ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    PM 2.5 ยังพุ่งสูง เกินค่ามาตรฐานหลายพื้นที่

    สถานการณ์ในฝุ่น PM 2.5 ในวันนี้ ( 18 มี.ค. ) ยังคงอยู่ในระดับที่สูงเกินค่ามาตรฐานในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะบริเวณภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลางตอนบนและด้านตะวันตกของภาค

    โดยศูนย์สื่อสารการแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ รายงานการติดตามตรวจสอบคุณภาพอากาศ
    ประจำวันที่ 18 มีนาคม 2567 ณ 07:00 น พบว่า ภาพรวมปริมาณ PM2.5 ในประเทศพบเกินค่ามาตรฐานในกว่า 40 จังหวัด ได้แก่

    จ.เชียงราย จ.เชียงใหม่ จ.น่าน จ.แม่ฮ่องสอน จ.พะเยา จ.ลำพูน จ.ลำปาง จ.แพร่ จ.อุตรดิตถ์ จ.สุโขทัย จ.พิษณุโลก จ.ตาก จ.กำแพงเพชร จ.พิจิตร จ.เพชรบูรณ์ จ.นครสวรรค์ จ.อุทัยธานี จ.ชัยนาท จ.สิงห์บุรี จ.ลพบุรี จ.สระบุรี จ.อ่างทอง จ.สุพรรณบุรี จ.กาญจนบุรี จ.ปราจีนบุรี จ.บึงกาฬ จ.เลย จ.อุดรธานี จ.นครพนม จ.หนองบัวลำภู จ.สกลนคร จ.มุกดาหาร จ.ขอนแก่น จ.กาฬสินธุ์ จ.ร้อยเอ็ด จ.อำนาจเจริญ จ.ยโสธร จ.อุบลราชธานี จ.ศรีสะเกษ จ.นครราชสีมา และ จ. สุรินทร์

    สำหรับสถานการณ์ในรายภาคนั้น พบว่า

    - ภาคเหนือ
    เกินค่ามาตรฐานเป็นส่วนใหญ่ ตรวจวัดได้ 44.0 - 186.7 มคก./ลบ.ม.
    - ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
    เกินค่ามาตรฐานเป็นส่วนใหญ่ ตรวจวัดได้ 33.2 - 79.7 มคก./ลบ.ม.
    - ภาคตะวันออก
    เกินค่ามาตรฐาน 1 พื้นที่ ตรวจวัดได้ 15.5 - 38.3 มคก./ลบ.ม.
    - ภาคใต้
    ภาพรวมอยู่ในเกณฑ์ดี ตรวจวัดได้ 15.5 - 23.5 มคก./ลบ.ม.
    - กรุงเทพมหานครและปริมณฑล
    โดยสถานีตรวจวัดของ คพ. ร่วมกับ กทม. ภาพรวมอยู่ในเกณฑ์ดี ตรวจวัดได้ 15.6 - 36.2 มคก./ลบ.ม.

    ---
    #MONONews #ฝุ่นพิษ #ฝุ่นPM25
    ttps://www.facebook.com/photo?fbid=702357845437913&set=a.537481955258837&locale=th_TH

     
  2. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ส่งออกข้าว ‘เวียดนาม’ ฮวบ

    1f35a.png 1f35a.png 1f35a.png

    จากรายงานของสมาคมอาหารเวียดนามพบว่า การส่งออกข้าวเวียดนามในปีนี้จะอยู่ที่ประมาณ 6.5-7 ล้านตัน ลดลงจากระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 8.1 ล้านตันในปีที่แล้ว
    .

    เวียดนาม ซึ่งเป็นผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่อันดับ 3 ของโลก รองจากอินเดียและไทย ได้ประกาศไว้ก่อนหน้านี้ว่าจะค่อยๆ ลดปริมาณการส่งออกรวม เพื่อไปให้ความสำคัญกับคุณภาพและราคาข้าวที่สูงขึ้นแทน ขณะเดียวกันก็จะปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและรักษาระดับความมั่นคงทางอาหารภายในประเทศด้วย
    .

    นอกจากนี้ อุปสงค์จากอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย จีน และแอฟริกา ก็กำลังเพิ่มขึ้น เนื่องจากคาดว่าปรากฏการณ์เอลนีโญจะคงอยู่ถึงกลางปี 2567 เป็นอย่างน้อย
    .

    สำหรับราคาส่งออกข้าวของอินเดียได้พุ่งขึ้นแตะจุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในช่วงสัปดาห์ที่ 8 มีนาคม 2567 ที่ผ่านมา เนื่องจากผู้ขายหลายรายยังคงต้องการความชัดเจนเกี่ยวกับการคำนวณภาษีส่งออก
    .

    โดยผู้ขายชาวอินเดียส่วนหนึ่งกำลังลงนามสัญญาใหม่บางฉบับเกี่ยวกับการส่งออกข้าวนึ่ง หลังจากที่ศุลกากรเปลี่ยนวิธีการคำนวณภาษีอากรขาออกสัดส่วน 20% ซึ่งนับว่าเป็นการเรียกเก็บภาษีที่สูงขึ้นกว่าเดิม
    .

    อย่างไรก็ดี ผู้ส่งออกข้าวชาวอินเดียคนหนึ่งกล่าวว่า ผู้ซื้อยังไม่พร้อมจ่ายในราคาที่สูงเป็นประวัติการณ์ ทำให้ผู้ขายมีข้อจำกัดมากขึ้นตั้งแต่ศุลกากรเปลี่ยนวิธีการคำนวณภาษีอากร
    .

    ขณะที่ ราคาข้าวขาวในไทยก็เพิ่มขึ้นจาก 615 ดอลลาร์สหรัฐต่อตันในสัปดาห์ก่อนหน้า เป็น 620-622 ดอลลาร์สหรัฐต่อตันเช่นกัน โดยผู้ขายจากไทยคนหนึ่งกล่าวว่า ราคาข้าวที่พุ่งสูงขึ้นมาจากอุปสงค์ที่คงที่แต่ผลผลิตที่คาดว่าน่าจะได้ลดลง

    #เวียดนาม #ข้าว #ส่งออกข้าว #AECConnect

    ที่มา: https://www.bangkokpost.com/busines...TQu07XwyAcUyQjfiZEAI7Q7YZWct_8TOLP93_-tMH9K1U


    ttps://www.facebook.com/photo/?fbid=949736463823496&set=a.543495231114290&locale=th_TH

     
  3. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ‘แบงก์ชาติมาเลเซีย’ รับมือ ‘ริงกิตอ่อน’

    1f1f2_1f1fe.png 1f1f2_1f1fe.png 1f1f2_1f1fe.png

    ธนาคารกลางมาเลเซีย (Bank Negara Malaysia: BNM) กระตุ้นให้นักลงทุน รัฐวิสาหกิจ และบริษัทเอกชน ช่วยเพิ่มมูลค่าสกุลเงินริงกิตที่อ่อนค่าลง หลังร่วงลงสู่จุดต่ำสุดในรอบ 26 ปีเมื่อเทียบต่อดอลลาร์สหรัฐ
    .

    ข้อมูลจาก Bloomberg ชี้ว่า สกุลเงินริงกิตมาเลเซียปิดท้ายปี 2566 ด้วยการอ่อนค่ามากที่สุดเป็นอันดับ 2 ในเอเชีย ส่งสัญญาณเตือนเมื่อกลางเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาหลังแตะจุดต่ำสุดนับตั้งแต่เกิดวิกฤตทางการเงินในเอเชียในช่วงปลายทศวรรษ 1990 โดยราคาซื้อขายอยู่ที่ 4.7965 ริงกิตต่อดอลลาร์สหรัฐ
    .

    ธนาคารกลาง BNM กล่าวว่า ได้กระชับความร่วมมือกับบรรดาบริษัทและธุรกิจบริหารจัดการเงินลงทุนที่เชื่อมโยงกับรัฐบาลมากขึ้น รวมถึงบริษัทเอกชน และนักลงทุน เพื่อส่งเสริมให้มีเงินไหลเข้าตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง
    .

    นอกจากนี้ นาย Abdul Rasheed Ghaffour ผู้ว่าการธนาคารกลางยังเสริมว่า เงินริงกิตมีมูลค่าต่ำเกินไป โดยเมื่อพิจารณาจากปัจจัยพื้นฐานและแนวโน้มทางเศรษฐกิจเชิงบวกของมาเลเซีย ริงกิตควรถูกซื้อขายในมูลค่าที่สูงขึ้นกว่านี้
    .

    ธนาคารกลางและนักวิเคราะห์หลายคนกล่าวว่า ความอ่อนแอของเงินริงกิตส่วนใหญ่เกิดจากการคาดการณ์การเปลี่ยนแปลงนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐที่ไปกระตุ้นให้มีการไหลเข้าเงินดอลลาร์สหรัฐ ประกอบกับเศรษฐกิจตกต่ำอย่างกว้างขวางเนื่องจากได้รับผลกระทบมาจากเศรษฐกิจจีน
    .

    นอกจากนี้ ริงกิตยังอ่อนแอเมื่อเทียบกับหลายๆ ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งค่าเงินมาเลเซียปรับตัวขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับเงินบาทของไทย เนื่องจากบาทได้รับผลกระทบจากการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศที่ซบเซาลงเหลือ 1.9% ในปี 2566 ที่ผ่านมา
    .

    ขณะที่นายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิม ของมาเลเซีย ยอมรับว่าสถานการณ์ของริงกิตน่าเป็นกังวล แต่เสริมว่าประเทศมีความพร้อมในการรับมือกับความผันผวนของสกุลเงินได้ดีขึ้น เมื่อเทียบกับวิกฤตในช่วงปลายทศวรรษ 1990
    .

    อย่างไรก็ดี รัฐบาลมาเลเซียคาดว่าเศรษฐกิจจะเติบโตที่ 4-5% ในปี 2567 นี้ โดยเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วที่ 3.7% นอกจากนี้ โดยปกติเงินริงกิตที่อ่อนค่ามักถูกมองว่าเป็นผลบวกต่อการส่งออกของมาเลเซีย ซึ่งเป็นภาคอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญต่อ GDP ของประเทศที่มีการพึ่งพาการค้าสูง แต่ขณะเดียวกันก็ยังมีแนวโน้มที่จะเป็นสาเหตุให้อัตราเงินเฟ้อพุ่งสูงขึ้น เนื่องจากธุรกิจต่างๆ จะผลักต้นทุนนําเข้าวัตถุดิบที่สูงขึ้นไปยังผู้บริโภค

    ผู้เรียบเรียง: ณภัสสร มีไผ่แก้ว

    #มาเลเซีย #ringgit #เศรษฐกิจ #ค่าเงินอ่อน #AECConnect

    ที่มา https://www.scmp.com/week-asia/econ...RgyQVsIaBByF5r215boUFi4N8eaV6VimHqPCJ-FJ7yy0I

    ttps://www.facebook.com/photo?fbid=947869684010174&set=a.543495231114290&locale=th_TH

