ตลิ่งจะพัง แผ่นดินถิ่นอธรรมจะถล่มเป็นทะเล

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย เกษม, 13 กุมภาพันธ์ 2011.

  1. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    เผยความจริงที่ควรรู้ "มนุษย์เป็นสัตว์กินพืช"



    เผยแพร่เมื่อ 17 พ.ย. 2014​
     
  2. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    ริว จิตสัมผัส - การกินเจที่ถูกต้อง


    เผยแพร่เมื่อ 19 ต.ค. 2012​
     
  3. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    [​IMG]

    มังสวิรัติ ไม่ง่าย แต่ก็ไม่ยากจนเกินไป

    การเริ่มต้นคิดจะลองกินมังสวิรัติสามารถทำได้ไม่ยาก เพราะมีร้านอาหารที่ขายอาหารมังสวิรัติ หรืออาหารเจอยู่มากมาย แต่การที่จะเปลี่ยนมากินมังสวิรัติอย่างจริงจังนั้นไม่ง่าย เพราะการจะพึ่งพาร้านอาหาร หรือสถานที่ที่เราคุ้นเคยนั้นจะทำให้เราไม่ได้เรียนรู้การปรับตัวเมื่อปัจจัยเปลี่ยนแปลง เช่น เมื่อต้องเดินทางออกไปในสถานที่ที่ไม่รู้จัก เมื่อต้องทานอาหารร่วมกับผู้อื่น เป็นต้น

    จุดประสงค์หรือปลายทางของผู้ที่คิดจะกินมังสวิรัตินั้น แน่นอนว่าส่วนหนึ่งคือต้องการจะลดการเบียดเบียนให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ง่าย แต่ก็ไม่ยากจนเกินไป หากเราได้มีการวางแผน ลำดับการเรียนรู้และพัฒนาการกินมังสวิรัติของเราให้ได้สมบูรณ์ขึ้นไปเรื่อยๆ ค่อยๆ ลด ละ เลิก การกินเนื้อสัตว์ไปตามลำดับ โดยที่ไม่บีบบังคับให้ตัวเองเกิดความทุกข์ ทรมานจากความโหยหาอยากกินเนื้อสัตว์จนเกินไป และไม่เวียนกลับไปกินเนื้อสัตว์เป็นประจำอย่างเดิมเพราะทนความอยากไม่ไหว

    ถ้าเราไม่เคยเรียนรู้การกินมังสวิรัติ เราอาจจะพบปัญหา กินได้ไม่นานก็เลิก, กินตามคนอื่นเขาไปโดยไม่รู้ว่ามันดีอย่างไร, ทนกินไปเพราะคนอื่นเขาว่ามันดูดี, กินไปก็ไม่มีความสุข, กินไปก็ทรมาน เพราะใจจริงก็ยังอยากกินเนื้อสัตว์อยู่ สุดท้ายก็กลับไปกินเนื้อสัตว์ ฯลฯ ปัญหาเหล่านี้จะไม่เกิดเลย ถ้าเราพยายามเรียนรู้ที่จะ ลด ละ เลิก ไปตามลำดับที่เราทำไหว โดยตั้งใจที่จะพัฒนาสู่ความเบียดเบียนที่น้อยลงเรื่อยๆ อย่างมีความสุข

    ...การเริ่มต้นโดยลำดับ ลด ละ เลิก

    ลด.... ผู้ที่สนใจหรือต้องการเริ่มต้นกินมังสวิรัติ ควรจะทดลองลดการกินเนื้อสัตว์ดูก่อน ลดในรูปแบบชนิดของสัตว์ ลดจากสัตว์ใหญ่ไปหาสัตว์เล็ก เช่น เนื้อวัว เนื้อหมู เนื้อไก่ เนื้อปลา อาหารทะเล แมลง ไข่ นมสัตว์ เป็นการลดการฆ่าและการเบียดเบียนไปตามลำดับ และเรายังสามารถลดปริมาณการกินเนื้อสัตว์ด้วยก็ได้ เช่น การปรับเปลี่ยนเมนูอาหารสู่การลดการใช้เนื้อสัตว์ เปลี่ยนวัตถุดิบจากเนื้อสัตว์กลายเป็นผัก กินอาหารที่ผสมผักในอัตราส่วนที่มากขึ้น เพิ่มผักในแต่ละมื้อให้มากขึ้น ลดการกินเนื้อสัตว์ให้น้อยลงไป ค่อยๆลดไป จนรู้สึกว่าสามารถทำได้มากกว่า การลด

    ละ.... เมื่อมีกำลังใจมากพอ จนรู้สึกว่าสามารถลดการกินเนื้อสัตว์ได้มากแล้ว ให้ลองละเว้นการกินเนื้อสัตว์ เป็นช่วงเวลา เช่น ไม่กินเนื้อสัตว์ในมื้อเย็น, ไม่กินเนื้อสัตว์วันเสาร์อาทิตย์, ไม่กินเนื้อสัตว์สัปดาห์แรกของเดือน, ไม่กินเนื้อสัตว์ในเดือนเกิด, ไม่กินเนื้อสัตว์ช่วงเข้าพรรษา 3 เดือน ในการละนี้ อาจจะละเป็นชนิด เช่น ละเนื้อวัวช่วงเวลาหนึ่ง เนื้อวัวหมูไก่ช่วงเวลาหนึ่ง หรืออาจจะละเว้นการเบียดเบียนใดๆก็ตามในช่วงเวลาหนึ่งก็ได้ ละเท่าที่สามารถทำได้ในขีดที่ไม่ทรมานร่างกายและจิตใจตนเองมากเกินไปจนรู้สึกทุกข์ จนเข็ดขยาดกับการกินอาหารมังสวิรัติ โดยให้เพิ่มช่วงเวลาและชนิดของการละเว้นให้มากขึ้น มากขึ้นจนมั่นใจว่าเราละได้อย่างสบายใจ และรู้สึกยินดีที่ได้ละเว้น

    เลิก.... เมื่อเราเรียนรู้ที่จะกินมังสวิรัติได้มากพอที่จะมั่นใจว่า สามารถเลิกได้แล้ว อาจจะมีอารมณ์คิดถึง อยากกินอยู่บ้าง เผลอไปกินอยู่บ้าง ทั้งๆที่ใจนั้นไม่ได้อยากกิน หรืออยากเสพรสในเนื้อสัตว์นั้นแล้ว ก็ให้ตั้งใจที่จะเลิก เลิกกินเนื้อสัตว์นั้นๆไปเลย เลิกให้มันออกจากชีวิตไปเลย ไม่มีการอนุโลมว่าจะไปกินในกรณีใดๆ ใครชวนก็ไม่เอา ให้ฟรีก็ไม่เอา พาไปเลี้ยงแถมเงินให้ก็ไม่เอา แม้คนที่เคารพ มีบุญคุณ มีผลประโยชน์ จะหว่านล้อมให้เรากิน เราก็ไม่กิน

    ในด่านของการเลิก เรามักจะเจอเหตุการณ์ที่พาให้เราหลงกลับไปกินได้อยู่บ่อยครั้ง อาจจะเป็นเพราะเรากลัวคนอื่นลำบากใจ กลัวคนนินทา โดยเฉพาะในเวลาที่ต้องเข้ากลุ่มสังคม หรือแม้กระทั่งในใจลึกๆก็ยังอยากกินอยู่ และเรามักจะใช้เหตุอื่นๆเป็นข้ออ้างในการกลับไปกินเนื้อสัตว์ มีข้ออ้างมากมายทำให้กลับไปกินเนื้อสัตว์ ความคิดที่ว่ากินไปเถอะอย่าคิดมากเลย เริ่มไม่จริงจัง ปล่อยวางก่อนเวลาอันควร กลายเป็นเหยาะแหยะ ครึ่งๆกลางๆ นั่นแหละตัวกิเลส กิเลสคือนักหาเหตุผลที่จะทำให้กลับไปเสพที่เก่งที่สุดในโลก (ของแต่ละคน) ณ จุดที่ตัดสินใจจะเลิก จะต้องเด็ดขาด จริงจัง ยอมถวายชีวิตกันไปเลย ไหนๆ วัว หมู ไก่ ปลา กุ้ง ปลาหมึก ฯลฯ มันก็เคยตายเพื่อ(กิเลส)เรามาเยอะแล้ว ในครั้งนี้เราจะยอมจริงจังเพื่อมันบ้าง

    การ ลด ละ เลิก จะไม่สามารถพัฒนาได้เลย หากขาดการเรียนรู้และพิจารณาให้เห็นตามความเป็นจริง การหาข้อมูลเกี่ยวกับมังสวิรัติ ความจริงที่เกิดขึ้นในอุตสาหกรรมเนื้อสัตว์ ทุกครั้งที่เราคิดจะกินหรือไปกินเนื้อสัตว์มาแล้ว ให้พึงระลึกไว้ว่าเราได้มีส่วนสร้างกรรม อันคือความเบียดเบียนให้แก่สัตว์อื่นแล้ว ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม สิ่งเหล่านั้นจะเวียนกลับมาเป็น ทุกข์ โทษ ภัยสู่ตัวเราเอง พิจารณาโทษของการกินเนื้อสัตว์ ความไม่สบายร่างกาย อึดอัดแน่นท้อง ปวดเมื่อย โรคภัยไข้เจ็บ พิษและสารเคมีตกค้าง ความสิ้นเปลือง ฯลฯ โดยให้รู้ว่าความอยากกินเนื้อสัตว์มันไม่ได้อยู่กับเราตลอดไป เราไปหาอะไรกินให้อิ่มเดี๋ยวมันก็จะลืมไปเอง แท้จริงแล้วความอยากในการกินเนื้อสัตว์มันก็ไม่ใช่สาระอะไรของชีวิตเลย ซ้ำยังเป็นเหตุแห่งทุกข์ให้เราเกิดความอยาก จนต้องลำบากหาเนื้อสัตว์มากินอีก ทั้งที่จริงก็ได้มีการพิสูจน์กันมากมายแล้วว่า การกินมังสวิรัติก็สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างแข็งแรง มีกำลัง เหมือนอย่างคนทั่วไปและที่เหนือกว่าคนทั่วไปก็มี และประโยชน์ในการเปลี่ยนเข้ามาสู่การกินมังสวิรัติ ไม่ว่าจะเป็นความสบายใจ สุขภาพดี ร่างกายแข็งแรง ประหยัด บุญและกุศล พยายามหาข้อดี หาประโยชน์ที่ชวนให้เห็นข้อดีตามจริงของการกินมังสวิรัติ หาความรู้กันไปพิจารณาทบทวนกันไปสักวันหนึ่งก็จะเจริญขึ้นเอง

    สุดท้าย.... เมื่อเราเลิกได้แล้ว เมื่อเห็นก็รู้สึกว่าไม่อยากกินแล้ว มีโอกาสที่จะได้กิน ก็ยินดีที่จะไม่กินอย่างมีความสุข สบายใจ ไม่โหยหา ไม่เสียดาย ไม่คิดถึง ไม่กังวล ที่ไม่ได้กินเนื้อสัตว์เหล่านั้น แม้จะลองกลับไปทดลองกินก็ไม่ได้เกิดความสุขอย่างที่เคยมีในสมัยยังเสพติดเนื้อสัตว์อีกแล้ว ความสุขจากการเสพมันหายไปจนรู้สึกได้ว่ามันไม่มีอะไรเลย เป็นรสสัมผัส เย็น ร้อน อ่อน แข็ง มีรสชาติ เปรี้ยว หวาน มัน เค็ม ขม เผ็ด ที่เป็นไปตามการปรุงแต่งธรรมดาของอาหาร กลับกลายเป็นว่าเมื่อไม่กินจะมีความสุขมากกว่า ยินดีที่จะสละเนื้อสัตว์ สละการเบียดเบียนออกไปจะดีกว่าที่ต้องไปกิน เมื่อนั้นแหละ ที่เราได้รางวัลมาแล้ว คือความสุขที่เกิดขึ้นแม้จะไม่ได้กินเนื้อสัตว์ ไม่ต้องทุกข์ ไม่ต้องดีใจหรือเสียใจเมื่อได้เสพหรือไม่ได้เสพอีกต่อไป เป็นอิสระจากความอยากกินเนื้อสัตว์ อย่างแท้จริง

    และเราก็สามารถที่จะมองสัตว์เหล่านั้นได้อย่างเต็มตา แม้ว่าจะต้องเห็นภาพพวกมันถูกทรมาน หรือถูกฆ่า ก็ไม่ต้องแบกความรู้สึกละอายต่อบาป เพราะเราเลิกเบียดเบียน ไม่มีส่วนแห่งบาปนั้นอีกต่อไป

    จะเห็นได้ว่าการกินมังสวิรัติที่เบียดเบียนน้อยที่สุดนั้นทำได้ไม่ง่าย แต่ก็ไม่ยากจนเกินความพยายามของเรา...

    เอกสิทธิ์ ไม้วัฒนา
    22 มิถุนายน 2014

    ที่มา https://th-th.facebook.com/veggieki...1073741832.1440069069585679/1442322686026984/
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  4. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    สิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้เห็นวันโลกาวินาศ

    [​IMG]
    พระอรหันต์จี้กง​


    เทพธิดาน้อย เปิดเผยความลับสวรรค์

    ปี ค.ศ. 1988 (หมินกั๋วปีที่เจ็ดสิบเจ็ด) สถานธรรม "จงซิน" อีโป มาเลเซีย วันที่ 27 มกราคม เวลา 22. 20 น. ขณะที่ "ซันไฉ" ทั้งสามกำลังฝึกสมาธิ "ลู่ถง" (พระองค์เซียนกวาง) ก็ได้นำเทพธิดาน้อยในหมวดอักษร "อวิ๋น" จากพระโพธิสัตว์อนุศาสส์ประทับทรงลงมา และนี่เป็นการประทับทรงครั้งแรกของเธอ เทพธิดาน้อยจึงมีอาการเก้อเขิน อยากรู้อยากเห็น แต่ก็คล่องแคล่วน่าเอ็นดูยิ่งนัก

    เธอเล่าความเป็นมาของตัวเองให้ฟังว่า เมื่อสองชาติก่อน เธอเกิดเป็นหญิงบำเพ็ญอยู่ในเพศชีด้วยความลำบากยากยิ่งตลอดชีวิต ตั้งใจรักษาศีลบริสุทธิ์และเคร่งครัด แต่หลังจากตายไปแล้วเธอก็ยังไม่อาจบรรลุสู่นิพพานได้ ด้วยเหตุที่เธอเคยสร้างบุญร่วมกับพระอรหันต์จี้กงมาช่วงหนึ่ง ฉะนั้น ในปีหมินกั๋วที่ยี่สิบกว่า เธอจึงได้เกิดใหม่ที่มณฑลซานตงในหมู่บ้านตระกูล "กัน" มีชื่อว่าเด็กหญิงเสี่ยวอวิ๋น พออายุได้สองขวบ ก็ได้พบกับพระธรรมาจารย์กงฉัง (พระภาคจุติของพระอรหันต์จี้กง)

