ขอเชิญร่วมทำบุญสงเคราะห์พระภิกษุสงฆ์อาพาธ

ในห้อง 'ตลาด พระเครื่องเพื่อการกุศล' ตั้งกระทู้โดย พันวฤทธิ์, 29 พฤศจิกายน 2007.

  1. pon98

    pon98 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +3,886
    เรื่องรูปหลวงปู่ทวดปรากฏขึ้นบนเล็บตามที่พี่ปุ๊นำมาลงให้ชมกันนั้น เป็นเหรียญหลวงปู่ทวดที่ดีมากรุ่นหนึ่ง เพราะเกิดจากเจตนาที่ดีจนหลวงปู่ทวดเมตตาปรากฏภาพของท่านให้เป็นแบบในการแกะเป็นเหรียญ ฉนั้นเหรียญนี้จะมีความใกล้เคียงหลวงปู่มากครับ โดยด้านหนึ่งของเหรียญเป็นรูปพระพุทธประทับใต้ต้นโพธิ์ อีกด้านหนึ่งเป็นรูปหลวงปู่ทวดที่แกะได้สวยเหมือนตามแบบมาก

    เหรียญนี้ผมเคยมีมากและแจกไปจนเกือบหมด แต่พอทราบว่าจะหาได้ที่ไหนท่านใดสนใจpmมาถามได้ครับ แต่ไม่รู้ว่าปัจจุบันหมดไปหรือยังเพราะได้มาหลายปีแล้วครับ

    [​IMG]

    [​IMG]


     
  2. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    911
    ค่าพลัง:
    +4,285
    ขอกราบขอบพระคุณและโมทนาบุญกับทุกท่านด้วยครับที่ได้บริจาคทรัพย์เพื่อทำบุญกับพระสงฆ์ที่ท่านอาพาธเจ็บป่วยกับทางทุนนิธิสงเคราะห์สงฆ์อาพาธ อ.ประถม อาจสาคร

    โมทนา สาธุ โมทนา สาธุ โมทนา สาธุ

    มีข่าวจากคุณ ธณภณ ประธานทุนนิธิสงเคราะห์สงฆ์อาพาธ อ.ประถม อาจสาคร ฝากมาแจ้งให้ทุกท่านทราบว่า ตอนนี้อาการของพี่จิ๋วดีขึ้นเป็นลำดับจนทางคุณหมอที่โรงพยาบาลอนุญาตให้กลับบ้านได้แล้ว ดังนั้นท่านที่จะเดินทางไปเยี่ยมก็คงต้องไปเยี่ยมที่บ้านพี่จิ๋วเลยนะครับ และพี่จิ๋วฝากขอบคุณทุกๆท่านด้วยที่ได้ไปเยี่ยมและสอบถามอาการมา ณ ที่นี้ด้วยครับจึงเรียนมาเพื่อให้ทุกท่านได้รับทราบทั่วกันครับ
     
  3. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    บทความธรรมะในวันหยุด


    <CENTER></CENTER>


    <CENTER>[​IMG]</CENTER><CENTER></CENTER><CENTER></CENTER>ชีวิตไม่ทุกข์ เพราะคิดถูก
    <!-- Main -->
    คนเราคิดตามใจตัวเอง อยากจะได้ตามที่ตัวปรารถนาต้องการ เมื่อไม่สมหวังจึงเกิดความทุกข์ วุ่นวาย เร่าร้อนขึ้น จึงเรียกว่า คิดผิด
    ในทางตรงกันข้าม ถ้าเราคิดเป็นกลางๆ ให้ยอมรับความจริงว่า เราอาจจะสมหวังประสบความสำเร็จก็ได้ หรือเราอาจจะผิดหวังไม่เป็นไปตามที่เราต้องการก็ได้ เพราะเราจะไปบังคับทุกสิ่งให้เป็นไปตามใจที่เราต้องการไม่ได้
    ถ้าเราวางใจเป็นกลาง จิตจึงว่างไมได้ ไม่ไปเป็นทุกข์ เมื่อผิดหวัง ไม่ไปหลงดีใจมากจนเกินไปเมื่อสมหวัง เพราะทุกสิ่งในโลกและขีวิตเรานี้มันต้องเปลี่ยนแปลงไม่แน่นอนอยู่เสมอ
    จงเตรียมตัว เตรียมใจอยู่ตลอดเวลาว่า ทุกสิ่งผ่านมาผ่านไปจะไปยึดถือจริงจังให้มันเป็นเช่นนั้นตลอดไปไม่ได้ เพราะสักวันหนึ่งเราจะต้องสูญเสีย



