ตอบคำถามเรื่องเด็กอภิญญาอายุ 13 จากกระทู้เรื่องแรงบุญแรงกรรม ใครว่าไม่มีจริง

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย sasiriya, 22 พฤษภาคม 2008.

  1. อ้างว้าง

    อ้างว้าง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    430
    ค่าพลัง:
    +577
    ;aa47

    555 กระผมเข้ามายิ้มทักทาย...และบอกว่าไม่ได้หายไปไหนด้วยคนครับ..

    ยังแว็บไป แว็บมา...ทั้งเรือนเล็ก เรือนใหญ่....หน้าเรือนและหลังเรือน...ประจำครับ..-Happy Smile_
     
  2. chattrg

    chattrg เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    4,337
    ค่าพลัง:
    +13,239
    คิดถึงพี่ดีดีที่ห่างหาย
    ว่าน้องชายคนตรังยังห่วงหา
    ขอให้มาบ้านหลังนี้ที่มีมา
    ทุกอุราทุกฤทัยใจคอยรอ

    รีบกลับบ้านพี่คนดีที่คิดถึง
    ทุกสิ่งซึ่งมอบให้ด้วยใจหนอ
    น้องทุกคนคิดถึงคะนึงรอ
    พักผ่อนพอก็มาเยือนเรือนนี้เลย
     
  3. ต้อย&ปรีชา

    ต้อย&ปรีชา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    90
    ค่าพลัง:
    +199
    ขนลุกเลยอ่ะ เป็นบุญตาจริงๆ

    [​IMG]

    (ลองทำหลายๆครั้งดูก็ได้ กระพริบตาถี่ๆหลายๆครั้ง เวลาดูที่ผนังหลี่ตาให้เล็กลงมาหน่อย หรือหลับตาดู)
    ถ้าใครเอารูปภาพนี้เข้าเรือนหลังเล็กได้ เชิญน๊ะค๊ะ ช่วยทำให้ด้วย ข้าผู้น้อยทำไม่เป็น... เก็บไว้ดูหลายๆกระทู้เพื่อเป็นบุญตาค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 มกราคม 2010
  4. ต้อย&ปรีชา

    ต้อย&ปรีชา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    90
    ค่าพลัง:
    +199
    คลิ๊กตรงลิ้งค์ พอมันโหลดรูปเสร็จ กดปุ่มfull screen แล้วกด ขึ้น-ลง-ซ้าย-ขวา หมุนดูภาพรอบๆตัวได้ สวยมากๆ




    Sous la tour Eiffel, Paris. Photojpl.com
     
  5. watwa-aram

    watwa-aram เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    654
    ค่าพลัง:
    +974
    พี่ต้อย&ปรีชา เขาไม่ให้วัชหมุนเลย เขาหมุนตัวเขาเองเลย วัชเลยต้องนั่งดูอย่างเดียว
    สวยดีคะ
     
  6. jaack

    jaack เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    37
    ค่าพลัง:
    +551
    ได้อ่านซะทีครับ