     
  4. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    TECH: นักวิจัยพบ เพียงต้มน้ำ 5 นาที
    แล้วเอาไปกรองก่อนกิน
    จะลด 'ไมโครพลาสติก'
    ที่จะเข้าไปในร่างกายได้ถึง 80%
    .
    ทุกวันนี้ไมโครพลาสติกอยู่ทุกที่ จุดลึกสุดของพื้นดินและมหาสมุทรมันอยู่หมด และไม่ใช่แค่ปลาในทะเลลึกที่ไม่รอดจากไมโครพลาสติก แต่ล่าสุด มีการทดลองนำ 'รก' ของมนุษย์มาตรวจหาไมโครพลาสติก ก็ยังพบ
    .
    ดังนั้นพูดง่ายๆ คนเกิดมายุคนี้มี 'ไมโครพลาสติก' เป็นส่วนประกอบมาแต่กำเนิด
    .
    การมีไมโครพลาสติกอยู่ในร่างกายนั้นแม้ว่ายังไม่มีการรายงานผลว่าจะมีผลใดๆ แต่ก็คงไม่มีใครอยากจะสะสมมันเอาไว้ในตัว เพราะมันก็เหมือนระเบิดเวลาที่สะสมไปเรื่อยๆ สักวันหนึ่งอาจมากพอที่จะส่งผลบางอย่างกับร่างกายได้
    .
    แต่เราจะหนีไมโครพลาสติกได้อย่างไร? ปัญหาสำคัญของไมโครพลาสติกคือมันอยู่ทั้งในน้ำที่เราดื่มเข้าไป อากาศที่เราหายใจ ในอากาศนี่ไม่ต้องอธิบายกันมากว่ามี ‘มลพิษ’ แค่ไหน ส่วนน้ำนั้นหลายพื้นที่ในโลกก็เอาทั้งน้ำประปาและน้ำดื่มบรรจุขวดมาวิจัย แล้วผลรวมๆ ก็คือเจอไมโครพลาสติกทั้งนั้น ดังนั้นมันจึงหนีไม่ได้ง่ายๆ และคนจำนวนมากก็เลยต้องสะสมไมโครพลาสติกเข้าร่างกายต่อไป และทำได้อย่างเต็มที่ก็แค่ 'ไม่สน'
    .
    อย่างไรก็ดี ล่าสุด เมื่อช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2024 นักวิจัยได้ค้นพบว่ามันมีเทคนิคง่ายๆ ในการช่วยลดไมโครพลาสติกในน้ำ และเทคนิคที่ว่ามันคือการเอาน้ำไปต้มและกรองออก แค่นี้จำนวนไมโครพลาสติกก็อาจลดลงไปได้ถึง 80 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งงานวิจัยนี้ตีพิมพ์ใน Environmental Science & Technology Letters
    .
    แต่งานวิจัยนี้ก็เน้นย้ำว่ามันต้องเป็นน้ำกระด้างเท่านั้น เทคนิคนี้จึงจะเวิร์ก
    .
    น้ำกระด้างคืออะไร? น้ำกระด้างคือน้ำที่มีแร่ธาตุอยู่มาก รสมันจะแปลกๆ แต่เขาก็พบว่าโดยทั่วไปมันไม่ได้ส่งผลร้ายกับร่างกาย ซึ่งจริงๆ แล้วแม้แต่น้ำประปามันก็อาจเป็นน้ำกระด้างก็ได้ เพราะก็ดังที่รู้กันว่าแต่ละพื้นที่ในโลกมีการ 'ปรุงแต่ง' น้ำประปาให้มีรสชาติออกมากินได้ และเทคนิคหนึ่งที่ใช้ทั่วไปในการปรับรสชาติของน้ำ คือการใส่แคลเซียมคาร์บอร์เนตลงไป ซึ่งถ้าจะไม่ให้อธิบายยาวมาก แคลเซียมคาร์บอร์เนตมันเอาไว้ลดค่าความเป็นกรดของน้ำ ซึ่งก็ไม่แปลกเลยที่สารตัวเดียวกันนี้ในบางครั้งถูกใช้เป็น 'ยาลดกรดในกระเพาะอาหาร' ดังนั้นมันคือสารที่มนุษย์ 'กินได้' แน่นอน
    .
    สิ่งที่ทีมวิจัยทดลองก็คือ เขานำเอาน้ำกระด้างที่มีทั้งแคลเซียมคาร์บอร์เนตและมีไมโครพลาสติกอยู่พร้อมๆ กัน ไปต้ม 5 นาที แล้วเอาไปกรองออกง่ายๆ โดยใช้ฟิลเตอร์กาแฟ และก็พบว่า สัดส่วนของไมโครพลาสติกที่หายไปมันแปรผันตรงกับสัดส่วนของแคลเซียมคาร์บอร์เนตในน้ำ
    .
    คำอธิบายคือ พอเอาน้ำไปต้ม แคลเซียมในแคลเซียมคาร์บอร์เนตมันไปจับตัวกับไมโครพลาสติก ทำให้ไมโครพลาสติกที่ปกติมีอนุภาคเล็กแบบกรองไม่ได้ มันสามารถถูกกรองออกได้แบบง่ายๆ เลยหลังจากมันจับตัวเข้ากับแคลเซียม ดังนั้นในแง่นี้ น้ำยิ่งมีแคลเซียมคาร์บอร์เนตเยอะ หรือยิ่งกระด้างมาก มันก็ยิ่งเอาไปต้มแล้วทำให้ไมโครพลาสติกลดลงมาก
    .
    ก็เรียกว่า ไปๆ มาๆ การเอาน้ำไปต้มก่อนกินนั้นอาจเป็นเทคนิคโบราณที่จะถูกนำกลับมาใช้อีกครั้ง เพื่อทำให้น้ำ 'สะอาด' เพราะในอดีต คนในหลายๆ วัฒนธรรมก็มีเทคนิคการเอาน้ำมาต้มก่อนกินเพื่อความสะอาดอยู่แล้ว หรืออีกแบบก็คือคนสมัยก่อนในหลายพื้นที่ก็จะนิยมดื่มเครื่องดื่มร้อนๆ เพราะนั่นเป็นการทำให้น้ำผ่านกระบวนการที่จะทำให้มันกินได้โดยไม่เกิดโรคภัย และนี่คือภูมิปัญญาของคนโบราณที่ทำไปโดยไม่รู้จักสิ่งที่เรียกว่า 'เชื้อโรค’ ด้วยซ้ำ
    .
    เทคนิคที่ว่านี้ มันก็ค่อยๆ หายไปเมื่อมนุษย์สามารถเข้าถึง 'น้ำสะอาด' ผ่านระบบประปาสาธารณะ อย่างไรก็ดี ในยุคที่คนกังวลเรื่องไมโครพลาสติกขึ้นเรื่อยๆ ถ้าน้ำประปายังมีไมโครพลาสติกเจือปนอยู่ สักวันคนก็น่าจะลุกขึ้นมา 'ต้มน้ำ' แล้วเอาไปกรองก่อนกินแน่ๆ
    .
    ซึ่งจริงๆ เราไปถึงจุดนั้นได้ไม่ได้ยากเลย เพราะถ้ามีงานวิจัยสักชิ้นพิสูจน์ชัดๆ ว่า 'ไมโครพลาสติก' ในร่างกายของมนุษย์มันก่อโรคอะไรสักอย่างที่เป็นแล้วถึงตายโผล่มา มันก็มากเกินพอแล้วที่จะกระตุ้นให้คนลุกขึ้นมาเริ่มต้มน้ำเพื่อลดไมโครพลาสติกในน้ำที่ดื่มกินเข้าไป หรือให้ตรงกว่าก็คือ พวกบริษัททำเครื่องกรองน้ำก็น่าจะเพิ่มกระบวนการกรองน้ำเพื่อลดไมโครพลาสติก ไปใส่เครื่องกรองน้ำรุ่นล่าสุด และก็เอามาขายผู้บริโภคอย่างเราๆ
    .
    #TECH #BrandThink #CreativeChange
    #Empowering #Diversity #PositiveImpact
    ps://www.facebook.com/photo/?fbid=966895761665427&set=a.811136580574680&locale=th_TH

     
  5. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    แยกให้ออก อาการแบบไหน? ‘หลงลืมตามวัย’ หรือ‘ความจำเสื่อม’ เทคนิคความจำ เริ่มที่พฤติกรรม
    .
    เคยหรือไม่ กำลังจะพูด หรือเล่าเรื่องอะไรสักอย่าง แล้วก็จำไม่ได้ พยายามนึกเรื่องราวอย่างไรก็นึกไม่ออก ทั้งที่กำลังจะพูด หรือเวลาเพิ่งผ่านไปไม่นาน จนเพื่อนๆ หรือคนใกล้ตัว แซวว่าสมองปลาทอง
    .
    แล้วจะแยกอย่างไร? ว่า อาการหลงลืมเป็นไปตามวัย หรือ เสี่ยงภาวะความจำเสื่อม กันแน่!!!
    .
    คนทำงานที่ใช้ร่างกายอย่างหนัก พักผ่อนน้อย มีภาวะเครียดสะสม อาจส่งผลให้อวัยวะสำคัญอย่างสมองเกิดภาวะสมองล้า ภาวะสมองเสื่อม หรือโรคอัลไซเมอร์ โรคหลอดเลือดสมองขาดเลือดหรือเลือดออก
    .
    ภาวะเหล่านี้ ล้วนส่งผลให้เกิด ‘ความจำเสื่อมก่อนวัย’ ได้ทั้งสิ้น อีกทั้งยังมีผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตได้ในระยะยาว ฉะนั้น ควรใส่ใจดูแลบำรุงสมองตั้งแต่วันนี้ก่อนสายเกินแก้
    ปัจจุบันจำนวนผู้ป่วยโรคสมองเสื่อมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยส่วนใหญ่เป็นช่วงวัยเกษียณ อายุ 60 ปีขึ้นไป
    .
    แต่ละปีจะมีคนอายุ 60% ป่วยเป็นโรคสมองเสื่อม 1% และเมื่ออายุมากขึ้น สัดส่วนผู้ป่วยสมองเสื่อมจะยิ่งเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งอายุถึง 80 ปี จะมีผู้ป่วยสมองเสื่อมกว่า 20%
    .
    ใช้ชีวิตแบบไหน เสี่ยง ‘ความจำเสื่อม’
    .
    ◾ ความเครียด วิตกกังวล หรือ ซึมเศร้า จะบั่นทอน working memory
    ◾ การทำงานอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์นานเกินไป
    ◾ นอนดึก พักผ่อนไม่เพียงพอ ขาดการออกกำลังกาย
    ◾ ความเสื่อมตามวัย ขี้ลืม นึกนาน เรียนรู้ช้า
    ◾ ภาวะขาดวิตามิน บี 12
    ◾ สูบบุหรี่ หรือดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ
    .
    ค้นหาเทคนิคและวิธีพัฒนาความจำได้ง่ายๆ เริ่มจากพยายามลดความตึงเครียด เช่น หางานอดิเรกทำในยามว่าง ออกกำลังกาย นั่งสมาธิ ทำทุกเรื่องด้วยสติ และรอบคอบ
    .
    อ่านต่อ: https://www.bangkokbiznews.com/health/well-being/1118168?anm=
    .
    .
    #กรุงเทพธุรกิจ #กรุงเทพธุรกิจHealth

    https://www.facebook.com/share/p/BpV6NXxyYnRTNPx3/?mibextid=oFDknk
     
  6. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    พร้อมลุย! จีนประกาศพร้อมช่วยรัสเซีย ทำสงครามกับนาโต้
    ….กระทรวงกลาโหมของจีน ออกประกาศว่า จีนพร้อมที่จะเข้าร่วมสงครามทางทหารทุกที่ หากสหรัฐฯ หรือ กลุ่ม NATO ตัดสินใจโจมตีรัสเซีย นับเป็นการส่งสัญญานเลือกข้างชัดที่สุดของจีน ต่อมหาสงครามโลกครั้งถัดไป…แบบนี้สหรัฐ ยิงลูกโป่งบอลลูน UFO ข่มขู่เอาอยู่หรือไม่?
    #WorldUpdate #USA #China #Yemen #Houthis #Israel #Palestine_Genocide #Hezbollah #Russia #Iran #Gaza_War
    ⏩ ดูวิดีโอภาพประกอบ/กดที่ลิ้งแชร์ไปได้เลย

