ข้อความจากต่างมิติ-ก้าวกระโดดทางวิวัฒนาการครั้งยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติ ไปสู่มิติที่ 5

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย Chayutt, 30 มิถุนายน 2010.

  1. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,134
    ค่าพลัง:
    +62,441
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=m4h8vE3412A&feature=share]UFO Galactic Federation of Light - YouTube[/ame]

    ต่อไปนี้เราคงต้องเรียก UFO ว่า IFO กันแล้วนะครับ
    เพราะสามารถระบุได้แล้วว่าเค้าคือ Galactic Federation of Light (GFL)
    นำมาให้ชมกันอีกชุดนึง
    (อาจมีทั้งถูกทำขึ้นและของจริงอยู่ในนี้ ดูกันดีๆนะครับ)
     
  2. lomdadbaimai

    lomdadbaimai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    217
    ค่าพลัง:
    +1,379
    อรุณสวัสดิ์ค่ะ ทุกท่าน

    คุณโอ๋คะขอบคุณนะคะ สำหรับข้อความที่เขียนถึงนะคะ

    ใช่ค่ะ ที่นี่ให้ความรู้สึกเหมือนครอบครัวมากค่ะ แม้เราจะเป็นนักแอบอ่านก็ตามนะคะ ยินดีที่ได้รู้จักทุก ๆ ท่านนะคะ
     
  3. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,134
    ค่าพลัง:
    +62,441
    อรุณสวัสดิ์
    (-: ทักทายทุกๆท่านด้วยครับ :)

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=xHkq1edcbk4&feature=player_embedded"]The beauty of pollination - YouTube[/ame]​

    มีบางคนเขียนถึงเราถามว่า..
    พวกเขาควรจะเชื่อ channelings ทั้งหมดเหล่านี้ได้หรือไม่
    เราวาดภาพอนาคตที่สดใส ในการเรียบเรียงดนตรีโดยแผนการอันศักดิ์สิทธิ์ จะเกิดอะไรขึ้นถ้าทั้งหมดนี้เป็นการหลอกลวง
    หากเป็นพวกอยู่ในมิติที่ต่ำกว่าแต่เสแสร้งว่าเป็นแสงสว่างล่ะ แล้วเราจะถึงวาระนั้นทั้งหมดได้จริงๆหรือไม่

    เราจะขอพูดเพียงว่า จงมองดูรอบๆตัวคุณเถิด
    ดูความงดงามในธรรมชาติ ดูความรักระหว่างผู้คน ดูที่ความบริสุทธิ์ของเด็กๆ
    คุณคิดว่าทั้งหมดนั่นถูกสร้างโดย "พระเจ้าผู้มีความเกลียดชัง" หรือเกิดจาก"พระเจ้าที่เป็นความรัก" กันแน่ล่ะ?
    แน่นอนว่าทั้งหมดนั้นเป็นผลงานจาก "ความรักของพระเจ้า"

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 พฤศจิกายน 2011
  4. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    ขอเล่าอะไรให้ฟังบ้างนะครับ เล่าด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก
    รู้แต่ว่าตัวเองกำลังเปลี่ยนไป และ เปลี่ยนไปด้วยอัตราเร่งยังไงไม่รู้ครับ

    มันเป็นความรู้สึก Love, Praise และ Gratitude พร้อมๆกันหนะครับ

    Love = รัก

    Praise = ชื่นชม ยินดี ยกย่อง สรุปคือ มองเห็นแต่สิ่งดีๆ
    เห็นแต่ความสมบูรณ์แบบของทุกสิ่งทุกอย่าง

    Gratitude = ความรู้สึกสำนึกในบุญคุณ ความรู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณ
    หรือความรู้สึกกตัญญูในทุกสิ่งทุกอย่าง

    ซึ่งทั้งสามความรู้สึกนี้ พวกเราก็เป็นกันอยู่แล้ว เป็นครั้งคราว ใช่ไหมหละครับ
    แต่ถ้าตัวเราเอง "เริ่มสังเกต และ เริ่มตั้งใจ หรือ ตั้งเข็มทิศไว้ ว่าจะมาทางนี้"
    "มันก็จะเกิดมากขึ้น ถี่ขึ้น และชัดเจนมากขึ้นด้วยครับ"

    แรงกระตุ้นผมได้มาจากเวปไซต์ของ Almine ที่บอกว่าการเลื่อนระดับขึ้น
    โดยอาศัยสมองซีกขวา เป็นธรรมชาติมากกว่าสำหรับมนุษย์
    และต้องอาศัยคุณสมบัติทั้งสามที่ว่านั้นเป็นหลัก
    ผมก็เลยเริ่มสังเกตตัวเอง และ เลยเพิ่งเริ่มสัมผัสมันได้ เมื่อไม่กี่วันมานี้เองครับ

    กุญแจสำคัญตัวหนึ่งที่ผมสังเกตดูเอาเองนะ ก็คือ "พอเราเริ่มยอมรับ"
    ว่าเราจะทำแบบนี้แล้วหละ เท่านั้นก็เป็นการเริ่มต้นแล้วหละครับ
    เหมือนข้อความของท่านเทพ Gabriel ที่คุณ mead กำลังจะแปลอยู่เลยครับ

    สรุปโดยรวมก็คือ มันเป็นความรู้สึกที่ไม่มีอะไรจะให้ไปติ หรือ หาข้อบกพร่องเลย
    เพราะว่าอันนี้ก็ดีแล้ว อันนี้ก็เหมาะสมแล้ว อันนี้ก็ถูกต้องแล้ว
    ในแบบของมัน ณ.ขณะนั้นๆ ด้วยสภาวะเงื่อนไข และเหตุปัจจัยแบบนั้น แบบนั้น

    ส่วนความรู้สึกสำนึกบุญคุณนี่ โดยส่วนตัวผม เริ่มที่ร่างกายเนื้อของตัวเองก่อน
    ว่า โอ..พวกเธอ นี่ช่างน่าอัศจรรย์จริงๆ พวกเธอนี่ช่างเก่งจริงๆ
    ขอบคุณพวกเธอเหลือเกิน ที่ทำให้เราได้มีโอกาสมามีประสบการณ์ในฐานะมนุษย์นี้
    ขอบคุณโลกที่สวยสดงดงามใบนี้ ขอบคุณน้องคนนั้น ขอบคุณพี่คนนี้
    ที่ทำให้เราได้มีบทเรียนแห่งการอดทนอดกลั้น แห่งการให้อภัย และ ฯลฯ