    พระองค์ได้โปรดทำพิธีถ่ายทอดเบิกธรรมให้ด้วยพระองค์เอง ไม่นานต่อมาเธอก็กลับคืนสู่ความเป็นอมตะร่วมอยู่ในกลุ่มเซียน หมวดอักษร "อวิ๋น" เบื้องบนทรงโปรดประทานอริยฐานะเป็น "อวิ๋นไฉ่เซียนจื่อ" สำหรับคืนนี้เธอได้รับพระโองการจากพระอนุตตรธรรมมารดา และพระเมตตาจากพระอาจารย์จี้กงให้ประทับทรงลงที่สถานธรรมจงซิน เพื่อจะบอกเล่าให้เราทั้งหลา่ยได้รู้ถึงสภาพอันน่าเวทนาสยองขวัญ ตามกำหนด "เจ็ดเจ็ดสี่สิบเก้า" เพื่อให้ศิษย์นักธรรมของพระอาจารย์จี้กงในธรรมกาลยุคขาวนี้ได้รู้ว่า "จะพ้นจากมหันตภัยในยุคสุดท้ายนี้ได้ให้สร้างสมบุญกุศล" เป็นสัจธรรมที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงตั้งแต่โบราณกาลมา จากคำบอกเล่าเสียงเจี้ยวแจ้วของ อวิ๋นไฉ่เซียนจื่อ ไม่อาจปิดบังความรู้สึกสลดใจ เจ็บปวดและหวาดกลัวต่อสภาพมหันตภัยที่ได้พบเห็นมาได้

    ทั้งหมดที่เธอเล่า ประมวลความรวมเป็นหัวข้อสำคัญได้ 9 ข้อ อีกทั้งเรื่องราวของ "ฟ้าดินใหม่" (โลกพระศรีอาริย์) ที่เธอเปืดเผยอะไรบางอย่างก็ได้นำมาเรียบเรียงไว้ ณ ที่นี้ด้วย

    1. ก่อนหน้า "เจ็ดเจ็ดสี่สิบเก้า" วันฟ้าดินมืดมิดสองสามวันบรรยากาศของโลกดูสงบเงียบไปทั่ว เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ความเงียบสงัดก่อนพายุฝนจะกระหน่ำ มักจะเป็นความเงียบที่น่ากลัวเสมอ แล้วทันใดนั้น ท้องฟ้าก็เปลี่ยนจากสีฟ้าสว่างเป็นแดงฉาน และกลายเป็นสีเทาขาว จนกระทั่งมืดมิดลง ลมมหาประลัยทำลายสิ่งปลูกสร้าง คน และสัตว์ทั้งหมดให้กลายเป็นจุล มหาจุล ลงในพริบตา

    2. โลกทั้งโลกตกอยู่ในความมืดมิด จนมองไม่เห็นสิ่งใดเลย ไม่มีแสงสว่างจากดวงไฟใด ๆ ทั้งสิ้น พลังงานไฟฟ้าจากเครื่องมือวิทยาศาสตร์ทุกอย่างใช้การไม่ได้หมด ต่อจากนั้นก็จะเกิดพายุและลมฝน เสียงฟ้าร้องและสายฟ้าฟาดไม่ขาดสาย ห่าฝนเม็ดสีแดงจะเทลงมาจากฟากฟ้า โลกจะตกอยู่ในความมืดมิดของรัตติกาลนานถึงสี่สิบเก้าวัน

    3. มีเพียงโคมไฟสามดวงในพุทธสถานเท่านั้น ที่ให้แสงสว่างได้ รอบนอกสถานธรรมได้ถูกห่อหุ้มปกป้องด้วยรัศมีสีม่วงโดยทั่ว เมื่อนั้น คนที่บำเพ็ญโดยแท้จริง และคนดีที่ยังไม่ได้รับการถ่ายทอดวิถีธรรม ก็จะได้รับการดลใจชักนำให้เข้ามาหลบภัยในพุทธสถาน ในที่นั้นหากมีท่านธรรมอธิการอาวุโส (เฉียนเหยิน) หรืออาจารย์ผู้ถ่ายทอดเบิกธรรมอยู่ด้วย ก็อาจจะช่วยชี้ธรรมให้คนเหล่านั้นได้ คนที่มีกุศลบารมีสูงก็จะได้รู้แจ้งในทันที และนั่นอาจจะเป็นแสงอาทิตย์ลำสุดท้ายที่จะโปรดสัตว์ในธรรมกาลยุคขาวก็ว่าได้ คนที่ไม่เคยร่วมบุญกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์องค์ใดมาก่อนเลยเกรงว่าจะต้องตายด้วยภัยพิบัตินั้นทันทีทีเดียว หรือถึงแม้จะรอดพ้นไปได้ แต่วิถีอนุตตรธรรมก็สิ้นสุดวาระการถ่ายทอดเสียแล้ว

    4. ส่งเสริมให้ญาติธรรมทั้งหลายสร้างพุทธสถานกันมาก ๆ แม้จะมีไว้เพียงเพื่อตนเองจะได้กราบเช้าเย็นก็ยังดี หนึ่ง เพื่อให้ทุกบ้านเป็นสถานแห่งพุทธะสมดังพุทธปณิธานโดยเร็ว สอง เมื่อถึง "วันสุดท้ายฯ" พุทธสถานจะได้มีไว้เป็นที่หลบภัยของสาธุชนกันให้มาก ๆ เพราะพุทธสถานจะเป็นเสมือน "เมืองในม่านเมฆ" สำหรับผู้ใฝ่ธรรม

    5. สภาพโลกภายนอกของพุทธสถาน คือ ภูเขาถล่มแผ่นดินแยก เจ้ากรรมนายเวรของคนทั้งหลายที่เป็นหนี้ติดค้างกันถึงหกหมื่นปีมาแล้วจะลุกฮือกันออกมาเอาชีวิต วิญญาณทวงหนี้กัน แม้ผู้คนจะพ้นจากมหันตภัย แต่ก็อาจต้องตายด้วยเจ้ากรรมนายเวร สภาพนั้นจึงเป็นมหาโหด มหาวิปโยค เสียงร่ำไห้กู่ร้องครวญคราง เสียงผีสาง เทพ พรหม ระงมก้องไปทั่ว เป็นที่น่าเวทนายิ่งนัก

    6. เหล่าภูตสางนางไม้ในป่าเขาในบาดาล เหล่าพญามาร อสูรทั้งหลาย ก็จะแปลงกายเป็นพระศรีอาริย์ เป็นพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์กวนอิม เป็นพระอาจารย์จี้กง หรือพระอริยเจ้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย สำแดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์เรียกลมเรียกฝน เสกหว่านเมล็ดถั่วให้กลายเป็นกองทัพ ฯลฯ จะอวดอ้างศักดานุภาพว่าจะสามารถพาผู้คนให้พ้นจากลมมหาประลัย มุ่งคืนไปสู่สุทธาวาสเบื้องบนได้ สิ่งเหล่านี้มีมาเพื่อหลอกล่อผู้ปฏิบัติธรรมโดยเฉพาะ เมื่อถึงเวลานั้น ให้เราทั้งหลายจงตั้งมั่นอยู่ในศรัทธาจิตเช่นเดิม อย่าได้โลภหลงตามไปเป็นอันขาด พอขยับใจไขว้เขวแม้เพียงขณะจิตหลงตามไป บุญกุศลที่สร้างมาก็จะหมดไป

    ดังคำที่ว่า "ใกล้จะบรรลุธรรมยามเที่ยง แต่มาเพลี่ยงพล้ำเสียก่อนเมื่อตอนสาย" จะขึนหรือลงจึงอยู่ที่หัวเลี้ยวหัวต่อตรงนี้ ที่แอบอ้างตัวว่าเป็นพระบรรพธรรมาจารย์ มาเก็บงานธรรมอยู่ในขณะนี้นั้นเป็นเพียงมารเล็ก ๆ เท่านั้น ไม่น่าแปลก ต่อเมื่อวันที่มหันตภัยเกิดแล้วนั่นแหละจะน่ากลัว เพราะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริงพระองค์ต่างมุ่งอยู่แต่งานช่วยคนให้พ้นภัยพิบัติ ไม่มีเวลาที่จะมาแสดงอิทธิฤทธิปาฏิหาริย์ล่อใจใครให้กราบไหว้ได้เช่นนั้น พระพุทธะตรัสไว้ว่า "แรงแห่งมารหาญกล้สกว่าพุทธะ" พระอาจารย์จี้กงก็ตรัสไว้ว่า "พระอาจารย์ปลอมมีอิทธิฤทธิปาฏิหาริย์แกร่งกล้ากว่าพระอาจารย์จริงเสียอีก หวังว่าหญิงชายทั้งหลายจะได้ร่วมกันบำเพ็ญธรรม อย่าลืม อย่าลืม คนที่บำเพ็ญด้วยความจริงใจ เมื่อถึงเวลานั้น หากจะสงบใจพิจารณาด้วยปัญญา ก็จะเห็นแจ้งว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์จริงหรือปลอม" จะเห็นใบหน้าสีเขียวเขี้ยวโง้งของปีศาจในร่างพุทธะได้โดยไม่ต้องเทียบเคียง

    7. วันที่ทรมานที่สุด จะมีสองช่วง

    ช่วงที่ 1. วันที่ 24 , 25 , 26 ของช่วง "เจ็ดเจ็ดสี่สิบเก้าวัน" เพราะช่วงนั้นอาหารที่สะสมไว้จะหมด คนที่กินเจจะยังอดทนต่อความหนาวเหน็บ ส่วนคนที่กินเนื้อสัตว์จะทรมานมาก

    ช่วงที่ 2. ช่วงนี้จะอยู่ระหว่างวันที่ 50 ถึง 70 เพราะสรรพสิ่งทั้งหลายจะถูกเคลือบด้วยพิษของ กัมมันตภาพรังสี ซากศพเกลื่อนกลาด คนเคราะห์ดีก็ยังมีชีวิตอยู่ยังจะต้องทำหน้าที่ฝังศพ คนที่กินเจจะยังมีกำลังอยู่ได้ ส่วนคนที่กินเนื้อสัตว์จะอยู่ได้อย่างไร ดังนั้น สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย จึงได้ประทานพระโอวาทคำเตือนไว้นานมาแล้วว่า "หลังจากมหันตภัยกวาดล้างโลกนี้ กลายสภาพเป็นตมไปแล้ว จะเหลือแต่พระอรหันต์เดินดินที่ไม่กินเนื้อสัตว์" เป็นคำเตือนที่ชัดเจนแน่นอนที่สุดทีเดียว

    8. หลังจากกวาดล้างแล้วก็จะเป็นการสร้างบ้านสร้างเมืองใหม่ มนุษยชาติจะเริ่มเบิกวิถีด้วยอารยธรรมใหม่ นั่นคือ มีคุณธรรมและมีคุณสัมพันธ์ระหว่างกันเพื่อจดจำบทเรียนที่ได้รับจากภัยพิบัติ ปรัชญาความคิดของท่านบรมครูขงจื้อและเมิ่งจื้อจะเป็นที่เทิดทูนศรัทธาทั่วโลก ความจริงใจรักใคร่ช่วยเหลือซึ่งกันและกันจะเป็นปฏิญญาที่ทุกคนรักษาไว้ร่วมกัน สำหรับผู้บำเพ็ญอนุตตรธรรมที่บุญกุศลไม่เพียงพอ หรือศาสนิกของศาสนาต่าง ๆ จะคงอยู่เป็นเผ่าพันธุ์ของโลกใหม่ในธรรมกาลยุคขาวต่อไป ส่วนผู้บำเพ็ญอนุตตรธรรมที่บุญกุศลสูงส่ง และศาสนิกชนของศาสนาต่าง ๆ ที่บำเพ็ญได้ดียิ่ง สิ่งศักดิ์สิทธิ์และทูตสวรรค์จะมาต้อนรับคืนสู่อนุตตรแดนนิพพาน ร่วมงานฉลองอริยะ "หลงฮว๋า" เสวยสุขแห่งชาวสวรรค์ร่วมกัน

    9. พระศรีอริยเมตไตรยจะเสด็จสู่โลกมนุษย์อีกครั้งหนึ่งในศุภวาระนี้ จะทรงเปิดเผยให้เห็นฉากสำคัญอันศักดิ์สิทธิ์ของพระอรหันต์แห่งธรรมกาลยุคขาวนี้ จะทรงประทานอริยฐานะตามระดับมรรคผลกุศลบุญ จากนี้โลกแห่งสันติสุขเยี่ยงสมัยพระเจ้า "เหยาซุ่น" หรือโลกพระศรีอาริย์ก็ได้เบิกวิถี ณ บัดนั้น

    สภาพวันสุดท้ายของโลก :

    วันที่ 30 มกราคม เวลา 17.10 น. เอี้ยนอี๋ (ดรุณีน้อยเทียนไฉ) ปวดท้องจึงขึ้นไปนอนพักบนเตียง จิตก็ได้ออกจากร่าง ติดตามพระอาจารย์ขึ้นไปเหนือเมฆ มองดูภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นในภายหน้า สภาพอันน่าเวทนาเมื่อเวลาระเบิดนิวเคลียร์ระเบิดขึ้น ระเบิดนิวเคลียร์ลูกหนึ่ง ได้ยิงไปตกลงยังเมือง ๆ หนึ่ง หัวระเบิดได้ระเบิดขึ้นกลางอากาศ เกิดเปลวไฟและแสงสว่างอันแรงกล้า แล้วทันใดนั้นมันก็ทำลายสิ่งปลูกสร้างที่มีอยู่ทั้งหมดลงชั่วพริบตาพร้อมกับเสียงดังกัมปนาทและแรงสะเทือนอย่างรุนแรงจากแรงระเบิด ความกดอากาศเปลี่ยนแปลงทันที คนและสัตว์ทั้งหลายบาดเจ็บและล้มตายลงนับจำนวนไม่ถ้วน ทุกหนทุกแห่งเห็นแต่ภาพน่าอนาถ กลุ่มควันที่เหมือนเมฆสีดำรูปดอกเห็ดขยายตัวขึ้นสู่ท้องฟ้าสีดำมืด และมีกลิ่มเหม็นอย่างร้ายกาจ อากาศในขณะนั้นให้ความรู้สึกอึดอัดเหมือนกำลังจะขาดใจตาย บริเวณที่ได้รับความเสียหายกว้างไกลออกไปไกลถึงร้อยกว่ากิโลเมตร ส่วนกัมมันตภาพรังสีนั้น ครอบคลุมไปไกลถึงหลายร้อยกิโลเมตร