    <!-- Main -->ฝึกจิตให้สงบเป็นกุศลสูงสุด

    การทำบุญด้วยทรัพย์สินเงินทอง เป็นบุญภายนอกตัวเราถึงจะทำมากมายขนาดไหนก็ตาม เราก็ยังวุ่นวายใจ เร่าร้อน ไม่สบายใจ เพราะว่าไม่ได้ทำบุญภายในตัวเราเอง ซึ่งเป็นบุญที่มีอยู่แล้วในตัวเรา ไม่ต้องเสียเงินเสียทอง ไม่จ้องวิ่งหาไปทำที่อื่น แต่ต้องลงทุนด้วยแรงกาย และฝึกฝนใจ ให้เกิดสติ สมาธิ ปัญญา จึงจะถือว่าเป็นการทำบุญสูงที่สุดในชีวิต และได้มากที่สุด เพราะจะทำให้เราเกิดความสงบผาสุขใจ ไม่หวั่นไหวต่อเหตุการณ์ดี ร้าย ได้ เสีย รู้เหตุของทุกข์ จนถึงวิธีการดับทุกข์ที่เกิดขึ้น จะรู้เท่าทันว่า ที่เราเครียดกลุ้มใจ ก็เพราะเราไปอย่ากได้ ดี มี เป็น ไม่รู้จัก พอนั่นเอง ในเมื่อสิ่งเหล่านั้น เสื่อมสลายหายไปหมดไป เราจึงเสียดายเสียใจ เพราะเราไปหลงคิดว่า มันเป็นของเราไม่น่าจากเราไปเลย รู้สึกผิดหวังสูญเสียแต่ตามความเป็นจริงแล้ว ที่เราสูญเสีย ทรัพย์สินเงินทองนั้น ถือว่า เราเสียเพียงนิดเดียวเอง เพราะว่าอีกหน่อยเราจะต้องสูญเสียมากว่านี้อีก นั่นก็คือเมื่อวันสุดท้ายชองชีวิตมาถึงเราจะต้องเสียแม้กระทั่งร่างกาย ชีวิตนี้ มันจะเป็นวันที่เราสูญสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ได้อะไรจากเงินทองที่เราหามาด้วยความทุกข์ยากเหน็ดเหนื่อยตลอดชีวิต เราต้องไปจากมัน เอาอะไรไปไม่ได้สักอย่างเดียว นอกจาก บาป
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 กันยายน 2008
  4. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    911
    ค่าพลัง:
    +4,285
     
  5. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    911
    ค่าพลัง:
    +4,285
    คำสอนหลวงปู่ทวด
    พูดมาก เสียมาก พูดน้อย เสียน้อย
    ไม่พูด ไม่เสีย นิ่งเสีย โพธิสัตย์


    คำสอนหลวงปู่ฝั้น อาจาโร
    ให้หมั่นเข้าวัดทุกวัน...
    ให้เข้าไปดูในใจตัวเองว่า ขณะนี้เดี๋ยวนี้มันดีมันเลว แค่ไหน
    ไม่ต้องไปเข้าวัดไกล ๆ ที่ไหน ให้หมั่นเข้าไปวัดที่ใจตัวเอง บ่อยๆ


    คำสอนหลวงพ่อสด วัดปากน้ำ
    เมื่อเข้าวัดแล้ว ก็ต้องสร้างพระกันด้วย อย่ามัวแต่สร้างพระภายนอก ให้สร้างพระภายในตัวเองขึ้นมา จะได้พึ่งตัวเองได้

    คำสอนหลวงตาม้า
    เมื่อสร้างพระได้แล้ว ให้อธิษฐานตั้งพระพุทธเจ้าไว้อยู่เหนือหัว
    มีหลวงปู่ทวดและหลวงปู่ดู่ อยู่ซ้ายขวาของพระพุทธเจ้า
     
  6. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    เคยสงสัยมั๊ย บุญ กับ กุศล และ บาป กับ อกุศล ต่างกันยังไง...


    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=700 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top>[​IMG] </TD><TD>[SIZE=+2]ความแตกต่างกันระหว่างบุญกับกุศล/บาปกับอกุศล[/SIZE] </TD></TR></TBODY></TABLE>


    <CENTER><TABLE cellSpacing=10 width=700 bgColor=#853a7b border=0><!"#853A7B"><TBODY><TR><TD align=middle width="100%"><CENTER><TABLE width="100%" bgColor=#bbddff border=0><TBODY><TR><TD colSpan=2>เนื้อความ :
    บาปกับอกุศลนั้น มีความหมายใกล้เคียงกัน ใช้แทนกันได้ มีหลายแห่งที่บาป อกุศล มาด้วยกัน ตามหลังกันมา เช่นในเรื่องปธานคือความเพียร ๔ อย่าง มีเพียรระวังบาปเป็นต้นในที่นั้น พระพุทธเจ้าตรัสว่า