    https://www.blockdit.com/posts/65f7...69SKZfNSPK7HczMl736MTiI8VGMs9qpuv4o-M7V3OY8Mc

    https://www.facebook.com/share/p/i7zUChpWLv9pxtVm/?mibextid=oFDknk
     
  7. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    "หลงจี" 隆基 หรือภาษาอังกฤษว่า Longi "ลองจี" ทำช็อก ... เอ่อ ช็อกยิ่งกว่าลิเวอร์พูลแพ้ทีมอย่างแมนยู
    อ้าวไหนว่าลิเว.. เอ๊ย ไม่ใช่! ไหนว่าพลังงานทางเลือกดีไง ยิ่งพวกสายลมแสงแดด
    อืมม์ ก็มันแข่งขันกันสูง จีนเองก็เหอะ ก็เจอจีนเจ้าอื่นๆ เหมือนกัน
    และต่อให้ใหญ่ด้วยก็เหอะ เล็กๆ มันก็มาเยอะ มาสู้ มาตัดราคา ต้นทุนสู้ได้เหมือนกัน
    ช่วยไม่ได้ --- หลายๆ เจ้า ต้องขายขาดทุน และถ้าสายป่านไม่ยาวพอก็บรรลัย
    ที่พอไหว ก็ปลดคนออก ส่วนที่ไม่ไหว ก็ยื่นล้มละลายกันไป
    https://www.bloomberg.com/news/arti...usands-of-job-cuts-on-glut?srnd=homepage-asia

    ดูราคาเถิด ยังงี้ไม่ให้เจี๋ยนพนักงานออกยังไงไหวล่ะครับ
    FB_IMG_1710765957929.jpg
    https://www.facebook.com/share/pMuFrwTjzvS2Bh27/?mibextid=oFDknk
     
  8. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Mar 19, 2024 ปิดตำนาน! แบรนด์ยักษ์ใหญ่ร้านขายของตกแต่ง ผ้าและอุปกรณ์ตัดเย็บผ้ากว่า 80 ปี โจ-แอนน์ล้มละลาย ถูกปลดจากตลาดหุ้นสหรัฐ

    โจ-แอนน์(Jo-Ann) เครือข่ายร้านค้าปลีกสินค้าหัตถกรรม ผ้าผืน อุปกรณ์ตัดเย็บผ้า และของตกแต่งบ้าน ชื่อดังยักษ์ใหญ่ระดับตำนานถึง 81 ปีในสหรัฐอเมริกา เปิดเผยว่า ได้ยื่นประกาศล้มละลาย และขอศาลพิทักษ์ทรัพย์สินทั้งหมดตามกฎหมายมาตรา 11 ของสหรัฐอเมริกา เพื่อให้ทั้ง 850 สาขาทั่วสหรัฐอเมริกา และธุรกรรมการขายสินค้าออนไลน์ของโจ-แอนน์ สามารถดำเนินกิจการได้ตามปกติ ในขณะเดียวกัน ได้เงินทุนกู้ยืมจำนวน 132 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 4,752 ล้านบาท เพื่อใช้บริหารจัดการลดภาระหนี้สะสมที่มีมูลค่าสูงถึง 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 36,000 ล้านบาท

    นอกจากนี้ โจ-แอนน์ จะถูกปลดออกจากตลาดหลักทรัพย์นาสแดค นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา เนื่องจากได้ประกาศสถานะล้มละลาย และเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการ โจ-แอนน์ เข้าสู่ตลาดหุ้นในปี 2022 โดยมีราคาหุ้นไอพีโอเข้าซื้อขายวันแรกที่หุ้นละ 12 ดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 432 บาท ในขณะที่คืนผ่านมา 18 มีนาคม 2024 ราคาหุ้นเหลือเพียง 25 เซนต์ หรือ 9 บาท การประกาศล้มละลายส่งผลให้สิ้นสุดความเป็นบริษัทมหาชน ซึ่งคาดว่าจะเริ่มต้นการแก้ไขธุรกิจภายในเดือนหน้า

    ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน หรือซีเอฟโอ นายสก็อต ซีเคลลา กล่าวว่า การประกาศล้มละลายเป็นก้าวย่างที่สำคัญในความจำเป็นเกี่ยวกับโครงสร้างเงินทุน และจะทำให้บริษัทมีแหล่งการเงินและความจำเป็นในการบริหารงานที่ยืดหยุ่นมากขึ้น ที่จะยังคงให้บริการกับลูกค้าได้อย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ

    นีล ซอนเดอร์ นักวิเคราะห์อุตสาหกรรมค้าปลีกจากบริษัทโกลบอล ดาต้า เปิดเผยว่า ลูกค้าหรือผู้บริโภคของร้านโจ-แอนน์ เปลี่ยนไปซื้อสินค้าในกลุ่มประเภทเดียวกันกับคู่แข่งที่มีราคาถูกกว่าอย่างเห็นได้ชัด เช่น ร้านฮอบบี้ ลอบบี้ นอกจากนี้ ในช่วงหลายปีผ่านมา ยังพบง่ามาตรฐานการบริการตกต่ำลง และระดับการให้บริการลูกค้าลดลง ซึ่งเป็นผลจากก่อนหน้านี้ โจ-แอนน์ ตัดลดค่าใช้จ่ายลงต่อเนื่อง โดยเฉพาะการปลดพนักงานออกไปเป็นจำนวนมาก

    ติดตาม BTimes ได้ทุกช่องทาง ดังนี้
    Facebook: https://m.facebook.com/btimesch3/
    YouTube: https://m.youtube.com/c/MisterBan
    Twitter: https://mobile.twitter.com/btimes_ch3
    Threads: https://www.threads.net/@btimes.ch3
    Website: https://btimes.biz
    Podcast : https://btimes.podbean.com/

    #โจแอนน์ #ล้มละลาย #ตำนาน #ร้านขายปลีก #หัตถกรรม #ของตกแต่งบ้าน #เศรษฐกิจ #BTimes

    https://www.facebook.com/share/p/qYAVtAFUQXjHDFrL/?mibextid=oFDknk
     
  9. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ค่าเงินบาทวันนี้ 19 มี.ค.67 เปิดตลาด “อ่อนค่าหนัก“ ทะลุระดับ 36 บาทต่อดอลลาร์ “กรุงไทย” ชี้ตลาดกังวลแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด หนุนดอลลาร์แข็งค่าขึ้น และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวขึ้น มองกรอบเงินบาทวันนี้ 35.85-36.15 บาทต่อดอลลาร์
    .
    นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า "ค่าเงินบาทวันนี้" ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 35.99 บาทต่อดอลลาร์ แต่หลังจากนั้นเงินบาทเริ่มอ่อนค่าลงจนทะลุระดับ 36.00 บาทต่อดอลลาร์ โดยมองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 35.85-36.15 บาทต่อดอลลาร์
    .
    ทั้งนี้นับตั้งแต่ช่วงคืนก่อนหน้า ค่าเงินบาทผันผวนในกรอบ sideways (แกว่งตัวในช่วง 35.94-36.00 บาทต่อดอลลาร์) โดยมีจังหวะอ่อนค่าทดสอบโซนแนวต้านสำคัญ 36.00 บาทต่อดอลลาร์ ตามการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ที่ยังพอได้ปัจจัยหนุนจากการปรับตัวขึ้นเล็กน้อยของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ท่ามกลางความกังวลของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด
    .
    อย่างไรก็ดี การอ่อนค่าของเงินบาทยังคงไม่สามารถทะลุผ่านโซนแนวต้านได้ เนื่องจากผู้เล่นในตลาดต่างก็รอลุ้นผลการประชุมบรรดาธนาคารกลางหลักที่จะเริ่มต้นด้วยการประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ในวันอังคารนี้ นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดบางส่วน อย่าง ฝั่งผู้ส่งออกก็ยังคงทยอยขายเงินดอลลาร์อยู่ ทำให้การอ่อนค่าของเงินบาทนั้นชะลอลงบ้าง
    .
    สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เราประเมินว่า เงินบาทเสี่ยงที่จะผันผวนสูง โดยเฉพาะในช่วงตลาดทยอยรับรู้ผลการประชุม BOJ เพราะหาก BOJ ส่งสัญญาณพร้อมใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้น หรือ มีการดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดได้จริง ก็อาจหนุนให้ เงินเยนพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องจากโซนเหนือระดับ 149 เยนต่อดอลลาร์ สู่โซน 148 เยนต่อดอลลาร์ได้ไม่ยาก ซึ่งในภาพดังกล่าวก็อาจช่วยชะลอการอ่อนค่าลงของเงินบาท ทำให้เงินบาททยอยกลับมาแข็งค่าขึ้นได้บ้าง ในทางกลับกัน หาก BOJ ย้ำจุดยืนใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายไปก่อนอ่อน จนกว่าจะมั่นใจในทิศทางอัตราเงินเฟ้อ ก็จะยิ่งกดดันให้ เงินเยนผันผวนอ่อนค่า กลับไปเหนือระดับ 150 เยนต่อดอลลาร์ ได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน ซึ่งในกรณีดังกล่าว เงินบาทมีโอกาสอ่อนค่าทะลุ 36.00 บาทต่อดอลลาร์ ไปทดสอบโซนแนวต้านถัดไปแถว 36.20 บาทต่อดอลลาร์
    .
    ทั้งนี้ ควรจับตาทิศทางฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติ หลังล่าสุดนักลงทุนต่างชาติกลับมาเทขายสินทรัพย์ไทยเพิ่มเติม โดยเฉพาะในส่วนบอนด์ไทย ทั้งบอนด์ระยะสั้นและระยะยาว ซึ่งเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่กดดันให้เงินบาทผันผวนอ่อนค่าลง
    .
    เรายังขอเน้นย้ำว่า ในช่วงนี้ ความผันผวนของเงินบาทนั้นสูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่ผ่านมา (มองจากกรอบเงินบาทรายสัปดาห์) อย่างเห็นได้ชัด ทำให้เราคงคำแนะนำว่า ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลาย อาทิ Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน และนอกเหนือจากการใช้เครื่องมือดังกล่าว การเลือกทำธุรกรรมในสกุลเงินท้องถิ่น (Local Currency) ก็เป็นอีกแนวทางในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่น่าสนใจ ซึ่งผู้ประกอบการควรเปรียบเทียบต้นทุนในการทำธุรกรรมและแผนการป้องกันความเสี่ยงก่อนตัดสินใจทุกครั้ง
    .
    ตลาดหุ้นสหรัฐฯ พลิกกลับมาอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง หนุนโดยการปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นเทคฯ ใหญ่ ธีม AI อาทิ Alphabet +4.6% ที่ได้แรงหนุนจากข่าวการเจรจากับ Apple ในการนำ AI “Gemini” มาใช้กับ iPhone ทั้งนี้ โดยรวมผู้เล่นในตลาดยังไม่กล้าเปิดรับความเสี่ยงมากนัก เพื่อรอลุ้นผลการประชุมเฟดในวันพฤหัสฯ นี้ ส่งผลให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.63%
    .
    ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ย่อลงต่อเนื่อง -0.17% ตามแรงขายทำกำไรหุ้นกลุ่ม Telecom. ที่ปรับตัวได้ดีก่อนหน้า และแรงขายทำกำไรบรรดาหุ้นกลุ่มสินค้าแบรนด์เนม หลังผู้เล่นในตลาดยังไม่มั่นใจแนวโน้มการฟื้นตัวเศรษฐกิจจีน อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นยุโรปยังพอได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของหุ้นเทคฯ ธีม AI เช่นเดียวกันกับฝั่งสหรัฐฯ นำโดย ASML +1.5%
    .
    ในฝั่งตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังคงแกว่งตัวใกล้ระดับ 4.30% โดยผู้เล่นในตลาดต่างรอลุ้นผลการประชุมเฟดในสัปดาห์นี้ เพื่อประเมินแนวโน้มการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายของเฟด ซึ่งหากคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Dot Plot) ใหม่ไม่ได้เปลี่ยนแปลง โดยเฟดยังคงมองว่าจะสามารถลดดอกเบี้ยราว 3 ครั้งในปีนี้ เราคาดว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ก็อาจเริ่มแกว่งตัว sideways หรือย่อลงได้บ้าง อนึ่ง หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในช่วงหลังการประชุมเฟดออกมาดีกว่าคาด ก็อาจหนุนให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ผันผวนสูงขึ้นได้ แต่เราคงมุมมองเดิมว่า การปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ จะเปิดโอกาสให้นักลงทุนสามารถทยอยเข้าซื้อ Buy on Dip บอนด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้
    .
    ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก โดยยังพอได้แรงหนุนจากมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ยังคงกังวลต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด ขณะเดียวกัน การอ่อนค่าลงของเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ที่ส่วนหนึ่งมาจากการปรับสถานะถือครองของผู้เล่นในตลาดก่อนรับรู้ผลการประชุม BOJ ก็มีส่วนช่วยหนุนการแข็งค่าของเงินดอลลาร์ ทั้งนี้ เงินดอลลาร์ยังไม่ได้แข็งค่าขึ้นไปมาก เนื่องจากผู้เล่นในตลาดต่างก็รอลุ้นผลการประชุมของบรรดาธนาคารกลางหลัก ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวขึ้นใกล้ระดับ 103.6 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 103.3-103.6 จุด) ในส่วนของราคาทองคำ ความกังวลแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด ยังคงกดดันให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน เม.ย.) ไม่สามารถปรับตัวขึ้นต่อได้ และยังคงแกว่งตัวแถวโซนแนวรับ 2,160 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ทั้งนี้ ผู้เล่นในตลาดอาจรอลุ้นผลการประชุมของบรรดาธนาคารกลางหลักก่อนที่จะปรับสถานะถือครองที่ชัดเจนต่อไป
    .
    สำหรับวันนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ผลการประชุม BOJ โดยเราประเมินว่า BOJ อาจยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ -0.10% ตามเดิม ทว่า BOJ อาจมีการส่งสัญญาณที่ชัดเจนมากขึ้นต่อแนวโน้มการทยอยใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้น อาทิ การทยอยปรับลดการเข้าซื้อสินทรัพย์ หรืออาจมีการส่งสัญญาณว่า BOJ อาจทยอยยกเลิก Yields Curve Control ได้ ซึ่งหาก BOJ มีการส่งสัญญาณพร้อมใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้น ก็อาจพอช่วยชะลอการอ่อนค่าของเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ได้บ้าง ในทางกลับกัน หากไม่มีการส่งสัญญาณใดๆ เกี่ยวกับการใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้น เราคาดว่า เงินเยนมีโอกาสผันผวนอ่อนค่ากลับไปทดสอบโซน 150 เยนต่อดอลลาร์ ได้ไม่ยาก (ซึ่งจะเป็นโอกาสในการรอเพิ่มสถานะ Long JPY ได้)
    .
    .
    #ค่าเงินบาทวันนี้ #เงินบาทอ่อนค่า #กรุงเทพธุรกิจFinance #กรุงเทพธุรกิจ