    เดี๋ยวเรื่องของความมหัศจรรย์ของร่างกายเนื้อของเรา ที่ทำให้เราต้องทึ่ง
    และต้องขอบคุณ "พวกเขา" (เซลทุกเซลในร่างกายของเรา - พวกเขามีชีวิตจิตใจของพวกเขาเองนะครับ)
    นั้น เดี๋ยวคุณโซ่กำลังจะแปลอยู่นะครับ และคาดว่าคงไปโพสต์ในกระทู้ Inelia

    ส่วนเรื่องความรักนี่..เป็นเรื่องแรกที่ผมพูดไม่ค่อยออก เพราะว่า ยังไงดีหละ
    ถ้ารู้แล้วท่านจะช็อก แต่คุณเดรดรู้นานแล้วครับ ไม่รู้ว่าช็อกไปหรือยังนะ

    คือมันเป็นอะไรที่ ผมเองก็ไม่คาดคิด แต่มันเหมือนเป็น "เทคนิค" หรือ "กลยุทธ"
    อย่างหนึ่ง ที่ใครก็ไม่รู้ อาจจะเป็นเทพผู้นำทางเราก็ได้ ที่ช่วยจัดให้
    คือจัดให้ผมได้อยู่ในสถานการณ์ที่มีแต่ความรักอยู่แทบไม่ขาดระยะเลย
    และมีจนล้นเหลือไปหมด หรือ ถ้าเรียกภาษาชาวบ้านก็น่าจะบอกว่า
    ผมเจ้าชู้มากกกคนหนึ่งเลยทีเดียว

    เมื่อต้นปีที่แล้ว ผมบังเอิญไปตกอยู่ในสถานการณ์แห่งความรักกับน้องสองคน
    แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้วหละครับ กลายเป็นมากกว่านั้นแล้ว
    เพราะคนเก่าก็กลับมาข้องแวะด้วยอีกแล้ว..พูดไปก็เขินนะเนี่ย
    ก็เลยเป็นว่า ผมบอกน้องๆทุกๆคนว่า

    "ไม่มีคำพูดว่ารักที่หลุดจากปากผมคำไหน หรือตอนไหนเลย ที่มันไม่ได้มาจากหัวใจ"

    คือรักทุกคนจริงๆ รักไปหมด รักมากรักมาย ฯลฯ เอ่อ..พอดีกว่านะครับ มาต่อที่เรื่องอื่นดีกว่า

    หลายท่านอาจจะคิด เหมือนที่ผมเคยคิด ว่าความรักแบบชู้สาวนั้น เป็นกิเลส เป็นสิ่งที่ไม่ควรมี
    และเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจ ควรจะระงับเสีย ฯลฯ ใช่ไหมครับ
    แต่พอได้อ่านข้อความของ Almine แล้ว เธอบอกว่า

    จงรักไปเถอะ ไม่ว่าจะ "เริ่มต้น" รักแบบไหนก็ตาม
    แม้แต่ความรักแบบชู้สาวนี้ก็ตาม เพราะว่ามันจะช่วยเปิดใจเรา
    ให้ออกมาสู่ความรักในแบบที่สูงส่งกว่าได้ต่อไป

    คือมันจะมีพัฒนาการต่อไปของมันเอง เพราะเรารู้อยู่แล้วว่าทางของเราคืออะไร
    และถ้าสมมุติว่า "ความรักแบบไม่มีเงื่อนไขต่อทุกสรรพสิ่ง" คือเป้าหมายของเรา
    แต่ แม้แต่การคิดที่จะเริ่มต้นรักแบบเล็กๆน้อยๆ แบบกิ๊กๆก๊อกๆนี้ เรายังไม่กล้าเริ่มเลย
    แล้วมันจะมีพัฒนาการไปได้อย่างไร มันจะเป็นไปได้หรือ ที่อยู่ๆจะหล่นโครมลงไปสู่
    สภาวะแห่งความรักแบบไม่มีเงื่อนไขได้เลย ถ้ายังไม่เริ่มต้นรักใคร หรือ รักอะไรเป็นเลย

    และอย่าลืมอีกคำหนึ่ง ที่ผมได้กล่าวไปแล้ว ก็คือคำว่า Praise นะครับ
    สรุปว่า อะไรก็ถูกต้องหมดนั่นแหละ ในแบบของมันเอง ณ.สภาวะนั้นๆของมัน
    เพราะฉะนั้น ก็ไม่มีอะไรน่าห่วง ไม่มีอะไรที่จะไม่เป็นประโยชน์ในอนาคตเลย
    ทุกๆอย่าง มันเกิดขึ้น มันเป็นไป อย่างมีเป้าประสงค์ของมันทั้งหมด
    ไม่มีความบังเอิญในจักรวาลนี้

    และทุกๆประสบการณ์ก็เป็นไปเพื่อพัฒนาการทางด้านจิตวิญญาณของเราเองทั้งนั้น

    Almine พูดถึงความรู้สึกทั้งสามนี้ไว้ประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจก็คือ
    รัก หรือ ชื่นชมยินดี หรือ รู้สึกขอบคุณ ก็ตาม ถ้ามันเกิดขึ้นในสภาวะ
    ที่เราแยกตัวออกมาอยู่อย่างสันโดษ เงียบสงัดจากสังคม มันจะไม่ "คมกล้า"
    หรือไม่แข็งแรงมั่นคงเท่ากับที่มันเกิดขึ้นกับเรา ผู้ที่กำลังโต้คลื่นอยูท่ามกลางสังคมอันวุ่นวายนี้
    เพราะว่า "ปัญหาอุปสรรค และ ความเจ็บปวด - ความทุกข์ทั้งหลายนั่นแหละ คือครูผู้ยิ่งใหญ่ของเรา"

    เธอว่าประมาณนั้นหนะนะครับ

    ปล.ตอนนี้ความรักของผมกับน้องๆเหล่านั้น กำลังพัฒนาไปสู่ "ความรักแบบไม่มีเงื่อนไข" อยู่หนะครับ"
    มันก็เลยไม่มีอะไรจะทุกข์มากนัก เพราะว่ามันจะสุขและพอใจอยู่กับสภาวะเท่าที่มันเป็นไปได้ในขณะนั้นๆนั่นแหละ
    มันถูกต้องแล้ว มันดีมากแล้ว ที่เป็นไปได้ถึงขนาดนั้น อะไรแบบนั้นหนะครับ...สบายๆ ใสๆ เรื่อยๆ