    "ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ ยังความพอใจให้เกิดขึ้น, พยายาม, ปรารภความเพียร, ประคองจิต, ตั้งความเพียร เพื่อความไม่เกิดขึ้นแห่งบาปอกุศลที่ยังไม่ได้เกิด เพื่อละบาปอกุศลที่เกิดแล้ว, เพื่อความเกิดขึ้นแห่งกุศล (ไม่มีคำว่าบุญ) ที่ยังไม่เกิด, เพื่อให้กุศลที่เกิดแล้ว ดำรงอยู่และเจริญบริบูรณ์ยิ่งขึ้นไป"
    (มัคควิภังคสูตร และ อง. จตุก. ๒๑/๒๐/๑๓)
    ****************
    บุญกับศล
    ส่วนคำว่า "บุญกับกุศล" นั้น มีความหมายกว้างแคบ สูงต่ำกว่ากัน บุญมีความหมายแคบและต่ำกว่ากุศล กุศลมีความหมายสูงและกว้างกว่าบุญ บุญเป็นฝ่ายโลกียะอย่างเดียว เป็นฝ่ายวัฏฏคามี (วนเวียนอยู่ในวัฏฏะ) ส่วนกุศลเป็นโลกียะก็มีเป็นโลกุตระก็มี โลกุตรบุญนั้นไม่มี กุศลฝ่ายโลกียะนั้นเท่ากับบุญได้
    บุญเป็นซีกหนึ่งของกุศลคือซีกโลกียะ ตามปกติการให้ทาน รักษาศีล แม้จะให้ทานมากเพียงไร รักษาศีลมากและนานเพียงไร บริสุทธิ์เพียงไรก็ยังอำนวยผลให้เพียงแค่สวรรค์ ๖ ชั้น และมนุษยภูมิเท่านั้น ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ยังเป็นอุปธิเวปักกา (ให้ผลเป็นขันธ์อยู่ เมื่อยังมีขันธ์ก็ยังมีทุกข์) อุปธิ แปลว่า กิเลสก็ได้ ฉะนั้น อุปธิเวปักกา จึงแปลว่ามีผลเป็นกิเลสก็ได้ด้วย เช่นว่าให้ทานรักษาศีลด้วยมุ่งหมายว่าจะได้ไปเกิดเป็นเทพพวกใดพวกหนึ่ง เพื่อได้เสวยกามารมณ์ให้สมอยากโดยไม่ยาก ขณะที่ตั้งความปรารถนานั้นก็เป็นกิเลสตัวโลภะหรือราคะแล้ว เมื่อไปเกิดเป็นเทพสมความต้องการก็เพลิดเพลินในกามคุณอันเป็นทิพย์ กิเลสยิ่งเป็นตัวเหตุของทุกข์ใหญ่ นี่คืออานิสงส์ของฝ่ายบุญ
    คราวนี้มาพูดถึงฝ่ายกุศลบ้าง กุศลนั้น แปลว่า "ฉลาด" หรือตัดกิเลสเหมือนหญ้าคา (กุส แปลว่าหญ้าคา, ล แปลว่า ตัด รวมความว่า กุศล ก็แปลว่า ตัดกิเลสอันเหมือนหญ้าคา) เพราะทำให้ตายได้ยาก ต้องถอนโคนกันจริง ๆ เราจะพบในพระบาลีบ่อย ๆ ว่า "ถอนตัณหาพร้อมทั้งรากได้แล้ว (สมูลํ ตณฺหํ อพฺพุยฺห) เป็นผู้หมดอยาก ดับสนิท (นิจฺฉาโต ปรินิพฺพุโต)
    การเจริญวิปัสสนาเพื่อเห็นไตรลักษณ์แล้วละโลภะ โทสะ โมหะ เสียได้ นั่นแหละเป็นมหากุศล อนึ่ง การให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา หรือทำความดีใด ๆ ก็ตามแล้วมุ่งเอาความสิ้นอาสวะ มุ่งพระนิพพาน มุ่งกำจัดกิเลส ต้องการผลเหมือนกัน แต่ผลที่ต้องการนั้นคือความดับทุกข์โดยสิ้นเชิง ไม่ต้องการเวียนว่ายตายเกิด มุ่งความสิ้นภพ สิ้นชาติ การทำความดีนั้นก็เป็นกุศล เป็นปัจจัยแก่พระนิพพานได้
    บุญกับกุศลมีความต่างกันบ้างเหมือนกันบ้างดังกล่าวมานี้ ในส่วนที่เป็นบุญท่านถือว่าเป็นเครื่องข้องอยู่ เพราะยังอำนวยผลเป็นขันธ์และเป็นกิเลส แม้จะเป็นฝ่ายดีก็ตาม ท่านจึงสอนให้ละเสีย ดังพระพุทธพจน์ที่ว่า
    "โยธ ปุญญญฺจ ปาปญฺจ อุโภ สงฺคํ อุปจฺจคา
    อโสกํ วิรชํ สุทฺธํ ตมฺหํ พฺรูมิ พฺราหฺมณํ"
    ผู้ใดในโลกนี้ละเครื่องข้องทั้ง ๒ คือบุญและบาปได้แล้ว
    เรา (ตถาคต) เรียกผู้นั้น ผู้ไม่เศร้าโศก ปราศจากธุลี
    (คือกิเลส) บริสุทธิ์แล้วว่า เป็นผู้ประเสริฐ"
    (เล่ม ๒๕ ข้อ ๓๖ หน้า ๗๐)
    </TD></TR></TBODY></TABLE></CENTER>



    </TD></TR></TBODY></TABLE></CENTER>

    นำมาจาก
    http://www.larndham.net/cgi-bin/kratoo.pl/005981.htm
     
  7. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body style="FONT: 10pt verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif" vAlign=baseline align=left>อัฐฐิสัญญา เคล็ดวิชา คลำกระดูก โดย หลวงปู่พุทธะอิสระ



    [​IMG]

    นวสีวถิกาบรรพ

    การกำหนดพิจารณาในนวสีวถิกาบรรพนั้น ก็คือการกำหนดพิจารณาดูจากซากศพที่ตายแล้ว เปลี่ยนแปลงไปตามสภาพ สภาวะที่สามารถแบ่งออกได้เป็น ๙ สภาวะ หรือที่เรียกว่า ๙ ป่าช้าก็คือ