    https://www.facebook.com/share/p/VwkQGjiC7zW6Pv9B/?mibextid=oFDknk
     
  10. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    "บอนด์ยีลด์" อายุ 2 และ 5 ปีปรับตัวขึ้นสู่ระดับสูงสุดในปี 2567 เนื่องจากนักลงทุนและนักเศรษฐศาสตร์ ฟันธง โอกาสเฟดลดดอกเบี้ยปีนี้ต่ำกว่า 50% เนื่องจากเงินเฟ้อยังหนืด
    .
    สำนักข่าวบลูมเบิร์ก (Bloomberg) รายงาน (19 มี.ค.) ว่า อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 2 และ 5 ปีปรับตัวขึ้นสู่ระดับสูงสุดในปี 2567 เนื่องจากนักลงทุนสัญญาสวอป (Swop Contracts) และนักเศรษฐศาสตร์ของ โกลด์แมน แซกส์ (Goldman Sachs Group Inc.) คาดการณ์ว่าแนวโน้มการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ลดน้อยลง
    .
    อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐอายุ 2 ปีแตะระดับ 4.749% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 11 ธ.ค. ก่อนที่จะปรับตัวลดลงเล็กน้อยก่อนปิดเซสชันการซื้อขาย ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 5 ปีแตะ 4.367% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 28 พ.ย.
    .
    โดยความเคลื่อนไหวของราคาสัญญาสวอปเป็นดัชนีบ่งชี้แนวโน้มการตัดสินใจปรับอัตราดอกเบี้ยของเฟดส่ง โดยดัชนีดังกล่าวส่งสัญญาณว่าคณะกรรมการนโยบายทางการเงินมีโอกาสน้อยกว่า 50% ที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปีนี้
    .
    แม้ก่อนหน้านี้ตลาดคาดการณ์ว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยสูงถึง 70-80% และที่ผ่านมาเฟดคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ในช่วง 5.25 - 5.5% ตั้งแต่เดือนก.ค.
    .
    "ปัจจุบันยังมีสภาพคล่องที่มากเกินไป" ไมเคิล คอนโตปูลอส (Michael Contopoulos) ผู้อํานวยการฝ่ายตราสารหนี้ของริชาร์ด เบิร์นสไตน์ แอดไวเซอร์ (Richard Bernstein Advisors) กล่าว
    .
    "ภาวะการเงินอยู่ในช่วงผ่อนคลาย สินเชื่อขยายตัวอิสระ การว่างงานต่ำ การเติบโตของรายได้เร่งตัวขึ้น และการเก็งกําไรก็เพิ่มขึ้น ขณะที่อัตราเงินเฟ้อยังหนืด นี่ไม่ใช่สภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการลดอัตราดอกเบี้ย"
    .
    นักลงทุนสัญญาสวอปยังให้โอกาสในการลดอัตราดอกเบี้ยในปีนี้น้อยลง 0.69% ซึ่งน้อยกว่าเส้นคาดการณ์ของคณะกรรมการเฟดในการประชุมนโยบายทางการเงินเมื่อเดือนธ.ค.ปีที่แล้วประมาณ 3 ใน 4 จุดพื้นฐาน ตัวเลขข้างต้นชี้ให้เห็นถึงความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นที่เจ้าหน้าที่เฟดอาจปรับประมาณการเพื่อบอกเป็นนัยถึงการปรับลด
    .
    ด้านลินด์เซย์ รอสเนอร์ (Lindsay Rosner) หัวหน้าฝ่ายการลงทุนในตราสารหนี้จากโกลด์แมน แซกส์ แอสเสต เมเนจเม้นท์ (Goldman Sachs Asset Management) กล่าวว่า "ตลาดคาดการณ์ว่าอัตราเงินเฟ้อล่าสุดอาจทําให้เฟดลังเลที่จะผลักดันการปรับลดในช่วงปลายปี"
    .
    .
    อ่านต่อ: https://www.bangkokbiznews.com/business/economic/1118318?anm=
    .
    #เฟดลดดอกเบี้ย #บอนด์ยีลด์ #เงินเฟ้อ
    #กรุงเทพธุรกิจEconomic #กรุงเทพธุรกิจ