    คนที่ไม่ตายด้วยไฟและแสงหรือจากแรงระเบิด ก็วิ่งพล่านกระเจิดกระเจิงไป เสียงเรียกพ่อเรียกแม่ กรีดร้องก้องฟ้าเป็นที่น่าเวทนาหาที่เปรียบไม่ได้เลย ทันใดนั้น เมฆบนท้องฟ้าก็เคลื่อนไหวม้วนตัวอย่างรวดเร็ว ท้องฟ้าเปลี่ยนจากสีแดงเรื่อ ๆ เป็นแดงคล้ำ แล้วกลับกลายเป็นสีเทาขาว แล้วในทันทีก็เปลี่ยนเป็นสีเทาดำและดำมืด ถึงตอนนั้น แม้จะชูมือขึ้นตรงหน้าก็มองไม่เห็นนิ้วมือทั้งห้าได้ คนที่ยืนอยู่ต่อหน้ากันก็มองไม่เห็นกัน พระอาจารย์ตรัสไว้ว่านั่นคือ "เจ็ดเจ็ดสี่สิบเก้า" วันอันยาวนานที่รัติกาลมาสู่โลก เวลาอันน่าสะพรึงกลัวเริ่มแล้ว ณ บัดนี้ วันที่ 30 มกราคม เวลาเช้า 9.00 น. อันเป็นเวลาฝึกสมาธิ ดรุณีน้อยเอี้ยนอี๋ ก็ได้ถอดจิตติดตามพระอาจารย์จี้กงไปดูสถานที่เกิดเหตุมหันตภัยต่อไป ขณะนั้น ลมมหาประลัย โหมมาทั้งสี่ทิศพร้อมกันตึกใหญ่ ๆ ที่ยังไม่ได้พังทะลายทั้งหมด ท่ามกลางแรงระเบิด และแสงไฟโชติช่วงได้พังครืนลงมาหมด เสียงดังสนั่นหวั่นไหว แม้แต่ต้นไม้ใหญ่ขนาดสิบคนโอบรอบ ก็ถอนรากถอนโคนล้มลงระเนระนาด ทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาในสายตาล้วนเป็นสภาพที่น่าเวทนายิ่งนัก แล้วเธอก็ได้พบเห็นหมู่บ้านใหม่แห่งหนึ่งตรงกลางเป็นพุทธสถาน บ้านเรือนที่อยู่ในรัศมีโดยรอบหลายร้อยเมตร ถูกห่อหุ้มด้วยแสงสีม่วงเรืองรอง ผู้คนที่อยู่ในพุทธสถานและภายใต้การห่อหุ้มของแสงสีม่วงพ้นภัยโดยทั่วกัน

    ส่วนที่อยู่ห่างไกลออกไปแต่เป็นคนมีจิตใจดี ดูเหมือนสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะดลใจให้เขาวิ่งเข้ามาหลบภัยในพุทธสถานด้วย โลกภายนอกมืดมิดไปทั่ว ไม่มีแสงสว่างจากไฟฟ้า หรือดวงไฟจากสิ่งใดเลย สายฟ้าแลบพร้อมกับฟ้าคะนอง หยดน้ำสีแดง ๆ เหมือนสายฝน แต่มิใช่ โกรกลงมาจากฟ้า แต่ละหยดมีน้ำหนักเหมือนเศษแก้ว กลิ่นเหม็นเอียนจัดเหมือนยาพิษร้ายแรง มันทะลุผ่านอิฐ หิน ปูนเหล็กกล้าและทุกอย่าง แต่ที่น่ามหัศจรรย์ก็คือ เมื่อมันหยดลงมาบนรัศมีครอบที่เป็นสีม่วง มันจะสลายตัวหายไปจนหมดสิ้น ในตำหนักพระมีพุทธประทีป 3 ดวงบนแท่นบูชาสาดส่องประกายไฟอยู่สว่างไสว ไม่นานต่อมา เธอก็แลเห็นพื้นดินแยกออกเป็นร่องลึกใหญ่ทั่วไป ผีนรกทั้งหลายกรูกันออกมาจากรอยแยกเหล่านั้น ทุกคนดูกระเหี้ยนกระหือรือ พอเห็นศัตรูคู่อาฆาตลูกหนี้ในชาติก่อนของเขา ก็ฉุดกระชากลากตัวลงไปในร้่องลึกใต้ดินทันที โดยไม่มีการพูดจาต่อรองใด ๆ เป็นภาาวะที่ผีครวญคร่ำสิ่งศักดิ์สิทธิ์ร่ำร้องโดยแท้ สยองขวัญยิ่งนัก พระอาจารย์บอกหนูเอี้ยนนอี๋ว่า นั่นคือการหักล้างบัญชีครั้งใหญ่ ในรอบหกหมื่นปีที่ผ่านมา

    วันที่ 31 มกราคม เวลาบ่าย คณะผู้ปฏิบัติธรรม กำลังเดินทางโดยรถยนต์จะไปยังพุทธสถานที่คาเมรอน ไฮแลนด์ ดรุณี "ซันไฉ" ทั้งสามก็ร่วมเดินทางไปด้วย เวลา 14.50 น. ระหว่างการเดินทาง เทพธิดาน้อย "อวิ๋นไฉ่เซียนจื่อ" ก็ประทับทรง แล้วพระอาจารย์จี้กงก็นำหนูเอี้ยนอี๋ไปดูเหตุการณ์วันมหาวิปโยคที่ยังค้างอยู่ ต่อไป ...ทันใดนั้น เธอก็เห็นสถานที่แห่งหนึ่ง ถูกห่อหุ้มด้วยแสงสีม่วงเหมือนกัน แต่รัศมีรอบวงค่อนข้างมัวหมองเหมือนถ้ำ และเหมือนบ้านเก่า ๆ ภายในบริเวณไม่มีแท่นที่บูชาพระ มุมหนึ่งในบริเวณนั้นมีไหวางเรียงอยู่หลายใบ ไหทุกใบมีฟองเหมือนน้ำและเหมือนน้ำมันปุดขึ้นจนล้นออกมาฟองเหล่านั้นมีแสงเรื่อ ๆ ให้ความรู้สึกที่ไม่สบา่ยใจเลย บนผนังบ้านติดยันต์ไปหมด ดูอึมครึมน่ากลัว

    พระอาจารย์บอกว่า "ที่นั่นเป็นเมืองในม่านเมฆจอมปลอม เป็นถ้ำมาร ที่ปีศาจมารร้ายจำแลงไว้ล่อใจคนโลภหลงให้เข้าไปติดกับ ไม่นานนักเธอก็แลเห็นพระศรีอาริย์ลอยลงมาจากฟากฟ้าหัวร่อร่าร้องเรียกผู้บำเพ็๋ญอนุตตรธรรมและคนทั้งหลายที่ยังไม่ทันได้เข้าไปหลบภัยในพุทธสถานที่แท้จริงว่าให้ติดตามเรามา เจ้าจะหลบเลี่ยงภัยพิบัติได้ อีกทั้งแสดงอิทธิปาฏิหาริย์ให้แสงสีม่วงห่อหุ้มพวกคนให้พ้นจากการทำลายของฝนพิษได้ เท่านั้นยังไม่พอ ยังมาตะโกนเรียกผู้บำเพ็ญอนุตตรธรรมที่หลบภัยอยู่ในตำหนักพระภายใต้ครอบแสงสีม่วงให้ตามไป จะได้ยกระดับและมอบหมายตำแหน่งงานธรรมขั้นสูงให้ ใครก็ตามที่หลงเชื่อตามไปในครั้งนี้ ก็จะไม่มีวันได้ผุดได้เกิดอีกต่อไป

    โดยแท้จริงแล้ว คนที่เข้าสู่พุทธสถานแล้ว ภัยพิบัตินั้นมิอาจเข้ามาทำลายได้เลย เมื่อถึงเวลานั้น คนที่บำเพ็ญอนุตตรธรรมจงพึงระวังตัวไว้ให้รอบครอบทีเดียว เพื่อให้รู้แน่ว่าพระศรีอาริย์องค์ไหนจริงหรือปลอมอย่างไร พระอาจารย์จี้กงสอนให้หนูเอี้ยนอี๋สงบใจ แล้วพระองค์ก็ใช้พัดวิเศษโบกไป พระศรีอาริย์นั้นก็เผยโฉมเดิมให้เห็นทันที กลายเป็นร่างผอมเกร็งเหมือนผีดิบ นันย์ตาโปนเหมือนปลาทอง ลูกใหญ่เท่ากระดิ่ง จมูกมีแต่รูโหว่ ผมตั้งซัน เขี้ยวโง้งออกมาจากปากกว้างสีเลือด มือหนึ่งถือมีดปลายแหลมอันยาว อีกมือหนึ่งถือยันต์ หน้าตาท่าทางน่ากลัว เห็นชัดว่าไม่ใช่พระศรีอาริย์องค์มหาเมตตาธรรมแน่ ๆ

    วันที่ 3 กุมภาพันธ์ เวลาบ่ายสองโมงโดยประมาณ พระอาจารย์จี้กงพาหนูเอี้ยนอี๋ ไปดูเหตุการณ์วันมหาวิปโยค ต่อไป แม้จะผ่านช่วงสี่สิบเก้าวันอันยาวนาน และน่าสะพรึงกลัวไปได้แล้วก็ตาม แต่โลกก็ยังตกอยู่ในความมืดมิด ต่อมา จึงค่อย ๆ สว่างขึ้นทีละน้อย เห็นศพเกลื่อนกลาดกองพะเนิน มีแต่หัวขาด ขาขาด แขนขาด หรือตัวขาดเป็นท่อน จนแทบไม่มีศพเต็มร่างเลย โลหิตสีดำคล้ำท่วมนองไหลมารวมกันจนเหมือนแม่น้ำเลือด กลิ่นเหม็นคาวคละคลุ้งไปทั่วจนอยากอาเจียน พูดได้ว่า มันคือนรกในโลกมนุษย์จริง ๆ พระอาจารย์จี้กงของเราเจ็บปวดรวดร้าวใจ น้ำตาไหลจนชุ่มอกจีวรที่ขาดวิ่นของพระองค์

    ไม่นานต่อมา แสงสีม่วงที่ครอบพุทธสถานก็ค่อย ๆ จางไป ญาติธรรมทั้งหลายพากันออกมาภายนอกได้แล้ว โลกทั้งโลกเงียบสงัด สัตว์ที่หลงเหลืออยู่ได้มีเพียงประเภทเดียว คือสัตว์ที่กินหญ้า หรือกินผักเป็นอาหาร คือกระต่าย แพะ แกะ วัว ควาย และม้าเท่านั้น จากนี้คือความทุกข์ยากหลังจากเกิดมหันตภัย วันที่ห้าสิบถึงเจ็ดสิบ คนที่ไม่ได้ถือศีลกินเจมาก่อน ยากที่จะผ่านพ้นช่วงนี้ไปได้ เพราะทุกแห่งในโลกล้วนอาบไปด้วยพิษของกัมมันตรังสี พืชพันธุ์ธัญญาหารไม่มีอะไรเหลือเลย ผู้ที่ทนความอดอยากไม่ได้ ผู้ที่กินเจเฉพาะวัน หรือไม่ได้กินเจ แต่โชคดีที่รอดพ้นสี่สิบเก้าคืนมาได้ ภายในร่างกายของเขายังมีสิ่งสกปรกหลงเหลืออยู่ อีกทั้งอารมณ์โหดจะเกิดขึ้น พวกคนเหล่านี้จะฉีกเนื้อกระต่าย แพะ แกะ วัว ควาย หรือม้ากินดิบ ๆ ได้ และไม่นานต่อมา เขาก็จะต้องตายเพราะสารพิษ พระอาจารย์ได้โปรดเมตตาบอกว่า มีแต่คนที่กินเจเท่านั้นที่จะอยู่รอดจากความอดอยากหลังจากภัยพิบัติใหญ่แล้วจริง ๆ

    วันที่ 5 กุมภาพันธ์ เวลาเที่ยง พระอาจารย์ก็ได้โปรดนำหนูเอี้ยนอี๋ ไปดูเหตุการณ์วันมหาวิปโยคต่อไป ขณะนั้นท้องฟ้าสว่างแล้ว ทุกสิ่งบนพื้นโลกมีแต่ซากที่ถูกทำลายล้าง แผ่นดินที่แยกออกปิดเข้าหากันแล้ว เหลือแต่รอยแยกเป็นทาง ๆ แม่น้ำเลือดที่ไหลนองก็แห้งลง และซึมลงไปในดิน ทุกอย่างที่เห็นน่าสะอิดสะเอียน น่าสมเพชเวทนา น่าอนาถใจ คนถือศีลกินเจทั้งหลายเริ่มจะลงมือเก็บฝังหรือเผาซากศพกันอย่างเป็นการเป็นงาน เมื่อหิวกระหายก็เพียงแต่ใช้นิ้วจุ่มน้ำทิพย์ที่บูชาแตะลงที่ปลายลิ้น แล้วคนเหล่านั้นก็ประทังชีวิตอยู่กันต่อไปได้อย่างไม่เดือดร้อน คนที่ยังไม่เคยกินเจตลอดเสมอมา จะไม่กล้าเดินออกนอกตำหนักพระเลยแม้สักก้าวเดียว พระอาจารย์เห็นสภาพเช่นนี้แล้วน้ำตาที่เหมือนสายเลือดก็ไหลท้วมท้นออกมาอีก

    วันที่ 8 กุมภาพันธ์ เวลาเที่ยง หนูเอี้ยนอี๋ก็ติดตามพระอาจารย์ไปดูเหตุการณ์วันมหาวิปโยคฉากสุดท้าย ต่อไป ขณะนั้น ทั้งการเก็บฝังและเก็บเผาซากศพจะแล้วเสร็จไปเสียส่วนใหญ่ แสงสีม่วงนอกจากจะปกป้องรอบ ๆ อาณาบริเวณพุทธสถานแล้ว ยังรวมทั้งต้นไม้ใบหญ้าและสิ่งปลูกสร้างในวงรอบรัศมีอีกด้วย ส่วนรอบนอกนั้นราพนาสูรไม่เหลืออะไรเลย ความเจริญทางวิทยาศาสตร์ทั้งหมดถูกทำลายหมดสิ้นและใช้การอะไรไม่ได้อีกเลย จากนั้น ฟ้าดินก็ค่อย ๆ กลับคืนสู่สภาวะของธรรมชาติตามปกติ ตะวัน เดือน ออกมาส่องแสงเช่นเดิม มีลมมีฝน แม่น้ำลำคลองก็เต็มไปด้วยน้ำใสไหลล่อง ผู้คนเริ่มสร้างบ้านเรือนเป็นที่พักอาศัยหลบฝน และเริ่มงานทำไร่ไถนากันอย่างขะมักเขม้น เช้าก็ออกไปนา เย็นก็กลับมาบ้าน ชีวิตแม้จะไม่ว่างทางแรงกาย แต่ก็มั่นคงเป็นสุขใจ ผู้คนต่างอยู่ร่วมกันด้วยอัธยาศัยไมตรี ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ไม่มีการวิวาทบาดหมาง แย่งชิง โลกทั้งโลกเต็มเปี่ยมด้วยพลังของชีวิต และเป็นระเบียบแบบแผนอันดีงามเหมือนโลกใหม่โดยแท้

    ที่มา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้เห็นวันโลกาวินาศ : คำแถลง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 พฤษภาคม 2015
  5. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    การทำอาหารมังสวิรัติแบบง่าย ๆ


    เผยแพร่เมื่อ 25 ก.ค. 2012​
     
  6. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    โปรตีนเกษตร


    เผยแพร่เมื่อ 6 ต.ค. 2014​
     
  7. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    การทำเต้าหู้แข็ง


    อัปโหลดเมื่อ 22 ส.ค. 2011​
     
  8. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    การแปรรูปถั่วเหลือง


    เผยแพร่เมื่อ 18 พ.ย. 2012​
     
  9. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    วิธีการแปรรูปเห็ด





    เผยแพร่เมื่อ 11 เม.ย. 2013​
     
  10. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    ด่วน! หลวงพ่อคูณ ละสังขารแล้ว ด้วยวัย 92 ปี

    [​IMG]

    สิ้นแล้วอีกหนึ่งพระเกจิดัง "หลวงพ่อคูณ" ละสังขารแล้วด้วยวัย 92 ปี หลังเข้ารักษาตัวที่ รพ.มหาราชนครราชสีมา ด้วยอาการเริ่มต้นช็อกหัวใจหยุดเต้น...

