ้อและความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน จึงยังคงส่งผลกระทบต่อมาตรฐานการครองชีพของข้าราชการและเจ้าหน้าที่รัฐอยู่
    .
    เพื่อแก้ปัญหานี้กระทรวงการคลังจึงกำลังพิจารณาปรับขึ้นเงินเดือนรอบใหม่อีก ซึ่งผลการศึกษาเบื้องต้นพบว่าอาจขึ้นไปเป็น 2 - 2.2 ล้านกีบ หรือเพิ่มขึ้นราว 18% จากเงินเดือนขั้นต่ำในปัจจุบัน และคาดว่าจะเริ่มมีผลบังคับใช้ได้ตั้งแต่ปี 2568 เป็นต้นไป
    .
    สำหรับ "สถานการณ์ค่าเงินกีบ" ที่กำลังอ่อนค่าลงอย่างหนักนั้น จากข้อมูลจนถึงวันที่ 13 มิ.ย. พบว่า ธนาคาร BCEL และธนาคารพงสะหวัน กำหนดอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินอยู่ที่ 1 ดอลลาร์ต่อ 21,825 กีบ และ 1 บาท ต่อ 694.45 กีบ แต่เป็นที่ทราบกันดีว่าอัตราแลกเปลี่ยนอย่างไม่เป็นทางการของร้านแลกเงินท้องถิ่นนั้นแพงกว่านี้มาก โดย 1 ดอลลาร์จะอยู่ที่ประมาณ 25,000 กีบ และ 1 บาท จะอยู่ที่ประมาณ 710 กีบ
    .
    .
    #กรุงเทพธุรกิจ #กรุงเทพธุรกิจEconomic
    tps://www.facebook.com/photo?fbid=869789198520001&set=a.605386548293602

     
  5. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,685
    ค่าพลัง:
    +97,150
    'โลกร้อน' กระทบเศรษฐกิจมากกว่าที่คิด วิจัยชี้ หากอุณหภูมิเพิ่มขึ้น 1 องศา ทำ GDP โลกลดลงได้ถึง 12%
    .
    นักวิจัยเศรษฐศาสตร์ได้ประมาณว่าการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิทั่วโลก 1 องศาเซลเซียสจะนำไปสู่การลดลงของผลิตภัณฑ์มวลรวม (GDP) โลกถึง 12% ซึ่งมากกว่าการประมาณการก่อนหน้านี้ถึง 6 เท่า
    .
    งานวิจัยชิ้นนี้เป็นของ Adrien Bilal และ Diego R. Känzig ในชื่อ “The Macroeconomic Impact of Climate Change: Global vs. Local Temperature” ได้นำเสนอการวิเคราะห์ ที่ครอบคลุมถึงวิธีที่การเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิทั่วโลกส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก
    .
    งานวิจัยนี้ท้าทายผลการประมาณการก่อนหน้านี้ และให้ข้อมูลใหม่เกี่ยวกับผลกระทบทางเศรษฐกิจที่รุนแรงมากขึ้นมาก
    .
    นักวิจัยได้ใช้วิธีการใหม่ในการวิเคราะห์ข้อมูล โดยใช้ความผันผวนตามธรรมชาติของอุณหภูมิทั่วโลกเพื่อประเมินผลกระทบต่อ GDP ซึ่งสามารถจับภาพผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมถึงการเพิ่มความถี่และความรุนแรงของเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้วได้
    .
    การศึกษายังได้คำนวณ “ต้นทุนทางสังคมของคาร์บอน” (Social Cost of Carbon หรือ SCC) ไว้ว่าเท่ากับประมาณ 1,056 ดอลลาร์ต่อหนึ่งตันของคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งสูงกว่าการประมาณการก่อนหน้านี้ที่ต้นทุนอยู่ระหว่าง 51 ถึง 190 ดอลลาร์ต่อเมตริกตันมาก
    .
    การประเมินต้นทุนทางสังคมของคาร์บอนที่สูงขึ้นนี้ ชี้ให้เห็นว่าผลกระทบทางการเงินจากการปล่อยก๊าซคาร์บอนนั้นรุนแรงกว่าที่เคยคิด
    .
    ต้นทุนทางสังคมของคาร์บอนที่สูงขึ้นนี้ ทำให้ต้องกลับมาพิจารณานโยบายการลดการปล่อยคาร์บอน (Mitigation Policy) หลายๆ นโยบายที่เคยถูกมองว่าอาจไม่คุ้มค่าทางเศรษฐกิจภายใต้การประมาณการก่อนหน้านี้ กลับมีความเป็นไปได้ในกรณีต้นทุนทางสังคมสูงขนาดนี้
    .
    ทั้งนี้ การปล่อยก๊าซคาร์บอนทั่วโลกในปี 2566 อยู่ที่ประมาณ 37.55 พันล้านเมตริกตัน ตามข้อมูลจาก Statista ดังนั้น เมื่อพิจารณาจากตัวเลขนี้กับต้นทุนทางสังคมของคาร์บอน จะพบว่าภาระทางการเงินจากระดับการปล่อยก๊าซในปัจจุบันนั้นสูงมาก
    .
    ดังนั้น การที่นักวิทยาศาสตร์คาดการณ์ว่าอุณหภูมิโลกจะเพิ่มขึ้นถึง 3 องศาเซลเซียส ภายในสิ้นศตวรรษนี้ เนื่องจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิลอย่างต่อเนื่องนั้น ผลกระทบทางเศรษฐกิจจะอยู่ในระดับหายนะทางเศรษฐกิจ
    .
    งานวิจัยฉบับนี้ยังเตือนว่า อุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นเช่นนี้จะนำไปสู่การลดลงอย่างรวดเร็วของผลผลิต ทุน และการบริโภคเกินกว่า 50% ภายในปลายศตวรรษนี้
    .
    สำหรับประเทศไทยถือว่ามีความเปราะบางสูงต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เนื่องจากไทยเราพึ่งพาภาคเกษตรกรรมและการท่องเที่ยวรวมกันประมาณ 25% ของ GDP นั้น เป็นภาคเศรษฐกิจที่มีอ่อนไหวและมีความเสี่ยงต่อผลกระทบจากโลกร้อนเป็นอย่างมาก
    .
    มิภาคชายฝั่งรวมถึงกรุงเทพมหานคร มีความเสี่ยงอย่างมากจากระดับน้ำทะเลที่เพิ่มสูงขึ้นและพายุที่รุนแรงขึ้น กรุงเทพมหานครซึ่งกำลังจมเนื่องจากการทรุดตัวของพื้นดิน อาจเผชิญกับความท้าทายด้านโครงสร้างพื้นฐานและเศรษฐกิจที่รุนแรง
    .
    .
    อ่านต่อ: https://www.bangkokbiznews.com/environment/1131479?anm=

    .
    #กรุงเทพธุรกิจ #กรุงเทพธุรกิจSustain #กรุงเทพธุรกิจClimate #กรุงเทพธุรกิจEconomic
    ttps://www.facebook.com/photo?fbid=869787155186872&set=a.605386548293602

     
  6. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,685
    ค่าพลัง:
    +97,150
    วิเคราะห์กระแส 'น้องหมีเนย' ในจีน กับของเลียนแบบที่ผุดเป็นดอกเห็ด
    .
    [เรื่อง: ภากร กัทชลี (อ้ายจง) อาจารย์ประจำภาควิชาการตลาด คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่]
    .
    ในช่วงเดือนสองเดือนมานี้คนไทยเราเริ่มพูดถึงกระแสของ 'น้องหมีเนย' หรือ Butterbear มาสคอตแห่งร้านเบเกอรีที่ใช้ชื่อเดียวกัน โดยเกิดเป็นกระแสไวรัลบนโลกออนไลน์ นำพาให้ทุกคนต่างพากันไปที่ร้านเบเกอรีร้านนี้ เรียกได้ว่า ไปเพราะมาสคอตน้องหมีเนยตัวนี้ก็ไม่ผิดนัก อย่างตัวอ้ายจงเองก็นั่งดูคลิปหมีเนยมาหลายวันแล้ว เพราะยังไม่มีโอกาสได้เจอตัวเป็นๆ (อ้ายจงยังคงประจำอยู่ที่ประเทศจีน) ต้องยอมรับว่าโดนตกด้วยความน่ารัก และดูมีตัวตนมีชีวิตชีวาจริงๆ เข้ากับกระแสต่างๆ ได้ตลอด อย่างเต้นประกอบเพลงเกาหลีซึ่งก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่คู่กับคนยุคนี้
    .
    ความน่ารักและความดังของน้องหมีเนย ไม่ได้หยุดอยู่แค่ในประเทศไทย แต่เจาะเข้ามาถึงที่จีนแผ่นดินใหญ่ เห็นได้จากการมีรีวิวจำนวนมากบน Xiaohongshu (เสี่ยวหงซู) แอปพลิเคชันโซเชียลมีเดียด้านไลฟ์สไตล์และท่องเที่ยว ที่มีผู้ใช้งานมากกว่า 70% เป็นผู้หญิง และเป็นคนรุ่นใหม่ ซึ่งสอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมายของ Butterbear ที่เป็นคนกลุ่มนี้เช่นกัน
    .
    แฮชแท็ก 黄油小熊 ที่แปลว่า Butterbear บน Xiaohongshu มียอดเข้าชมกว่า 110 ล้านครั้ง, แฮชแท็ก butterbear ในภาษาอังกฤษอย่างเดียว ไม่มีภาษาจีน อยู่ที่ 25.39 ล้านครั้ง, แฮชแท็ก 泰国黄油小猫 (แปลว่า หมีเนยไทย) 16.9 ล้านครั้ง โดยโพสต์ส่วนใหญ่ของแฮชแท็กเหล่านี้เป็นโพสต์รีวิวภาพและคลิปการแสดงความน่ารักของน้องหมีเนยต่อแฟนคลับ และรองลงมาก็จะเป็นการรีวิวตัวร้านเบเกอรี Butterbear รวมถึงผลิตภัณฑ์ที่มีขาย
    .
    อ้ายจง กล่าวถึงบัญชีหรือเพจที่ปรากฏบนโลกโซเชียลจีน สะท้อนให้เห็นถึงความนิยมของ น้องหมีเนย ในจีน ที่มีการสร้างบัญชีนำเสนอเนื้อหาน้องหมีเนยจำนวนมาก ทั้งอาจเป็นของจริงและไม่จริง เพราะแม้แต่มีการจดทะเบียนจนได้สัญลักษณ์สีฟ้า ที่แปลว่ายืนยันตัวตนแล้วบน Xiaohongshu อย่างบัญชีที่ใช้ชื่อว่า Butterbear 黄油小熊 (แตกต่างจากสองบัญชีก่อนหน้าคือ ใช้ Butterbear ภาษาอังกฤษขึ้นนำหน้า) มีผู้ติดตาม 539 คน และมีสินค้าที่ระบุว่าเป็นน้องหมีเนย ขายอยู่ 5 ชิ้น เมื่อกดเข้าไปดูรายละเอียดของการยืนยันตัวตน ยังพบว่า เป็นบริษัทจีน ไม่ได้มาจากบริษัทที่ไทย และโดยทางบัญชีทางการ Butterbear ประเทศไทย ใน Xiaohongshu ได้ประกาศเมื่อเดือนเมษายน 2567 ว่า "ขณะนี้สินค้าที่ขายในทุกแพลตฟอร์มออนไลน์ และร้านค้าออฟไลน์ในประเทศจีนทั้งหมดไม่ได้รับอนุญาตจากเรา สินค้าของแท้จากทางเราจะมีวางจำหน่ายที่ร้าน Butterbearในกรุงเทพมหานคร ประเทศไทย ในเดือนพฤษภาคม"
    .
    อ่านต่อได้ที่ https://www.bangkokbiznews.com/world/1131509?anm=