    https://www.facebook.com/share/p/db9UFAQvKxKnQ1wK/?mibextid=oFDknk
     
  11. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เข้าร้านกาแฟ 1 ครั้ง หมดเงินคนละเท่าไร
    ทำไมคนไทยได้กิน ‘กาแฟ’ ราคาแพง
    .
    เมื่อกลางปีที่แล้ว Bizview ได้เผยแพร่บทความเกี่ยวกับเหตุผลที่ทำให้คนไทยได้กิน 'กาแฟ' ในราคาแพง พอสถิติออกมาบอกว่าตอกย้ำว่าคนไทยกินกาแฟเพิ่มจากวันละ 170 แก้วต่อคนต่อปี เป็นวันละ 300 แก้วต่อคนต่อปี
    .
    เลยอดคิดไม่ได้ว่าตอนนี้เราเสียเงินไปกับกาแฟคนละเท่าไรกันบ้าง เลยอยากชวนทุกคนกลับมาย้อนอ่านบทความ 'เปิดเหตุผล ทำไมคนไทยได้กินกาแฟราคาแพงอีกครั้ง'
    .
    [ เปิดเหตุผล ทำไมคนไทยได้กิน 'กาแฟ' ราคาแพง ]
    .
    หลายคนเคยสงสัยเหมือนกันมั้ยว่า ทำไมร้านกาแฟดังๆ ของไทย ไปจนถึงคาเฟ่หลายแห่ง ถึงได้ขายกาแฟแก้วนึงในราคาที่สูงลิบลิ่ว
    .
    เมนูเริ่มต้นอย่างอเมริกาโน บางครั้งก็เริ่มที่ 100 บาทแล้ว ยิ่งหากเป็น Specialty Coffee หรือกาแฟพิเศษที่มักเป็นเมล็ดจากประเทศต่างๆ มีรสชาติแปลกใหม่ ผ่านกระบวนการ Process อย่างดี บางครั้งราคากระโดดไปแก้วละที่ 200 บาท
    .
    ราคาขนาดนี้เมื่อเทียบกับรายได้และค่าครองชีพในไทย ทำให้ ‘กาแฟดีๆ’ สักแก้วกลายเป็นของแพงเกินเอื้อมถึง และอาจไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนจะกินได้ทุกวัน
    .
    แล้วทำไมถึงเป็นแบบนั้น อุตสาหกรรมกาแฟไทยมีอุปสรรคอะไร? TODAY Bizview ชวนหาคำตอบเรื่องนี้ไปกับ ‘กรณ์ สงวนแก้ว’ อุปนายกสมาคมกาแฟพิเศษไทย
    .
    [ กำแพงภาษี ดันราคากาแฟนำเข้าสูง ]
    .
    ปัจจัยแรกที่ทำให้กาแฟในไทยแพง เป็นเพราะ ‘ภาษีนำเข้า’ ที่สูงถึง 90% เป็นอัตราที่สูงเป็นอันดับ 2 ของโลก
    .
    สาเหตุเป็นเพราะในยุคหนึ่งที่รัฐบาลต้องการสนับสนุนให้เกษตรกรเลิกปลูกฝิ่น และหันมาปลูกกาแฟแทน จึงออกมาตรการภาษีนำเข้าที่สูง เพื่อผลักดันให้เกิดการปลูกกาแฟ-ใช้ผลผลิตกาแฟในประเทศ
    .
    ‘กรณ์’ อธิบายให้เห็นภาพชัดขึ้นว่าหากกาแฟกิโลกรัมละ 100 บาท เมื่อนำเข้ามาเสียภาษีอีก 90 บาท นอกจากนี้ยังต้องจ่ายภาษีมูลค่าเพิ่ม (Vat) อีก 7% และเมื่อรวมค่าขนส่งแล้วกาแฟหนึ่งกิโลกรัมนี้เลยมีราคาพุ่งไปที่ 220 บาท
    .
    -ร้านกาแฟเชนดังระดับโลกกำหนดมาตรฐานว่าต้องใช้กาแฟนำเข้าจากต่างประเทศ
    .
    -กาแฟดีๆ โดยเฉพาะกาแฟพิเศษ เน้นไปที่รสชาติอันหลากหลายของกาแฟสายพันธุ์ต่างๆ จากทั่วโลก ซึ่งต้องนำเข้า
    .
    -เมล็ดกาแฟที่ผลิตในประเทศยังไม่เพียงพอต่อความต้องการดื่มกาแฟในไทย ทำให้กาแฟที่ใช้ในไทยราว 75% มาจากการนำเข้า
    .
    ยังไม่รวมว่าร้านกาแฟต้องเจอต้นทุนอื่นๆ เช่น ค่าเครื่องชง, ค่าเช่าที่, ค่าจ้างพนักงาน ฯลฯ
    .
    และนั่นก็ทำให้กาแฟดีๆ หรือกาแฟจากร้านดังบางแห่งมีราคาสูงเมื่อเทียบกับค่าครองชีพในไทย
    .
    โครงสร้างราคากาแฟที่บิดเบี้ยวทำให้ผู้ประกอบการที่อยากให้ธุรกิจอยู่ได้ ต้องหาทางเข้าถึงผู้บริโภคส่วนใหญ่ที่รายได้ไม่สูงมาก ซึ่งหนึ่งในวิธีลดต้นทุนคือใช้เมล็ดกาแฟคุณภาพต่ำนำมาคั่วเข้มๆ เพื่อกลบรสชาติไม่ดีอื่นๆ จนได้กาแฟรสชาติขม
    .
    รสนิยมการดื่มกาแฟรสชาติดีจึงถูกจำกัดอยู่ในวงแคบๆ และกลายเป็นสินค้าฟุ่มเฟือยสำหรับคนบางกลุ่ม
    .
    [ มีภาษีช่วย ทำไมไทยไม่ปลูกกาแฟเยอะๆ ]
    .
    ประเด็นที่น่าสังเกตคือ แล้วทำไมเกษตรกรไทยเราไม่ปลูกกาแฟให้มากพอกับความต้องการ
    .
    ความจริงข้อหนึ่งคือ โดยทั่วไปแล้ว ‘กาแฟ’ เป็นพืชที่เติบโตได้ดีในภูมิประเทศเฉพาะตัวประมาณหนึ่ง เช่น ต้องการที่สูง โดยที่แต่ละสายพันธุ์ก็ต้องการปัจจัยอย่างแดด น้ำ ลม ที่ไม่เท่ากัน
    .
    สำหรับประเทศไทย แม้รัฐจะสนับสนุนให้ปลูกกาแฟ แต่ก็กำหนดสายพันธุ์ที่ให้ปลูกได้ไว้แล้ว ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่ทนแดด ทนฝน ลูกดก ตายยาก แต่ก็ให้คุณภาพที่สู้กับต่างประเทศไม่ได้
    .
    ขณะที่กาแฟต้องใช้เวลาปลูกถึง 5 ปีกว่าจะได้ผลผลิต และอีก 5 ปีถึงจะได้ผลผลิตที่ดีที่สุด
    .
    เมื่อต้องใช้พื้นที่ปลูกจำเพาะ กว่าจะได้ผลผลิตก็นาน สายพันธุ์ที่ปลูกได้ก็ขายได้ไม่แพง สายพันธุ์คุณภาพดี ได้ราคาแพง ก็หาทางปลูกได้ยาก กาแฟจึงไม่ได้กลายเป็นพืชเศรษฐกิจฮิตๆ ของไทย
    .
    ยังไม่รวมถึงเรื่องการปั่นราคาและเก็งกำไรของนายทุนและผู้ที่เห็นช่องว่างราคากาแฟไทยและราคากาแฟประเทศเพื่อนบ้าน และเห็นช่องทางนำเข้าตามแนวชายแดน ที่ทำให้กาแฟไทยโดนกาแฟเพื่อนบ้านตัดราคา สินค้าขายไม่ได้จนเกษตรกรบางรายขาดทุน
    .
    [ กาแฟพิเศษ-แพง แต่จะช่วยยกระดับชีวิตเกษตรกร ]
    .
    แต่ถ้าถามว่าไทยเราควรลุยปลูกกาแฟให้ได้ปริมาณมากๆ จนเพียงพอสำหรับในประเทศ ทำให้คนไทยได้กินกาแฟราคาถูกลง และส่งออกไปต่างประเทศได้ด้วยดีไหม ‘กรณ์’ มองว่าไม่อยากให้เป็นแบบนั้น
    .
    เขามองว่าหากอยากให้วงการกาแฟไทยยั่งยืน เกษตรกรไทยมีคุณภาพชีวิตที่ดี ควรมุ่งไปที่การพัฒนาคุณภาพของเมล็ดกาแฟ รวมถึงมุ่งไปในทางกาแฟพิเศษ แทนการมุ่งปริมาณดีกว่า
    .
    กรณ์บอกว่า กาแฟพิเศษนอกจากจะได้ราคาสูง ยังเป็นกลุ่มที่ราคาไม่ค่อยผันผวนไปตามตลาดโลกมากนัก แต่อุปสรรคในปัจจุบันที่จะมุ่งไปสู่กาแฟพิเศษ ก็ยังอยู่ที่ข้อกำหนดของภาครัฐ
    .
    “จริงๆ โดยรวมคุณภาพกาแฟไทยดีมาก ได้ 80 คะแนนขึ้นไปเกือบทั้งประเทศ ภาพรวมถือว่าดีกว่าฮาวาย ปานามา บราซิล แต่ระดับท็อปสุดๆ ของประเทศมีจำนวนน้อยมาก คือหลักสิบกิโลกรัม ดังนั้นเราแทบไม่มีกาแฟระดับท็อปเยอะมากพอ”
    .
    เขามองว่าถ้าประเทศไทยมีกาแฟสายพันธุ์ที่ดี ให้คุณภาพและรสชาติอร่อย นั่นจะเปิดโอกาสให้เกษตรกรไทยเติบโตได้อีกมาก
    .
    “แต่ตอนนี้เรานำสายพันธุ์ที่ดีเข้าไทยไม่ได้ เนื่องจากติดข้อกำหนดของภาครัฐที่กำหนดว่าเราไม่สามารถนำต้นกาแฟสายพันธุ์อื่นเข้ามาปลูกในไทยได้ แต่ถ้าภาครัฐสามารถส่งเสริมด้วยการจับมือกับองค์กรวิจัยสายพันธุ์กาแฟ เราจะสามารถพัฒนาสายพันธุ์ที่รสชาติอร่อยและทนต่อสภาวะอากาศได้มากขึ้นด้วย”
    .
    ถึงอย่างนั้น ความท้าทายอย่างหนึ่งที่ยังมีอยู่คือด้วยกำแพงภาษีนำเข้าที่สูง ทำให้เกษตรกรบางกลุ่มไม่มีแรงจูงใจที่จะพัฒนาคุณภาพกาแฟให้ดี
    .
    แต่ด้วยราคาที่สูงก็ดันให้คนรุ่นใหม่ที่มีความรู้กลับไปที่ไร่กาแฟ แล้วมีแรงผลักดันที่อยากจะพัฒนากาแฟให้ดีกว่ารุ่นพ่อแม่ หลายคนเห็นการประกวดแล้วอยากชนะ อยากพัฒนากาแฟของตัวเองให้ดีขึ้นไป
    .
    โดยในประเทศไทยมีการประกวดเมล็ดกาแฟในงาน Thailand Coffee Fest ซึ่งล่าสุดกาแฟที่ชนะถูกประมูลไปด้วยราคาสูงถึง 33,500 บาท/กิโลกรัม
    .
    [ คนไทยจะได้กินกาแฟถูกลงไหม ]
    .
    คนในวงการกาแฟหลายคนมองว่า สิ่งที่จะช่วยให้กาแฟในไทยถูกลงได้ คนไทยได้จิบกาแฟคุณภาพกลางๆ ในราคาที่เข้าถึงได้มากขึ้น รัฐควรต้องปรับลดภาษีนำเข้าให้ไม่สูงอย่างเช่นทุกวันนี้
    .
    ขณะที่ในมุมของอุปนายกสมาคมกาแฟพิเศษไทย เขาเข้าใจว่ากาแฟในปัจจุบันแพงเมื่อเทียบกับค่าครองชีพ แต่เขามองว่าสำหรับกาแฟพิเศษแล้ว ถือเป็นการจ่ายเพื่อแลกให้เกษตรกรได้มีคุณภาพชีวิตที่ดี
    .
    “ถ้าเรารู้สึกว่ากาแฟแก้วละ 100 บาท ยังแพงเกินไป ถ้าเราไม่ได้กินทุกวัน แต่ได้มีโอกาสกิน เช่นวันนี้อยากกินกาแฟดีๆ แล้วยอมจ่ายได้ มันอาจจะไม่ใช่ทุกวัน ไม่ใช่ทุกแก้วที่เรากิน แต่ถ้าเรายอมจ่าย ถ้ามันเป็นกาแฟไทย แน่นอนว่ามันส่งเสริมให้เกิดอีโคซิสเต็มที่ยั่งยืนขึ้น เพราะเงินที่เรายอมจ่าย มันจะเข้าไปถึงต้นน้ำได้แน่นอน”
    .
    #TODAYBizview
    #MakeTomorrowTODAY

    https://www.facebook.com/share/pr6SQzq8tGMyMZam/?mibextid=oFDknk
     
  12. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    สรุปเศรษฐกิจไทยปีนี้วิกฤตแล้วหรือยัง?
    .
    ดร.กิริฎา เภาพิจิตร ผู้อำนวยการวิจัยนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศและการพัฒนา และผู้อำนวยการโครงการวิเคราะห์เศรษฐกิจเชิงลึก สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) วิเคราะห์สถานการณ์เศรษฐกิจไทย ในรายการ Maruey Talk เมื่อต้นปีมานี้ว่า ถ้ามองตามหลักวิชาการทางเศรษฐศาสตร์ เราไม่วิกฤติ เพราะคำว่า Economic Crisis คือเศรษฐกิจต้องหดตัวลง และไม่ใช่หดแค่หนึ่งเซคเตอร์ ต้องคิดถึงสมัยวิกฤตต้มยำกุ้ง วิกฤตโควิด ทุกเซคเตอร์หยุดชะงัก แบบที่มูลค่ามันลดลงมาเลยเมื่อเทียบกับปีก่อน อันนี้ถึงจะเป็นวิกฤติจริง
    .
    คาดการณ์ปีนี้เศรษฐกิจไทยจะขยายตัว 2.5-3 % จะเห็นว่าบางเซคเตอร์ยังขายได้ดี และอาจดีกว่า 3% ด้วยซ้ำ เช่น เซคเตอร์ที่เกี่ยวกับเทคโนโลยียังขายดี หรือธุรกิจใหม่ๆ พวกไบโอเทคโนโลยี หรือสินค้าไบโอโปรดักส์ก็ขายดีมาก อีวีก็ยังเติบโต
    .
    ดังนั้นจะเห็นได้ว่าเศรษฐกิจไทยก็ยังโตอยู่ แต่ไม่ได้โตเร็วเหมือนที่เคยเห็นเมื่อหลายปีก่อนที่โต 4-5% ดังนั้นถามว่าวิกฤติหรือไม่ก็คงจะไม่วิกฤต
    .
    ตอนนี้สถานการณ์เศรษฐกิจของประเทศไทยฟื้นตัวช้าหลังจากโควิด ขณะที่ประเทศอื่นเริ่มฟื้นตัวกันตั้งแต่ปลายปี 2565 แล้ว และถ้าเทียบประเทศอื่นในอาเซียนเราโตน้อยกว่าประเทศอื่นเยอะ
    .
    อ่านฉบับเต็มได้ที่นี่