    เมื่อวันที่ 16 พ.ค. มีรายงานว่า พระเทพวิทยาคม หรือ หลวงพ่อคูณ ปริสุทฺโธ อายุ 92 ปี เจ้าอาวาสวัดบ้านไร่ ต.กุดพิมาน อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา ได้ละสังขารแล้วเมื่อเวลา 11.45 น. หลังเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา จ.นครราชสีมา ท่ามกลางความโศกเศร้าของคณะแพทย์ที่ทำการรักษาและบรรดาลูกศิษย์ที่ติดตามอาการใกล้ชิด

    ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 15 พ.ค.ที่ผ่านมา หลวงพ่อคูณช็อกหัวใจหยุดเต้น หลังตื่นนอนในห้องปลอดเชื้อวัดบ้านไร่ ซึ่งแพทย์ที่ไปตรวจอาการใช้ปฏิบัติการฟื้นคืนชีพขั้นสูงยื้อชีวิตไว้ได้ทัน ก่อนนำส่งโรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา และมีอาการทรุดลงเป็นลำดับ

    อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลา 10.20 น. วันที่ 16 พ.ค. นพ.สมอาจ ตั้งเจริญ ผอ.โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา แถลงอาการอาพาธของพระเทพวิทยาคม ว่า มีปัญหาการแข็งตัวของเลือดที่ไม่ดี ทำให้มีภาวะแทรกซ้อนเพิ่มขึ้นมาจากเมื่อวานนี้ (15 พ.ค.) รวมถึงการมีเลือดออกในช่องทรวงอก มีผลต่อการทำงานของปอดที่ทำงานได้ไม่ดี จึงดำเนินการทำให้หายใจเพิ่มขึ้น จากปัญหาการทำงานของไตที่ไม่ดี ขณะนี้แพทย์ได้ทำการล้างไต ส่วนการหายใจที่มีปัญหา ทำให้สัญญาณชีพไม่สม่ำเสมอ และการเต้นของหัวใจที่ไม่ดี ขณะนี้อยู่ระหว่างการช่วยในเรื่องการทำงานของหัวใจ เพื่อให้การหายใจให้ดีขึ้น

    ส่วนการเพิ่มยาเข้าไปนั้น เป็นยาที่เพิ่มในการแข็งตัวของเลือด ซึ่งทำอย่างเต็มที่แล้ว เพราะปัญหาการแข็งตัวของเลือด ทำให้เกิดเลือดออกในร่างกาย สำหรับแผนการย้ายหลวงพ่อคูณไป รพ.ศิริราช คงไม่มีแล้ว เพราะสภาพโดยทั่วไปถือว่าไม่เหมาะสมที่จะมีการเคลื่อนย้าย แต่ได้มีการประสานกับทางรพ.ศิริราช ในการช่วยกันรักษาตลอด

    ทั้งนี้ การปั๊มหัวใจเมื่อช่วงเช้านี้ มีการปั๊มหัวใจเพิ่มตอนประมาณ 05.40 น. โดยปั๊มถึง 2 รอบ เนื่องจากมีเลือดออกในช่องทรวงอก ทำให้การหายใจมีปัญหาขึ้น อย่างไรก็ตาม อาการขณะนี้ถือว่าทรุดลง ซึ่งทรุดลงกว่าเมื่อวานนี้ โดยการประเมินอาการทำอยู่ตลอดเวลา ซึ่งทีมแพทย์อยู่ในไอซียูตลอดเวลา 24 ชม.

    พร้อมกันนั้น โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา ได้ออกแถลง เรื่อง อาการอาพาธของพระเทพวิทยาคม (หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ) ฉบับที่ 3 ว่า คณะแพทย์ผู้ทำการรักษาได้รายงานว่า การเฝ้าตรวจติดตามอาการอาพาธของพระเทพวิทยาคม มีการแทรกซ้อนเพิ่มขึ้น จากการแข็งตัวของเลือดผิดปกติ ทำให้เลือดออกในช่วงทรวงอก ส่งผลให้ระบบการหายใจล้มเหลว ภาวะหัวใจหยุดเต้น คณะแพทย์ได้ทำการช่วยฟื้นคืนชีพ สำหรับภาวะไตไม่ทำงาน ได้ให้การรักษาโดยการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม ขณะนี้อาการโดยรวมทรุดลง

    กระทั่งได้ออกแถลง ฉบับที่ 4 ว่า คณะแพทย์ผู้ทำการรักษา รายงานว่า อาการพระเทพวิทยาคมโดยรวมทรุดลง ได้มรณภาพลงแล้ว เมื่อเวลา 11.45 น.วันที่ 16 พ.ค.

    สำหรับหลวงพ่อคูณ เกิดเมื่อวันที่ 4 ต.ค. 2466 ในบ้านไร่ ต.กุดพิมาน อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา อุปสมบทเมื่อวันที่ 5 พ.ค. 2487 นับเป็นอีกหนึ่งพระเกจิดังในภาคอีสาน สร้างและปลุกเสกวัตถุมงคลได้รับความนิยมมากมาย มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวคือ คำพูดคำสั่งสอน "กู-มึง" และการเคาะศีรษะบรรดาลูกศิษย์ที่เคารพศรัทธา.

    โดย ไทยรัฐออนไลน์ 16 พ.ค. 2558

    ไทยยังมีฝนหลายพื้นที่ ตกหนักถึงหนักมาก กทม.ตกปานกลาง

    [​IMG]

    ประเทศไทยมีฝนกระจายตัวในหลายพื้นที่ อาจตกหนักถึงหนักมาก เกิดลมกระโชกแรง ภาคตะวันตกของภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้ฝั่งตะวันตก จะมีฝนเพิ่มขึ้นในระยะนี้ กทม. โอกาสเกิดฝนตกปานกลาง ตั้งแต่บ่าย 3 ถึง 5 โมงเย็น...

    เมื่อวันที่ 16 พ.ค. ทีมข่าวไทยรัฐ ร่วมกับ Weather Company ของสหรัฐอเมริกา รายงานสภาพอากาศ พบว่า ขณะนี้อิทธิพลจากกระแสลมใต้และลมตะวันออกเฉียงใต้ ยังคงพัดปกคลุมประเทศไทยและอ่าวไทย ทำให้บริเวณประเทศไทยมีฝนกระจายตัวในหลายพื้นที่ อาจเกิดฝนตกหนัก ถึงหนักมาก เกิดลมกระโชกแรง ด้านลมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน และด้านตะวันตกของประเทศไทย จะมีกำลังแรงขึ้น ส่งผลให้ภาคตะวันตกของภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้ฝั่งตะวันตก จะมีฝนเพิ่มขึ้นในระยะนี้

    ส่วนการคาดการณ์ปริมาณฝนตั้งแต่ตอนบนถึงตอนกลางของประเทศในวันนี้ พบว่า ภาคตะวันออกจะมีฝนในช่วงสาย มีฝนตกหนักปานกลาง บริเวณจังหวัดระยอง จันทบุรี ปราจีนบุรี และสระแก้ว

    ช่วงเที่ยง ฝนจะเริ่มกระจายตัวทั่วประเทศไทยตอนบน โดยฝนจะตกหนักถึงปานกลางในพื้นที่ภาคเหนือ บริเวณจังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ พะเยา ลำปาง ลำพูน แม่ฮ่องสอน บางส่วน รวมถึงบริเวณภาคอีสาน ที่จังหวัดขอนแก่น ชัยภูมิ อุดรธานี บุรีรัมย์ มหาสารคาม และฝนจะกระจายตัวอยู่ทางภาคตะวันตกของประเทศอีกด้วย

    ช่วงบ่าย กลุ่มฝนในบริเวณภาคอีสานเคลื่อนตัวสูงขึ้น ทำให้ฝนตกปานกลางบริเวณจังหวัดเลย หนองคาย อุดรธานี บางส่วนของเพชรบูรณ์ ด้านกลุ่มฝนภาคตะวันตกจะก่อตัวเพิ่มขึ้น ทำให้ฝนตกปานกลางถึงหนัก บริเวณจังหวัดกาญจนบุรี ราชบุรี เพชรบุรี ในส่วนของภาคตะวันออกยังคงตกอย่างต่อเนื่อง ช่วงบ่ายถึงเย็น ที่ภาคกลาง ฝนจะตกระดับปานกลาง ปกคลุมตั้งแต่จังหวัดนครสวรรค์ อุทัยธานี ลงมาถึงกรุงเทพมหานครและปริมณฑล หลังจากนั้นปริมาณฝนจะค่อยๆ ลดลงในช่วงค่ำ

    ส่วนภาคใต้วันนี้ ช่วงเช้าจะมีฝนตกหนักบริเวณภาคใต้ฝั่งทะเลอันดามัน ที่จังหวัดกระบี่ พังงา และตรัง จนถึงตอนเที่ยง และในช่วงบ่ายจะมีฝนปกคลุม ตั้งแต่จังหวัดระนอง สุราษฎร์ธานี กระบี่ ตรัง และบางส่วนของจังหวัดนครศรีธรรมราช

    และในช่วงค่ำถึงดึก ฝนจะตกหนักอีกครั้งที่จังหวัดชุมพร ระนอง พังงา สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช กระบี่ ตรัง และพัทลุง และจะมีกลุ่มฝนพาดผ่านตั้งแต่ช่วงดึกถึงเช้า บริเวณจังหวัดยะลา ปัตตานี และนราธิวาส ประชาชนต้องเฝ้าระวังลมกระโชกแรง และคลื่นสูงเป็นพิเศษ

    สภาพอากาศรายภูมิภาค

    ภาคเหนือ อากาศร้อนมีฟ้าหลัวในตอนกลางวัน และมีอากาศร้อนจัดบางพื้นที่ โดยมีพายุฝนฟ้าคะนองเป็นแห่งๆ ร้อยละ 30 ของพื้นที่ กับลมกระโชกแรงบางแห่ง อุณหภูมิต่ำสุด 23 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 42 องศาเซลเซียส

    ภาคอีสาน อากาศร้อนกับมีฟ้าหลัวในตอนกลางวัน โดยมีพายุฝนฟ้าคะนองกระจายเป็นแห่งๆ ร้อยละ 30 ของพื้นที่ กับลมกระโชกแรงบางแห่ง อุณหภูมิต่ำสุด 26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 38 องศาเซลเซียส

    ภาคกลาง อากาศร้อนกับมีฟ้าหลัวในตอนกลางวัน โดยมีพายุฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 20 ของพื้นที่ กับลมกระโชกแรงบางแห่ง อุณหภูมิต่ำสุด 26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 39 องศาเซลเซียส

    ภาคตะวันออก ตอนบนของภาคมีอากาศร้อนในตอนกลางวัน โดยมีฝนฟ้าคะนองเป็นแห่งๆ ร้อยละ 30 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 37 องศาเซลเซียส ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร

    ภาคใต้ฝั่งอ่าวไทย มีเมฆเป็นส่วนมาก กับมีฝนฟ้าคะนองเป็นแห่งๆ ร้อยละ 30 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 33 องศาเซลเซียส ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร

    ภาคใต้ฝั่งอันดามัน มีเมฆเป็นส่วนมาก กับมีฝนฟ้าคะนองเป็นแห่งๆ ร้อยละ 30 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 35 องศาเซลเซียส ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร

    กรุงเทพมหานคร มีเมฆเป็นส่วนมาก กับมีฝนฟ้าคะนอง 20 เปอร์เซ็นต์ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 28 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 38 องศาเซลเซียส โดยช่วงเวลาที่มีโอกาสเกิดฝนตกปานกลาง ตั้งแต่ 15.00-17.00 น.

    โดย ไทยรัฐออนไลน์ 16 พ.ค. 2558

    ป่วนยะลาไม่เลิก บึมอีกร้านเฟอร์นิเจอร์โดนซ้ำ ไฟไหม้บ้านใกล้เคียง

    [​IMG]

    ป่วนเมืองยะลาต่อเนื่อง บึมอีกเช้านี้ ร้านเฟอร์นิเจอร์โดนซ้ำ หลังเจอมาแล้วปี 57 ไฟลุกพรึบลามบ้านเรือนข้างเคียง และเวลาไล่เลี่ยเกิดอีกย่านตลาดเมืองใหม่ เบื้องต้นไม่มีรายงานผู้บาดเจ็บ หรือเสียชีวิต....

    เมื่อเวลา 07.00 น. วันที่ 16 พ.ค. ศูนย์วิทยุ 191 สภ.เมืองยะลา รับแจ้งเหตุระเบิด บริเวณร้านราชาเฟอร์นิเจอร์ ถนนสิโรรส ตัดกับถนน ณ นคร เขตเทศบาลนครยะลา และเกิดเพลิงลุกไหม้อาคารบ้านเรือนราษฎรที่อยู่ใกล้เคียง โดยเจ้าหน้าที่เร่งควบคุมเพลิง แต่ไฟยังคงลุกไหม้อย่างรุนแรง ซึ่งบริเวณดังกล่าวมีอาคารบ้าน 6-8 หลัง สำหรับร้านเฟอร์นิเจอร์ดังกล่าว ก่อนหน้าเคยโดนวางระเบิดเมื่อ 6 เม.ย. 2557 กระทั่งเกิดเหตุซ้ำอีก

    ขณะที่เจ้าหน้าที่ดับเพลิงและหน่วยกู้ภัยเข้าสนับสนุนระงับเหตุ พร้อมรถดับเพลิงนับสิบคัน เนื่องจากเป็นอาคารไม้เก่าแก่ ทำให้เปลวเพลิงโหมอย่างรวดเร็ว ยากที่จะระงับเพลิงไว้ได้ทันที รายงานเบื้องต้น ยังไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บ หรือเสียชีวิต

    หลังจากนั้นในเวลาไล่เลี่ยกัน มีรายงานว่า เกิดเหตุระเบิดบริเวณหลังห้องน้ำ ตรงข้างร้านหมอนงลักษณ์ ทางไปตลาดเมืองใหม่เขตเทศบาลนครยะลา เบื้องต้นไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บ โดยเจ้าหน้าที่ได้เข้าตรวจสอบและปิดกั้นสถานที่เกิดเหตุ

    ล่าสุดพบว่า เป็นระเบิดแสวงเครื่องน้ำหนักประมาณ 3 กิโลกรัม นำไปวางไว้ด้านหลังห้องน้ำชาย และเกิดระเบิดขึ้น แต่โชคดีขณะเกิดเหตุไม่มีใครเข้าไปใช้บริการ

    ส่วนความคืบหน้า เหตุระเบิดและเกิดเพลิงไหม้ที่ร้านราชาเฟอร์นิเจอร์ ขณะนี้เจ้าหน้าที่สามารถควบคุมเพลิงเอาไว้ได้แล้ว บ้านเรือนร้านค้าได้รับความเสียหายจำนวน 5 หลัง อยู่ระหว่างการตรวจสอบในที่เกิดเหตุของเจ้าหน้าที่ตำรวจพิสูจน์หลักฐานยะลา ในเบื้องต้นพบว่าคนร้ายได้ซุกซ่อนระเบิดไว้ภายในร้านและเพิ่งระเบิดขึ้น เมื่อเช้านี้ ส่วนสาเหตุเป็นการสร้างสถานการณ์ในพื้นที่

    นอกจากนี้ เมื่อเวลา 08.30 น. ขณะที่พ.ต.ท.โสภณ สายสุรีย์ รอง ผกก.ป.สภ.เมืองยะลา นำกำลังตรวจพื้นที่ โดยขณะผ่านตลาดเมืองใหม่ เขตเทศบาลนครยะลา ได้ยินเสียงระเบิดดังขึ้นพบว่าที่เกิดเหตุเป็นร้านขายต้นไม้ชื่อ"บ้านต้นไม้"ตั้งอยู่เลขที่ 17 ถนนภูมาชีพ มีเนื้อที่กว่า 100 ตร.ม. พบว่าภายในร้านตรงจุดระเบิด มีกระถางตกลงมาแตกเกลื่อน พร้อมอุปกรณ์เกี่ยวกับการทำสวนกระจัดกระจาย ไม่มีผู้ใดได้รับอันตราย

    ด้านน.ส.จันทมาศ สุวรรโณ อายุ 32 ปี เจ้าของร้านทราบว่า ขณะกำลังพักผ่อนอยู่ในห้องด้านหลัง ได้ยินเสียงระเบิดดังขึ้น จึงพร้อมด้วยลูกจ้างแตกตื่นวิ่งหนีออกมา ส่วนสาเหตุเจ้าหน้าที่ตำรวจคาดว่า เป็นผลพวงจากการก่อเหตุลอบวางระเบิดเมืองยะลาของกลุ่มผู้ไม่หวังดี พยายามวางระเบิดร้านค้าตลอดจนชุมชนชาวไทยพุทธมาตั้งแต่คืนวันที่ 14 พ.ค.เป็นต้นมา แล้วทยอยระเบิดเกิดเหตุติดต่อกันมาหลายครั้ง.