    สวัสดีคุณศิและคุณน้องอภิญญา รวมทั้งกัลญาณมิตรทุุกท่านครับ กลับมาจากกรุงเทพ ได้หนังสือสามเล่ม ได้เอาให้คนไกล้ชิดอ่าน
    หลังจากอ่านจบความตระหนักในเรื่่องบาปบุญก็มีมากขึ้น ร่วมๆกับเสียวๆ บาปที่ได้เคยทำมาหลายๆครั้งในอดีต ไม่รู้ว่ามันจาตามทันเมื่อใหร่
    ตอนนี้ก็พยายามทำบุญเท่าที่พอมีโอกาส หนังสือก็ซื้อได้ที่ร้านนายอินทร์ the mall บางแค มีอยู่เกือบสิบเล่ม
    ร้านในโลตัสไม่เจอสักร้าน ระหว่างทางขึ้นเหนือ ได้ทำบุญที่วัดหลวงพ่อจรัล
    ที่สิงห์บุรีโดยการหยอดตู้ ไม่ได้พบหลวงพ่อจรัล ได้พบคนที่มาถือศีล ในวัดค่อนข้างเยอะระหว่างนี้ก็โทรบอกคนที่บ้าน
    ให้อนุโมทนาทำบุญแล้วกลับไปจะไปเก็บตังทีหลัง ไม่
    แน่ใจว่า คนที่บ้านจะได้บุญพอๆกับหยอดตู้เองที่วัดหรือปล่าว
    ขออนุโมทนาบุญกับเจ้าของกระทู้ สมาชิกในเรือนทุกท่าน รวมทั้งผู้ที่ได้อ่านหนังสือแล้ว ได้ประจักษ์ในบุญ กรรมได้หันกลัปมาทำความดีกันมากขึ้น
    ส่วนผมยังเป็นชาว แอบ ยังไม่ถึงปัจจุบันสักที อ่านกระทู้ไล่มาเรื่อย ๆๆมาเรียงๆๆ
     
  7. chattrg

    chattrg เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    4,337
    ค่าพลัง:
    +13,239

    อนุโมทนา ครับ
     
  8. watwa-aram

    watwa-aram เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    654
    ค่าพลัง:
    +974
    สวัสดีคะคุณแจ็คยินดีต้อนรัอนรับคะ(อ่านชื่อถูกไหมหนอ)... ถ้าไปวัดอยากพบหลวงพ่อต้องไปช่วง 10 โมงเช้า กับ บ่าย สองโมงเย็นนะคะ
    หลวงพ่อจะลงมา สองเวลานี้นอกจากติดกิจอย่างอื่นคะ
     
  9. ต้อย&ปรีชา

    ต้อย&ปรีชา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    90
    ค่าพลัง:
    +199
    น้องวัชลองใหม่ค่ะ คือ กดปุ่มfull screen แล้วกดหนึ่งคลิกจากนั้นกดเม้าค้างไว้ มือเราก็ลากเม้าไปซ้าย-ขวา-บนหรือล่าง ตามแต่ใจเรา ลองดูใหม่ค่ะ...สนุกมาก...ขอบอก
     
  10. watwa-aram

    watwa-aram เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    654
    ค่าพลัง:
    +974
    จ้าลองดูแล้ว เหมือนไปเที่ยวต่างประเทศเลยเนาะ แต่เราไปแบบประหยัดได้ทุกองศา อิอิ
     
  11. chattrg

    chattrg เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    4,337
    ค่าพลัง:
    +13,239
    555
    เหมือนกัน ครับ
    แต่
    ไม่กล้าบอก เดี๋ยว
    เขาจะว่า
    สว ก็ งี้แหละ
     
  12. watwa-aram

    watwa-aram เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    654
    ค่าพลัง:
    +974
    อย่าเลย อย่าเลยไม่ต้องออกตัวเลยเฮียชาติ พีดีดี หลังจากเดินสายทัวร์ยังบอกเลยว่าเฮียชาติตัวจริงหล่อมาก ๆๆ ๆ เอารูป คนสวยและคนหล่อมาให้ดูซะโดยดี อิอิ
     
  13. บัวใต้โคลน

    บัวใต้โคลน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    365
    ค่าพลัง:
    +380
  14. sasiriya

    sasiriya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    1,064
    ค่าพลัง:
    +751
  15. sasiriya

    sasiriya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    1,064
    ค่าพลัง:
    +751

    สาธุ ในกุศลจิตที่เกิดขึ้นหลังจากอ่านหนังสือนะคะ
    ขอบคุณมากนะคะที่เพียรตามหาซื้อหนังสือจนเจอ
    และขออนุโมทนาในบุญที่คุณ Jaack ได้ทำ มา ณ ที่นี้ค่ะ