    วิกฤตการณ์การเงิน 2540 หรือ ‘วิกฤตต้มยำกุ้ง’ เริ่มต้นเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2540 ซึ่งเป็นวันที่ประเทศไทยประกาศลอยตัวค่าเงินบาท และต้องขอความช่วยเหลือทางการเงินจาก IMF วิกฤตครั้งนั้นส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจและสร้างความเสียหายอย่างมากต่อประเทศไทย และส่งผลไปถึงภูมิภาคอาเซียนและอีกหลายประเทศในเอเชียจนเป็นวิกฤตทางการเงินในที่สุด
    .
    สภาพเศรษฐกิจภายในประเทศไทยเกิดภาพเหตุการณ์ของการปิดบริษัท ปิดสถาบันการเงิน คนตกงาน ถูกลดเงินเดือน บ้านโดนยึด หลายคนต้องออกจากงาน บ้างก็นำของมือสองใส่ท้ายรถเร่ขายตามตลาดนัด เพื่อหารายได้มาดูแลครอบครัว ยังเป็นฝันร้ายที่หลายคนไม่เคยลืม
    .
    ประเทศไทยใช้หนี้ IMF หมดในปี 2546 ซึ่งเป็นช่วงของทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี
    .
    ชวนฟังพอดแคสท์ สำนักข่าวทูเดย์ EP. "ย้อนอดีต IMF ใครใช้หนี้ ชวน+ธารินทร์ หรือทักษิณ"



    #TODAYBizview
    #MakeTomorrowTODAY
    .
    #TODAYBizview
    #MakeTomorrowTODAY
    https://www.facebook.com/share/p/uzuAoyeXnTQL7EB2/?mibextid=oFDknk
     
  13. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ความเป๊ะและเตรียมพร้อมต้องยกให้ญี่ปุ่น สำนักข่าวรอยเตอร์ รายงานว่า ขณะที่ญี่ปุ่นกำลังจะเปลี่ยนโยบายการเงินใหม่ไปสู่การจบลงของนโยบายอัตราดอกเบี้ยติดลบที่กินเวลายาวนานมา 8 ปี ปราฎว่าธนาคารและสถาบันการเงินในภูมิภาคและท้องถิ่นญี่ปุ่น กำลังเตรียมพร้อมรับมือกับเรื่องใหม่นี้ โดยจัดฝึกอบรมออนไลน์ให้พนักงานที่ไม่มีประสบการณ์ในการให้กู้ยืมเงินหรือดูแลรับผิดชอบเงินฝากธนาคารในสภาพแวดล้อมที่อัตราดอกเบี้ยเป็นบวกมาก่อน เพราะธนาคารหลายแห่งจ้างพนักงานที่เพิ่งสำเร็จการศึกษาใหม่เมื่อปีที่แล้ว และวางแผนจะจ้างเพิ่มเติมอีก ดังนั้นจึงต้องอบรมพนักงานธนาคารที่ไม่เคยสัมผัสกับสภาพแวดล้อมอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่จะเพิ่มสูงขึ้นมาก่อน เพราะถือเป็นโลกใหม่ของคนกลุ่มนี้
    .
    ธนาคารในญี่ปุ่นประเมินว่าการกลับมาปรับนโยบายขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกของญี่ปุ่น มีแนวโน้มที่จะส่งผลให้ผู้ให้กู้และผู้กู้ยืมต้องยกเครื่องการวางแผนทางการเงินใหม่
    .
    มีรายงานว่าธนาคารในเกียวโตจัดอบรมพนักงาน โดยหนึ่งในเซสชั่นที่อบรม อาทิ การอธิบายว่าทำไมอัตราดอกเบี้ยจึงมีความสำคัญ วิธีกำหนดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ และอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นจะส่งผลต่อธุรกิจของธนาคารและลูกค้าอย่างไร
    .
    ขณะที่เซสชั่นอื่นๆ จะมีผู้บริหารระดับสูงของธนาคารที่มีประสบการณ์ในสมัยที่ญี่ปุ่นมีอัตราดอกเบี้ยเป็นบวกมาร่วมแบ่งปันความรู้ในการโน้มน้าวผู้ขอกู้ยืมให้ยอมรับค่าธรรมเนียมที่สูงขึ้น
    .
    การฝึกอบรมทางออนไลน์ครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้พนักงานธนาคารอายุน้อยได้เตรียมพร้อมรับการแข่งขันที่เข้มข้นเพื่อดึงดูดเงินฝาก รวมทั้งยังสอนและให้คำแนะนำเชิงปฏิบัติเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีการอธิบายให้ผู้กู้ยืมทราบว่าอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จะเพิ่มขึ้น และเพื่อให้พนักงานสามารถสร้างยอดในการเพิ่มเงินฝากเพิ่มขึ้นผ่านการสื่อสารกับลูกค้าที่ดีขึ้น
    .
    ทาดาชิ ชิมาโมโตะ รองผู้จัดการทั่วไปแผนกทรัพยากรบุคคลและกิจการทั่วไปของ Bank of Kyoto บอกว่า เนื้อหาการฝึกอบรมเป็นเรื่องธรรมดา แต่วัตถุประสงค์จัดอบรมให้พนักงานอายุน้อยโดยเฉพาะ จะได้เข้าใจสถานการณ์ว่าจะเป็นอย่างไรในโลกที่อัตราดอกเบี้ยเป็นบวก และสถานการณ์จะต่างออกไปจากเดิม เมื่อดอกเบี้ยทยอยปรับสูงขึ้น จึงจัดอบรมเพื่อเปลี่ยนกรอบความคิดของพวกเขา และเป็นการเตรียมพร้อมเมื่อช่วงเวลาขึ้นดอกเบี้ยมาถึง เพราะพวกเขาเติบโตและเรียนหนังสือมาในสภาพแวดล้อมที่ไม่เคยเห็นดอกเบี้ยสูงขึ้น มันเป็นโลกใหม่สำหรับพวกเขา
    .
    ญี่ปุ่นมีอัตราดอกเบี้ยนโยบายติดอยู่กับที่หรือต่ำศูนย์มานานหลายทศวรรษ เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อที่ต่ำเป็นเวลานานและความซบเซาทางเศรษฐกิจ นั่นก็ส่งผลให้ผู้ฝากเงินรายย่อยได้รับดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
    .
    ที่ผ่านมา ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BoJ) ใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายมาเป็นเวลา 20 ปี เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและต้องการบรรลุเป้าหมายเงินเฟ้อที่ 2%
    .
    แต่ล่าสุดมีการส่งสัญญาณจาก BOJ อาจยุติการใช้อัตราดอกเบี้ยติดลบ รวมทั้งรัฐบาลญี่ปุ่นกำลังพิจารณายุติภาวะเงินฝืด เพราะตัวเลขเงินเฟ้อที่ปรับตัวสูงขึ้นและไม่ได้ติดลบมาระยะหนึ่ง
    .
    #TODAYBizview
    #MakeTomorrowTODAY

    https://www.facebook.com/share/p/4FzKxi4qsV8bcxyR/?mibextid=oFDknk

    PSX_20240319_104045.jpg
     
  14. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    น้ำผึ้งแท้ไม่กลัวเน่า ! รู้หรือไม่ ? น้ำผึ้งอยู่ได้นานนับพัน ๆ ปี
    .
    แน่นอนว่าการทิ้งอาหารไว้นาน ๆ อาหารก็จะเน่าเสียในที่สุด นั่นก็เพราะจุลินทรีย์ในอากาศเข้าไปในเจือปนในอาหาร จนกระทั่งเกิดการย่อยสลาย แต่รู้หรือไม่ว่ามีอาหารชนิดหนึ่งที่สามารถอยู่ได้นับพัน ๆ ปีโดยที่ไม่เน่าเสียเลย นั่นก็คือ น้ำผึ้ง

    น้ำผึ้งที่ถูกบันทึกว่ามีอายุยาวนานที่สุดโดยไม่เน่าเสียพบที่สุสานโบราณในประเทศจอร์เจีย มันมีอายุประมาณ 4,700 - 5,500 ปี ในขณะที่อีกหนึ่งการค้นพบคือในประเทศอียิปต์ร่วมกับสุสานของฟาห์โรชื่อทุต (Tut) น้ำผึ้งโหลนี้มีอายุ 3,000 ปี โดยไม่เน่าเสียเลย ฟังดูเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์มาก แล้วรู้หรือไม่ว่าเพราะเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น

    เหตุผลหลัก ๆ คือ น้ำผึ้งมีปริมาณน้ำตาลเยอะมาก คือประมาณ 80% ซึ่งนั่นช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์หลายชนิด อีกเหตุผลคือเพราะมีปริมาณน้ำน้อยมาก คือประมาณ 17 - 18% นอกจากนี้ เนื่องจากน้ำผึ้งมีปริมาตรที่ค่อนข้างหนาแน่น ออกซิเจนจึงไม่สามารถเข้าไปได้ง่าย นี่เป็นการป้องกันไม่ให้จุลินทรีย์หลายประเภทเข้าไปเติบโต

    เคล็ดลับเกิดขึ้นระหว่างกระบวนเก็บน้ำผึ้ง ผึ้งงานจะออกไปเก็บน้ำหวานจากดอกไม้แล้วส่งกลับรัง มันจะป้อนน้ำหวานส่งต่อ ๆ กัน กระบวนการนี้จะมีการกลืนและสำรอกออกมาหลายครั้ง ระหว่างนั้นเอนไซม์ในกระเพาะของผึ้งจะสลายกลูโคสของน้ำหวานให้เป็นกรดกลูโคนิกและผลิตสารประกอบที่เรียกว่าไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ ซึ่งไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์มีคุณสมบัติต้านเชื้อแบคทีเรีย นอกจากนี้ในกระบวนการนี้ยังทำให้น้ำผึ้งมีสภาพเป็นกรด (pH มีค่าประมาณ 4) เมื่อน้ำหวานถูกเก็บในรวงผึ้งแล้ว ผึ้งจะกระพือปีกอย่างแรงเพื่อเร่งให้น้ำระเหยออกไป ลดปริมาณน้ำในน้ำผึ้ง และทำให้แบคทีเรียไม่เจริญเติบโต

    ด้วยเหตุผลเหล่านี้ น้ำผึ้งจึงสามารถอยู่ได้นานนับพัน ๆ ปี โดยที่ไม่เน่าเสียเลย นับว่าเป็นสมบัติแห่งอดีตโดยแท้ น่าทึ่งมาก ๆ เลย