    โดย ไทยรัฐออนไลน์ 16 พ.ค. 2558

    'โรฮีนจา' ผลพวงจากยุคล่าอาณานิคม สู่ปัญหาที่ไร้ทางออก

    [​IMG]

    ปัญหาผู้ย้ายถิ่นฐานชาวโรฮีนจา ปัญหาที่สืบเนื่องมาจากการที่อังกฤษยึดครองเมียนมา และกลายเป็นปัญหาที่ไม่มีทางออก

    ทำไมทุกประเทศในแถบนี้ ไม่ยอมรับโรฮีนจาให้ขึ้นฝั่งและให้ความช่วยเหลือ โดยเฉพาะโรฮีนจาที่มาจากรัฐยะไข่ ในเมียนมา เพราะเมียนมาประกาศมาตั้งแต่ได้รับเอกราชมาจากอังกฤษเมื่อ 70 ปีมาแล้ว ว่าโรฮีนจาไม่ใช่คนเมียนมา แม้เมียนมาจะประกอบด้วยชนเผ่าต่างๆ เกือบ 140 ชนเผ่า ที่รัฐบาลเมียนมายอมรับว่าเป็นคนสัญชาติเมียนมา แต่เมียนมาไม่เคยยอมรับว่า ชนเผ่าโรฮีนจาเป็นหนึ่งในนั้น ในกฎหมายของเมียนมา ชาวโรฮีนจาไม่ได้รับการนับรวมเป็นชนเผ่าในเมียนมาไม่ใช่พลเมือง และไม่ให้สิทธิต่างๆ ในฐานะพลเมือง ยังถือว่าเป็นผู้อาศัยเท่านั้น และกดดันด้วยวิธีต่างๆ อันสืบเนื่องมากจากเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์

    ความไม่พอใจของเมียนมาที่มีต่อชาวโรฮีนจา มีมาตั้งแต่สงครามกับอังกฤษรวมสามครั้ง สองครั้งแรก อังกฤษยึดเมียนมาล่าง รวมทั้งกรุงย่างกุ้งและเมืองต่างๆ บริเวณทางใต้ ครั้งที่สามอังกฤษตีเมืองมัณฑะเลย์ จับกษัตริย์เมียนมาและครอบครัวไปกักตัวไว้ที่เมืองรัตนคีรีในอินเดียจนตาย พร้อมทั้งยึดเอาทับทิม เพชรพลอยและสิ่งของมีค่า (ที่ราชวงศ์กษัตริย์ของเมียนมาสะสมไว้มากมายหลายหีบ) ไปจากเมียนมาเกือบหมด (พระเจ้าสีบ่อ กษัตริย์องค์สุดท้ายของเมียนมา เขียนจดหมายจากเมืองรัตนบุรีไปยังรัฐบาลอังกฤษหลายฉบับ เพื่อทวงคืนทับทิมและเพชรพลอยที่ถูกทหารอังกฤษแย่งเอาไป แต่ไม่ได้การตอบสนองแต่อย่างใด) และอังกฤษยึดเมียนมาไว้เป็นเมืองขึ้นทั้งประเทศ

    ในการรบกับเมียนมา นอกจากทหารอังกฤษแล้ว อังกฤษยังเอาทหารกูรข่า และพวกโรฮีนจาจากอินเดีย (ปัจจุบันเป็นบังกลาเทศ) มาช่วยอังกฤษรบกับเมียนมา และเมื่ออังกฤษยึดครองเมียนมา ก็เปิดให้คนอินเดียอพยพเข้ามาทำมาหากินและค้าขายในเมียนมาได้สะดวก พวกโรฮีนจาที่มาช่วยรบ ก็ลงหลักปักฐานในเมียนมา และอีกจำนวนมากก็อพยพเข้ามาเพิ่มเติม จนปัจจุบันมีคนโรฮีนจา จำนวน 1.6 ถึง 2 ล้านคนในเมียนมา ซึ่งเมียนมายังถือว่า พวกโรฮีนจาไม่ใช่เมียนมาเดิมและเป็นพวกศัตรู แม้โรฮีนจารุ่นแรกๆ จะล้มหายตายจากไปตามอายุขัยและลูกหลานรุ่นหลังๆ จะเกิดในเมียนมา แต่เมียนมาก็ยังถือว่าไม่มีทางที่จะเป็นคนเมียนมาได้ เป็นเพียงผู้อาศัยชั่วคราว ถ้าออกจากเมียนมาไปแล้ว จะไม่ให้กลับเข้ามาอีกเด็ดขาด

    แม้จะถูกกดดันจากเมียนมา แต่สถานการณ์ในบังกลาเทศก็ยิ่งยากจนกว่า และเป็นประเทศที่มีประชากรหนาแน่น พวกโรฮีนจาที่เกิดในพม่า เมื่อหลบหนีไปประเทศบังกลาเทศ ก็ไม่ได้รับการยอมรับว่าเป็นพลเมือง แม้จะเป็นคนเชื้อชาติเดียวกัน และถือศาสนาอิสลามเหมือนกันก็ตาม มีโรฮีนจาจำนวนมาก ที่หนีไปบังกลาเทศ บังกลาเทศก็ไม่ให้เข้าประเทศ แต่จัดให้อยู่ในแคมป์ผู้ลี้ภัยตามชายแดน ซึ่งยากลำบากมาก และจะกลับเข้าเมียนมา เมียนมาก็ไม่ยอมให้กลับเข้ามา และทำทุกวิถีทางที่จะกำจัดคนพวกนี้ออกไปจากเมียนมา

    ปัญหาจึงอยู่ตรงนี้ว่า คนโรฮีนจาจึงไม่เหมือนผู้ลี้ภัยกลุ่มอื่น และมีจำนวนมากเกือบสองล้านคน ที่อยู่ในความกดดันของเมียนมาอยู่ตลอดเวลา คนลี้ภัยหรือหนีภัยสงครามจากประเทศลาว เขมร เวียดนาม หรือพวกกะเหรี่ยง หรือชนกลุ่มน้อยอื่น ที่เป็นผู้ลี้ภัยชั่วคราว เมื่อภัยนั้นพ้นไป ก็สามารถส่งกลับประเทศได้ เป็นการให้ที่พักพิงลี้ภัยชั่วคราว (แต่ก็เป็นภาระหนักมาก และอย่าไปหวังว่าประเทศอื่นจะเข้ามาช่วย แม้การรับพวกผู้อพยพไปประเทศที่สาม ก็ใช้เวลานานประมาณ 20 ปี โดยคัดเอาแต่คนหนุ่มสาวที่ไปเป็นกำลังแรงงานได้ และมีความรู้ ทิ้งประชากรที่ด้อยคุณภาพไว้ให้ประเทศไทยรับเป็นภาระต่อมาจนทุกวันนี้)

    แต่ผู้ลี้ภัยโรฮีนจาจะเป็นผู้ลี้ภัยถาวร ไม่ว่าประเทศใดที่รับไว้ หมายความว่า ต้องรับไว้ตลอดชีวิตตลอดจนลูกหลานที่จะเกิดตามมาในอนาคต ไม่มีทางที่จะส่งกลับไปได้ และ UNHCR ก็ไม่กล้าออกมาสนับสนุนเงินทุนเหมือนกรณีอื่น เพราะกรณีนี้หากมีการตั้งค่าย จะต้องเป็นค่ายถาวร ไม่รู้ว่าจะจัดการส่งกลับต้นทางได้หรือไม่ (ดูเหมือนว่าจะไม่มีทางทำได้) และจะตั้งค่ายไปตลอดชีวิตจนถึงชั้นลูกหลานได้อย่างไร ใครจะรับผิดชอบเรื่องค่าใช้จ่าย ในที่สุดก็ต้องกดดันประเทศที่รับไว้ให้หาทางเลี้ยงคนพวกนี้ไปจนตาย หรือยอมให้กลายเป็นพลเมือง

    ด้วยเหตุนี้ ทั้งสามประเทศ คือ อินโดนีเซีย มาเลเซีย และไทย จึงไม่กล้าที่จะรับชาวโรฮีนจามาไว้ในประเทศ ที่เข้ามาแล้วก็ผลักดันกันไปด้วยวิธีการนอกระบบ ด้วยการส่งออกไปทางชายแดนพม่า แต่ทั้งสามประเทศไม่ยอมให้เข้ามาในน่านน้ำตัวเอง ได้แต่ส่งน้ำ ส่งอาหาร และซ่อมเรือให้ แล้วผลักดันออกไปในเขตทะเลสากล หรือในน่านน้ำของต่างประเทศ เพราะไม่มีใครกล้ารับภาระที่ไม่รู้จบ ในขณะที่ประเทศเหล่านี้ยังมีปัญหาประชาชนที่ยากจนและเศรษฐกิจที่ย่ำแย่อยู่

    ทางตะวันตกที่เคยเสียงแข็งเรื่องสิทธิมนุษยชน ก็ไม่กล้าเอ่ยปากมากนัก เพราะในยุโรปเอง อิตาลีก็ใช้วิธีกันเรือผู้อพยพไม่ให้เข้ามาในน่านน้ำ เพราะอิตาลีเองก็เจอปัญหาผู้อพยพจากแอฟริกาเข้ามาในอิตาลีจำนวนมาก และได้ร้องขอให้ชาติในยูโรช่วย แต่ก็ถูกทอดทิ้งให้รับภาระตามลำพัง

    ออสเตรเลียที่มักเน้นด้านมนุษยธรรมสูง ก็เจอปัญหาผู้อพยพทางเรือเข้าออสเตรเลียมากมาย จนออสเตรเลียต้องใช้ทหารเรือกันไม่ให้เรือผู้อพยพเข้ามาในน่านน้ำ และใช้วิธีลากเรือผู้อพยพออกนอกเขตน่านน้ำของตนเช่นเดียวกัน หากผู้อพยพจมเรือ ก็จะเอาไปกักกันไว้ในเกาะคริสต์มาส ซึ่งออสเตรเลียถือว่าไม่ได้อยู่ในดินแดนของตน และสร้างค่ายอพยพให้คนเหล่านี้ไว้ และเมื่อไม่ถือว่าอยู่ในดินแดนของตน คนเหล่านี้จึงไม่ได้สิทธิในฐานะผู้ลี้ภัยตามอนุสัญญาว่าด้วยผู้ลี้ภัย (ที่ทั้งออสเตรเลียและอิตาลี เป็นภาคีอนุสัญญานี้ แต่ประเทศในอาเซียนทั้งหมด ไม่มีใครกล้าเป็นภาคี เพราะอนุสัญญานี้ให้สิทธิผู้ลี้ภัยมากมาย และกำหนดให้รัฐบาลที่รับผู้ลี้ภัยไว้ ต้องดูแลผู้ลี้ภัยดีกว่าที่ดูแลประชาชนของตัวเองเสียอีก)

    ประเทศที่เคยทำตัวเป็นผู้ที่มีมนุษยธรรมสูง และชอบตำหนิประเทศอื่นว่าไม่ยอมรับผู้ลี้ภัย ในยุคที่เศรษฐกิจตกต่ำเช่นนี้ ก็ไม่กล้ามีปากเสียงออกมาอย่างเต็มที่ เพราะหากออกหน้ามาก จะถูกสวนทันทีว่า ประเทศนั้นจะรับผิดชอบด้านการเงินไหม และจะรับคนพวกนี้ไปประเทศตัวเองไหม จะได้ส่งให้ทันที

    UN ก็ไม่มีศักยภาพพอ เพราะมองเห็นแล้วว่า หากเข้าไปรับภาระเต็มๆ ด้วยตัว UN เอง ก็ต้องรับภาระทั้งหมด โดยเฉพาะด้านการเงิน ทั้งๆ ที่ UN ก็มีปัญหาด้านการเงินอยู่มากแล้ว จะหาเงินมาใช้แต่ละปีต้องรอประเทศผู้บริจาค ซึ่งมีปัญหามากในภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้ ถ้ามารับงานนี้เต็มตัว UN จะไม่มีเงินมาจ่าย ต้องตัดเนื้อตัวเอง และจะไปไม่รอดในที่สุด

    นอกจากนั้น UN เองก็ไม่มีปัญญาที่จะไปจัดการกับประเทศเมียนมา ให้ลดการกดดันชาวโรฮีนจา และให้รับพวกโรฮีนจากลับ หากเมียนมายอมรับกลับ และอยู่ร่วมกันโดยไม่กดดันชาวโรฮีนจา ปัญหาคงจะน้อยไปกว่านี้เยอะมาก

    อีกประเด็นหนึ่งที่ประเทศในแถบนี้ ไม่กล้ารับโรฮีนจาไว้และดูแลตามมาตรฐานที่ UN กำหนด เพราะยังมีชาวโรฮีนจาอีกล้านกว่าคนที่รอดูอยู่ หากเห็นว่าได้รับการดูแลดี อีกล้านกว่าคน หรืออย่างน้อยหลายแสนคน ก็พร้อมที่จะเดินทางมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของเมียนมา ที่ต้องการไล่ชาวโรฮีนจาออกนอกประเทศอยู่แล้ว