    เรื่องของการบอกบุญคนที่บ้าน หากเขารับทราบแล้วจิตลึก ๆ ของเขา
    เกิดความปิติในบุญนั้น และนึกคิดหรือกล่าวคำโมทนาบุญออกมาจากจิตเบื้องลึกที่อยากจะร่วมในบุญนั้นอย่างแท้จริง บุญนั้นก็บังเกิดขึ้นกับเขาอย่างมากเช่นกันแม้ไม่ได้ไปทำด้วยตนเองค่ะ แต่หากฟังผู้บอกบุญบอกแล้วก็สักแต่เอ่ยโมทนาบุญโดยจิตมิได้คิดอยากมีส่วนร่วมในบุญนั้นเลย ประมาณฟังเขาเล่าว่าก็เอ่ยแบบนกแก้วนกขุนทอง เพราะตำราว่ามาใครทำบุญให้รีบโมทนาจะได้บุญด้วยแบบนั้น เขาเรียกทำแต่ปากแต่จิตไม่ได้ทำ บุญนั้นก็ไม่บังเกิดผลขึ้นกับผู้อนุโมทนาใด ๆ ค่ะ

    การทำบุญ หรือการสร้างบุญเพื่อให้เกิดพลังแห่งกระแสบุญเกิดขึ้นกับตนเองและผู้อื่นนั้น มิใช่จำเป็นต้องใช้เงิน หรือปัจจัยต่าง ๆ ทำ-สร้างบุญเสมอไปนะคะ
    หากเรามีเงินหรือปัจจัยมากพอที่อยากจะทำด้วยเงินแล้วตนเองไม่เดือดร้อน เราก็สามารถทำได้ตามเจตนารมณ์อันเป็นกุศล แต่หากผู้ใดไม่มีกำลังทรัพย์มากพอก็สามารถสร้างบุญให้ตัวเองและผู้อื่นได้ ด้วยการเจริญสมาธิหรือสวดมนต์ แต่ทุกสิ่งทุกอย่างต้องทำจากจิตเบื้องลึกที่อยากจะทำจริง ๆ นะคะ พลังบุญนั้นก็จะเกิดขึ้นมากมายเช่นกันค่ะ

    หลาย ๆ ท่านเคยปรารภมาว่าไม่มีแม้เงินจะทำบุญสร้างกุศลแล้วชีวิตจะดีขึ้นได้อย่างไร ก็อย่างที่บอกน่ะค่ะ แค่คุณ " หลับตาแล้วไม่ต้องคิดอะไรทั้งสิ้น " แม้เพียงชั่วเศษเสี้ยวนาที พลังบุญก็เกิดขึ้นมากมาย แล้วก็น้อมนำบุญที่เกิดขึ้นนั้นอุทิศให้ตัวเองและผู้ที่อยากจะส่งกระแสบุญนั้นให้เสีย แค่นี้เองค่ะ ไม่เห็นจำเป็นต้องใช้เงินจำนวนมหาศาลไปวิ่งเที่ยวทำบุญตามที่ต่าง ๆ ให้ชีวิตที่ทุกข์เรื่องเงิืนทองอยู่แล้ว ต้องทุกข์หนักขึ้นเลยแต่ประการใด และผลบุญที่เกิดขึ้นนี้แหล่ะค่ะ เมื่อเราทำอย่างสม่ำเสมอ ทรัพย์สินเงินทองก็จะไหลมาจากทิศต่าง ๆ คลายความทุกข์ความเดือดร้อนให้คุณได้ตามกำลังแห่งจิตที่ได้สร้างและสั่งสมไว้นั่นเอง

    บุญไม่ทำ กรรมก็สร้าง ให้นั่งฟูมฟายหาทางพ้นทุกข์ ใครเล่าจะสามารถฝืนกฏแห่งกรรมให้คุณได้ นอกจากตัวทุกคนเองเท่านั้นที่ต้องเป็นผู้สร้างบุญให้กับตนเองอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอนะคะ ไม่ใช่นั่งสมาธิครั้งหนึ่งอีกสามอาทิตย์ค่อยมานั่งใหม่สวดมนต์ใหม่ แบบนี้บุญก็เกิดขึ้นแบบลุ่ม ๆ ดอน ๆ ชีวิตก็ลุ่ม ๆ ดอน ๆ ตามกำลังบุญ ใครที่เป็นแบบนี้ คงไม่ต้องไปโทษชะตากรรม เพราะทุกสิ่งตัวเราเองนั่นแหล่ะค่ะ ที่เป็นผู้จัดให้ตัวเองด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น.....