    .
    #กรุงเทพธุรกิจ #กรุงเทพธุรกิจBusiness #กรุงเทพธุรกิจColumnist
    ดูน้อยลง

    ttps://www.facebook.com/photo/?fbid=869285198570401&set=a.605386548293602

     
  7. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,685
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ‘น้ำส้ม’ ราคาพุ่งกระฉูด หลังภาวะโลกร้อน-โรคพืช ทำผลผลิตน้อยสุดรอบหลายสิบปี
    .
    ราคา “น้ำส้ม” พุ่งสูงลิ่ว หลังจากส้มในบราซิลและฟลอริดา แหล่งปลูกส้มรายใหญ่ของโลกมีจำนวนลดลง เนื่องจาก “โรคกรีนนิ่งในพืชตระกูลส้ม” (Citrus greening disease) และ “วิกฤติสภาพภูมิอากาศ”
    .
    รายงานจาก Fundecitrus สถาบันพัฒนาการปลูกส้มอย่างยั่งยืน และ CitrusBR ผู้ผลิตและผู้ส่งออกน้ำส้มรายใหญ่ของบราซิล กล่าวว่าวิกฤตสภาพภูมิอากาศและโรคในส้มที่เรียกว่า “โรคกรีนนิ่งในพืชตระกูลส้ม” ทำให้เกษตรกรผู้ปลูกส้มชาวบราซิลเก็บเกี่ยวพืชผลได้น้อยที่สุดในรอบหลายทศวรรษ
    .
    “บราซิล” เป็นผู้ผลิตและส่งออกน้ำส้มรายใหญ่ที่สุดของโลก รายงานคาดว่าในปีนี้บราซิล โดยเฉพาะในรัฐเซาเปาลูและรัฐมินาเจอร์ไรส์ ซึ่งเป็นพื้นที่หลักในการปลูกส้ม จะสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ประมาณ 2,323,800 ล้านลัง (แต่ละลังหนักประมาณ 40.8 กิโลกรัม) ลดลง 24.36% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว
    .
    หากการคาดการณ์ผลผลิตนี้เป็นจริง ปี 2024 จะกลายเป็นปีที่มีปริมาณส้มน้อยที่สุดนับตั้งปี 1988-1989
    .
    รัฐฟลอริดา ผู้ผลิตน้ำส้มรายใหญ่อันดับสองของโลก ก็กำลังเผชิญกับการขาดแคลนอย่างรุนแรงเช่นกัน โดยเป็นผลมาจากโรคในส้มระบาดและสภาพอากาศที่ไม่เอื้ออำนวย
    .
    ผู้ผลิตน้ำส้มหลีกเลี่ยงปัญหาขาดแคลนน้ำส้มในระยะยาวด้วยการแช่แข็งสต็อกน้ำผลไม้ไว้จำนวนมาก ซึ่งเพียงพอต่อการผลิตได้นานถึง 2 ปี แต่ในตอนนี้สต็อกก็เริ่มร่อยหรอลงแล้ว เนื่องจากมีส้มน้อยลงลง 3 ปีแล้ว
    .
    ปัญหาสำคัญที่ทำให้ส้มขาดแคลนคือการระบาดของโรคกรีนนิ่งในพืชตระกูลส้ม ซึ่งเป็นโรคที่ยังไม่วิธีการรักษา เกิดจากแบคทีเรียในแมลงกินพืช ทำให้ผลผลิตลดลง ส่วนส้มที่ได้จะไม่มีรสชาติ บางทีก็มีรสขม และมีรูปทรงบิดเบี้ยว โดยแพร่ระบาดครั้งแรกในฟลอริดาตั้งแต่ปี 2008
    .
    โรคกรีนนิ่งยิ่งสร้างผลกระทบร้ายแรงต่อปริมาณผลผลิต เมื่อเกิดวิกฤติสภาพภูมิอากาศควบคู่กันไปด้วย ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมาปริมาณการผลิตน้ำส้มของฟลอริดาลดลงจาก 240 ล้านกล่องต่อปี เหลือเพียง 17 ล้านกล่องต่อปีเท่านั้น
    .
    ผู้ผลิตน้ำส้มอาจจะ “ลดปริมาณส้มลง” โดยการผสมน้ำลูกแพร์ น้ำแอปเปิ้ล และน้ำองุ่นในปริมาณที่มากขึ้นแทน แต่อาจจะไม่ได้แก้ราคาลดลงได้ในระยะยาว เพราะการผสมน้ำผลไม้ชนิดอื่นลงในน้ำส้ม จะต้องมีการแปรรูปเพิ่มเติม รวมถึงเพิ่มการขนส่งผลไม้ชนิดอื่น ๆ เท่ากับเป็นการเพิ่มต้นทุน ส่งผลให้ราคาน้ำผลไม้เพิ่มขึ้นอยู่ดี
    .
    อ่านต่อ: https://www.bangkokbiznews.com/environment/1131259?anm=
    .


    #กรุงเทพธุรกิจSustain #กรุงเทพธุรกิจEnvironment #กรุงเทพธุรกิจ
    tps://www.facebook.com/photo/?fbid=869250478573873&set=a.605386548293602

     
  8. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,685
    ค่าพลัง:
    +97,150
    1f929.png รู้หรือไม่ ท่านที่มีสวนหรือทำอาชีพเกษตรกร สามารถขอใช้ไฟฟ้าได้ โดยเจ้าไฟฟ้าตัวนี้มีชื่อเรียกว่า ไฟเกษตร โดยมันจะทำหน้าที่สำหรับใช้ภายในสวนของเกษตรกรเพื่อทำการเกษตร เช่น ใช้กับเครื่องสูบน้ำ หลอดไฟในไร่นาต่างๆ เพียงแต่ต้องทำตามหลักเกณฑ์ ดังนี้

    1fa75.png 9หลักเกณฑ์การขอใช้ไฟฟ้า สำหรับใช้ในไร่นา

    1.ได้รับการรับรองจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหรือหน่วยงานราชการ เพื่อยืนยันตัวตนว่าไม่ได้อยู่ในพื้นที่หวงห้ามใดๆ ของทางราชการ

    2.ต้องมีเส้นทางสาธารณะที่รถยนต์ สามารถวิ่งผ่านได้อย่างสะดวก

    3.สามารถดำเนินการก่อสร้างระบบจำหน่ายโดยวิธีปักเสาพาดสายไฟเข้าไปถึงจุดที่ขอใช้ไฟฟ้าได้

    4.ได้รับการรับรองจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหรือหน่วยงานราชการ เพื่อยืนยันขนาดพื้นที่และชนิดของกิจกรรมการผลิตทางการเกษตรที่ต้องการใช้ไฟฟ้า

    5.ต้องระบุแหล่งน้ำที่จะใช้เพื่อการผลิตทางการเกษตรในพื้นที่ที่ขอใช้ไฟฟ้า เช่น คลองสาธารณะ คลองชลประทาน แหล่งน้ำใต้ดินในลักษณะต่างๆ

    6.ต้องมีเอกสาร/หลักฐานสิทธิ์ตามประมวลกฎหมายของพื้นที่ทำการเกษตร แต่ต้องไม่ใช่ที่ดินที่ถือครองโดยเอกชนรายใหญ่

    7.เป็นเกษตรกรรายย่อยที่ขอติดตั้งมิเตอร์ ขนาดไม่เกิน 15(45) แอมป์ ต่อ 1 ราย

    8.ต้องสามารถออกใบแจ้งหนี้ค่ากระแสไฟฟ้ามิเตอร์เครื่องที่ 2(ใหม่) โดยจะแจ้งเก็บเงินไปที่มิเตอร์เครื่องที่ 1(เก่า) ทั้งสองมิเตอร์ต้องอยู่ในเขตพื้นที่ของการไฟฟ้าเดียวกัน

    9.ค่าใช้จ่ายในการขยายเขตต่อราย เฉลี่ยไม่เกิน 50,000 บาท (PEA. รับผิดชอบค่าใช้จ่ายการขยายเขต)

    1f49a.png เอกสารที่ต้องเตรียม
    - สำเนาทะเบียนบ้าน
    - สำเนาโฉนดที่ดิน
    - สำเนาบัตรประชาชน
    - ใบรับรองจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหรือหน่วยงานราชการ

    1f49c.png ขั้นตอนขอไฟเกษตรมีดังนี้

    การขอไฟฟ้ามาลงที่สวนของเรานั้น สิ่งที่จำเป็นคือหากสวนอยู่ติดบ้าน เราแค่ถ่ายรูปที่พักและห้องน้ำไปให้อนามัยในพื้นที่มาตรวจพร้อมกับเซ็นต์เอกสารรับรองการเป็นอยู่ที่ถูกสุขลักษณะ จากนั้นก็นำหนังสือไปยื่นกับผู้ใหญ่บ้านหรือผู้รับผิดชอบในการขอบ้านเลขที่ต่อไป จากนั้นให้นำหนังสือรับรองจากผู้ใหญ่บ้านไปยื่นต่อที่อำเภอ เพื่อลงทะเบียนขอสำเนาทะเบียนบ้าน ตอนนี้เราก็จะมีสำเนาทะเบียนบ้านพร้อมบ้านเลขที่เรียบร้อยแล้ว