    ที่สำคัญผมพยายาม "จดจ่ออยู่กับปัจจุบันขณะให้มากที่สุด" โดยเฉพาะที่จักระหัวใจ
    และแผ่ความรักที่รู้สึกอยู่เกือบตลอดเวลานี้แหละ ออกไปสู่สิ่งแวดล้อม-ผู้คน-สรรพชีวิตรอบข้าง

    อาจจะเหมือนกับที่แมทธิวเคยกล่าวไว้ก็ได้นะครับว่า ทุกๆครั้งที่เราคิดถึงใครด้วยความรัก
    พลังงานความรักของเราจะไปถึงคนๆนั้นทันที และจะแผ่ออกไปสู่สิ่งแวดล้อมและโลกด้วย
    ซึ่งโลกก็จะนำพลังงานความรักของเรานี้ไปใช้ในจุดที่ขาดแคลนและจำเป็นต่อไป

    เพราะฉะนั้น ผมถึงรู้สึกขำๆ และถึงได้บอกว่า มันเหมือนเป็นเทคนิกหรือกลยุทธ์ของเทพผู้นำทางของผม
    ที่จะหาวิธีการใดก็ได้ ให้ผม "ผลิตกระแสความรักออกมาให้มากที่สุด" ให้ได้ เท่านั้นเองครับคือประเด็น
    เลยขำตรงที่ว่า

    เออ..นะ เรานี่ก็ถูกหลอกใช้ให้เป็นโรงงานผลิตพลังงานแห่งความรักนี่เอง

    อย่าลืมว่า "ปัจจุบันขณะ คือ จุดที่มีพลังอำนาจมากที่สุดของเรา"
    และคือจุดแห่งการก่อเกิดโลกแห่งความเป็นจริงของเรา
    เพราะฉะนั้น ถ้าเราใส่อะไรลงไป ณ.จุดแห่งปัจจุบันขณะนี้
    ไม่ว่าจะเป็นความคิด หรือ จินตนาการใดๆก็ตาม
    มันก็จะถูกเนรมิตออกมาสู่โลกแห่งความเป็นจริงของเรา
    ได้อย่างรวดเร็วและมีพลังมากกว่าปกติ

    แต่ถ้าหากว่าเราติดเทอร์โบว์ให้มันด้วยการใส่อารมณ์ความรู้สึกที่สอดคล้องกัน
    เข้าไปให้มันด้วยหละก็ นั่นก็จะยิ่งมีพลังมากขึ้นไปอีก

    แต่อย่างไรเสีย วัตถุดิบที่สำคัญมากๆ และ เป็นแรงส่งอันมีพลังอำนาจมากที่สุดในจักรวาล
    ก็คือ "ความรัก" ครับ เพราะฉะนั้น เวลาอยากจะเนรมิตอะไรออกมา
    Almine บอกว่า ให้ใส่ความรักลงไป แล้ว นำมันมาจดจ่อไว้ที่จักระหัวใจ
    แล้วคิด หรือ จินตนาการถึงสิ่งนั้นๆ แล้วก็ใส่อารมณ์ความรู้สึกที่สอดคล้องกันไปด้วย
    ซึ่งทั้งหมดนี้ ต้องทำ "ในปัจจุบันขณะ" ด้วย ถึงจะมีแรงพลังอย่างมากครับ


    ..........................................................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 พฤศจิกายน 2011
  5. tangOAH

    tangOAH เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    3,183
    ค่าพลัง:
    +5,528
    หวัดดีตอนเช้าค่ะคุณลมแดดใบไม้ (ชื่ออบอุ่นที่สุด อิอิอิ)
    กัญญดา ก็คือโอ๋แหละค่ะ ลืมพาสตั้งโอ๋หน่ะ (มึนชีวิตนิดหน่อย)
    รู้สึกใช่มั๊ยคะว่าพลังงานของพวกเราเข้ากันได้(ทุกคนที่เข้ามาแล้วรู้สึกดีกับที่นี่น่ะค่ะ)
    รักคุณนะคะ เข้ามาทักทายกันบ่อยๆนะคะ จะได้รู้สึกว่าครอบครัวเราไม่เงียบเหงาดีออกค่ะ

    :cool::cool::cool:
     
  6. kindred

    kindred เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,753
    ค่าพลัง:
    +5,897
    อ่านข้อความจากใจของคุณชยุตมาถึงตรงนี้แล้ว
    อดไม่ได้ที่ต้องเข้ามาแสดงความคิดเห็นสนับสนุน
    อันนี้ขอยืนยันอย่างแรง

    มันเกิดขึ้นกับตัวเองเมื่อเร็วๆนี้เอง

    ตอนภาวะน้ำท่วมนี่แหล่ะค่ะ
    เดรดต้องอพยพมาทำงานและอาศัยอยู่บ้านพ่อ
    เพราะทั้งบ้านและที่ทำงานถูกน้ำท่วมหมด

    ปกติก็เป็นคนมีภารกิจมากมายอยู่แล้ว อยู่ท่ามกลางผู้คนมากมาย
    มีเวลาส่วนตัวที่ได้ปลีกวิเวกก็เฉพาะเมื่อกลับบ้าน
    แล้วเราก็จะหวงเวลาเหล่านี้มากเพราะมันสบายใจเหลือเกิน

    เดรดไม่ค่อยเปิดตัวออกไปหาผู้คนจะชอบอยู่เงียบๆมากกว่า
    เพราะเวลาที่อยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมมักจะมีอะไรไม่ทราบที่ดึงดูดให้คนเข้ามาหา
    เราเลยรู้สึกอยากพักอยากมีเวลาเป็นตัวของตัวเองมากๆ

    แต่พอต้องมาประสบกับเหตุการณ์ที่เราไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
    ก็รู้สึกเหมือนความสุขตรงนั้นหายไป
    เพราะต้องอยู่กับผู้อื่นตลอดแทบ24 ชั่วโมง

    แต่จริงๆแล้วมันกลัีบเป็นบททดสอบภาคปฎิบัติจริง
    ว่าเราสามารถอยู่อย่างมีความสุขร่วมกับผู้อื่นได้หรือไม่

    สิ่งแวดล้อมและสัมพันธภาพต่างๆจะเป็นตัวบอกว่า
    หน้าที่จริงๆที่เราเลือกมาทำคืออะไรกันแน่