    ขอให้ทุกท่านโชคดีเจริญในบุญเจริญในกุศลยิ่ง ๆ ขึ้นนะคะ




    ธรรมะสบาย ๆ สไตล์....ศศิริยะ




    ***************************************
    ทางเข้าหน้าเรือน ปาฏิหาริย์ แรงบุญ-แรงกรรม ใครว่าไม่มีจริง :: ศศิริยะ
    ทางเข้าหลังเรือน....ศศิริยะดอทคอม

     
  16. sasiriya

    sasiriya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    1,064
    ค่าพลัง:
    +751

    สาธุ ในกุศลจิตที่เกิดขึ้นหลังจากอ่านหนังสือนะคะ
    ขอบคุณมากนะคะที่เพียรตามหาซื้อหนังสือจนเจอ
    และขออนุโมทนาในบุญที่คุณ Jaack ได้ทำ มา ณ ที่นี้ค่ะ

    เรื่องของการบอกบุญคนที่บ้าน หากเขารับทราบแล้วจิตลึก ๆ ของเขา
    เกิด ความปิติในบุญนั้น และนึกคิดหรือกล่าวคำโมทนาบุญออกมาจากจิตเบื้องลึกที่อยากจะร่วมในบุญนั้น อย่างแท้จริง บุญนั้นก็บังเกิดขึ้นกับเขาอย่างมากเช่นกันแม้ไม่ได้ไปทำด้วยตนเองค่ะ แต่หากฟังผู้บอกบุญบอกแล้วก็สักแต่เอ่ยโมทนาบุญโดยจิตมิได้คิดอยากมีส่วน ร่วมในบุญนั้นเลย ประมาณฟังเขาเล่าว่าก็เอ่ยแบบนกแก้วนกขุนทอง เพราะตำราว่ามาใครทำบุญให้รีบโมทนาจะได้บุญด้วยแบบนั้น เขาเรียกทำแต่ปากแต่จิตไม่ได้ทำ บุญนั้นก็ไม่บังเกิดผลขึ้นกับผู้อนุโมทนาใด ๆ ค่ะ


    การทำบุญ หรือการสร้างบุญเพื่อให้เกิดพลังแห่งกระแสบุญเกิดขึ้นกับตนเองและผู้อื่น นั้น มิใช่จำเป็นต้องใช้เงิน หรือปัจจัยต่าง ๆ ทำ-สร้างบุญเสมอไปนะคะ
    หาก เรามีเงินหรือปัจจัยมากพอที่อยากจะทำด้วยเงินแล้วตนเองไม่เดือดร้อน เราก็สามารถทำได้ตามเจตนารมณ์อันเป็นกุศล แต่หากผู้ใดไม่มีกำลังทรัพย์มากพอก็สามารถสร้างบุญให้ตัวเองและผู้อื่นได้ ด้วยการเจริญสมาธิหรือสวดมนต์ หรือแม้แต่คิดดี พูดดี ทำดี บุญก็เกิดขึ้นแล้วและส่งผลให้ตนเองตลอดเวลาเช่นกัน หรือเห็นใครสร้างกุศลแล้วจิตเกิดปิติอยากทำบ้างแต่ไม่มีกำลังมากพอที่จะทำแบบเขา แค่ตั้งจิตจากเบื้องลึกร่วมอนุโมทนาบุญนั้น บุญก็บังเกิดแก่ตัวเราเช่นกันตามกำลังจิตที่เราตั้งใจออกมา แต่ทุกสิ่งทุกอย่างขอเน้นว่า ต้องทำจากจิตเบื้องลึกที่อยากจะทำจริง ๆ นะคะ พลังบุญนั้นก็จะเกิดขึ้นมากมายเช่นกันค่ะ