    แต่หากสวนหรือไร่นาอยู่ไกลจากตัวบ้านสิ่งที่ต้องทำคือ ต้องสร้างเพิงพักหรือที่พักที่ดูมั่นคงพร้อมกับห้องน้ำ เพราะการมีห้องน้ำจะเปรียบเสมือนว่าเราจะมาอยู่ถาวร (ถึงแม้ว่ายังไม่ได้อยู่ถาวรตอนนี้เลยก็ตาม) ฉะนั้นห้องน้ำจึงมีความจำเป็นมากสำหรับใช้ประกอบหลักฐานในการขอบ้านเลขที่ จากนั้นก็ทำตามขั้นต่อขั้นต้น จากนั้น เตรียมเอกสารได้แก่ สำเนาทะเบียนบ้าน สำเนาโฉนดที่ดินและสำเนาบัตรประชาชน

    จากนั้นนำเรื่องไปยื่นกับองค์การปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่นั้นๆเช่น อบต. หรือเทศบาลตามพื้นที่อยู่อาศัย เจ้าหน้าที่ก็จะให้กรอกเอกสารเพื่อรับรองโดยแนบสำเนาทะเบียนบ้านของเราและเพื่อนบ้านไปพร้อมกัน หลังจากที่ยื่นเรื่องที่องค์การปกครองส่วนท้องถิ่นเรียบร้อยแล้ว ก็นำเอกสารไปยื่นไว้ที่การไฟฟ้าในอำเภอของเรา แล้วกรอกเอกสารให้เรียบร้อย ซึ่งเป็นการยื่นเรื่องไว้รอ และอย่าลืมถามความเป็นไปได้ในการที่จะได้ไฟฟ้าเข้าในพื้นที่ด้วย แนะนำให้รวมกลุ่มกันตั้งแต่ 3 หลังขึ้นไปก็จะทำให้มีน้ำหนักมากขึ้น

    1f90d.png ค่าธรรมเนียมในการยื่นขอมิเตอร์ไฟฟ้า

    5(15) แอมป์ ค่าธรรมเนียม 1,000 บาท 15(45) แอมป์ 1 เฟส ค่าธรรมเนียม 6,450 บาท และ 15(45) แอมป์ 3 เฟส ค่าธรรมเนียม 21,350 บาท

    1f449_1f3fb.png ข้อควรรู้ การขอไฟเกษตรต้องดูแนวโน้มในพื้นที่ด้วยว่าจะมีไฟฟ้าเข้ามาด้วยหรือไม่ และต้องมีบ้านอยู่ในโซนเดียวกันตั้งแต่ 3 หลังขึ้นไป แต่หากพื้นที่มีบ้านหลังเดียวก็สามารถขอไฟฟ้าพิเศษได้ แต่ค่าไฟจะสูงกว่าปกติ หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เบอร์ 1129

    ขอบคุณข้อมูลดีๆจาก การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค
    ttps://www.facebook.com/photo/?fbid=864999385654209&set=a.459599846194167

     
  9. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,685
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ประกาศใช้แล้ว! มียาบ้าเกิน 1 เม็ดถือเป็นผู้ค้า มีโทษตามกฎหมาย
    ประกาศใช้แล้ว กฎกระทรวง สธ. ใครครอบครองยาบ้าไม่เกิน 1 เม็ดให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นผู้เสพ นำตัวไปบำบัด แต่ถ้าเกิน 1 เม็ดถือว่าความผิดฐานเป็นผู้ค้า ต้องได้รับโทษตามกฎหมาย
    วันนี้ (18 มิ.ย. 67) น.ส.ตรีชฎา ศรีธาดา โฆษกกระทรวงสาธารณสุข ฝ่ายการเมืองเปิดเผยว่า กฎกระทรวงฉบับใหม่ประกาศใช้ล่าสุด ลงประกาศในราชกิจจานุเบกษา วันที่ 17 มิถุนายน 2567 มีผลบังคับใช้แล้ว นั่นหมายถึงการครอบครองยาบ้าไม่เกิน 1 เม็ด หรือมีน้ำหนักสุทธิไม่เกิน 100 มิลลิกรัม ให้สันนิษฐานว่ามีไว้ในครอบครองเพื่อเสพ ให้นำตัวไปบำบัดรักษา หากเกินกว่านี้ ถือว่า มีไว้เพื่อจำหน่าย จะต้องได้รับโทษตามกฎหมาย ซึ่งเป็นการแก้ไขกฎกระทรวงเดิมที่กำหนดไว้ไม่เกิน 5 เม็ด
    น.ส.ตรีชฎากล่าวว่า กฎกระทรวงนี้ ลงนามโดยนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2567 กำหนดปริมาณยาเสพติดให้โทษและวัตถุออกฤทธิ์ที่ให้สันนิษฐานว่ามีไว้ในครอบครองเพื่อเสพ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2567 ด้วยเหตุผลที่บันทึกไว้ท้ายกฎกระทรวงว่า “โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขปริมาณยาเสพติดให้โทษและวัตถุออกฤทธิ์ที่ให้สันนิษฐานว่ามีครอบไว้เพื่อเสพ ให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการแก้ไขปัญหายาเสพติดให้โทษอย่างจริงจัง โดยเฉพาะยาเสพติดในประเภท 1 กรณีแอมเฟตามีนและเมทแอมเฟตามีน จึงจำเป็นต้องออกกฎกระทรวงนี้”
    อย่างไรก็ตาม น.ส.ตรีชฎากล่าวว่า กฏกระทรวงฉบับนี้ แก้ไขปริมาณยาเสพติดไว้ 2 ประเภท คือ ยาบ้าหรือแอมเฟตามีน ดังกล่าวไว้ข้างต้น กับยาไอซ์ หรือเมทแอมเฟตามีน กำหนดปริมาณไม่เกิน 1 หน่วยการใช้ หรือมีน้ำหนักสุทธิไม่เกิน 100 มิลลิกรัม หรือในกรณีที่เป็นเกล็ด ผง ผลึก มีน้ำหนักสุทธิไม่เกิน 20 มิลลิกรัม ให้สันนิษฐานว่ามีไว้่ในครอบครองเพื่อเสพ หากเกินกว่านี้ถือว่ามีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ซึ่งจะต้องถูกดำเนินคดีและรับโทษ
    “ฝากเตือนไปถึงคนค้ายาบ้า ยาไอซ์รายเล็ก รายใหญ่ ขอให้กลับตัวกลับใจ รัฐบาลนี้เอาจริง นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี มุ่งมั่นตั้งใจยาเสพติดต้องหมดไปในรัฐบาาลนี้ คืนลูกหลานกลับสู่อ้อมกอดครอบครัว คืนอนาคตให้ลูกหลาน ทันที่รับนโยบายนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขและบุคลากรในกระทรวงทำงานอย่างหนักและรวดเร็วเพื่อออกประกาศกฎกระทรวงฉบับนี้ ดังนั้นคนเสพที่มียาบ้า ไม่เกิน 1 เม็ด ยาไอซ์ในครอบครองไม่เกิน 100 มิลลิกรรม ขอให้ติดต่อกับเจ้าหน้าที่นำตัวบำบัดรักษาให้หายขาดจากการเสพติด เป็นยาแรงในการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดให้ได้ผลด้วยมาตรการทางกฎหมายอย่างเข้มข้น ด้วยความร่วมมือกับกระทรวงยุติธรรม ตำรวจ ทหาร อัยการ ศาล ปปส. กระทรวงมหาดไทย กระทรวงกลาโหมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างจริงจัง” น.ส.ตรีชฎากล่าว
    https://www.facebook.com/share/p/N3GUQKeFYeswbqG3/?mibextid=oFDknk
     
  10. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,685
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Jun 20, 2024 แพงขึ้นเร็ว! ตลาดน้ำมันดิบตลาดโลกผันผวน พุ่งขึ้นสูงสุดในเกือบ 7 สัปดาห์ ก่อนปิดร่วงลงเหลือกว่า 85 ดอลลาร์สหรัฐ หยุดราคาปิดขึ้น 2 วันติดกัน ท่ามกลางความตึงเครียดในตะวันออกกลางและยุโรปรอบใหม่

    ตลาดซื้อขายน้ำมันดิบ นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา รายงานว่า เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2024 ที่ผ่านไป พบว่า ราคาน้ำมันดิบไนเม็กซ์ นิวยอร์ก สหรัฐ ปิดที่ 81.47 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล -0.10 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล หรือ -0.1% ส่งผลหยุดราคาปิดขึ้น 2 วันติดกันรวม +3.12 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล หรือ +3.9% ทำให้เป็นราคาน้ำมันดิบปิดสูงสุดในรอบ 1 เดือนกว่า หรือตั้งแต่สิ้นเดือนเมษายนผ่านมา

    ด้านราคาน้ำมันดิบ เบร็นท์ อังกฤษ ทะเลเหนือ ปิดที่ 85.27 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล -0.06 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล หรือ -0.1% ส่งผลหยุดราคาปิดขึ้น 2 วันติดกันรวม +2.91 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล หรือ +3.3% ทำให้เป็นราคาน้ำมันดิบปิดสูงสุดในรอบ 1 เดือนกว่า หรือตั้งแต่เดือนเมษายนผ่านมา อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันดิบเบร็นท์ยังห่างราว 90 ดอลลาร์สหรัฐจากราคาสูงสุดในเดือนเมษายนผ่านมา

    ในสัปดาห์ผ่านไป ราคาน้ำมันดิบทั้ง 2 แห่ง ปิดพุ่งขึ้นเกือบ 4% ส่งผลเป็นราคาน้ำมันดิบรายสัปดาห์ในแง่เปอร์เซ็นต์ที่ปิดสูงสุดในรอบ 1 เดือนกว่า หรือตั้งแต่เมษายนเป็นต้นมา นอกจากนี้ ยังเป็นราคาปิดเป็นบวกในสัปดาห์แรกในรอบ 3 สัปดาห์ผ่านมาด้วย ย้อนกลับไปในเดือนพฤษภาคม ราคาน้ำมันดิบโลกทั้ง 2 แห่ง ปิดดิ่งลง -6% และ -7.1% ตามลำดับ ทำสถิติราคาปิดร่วงลงมากที่สุดในรอบ 6 เดือน หรือนับตั้งแต่พฤศจิกายน 2023 ที่สำคัญ ยังเป็นราคาน้ำมันดิบรายเดือนที่แย่ที่สุดในปีนี้ด้วย