    ที่มาข้อมูล https://www.healthline.com/nutrition/does-honey-go-bad#TOC_TITLE_HDR_4
    https://www.sciencefocus.com/science/why-doesnt-honey-go-off
    ที่มารูปภาพ Дарья Яковлева From Pixabay

    #Honey #น้ำผึ้ง #วิทยาศาสตร์ #TNNTechreports #Techreports #TNNONLINE #TNNThailand #TNNช่อง16 #ซิงเกิลอิมเมจ
    ————
    อัปเดตข่าวเทคโนโลยีที่น่าสนใจบน Instagram กับ TNN Tech คลิก https://www.instagram.com/tnn_tech
    และติดตาม TNN Tech ผ่านช่องทางต่าง ๆ ได้ที่
    • Youtube : https://bit.ly/TNNTechYoutube
    • TikTok : https://bit.ly/TNNTechTikTok
    • Website : https://bit.ly/TNNTechWebsite
    • Line OA : https://page.line.me/tnntech
    • Threads : https://threads.net/@tnn_tech
    • X : https://twitter.com/TnnTech

    https://www.facebook.com/share/XL7VDc9XvTBRp3X3/?mibextid=oFDknk
     
  15. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    จบแล้ว!
    ญี่ปุ่นจบสิ้นดอกเบี้ย "ติดลบ" แล้ว! ขยับสู่ "แดนบวก" ครั้งแรกตั้งแต่ปี 2016
    และนับเป็นการขึ้นดอกเบี้ยครั้งแรกตั้งแต่ปี 2007
    แบงก์ชาติญี่ปุ่นมีมติปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ขึ้นไปอยู่ในช่วง 0-0.1%
    ... จากเดิมที่แช่ ณ -0.1% มาตั้ง 8 ปี
    ... จากที่เงินเยนทำสถิติอ่อนบรรลัยสุดในรอบ 3 ทศวรรษ (ปัจจุบัน เรี่ยๆ 150 เยน/ดอลลาร์)
    ... จากที่เงินฝืดมานานนมจนเหมือนจะไม่มีวันหาย (ตอนนี้ เฟ้อกำลังสวย สวยพอที่จะขึ้นดอกแล้วไม่กระเทือนให้มันหล่นนัก)
    ... จากที่หุ้นบินทะยานฟ้า (เอ๊ะ นี่มันดีนะ! อืมม์ ก็คงคำนวณแล้วว่าขึ้นดอกกระจิ๋วแบบนี้ไม่ทำให้มันถล่มทลายลงมาหรอก)

    สรุปว่าขึ้นแล้วจ้า
    เงื้อง่ามานาน รั้งรอชะเง้อ สุดท้ายไม่เก้อ
    ขึ้นซักที!

    https://www.bloomberg.com/news/live...n-monetary-policy-decision?srnd=homepage-asia
    https://www.facebook.com/share/hRKbykUVmzpfSkUN/?mibextid=oFDknk

    https://asia.nikkei.com/Economy/Ban...num=4&si=a13c948a-d713-42c7-82dc-f4e5cf1acb76

    ที่มา https://www.facebook.com/share/p/KRzB8J1mnwWcoxRj/?mibextid=oFDknk
     
  16. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    [BREAKING]
    จีนชี้ว่า Evergrande ทำการฉ้อโกงเงิน “7.8 หมื่นล้านดอลลาร์” !
    ทำให้ Evergrande กลายเป็นคดีฉ้อโกงทางการเงินที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของโลกทันที ใหญ่กว่า Enron, FTX และ Bernie Madoff เสียอีก

    China Evergrande’s Alleged $78 Billion Fraud Is Among Worst

    https://www.bloomberg.com/news/arti...ergrande-of-78-billion-fraud-among-worst-ever

    https://www.facebook.com/share/p/Bd7N2WpjPNBHZiwK/?mibextid=oFDknk
     
  17. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เฮ้ย!!! แม้แต่ "ยูนิลีเวอร์"!?!?!?
    ทั้งๆ ที่เราก็เห็นข่าวเงินเฟ้อๆ ๆ --- ข้าวของแพงบรรลัย ขึ้นราคากระจุยกระจาย (ไม่มีขึ้นเนียนๆ นะครับ กระโตกกระตากมาก) ก็แล้วทำไมยักษ์ใหญ่อย่าง "ยูนิลีเวอร์" ยังต้องหั่นงบมโหฬารด้วยการปลดพนักงานขนานใหญ่ปานนี้ล่ะ?
    ยอดขายไม่ดีเหรอ? แต่ของพวกนี้คนก็ต้องใช้โดยไม่มีทางเลี่ยงนา? (ลดจำนวนก็ไม่น่าจะได้ด้วย?) หรือว่าต้นทุนมันก็สูงจนจะไม่ไหว ต่อให้ขึ้นราคาแล้วก็ยังไม่พอจะชดเชยตรงนั้น?
    มีพนักงานทั้งสิ้นทั่วโลก 1.28 แสนคนครับ ทิ้งไป 7,500 คน ก็ 6%
    ใช้เวลา 3 ปีครับในการปรับโครงสร้าง (ว่าง่ายๆ คือ ทยอยปลด)
    เพื่อช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย 800 ล้านยูโร
    https://www.reuters.com/markets/dea...s-unit-launches-cost-savings-plan-2024-03-19/

    https://www.facebook.com/share/R1fv9hvMpFYP8EcD/?mibextid=oFDknk
     
  18. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เบื้องหลัง! “ไนเจอร์” สั่ง "กำลังทหารอเมริกัน" ออกนอกประเทศด่วนตามก้น "ฝรั่งเศส" หลัง “วอชิงตัน” ส่งทูตเตือนให้ระวังสัมพันธ์ใกล้ชิด “รัสเซีย-อิหร่าน"
    .
    .
    .
    .
    .
    เอเอฟพี/เอเจนซีส์/รอยเตอร์/MGRออนไลน์ - เพนตากอนวันจันทร์(18 มี.ค)แถลงว่า รัฐบาลรัฐประหารไนเจอร์วันเสาร์(16 มี.ค)ประกาศยกเลิกข้อตกลงทางการทหารกับสหรัฐฯให้กองกำลังทหารสหรัฐฯ 1,000 นายต้องเดินทางออกนอกประเทศมีผลทันที หลังสัปดาห์ที่แล้วทีมเจ้าหน้าที่ระดับสูงรัฐบาลประธานาธิบดี โจ ไบเดน เตือนให้ระวังความสัมพันธ์กับรัสเซียและอิหร่าน
    .
    เอเอฟพีรายงานวันนี้(18 มี.ค)ว่า สหรัฐฯกลายเป็นประเทศตะวันตกชาติที่ 2 ตามหลังฝรั่งเศสที่รัฐบาลรัฐประหารไนเจอร์ขีดเส้นตายให้ออกนอกประเทศหลังคำประกาศในวันเสาร์(16)และเป็นคำสั่งที่มีผลบังคับใช้ทันทีท่ามกลางการแผ่อิทธิพลในดินแดนทวีปแอฟริกาทั้งรัสเซียและจีน
    .
    สหรัฐฯในวันจันทร์(18)ออกมาชี้ว่า ฝ่ายอเมริกายังคงรอการขยายความในความชัดเจนถึงคำประกาศยกเลิกข้อตกลงความร่วมมือของรัฐบาลรัฐประหารไนเจอร์ พร้อมเปิดเผยว่าความร่วมมือทางทหารระหว่างกันเป็นผลประโยชน์ร่วม ซึ่งไนเจอร์เป็นฐานปฎิบัติการโดรนของสหรัฐฯ
    .
    ทั้งนี้คำประกาศยุติความร่วมมือซึ่งมีทหารสหรัฐฯจำนวน 1,000 นายประจำอยู่เกิดขึ้นหลังคณะผู้แทนระดับสูงของรัฐบาลประธานาธิบดีโจ ไบเดน เดินทางไปเยือนไนเจอร์สัปดาห์ที่แล้วเป็นเวลา 3 วันพร้อมกับแสดงข้อวิตกกังวลออกมา
    .
    เอเอฟพีชี้ว่า คณะผู้แทนนำโดย ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ (Assistant Secretary of State) ฝ่ายกิจการแอฟริกา มอลลี ฟี (Molly Phee) เดินทางกลับออกมาจากกรุงนีอาเมย์ในวันพฤหัสบดี(14) หลังจากพบเจ้าหน้าที่ระดับสูงไนเจอร์และนายกรัฐมนตรีไนเจอร์ แต่ไม่ได้พบหัวหน้าคณะรัฐประหารไนเจอร์ นายพล อับดุลราห์มาน ทะเชียนิ แหล่งข่าวทางการทูตเปิดเผย ซึ่งตามกำหนดเดิมเป็นการเยือนนาน 2 วันแต่ขยายเพิ่มเป็นอีก 1 วันหลังจากนั้น
    .
    เดอะฮิลล์ของสหรัฐฯรายงานว่า เพนตากอนออกมาเปิดเผยวันจันทร์(18)ถึงเบื้องหลังไนเจอร์ประกาศยกเลิกข้อตกลงทางการทหารกับสหรัฐฯเกิดขึ้นหลัง ฝ่ายคณะผู้แทนได้เตือนไนเจอร์ถึงความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับรัสเซียและอิหร่านในระหว่างการเยือน
    .
    โดยโฆษกกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯแถลงว่า เจ้าหน้าที่รัฐบาลไบเดนรู้เรื่องนี้(การยกเลิกข้อตกลง)และกำลังทำงานผ่านช่องทางการทูตเพื่อดูความชัดเจน
    .
    ทั้งนี้วอลสตรีทเจอร์นัลเปิดเผยว่า รัฐบาลไบเดนได้แสดงความวิตกว่า ไนเจอร์อาจใกล้บรรลุข้อตกลงเพื่อเปิดทางให้อิหร่านสามารถเข้าถึงแร่ยูเรเนียมของตัวเอง
    .
    ทั้งนี้สหรัฐฯใช้เงินสูงถึง 110 ล้านดอลลาร์เมื่อ 6 ปีก่อนหน้าสำหรับฐานที่ตั้งโดรนทางตอนเหนือของไนเจอร์ ซึ่งการปรากฎตัวของกองกำลังสหรัฐฯในไนเจอร์นั้นไม่มั่นคงมาตั้งแต่ไนเจอร์เกิดรัฐประหารเมื่อปลายกรกฎาคมปีที่แล้วโดยฝีมือนายพลอับดุลราห์มาน ทะเชียนิ ตำแหน่งหัวหน้าหน่วยอารักขาประธานาธิบดีมุฮัมมัด บาซูม และในช่วงการรัฐประหารและบีบให้ฝรั่งเศสเจ้าอาณานิคมเดิมต้องถอนกำลังออกและปิดสถานทูตตัดความสัมพันธ์ทุกช่องทางจากการได้เห็นประชาชนชาวไนเจอร์ที่สนับสนุนการทำรัฐประหารต่างโบกธงชาติรัสเซียอย่างคึกคัก
    .
    ธิงแทงก์อเมริกันไม่แสวงหาผลกำไร The Soufan Center หรือ TSC ที่มีฐานอยู่ในเมืองนิวยอร์ก สหรัฐฯ เคยรายงานว่า การประชุม Russia-Africa summit ที่เมืองเซนต์ปีเตอร์เบิร์ก ในปี 2023 ซึ่งมีอดีตผู้ก่อตั้งกลุ่มวากเนอร์ เยฟเกนี ปรีโกจีน (Yevgeny Prigozhin) นั้นปรากฎตัวให้เห็นก่อนเสียชีวิตภายในปีเดียวกัน
    .
    งาน Russia-Africa summit ปี 2023 พบว่ามีผู้นำชาติแอฟริกันบินเข้าร่วมที่เมืองเซนต์ปีเตอร์เบิร์กทั้งหมด 16 คน และผู้แทนอีก 49 คนบินร่วม หนึ่งในที่น่าจับตาคือ ไม่ปรากฎประธานาธิบดีมุฮัมมัด บาซูม อดีตผู้นำไนเจอร์ที่มีความใกล้ชิดกับชาติตะวันตกเข้าร่วม
    .
    แต่ทว่าสปุตนิกของรัสเซียรายงานเมื่อวันที่ 16 ม.ค ต้นปีนี้ว่า นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันของไนเจอร์คือ อาลี มาฮามาน ลามีน ไซนี พร้อมคณะเดินทางมาเยือนกรุงมอสโก โดยมีเป้าหมายเพื่อกระจายความเป็นพันธมิตรของไนเจอร์ทั้งด้านการป้องกันประเทศ พลังงาน สาธารณสุข หรือการเกษตร
    .
    ตามการรายงานพบว่าเครื่องของผู้นำไนเจอร์ออกบินไปเยือนเซอร์เบีย ตุรกี และอิหร่าน
    .
    รอยเตอร์รายงานเพิ่มเติมว่า การมาเยือนครั้งนั้นไนเจอร์ภายใต้รัฐบาลรัฐประหารและรัสเซียเล็งเพิ่มความร่วมมือทางการทหารและการพลังงานให้แนบแน่นโดยรัฐมนตรีกลาโหมของแต่ละฝ่ายได้พบปะหารือึความร่วมมือเพื่อเสริมสร้างเสถียรภาพของภูมิภาค
    https://www.facebook.com/share/p/oZJ6YtDkJFhJ6ys8/?mibextid=oFDknk
     