    ปัญหานี้จึงเป็นปัญหาที่ไม่มีทางออก แต่ประเทศในแถบนี้ (อินโดนีเซีย มาเลเซีย ไทย สิงคโปร์ บรูไน) ไม่มีใครกล้ารับพวกนี้ไว้ และปกป้องน่านน้ำของตนเองอย่างหนาแน่น

    ปัญหาต่อไปคือ คนกลุ่มนี้ คือพวกเหยื่อจากการค้ามนุษย์หรือไม่ คำตอบคือ ไม่ใช่ หลักๆ คือ ผู้ที่หลบหนีเข้าเมือง ที่ไปจ้างพวกขบวนการลักลอบพาคนเข้าเมืองให้พาเข้ามายังประเทศที่สาม ซึ่งชาวโรฮีนจาอยากไปมาเลเซียและอินโดนีเซียมากกว่า เนื่องจากเป็นประเทศมุสลิมด้วยกัน การจ้างพวกนี้พาเข้าเมืองโดยมีค่าจ้าง กรณีนี้จึงไม่เป็นการค้ามนุษย์ แต่เป็นการลักลอบพาคนเข้าเมือง ตามข้อสัญญาและพิธีสารว่าด้วยการลักลอบพาคนเข้าเมืองของสหประชาชาติ (Smuggling of Migrants Protocol) เว้นแต่บางคนที่ถูกนำไปค้าประเวณี หรือไปบังคับใช้แรงงาน จึงจะเป็นเหยื่อจากการค้ามนุษย์ ซึ่งมีจำนวนน้อย แม้แต่การที่ถูกจับไปเรียกค่าไถ่ ก็ไม่เข้าข่ายการเป็นเหยื่อในการค้ามนุษย์ แต่เป็นเหยื่ออาชญากรรมข้ามชาติ

    กรณีนี้จึงอยู่ที่ความร่วมมือของทั้งสามชาติหลัก คือ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ไทย ที่จะต้องร่วมมือกันกำจัดกลุ่มที่ร่วมเป็นเครือข่ายการลักลอบพาคนเข้าเมือง ซึ่งมีทั้งคนเมียนมา คนโรฮีนจา คนไทย คนมาเลเซีย และคนอินโดนีเซีย อย่างเด็ดขาด โดยใช้กฎหมายใหม่ของไทย คือ พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ อย่างเด็ดขาด เพราะคนพวกนี้เป็นต้นตอในการนำคนเหล้านี้ให้ลงทะเลข้ามมา และมาตกระกำลำบากอยู่ในเวลานี้ รัฐบาลต้องเอาจริงเอาจังในการปราบปราม และการกำจัดเจ้าหน้าที่ที่ทุจริต และเจ้าหน้าที่ต้องไม่เห็นแก่ได้ ต้องไม่รับเงิน และต้องจัดการปราบปรามอย่างจริงจัง ต้องกวาดล้างให้สิ้น เงินเล็กน้อยที่พวกนี้ได้มาจากการทุจริต แต่จะสร้างภาระให้ประเทศไทยไปชั่วลูกชั่วหลาน

    กรณีนี้จึงเป็นการขัดกับความรู้สึกด้านมนุษยธรรมอย่างมาก เพราะมีชาวโรฮีนจาลอยคออยู่ แต่ไม่มีประเทศไหนกล้ารับไว้ เว้นแต่ UN จะสามารถเจรจากับเมียนมา ให้รับกลับคนเหล่านี้กลับไปอยู่ยังแผ่นดินเกิดของตนเองได้

    วิเคราะห์แล้วก็เหนื่อยแทนครับ กับรัฐบาลคนที่ต้องแก้ปัญหาเหล่านี้ เพราะเป็นปัญหาที่ยากมาก เป็นปัญหาที่ไม่มีทางออก และเป็นปัญหาที่อังกฤษทิ้งไว้ให้เมื่อร้อยกว่าปีที่แล้ว จริงๆ แล้วอังกฤษทิ้งปัญหาไว้ให้เมียนมาอีกหลายเรื่อง เรื่องหนึ่งที่มีผลต่อเนื่อง จนเห็นได้ชัด คือ เรื่องสนธิสัญญาปางหลวง ที่อังกฤษเข้ามาจัดการ จนทำให้เมียนมาต้องรบกับชนกลุ่มน้อยมา 70 กว่าปีแล้ว

    บทความโดย นายวันชัย รุจนวงศ์ อธิบดีอัยการ สำนักงานต่างประเทศ

    โดย ไทยรัฐออนไลน์ 16 พ.ค. 2558

    ที่มา Untitled Document
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 พฤษภาคม 2015
  11. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    แห่กราบสังขาร ‘หลวงพ่อคูณ’ ตั้งบำเพ็ญกุศล มข. สวดอภิธรรม 7 วัน

    [​IMG]

    คนไทยหลั่งไหลไปที่ ม.ขอนแก่น เข้ากราบไหว้สรีระสังขาร ‘หลวงพ่อคูณ’ เช้าวันแรกมาแล้วครึ่งหมื่น คาดช่วงสาย-บ่าย ทะลักแน่ มีกำหนดการเคลื่อนไปตั้งบำเพ็ญกุศลที่ศูนย์ประชุมอเนกประสงค์ฯ ในเวลา 14.00 น. สวดอภิธรรม 18.00 น. วันที่ 17-23 พ.ค.

    ภายหลังจากที่พระเทพวิทยาคม หรือหลวงพ่อคูณ ปริสุทฺโธ เกจิชื่อดัง เจ้าอาวาสวัดบ้านไร่ ต.กุดพิมาน อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา ได้มรณภาพลงที่ รพ.มหาราชนครราชสีมา และต่อมา คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ได้เคลื่อนสรีระสังขาร “หลวงพ่อคูณ” ไปเป็นอาจารย์ใหญ่นักศึกษาแพทย์ ตามเจตนารมณ์ของเทพเจ้าแห่งด่านขุนทด หลังระบุในพินัยกรรมให้ดำเนินการภายใน 24 ชม. โดยได้เคลื่อนย้ายสรีระสังขารไปตั้งที่อาคาร 25 ปี มหาวิทยาลัยขอนแก่น

    ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศในช่วงเช้าวันที่ 17 พ.ค.58 ซึ่งเปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้าเคารพกราบไหว้สรีระสังขาร ได้ตั้งแต่เวลา 06.00 น. ได้มีพุทธศาสนิกชน คณะศิษยานุศิษย์ กว่า 5,000 คน ทั้งจาก จ.ขอนแก่น และทั่วประเทศเดินทางทยอยเข้ามากราบไหว้เคารพสรีระสังขารของหลวงพ่อคูณ จากการสอบถามคนที่มา ส่วนใหญ่บอกว่าหลีกเลี่ยงในช่วงสาย ที่คาดว่าจะมีคนเดินทางมามาก

    สำหรับพิธีในวันนี้ (17.00 น.) เวลาประมาณ 14.00 น. พระสงฆ์สวดมาติกาบังสุกุล เวลา 14.30 น. จะทำการเคลื่อนสรีระสังขารหลวงพ่อคูณ จากศาลา 25 ปี รพ.ศรีนครินทร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ไปยังศูนย์ประชุมอเนกประสงค์กาญจนาภิเษก ซึ่งจะมีพิธีสวดพระอภิธรรมบำเพ็ญกุศล โดยให้ศิษยานุศิษย์และประชาชนผู้เคารพศรัทธาเข้าร่วมในเวลา 18.00 น. ตั้งแต่วันที่ 17-23 พ.ค.58 นอกจากนี้ ในเวลา 09.00 น. จะมีพิธีทำบุญถวายภัตตาหารเพลแด่พระภิกษุสงฆ์ในทุกวันด้วย

    ขณะเดียวกัน ที่ศูนย์ประชุมอเนกประสงค์กาญจนาภิเษก มหาวิทยาลัยขอนแก่น พระสงฆ์ สามเณร จากวัดหนองแวงพระอารามหลวง และนักศึกษามหาวิทยาลัยขอนแก่น ได้ร่วมกันเตรียมดอกไม้จัดวางหน้าสรีระสังขารหลวงพ่อคูณ ที่จะเคลื่อนจากตึก 25 ปี รพ.ศรีนครินทร์ มาถึงศูนย์ประชุมแห่งนี้ ในเวลา 15.00 น.

    ในส่วนของกองอำนวยการงานบำเพ็ญกุศลฯ ได้กำหนดให้ศิษยานุศิษย์และประชาชนทั่วไป เข้ากราบไหว้เคารพศพในเวลา 06.00-22.00 น. ของทุกวัน ขณะที่ผู้มีจิตศรัทธาที่ต้องการถวายจตุปัจจัยไทยธรรมเพื่อนำไปบริหารจัดการพิธีกรรมทางศาสนา หรือการร่วมจัดตั้งโรงทานต่างๆ สามารถติดต่อได้ที่ชั้น 2 ของศูนย์ประชุม กาญจนาภิเษก มหาวิทยาลัยขอนแก่น.

    โดย ไทยรัฐออนไลน์ 17 พ.ค. 2558

    ใต้ป่วนยะลา! บึมอีกร้านค้า ไฟไหม้วอด

    [​IMG]

    โจรใต้เหิมลอบวางระเบิดป่วนเมืองยะลาต่อเนื่องวันเดียวอีก 3 จุดรวด จุดแรกเป็นร้านขายเครื่องเฟอร์นิเจอร์ย่านใจกลางเมือง เกิดระเบิดไฟลุกไหม้รุนแรง ส่งผลให้ตัวร้านกับสินค้าถูกไฟเผาวอด ร้านค้าข้างเคียงถูกไฟลามไหม้เสียหายไปด้วย 2 หลัง จุดที่สอง คนร้ายซุกระเบิดถล่มร้านขายต้นไม้พังเสียหาย ส่วนจุดสุดท้ายลอบวางบึมร้านขายของเด็กเล่นเสียหายยับ ชาวบ้านโดนสะเก็ดบาดเจ็บ 1 ราย ขณะที่ “บิ๊กโด่ง” รมช.กลาโหม และ ผบ.ทบ.เตรียมลงพื้นที่ จ.ยะลา ในวันที่ 17 พ.ค. ติดตามความคืบหน้าสถานการณ์พร้อมกำชับการปฏิบัติหน้าที่ของทหาร-ตำรวจ ทำงานประสานให้เข้มข้นมากขึ้น

    จากเหตุการณ์กลุ่มแนวร่วมโจรใต้เหิมเกริมปฏิบัติการสะท้านเมืองยะลา ลอบวางระเบิดและบุกปาระเบิดป่วนเกือบ 30 จุด ส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บ 20 ราย บ้านเรือน ร้านค้า และทรัพย์สินได้รับความเสียหายจำนวนมาก เบื้องต้นระบุผู้ก่อเหตุต้องการแสดงศักยภาพในกลุ่มของตนเอง และสร้างสถานการณ์ให้เกิดความวุ่นวาย โดย พล.ท.ปราการ ชลยุทธ แม่ทัพภาคที่ 4 ได้เข้าควบคุมสถานการณ์พร้อมสั่งการให้สนธิกำลังติดตามไล่ล่าคนร้าย ขณะที่ พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รมช.กลาโหม และ ผบ.ทบ.ออกมาเปิดเผยรับไม่ได้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เจ้าหน้าที่ปฏิบัติการหละหลวมปล่อยให้คนร้ายหาช่องทางเข้ามาก่อเหตุได้ ทั้งที่มีการแจ้งเตือนและคุมเข้มวางกำลังป้องกันอย่างเต็มที่ พร้อมสั่งกำชับให้กำลังทหารออกตั้งจุดสกัด และขอให้ตำรวจออกมาช่วยดูแล นอกจากนี้ อาจจะต้องมีการแก้ไขปรับปรุงกำลังพลเพื่อแก้ปัญหาในสถานการณ์

    ในขณะที่เจ้าหน้าที่เร่งสืบหาเบาะแสและติดตามไล่ล่ามือระเบิด ปรากฏได้เกิดระเบิดซ้ำอีกครั้งโดยเมื่อเวลา 07.00 น. วันที่ 16 พ.ค. พ.ต.อ.จำลอง สุวลักษณ์ ผกก.สภ.เมืองยะลา ได้รับแจ้งเกิดระเบิดและไฟลุกไหม้ที่ร้านราชาเฟอร์นิเจอร์ ตั้งอยู่เลขที่ 55 บริเวณหัวมุมถนน ณ นคร ต.สะเตง จึงพร้อมด้วย พล.ต.ต.ทนงศักดิ์ วังสุภา ผบก.ภ.จ.ยะลา นำกำลังประสานนายพงษ์ศักดิ์ ยิ่งชนม์เจริญ นายกเทศมนตรีนครยะลา นำรถดับเพลิงรุดไปสกัดเพลิง

    ที่เกิดเหตุเป็นอาคารไม้ 2 ชั้น พบเพลิงลุกไหม้อย่างรุนแรงเนื่องจากตัวร้านและสินค้าเครื่องเฟอร์นิเจอร์ที่เก็บไว้ในร้านส่วนใหญ่เป็นไม้และพลาสติกเป็นเชื้อเพลิงอย่างดี เจ้าหน้าที่ระดมฉีดน้ำสกัดเพลิงอย่างหนัก ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงคุมเพลิงไว้ได้ โดยตัวร้านและทรัพย์สินข้าวของในร้านถูกไฟไหม้วอดวายเป็นเถ้าถ่าน นอกจากนี้ เปลวเพลิงยังลุกลามไหม้ร้านค้าข้างเคียงเสียหายเล็กน้อยไปอีก 2 หลัง เบื้องต้นยังประเมินค่าเสียหายไม่ได้ ส่วนคนในร้านเผ่นหนีตายออกมาได้ทันไม่มีใครได้รับอันตราย

    ในการสอบสวนทราบว่า ช่วงเกิดเหตุเจ้าหน้าที่อส.ที่ตั้งเต็นท์รักษาการณ์อยู่หัวมุมฝั่งตรงข้าม ได้ยินเสียงระเบิดดังขึ้นภายในร้านราชาเฟอร์นิเจอร์ จากนั้นเกิดไฟไหม้ลุกลามขึ้นอย่างรวดเร็ว คาดว่าคนร้ายลอบนำระเบิดแสวงเครื่องแบบตั้งเวลามาซุกไว้ตั้งแต่ช่วงกลางวันของวันที่ 15 พ.ค.ที่ผ่านมา โดยตั้งเวลาให้ระเบิดทำงานในเวลา 07.00 น. กระทั่งเกิดระเบิดไฟลุกไหม้ ส่วนคนร้ายคาดเป็นกลุ่มเดียวกับที่ก่อเหตุระเบิดป่วนเมืองยะลาร่วม 30 จุดตั้งแต่เมื่อคืนวันที่ 14 และวันที่ 15 พ.ค.ที่ผ่านมา