    สาเหตุจากการทำกำไรช่วงสั้นๆของนักลงทุน หลังจากราคาเพิ่มขึ้นสูงเกือบ 4% ใน 2 วันก่อนหน้านั้นจากปัจจัยความตึงเครียดครั้งใหม่เกิดขึ้นระหว่างยูเครนกับรัสเซีย หลังจากโดรนติดขีปนาวุธของยูเครนโจมตีคลังน้ำมันดิบที่ตั้งอยู่ทางตะวันตกในบริเวณท่าเรือเอโซว รัสเซีย เกิดไฟลุกไหม้เป็นวงกว้าง ท่าเรือดังกล่าวมีคลังเก็บน้ำมันขนาดใหญ่จำนวน 2 คลัง ซึ่งส่งออกน้ำมัน 200,000 บาร์เรลในช่วงมกราคมถึงพฤษภาคมผ่านมา ขณะเดียวกัน รัฐมนตรีต่างประเทศอิสราเอล เตือนว่าการตัดสินใจของอิสราเอลที่จะทำสงครามกับกลุ่มฮิสโบเลาะห์ กำลังจะมาถึงเร็วๆนี้ แม้ว่าสหรัฐอเมริกาจะพยายามทุกวิถีทางที่จะไม่ให้เกิดสงครามก็ตาม (มีต่อหน้า 2/2)

    (หน้า 2/2) นักลงทุนให้น้ำหนักกับกลุ่มโอเปกพลัส เปิดเผยว่า ความต้องการใช้น้ำมันดิบโลกยังไม่มีจุดสูงสุดในระยะกลางหรือระยะยาว พร้อมปรับคาดการณ์ว่า ปริมาณบริโภคน้ำมันดิบทั่วโลกจะเพิ่มเป็น 116 ล้านบาร์เรลต่อวันภายในปี 2045 และสำนักบริหารจัดการข้อมูลพลังงานแห่งสหรัฐอเมริกา หรือ อีไอเอ ปรับขึ้นตัวเลขคาดการณ์ความต้องการใช้น้ำมันดิบทั่วโลกปี 2024 เป็นวันละ 1.10 ล้านบาร์เรลต่อวัน จากเดิมที่วันละ 900,000 บาร์เรล

    ธนาคารโกลด์แมน แซคส์ เปิดเผยว่า ภาวะน้ำมันดิบตึงตัวจะเกิดขึ้นในไตรมาสที่ 3 นี้ ซึ่งเป็นช่วงฤดูร้อนในสหรัฐอเมริกาที่มักจะมีการใช้รถยนต์เป็นจำนวนมากมาย เนื่องจากเป็นช่วงท่องเที่ยวไฮซีซั่น และยังคาดการณ์ว่า ราคาน้ำมันดิบเบร็นท์ อังกฤษ ทะเลเหนือ จะขึ้นไปที่ระดับ 86 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรลในไตรมาสที่ 3 นี้

    ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2022 มีราคาน้ำมันดิบไนเม็กซ์ สหรัฐอเมริกา พุ่งขึ้นสูงสุดที่ 130.50 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ทำสถิติราคาน้ำมันดิบไนเม็กซ์ที่สูงสุดนับตั้งแต่กันยายน 2008 หรือในรอบ 13 ปี 5 เดือน และในปี 2022 ราคาน้ำมันดิบเบร็นท์ อังกฤษ มีราคาสูงสุดนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2008 หรือในรอบ 13 ปี 7 เดือน โดยเมื่อคืนวันจันทร์ที่ 7 มีนาคม 2565 มีขึ้นมาสูงสุดระหว่างวันที่ระดับ 139.13 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล

    ทั้งนี้ ผู้ค้าน้ำมันทุกรายในประเทศไทยปรับราคาขายน้ำมัน มีผลวันที่ 20 มิถุนายน 2567 โดยขึ้นราคากลุ่มเบนซินและแก๊สโซฮอล์ขึ้น 30 สตางค์/ลิตร นับเป็นการขึ้นราคาครั้งแรกในรอบ 9 วันผ่านมา หรือตั้งแต่วันที่ 12 เมษายน 2567 ส่งผลให้เป็นราคาน้ำมันที่แพงขึ้นในรอบ 3 สัปดาห์ หรือตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายนผ่านมา

    #น้ำมันดิบ #ราคาน้ำมันดิบ #ราคาน้ำมัน #ราคาน้ำมันวันนี้ #เศรษฐกิจ #BTimes

    https://www.facebook.com/share/p/pk8cieUC6XdXbRNK/?mibextid=oFDknk
     
  11. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,685
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Jun 20, 2024 เอไอมา! คนไทยกว่า 280,000 เสี่ยงตกงานจากเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ งานออฟฟิศพ่วงงานวิชาการเสี่ยงสูง กระทบหนักสุดในภาคบริการในไทย เปิดสายงาน 3 กลุ่มเสี่ยงน้อยสุดกับเอไอ

    ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยว่า เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI เป็นหนึ่งในภาคส่วนที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก โดยมีการลงทุนมากกว่า 91.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2022 และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 200 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปีภายในปี 2030 แต่การนำ AI มาใช้อาจจะ จะไม่ได้มีแต่ด้านบวก Goldman Sachs คาดการณ์ว่า AI อาจจะทำให้มีการเลิกจ้างงานถึง 300 ล้านตำแหน่งทั่วโลก

    สำหรับคนในสายงานวิชาการ เช่น นักวิจัย ทนาย หรือ ดีไซน์เนอร์ คาดว่าจะมีความเสี่ยงจาก AI ที่จะลดบทบาทของพวกเขาลง ตัวอย่างเช่น บริษัทการเงินชั้นนำของโลก BlackRock ได้เลิกจ้างพนักงาน 600 คนหรือ 3% ของจำนวนพนักงานทั้งบริษัทในเดือนมกราคม 2024 เพราะ AI มาทดแทน อย่างไรก็ดี AI อาจจะมีผลกระทบต่อประเทศไทยน้อยกว่า เนื่องจากพนักงานในภาคบริการของประเทศไทยมีสัดส่วนน้อยกว่า 4% ที่มีความเสี่ยงสูงจากการถูก AI มาทดแทน ถึงแม้ว่าในตอนนี้ 61% ของ CEO ในประเทศไทย เชื่อว่า AI จะเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงานของบริษัทในช่วง 3 ปีข้างหน้า

    จากการสำรวจ CEO ในไทยโดย PwC ในปี 2024 แสดงให้เห็นว่า 61% ของ CEO เชื่อว่า AI จะเปลี่ยนแปลงการดำเนินงานของบริษัทอย่างมากในอีก 3 ปีข้างหน้า และ 58% เชื่อว่าจำเป็นต้องมีการพัฒนาทักษะใหม่ของพนักงาน แต่ในขณะนี้มีเพียง 36% ของ CEO ที่นำ AI มาใช้ในธุรกิจของพวกเขาแล้ว ซึ่งแสดงให้เห็น ว่าความกังวลและการดำเนินการไม่ไปในทิศทางเดียวกัน

    AI จะมีผลกระทบต่อตลาดแรงงานอย่างไรบ้างนั้น อย่างไรก็ดี AI จำเป็นต้องมีการใช้เทคโนโลยีที่มีอยู่ก่อนในระดับหนึ่งเพื่อให้ขยายตัวได้ เช่น ประชากรต้องมีความรู้ทางคอมพิวเตอร์ที่สูง หรือ มีแหล่ง Computer Processing และฐานข้อมูลใน Data Center จำนวนมาก เพื่อที่ใช้ระบบ Large Language Model ของ AI ได้

    ประเทศไทยเรายังคงล้าหลังเมื่อเทียบกับต่างประเทศในด้านความพร้อมทางดิจิทัล โดยในตอนนี้ ประเทศไทยอยู่อันดับที่ 35 ใน World Digital Competitive Ranking และมี Data Center รองรับแค่ 41 แห่ง น้อยกว่า EU มาก (เช่น ฝรั่งเศสมี 205 แห่ง) เพราะฉะนั้น AI อาจจะมีผลกระทบต่อประเทศไทยน้อยกว่าหลายประเทศ เพราะ AI จะมีผลกระทบต่องานที่อยู่ในออฟฟิศหรืองานด้านวิชาการ ซึ่งจำนวนผู้คนที่ทำงานสายนี้ในไทยถือว่ามีสัดส่วนน้อย อีกปัจจัยหนึ่งก็คือ AI จะไม่ได้มาแค่ทดแทนสายงาน (เช่นการทำ admin) แต่จะสามารถมาสนับสนุนสายงานได้โดยการ Augment (เช่น การตรวจบัญชี) แต่ก็มีหลายสายงานที่จะโดนผลกระทบน้อยเช่น หมอนวด หรือ การเป็นคุณครูห้องเรียน (มีต่อหน้า 2/2)

    (หน้า 2/2) ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า AI จะมีผลกระทบมากที่สุดในอุตสาหกรรมการบริการของประเทศไทยซึ่งมีสัดส่วนถึง 52.4% ของ GDP โดยการเปลี่ยนแปลงจะคล้ายกับกรณีที่เคยเกิดขึ้นในภาคการผลิตที่นำระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์มาช่วยในอดีต ซึ่ง AI จะเริ่มแทรกแซงงานในภาคบริการและการสร้างสรรค์ ทั้งนี้ ความเสี่ยงของแต่ละอุตสาหกรรมจะไม่เหมือนกัน โดยการวิจัยของ World Economic Forum และ Indeed (Website เกี่ยวกับงาน และการสมัครงาน) แบ่งสายงานต่างๆ เป็นความเสี่ยงระดับ สูง ปานกลาง และต่ำ ดังนี้

    กลุ่มเสี่ยงสูง ได้แก่ งานด้านข้อมูลข่าวสารและการสื่อสาร กิจกรรมทางการเงินและการประกันภัย กิจกรรมทางวิทยาศาสตร์และเทคนิค กิจกรรมการบริหารและการบริการสนับสนุน การบริหารราชการ และการป้องกันประเทศ