    หลาย ๆ ท่านเคยปรารภมาว่าไม่มีแม้เงินจะทำบุญสร้างกุศลแล้วชีวิตจะดีขึ้นได้อย่าง ไร ก็อย่างที่บอกน่ะค่ะ แค่คุณ " หลับตาแล้วไม่ต้องคิดอะไรทั้งสิ้น " แม้เพียงชั่วเศษเสี้ยวนาที พลังบุญก็เกิดขึ้นมากมาย แล้วก็น้อมนำบุญที่เกิดขึ้นนั้นอุทิศให้ตัวเองและผู้ที่อยากจะส่งกระแสบุญ นั้นให้เสีย แค่นี้เองค่ะ ไม่เห็นจำเป็นต้องใช้เงินจำนวนมหาศาลไปวิ่งเที่ยวทำบุญตามที่ต่าง ๆ ให้ชีวิตที่ทุกข์เรื่องเงิืนทองอยู่แล้ว ต้องทุกข์หนักขึ้นเลยแต่ประการใด และผลบุญที่เกิดขึ้นนี้แหล่ะค่ะ เมื่อเราทำอย่างสม่ำเสมอ ทรัพย์สินเงินทองก็จะไหลมาจากทิศต่าง ๆ คลายความทุกข์ความเดือดร้อนให้คุณได้ตามกำลังแห่งจิตที่ได้สร้างและสั่งสม ไว้นั่นเอง

    บุญไม่ทำ กรรมก็สร้าง ให้นั่งฟูมฟายหาทางพ้นทุกข์ ใครเล่าจะสามารถฝืนกฏแห่งกรรมให้ตัวเราได้ นอกจากตัวทุกคนเองเท่านั้นที่ต้องเป็นผู้สร้างบุญให้กับตนเองอย่างต่อเนื่อง และสม่ำเสมอนะคะ ไม่ใช่นั่งสมาธิครั้งหนึ่งอีกสามอาทิตย์ค่อยมานั่งใหม่สวดมนต์ใหม่ แบบนี้บุญก็เกิดขึ้นแบบลุ่ม ๆ ดอน ๆ ชีวิตก็ลุ่ม ๆ ดอน ๆ ตามกำลังบุญ ใครที่เป็นแบบนี้ คงไม่ต้องไปโทษชะตากรรม เพราะทุกสิ่งตัวเราเองนั่นแหล่ะค่ะ ที่เป็นผู้จัดให้ตัวเองด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น.....

    ขอให้ทุกท่านโชคดีเจริญในบุญเจริญในกุศลยิ่ง ๆ ขึ้นนะคะ




    ธรรมะสบาย ๆ สไตล์....ศศิริยะ





    ***************************************
    ทางเข้าหน้าเรือน ปาฏิหาริย์ แรงบุญ-แรงกรรม ใครว่าไม่มีจริง :: ศศิริยะ
    ทางเข้าหลังเรือน....ศศิริยะดอทคอม

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 มกราคม 2010
  17. ต้อย&ปรีชา

    ต้อย&ปรีชา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    90
    ค่าพลัง:
    +199
    ภาพมีความหมาย มากมาย