    จึงเพิ่งเข้าใจว่า เราอยู่รอดปลอดภัยมีความสุขอยู่คนเดียวโดดๆนั้นไม่ได้

    หน้าที่จริงๆของจิตวิญญาณมีอย่างเดียว
    คือการมอบความช่วยเหลือที่เต็มไปด้วยความรักให้กับผู้อื่น
    นั่นต่างหากเป็นสิ่งที่เราปรารถนาจริงๆ

    จึงรู้สึกขอบคุณเหตุการณ์และผู้คนในครั้งนี้มากๆ

    บ้านช่องห้องหอสิ่งอำนวยความสะดวกใดๆไม่สนแล้ว
    อยู่ตรงไหน ที่ไหน อยู่อย่างไร ก็ไม่สนแล้ว
    ตอนนี้สนอย่างเดียว วันๆจะได้ทำอะไรที่เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นบ้าง

    ความกลัว และความกังวลต่างๆหายไปหมดสิ้น
    เหลือแต่ความสบายใจและยินดีกับความสุขของผู้อื่น

    ขอบคุณทุกๆสรรพชีวิต ทุกๆสรรพสิ่งจริงๆค่ะ

    ขอขอบคุณอย่างสุดซึ้ง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 พฤศจิกายน 2011
  7. tangOAH

    tangOAH เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    3,183
    ค่าพลัง:
    +5,528
    หนูรักพี่เดรดจังเลยค่ะ
    ขอกอดทีนะคะ จุ๊บๆๆๆๆๆๆๆ


    :cool::cool::cool:
     
  8. kindred

    kindred เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,753
    ค่าพลัง:
    +5,897
    และ ขอขอบคุณความรู้สึกดีๆของน้องโอ๋
    น้องนิวส์ และคุณ naphee นะคะ
    ซาบซึ้งมากค่ะ
    (เรื่องเพลงอะค่ะ...)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 พฤศจิกายน 2011
  9. หนุ่มยาดอง

    หนุ่มยาดอง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กันยายน 2011
    โพสต์:
    678
    ค่าพลัง:
    +680
    หลังจากที่ได้ดู Clip ที่คุณMead นำมาให้ชมแล้ว ผมรู้สึกได้ถึงความรักความห่วงใยจากเพื่อนจากแดนไกล โดยเฉพาะช่วงที่พวกเขาเข้าไปบินอยู่บริเวณแถวเตาปฎิกรณ์ฯ(ประมาณนาทีที่ 8.11 น.) ผมเข้าใจได้อย่างดีถึงความห่วงใยที่มีต่อมนุษย์โลก เค้าอาจจะช่วยยับยั้งการแพร่กระจายของกัมมันตรังสี ไม่ให้มากไปกว่านี้ ผมไม่สนพวกที่บอกว่าพวกเขาจะมายึอครองโลกอะไรพวกนั้นหรอกครับ เพราะผมเข้าใจว่าเข้ามาช่วยเราอย่างแท้จริง

    "ขอความรักสวัสดีจงมีแด่ทุกท่านครับ"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 พฤศจิกายน 2011
  10. lomdadbaimai

    lomdadbaimai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    217
    ค่าพลัง:
    +1,379
    สวัสดีค่ะ คุณ กัญญดา (คุณ โอ๋)

    แหม ชอบรูปแทนตัวคุณจัง มีอย่างน้อยสองอย่างที่เห็นได้ด้วยตานะคะ คือ "แดด" กับ "ใบไม้" ส่วน "ลม" ใช้ความรู้สึกเอาค่ะ (ขอแอบสรุปว่าครบเลยนะคะ)

    ไม่กล้าตอบว่า รู้สึกได้ว่า พลังงานเข้ากันค่ะ แต่รู้สึกว่า มาอ่านที่นี่สนทนากัน มีความสุขมากค่ะ เหมือนได้แสงมาส่องความมืดในใจ ค่อย ๆ สลายลงไปทีละเล็กละน้อยค่ะ

    รักคุณโอ๋ และทุก ๆ ท่านเช่นกันนะคะ
     
  11. tangOAH

    tangOAH เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    3,183
    ค่าพลัง:
    +5,528
    คือโอ๋ไม่ได้มีเซนส์อะไรเป็นพิเศษหรอกค่ะ
    อาศัยว่าทุกอย่างทำจากใจก็เท่านั้น งั้นนนนน........
    โอ๋ขอเหมาเอาว่าที่คุณรู้สึกหน่ะ ก็คือพวกเราในที่นี้เข้ากันได้นะคะ
    เข้ามาแล้วมีความสุข ได้เก็บเกี่ยวสิ่งที่ดีดีกลับไปเสมอเลย
    พวกพี่ๆก็เสียสละกันจังเลย (เป็นเรานอนเล่นสบายกว่ามานั่งแปลตั้งเยอะ อิอิอิ)
    โอ๋เป็นคนชอบสีเขียวค่ะ เลยเลือกรูปนี้ (ดีจังมีคนชอบเหมือนเราเลย)
    แต่พออ่านที่คุณบรรยายมา ทำให้ภาพนี้สวยขึ้นอีกเป็นสิบเท่าเลย ขอบคุณนะคะ รักค่ะ จุ๊บๆๆๆๆ

    :cool::cool::cool:
     
  12. เนธาร

    เนธาร สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    13
    ค่าพลัง:
    +3
    เห็นด้วยกับข้อความของคุณ ถ้าคนทั้งโลกนี้มีความรักที่ปราศจากสิ่งตอบแทนใดๆ โลกนี้ทั้งโลกคงจะมีแต่รอยยิ้ม(f)(f)(f)
     
  13. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,134
    ค่าพลัง:
    +62,441

    อ่านแล้วก็รู้สึกชื่นชมยินดีไปด้วยครับ นี่แหละความรักที่ไม่มีขีดจำกัด
    ช่วงนี้ดูเหมือนคุณชยุตจะมีความสุขมาก...(อบอุ่นดีจริงๆเลย อิอิ)

    ส่วนตัวเชื่อว่าเราสามารถค้นพบวิธีพัฒนาความรักได้ในหลายๆรูปแบบ
    ไม่ว่าจะพบใครหรือพบปัญหาอะไรก็ตามที่อยู่ตรงหน้าเรา
    หากเรามองเห็นความสมบูรณ์แบบและคุณสมบัติที่แท้จริงของสิ่งนั้นได้
    มันก็จะคลี่คลายและมีทางออกต่อไปได้เสมอๆ ไม่มีทางตันหรือติกแหง็กหรอกนะครับ