    ๑. ศพที่ตายแล้วหนึ่งวัน สองวัน สามวัน ที่ขึ้นพอง มีสีเขียวน่าเกลียด มีน้ำเหลืองหไหลน่าเกลียด
    ๒. ศพที่ทิ้งไว้ในป่าช้าที่ฝูงกา งู นก ฝูงแร้งจิกกิน สุนัขกัดกิน หมู่สัตว์ตัวเล็กๆ ต่างๆ กัดกิน
    ๓. เป็นร่างกระดูก ยังมีเนื้อและเลือด ยังมีเส้นเอ็นผูกรัดอยู่
    ๔. เป็นร่างกระดูก ปราศจากเนื้อ แต่ยังเปื้อนเลือด ยังมีเส้นเอ็นผูกรัดอยู่
    ๕. เป็นร่างกระดูก ปราศจากเนื้อและเลือดแล้ว ยังมีเส้นเอ้นผูกรัดอยู่
    ๖. เป็นกระดูก ปราศจากเส้นเอ็นผูกรัดแล้ว แล้วเรี่ยราด กระจัดกระจายไปในทิศต่างๆ
    ๗. เป็นกระดูกมีสีขาว ดังสีสังข์
    ๘. เป็นกระดูกกองเรียงรายอยู่แล้วเกินปีหนึ่งขึ้นไป
    ๙. เป็นกระดูกผุ เป็นจุณแล้ว

    ซึ่งการพิจารณาในนวสีวถิกานี้ สามารถที่จะแยกการพิจารณาในซากศพแต่ละป่าช้าได้ โดยจะมีการพิจารณาอสุภที่พิจารณาสิ่งที่มีสภาพ สภาวะของสิ่งที่ไม่มีวิญญาณ ตายไปแล้ว มีการแปรเปลี่ยนไปตามลักษณะ นวสีวถิกาบรรพ ที่เรียกว่า อสุภกัมมัฏฐาน (อสุภ, อสุภะ-สภาพที่ไม่งาม, พิจารณาร่างกาายของตนและผู้อื่นให้เห็นสภาพที่ไม่งาม; ในความหมายเฉพาะ หมายถึง ซากศพในสภาพต่างๆ ซึ่งใช้เป็นอารมณ์กรรมฐาน รวม ๑๐ อย่าง คือ ๑. อุทธุมาตกะ ซากศพที่เน่าพอง ๒. วินีลกะ ซากศพที่มีสีเขียวคล้ำ ๓. วิปุพพกะ ซากศพที่มีน้ำเหลืองไหลออกอยู่ ๔. วิจฉิททกะ ซากศพที่ขาดกลางตัว ๕. วิกขายิตกะ ซากศพที่สัตว์กัดกินแล้ว ๖. วิกขิตตกะ ซากศพที่มีมือ เท้า ศีรษะขาด ๗. หตวิกขิตตกะ ซากศพที่คนมีเวรเป็นข้าศึกกัน สับฟันเป็นท่อนๆ ๘. โลหิตกะ ซากศพที่ถูกประหารด้วยศัสตรามีโลหิตไหลอาบอยู่ ๙. ปุฬุวกะ ซากศพที่มีตัวหนอนคลาคล่ำไปอยู่ ๑๐. อัฏฐิกะ ซากศพที่ยังเหลืออยู่แต่ร่างกระดูก)

    ว่าด้วยวิชากระดูก

    การพิจารณาในนวสีวถิกาบรรพนี้ หลวงปู่ได้สอนหลักวิชาต่างๆ ที่เกี่ยวกับกระดูกเอาไว้ ซึ่งผมพอที่จะจดจำ นำมาบอกกล่าวได้บ้าง โดยเริ่มจาก วิชาคลำกะโหลก ซึ่งหลวงปู่ได้สอนไว้เมื่อวันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๔๓ แต่ก่อนจะถึงวิชาคลำกะโหลก หลวงปู่ได้เล่าเรื่องนกแขกเต้าให้ฟังว่า

    ในสมัยพุทธกาล ที่เมืองกุรุ มีพระภิกษุณีเลี้ยงนกแขกเต้าเอาไว้ แล้วสอนนกเแขกเต้าว่า เจ้ามีวาสนามาอยู่ในพระศาสนา ก็ควรจะมีปัญญาเห็นรู้ตามความเป็นจริง แล้วก็สอนคาถาให้นกแขกเต้า โดยให้ท่องว่า "อัฏฐิมิชชัง" อยู่มาวันหนึ่ง มีเหยี่ยวใหญ่กำลังบินอยู่ พอเห็นนกแขกเต้า เหยี่ยวใหญ่ก็บินโฉบลงมานำนกแขกเต้าขึ้นไปในอากาศ นกแขกเต้ากำลังภาวนาอยู่จึงร้อง อัฏฐิมิชชัง!! ขึ้นดังๆ จนไปถึงหูนางภิกษุณี นางภิกษุณีจึงโบกผ้าไล่นกเหยี่ยว ทำให้นกแขกเต้ารอดพ้นจากกรงเล็บเหยี่ยว นางภิกษุณีจึงนำผ้ามารองรับนกแขกเต้า พร้อมกับถามว่า "เดรัจฉาน...ขณะเหยี่ยวใหญ่โฉบลงมา เจ้าคิดอะไรอยู่" นกแขกเต้าจึงบอกว่า "เกล้าหม่อมฉันพิจารณาว่า กระดูกกลุ่มใหญ่ร่อนลงมาโฉบเอากระดูกกลุ่มเล็กขึ้นไปบนอากาศ" นางภิกษุณีจึงถามต่อว่า "แล้วในขณะที่เหยี่ยวปล่อยเจ้าคิดอะไร" นกแขกเต้าจึงบอกว่า "กระดูกกลุ่มใหญ่ปล่อยกระดูกกลุ่มเล็กให้หลุดลงมาจากอากาศ"