    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับร้านราชาเฟอร์นิเจอร์ เดิมตั้งอยู่เลขที่ 32-32/1 ริมถนนฝั่งตรงกันข้ามกับที่เกิดเหตุ เคยถูกคนร้ายนำรถประกอบระเบิดเป็นคาร์บอมบ์มาจอดบริเวณหน้าร้าน และเกิดระเบิดขึ้นอย่างรุนแรง และเกิดไฟไหม้ลุกลามไหม้ร้านค้าข้างเคียงวอดเสียหายไปร่วม 20 หลัง และมีผู้เสียชีวิต 1 ราย เหตุเกิดเมื่อช่วงบ่ายของวันที่ 6 เม.ย.2557 หลังเกิดเหตุ นายธนากร แซ่โก้ อายุ 62 ปี เจ้าของร้านราชาเฟอร์นิเจอร์ได้มาเช่าบ้านหลังฝั่งตรงกันข้ามเปิดกิจการต่อขายเครื่องเฟอร์นิเจอร์ กระทั่งมาถูกคนร้ายลอบวางระเบิดซ้ำไฟไหม้ร้านวอดอีกครั้ง

    ต่อมาเมื่อเวลา 08.30 น. ขณะที่ พ.ต.ท.โสภณ สายสุรีย์ รอง ผกก.ป.สภ.เมืองยะลา นำกำลังออกตรวจดูแลความเรียบร้อยถึงบริเวณตลาดเมืองใหม่ เขตเทศบาลนครยะลา ได้ยินเสียงระเบิดดังมาจากร้านขายต้นไม้ชื่อ “บ้านต้นไม้”ตั้งอยู่เลขที่ 17 ถนนภูมาชีพ เขตเทศบาลยะลา ตรวจสอบภายในร้านพบกระถางต้นไม้กระเบื้องแตกกระจายเกลื่อน ไม่มีใครได้รับอันตราย สอบสวน น.ส.จันทมาศ สุวรรโณ อายุ 32 ปี เจ้าของร้าน เปิดเผยขณะกำลังพักผ่อนอยู่ในห้องด้านหลังร้าน จู่ๆได้ยินเสียงระเบิดดังขึ้นอย่างรุนแรงในร้าน เจ้าหน้าที่ตำรวจสันนิษฐานเป็นระเบิดแสวงเครื่องแบบตั้งเวลาที่คนร้ายนำมาซุกไว้ในช่วงวันที่ 14-15 พ.ค.ที่ผ่านมา ที่คนร้ายลอบนำมาซุกวางระเบิดป่วนเมืองยะลา กระทั่งมาเกิดระเบิดขึ้น

    อีกราย เมื่อเวลา 13.00 น. ร.ต.ท.พงษ์ศักดิ์ พรหมเกตุ ร้อยเวร สภ.เมืองยะลา ไปตรวจสอบระเบิดที่ร้านขายของเล่นชื่ออังคณาทอย เลขที่ 504 ถนนสิโรรส ย่านตลาดเก่า เขตเทศบาลนครยะลา พบสินค้าส่วนใหญ่เป็นตุ๊กตาถูกแรงระเบิดเสียหายจำนวนหนึ่ง มีผู้บาดเจ็บ 1 รายชื่อ น.ส.นูรา มูซอ อายุ 25 ปี โดนสะเก็ดระเบิดนิ้วกลางเท้าขวาฉีก นำส่ง รพ.ศูนย์ยะลา สอบสวนทราบว่า เจ้าของร้านที่เกิดเหตุชื่อนางอังคณา บุญอำนวยกิจ อายุ 58 ปี ก่อนเกิดเหตุช่วงก่อนเที่ยง มีลูกค้าเข้ามาซื้อของในร้านจำนวนมาก และมีบุคคลต้องสงสัยแต่งกายเป็นหญิงเข้ามาซื้อของในร้าน จากนั้นทำทีขอเข้าห้องน้ำแล้วเดินวนเวียนดูสินค้าในร้าน หลังเดินออกไปได้เกิดระเบิดขึ้น เชื่อว่าคนร้ายเป็นกลุ่มเดียวกับที่ก่อเหตุ วางระเบิดป่วนเมืองยะลาร่วม 30 จุด ตั้งแต่เมื่อวันที่ 14 พ.ค. ต่อเนื่องจนถึงวันที่ 16 พ.ค.ที่ผ่านมา

    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันที่ 17 พ.ค. พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รมช.กลาโหม และ ผบ.ทบ. ในฐานะรองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (รอง ผอ.รมน.) พร้อมคณะจะเดินทางลงพื้นที่ จ.ยะลา เพื่อติดตามความคืบหน้าเหตุการณ์ระเบิดหลายจุดในตัวเมืองยะลา พร้อมทั้งกำชับแผนการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ให้มีความเข้มข้นมากขึ้นในการประสานงาน ระหว่างเจ้าหน้าที่ทหารกับตำรวจ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุซ้ำขึ้นอีก

    โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 17 พ.ค. 2558

    แม่ค้ายะลาครวญ! เกิดระเบิดถี่ยิบ ของขายไม่ได้

    [​IMG]

    แม่ค้าครวญ เหตุระเบิดในเมืองยะลาทำเศรษฐกิจย่ำแย่ คนไม่กล้าออกจากบ้านมาซื้อของ ทั้งหลังเกิดเหตุ ยังมีการปิดเส้นทางเป็นเวลานาน วอนเจ้าหน้าที่เห็นใจด้วย เพราะลูกจะเปิดเทอมแล้ว ขณะที่ ‘อุดมเดช’ ลงพื้นที่ตรวจจุดเกิดเหตุ...

    เมื่อวันที่ 17 พ.ค.58 ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศทั่วไปในพื้นที่เขตเทศบาลนครยะลา ตามย่านการค้า หรือตลาดสดรถไฟ ได้มีประชาชนไปจับจ่ายซื้อของกันบางตา ทำให้พ่อค้าแม่ค้า ต่างบ่นเป็นเสียงเดียวกันว่า หลังเกิดสถานการณ์ความไม่สงบในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา มีเหตุระเบิดเกิดขึ้นกว่า 30 ครั้ง ทำให้เศรษฐกิจในพื้นที่ย่ำแย่ลงอีก เนื่องจากไม่มีผู้คนออกมาจับจ่ายซื้อของ เพราะเกรงจะไม่ปลอดภัย

    นอกจากนี้ ยังมีกระแสข่าวลือว่าเกิดเหตุระเบิดตามที่ต่างๆ อีกหลายลูก ทำให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัว ดังนั้น ทางกองอำนวยการรักษาความมั่นคงจังหวัด ได้ออกหนังสือแจ้งเตือนให้พ่อค้าประชาชนช่วยกันสอดส่องดูแลร้านค้าของตนเองและคนแปลกหน้า ขณะที่เจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ อาสาสาสมัครไทยป้องกันชาติ ได้ร่วมกันตั้งด่านตรวจลอยทุกพื้นที่ เพื่อคอยดูแลความปลอดภัยให้กับประชาชนอย่างเข้มงวด

    นางวรรณี แซ่เจียง แม่ค้าชาวตลาดยะลา กล่าวว่า ขณะนี้พ่อค้าแม่ค้าต่างก็ย่ำแย่ เพราะเกิดเหตุระเบิดทุกวัน ประชาชนไม่กล้าออกมาซื้ออาหารกัน รวมถึงเวลาที่เกิดเหตุระเบิดขึ้น เจ้าหน้าที่มักปิดถนนไม่ให้ประชาชนผ่านไปมา ซึ่งก็ส่งผลกระทบต่อร้านอาหารที่ไม่มีลูกค้าเพราะถูกเจ้าหน้าที่ปิดเส้นทาง

    "การปิดเส้นทางหากใช้เวลาสั้นๆ ก็ไม่มีปัญหา แต่นี่ใช้เวลากว่าค่อนวัน จึงทำให้อาหารที่เตรียมมาขายไม่ได้ แม่ค้าไม่ใช่ข้าราชการที่มีเงินเดือนกิน ต้องหาเงินมาเลี้ยงลูก และโรงเรียนจะเปิดพรุ่งนี้แล้ว วอนขอให้เจ้าหน้าที่เห็นใจพ่อค้าแม่ค้าด้วย"

    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันนี้ (17 พ.ค.) พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม และผู้บัญชาการทหารบก ในฐานะรองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (รองผอ.รมน.) ได้เดินทางมาประชุมเพื่อติดตามสถานการณ์ด้วยตนเอง พร้อมมอบนโยบาย หลังจากนั้น ผู้บัญชาการทหารบกได้เดินทางไปตรวจดูที่เกิดเหตุภายในเขตเทศบาลนครยะลา ก่อนเดินทางกลับในวันเดียวกัน.

    โดย ไทยรัฐออนไลน์ 17 พ.ค. 2558

    เดือดร้อน! ช้างป่าบุกทำลายพืชผลการเกษตรชาวบ้าน

    [​IMG]

    ชาวบ้านใน จ.ชุมพร เดือดร้อนหนัก หลังถูกโขลงช้างป่าบุกรุกล้ำเข้ามาหากินใกล้ชุมชน ทำลายพืชสวน พืชไร่ เสียหาย ด้านนายอำเภอพะโต๊ะ วอนอย่าทำร้ายช้าง เผยเร่งประสานหน่วยงานดำเนินการผลักดันกลับเข้าป่า

    เมื่อวันที่ 17 พ.ค.58 ว่าที่ ร.ต.กิตติภพ รอดดอน นายอำเภอพะโต๊ะ จ.ชุมพร นายสามารถ เลาห์ประเสริฐ สัตวแพทย์ อ.พะโต๊ะ นายโสพล เครือสาย หน.หน่วยพิทักษ์ป่าคลองจาก นายอภิชาต ท่าจีน ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 19 ต.พะโต๊ะ พร้อมเจ้าหน้าที่และชุดรักษาความสงบหมู่บ้าน (ชรบ.) กว่า 10 คน ลงตรวจสอบพื้นที่การเกษตรที่บ้านหลางตาง หมู่ 19 ตำบลพะโต๊ะ หลังมีโขลงช้างป่าลงจากเขามากัดกินและทำลายพืชสวนของชาวบ้านได้รับความเสียหายจำนวนมาก โดยเฉพาะต้นมะพร้าวที่มีความสูง 3-5 เมตร ได้ถูกช้างป่าดันจนโค่นล้มลงมาแล้วกัดกินใบและยอดอ่อนจำนวนหลายต้น นอกจากนั้น ยังมีต้นปาล์ม ต้นหมาก ต้นกล้วย ต้นทุเรียน และต้นกาแฟ เสียหายอีกจำนวนมาก

    นายพินิจ แสงสุรีย์ อายุ 53 ปี อยู่บ้านเลขที่ 83 หมู่ 19 ตำบลพะโต๊ะ อ.พะโต๊ะ กล่าวว่า พืชสวนที่เสียหายส่วนใหญ่จะเป็นมะพร้าว กล้วยและต้นทุเรียน โดยช้างป่าจะลงมาตอนเช้าและตอนบ่าย แล้วหมุนเวียนไปหากินตามสวนของชาวบ้านรายอื่นๆ ด้วย ซึ่งในตอนนี้เริ่มลงมาบ่อยมากทำให้รู้สึกกลัว ไม่ปลอดภัย ที่ผ่านมาชาวบ้านพยายามอดทนมาตลอด ไม่มีใครทำร้ายช้างแต่อย่างใด จึงอยากให้หน่วยงานเกี่ยวข้องเร่งช่วยเหลือผลักดันช้างกลับเข้าป่าโดยเร็วที่สุด

    ว่าที่ ร.ต.กิตติภพ เปิดเผยว่า ปัญหาคือป่าซึ่งเป็นที่อยู่ของช้างถูกชาวบ้านบุกรุกและทำลาย ทำให้ช้างป่าต้องลงมาหากินในพื้นที่เกษตรของชาวบ้าน ซึ่งได้ขอร้องให้ชาวบ้านอย่าทำร้ายช้างอย่างเด็ดขาด หากพบช้างก็ให้แจ้งเจ้าหน้าที่ทันที ขณะนี้หลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้สนธิกำลังออกผลักดันช้างป่าและเฝ้าระวังอยู่ในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งมีอยู่หลายโขลงกว่า 40 ตัว อาศัยอยู่ในเขตป่าพื้นที่ติดต่อระหว่าง อ.พะโต๊ะ อ.ทุ่งตะโก และ อ.หลังสวน ส่วนมาตรการป้องกันระยะยาว จะได้ประชุมทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการอย่างเร่งด่วนต่อไป

    อย่างไรก็ตาม สำหรับปัญหาช้างกับชาวบ้านในพื้นที่ดังกล่าวเกิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่องยาวนานนับ 10 ปีแล้ว แต่ยังไม่สามารถผลักดันช้างกลับคืนป่าได้และขาดความต่อเนื่องในการแก้ไขปัญหา เนื่องจากหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องขาดกำลังเจ้าหน้าที่ อุปกรณ์ งบประมาณที่จะใช้จ่าย ซึ่งที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่มักจะออกเงินส่วนตัวกันเอง จึงทำเกิดปัญหาเรื้อรังยืดเยื้อจนชาวบ้านได้รับความเดือดร้อนมานานหลายปีจนถึงขณะนี้

    โดย ไทยรัฐออนไลน์ 17 พ.ค. 2558

    แผ่นดินไหวในพม่า เขย่าขนาด 3.5 แมกนิจูด ห่างแม่สะเรียง 160 กม.

    [​IMG]

    เกิดแผ่นดินไหวขนาด 3.5 แมกนิจูด ศูนย์กลางอยู่ที่ประเทศเมียนมา ซึ่งห่างจาก อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน 160 กม. เบื้องต้น ยังไม่มีรายงานความเสียหาย ...