    ความรักสามารถเกิดได้ทุกเวลา ทุกนาที กับทุกสิ่งทุกอย่าง และทุกๆคน
    ถึงแม้จะมีเงื่อนไขบ้าง ก็เป็นไปตามสภาพความเป็นจริงของมัน
    เดี๋ยวนี้ถ้ามีใครงอนๆไม่พูดด้วย ก็เปล่งแสงสีชมพูออกจากหัวใจให้เขาไปเลย
    แป๊บเดียว เดี๋ยวเขาก็จะดีเหมือนเดิม
    มาเป็นโรงงานผลิตกระแสแห่งความรักด้วยกันเยอะๆครับ อิอิ :cool:
     
  14. axzon47

    axzon47 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    737
    ค่าพลัง:
    +3,155

    ใสๆ นะคับ ใสๆ

    ล้อเล่นครับ ขอบคุณที่มาเล่าสู่กันฟัง ช่วงนี้ก็รู้สึกประมาณนี้แหละครับ แต่อาจจะเบาบางกว่าของคุณชยุต 555
     
  15. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,134
    ค่าพลัง:
    +62,441
    ที่ฟูกุชิม่านั่น เค้าแจ้งมาว่าเขาช่วยระงับไม่ไห้สารกัมมันตรังสีแพร่กระจาย
    ออกไปในวงกว้างทั้งในอากาศและน้ำทะเล ตอนนั้นกิจกรรมเขาเยอะมาก
    จะเห็นภาพข่าวถ่ายทอดสด ที่ติดภาพ IFO จำนวนมากมายในช่วงนั้นนะครับ

    นอกจากพวกเขาจะมาด้วยความรักและการช่วยเหลือทางเทคโนโลยี่แล้ว
    เขาก็มากับวัตถุประสงค์สำคัญที่จะให้มนุษย์โลกได้ตระหนักรู้และตื่นขึ้น
    ให้โผล่พ้นจากความมืดสู่ความจริงที่จริงยิ่งกว่าหรือ "แสงสว่าง"นั่นเองครับ
    โดยร่วมมือกับเหล่าคุรุเทพผู้รู้แจ้ง และพันธมิตรที่อยู่บนโลกอีกส่วนหนึ่ง
    แผนการอันศักดิ์สิทธิ์กับเวลาที่เหลืออยู่นี้ก็ไม่มากนัก ก่อนจะถึงปลายปี 2012

    คงใกล้เต็มทีแล้วล่ะครับ การปรากฎออกจากโหมดพรางตัว เพื่อการติดต่อครั้งแรกอย่างเป็นทางการ
    ถ้าทำสำเร็จ เราจะได้แสดงความยินดีร่วมกันทั่วทั้งโลกล่ะครับ

    แม้ล่าสุดที่ได้มีการส่งคำขอไป 5000 รายชื่อให้รัฐบาลสหรัฐเปิดเผยข้อมูลเหล่านี้
    กลับได้รับการปฎิเสธว่า "ไม่มีหลักฐานสนับสนุนเพียงพอที่จะยืนยันถึงสิ่งมีชีวิตที่อยู่นอกโลก"
    ซึ่งมันเป็นตำตอบจากหน่วยงานระดับเล็กๆในไวท์เฮาส์เท่านั้นเองครับ
    ยังไงก็ตาม การเปิดเผยข้อมูลเหล่านี้ ก็ยังคงถูกนำเสนอต่อไปอย่างต่อเนื่อง
    ภาครัฐก็จะถูกกดดันกันต่อไป...จนกว่าจะยอมรับความจริงอยู่ดี

    "การทำลายดอกไม้หนึ่งดอก ไม่สามารถหยุดยั้งฤดูใบไม้ผลิที่จะมาถึงได้"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 พฤศจิกายน 2011
  16. ไอ้นอกโลก

    ไอ้นอกโลก Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    572
    ค่าพลัง:
    +72
    เข้ามาก็สะดุดความรัก จนหกคะเบนตีหลังกา ไปหลายตลบ555+ผมอ่านเรื่องของพี่ชยุตแล้ว. นึกถึงตัวเองฮะ.. ตั้งแต่ปลายเมษาปี10 จนกระทั่งบัดนี้ ผมมีแต่พลังรักเต็มไปหมดเลยล่ะครับ จนบางครั้งผมก็งงๆกับตัวเอง ว่าไอ้พลังเหล่านี้มันมาจากไหน? เพื่อนคนนึง บอกว่า ผมมาทำหน้าที่เพื่อสร้างพลังรักโดยเฉพาะ ผมก็คิดว่าน่าจะเป็นแบบนั้น55+ มีความสุขจริงๆเลยนะครับ มีความสุขที่เจอเพื่อนๆที่มีจิตวิญญาณเดียวกัน ผมคิดว่าชีวิตนี้จะโดดเดี่ยวซ่ะแร่ะ (แต่บางครั้งก็มีอารมณ์เศร้าแทรกเข้ามาบ้างตามประสาน่ะครับ55+)

    รอฟังเสียงเพราะๆจากคุณเดรตอยู่ครับ คนอะไร? เสียงใสจริงๆเชียว.
     
  17. tangOAH

    tangOAH เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    3,183
    ค่าพลัง:
    +5,528
    เข้ามาช่วยประคองให้ค่ะ เห็นว่าคุณกำลังสะดุดคำว่า "รัก"
    อิอิอิ คุณนี่น่ารักเสมอเลยน้า

    (ปล.พี่เดรดแกเขินค่ะ คงไม่ยอมออกอากาศแล้วหล่ะ เพลงน่ะ)

    :cool::cool::cool:
     
  18. LadyOfLight

    LadyOfLight เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    755
    ค่าพลัง:
    +2,472
    บทความจาก Inelia ผู้มาจากต่างมิติ
    เดือนพฤศจิกายน 2554
    เรื่อง การเป็นมนุษย์มีความหมายอย่างไร?

    ที่มา : http://www.ascension101.com/en/ascension-information/51-november-2011/171-what-it-means-to-be-human.html


    ตอนที่ 1



    การเป็นมนุษย์มีความหมายอย่างไร?