    นางภิกษุณีจึงสรรเสริญนกแขกเต้าว่า เจ้าเป็นสัตว์ประเสริฐ รู้จักที่เจริญ อัฏฐิสัญญา ซึ่งหลวงปู่บอกว่าอัฏฐิสัญญานี้อยู่ในข้อของ นวสีวถิกาบรรพ ยังไม่เรียกว่า อสุภะ เพราะอสุภะต้องอธิบายในลักษณะมีของสดติดอยู่ ถ้าดูโครงกระดูกไม่จัดว่าเป็น อสุภะ จัดได้เป็นเพียงการพิจารณา ๙ ป่าช้า เรียกว่า พิจารณาป่าช้าทั้ง ๙ อยู่ในลักษณะป่าช้าที่ ๓ ที่เนื้อหนังหมดแล้ว เหลือแต่โครงกระดูกมีเส้นเอ็นร้อยรัดมองเห็นอยู่

    วิชาคลำกะโหลก

    สิ่งที่ต้องทำคือ ผ่อนคลาย มองที่รูปโครงกระดูก (รูปโครงกระดูก ปกหลังหนังสือ"วิถีแห่งพุทธะ" ที่หลวงปู่เป็นผู้เขียน)มองมันให้ติดตา มองด้วยความว่างๆ ถ้ายังไม่ติดตาและมีอารมณ์ปรากฏ ก็สูดหายใจเข้า ยกอกขึ้น ผ่อนลมยาวๆ แล้วก็สูดเข้าไปใหม่ แล้วก็ผ่อนลมออกมาด้วยความนุ่นวล สุภาพ ขณะที่สูดลมหายใจเข้าก็หลับตา ผ่อนลมหายใจออกมา เมื่อมีสติตั้งมั่นแล้ว ไม่ต้องคิดเรื่องอื่นมองที่โครงกระดูกครูนี้ มองแล้วค่อยจดจำไว้ เสร็จแล้วหลับตา น้อมเอากระดูกนี้เข้ามาอยู่ในร่างกายเรา

    เริ่มต้นจากหัวกะโหลก หลับตาคิดว่าที่หัวกะโหลกมีสภาพเช่นไร ถ้านึกไม่ออกก็ลืมตาขึ้นมาดูใหม่ ถ้าลืมตาและจำได้แล้วก็หลับตา น้อมเอากะโหลกนั้นเข้ามาในกะโหลกเรา ดึงเนื้อดึงหนังให้เหลือแต่กะโหลกของเรา ดูเบ้าตา โหนกคิ้ว โหนกแก้ม ดูทีละจุด ดูให้ชัด เห็นให้ชัด มองให้ชัด ไม่ต้องใส่ใจอะไรทั้งนั้น ไม่ว่าจะลมหายใจ หรือพิจารณาอะไร เอาแค่จับให้ชัดในโครงสร้างของกะโหลกศีรษะ มองให้ชัดเห็นจนกระทั่งติดใจ

    หลับตาเอามือคลำกะโหลก หรือไม่ก็เอาจิตสัมผัส ถ้าคลำแล้วไม่รู้สึกอะไรคือไม่รู้ว่ามันรูปร่างอย่างไร ก็ลืมตามาดูแล้วคลำไปด้วย อย่าไปคลำเนื้อ หนัง เอานิ้วกดลงไปที่กะโหลก เหมือนกับคนนวดศีรษะ คลำให้หนัก บอกตัวเองว่า กะโหลกเราเป็นอย่างนี้นะ ลืมตามาดูให้มันชัด แล้วหลับตาไป การที่มีโอกาสได้ลูบและนวดไปบนกะโหลก จะทำให้เราคลายเครียด คนเป็นโรคไมเกรน ปวดหัว เลือดไม่ไปเลี้ยงสมอง จะหายสนิท ถ้าไม่ชัดก็มาที่หน้าผาก ให้ใช้แทนตาเรา เอาสติจับไว้ที่นิ้ว นิ้วเป็นตา (ใน) แล้วก็คลำมาที่โหนกคิ้ว เอาแค่ความรู้สึกว่าเป็นรูปร่างอย่างไร ลงมาที่เบ้าตา(ไม่ใช่กดที่ตา) คลำที่กระบังตาด้านในด้านล่าง กระบอกตาด้านล่าง ลงไปถึงโหนกแก้ม จมูก ดูให้ชัด ไม่ต้องทำอะไร ไม่ต้องภาวนาอะไร อย่านั่งหลังงอ จะทำให้โครงสร้างผิดรูปแบบ