    กลุ่มปานกลาง ได้แก่ การขายส่งการขายปลีกการซ่อมแซมยานยนต์ การขนล่งและสถานที่เก็บสินค้า กิจกรรมทางศิลปะความบันเทิง และการนันทนาการ

    กลุ่มต่ำสุด ได้แก่ การก่อสร้าง การศึกษา งานล้านสุขภาพและงานสังคมสงเคราะห์
    ที่พักแรมและบริการด้านอาหาร กิจกรรมด้านอสังหาริมทรัพย์

    สำหรับภาคบริการไทย งานที่เสี่ยงต่อการถูกแทนที่ด้วย AI มากที่สุด คือ งานออฟฟิศทั่วไป เช่น ธุรกิจการเงิน บริการด้านเทคนิค ธุรกิจสื่อสาร และดีไซน์ ในขณะเดียวกัน งานที่เสี่ยงต่ำ คือ งานที่ต้องอาศัยการเข้าถึงบุคคล เช่น การสอน การดูแลสุขภาพ และการบริการลูกค้าโดยตรง นอกจากนี้ ภายในแต่ละสายงานภาคบริการ ยังมีความเสี่ยงแตกต่างกันในหลายระดับด้วย เช่น ในสายงานนันทนาการถือว่าเสี่ยงน้อย แต่สายงานกิจกรรมทางศิลปะจะมีความเสี่ยงสูงจาก AI เช่น MidJourney (AI ที่สามารถสร้างภาพโดยที่คนใช้งานใส่แค่ ประโยคสั้นๆ)

    ทั้งนี้ หากพิจารณาความเสี่ยงของ AI กับจำนวนคนในสายงาน และมูลค่า GDP แล้ว จำนวนงานของผู้คนที่มีความเสี่ยงที่จะถูกแทนที่ด้วย AI ซึ่งถือว่าต่ำ ประมาณ 2.8 แสนคน หรือ 3.5% ของคนที่ทำงานในสายบริการทั้งหมด แต่จะมีมูลค่าสูงถึง 34.7% ของ GDP ของภาคบริการ ด้วยเหตุผลมาจากสัดส่วนของคนที่ทำงานในงานที่ไม่เสี่ยงสูง เช่น ก่อสร้าง (0.9 ล้านคน) หรือจากการก่อสร้างที่อยู่อาศัย (1.8 ล้านคน) แต่สัดส่วนคนที่ทำงานในอุตสาหกรรมที่เสี่ยงสูง เช่น การเงิน (2.9 หมื่นคน) และบริการวิชาชีพอื่นๆ (9.5 หมื่นคน) มีจำนวนน้อยกว่ามาก

    ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า ประเทศไทยควรเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จาก AI ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น กล่าวคือไทยต้องเตรียมพร้อมรับมือการใช้ประยุกต์ใช้งาน AI อย่างรวดเร็ว เช่น หาก GPT4 สามารถผ่านการทดสอบทางการแพทย์ หรือ CFA จะทำให้งานที่มีรายได้สูงสามารถเพิ่มประสิทธิภาพด้วย AI ได้ บุคลากรด้านวิชาการยังคงต้องมีความรู้เฉพาะด้าน แต่ควรเปลี่ยนแนวความคิดและปรับใช้เครื่องมือที่เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน โดยใช้ AI มากขึ้นในการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ (Efficiency) และผลิตผลการทำงาน (Productivity) เช่น ช่วยสรุปความคิด หรือช่วยเขียนโค้ด

    #เอไอ #ตกงาน #งานบริการ #เศรษฐกิจ #ปัญญาประดิษฐ์ #ไทย #BTimes

    https://www.facebook.com/share/p/7dzKdApEB2bJHQBS/?mibextid=oFDknk
     
  12. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,685
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Jun 20, 2024 แย่ไปหมด! อสังหาฯแบกสต๊อกพุ่ง 1.3 ล้านล้าน ทำเลกรุงเทพ-ปริมณฑลอ่วมทะลุ 246,280 หน่วย ยอดขายชะลอตัวต่อเนื่อง ตามภาวะเศรษฐกิจ กำลังซื้อ

    นายวิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์(REIC) เปิดเผยว่าผลจากการสำรวจภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยทั้งโครงการแนวราบและอาคารชุดในกรุงเทพฯและ 5 จังหวัดปริมณฑล ในไตรมาส 1 ปี 2567 พบว่าหลังจากที่ได้ผ่านไตรมาส 1 ตัวเลขภาพรวมทางเศรษฐกิจของประเทศและเครื่องชี้ภาวะอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นไปในทิศทางชะลอตัวลง คาดว่าภาพรวมทั้งปี 2567 จะมีที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่เข้ามาสู่ตลาด 103,930 หน่วย มูลค่ารวม 637,906 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.0และร้อยละ 7.0 ตามลำดับ ซึ่งแบ่งเป็นโครงการบ้านจัดสรร จำนวน 51,369 หน่วย มูลค่า 420,635 ล้านบาทและโครงการอาคารชุด จำนวน 52,561 หน่วย มูลค่า 217,271 ล้านบาท

    ด้านยอดขายได้ใหม่คาดว่าจะมีจำนวน 67,696 หน่วย มูลค่า 342,299 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 8.4และร้อยละ 1.2 ตามลำดับ แบ่งเป็นโครงการบ้านจัดสรร 37,883 หน่วย มูลค่า 238,919 ล้านบาท และโครงการอาคารชุด 29,813 หน่วย มูลค่า 103,380 ล้านบาท โดยอัตราดูดซับโดยรวมของตลาดจะลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ 1.8 ทั้งประเภทโครงการบ้านจัดสรรและอาคารชุด

    ส่งผลให้ที่อยู่อาศัยเหลือขายมีจำนวนเพิ่มขึ้นเป็น 246,280 หน่วย มูลค่า 1,393,395 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 17.3 และร้อยละ 18.6 ตามลำดับ ซึ่งแบ่งเป็นโครงการบ้านจัดสรร 139,984 หน่วย มูลค่าโครงการ 914,136 ล้านบาท และโครงการอาคารชุด 106,296 หน่วย มูลค่าโครงการ 479,259 ล้านบาท

    สำหรับสถานการณ์ตลาดบ้านแนวราบในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล ในไตรมาส 1 ปี 2567 มีหน่วยเสนอขายทั้งสิ้น 137,483 หน่วย มูลค่า 910,268 ล้านบาท จำนวนหน่วยเพิ่มขึ้นร้อยละ 10.1 ขณะที่มูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 33.5 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนยอดขายได้ใหม่มีจำนวน 9,679 หน่วย มูลค่า 62,863 ล้านบาท โดยลดลงร้อยละ 16.1และร้อยละ 9.3

    โดย 5 ทำเลที่มีหน่วยขายได้ใหม่สูงสุด
    อันดับ 1 โซน-บางพลี-บางบ่อบางเสาธง จำนวน 2,161 หน่วย มูลค่า 14,411 ล้านบาท
    อันดับ 2 โซนเมืองสมุทรปราการ-พระประแดง-พระสมุทรเจดีย์ จำนวน 1,295 หน่วย มูลค่า 5,703 ล้านบาท
    อันดับ 3 โซนบางใหญ่-บางบัวทอง-บางกรวย-ไทรน้อย จำนวน 1,210 หน่วย มูลค่า 6,558 ล้านบาท

    ผลจากการสำรวจภาคสนามยังได้แสดงทำเลสำหรับบ้านแนวราบที่ต้องระมัดระวัง เนื่องจากยังคงมีหน่วยเหลือขายที่มากติดอันดับต้น ๆ แม้ว่าบางพื้นที่จะมียอดขายและอัตราการดูดซับที่ดี ได้แก่
    อันดับ 1 โซนบางใหญ่-บางบัวทอง-บางกรวย-ไทรน้อย จำนวน 20,214 หน่วย มูลค่า 110,177 ล้านบาท
    อันดับ 2 โซนลำลูกกา-ธัญบุรี จำนวน 16,109 หน่วย มูลค่า 93,280 ล้านบาท
    อันดับ 3 โซนคลองหลวง จำนวน 14,478 หน่วย มูลค่า 56,803 ล้านบาท
    (มีต่อหน้า 2/2)

    (ต่อหน้า2/2)
    ด้าน ตลาดอาคารชุดในไตรมาส 1 มีหน่วยเสนอขาย 91,565 หน่วย มูลค่า 397,717 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 14.9 และร้อยละ 25.9 ตามลำดับ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สำหรับยอดขายได้ใหม่มีจำนวน 5,940 หน่วย มูลค่า 27,207ล้านบาท ลดลงร้อยละ 39.0 และร้อยละ 24.5 ตามลำดับ

    โดย 5 ทำเลที่มีขายได้ใหม่สูงสุด ประกอบด้วย อันดับ 1 โซนคลองหลวง จำนวน 1,057 หน่วย มูลค่า 1,794 ล้านบาท อันดับ 2 โซนพระโขนง-บางนา-สวนหลวง-ประเวศจำนวน 487 หน่วย มูลค่า 1,472 ล้านบาท อันดับ 3 โซนธนบุรี-คลองสาน-บางกอกน้อย-บางกอกใหญ่-บางพลัด จำนวน 441 หน่วย มูลค่า 1,861 ล้านบาท

    ทั้งนี้ ทำเลที่มีหน่วยเหลือขายมาก ต้องระมัดระวัง แม้ว่าบางพื้นที่จะมียอดขายและอัตราการดูดซับที่ดี ได้แก่ อันดับ1 โซนห้วยขวาง-จตุจักร-ดินแดง จำนวน 10,588 หน่วย มูลค่า 43,059 ล้านบาท อันดับ 2โซนธนบุรี-คลองสาน-บางกอกน้อย-บางกอกใหญ่-บางพลัด จำนวน 9,469 หน่วย มูลค่า 31,397 ล้านบาท อันดับ 3 โซนพระโขนง-บางนา-สวนหลวง-ประเวศจำนวน 8,251 หน่วย มูลค่า 27,299 ล้านบาท