    [​IMG]



    ใครๆก็มักจะพูดเช่นว่า “ฉันเป็นแค่มนุษย์เท่านั้น” หรือ
    “มันเป็นธรรมชาติของมนุษย์(human nature)ที่ทำไปอย่างนั้น”
    โดยส่วนใหญ่แล้วเกี่ยวกับการกระทำในเชิงลบ
    ซึ่งมีคำคุณศัพท์คำเดียวที่ถูกใช้ในเชิงบวก และนั่นก็คือคำว่า “มนุษยธรรม(humane)”

    มีข้อมูลขัดแย้งกันอยู่มากมายในประเด็นที่ว่ามนุษย์เรามาจากไหน
    บ้างพูดว่าเราถูกสรรค์สร้างขึ้นโดยเทพเจ้าองค์หนึ่ง บ้างก็ว่าเราวิวัฒนาการมาจากลิง
    บ้างก็ว่าเราเป็นส่วนผสมโดยบังเอิญ(mishmash)ระหว่างส่วนประกอบทาง DNA ของสิ่งมีชีวิตบนดาวโลกกับเอเลี่ยน

    และธรรมชาติของเรา อันเป็นสิ่งที่บอกว่าเราเป็นสิ่งมีชีวิตแบบมนุษย์ตนหนึ่ง
    ก็กลายเป็นปริศนาให้ได้ขบคิดกันไปด้วยการสร้างกระบวนการอันเป็นระบบระเบียบทางวัฒนธรรม,ศาสนาและสังคม

    ฉันอยากให้พวกคุณได้รู้ว่าความเป็นมนุษย์นั้นมีความหมายอย่างไรตามที่ฉันเข้าใจ
    รวมทั้งอยากให้แง่คิดกับพวกคุณในบทบาทของการเป็นผู้สังเกตเห็นได้คนหนึ่ง
    ซึ่งน่าจะเป็นแง่คิดที่แตกต่างไปจากแง่คิดส่วนใหญ่

    อย่างแรกเลย ฉันมองเห็นว่าสิ่งมีชีวิตแบบมนุษย์ เป็นความสัมพันธ์แบบที่ต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันไประหว่าง
    “ตัวบุคคลหนึ่ง(person)” กับ “ร่างกายของเขาหรือเธอ(body)”
    ร่างกายนั้นมีความคิดรู้(intelligence)เป็นของมันเอง
    รวมถึงมีเส้นทางในการวิวัฒนาการของมันเองด้วย
    ร่างกายมนุษย์ก็คือการสำแดงออกมาเป็นรูปธรรมทางร่างกายซึ่งวิวัฒนาการสูงสุดแล้วของจิตสำนึกรู้แบบพระเจ้า(Divine Consciousness)นั่นเอง

    มันช่างน่าทึ่งที่ความรู้สึก, อารมณ์, การนึกคิด
    และสถานะของการเป็น “สิ่งมีชีวิต” มากมายหลายอย่างเป็นของร่างกายอย่างเดียวเท่านั้น
    รวมไปถึงความกลัวการสูญเสีย หรือโมโหหิวเนื่องจากน้ำตาลในเลือดต่ำ
    หรือการที่ต้องการจะอยู่ใกล้ชิดร่วมกันกับมนุษย์คนอื่น

    ความลับปลีกย่อยอย่างหนึ่งเกี่ยวกับร่างกายมนุษย์
    ซึ่ง “กลุ่มผู้เคยมีอำนาจ” ไม่ต้องการให้พวกคุณรู้ก็คือ
    ร่างกายมนุษย์เป็นสิ่งประดิษฐ์(artifact)ที่ก้าวหน้าขั้นสูงสุดซึ่งปรากฏเกิดอยู่บนดาวเคราะห์โลก
    (และอาจจะในดาวเคราะห์อื่นๆอีกหลายดวงด้วย)
    และเมื่อเรารวมประสานเป็นหนึ่งเดียวกันกับ “ร่างกาย” ของคนอื่นๆเพื่อทำสมาธิหรือทำปฏิบัติการด้านพลังงาน
    มนุษย์เราก็สามารถเคลื่อนย้ายภูเขาหลายๆลูกได้เลย
    พันธุกรรมและการสั่นสะเทือนของเราได้ถูกระงับยับยั้งไว้
    เพื่อหยุดเราจากการได้รู้และการเข้าใช้งานความสามารถทั้งหลายเหล่านี้มานานนับหลายพันปีแล้ว
    และใครก็ตามที่ทำให้ความสามารถเหล่านี้กลับมาทำงานขึ้นได้ใหม่
    เขาเหล่านั้นก็ถูกลงทัณฑ์โดยการเผาทั้งเป็นจนตาย

    ความลับปลีกย่อยอย่างที่สอง ก็คือ ทั้งหมดที่มนุษย์เราต้องทำเพื่อทำให้ความสามารถ
    และทักษะทั้งหลายของร่างกายมนุษย์เปิดทำงานขึ้นมาได้
    คือการเพิ่มระดับการสั่นสะเทือนของเรากับของกายเนื้อขึ้น
    และทั้งหมดที่เราต้องทำเพื่อที่จะบรรลุเช่นนั้นได้ก็คือ
    ขับสิ่งที่เป็นพิษทั้งทางกายเนื้อและทางการสั่นสะเทือนออกไป ทางกายเนื้อทำได้โดยสิ่งที่เรากินและดื่มเข้าไป
    และทางการสั่นสะเทือนทำได้โดยการบริหารจัดการความกลัวของเราเอง
    [การบริหารจัดการความกลัวอ่านเพิ่มเติมได้ที่ http://palungjit.org/threads/inelia-ผู้มาจากต่างมิติ-บทสัมภาษณ์-และบทความจากเธอ-เกี่ยวกับปี-2012-และการ-ascension-ของโลก.293099/ ]

    บุคคล หรือ “วิญญาณ(soul)” คือ
    การสำแดงออกของจิตสำนึกรู้แบบพระเจ้ามาเป็นรูปธรรมที่วิวัฒน์สูงที่สุดในฐานะเป็นสิ่งอื่นอีกสิ่งหนึ่ง

    เป็นธรรมดาที่เมื่อเรามองไปรอบตัวแล้ว เราก็มองเห็นคนอื่นๆแต่ละคนๆ
    รวมทั้งตัวของเราเองด้วยในบางครั้ง ซึ่งต่างก็ไม่ได้ดูวิวัฒน์ไปมากแล้วแม้แต่นิดเดียวเลย

    ตรงนี้เป็นจุดที่เครื่องพรางแห่งความหลงลืมเข้ามาเกี่ยวข้อง
    ซึ่งเพื่อที่จะเล่นเกมอยู่ในระดับของความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะที่ไม่เหมือนกันเลย(singularity)ในดาวเคราะห์ดวงนี้
    เราจึงเลือกที่จะลืมลักษณะความเป็นพระเจ้า(divinity)และความสามารถที่ไร้ขอบเขต(omnipotence)ของเราไป




    ....................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 พฤศจิกายน 2011
  19. LadyOfLight

    LadyOfLight เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    755
    ค่าพลัง:
    +2,472
    บทความจาก Inelia ผู้มาจากต่างมิติ
    เดือนพฤศจิกายน 2554
    เรื่อง การเป็นมนุษย์มีความหมายอย่างไร?