    <table style="width: 100%;" class="ecxecxecxecxecxMsoNormalTable" width="100%" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr></tr><tr><td style="vertical-align: top;">
    </td><td style="padding: 0.75pt;" valign="top">
    </td></tr> <tr> <td style="vertical-align: top;">
    </td><td style="padding: 0.75pt;" valign="top">
    </td></tr> <tr> <td style="vertical-align: top;">
    </td><td style="padding: 0.75pt;" valign="top">
    </td></tr> <tr> <td style="vertical-align: top;">
    </td><td style="padding: 0.75pt;" valign="top">
    </td></tr> <tr> <td style="vertical-align: top;">
    </td><td style="padding: 0.75pt;" valign="top">
    [​IMG]
    </td></tr> <tr> <td style="vertical-align: top;">
    </td><td style="padding: 0.75pt;" valign="top">
    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]
    </td></tr></tbody></table>
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG][​IMG]
    [​IMG] [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    ไปอ่านมาจากบอร์ดหนึ่ง อ่านแล้วน้ำตาไหลเลยและรักในหลวงมากขึ้นไปอีก ชีวิตนี้ขอตายแทนพระองค์ได้เลย เพื่อนๆลองอ่านดูนะสาเหตุโรคพระหทัยของในหลวง...จนเกือบพระประชวรหนัก!!ทุกคนคงทราบกันดีว่าในหลวงทรงมีพระอาการประชวรเรื้อรังในส่วนของพระหทัย หากจำกันได้ในหลวงเคยต้องทรงรับการผ่าตัดให­่มาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อปี2538 ครั้งนั้นพสกนิกรทั้งแผ่นดินแทบไม่เป็นอันทำอะไร ใครๆก็รู้ว่าโรคหัวใจไม่ใช่โรคล้อกันเล่นๆ ได้ ทั้งสมัยนั้นการผ่าตัดหัวใจก็เสี่ยงพอดู แต่ทุกอย่างก็เป็นไปโดยเรียบร้อย แต่ทราบกันหรือไม่ว่าสาเหตุของโรคพระหทัยเต้นผิดปกตินี้ มาจากอะไร?ราวปี2530 ในหลวงเสด็จไปเยี่ยมประชาชนที่อำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่ ทรงพบว่าชาวบ้านจำนวนมากเป็นโรคคอพอกซึ่งเจ้าหน้าที่สาธารณสุขทูลว่า มีการเอาเกลือเสริมไอโอดีนมาแจกประจำ แต่ชาวบ้านไม่ยอมใช้ เพราะไม่รู้จักก็กลัวจะเป็น อันตราย ในหลวงจึงรับสั่งให้นำเกลือเสริมไอโอดีนมาแจกประชาชนด้วยพระหัตถ์ชาวบ้านได้รับเกลือพระราชทาน จึงยอมเชื่อว่าเกลือชนิดนี้กินได้ จนแพร่หลายต่อๆมา ปัจจุบันไม่มีคนป่วยโรคคอพอกที่สะเมิงแล้ว นอกจากนี้ยังทรงเสด็จขึ้น-ลงสะเมิงอีกหลายครั้ง เพื่อติดตามแก้ปั­หาเรื่องน้ำและถนน จนชาวบ้านทำกินกันได้เป็นปกติสุข มีรายได้เลี้ยงชีพได้พอเพียง หากกลับเป็นพระองค์เองที่ทรงพระประชวร!ในหลวงทรงได้รับเชื้อไมโครพลาสม่าจากการเสด็จไปที่สะเมิงนี้เอง อันเป็นสาเหตุของโรคพระหทัยเต้นผิดปกติเรื้อรังมาถึงปัจจุบัน แม้คณะแพทย์จะพยายามเท่าใด ก็ไม่อาจถวายการรักษาให้หายขาดได้ ทำได้เพียงถวายพระโอสถประคองพระอาการมาตลอด จนกระทั่งต้องทรงรับการผ่าตัดให­่เมื่อปี2538 ดังเล่ามาแล้วในหลวงเคยมีพระราชกระแสเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า...
    '
    ฉันขึ้น-ลงสะเมิงอยู่หลายปี จนได้รับเชื้อไมโครพลาสม่าซึ่งในที่สุดทำให้ฉันเป็นโรคหัวใจเต้นไม่ปกติ จนเกือบต้องเสียชีวิต'เป็นถ้อยรับสั่งที่แสนจะเรียบง่าย ราวกับว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยธรรมดาเสียเหลือเกิน!
    เรารักพ่อของแผ่นดิน