    น้อมเข้ามาอยู่ในตัวเรา กะโหลกหน้า เบ้าตาของเรา ฟันเรา คางเรา นี่คือแกนกลางของกาย ที่เรารัก ทะนุถนอม เรายื้อแย่ง เราฆ่ากัน เพื่อให้ได้มาซึ่งแค่นี้ เราเอารัดเอาเปรียบ อิจฉาริษยากัน เห็นแก่ตัว สุดท้ายก็เหลือแค่นี้ มองให้ชัด มันอยู่ในตัวเรา เราก็อยู่ในตัวมัน วันนี้เราไม่เห็นมัน (กระดูก) ก็เพราะมีหนังหุ้มอยู่ มีเนื้อ หนัง ปิดอยู่ เส้นเอ็นใหญ่น้อย ร้อยรัดอยู่ มีเลือดหล่อเลี้ยงอยู่ ไม่เห็นความเศร้าหมองของมัน ไม่เห็นข้อเท็จจริงในกายนี้แห่งมัน

    แต่ถ้าเราดึงหนังออก ถลกหนังทิ้ง ล้างเลือดออก ดึงเอ็นหลุด เราก็เห็นสภาพความเป็นจริง ตามความเป็นจริงที่ปรากฏอยู่เฉพาะหน้าเรา ถ้ายังไม่เห็นด้วยตาใน ก็ให้ลืมตา (นอก) มาพิจารณามองมันอีก แล้วน้อมเข้ามาสู่กะโหลกศีรษะเรา เอาเฉพาะหัวก่อนอย่าไปดูที่อื่น ให้ชัดเป็นจุดๆ มองให้ดี มองจนกระทั่งเกิดความรู้สึกว่า (เกิดความรู้สึกเอง) สลด สังเวช เกิดนิพพิทาญาณ (ความรู้ที่ทำให้เบื่อหน่ายในกองทุกข์, ปรีชาหยั่งเห็นสังขารด้วยความหน่าย) คือความเบื่อหน่าย คลายความกำหนัด คลายความทะยานอยาก เราจะรู้สึกว่า

    โอ้หนอ...กายนี้มีสภาพความเป็นจริงปรากฏอยู่เฉพาะหน้า ด้วยมหาสติ ที่รู้เท่าทันมัน เป็นจริง ดั่งที่เห็นด้วยตาเนื้อ ตาใน อย่างนี้ กายนี้ไม่มีอะไรเป็นแก่นสารสาระ ร่างนี้มีสภาพเป็นปฏิกูล พึงรังเกียจ เป็นกระดูกที่ขาวโพลน มีเนื้อ และหนัง ห่อหุ้มอยู่เป็นที่สุดรอบอยู่เท่านั้น ข้างในยังประกอบไปด้วยอะไรเยอะแยะ มากมาย หมักหมม

    แต่ไม่ต้องคิดยาวไปอย่างนั้นก็ได้ เอาแค่กะโหลกขาวๆ ในกายเราให้ช่ำชอง จับภาพไปที่กะโหลกศีรษะ ถ้าไม่รู้จะทำอย่างไรก็นำจิตทั้งหมดมาจับภาพที่กะโหลก ถ้าส่งจิตมาแล้วไม่วอกแวกไปไหน ถือว่าเป็นสมถะ จัดได้ว่าเป็นกสิณสีขาวได้เหมือนกัน ถ้าพิจารณาให้เป็นวิปัสสนา

    ดูแล้วให้เกิดความสงบ รักษาความสงบไว้ให้นาน ไม่ให้กระเพื่อม เหมือนน้ำที่อยู่ในแก้วไม่ทำให้กระฉอก ไม่ทำให้หก ความสงบปรากฏ ก็คือสติตั้งมั่น รักษาสติให้เจริญอยู่อย่างนั้น จิตทุกดวงที่เกิดดับ ก็จะเกิดแต่กุศลแห่งจิต หรือสติที่เป็นกุศล มันจะไม่เป็นมลภาวะเป็นสภาวะแห่งจิต เป็นสภาวะธรรมชาติแห่งความเป็นจริง เป็นส่วนกุศลมูลจิต ที่ควรจะทำให้เจริญขึ้นในปัจจุบันนี้...


    </TD></TR><TR><TD class=body style="FONT: 10pt verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif" vAlign=baseline align=left>การพิจารณาโครงกระดูก

    นั่งดูโครงกระดูก เมื่อดูแล้ว จะติดในสัญญา สัญญาจะทำหน้าที่เก็บมันเอาไว้ สงบด้วย ไม่ต้องมีความคิดใดปรากฏ ว่างๆ เงียบๆ