    ที่มา : http://www.ascension101.com/en/ascension-information/51-november-2011/171-what-it-means-to-be-human.html


    ตอนที่ 2



    โครงสร้างของจิตสำนึกรู้แบบเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่สามารถรับสัมผัสรู้สึกได้ทั้งหมดทุกโครงสร้าง
    ไม่ว่าของมนุษย์หรือของสปีชี่ส์อื่นๆก็ตาม ต้องลืมสิ่งที่เป็นแหล่งต้นกำเนิดไว้เป็นค่าเริ่มต้น
    ในขณะที่เรามาเป็นความเป็นเอกลักษณ์จำเพาะตนหนึ่ง
    ระดับของความหลงลืมก็มีแตกต่างกันไปหลากหลายระดับ
    แต่ความหลงลืมนั้นจะมีอยู่ในระดับใดระดับหนึ่งเสมอ

    เหตุผลของการมีชีวิตอยู่บนดาวเคราะห์ก็แตกต่างหลากหลายกันไปด้วยในแต่ละบุคคล ณ จุดนี้
    หลายๆคนก็แค่ต้องการมีชีวิตอยู่ให้สมกับการมีชีวิตไม่ว่าชีวิตนั้นได้นำอะไรมาให้ก็ตาม
    นอกนั้นก็ต้องการ “วิวัฒน์” ไปเป็นสิ่งอื่นบางสิ่ง บางคนที่อาจตระหนักรู้ไปได้มากกว่า
    ก็เลื่อนระดับเข้าสู่สภาวะแห่งชีวิตที่ “สั่นสะเทือนสูงกว่า” สิ่งที่เรามีอยู่ในขณะนี้ไป

    สำหรับตัวฉันเองแล้ว ไม่ใช่ด้วยเหตุผลที่กล่าวมาข้างต้นเลย แต่ฉันอยู่ที่นี่เพื่อทำงานชิ้นหนึ่ง
    งานชิ้นนี้คือการเพิ่มระดับการสั่นสะเทือนของดาวเคราะห์โลก
    กับการสั่นสะเทือนของสิ่งอื่นๆทุกสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องโดยตรงให้สูงขึ้น
    เท่าที่ฉันรู้ได้ ฉันไม่ได้มีชีวิตแบบ “วิญญาณมนุษย์(soul)” หนึ่งตนแบบนี้มาก่อน
    หรือฉันจะไม่มีแบบนี้อีกหลังจากชีวิตแบบวิญญาณมนุษย์ครั้งนี้สิ้นสุดลงไป

    ในขณะเดียวกัน ฉันก็มีประวัติศาสตร์ของตัวเองบนดาวเคราะห์นี้มา 45 ปี
    ส่วนใหญ่ก็เป็นชีวิตที่ธรรมดาๆทั่วไปไม่ได้มีอะไรโดดเด่น
    และฉันก็มีลูกด้วย 4 คน มีพี่น้อง 2 คน และมีเครือญาติกับเพื่อนฝูงมากมาย
    โดยพื้นฐานแล้ว ฉันดำรงชีวิตแบบชีวิต “มนุษย์”

    ฉันใช้ช่วงเวลาส่วนใหญ่ไปในฐานะสิ่งชีวิตแบบมนุษย์คนหนึ่ง
    ซึ่งทำให้ฉันรู้สึกว่ามันเป็นปริศนาเกิดคำถามไปหมดเสียทุกอย่าง
    มันเป็นประสบการณ์ที่ไม่น่าต้องการและไม่น่าอภิรมย์เอามากๆ ตามระดับการได้มาซึ่งประสบการณ์ระดับหนึ่งๆ
    ถึงกระนั้นก็ตาม สิ่งที่ฉัน “รู้สึก(feel)” ได้เกี่ยวกับการปรากฏขึ้นในฐานะความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะก็คือ
    แม้ในระดับ “ตัวบุคคล(personal)” แล้ว มันจะดูไม่สัมพันธ์กันตรงๆเลยเสียทีเดียว
    แต่มันก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า มันเป็นประสบการณ์ที่เป็นประโยชน์อย่างมากต่องานชิ้นที่ฉันมาทำที่นี่

    ความหมายของการเป็นมนุษย์ ณ กาลอวกาศบนดาวโลกที่มีลักษณะจำเพาะเช่นนี้(particular planetary time/space)
    ไม่มีอะไรที่น่าตื่นเต้นมากไปกว่านี้อีกแล้ว
    เพราะว่าในทางหนึ่งนั้น พวกเรามีผู้ที่มาจากดาวดวงอื่นๆและจากมิติอื่นๆที่มาเกิดเป็นมนุษย์ นับจำนวนล้านๆ
    เพื่อที่จะเพิ่มระดับการสั่นสะเทือนของจิตสำนึกสะสมแบบมนุษย์ในช่วงไม่กี่สิบปีที่ผ่านมา
    แต่ในอีกด้านหนึ่งนั้น พวกเราก็มีกลุ่มรวมของสิ่งมีชีวิตที่มีความรู้สึกนึกคิดกลุ่มหนึ่ง
    ที่ดำรงชีวิตอยู่ได้โดยการอาศัยพลังงานที่ผลิตขึ้นโดยมนุษย์เป็นอาหาร ซึ่งเกิดขึ้นมาหลายพันปีแล้วเช่นกัน


    และในขณะที่เราเพิ่มระดับการสั่นสะเทือนของดาวเคราะห์โลกให้สูงขึ้น
    ความเป็นดาวเคราะห์โดยรวมจึงกลายเป็นพิษสำหรับพวกเขาไป
    และพวกเขาก็กำลังทำทุกอย่างที่พวกเขาทำได้
    เพื่อทำให้ “ปศุสัตว์(cattle)” ที่ผลิตอาหารให้พวกเขาไม่ตื่นรู้ขึ้นมา




    .................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 พฤศจิกายน 2011
  20. LadyOfLight

    LadyOfLight เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    755
    ค่าพลัง:
    +2,472
    บทความจาก Inelia ผู้มาจากต่างมิติ
    เดือนพฤศจิกายน 2554

    เรื่อง การเป็นมนุษย์มีความหมายอย่างไร?