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 มกราคม 2010
  18. watwa-aram

    watwa-aram เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    654
    ค่าพลัง:
    +974
    สวัสดีตอนเช้าคะพี่ศิแลคุณน้อง รวมทั้งทุก ๆ ท่าน แวะมาอัพกระทู้บ้านเรา ไปละคะปวดหัวจังเลย สังขารไมเที่ยง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 มกราคม 2010
  19. chaivat chinkidjakar

    chaivat chinkidjakar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    1,601
    ค่าพลัง:
    +21,775
    ทุกชีวิตที่เกิดมา ย่อมปรารถนา ความสุข ด้วยกันทั้งนั้น
    แต่ก็แปลกว่า นอกจากพระพุทธศาสนาแล้ว ก็แทบจะไม่มีศาสตร์ที่สอนเรื่องความสุขเลย
    จึงน่าที่ชาวพุทธจะภาคภูมิใจ แต่ภาคภูมิใจอย่างเดียวก็ยังไม่พอ ต้องปฏิบัติเอาประโยชน์จากธรรมคำสอน
    เพื่อเข้าถึงความสุข ที่ประณีตที่สุดให้ได้อีกด้วย
    พระพุทธศาสนาสอนให้รู้ว่า ความสุขพื้นฐานของปุถุชนทั่วไป ก็คือ
    ๑. ความสุขจากสิ่งเสพ หรือ จากการได้การมี
    ไม่ว่าจะเป็น รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส รวมทั้งการจมอยู่ในอารมณ์ความคิดปรุงในเรื่องที่ชอบใจ
    ความสุขชนิดนี้ต้องอาศัยการแสวงหาเข้ามา แล้วก็ต้องมีดีกรีที่มากขึ้น ๆ จึงจะพอใจ ไม่อย่างนั้นจะเบื่อ
    เป็นความสุขที่ต้องอิงกับวัตถุ หรือ บุคคลภายนอก จึงมีความเสี่ยงที่จะมีทุกข์ได้ง่าย
    เพราะของข้างนอกมันไม่เที่ยง บังคับบัญชาให้เป็นไปอย่างที่ใจต้องการไม่ได้
    แต่กระนั้น คนก็มุ่งปรารถนาความร่ำรวย เพื่อเป็นต้นทุนหาความสุขชนิดนี้
    หลวงปู่ดู่ ท่านเตือนลูกศิษย์ว่า ในความรวย...ก็มีความซวยซ้อนอยู่
    เหนื่อยยากทั้งในการสั่งสมความร่ำรวย เหนื่อยยากในเรื่องการรักษาคุ้มครองมัน ต้องคอยกังวลอยู่กับมัน
    และอาจถึงขั้นนำภัยมาสู่ครอบครัวบางครอบครัว
    ในตอนที่ทุกข์ ยากจน ปรากฏว่า สมาชิกครอบครัวทุกคนร่วมฝ่าฟัน จนเกิดเป็นความรักสามัคคีกัน
    แต่พอเริ่มร่ำรวยขึ้นมา ความเหินห่าง และ ความเห็นแก่ตัวก็เข้าแทรก
    ดังนั้น หากไม่มีปัญญา และ คุณธรรมแล้ว ก็กลับจะสร้างภาระให้เกิดกับเจ้าของ
    ถัดจากความสุขชนิดแรก มนุษย์ก็พัฒนาหาความสุขประเภทที่สอง คือ
    ๒. ความสุขจากการให้
    เป็นความสุขที่สูงขึ้น และสร้างประโยชน์ในการอยู่ร่วมกัน ทั้งในระดับครอบครัว และ สังคม
    ทั้งหลวงปู่ดู่ และ ครูบอาจารย์ทั้งหลาย ต่างก็ยกย่องให้พากันให้ทาน ทั้งวัตถุทาน และ อภัยทาน