    จากผลสำรวจข้อมูลแสดงให้เห็นว่าภาพรวมไตรมาส 1 ปี 2567 ตลาดที่อยู่อาศัยในพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑลยังขับเคลื่อนตัวด้วยโครงการบ้านแนวราบกว่าอาคารชุด แต่อย่างไรก็ตาม ควรเฝ้าระวังสต๊อกคงเหลือและอัตราการดูดซับที่ต่ำลงในหลายพื้นที่ซึ่งต้องมีการประเมินความเสี่ยงในการลงทุนในอนาคต โดยเฉพาะทำเลที่มีอัตราการดูดซับลดลง

    https://www.facebook.com/share/p/FxpSZzpckxAUkyF6/?mibextid=oFDknk
     
  13. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,685
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Jun 20, 2024 ลดต้นทุน! สิงคโปร์จ้างงานเพิ่มเพียง 4,700 ตำแหน่ง ในไตรมาส 1 ปี 67 และลดโควต้าแรงงานต่างชาติ 800 ตำแหน่ง เป็นครั้งแรกในรอบกว่า 3 ปี

    กระทรวงแรงงานสิงคโปร์รายงานในวันนี้ (20 มิ.ย.) ว่า การจ้างงานโดยรวมของสิงคโปร์เพิ่มขึ้น 4,700 ตำแหน่งในไตรมาส 1/2567 ซึ่งชะลอลงจาก 7,500 ตำแหน่งในไตรมาสก่อนหน้า

    รายงานระบุว่า ตัวเลขจ้างงานที่เพิ่มขึ้นมาจากการจ้างงานใหม่ในหมู่ชาวสิงคโปร์ ขณะที่การจ้างงานชาวต่างชาติลดลง 800 ตำแหน่งในไตรมาส 1/2567 เนื่องจากปีนี้รัฐบาลลดโควตาแรงงานต่างชาติในภาคการก่อสร้างและภาคการผลิต ซึ่งถือเป็นการลดการจ้างงานชาวต่างชาติเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ไตรมาส 3/2564

    ทั้งนี้ อัตราการว่างงานของสิงคโปร์อยู่ที่ 2.1% ในเดือนมี.ค. เพิ่มขึ้น 0.1 จุดจากเดือนก่อนหน้า ส่วนการจ้างงานโดยรวมของสิงคโปร์แตะที่ 3,718,100 ตำแหน่งในเดือนมี.ค.

    https://www.facebook.com/share/p/EtJRx97Twm88Scvz/?mibextid=oFDknk
     
  14. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,685
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Jun 20, 2024 เพื่อสุขภาพ! สนค. มองอนาคตสินค้าอาหารจากพืช Plant-Based Food จะเป็นตัวยืนสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจแบบยั่งยืน

    นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กระทรวงพาณิชย์ กล่าวภายหลังงานสัมมนานำเสนอผลการจัดทำภาพอนาคตสินค้าอาหารจากพืช (Plant-Based Food) ภายใต้โครงการจัดทำภาพอนาคตสินค้าเกษตรสำคัญของประเทศไทย วันที่ 20 มิถุนายน ณ โรงแรม สวิสโซเทล กรุงเทพ รัชดา จัดโดยสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) ร่วมกับ มูลนิธิสถาบันวิจัยนโยบายเศรษฐกิจการคลัง (สวค.) ดำเนินโครงการฯ เพื่อชี้ให้เห็นถึงภาพอนาคตสินค้า Plant-Based Food ของไทย ซึ่งจะทำให้สามารถวางแผนและออกแบบนโยบายได้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ

    ทั้งนี้ สินค้า Plant-Based Food มีแนวโน้มเติบโตเร็วทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ ข้อมูลจาก Euromonitor ระบุว่า ช่วงปี 2562 – 2567 มูลค่าตลาด Plant-Based Food ทั่วโลก มีอัตราเติบโตเฉลี่ยต่อปีแบบทบต้น (CAGR) ร้อยละ 10.5 และปี 2567 คาดว่าจะมีมูลค่าตลาดประมาณ 25,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สำหรับประเทศไทย Krungthai Compass (2020) คาดการณ์ว่าในปี 2567 จะมีมูลค่า 45,000 ล้านบาท มีอัตราเติบโตเฉลี่ยต่อปีแบบทบต้น (CAGR) อยู่ที่ร้อยละ 10 ใกล้เคียงกับอัตราการเติบโตของตลาดโลก

    โดยมีปัจจัยขับเคลื่อนมาจากการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการบริโภค ที่ตระหนักถึงความสำคัญของสุขภาพ สิ่งแวดล้อม และจริยธรรมที่มีต่อสัตว์มากขึ้น อีกทั้งการสนับสนุนจากภาครัฐที่ส่งเสริมให้เกิดความก้าวหน้าในการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมการผลิต ประกอบกับในโลกยุคดิจิทัลที่การสื่อสารสะดวกรวดเร็ว เพิ่มการรับรู้และยอมรับสินค้าชนิดใหม่ ๆ นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยขับเคลื่อนอื่น ๆ ที่ช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับสินค้า Plant-Based Food อาทิ จำนวนประชากรโลกที่เพิ่มขึ้น ความแปรปรวนของสภาพอากาศที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางอาหาร การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ การพัฒนาเทคโนโลยีการเกษตรและเทคโนโลยีการแปรรูปอาหารที่ก้าวหน้า

    Advertisement
    จากการศึกษา พบว่า ภาพอนาคตสินค้า Plant-Based Food ของไทย มีหลายฉากทัศน์ ซึ่งฉากทัศน์ของอนาคตที่เป็นไปได้ (Probable Future) คือ ไทยเป็นแหล่งวัตถุดิบอาหารเพื่อสุขภาพของโลก เป็นแหล่งเพาะปลูกที่อุดมสมบูรณ์ มีการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตภาคการเกษตร รวมทั้งเทคโนโลยีและนวัตกรรมแปรรูปผลผลิตทางการเกษตรให้เป็นวัตถุดิบสำหรับผลิต Plant-Based Food ที่ผู้ประกอบการเข้าถึงได้ เพื่อยกระดับและสร้างโอกาสทางธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ

    นอกจากนี้ ยังมีอนาคตทางเลือก (Alternative Future) อีก 3 ฉากทัศน์ ได้แก่
    1.ฉากทัศน์ธุรกิจท่องเที่ยวเชิงเทศกาล วัฒนธรรม และเกษตรยั่งยืน คือ การเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงเทศกาล วัฒนธรรม และเกษตรที่มีสิ่งแวดล้อมยั่งยืน โดยสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจของ Plant-Based Food ผ่านการจับจ่ายใช้สอยของนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ
    2. ฉากทัศน์ธุรกิจอาหารเพื่อสุขภาพ คือ ไทยเป็นแหล่งของธุรกิจอาหารเพื่อสุขภาพ ซึ่งในประเทศไทยเติบโตและเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวาง สามารถต่อยอดไปสู่การส่งออกไปยังต่างประเทศ
    3. ฉากทัศน์ของสินค้าอาหารแปรรูป Plant-Based Food ซึ่งเป็นภาพอนาคตที่ไทยมีความสมบูรณ์และยั่งยืน มีภาคการเกษตรที่ทันสมัย รองรับความต้องการ Plant-Based Food ที่เพิ่มขึ้นในตลาดโลก ตอบสนองต่อประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัยสำหรับผู้บริโภค

    อย่างไรก็ตาม ห่วงโซ่อุตสาหกรรมอาหาร Plant-Based Food ไทย ยังคงต้องได้รับการส่งเสริมและพัฒนาอย่างรอบด้าน ทั้งด้านการผลิตและแปรรูป ด้านการตลาด ด้านการวิจัย เทคโนโลยี และนวัตกรรม ด้านฐานข้อมูล ด้านการลงทุน และด้านกฎหมาย เพื่อสร้างความเข้มแข็งทางการค้าสินค้าเกษตร สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าเกษตรของไทย และเพื่อให้ประเทศไทยสามารถเป็นศูนย์กลางอาหาร Plant-Based Food

    ติดตาม BTimes ได้ทุกช่องทาง ดังนี้
    Facebook(เฟซบุ๊ก): https://m.facebook.com/btimesch3/
    YouTube(ยูทูป): https://m.youtube.com/c/MisterBan
    TikTok(ติ๊กตอก): https://www.TikTok.com/@btimes_ch3
    X (เอ็กซ์): https://mobile.twitter.com/btimes_ch3
    Threads(เทร็ดส์): https://www.threads.net/@btimes.ch3
    เว็บไซต์: https://btimes.biz
    Podcast(พ็อดคาสท์): https://btimes.podbean.com/

    #PlantBasedFood #สนค #พาณิชย์ #รายได้ #ส่งออก #BTimes

    https://www.facebook.com/share/p/nvdydpt5z1GAVUXF/?mibextid=oFDknk
     
  15. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,685
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Jun 20, 2024 เอาแล้วไง ! ญี่ปุ่นเล็งเก็บเงินชาวต่างชาติเพิ่ม หวังคัดกรองนักท่องเที่ยว จ่อเก็บแพงกว่าคนญี่ปุ่น 6 เท่า หลังต่างชาติล้นทะลัก 3.04 ล้านคนใน พ.ค. พุ่งขึ้น 60.1% รับอานิสงส์เงินเยนอ่อนค่า

    องค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งประเทศญี่ปุ่น (JNTO) รายงานในวันพุธ (19 มิ.ย.) ว่า จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเยือนญี่ปุ่นอยู่ที่ 3.04 ล้านคนในเดือนพ.ค. พุ่งขึ้น 60.1% จากปีก่อนหน้า และทะลุระดับ 3 ล้านคนเป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกันแล้ว โดยได้รับอานิสงส์จากการอ่อนค่าของเงินเยน

    แม้ว่าธุรกิจต่าง ๆ จะได้รับประโยชน์จากการใช้จ่ายของเหล่าผู้มาเยือนท่ามกลางปัญหาสังคมสูงวัยและประชากรวัยทำงานที่ลดลงของญี่ปุ่น แต่นักท่องเที่ยวเริ่มสร้างความไม่พอใจให้กับคนในท้องถิ่น เนื่องจากทำให้สถานที่ท่องเที่ยวหรือแม้กระทั่งรถโดยสารแออัดมากเกินไป

    นายกเทศมนตรีเมืองฮิเมจิระบุเมื่อวันอาทิตย์ (16 มิ.ย.) ว่า เขาต้องการเริ่มเก็บเงินนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติแพงกว่าชาวญี่ปุ่น 6 เท่า โดยนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติควรต้องจ่ายเงินราว 30 ดอลลาร์ในการเยี่ยมชมปราสาทฮิเมจิอายุ 400 ปีอันเป็นแหล่งมรดกโลก ขณะที่คนญี่ปุ่นจ่ายเพียง 5 ดอลลาร์