    เมื่อวันที่ 17 พ.ค. สำนักเฝ้าระวังแผ่นดินไหว กรมอุตุนิยมวิทยา ได้รายงานว่า เมื่อเวลา 02.04 น. ได้เกิดแผ่นดินไหวขนาด 3.5 แมกนิจูด ซึ่งมีศูนย์กลางอยู่ที่ประเทศเมียนมา ลึกจากผิวดิน 4 กิโลเมตร โดยอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของ อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน ประมาณ 160 กม. เบื้องต้น ยังไม่มีรายงานความเสียหาย

    โดย ไทยรัฐออนไลน์ 17 พ.ค. 2558

    เก็บมือถือไว้กระเป๋าเสื้อ อส.ทพ.ดวงถึงฆาต ถูกฟ้าผ่าดับ

    [​IMG]

    เกิดเหตุฟ้าผ่าใส่ อาสาทหารพราน ฐานบ้านถ้ำเวียงแก ต.นาไร่หลวง อ.สองแคว จ.น่าน เสียชีวิต เผยก่อนเกิดเหตุได้คุยโทรศัพท์มือถือ จากนั้นใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อ ชาวบ้านเร่งช่วยเหลือ แต่ไปเสียชีวิตที่โรงพยาบาล

    เมื่อเวลา 15.45 น. วันที่ 16 พ.ค. มีรายงานว่า ในพื้นที่ จ.น่าน ได้เกิดฝนฟ้าคะนอง มีลมกระโชกแรง และในเขตพื้นที่ บ้านหางทุ่ง หมู่ 3 อ.สองแคว จ.น่าน จากนั้นได้เกิดฟ้าผ่า อส.ทพ.สนิท เชื้อดวงผุย อายุ 59 ปี สังกัดร้อย ทพ.3209 ฐานบ้านถ้ำเวียงแก ต.นาไร่หลวง อ.สองแคว เสียชีวิต โดยสภาพร่างกายมีรอยไหม้ที่อกข้างซ้าย

    จากการสอบถามผู้ที่เห็นเหตุการณ์ดังกล่าว ทราบว่า อส.ทพ.สนิท ได้มานั่งคุยโทรศัพท์ที่บริเวณด้านหน้าร้านค้าของชาวบ้าน เมื่อคุยโทรศัพท์เสร็จ ได้เก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋าเสื้อข้างซ้าย แล้วได้เกิดฟ้าผ่าลงมาที่ตัว อส.ทพ.สนิท ชาวบ้านจึงได้ช่วยกันนำตัว ส่ง รพ.สองแคว และได้เสียชีวิตในเวลาต่อมา

    โดย ไทยรัฐออนไลน์ 17 พ.ค. 2558

    ทั่วไทยยังชุ่มฉ่ำ มีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 20-60 ของพื้นที่

    [​IMG]

    ทั่วไทยบรรยากาศยังคงชุ่มฉ่ำ จะมีฝนร้อยละ 20-60 ของพื้นที่ โดยมีลมกระโชกแรงบางแห่ง คาดซุปเปอร์ไต้ฝุ่น DOLPHIN ทางตอนใต้ของญี่ปุ่น จะอ่อนกำลังเช้าพรุ่งนี้

    เมื่อวันที่ 17 พ.ค. ไทยรัฐ​ ร่วมกับ Weather Company ของสหรัฐอเมริกา รายงานสภาพอากาศ พบว่า ระหว่างวันที่ 17-21 พฤษภาคม 2558 ลมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน และด้านตะวันตกของประเทศไทย จะมีกำลังแรงขึ้น ทำให้ด้านตะวันตกของภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้ฝั่งตะวันตก จะมีฝนเพิ่มขึ้น และมีฝนตกหนักบางแห่ง คลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันตอนบนจะมีกำลังแรงขึ้น โดยมีคลื่นสูง 2 เมตร

    ขณะที่ ซุปเปอร์ไต้ฝุ่นระดับ 5 "DOLPHIN" มีศูนย์กลางบริเวณทางใต้ของประเทศญี่ปุ่น ห่างจากประเทศไทย 3,874 กม. มีความเร็วลมศูนย์กลาง 259 กม./ชม. ทิศทางการเคลื่อนที่ไปทางตะวันตกเฉียงเหนือด้วยความเร็ว 19 กม./ชม. มีแนวโน้มจะคงความเป็นซุปเปอร์ไต้ฝุ่นจะถึงเช้าวันที่ 18 พฤษภาคม 2558 แล้วจะเริ่มลดความเร็วลมศูนย์กลางลงเป็นไต้ฝุ่นระดับ 2 และเปลี่ยนทิศทางไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ เฉียดผ่านทางใต้ประเทศญี่ปุ่นสู่มหาสมุทรแปซิฟิก ในเช้าวันที่ 20 พฤษภาคม 2558 ทั้งนี้ ซุปเปอร์ไต้ฝุ่นดังกล่าว ยังไม่มีผลต่อสภาวะอากาศของไทย

    สำหรับ สภาวะอากาศของประเทศไทย วันนี้มีรายละเอียดดังนี้

    ภาคเหนือ มีฟ้าหลัว และมีอากาศร้อนจัดในบางพื้นที่ มีฝนฟ้าคะนองเป็นแห่งๆ ร้อยละ 20-30 ของพื้นที่ และมีลมกระโชกแรงบางแห่ง ทางตอนบนและด้านตะวันออกของภาค อุณหภูมิ 23-41 องศาเซลเซียส

    ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อากาศร้อน มีฟ้าหลัว มีฝนฟ้าคะนองเป็นแห่งๆ ร้อยละ 30-40 ของพื้นที่ และมีลมกระโชกแรงบางแห่ง อุณหภูมิ 24-38 องศาเซลเซียส

    ภาคกลาง มีฝนฟ้าคะนองเป็นแห่งๆ ร้อยละ 20-40 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง ทางด้านตะวันตกและตอนล่างของภาค

    ภาคตะวันออก มีฝนฟ้าคะนองเป็นแห่งๆ ร้อยละ 30-40 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง ทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร

    ภาคใต้ฝั่งตะวันออก มีฝนฟ้าคะนองเป็นแห่งๆ ร้อยละ 30-40 ของพื้นที่ อุณหภูมิ 23-36 องศาเซลเซียส ทะเลมีคลื่นสูง 1 เมตร

    ภาคใต้ฝั่งตะวันตก มีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 40-60 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง ทะเลอันดามันตอนบน ตั้งแต่จังหวัดภูเก็ตขึ้นมา ทะเลมีคลื่นสูง 2 เมตร ทะเลอันดามันตอนล่างตั้งแต่จังหวัดกระบี่ลงไป ทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร

    กรุงเทพมหานคร จะมีฝนฟ้าคะนองเป็นแห่งๆ ร้อยละ 30-40 ของพื้นที่

    โดย ไทยรัฐออนไลน์ 17 พ.ค. 2558

    ที่มา ข่าวไทยรัฐออนไลน์
     
  12. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    เมือง...ในหมอกควันพิษ


    เผยแพร่เมื่อ 11 มี.ค. 2015​

    เมือง...ในหมอกควันพิษสถานการณ์ในพื้นที่ภ­าคเหนือกำลังอยู่ในขั้นวิกฤตจากหมอกควันพิ­ษที่เกิดจากการเผาป่าและพื้นที่เกษตรกรรม ปัญหานี้กลายเป็นปัญหาตามฤดูกาลไปแล้วและห­นักขึ้นทุกปี โดยไม่มีทีท่าว่าทางการจะแก้ไขได้ เพราะอะไร วิเคราะห์โดย เทพชัย หย่อง (@Thepchaiyong), สุทธิชัย หยุ่น (@suthichai) และ สิรินาฏ สิริสุนทร บก.ข่าวสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิต
     
  13. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    ผื่นแพ้บนผิวหนัง


    เผยแพร่เมื่อ 29 ก.พ. 2012​

    รายการ Moneybiz ตอน อยากรู้หรือไม่...ผื่นแพ้บนผิวหนังของคุณ เกิดจากอะไร โดย พญ. ดวงกมล ทัศนพงศากุล แพทย์เฉพาะทางด้านผิวหนัง โรงพยาบาลเวชธานี
     
  14. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    สมุนไพรรักษาโรคผดผื่นคัน ได้ผลชงัด

    [​IMG]

    [​IMG]

    ยังไม่ทันไร ฤดูหนาวในบ้านเราก็จบลง แล้วถูกแทนที่ด้วยสภาพอากาศแสนร้อนอบอ้าว ซึ่งในฤดูร้อนที่จะถึงนี้ เรามีเรื่องโรคภัยไข้เจ็บมาฝากท่านผู้อ่าน จะได้ระแวดระวังไม่ให้เกิดขึ้นกับตนเองหรือคนรอบข้าง นั่นคือ “โรคผดผื่นคัน” ที่เกิดขึ้นตามผิวหนัง เป็นได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ส่วนมากมักเกิดจากการระคายเคืองที่ผิวหนัง ซึ่งมีสาเหตุหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งกระตุ้นที่เป็นปัจจัยภายนอก เช่น การเสียดสี การถูกเสื้อผ้ากดทับ แพ้เหงื่อ อากาศที่ร้อนจัดหรือหนาวจัด แมลงกัด สารเคมี สบู่ แชมพู ผงซักฟอก ละอองฝุ่น ยาง พืชมีพิษ น้ำหอม โลชั่น เครื่องสำอาง สิ่งทอ เครื่องประดับ และอื่นๆ

    หรืออาจเกิดจากการรับประทานอาหารทะเล ถั่ว เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอลล์ และการรับประทานยา ซึ่งแต่ละคนจะมีความไวในการตอบสนองต่อสิ่งกระตุ้นแตกต่างกันไป ทำให้เกิดปฏิกิริยาต่อต้านที่รุนแรงแตกต่างกัน การตอบสนองต่อการแพ้บางอย่างอาจรุนแรงมากจนทำให้เสียชีวิตได้ เช่น การแพ้ยาหรือสารเคมี

    สำหรับโรคผดผื่นคันที่เกิดจากปัจจัยภายนอก ถ้าเป็นไม่มากสามารถรักษาให้หายได้ด้วยการรับประทานยา การทายาบนบริเวณที่เป็น หรือการประคบเย็นก็สามารถทำให้อาการทุเลาลงได้ แต่ถ้าเป็นมากและรักษาเท่าไหร่ก็ไม่หายขาด จากโรคผดผื่นคันธรรมดาอาจยกระดับกลายมาเป็นโรคผิวหนังอักเสบเรื้อรังหรือลมพิษ คนไข้สามารถสันนิษฐานได้เลยว่าเกิดจากปัจจัยภายในร่างกายของตัวเอง คือระบบภูมิคุ้มกันบกพร่องหรือมากเกินไปที่ทำให้ร่างกายไวต่อสิ่งเร้ามากกว่าคนทั่วไป

    การรักษาโรคผดผื่นคัน ด้วยตัวเอง

    อาการของโรคผดผื่นคันที่เกิดขึ้น จะมีลักษณะได้ 3 แบบ คือ 1.เป็นแค่ตุ่มแดงๆ อาจจะมีอาการคันเล็กน้อย 2.เป็นตุ่มน้ำาใสๆตื้นๆ และ 3.เป็นตุ่มหนอง เมื่อไปพบหมอมักให้ยาทาและยารับประทานช่วย ยาทาก็จะเป็นยาในกลุ่มของยาลดอาการอักเสบ ส่วนยารับประทานก็จะเป็นยาในกลุ่มลดอาการคัน ทั้งนี้ เราสามารถรักษาโรคผดผื่นคันได้ด้วยตัวเอง จากสมุนไพรธรรมชาติ ดังต่อไปนี้

    1.ว่านหางจระเข้ โดยการใช้วุ้นจากว่านหางจระเข้ทาผิวที่ระคายเคืองจากผดผื่นคัน วันละ 2-3 ครั้ง ทั้งนี้ ควรล้างผิวให้สะอาดก่อนทาทุกครั้ง สารอาหารจากว่านหางจระเข้จะช่วยบรรเทาอาการคัน และรักษาโรคผิวหนัง รวมทั้งฟื้นฟูสภาพผิวให้กลับมาสุขภาพดีอีกครั้ง ไม่นานผดผื่นคันก็จะหายไปในที่สุด

    2.ขมิ้นชัน เป็นอีกสมุนไพรที่ดีต่อการรักษาโรคผิวหนัง โดยเฉพาะโรคผดผื่นคัน วิธีการคือให้นำเหง้าสดของขมิ้นชันมาล้างให้สะอาด ตำให้เกิดน้ำแล้วนำมาทาผิว หรืออาจจะใช้ไพลที่มีลักษณะคล้ายกับขมิ้นชัน นั่นคือนำเหง้าไปบดให้ผงแล้วนำไปผสมน้ำก่อนทาผิว หรือใช้เหง้าสดล้างให้สะอาด ฝนกับน้ำแล้วทาผิว

    3.เบคกิ้งโซดา บรรเทาโรคผดผื่นคันได้ดี โดยให้ใช้เบคกิ้งโซดา 2-3 ช้อนโต๊ะ ผสมลงในอ่างอาบน้ำ แล้วลงไปนอนแช่สักพัก จะช่วยลดอาการคันและทำให้รู้สึกสบายขึ้น หรืออาจใช้เบกกิ้งโซดา 3 ช้อนชาผสมกับน้ำสะอาด 1 ช้อนชา คนให้เข้ากัน และนำมาทาผิวบริเวณที่โดนพิษ รอจนเบกกิ้งโซดาแห้ง และหลุดลอกออกเองแล้วค่อยล้างทำความสะอาดด้วยน้ำเปล่าอีกครั้ง

    4.พลู สมุนไพรที่เรายังคงหาซื้อได้ตามท้องตลาดนี้ นอกจากจะนำมาทำอาหารให้ได้รสชาติน่าลิ้มลองแล้ว การนำใบสดๆเพียง 3-4 ใบ มาตำแล้วคั้นเอาน้ำผสมกัลเหล้าโรง ก็สามารถช่วยลดอาการของผดผื่นคันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    5.ฟ้าทะลายโจร สมุนไพรนี้ขึ้นชื่อเรื่องสุขภาพมากมาย หนึ่งในคุณสมบัติที่ดีของฟ้าทะลายโจร คือสามารถนำใบสดมาตำแล้วคั้นเอาน้ำมาทาบริเวณที่มีอาการผดผื่นคัน หรือใช้ลำต้นต้มกับน้ำมันมะพร้าวจนเปื่อย แล้วกรองเอาเฉพาะน้ำยามาทาก็ได้

    6.สะเดา โดยสามารถใช้ได้ทั้งส่วนใบและเปลือกต้นสะเดา เพราะมีคุณประโยชน์สูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผิวพรรณที่คล้ายคลึงกับทีทรีออยล์ เช่น การต้านเชื้อแบคทีเรีย ต้านเชื้อรา และต้านเชื้อไวรัส ช่วยบรรเทาอาการคัน อาการแพ้ของผิว หรือผิวที่แห้ง รวมถึงจัดการกับโรคผดผื่นคันได้อย่างดีเยี่ยม

    ที่มา สมุนไพรรักษาโรคผดผื่นคัน ได้ผลชงัด
     
  15. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    ลุงขาวไขอาชีพ ตอน สบู่เหลวขมิ้นชัน


    เผยแพร่เมื่อ 23 มิ.ย. 2012​

    สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ อ.สุวรรณา กลิ่นเอี่ยม 0876901607 หรือ 023473192 หรือแวะไปชมสินค้าได้ที่ https://www.facebook.com/media/set/?s.
     
  16. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    ลุงขาวไขอาชีพ ตอน ครีมนวดผมมะกรุด


    เผยแพร่เมื่อ 24 มิ.ย. 2012

    สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ อ. สุวรรณา กลิ่นเอี่ยม 0876901607 , 023473192​
     
  17. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    ลุงขาวไขอาชีพ ตอน แชมพูมะกรูด


    อัปโหลดเมื่อ 4 ส.ค. 2009​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 พฤษภาคม 2015
  18. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    ลุงขาวไขอาชีพ ตอน แป้งเย็น


    เผยแพร่เมื่อ 22 มิ.ย. 2012

    สอบถามรายะเอียดเพิ่มเติมได้ที่ อ. สุวรรณา กลิ่นเอี่ยม 0876901607 หรือ 023473192​
     
  19. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    ลุงขาวไขอาชีพ - ปาท่องโก๋


    เผยแพร่เมื่อ 2 เม.ย. 2015

    ลุงขาวไขอาชีพ ตอน ปาท่องโก๋ ขาวละออเภสัช ปราถนาให้คนไทยมีสุขภาพดี และมีอาชีพที่มั่นคง​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 พฤษภาคม 2015
  20. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    ลุงขาวไขอาชีพ - โดนัทจิ๋ว


    เผยแพร่เมื่อ 2 เม.ย. 2015

    ลุงขาวไขอาชีพ ตอน โดนัทจิ๋ว ขาวละออเภสัช ปราถนาให้คนไทยมีสุขภาพดี และมีอาชีพที่มั่นคง​
     

แชร์หน้านี้

Loading...