    ที่มา : http://www.ascension101.com/en/ascension-information/51-november-2011/171-what-it-means-to-be-human.html


    ตอนที่ 3 จบ



    สงคราม, ความอดอยาก, โรคระบาด(กับความกลัวที่มันนำมาให้)
    ต่างก็เป็นสิ่งที่ขัดต่อธรรมชาติของสปีชี่ส์แบบมนุษย์ไปโดยสิ้นเชิง
    นี่คือเหตุผลที่ทหารซึ่งกลับมาจากเขตพื้นที่สงครามกลายเป็น “คนหดหู่(broken people)”
    มนุษย์เราไม่ได้ถูกสร้างขึ้นเพื่อมีชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีการสั่นสะเทือนต่ำทั้งหลาย

    ความตาย คือประสบการณ์ที่ได้รับจากระดับร่างกายเนื้อเท่านั้น
    ร่างกายตายไปและเน่าเปื่อย แต่ “ความคิดรู้(intelligence)” ของมัน
    เคลื่อนย้ายออกมาและฟอร์มกายเนื้อแบบมนุษย์อีกร่างหนึ่งขึ้น
    “ความเป็นชีวิต/วิญญาณ/ตัวบุคล(The being/soul/person)”
    สามารถเคลื่อนย้ายเข้าและออกจากร่างกายเนื้อของเขาหรือเธอได้
    ทำได้แม้กระทั่งการสลับร่างกายเนื้อ(switch bodies)
    และการถือกำเนิดในร่างกายเนื้อใหม่ในทันทีที่สูญร่างกายเนื้อร่างก่อนไป

    แล้วเหตุใดล่ะ รูปธรรม “เชิงลบ(negative)” ชนิดอื่นเหล่านี้ จึงต้องการให้มนุษย์เราไม่ตื่นรู้?
    ทำไมพวกเขาจึงใช้มนุษย์เราเป็นแบตเตอรี่ส่วนตัว?

    เหตุผลก็คือ ร่างกายเนื้อของมนุษย์เราเป็นสิ่งประดิษฐ์อันน่าทึ่งที่สุดที่ได้ปรากฏเกิดอยู่
    เราไม่เพียงสรรค์สร้างสิ่งต่างๆขึ้นมาในสภาวะโลกแบบสสารทางกายภาพได้เท่านั้น
    แต่เรายังสามารถผลิตพลังงานหรือการสั่นสะเทือนจำนวนมหาศาลขึ้นในร่างกายเนื้อ(กายหยาบ)
    และร่างกายละเอียดแบบต่างๆได้อีกด้วย
    เนื่องจากสิ่งมีชีวิตเชิงลบเหล่านี้ไม่ได้เป็นของ “เมตริกซ์” ของมนุษย์เราโดยพื้นกำเนิด
    พวกเขาจึงจำเป็นต้องรับบางสิ่งบางอย่างเข้าไปหล่อเลี้ยงเพื่อที่จะดำรงอยู่ให้ได้
    และบางสิ่งบางอย่างเหล่านั้นก็คือ ความกลัวและอารมณ์ความรู้สึกที่สั่นสะเทือนต่ำชนิดอื่นๆของมนุษย์เรา

    ในขณะที่ฉันเดินท่องไปตามย่านเมืองใหญ่ ฉันรู้สึกชื่นชมและยำเกรงในสิ่งที่มนุษย์เราสร้างสรรค์ขึ้นมา
    ตั้งแต่สิ่งที่เล็กที่สุดตัวอย่างเช่น หลอดไฟฟ้า ไปจนถึงอาคารสิ่งก่อสร้างทั้งหลายที่น่าทึ่งที่สุด
    และเทคโนโลยีทุกอย่างที่ใช้เพื่อทำให้มันใช้งานได้
    แม้แต่บางสิ่งอย่างรถยนต์ มันก็ช่างน่าทึ่งยามจับตามอง

    มนุษย์เราในฐานะสปีชี่ส์หนึ่ง
    ได้สร้างสรรค์เทคโนโลยีที่ชดเชยความสามารถทั้งหมดซึ่งถูกริบไปจากมนุษย์นานนับหลายพันปีมาแล้วขึ้นได้

    ถึงแม้มนุษย์เราส่วนใหญ่ไม่สามารถสื่อสารกันทางจิตกับอีกคนหนึ่งหรือเป็นกลุ่มได้ในระยะไกล
    แต่โทรศัพท์ก็ถูกสร้างสรรค์ขึ้นมาเพื่อทำให้การสื่อสารในระยะไกลเกิดขึ้นได้สำเร็จ

    แม้ว่ามนุษย์เราส่วนใหญ่ไม่สามารถเข้าไปใช้ประโยชน์ในคลังข้อมูลสะสมรวม(collective databank)เพื่อใช้ข้อมูลและทักษะต่างๆได้
    แต่เราก็สรรค์สร้างอินเทอร์เน็ตอันเป็นที่ซึ่งเราสามารถทำในลักษณะนั้นได้ขึ้นมา

    ถึงแม้มนุษย์เราส่วนใหญ่ไม่สามารถใช้จิตเคลื่อนย้ายคนหรือสิ่งของ(teleport)ข้ามโลกได้ในชั่วขณะเดียว
    แต่เราก็จัดการสรรค์สร้างรูปแบบการขนย้ายที่รวดเร็วมากๆขึ้นมาได้


    จากมุมมองของฉันแล้ว ยังมีอีกมากมายหลายอย่างในเรื่องความหมายของการเป็นมนุษย์ให้ได้เรียนรู้กัน
    ถึงกระนั้น สิ่งหนึ่งที่ฉันรู้ก็คือ
    มนุษย์เราอยู่ที่นี่ ณ รอยต่อทางแยกของกาลอวกาศ(time/space)
    พวกเราทั้งหมดเป็นถึง : มนุษย์ แน่ะ :cool:
     

แชร์หน้านี้

Loading...