    สถานีโทรทัศน์ FNN ของญี่ปุ่นรายงานว่า นายฮิโรฟุมิ โยชิมุระ ผู้ว่าการจังหวัดโอซาก้า ได้ออกมาสนับสนุนแนวคิดดังกล่าว พร้อมทั้งระบุว่าเขาต้องการทำแบบเดียวกันกับปราสาทโอซาก้า
    ก่อนหน้านี้ สถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่งในญี่ปุ่นได้ใช้มาตรการที่เด็ดขาด เช่นในเมืองเกียวโต นักท่องเที่ยวถูกห้ามเข้าพื้นที่บางส่วนของ "กิออน" ซึ่งเป็นย่านประวัติศาสตร์เกอิชา ขณะที่หน่วยงานท้องถิ่นของเมืองฟูจิคาวากุจิโกะ ได้ติดตั้งฉากกั้นสีดำขนาดใหญ่เมื่อเดือนที่แล้ว เพื่อบดบังทัศนียภาพของภูเขาไฟฟูจิ เพื่อจัดการกับพฤติกรรมที่ไร้ระเบียบของนักท่องเที่ยวที่แห่ไปถ่ายรูปภูเขาไฟฟูจิ

    ทั้งนี้ ญี่ปุ่นกำลังเผชิญกับคลื่นนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่หลั่งไหลเข้าประเทศอย่างต่อเนื่อง จนเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับจำนวนนักท่องเที่ยวที่มากเกินไป รวมถึงพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ของนักท่องเที่ยวบางส่วน ส่งผลให้หลายฝ่ายพยายามหาทางควบคุมนักท่องเที่ยวโดยไม่กระทบต่อรายได้ที่เข้าประเทศ หนึ่งในนั้นคือการเก็บเงินนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเพิ่มมากขึ้น

    https://www.facebook.com/share/p/jgaRgwrd8YUJbHUh/?mibextid=oFDknk
     
  16. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,685
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Jun 20, 2024 ด่วน! สหพันธ์ขนส่งทางบกฯ ลงมติขึ้นค่าขนส่งสินค้า 9% มีผลวันที่ 21 มิ.ย. รัฐบาลเมินตอบสนองตรึงดีเซล 30 บาท จ่อยกพลครั้งใหญ่ 3 ก.ค. ปักหลักรถบรรทุกริมถ.วิภาวดี

    วันนี้ 20 มิถุนายน 2567 การประชุมสหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทยเพื่อจะรองรับมติว่า จะดำเนินการอย่างไรต่อไป หลังรัฐบาลยังเพิกเฉยต่อข้อเรียกร้องของสมาพันธ์ฯ ที่ยื่นหนังสือฉบับสุดท้ายไปถึงนายกรัฐมนตรี ให้ตรึ่งราคาน้ำมันดีเซล 30 บาทต่อลิตร ที่ประชุมมีมติให้ปรับขึ้นค่าขนส่ง 9% มีผล ทันที วันพรุ่งนี้ (21 มิ.ย.)

    หากจะคิดง่ายๆ ก็จะทำให้ค่าขนส่งเดิมที่คิดราคา 10,000 บาท จะถูกเพิ่มขึ้น อีก 900 บาททันที / ขณะที่ผู้ประกอบการที่แบกรับต้นทุนไม่ไหว ไม่เฉพาะราคา น้ำมันเท่านั้น ยังมีต้นทุนอื่นอีกมาก โดยเฉพาะส่วยทางหลวง รวมๆ แล้วเพิ่มขึ้นกว่า 30-40% ก็จะหยุดเดินรถ ส่งผลกระทบต่อการขนส่งสินค้าอุปโภคบริโภครวมถึงสินค้าส่งออกด้วย และเตรียมยกระดับกดดัน คือ การเคลื่อนขบวนรถบรรทุกสิบล้อ และรถกระบะที่เป็นผู้ประกอบการขนส่ง จากหัวเมืองหลักๆ ทั่วประเทศ ครั้งยิ่งใหญ่ที่สุด เข้ากรุงเทพฯ ปักหลักย่านวิภาวดี เริ่ม 3 กรกฎาคมนี้จนกว่ารัฐบาลจะมีมาตรการช่วยเหลือ หลักๆ คือ ให้ตรึงราคาดีเซล 30 บาทต่อลิตร และเรียกร้องให้มีการปราบส่วยทางหลวง ซึ่งเป็นปัญหาฝังราก ลึกอย่างจริงจัง ปัญหาดังกล่าวนั้น ขีดเส้นให้จบในรุ่นนี้

    #ดีเซล #รถบรรทุก #ขึ้นค่าขนส่ง #ขนส่ง #สิบล้อ #เศรษฐกิจ #BTimes

    https://www.facebook.com/share/p/3Bu7fgtG7s4wzdW5/?mibextid=oFDknk
     
  17. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,685
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Jun 20, 2024 รายได้วูบ! 3 กรมภาษีจัดเก็บรายได้รัฐ 8 เดือนพลาดเป้า 2.6 หมื่นล้าน เหตุภาษีรถยนต์ ยาสูบต่ำกว่าคาด รวมทั้งมาตรการลดภาษีน้ำมัน

    นายพรชัย รีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ผลการจัดเก็บรายได้รัฐบาลสุทธิในช่วง 8 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2567 (ต.ค.2566-พ.ค.2567) รัฐบาลจัดเก็บรายได้สุทธิ จำนวน 1,676,921 ล้านบาท ต่ำกว่าประมาณการ ตามเอกสารงบประมาณ 26,238 ล้านบาท หรือ 1.5% ทั้งนี้รายได้รัฐบาลสุทธิจัดเก็บได้สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน 1.5%
    โดยกรมสรรพสามิตจัดเก็บรายได้ต่ำกว่าประมาณการ เนื่องจากมีมาตรการปรับลดอัตราภาษีน้ำมันดีเซลและน้ำมันเบนซิน ประกอบกับการจัดเก็บภาษีรถยนต์และภาษียาสูบต่ำกว่าประมาณการ

    อย่างไรก็ดี ฐานการจัดเก็บรายได้รัฐบาล สุทธิในช่วงเดียวกันของปีก่อน มีรายได้พิเศษรวม 53,130 ล้านบาท หากไม่รวมรายได้พิเศษดังกล่าว รายได้รัฐบาลสุทธิจะสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน 4.8%

    ส่วนการจัดเก็บรายได้ของ 3 กรมภาษี ในช่วง 8 เดือนแรกของปีงบประมาณ รวมกันอยู่ที่ 1,749,543 ล้านบาท ต่ำกว่าประมาณการ 43,085 ล้านบาท หรือ 2.4% แต่สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน 44,109 ล้านบาท หรือ 2.6% แบ่งออกเป็น

    1.กรมสรรพากร จัดเก็บรายได้อยู่ที่ 1,320,945 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการ 7,676 ล้านบาท หรือ 0.6% และสูงกว่าช่วงเดียวกันปีก่อน 16,274 ล้านบาท หรือ 1.2%
    2.กรมสรรพสามิต จัดเก็บรายได้อยู่ที่ 349,564 ล้านบาท ต่ำกว่าประมาณการ 53,496 ล้านบาท หรือ 13.3% แต่สูงกว่าช่วงเดียวกันปีก่อน 35,869 ล้านบาท หรือ 11.4%
    3.กรมศุลกากร จัดเก็บรายได้อยู่ที่ 79,025 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการ 2,735 ล้านบาท หรือ 3.6% แต่ต่ำกว่าช่วงเดียวกันปีก่อน 8,034 ล้านบาท หรือ 9.2%

    สำหรับฐานะการคลังของรัฐบาลตามระบบกระแสเงินสดในช่วง 8 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2567 (ต.ค.2566 - พ.ค.2567) รัฐบาลมีรายได้นำส่งคลังทั้งสิ้น จำนวน 1,628,689 ล้านบาท ในขณะที่มีการเบิกจ่ายเงินงบประมาณทั้งสิ้นจำนวน 2,207,955 ล้านบาท โดยรัฐบาลได้กู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุล จำนวน 420,170 ล้านบาท ส่งผลให้เงินคงคลัง ณ สิ้นเดือนพ.ค. 2567 มีจำนวนทั้งสิ้น 394,260 ล้านบาท

    ติดตาม BTimes ได้ทุกช่องทาง ดังนี้
    Facebook(เฟซบุ๊ก): https://m.facebook.com/btimesch3/
    YouTube(ยูทูป): https://m.youtube.com/c/MisterBan
    TikTok(ติ๊กตอก): https://www.TikTok.com/@btimes_ch3
    X (เอ็กซ์): https://mobile.twitter.com/btimes_ch3
    Threads(เทร็ดส์): https://www.threads.net/@btimes.ch3
    เว็บไซต์: https://btimes.biz
    Podcast(พ็อดคาสท์): https://btimes.podbean.com/