  19. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ชาวบ้านโอดหนัก! มี.ค. ค่าไฟพุ่ง หลังอากาศร้อนจัด

    เมื่อประเทศไทยเข้าสู่ฤดูร้อนอย่างเป็นทางการ จนทำให้บางพื้นที่มีอุณหภูมิพุ่งแรง ซึ่งก่อนหน้านี้ทางกรมอุตุนิยมวิทยา เคยรายงานไว้ว่าอุณหภูมิปี 2567 จะสูงกว่าปี 2566 และ อาจจะพุ่งไปแตะถึง 44.5 องศาเซลเซียส

    จากผลพวงนี้ทำให้ชาวบ้านหลายคนถึงกับปาดเหงื่อ เพราะบิลค่าไฟฟ้าที่ตามมานั้น จะสูงขึ้นแน่นอนในช่วงเดือนมีนาคม และอาจลากยาวไปจนถึงเดือนเมษายน ซึ่งสอดคล้องกับที่กระทรวงพลังงาน ได้เคยคาดการณ์ไว้ว่า ความต้องการใช้ไฟฟ้าของประชาชนช่วงนี้จะพีคสุด และสูงกว่าปีที่แล้ว

    สำหรับวันนี้ (19 มี.ค. 67) กรมอุตุนิยมวิทยา เผยว่า อิทธิพลจากมวลอากาศเย็นกำลังปานกลางจากประเทศจีน ได้เคลื่อนเข้าปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือและทะเลจีนใต้แล้ว ประกอบกับมีลมตะวันออกและลมตะวันออกเฉียงใต้พัดนำความชื้นจากอ่าวไทยและทะเลจีนใต้เข้ามาปกคลุมประเทศไทยตอนบน ในขณะที่ประเทศไทยตอนบนมีอากาศร้อนถึงร้อนจัด

    ทำให้ประเทศไทยจะมีพายุฤดูร้อนเกิดขึ้นในระยะแรก โดยมีลักษณะของพายุฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง และลูกเห็บตกบางแห่ง รวมถึงอาจมีฟ้าผ่าเกิดขึ้นได้บางพื้นที่ หลังจากนั้นอุณหภูมิจะลดลง

    #กรมอุตุนิยมวิทยา #ฤดูร้อน #ค่าไฟแพง #ค่าไฟ #ข่าวโมโน #MONONEWS #MONO29 #สังคมอยากรู้ดูข่าวโมโน

    https://www.facebook.com/share/p/eYuMoMsQzp9yzxvi/?mibextid=oFDknk
     
  20. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    FB_IMG_1710895043505.jpg

    (Mar 19) ส่องปฏิกิริยารัฐ-ตลาด หลังญี่ปุ่นเลิก "ดอกเบี้ยติดลบ" แต่ยังผ่อนคลายที่สุดในโลก: ธนาคารกลางญี่ปุ่นสิ้นสุดอัตราดอกเบี้ยติดลบที่ใช้มานาน 8 ปี ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกในรอบ 17 ปี ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินวันที่ 18-19 มีนาคม 2024 นี้ นับเป็นธนาคารกลางแห่งสุดท้ายของโลกที่ยุติการใช้อัตราดอกเบี้ยติดลบ หลังจากที่ทั่วโลกเผชิญภาวะเงินเฟ้อในช่วงสองปีที่ผ่านมา

    คณะกรรมการนโยบายการเงินลงมติไม่เอกฉันท์ 7 ต่อ 2 เสียง กำหนดช่วงอัตราดอกเบี้ยนโยบายใหม่ระหว่าง 0% ถึง 0.1% เปลี่ยนจากอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่ -0.1% นอกจากนี้ BOJ ยังได้ยกเลิกโครงการควบคุมเส้นอัตราผลตอบแทนที่ซับซ้อน พร้อมให้คำมั่นว่าจะซื้อพันธบัตรรัฐบาลระยะยาวต่อไปตามความจำเป็น และยุติการซื้อกองทุนซื้อขายแลกเปลี่ยน

    อย่างไรก็ตาม BOJ ไม่ได้ส่งสัญญาณถึงการปรับขึ้นดอกเบี้ยในอนาคต อัตราดอกเบี้ยของญี่ปุ่นอาจคงที่อยู่ที่ระดับนี้ และการขยับขึ้นดอกเบี้ยครั้งนี้ไม่ใช่จุดเริ่มต้นของวงจรนโยบายการเงินที่เข้มงวดอย่างในยุโรปและสหรัฐ ซึ่งหมายความว่าญี่ปุ่นยังคงเป็นประเทศที่มีนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายที่สุดในโลก

    คาซูโอะ อูเอดะ (Kazuo Ueda) ผู้ว่าการธนาคารกลางญี่ปุ่นกล่าวว่า การบรรลุเป้าหมายเงินเฟ้อ 2% ที่ยั่งยืนนั้นอยู่ในระยะที่มองเห็นได้ และกล่าวว่า นโยบายผ่อนคลายทางการเงินขนาดใหญ่ที่ทำมาบรรลุวัตถุประสงค์ของมัน (ในการพาญี่ปุ่นออกจากภาวะเงินฝืด)

    อูเอดะเน้นย้ำว่า ถึงแม้จะสิ้นสุดอัตราดอกเบี้ยติดลบแล้ว แต่จำเป็นที่จะต้องคงนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายเอาไว้

    ถึงอย่างนั้นก็ตาม อูเอดะก็ยังระมัดระวังความคิดเห็นของเขาในระหว่างการแถลงข่าว ในขณะที่ให้คำมั่นว่าจะคงนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายเอาไว้จนกว่าแนวโน้มดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานจะแตะ 2% เขายอมรับด้วยว่าหากแนวโน้มเชิงบวกของการปรับขึ้นค่าจ้างและราคาสินค้า กระตุ้นให้เกิดการคาดการณ์ว่าเงินเฟ้อ ความเสี่ยงที่ราคาสินค้าและบริการจะสูงขึ้นก็อาจส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น

    คาซูโอะ อูเอดะ ประธานธนาคารกลางญี่ปุ่น ระหว่างการแถลงข่าว วันที่ 19 มีนาคม 2024 (ภาพโดย Richard A. Brooks / AFP)

    ด้านนายกรัฐมนตรีฟูมิโอะ คิชิดะ (Fumio Kishida) ที่ยังคงต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจยินดีกับคำบอกใบ้ของธนาคารกลางที่ว่านโยบายการเงินจะคงผ่อนคลายต่อไป

    นายกฯญี่ปุ่นกล่าวหลังจากผู้ว่าฯ BOJ แถลงผลการประชุมว่า รัฐบาลเชื่อว่ามีความเหมาะสมที่จะรักษาสภาพแวดล้อมทางการเงินที่ผ่อนคลายเอาไว้ เพื่อรับประกันว่าพัฒนาการเชิงบวกของเศรษฐกิจจะดำเนินต่อไป

    สำหรับปฏิกิริยาของฝั่งตลาดเงินตลาดทุน การที่ BOJ ไม่ส่งสัญญาณถึงการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยส่งผลให้ค่าเงินเยนร่วงลงผ่านระดับ 150 เยนต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ อยู่ที่ 150.68 เยนต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ ณ เวลาประมาณ 18.54 น. ตามเวลาประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเข้าใกล้ระดับที่อ่อนแอที่สุดในปีนี้ ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลปรับตัวลดลง

    เงินเยนที่อ่อนค่าลงสนับสนุนตลาดหุ้นญี่ปุ่น ช่วยให้ดัชนีหุ้น Nikkei 225 ฟื้นคืนสู่ระดับ 40,000 จุดได้ อีกทั้ง การอ่อนค่าลงของเงินเยนอาจสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริหารบริษัทส่งออกและผู้ลงทุนตราสารทุนบางรายที่กังวลว่าการแข็งค่าของเงินเยนจะกดดันผลกำไรในอนาคต

    มาซามิชิ อาดาชิ (Masamichi Adachi) หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ญี่ปุ่นของบริษัทหลักทรัพย์ยูบีเอส (UBS Securities) และอดีตเจ้าหน้าที่ BOJ มองว่า การบอกใบ้ล่วงหน้าของธนาคารกลางญี่ปุ่นไม่ได้เสนอวิธีที่ชัดเจนในการพิจารณาการขึ้นอัตราดอกเบี้ย อย่างไรก็ตาม เขามองว่า BOJ กำลังเปิดประตูสำหรับการขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งในปลายปีนี้

    โชทาโร โมริตะ (Chotaro Morita) หัวหน้านักกลยุทธ์ของบริษัท ออล นิปปอน แอสเสต แมเนจเมนต์ (All Nippon Asset Management Co.) กล่าวว่า เมื่อพิจารณาจากการผ่อนคลายเป็นพิเศษในระดับที่ไม่เคยมีมาก่อนที่ BOJ ได้ดำเนินการมา การกระชับนโยบายให้เข้มขึ้นจึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

    "มันเป็นช่วงเวลาที่ยิ่งใหญ่ แต่นี่เป็นเพียงจุดที่ผ่านพ้นไป BOJ อยู่ระหว่างการยกเลิกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่มากเกินไป นั่นหมายความว่าจะต้องมีขั้นตอนในการกระชับ ซึ่งส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไม่ทางใดก็ทางหนึ่งซึ่งแตกต่างจากการผ่อนคลาย" โมริตะกล่าว

    Source: ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
    https://www.prachachat.net/world-news/news-1525634

    เพิ่มเติม
    - The Bank of Japan just made a historic rate pivot. Here's what could happen next https://cnb.cx/4ae4R8V

    https://www.facebook.com/share/p/ydB2o4dJ1Mys7PJe/?mibextid=oFDknk
     

แชร์หน้านี้

Loading...