    มีน้ำจิตน้ำใจ และ มิตรไมตรีให้กัน ปรารถนาดีต่อกัน
    โดยยกเอาความรักของ มารดาบิดา ที่ให้โดยไม่หวังผลตอบแทน มาเป็นต้นแบบ
    แต่ถึงกระนั้นความสุขชนิดนี้ ก็ยังเป็นความสุขที่อิงกับวัตถุ หรือ บุคคลภายนอกอีก
    เช่น ถ้าผู้รับไม่รู้คุณ ไม่เห็นคุณค่าของสิ่งที่มอบให้ ผู้ให้ที่ไม่มีปัญญา...ก็พร้อมจะเป็นทุกข์ได้อีก
    ความสุขทั้ง ๒ ประเภท จึงยังมีความเสี่ยงที่จะทุกข์ กับปัจจัยภายนอกที่อิงอยู่ ซึ่งควบคุมไม่ได้
    จากนั้น พระพุทธศาสนาก็สอนให้รู้จักความสุขชนิดที่ไม่ต้องอิงกับวัตถุ หรือ บุคคลภายนอกจากความสุข ๒ ประเภทข้างต้น นั่นคือ ความสุขที่ใจเจ้าของเอง ได้แก่
    ๓. ความสุขจากจิตที่สงบเย็น เพราะอำนาจแห่งสมาธิ
    ซึ่งเป็นความสุขที่หลวงปู่ดู่ และ ครูบาอาจารย์ทั้งหลาย ให้พากันเจริญ (ทำให้มีขึ้น)
    ท่านใช้คำว่า "วิหารธรรม" เป็นเหมือนบ้าน...ให้ใจได้อาศัย กันแดดกันฝน
    กันความทุกข์ใจ จากสิ่งกระทบต่าง ๆ นั่นเอง
    แต่ถึงกระนั้น ความสุขชนิดนี้ก็ยังไม่สุขจริง เพราะยังมี โลภ โกรธ หลง เป็นอสรพิษที่คอยฉกกัดเจ้าของ
    ทำใจเจ้าของให้เศร้าหมองขุ่นมัวอยู่เนือง ๆ
    บางครั้งวิหารธรรมจากข้อ ๓ ไม่พอ ก็เป็นต้องพลัดออกจากบ้านภายใน ออกมาตากแดดตากฝน ทนทุกข์กับสิ่งกระทบต่าง ๆ
    สุดท้ายหลวงปู่ดู่ จึงมาเน้นความสุขชนิดสุดท้าย ถึงขนาดให้เอามาเป็นตัววัดความก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรม นั่นก็คือ
    ๔. ความสุขจากการปราศจาก โลภ โกรธ หลง เสียดแทงใจเรา
    ซึ่งต้องอาศัยการปฏิบัติธรรมทั้งหมดทั้งมวล ทั้ง ทาน ศีล และภาวนา
    โดยเฉพาะอย่างยิ่งการภาวนา ที่จะช่วยให้เป็นคนที่มีความสุข
    มิใช่คนดี...ที่ยังมีทุกข์ทางใจ
    หลักพัฒนาการในเรื่องความสุขนี้ จึงเป็นสิ่งจำเป็นที่ชาวพุทธควรให้ความสนใจ
    เพื่อให้การเกิดมาชาติหนึ่ง จะได้ปฏิบัติเพื่อเข้าถึง หรือ เข้าใกล้ความสุขที่ประณีตกว่ากามสุข เป็นต้นว่า
    ความสุขจากการให้
    ความสุขจากจิตสงบ ปราศจากนิวรณ์รบกวนใจ
    และความสุขจากการไม่มีกิเลส
    ดังที่พระพุทธองค์ และ หลวงปู่ดู่...นำมาสั่งสอน

    ***จากบทความของ คุณสิทธิ์
    ที่มา Luangpordu.com
     
  20. watwa-aram

    watwa-aram เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    654
    ค่าพลัง:
    +974
    ก๊อก ๆ หายไปไหนหมดนิ..สวัสดีทุกคนไปวิ่งเล่นไหนกันหมด แวะมาอัพกระทู้ แล้วไปวิ่งเล่นมั้ง อิอิ
     

แชร์หน้านี้

Loading...