    #กรมสรรพากร #กรมศุลกากร #กรมสรรพสามิต #ภาษี #รายได้รัฐ #BTimes

    https://www.facebook.com/share/p/MpFsPGB4w1M6FyFG/?mibextid=oFDknk
     
  18. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,685
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ข้อมูลจากเว็บไซต์ Jobsdb by SEEK เปิดเผยว่า ครึ่งปีแรก 2567 ผู้ประกอบการไทยปิดโรงงานไปแล้วมากกว่า 360 แห่ง คิดเป็นมูลค่าการลงทุนกว่า 9,400 ล้านบาท และเลิกจ้างแรงงานไปแล้วกว่า 10,000 คน ซึ่งเพิ่มขึ้นสูงกว่าค่าเฉลี่ย 2 ปีที่ผ่านมา
    .
    ส่งผลให้คำค้นหายอดนิยมบนเว็บไซต์ของ Jobsdb by SEEK ที่มีการค้นหามากที่สุด ได้แก่ ผู้จัดการ ผู้บริหาร และผู้จัดการฝ่ายผลิต ที่มีการค้นหาเป็นจำนวนมากติดท็อปอันดับคำค้นหาสูงสุดในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา
    .
    ซึ่งสอดคล้องกับสภาวะเศรษฐกิจไทยที่กำลังชะลอตัวลง หลังจากโรงงานอุตสาหกรรม และผู้ประกอบการหลายราย ปลดพนักงานจำนวนมากและหลายรายจำเป็นต้องปิดตัวลงในที่สุด
    .
    #TODAYBizview
    #MakeTomorrowTODAY

    https://www.facebook.com/share/fiKSdrKJLcNiVACh/?mibextid=oFDknk
     
  19. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,685
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) เปิดเผย รายงานภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยทั้งโครงการแนวราบและอาคารชุด ไตรมาส 1/2567 กรุงเทพฯ-ปริมณฑล ยอดขายลดลง -26.6% กดดันสินเชื่อที่อยู่อาศัยปล่อยใหม่ทั้งปีลดลง -0.03%
    .
    ส่วนโครงการบ้านจัดสรรในกลุ่มราคาแพงยังคงมีอัตราการขายได้สูงกว่าระดับราคาอื่นจึงทำให้อัตราการลดลงของมูลค่าน้อยกว่าจำนวนหน่วย
    .
    • สถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัย ไตรมาส 1/2567 ยอดขายในภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยลดลง -26.6%
    • สาเหตุจากหน่วยขายได้ใหม่อาคารชุดลดลง -39.0% และบ้านจัดสรรลดลงร้อยละ -16.1
    • ส่งผลให้หน่วยที่อยู่อาศัยเหลือขายรวมในตลาดเพิ่ม 16.4 %
    • คาดปัญหาเศรษฐกิจชะลอตัว และปัจจัยลบอสังหาฯ ฉุดยอดขายใหม่ทั้งปี 2567 ลดลงร้อยละ -8.4
    • กดดันสินเชื่อที่อยู่อาศัยปล่อยใหม่ทั้งปีให้ลดลง -0.03% และหน่วยการโอนกรรมสิทธิ์โตได้เพียงร้อยละ 1.6
    .
    ทำเลสำหรับบ้านแนวราบที่ต้องระมัดระวังเนื่องจากยังคงมีหน่วยเหลือขายที่มากติดอันดับต้น ๆ แม้ว่าบางพื้นที่จะมียอดขายและอัตราการดูดซับที่ดี ได้แก่
    .
    อันดับ 1 โซนบางใหญ่-บางบัวทอง-บางกรวย-ไทรน้อย จำนวน 20,214 หน่วย มูลค่า 110,177 ล้านบาท
    อันดับ 2 โซนลำลูกกา-ธัญบุรี จำนวน 16,109 หน่วย มูลค่า 93,280 ล้านบาท
    อันดับ 3 โซนคลองหลวง จำนวน 14,478 หน่วย มูลค่า 56,803 ล้านบาท
    อันดับ 4 โซนบางพลี-บางบ่อ-บางเสาธง จำนวน 13,183 หน่วย มูลค่า 83,193 ล้านบาท
    อันดับ 5 โซนเมืองปทุมธานี-ลาดหลุมแก้ว-สามโคก จำนวน 11,244 หน่วย มูลค่า 52,080 ล้านบาท
    .
    ทำเลที่มีหน่วยเหลือขายของอาคารชุดมาก ที่ควรจะต้องระมัดระวังเนื่องจากยังคงมีหน่วยเหลือขายที่มากติดอันดับต้น ๆ แม้ว่าบางพื้นที่จะมียอดขายและอัตราการดูดซับที่ดี ได้แก่
    .
    อันดับ1 โซนห้วยขวาง-จตุจักร-ดินแดง จำนวน 10,588 หน่วย มูลค่า 43,059 ล้านบาท
    อันดับ 2 โซนธนบุรี-คลองสาน-บางกอกน้อย-บางกอกใหญ่-บางพลัด จำนวน 9,469 หน่วย มูลค่า 31,397 ล้านบาท
    อันดับ 3 โซนพระโขนง-บางนา-สวนหลวง-ประเวศ จำนวน 8,251 หน่วย มูลค่า 27,299 ล้านบาท
    อันดับ 4 โซนเมืองนนทบุรี-ปากเกร็ด จำนวน 6,293 หน่วย มูลค่า 16,121 ล้านบาท
    อันดับ 5 โซนลาดพร้าว-วังทองหลาง-บางกะปิ จำนวน 5,382 หน่วย มูลค่า 17,607 ล้านบาท
    .
    “จากผลสำรวจข้อมูลแสดงให้เห็นว่าภาพรวมไตรมาส 1 ปี 2567 ตลาดที่อยู่อาศัยในพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑลยังขับเคลื่อนตัวด้วยโครงการบ้านแนวราบกว่าอาคารชุด แต่อย่างไรก็ตาม ควรเฝ้าระวังสต๊อกคงเหลือและอัตราการดูดซับที่ต่ำลงในหลายพื้นที่ ซึ่งต้องมีการประเมินความเสี่ยงในการลงทุนในอนาคต โดยเฉพาะทำเลที่มีอัตราการดูดซับลดลง”
    .
    #TODAYBizview
    #MakeTomorrowTODAY

    https://www.facebook.com/share/p/tmRueA77sPH4axLf/?mibextid=oFDknk
     
  20. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,685
    ค่าพลัง:
    +97,150
    TODAYBizview สรุป เทรนด์การเป็นอินฟลูฯ จากงาน Creative talk Conference 2024
    .
    รู้หรือไม่ว่า 70% ของประชากรไทยกำลังมีรายได้เดือนชนเดือน ทำให้คนกำลังมองหาอาชีพอื่นๆ เสริม หรือทำความเข้าใจง่ายๆ ว่ามีอาชีพเดียวไม่พอเลี้ยงชีพ
    .
    ประกอบกับข้อมูลจาก Tellscore พบว่า 15-20% ของคนไทยกำลังมองหางานเสริม หรืองานที่มีอิสระ ฟรีแลนซ์มากขึ้น หรือที่เรียกว่า ‘Gig Worker’
    .
    ทำให้ ‘อินฟลูเอนเซอร์’ ถือเป็นอาชีพที่กลุ่มคนกำลังสนใจมากที่สุด เพราะสามารถทำได้เลย และมีความอิสระ รายได้สูง
    .
    [ คนไทยแห่ผันตัวเป็นอินฟลูฯ เพราะอิสระ ]
    .
    ‘สุวิตา จรัญวงศ์’ จากเพจ Tellscore เล่าให้ฟังว่า ปัจจุบันคนกำลังผันตัวเป็นอินฟลูเอนเซอร์มากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เทรนด์ของการเป็นอินฟลูฯ มีหลากหลายขึ้นในสังคมไทย
    .
    ไม่ว่าจะเป็น
    .
    - อินฟลูฯ สายแม่บ้าน
    - อินฟลูฯ สายเลี้ยงลูก
    - อินฟลูฯ สัตว์เลี้ยง และอื่นๆ
    .
    และที่น่าสนใจไปกว่านั้นคือ Soft power ของประเทศไทยเราสามารถสร้างอินฟลูฯ เฉพาะด้านได้มากมาย เช่น อีสานสไตล์ อาหารไทย และอื่นๆ ที่เป็นความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน
    .
    โดยการหาสร้างรายได้ของอินฟลูฯ ในปัจจุบันค่อนข้างที่จะมีหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น การเป็นอินฟลูนักไลฟ์ขายของในแพลตฟอร์มต่างๆ การเป็นนายหน้าออนไลน์สร้างคอนเทนต์ขายของติดตระกร้าให้คนกดซื้อ หรือคอนเทนต์ที่ได้รับเงินจากแบรนด์ต่างๆ
    .
    เรื่องนี้เองก็สอดคล้องกับพฤติกรรม‘การซื้อของ’ คนไทย เพราะกว่า 93-95% ของคนไทยดูรีวิวจากกลุ่มอินฟลูฯ ก่อนตัดสินใจซื้อ ขณะที่ตลาดอีคอมเมิร์ซไทยมีมูลค่าสูงถึง 7.5 แสนล้านบาท
    .
    ทำความเข้าใจง่ายๆ ว่า อีคอมเมิร์ซกำลังโต อินฟลูฯ มีอิทธิพลในการโน้มน้าวใจกลุ่มคนจะตัดใจซื้อของง่ายขึ้น
    .
    [ อินฟลูนักไลฟ์ฯ ของแบรนด์กำลังขาดแคลน ]
    .
    และในมุมของการขายสินค้ารูปแบบไลฟ์สดที่มาแรง สำหรับกลุ่มอินฟลูฯ ในประเทศไทยกำลังขาดแคลน เพราะส่วนใหญ่กลุ่มอินฟลูฯ ที่ได้รับการว่าจ้างให้ไลฟ์สดขายจากแบรนด์ต่างๆ และได้รับค่าคอม กำลังมองว่า หากตัวเองมาไลฟ์สดขายเองจะสร้างรายได้ได้มากกว่า
    .
    ทำให้ปัจจุบัน อินฟลูฯ นักไลฟ์ของแบรนด์ต่างๆ กำลังขาดแคลน
    .
    [ เวลาลงโพสต์ที่ดีที่สุดของแพลตฟอร์มต่างๆ ]
    .
    อย่างไรก็ตาม สำหรับอินฟลูฯ ช่วงเวลาการโพสต์ที่ทำให้มียอด Engagement ถือเป็นสิ่งสำคัญ
    .
    โดยเวลาการโพสต์ที่เป็นช่วงเวลาทองในแพลตฟอร์มต่างๆ คือ
    .
    - Youtube: ช่วง 6 โมงเย็น - 3 ทุ่ม
    - Instagram: ช่วงเที่ยง - บ่าย 3โมง และ 6 โมงเย็น - 3 ทุ่ม
    - Facebook: ช่วงเที่ยง - บ่าย 3โมง
    - Tiktok: 6 โมงเย็น - 3 ทุ่ม
    - X/Twitter: ช่วงเที่ยง - บ่าย 3โมง
    .
    ปัจจุบันคนที่ทำงานประจำกำลังผันตัวเป็นอินฟลูฯ มากขึ้น ซึ่งสำหรับประเทศไทยเรายังมีช่องว่างให้อินฟลูฯ ได้เติบโตอีกมาก รวมถึงยังมีการสร้างรายได้ในหลายรูปแบบโดยที่เหล่าอินฟลูฯ สามารถครีเอตได้เอง
    .
    และนี่คือบทสรุปของเทรนด์อินฟลูเอนเซอร์ไทยในปัจจุบัน
    .
    .
    #TODAYBizview
    #MakeTomorrowTODAY

    https://www.facebook.com/share/p/5Es8gHv4gcEMEoyj/?mibextid=oFDknk
     

แชร์หน้านี้

Loading...