    นั่งแล้วจัดโครงสร้างให้ตรง สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ผ่อนลมออกยาวๆ ตามสภาพของตัวเอง ทิ้งไว้นิดแล้วสูดเข้าไปใหม่ แล้วก็พ่นลมออกอย่างนิ่มนวล สุภาพ ทิ้งไว้นิดหนึ่ง แล้วสูดเข้าไปใหม่ แล้วพ่นลมออก ทีนี้มองไปที่ภาพโครงกระดูก หัว คอ หน้าอก ซี่โครง แขน ท่อนล่าง ท่อนบน กระดูกมือ นิ้ว หลวงปู่กำลังแนะนำญาณ (ปัญญา) ไม่ได้แนะนำแบบสมถะ คือให้มองเฉยๆ (ไม่มีภาวนา) ให้รู้ว่านี่คือสภาพความเป็นจริงในกายตน กายเขา หรือกายใครๆ แล้วก็หลับตามาค้นหาความเป็นจริงในตัวเรา โดยไล่ไปทีละจุด

    (รายละเอียดการไล่ไปตามจุดต่างๆ มีในเทปที่ทางมูลนิธิธรรมอิสระจัดทำขึ้น)

    เมื่อไล่ท่อนต่างๆ เสร็จ ก็ให้กลับมาพิจารณาให้รู้เห็นตามความเป็นจริง ทำให้เป็นวิปัสสนาได้ คือ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แปรปรวน แล้วก็แตกสลาย

    ไม่ต้องดึงเข้ามาในตัวเรา ให้ค้นหาภายในตัวเราให้ชัด ดูเพียงแค่รู้ความเป็นเช่นไร แล้วมาค้นหาความเป็นจริงที่อยู่ข้างในตัวเรานี้ (หลวงปู่สอนตามหลักวิปัสสนาใช้ปัญญาให้รู้เห็นตามความเป็นจริง) ใช้ตาในค้นหาตัวเรา (อย่าจ้องจนเป็นนิมิต เป็นอุคหนิมิต ถ้าคุมอารมณ์ไม่ได้ จะหวาดกลัว จิตจะวิกลจริต)

    แต่ถ้าอยากให้เป็นสมถะ ให้เป็นฌาน สมาธิ ก็คือ ดูจนจำได้ เพ่งมัน แล้วหลับตา แล้วเพ่งมันอยู่อย่างนั้น จนปรากฏชัด แล้วใช้จิตดูจนให้สามารถพลิกหน้า พลิกหลัง หันซ้าย ขวาได้ จนโครงกระดูกเปลี่ยนจากสีขาวเข้ม เป็นสีขาวงาช้าง ใสขึ้น จนกลายเป็นแก้วผลึก แล้วกระจายออกเป็นท่อน (สมัยก่อนหลวงปู่ทำแล้วเป็นอย่างนี้) เมื่อกระจายออกเป็นท่อนก็จะยุ่ยออกเป็นผุยผง

    ในระหว่างที่หลวงปู่นำพิจารณาโครงกระดูกนั้น ท่านได้กล่าวหลักการที่มีคุณค่าว่า

    ...กระดูกท่อนหนึ่งยืนอยู่ กระดูกกองหนึ่งนั่งอยู่ เมื่อเป็นกระดูกแล้วฟุ้งซ่านได้อย่างไร เมื่อเป็นกระดูกแล้วหงุดหงิดรำคาญได้อย่างไร เมื่อเป็นกระดูกแล้วเจ็บปวดได้อย่างไร เมื่อเป็นกระดูกแล้วชอบใจ ไม่ชอบใจได้อย่างไร เมื่อเป็นกระดูกแล้วตัวเราอยู่ที่ไหน ที่ฟุ้งซ่าน ชอบใจ ไม่ชอบใจ กลัดกลุ้ม หงุดหงิด รำคาญ สุขและทุกข์ เพราะคิดว่า เราไม่มีกระดูก

    กระดูกไม่มีง่วง กระดูกไม่มีเมื่อย กระดูกไม่มีเครียด กระดูกไม่มีฟุ้งซ่าน..

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    http://www.agalico.com/board/showthread.php?t=8432
     
  8. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    ผู้ปฏิบัติธรรม เป็นผู้มีบุญสูงสุด (สมเด็จพระญาณสังวรฯ)

    <HR SIZE=1><TABLE class=ncode_imageresizer_warning id=ncode_imageresizer_warning_1 style="BORDER-RIGHT: rgb(204,204,204) 1px solid; BORDER-TOP: rgb(204,204,204) 1px solid; BORDER-LEFT: rgb(204,204,204) 1px solid; CURSOR: pointer; COLOR: rgb(0,0,0); BORDER-BOTTOM: rgb(204,204,204) 1px solid; BACKGROUND-COLOR: rgb(255,255,225); webkit-background-clip: initial; webkit-background-origin: initial" width=288><TBODY><TR><TD class=td1 style="PADDING-RIGHT: 2px; PADDING-LEFT: 2px; PADDING-BOTTOM: 2px; FONT: 10px verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif; VERTICAL-ALIGN: middle; PADDING-TOP: 2px; TEXT-DECORATION: none" width=20></TD><TD class=td2 style="FONT: 10px verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif; VERTICAL-ALIGN: middle; TEXT-DECORATION: none"></TD></TR></TBODY></TABLE>[​IMG]



    เกิดมาพบพระพุทธศาสนาเป็นผู้มีบุญอย่างยิ่ง แต่ผู้ปฏิบัติพระพุทธศาสนา คือปฏิบัติให้จริงตามที่สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนเป็นผู้มีบุญสูงสุด

    พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่ประเสริฐสุด ไม่มีที่เปรียบได้ เพราะพระพุทธศาสนาเท่านั้นที่จะพาไปให้รู้จักพลังพิเศษ คือความคิดที่สามารถทำลายความทุกข์ได้ ตั้งแต่ทุกข์น้อย จนถึงทุกข์ทั้งปวง จนถึงเป็นผู้ไกลทุกข์สิ้นเชิง ไม่มีเวลากลับมาให้เป็นทุกข์อีกเลย ตลอดไป

    ผู้มีพลังพิเศษพาหนีทุกข์ได้ พาดับทุกข์ได้ พาพ้นทุกข์ได้ คือผู้มีความคิดพิเศษ และความคิดพิเศษนี้เกิดได้จากความรู้จักปฏิบัติพระพุทธศาสนาเท่านั้น

    พลังแห่งความคิดพิเศษ หรือความคิดพิเศษนั่นเอง ที่เป็นผู้ช่วยยิ่งใหญ่ พร้อมที่จะช่วยทุกคนที่รู้ค่าของความพิเศษ ที่ยอมรับยอมเชื่อ ว่าความคิดพิเศษนั้นมีอำนาจใหญ่ยิ่งจริง อาจพาให้พ้นทุกข์ได้จริง ทั้งทุกข์น้อยทุกข์ใหญ่ จนถึงทุกข์สิ้นเชิง

    จะทุกข์หรือไม่ทุกข์ อยู่ที่ความคิดของตนเองนี้เป็นสัจจะ คือเป็นความจริงแท้ ไม่ว่าผู้ใดจะเชื่อหรือจะไม่เชื่อก็ตาม ก็เป็นความจริง ผู้ใดจะทุกข์หรือไม่ทุกข์ อยู่ที่ความคิดของผู้นั้น

    ไม่มีผู้ใดที่ไม่ปรารถนาความไม่มีทุกข์ ทุกคนล้วนปรารถนาความไม่มีทุกข์ แต่ไม่ทุกคนที่ยอมรับความจริง ว่าการที่หนีความทุกข์ไม่พ้นนั้นเป็นเพราะคิดไม่เป็น ถ้าคิดให้เป็นจะไม่มีความทุกข์ใดใกล้กรายได้เลย เพราะความคิดนั้นแหละคือกำลังสำคัญที่สามารถทำไม่ให้ทุกข์เกิดได้

    ความคิดไม่เป็น หรือความคิดไม่ถูก ของตนเองเท่านั้น ที่ทำให้ความทุกข์กลุ้มรุมใจตน ไม่มีการกระทำคำพูดของผู้ใดอื่นจะอาจทำให้ความทุกข์กลุ้มรุมใจใคร ถ้าใครนั้นเป็นผู้รู้จักคิดให้เป็น รู้จักคิดให้ถูก ความคิดจึงสำคัญนัก ความคิดจึงมีพลังนัก มีอิทธิพลนัก ต่อชีวิตจิตใจผู้คนทั้งปวง ไม่เลือกชาติชั้นวรรณะ ไม่เลือกสูงต่ำ ร่ำรวยหรือยากดีมีจนเพียงใดก็ตาม

    ผู้ปรารถนาความเบิกบานสำราญใจไม่เศร้าหมองร้อนรนด้วยความทุกข์ พึงเห็นความสำคัญของความคิดให้มาก เห็นให้จริงใจว่า ความคิดของใครก็ตามที่ถูกต้องเป็นธรรมจะนำไปสู่ความเบิกบานสบายใจแน่นอน สมดังที่ปรารถนาอยู่ทุกเวลานาที



    : สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
    : แสงส่องใจ วัดบวรนิเวศวิหาร ๓ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๓๗


    ที่มา http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=14661


     
  9. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    [​IMG]

    วจีสุจริต

    เว้นจากการพูดเท็จ
    เว้นจากการพูดส่อเสียด
    เว้นจากการพูดคำหยาบ
    เว้นจากการพูดเพ้อเจ้อเหลวไหล

    คือแม้ว่าจะเป็นความจริง
    แต่หากว่าเป็นคำส่อเสียดก่อให้เกิดความแตกร้าว

    เช่นนำความข้างนี้ไปบอกข้างนั้น
    นำความข้างนั้นมาบอกข้างนี้

    เพื่อจะยุให้ทั้งสองฝ่ายแตกกัน
    แม้จะเป็นความจริงที่ไม่ควรพูด
    เพราะทำให้เขาแตกกัน
    เข้าในพวกส่อเสียด

    หรือแม้ว่าเป็นคำหยาบ
    ไม่ได้มุ่งจะหลอกลวงให้เข้าใจผิด
    แต่ว่าเป็นคำหยาบคาย
    เช่นเป็นคำด่าว่า
    เป็นสัตว์ดิรัจฉานอย่างโน้นอย่างนี้ อะไรเป็นต้น

    หรือแม้วาจาอย่างอื่นซึ่งเป็นการกล่าว
    กดให้เลวลง

    ซึ่งทุกคนก็รู้ว่าไม่ได้เป็นเช่นนั้น
    และก็ไม่ได้มุ่งที่จะหลอก
    แต่ว่ากล่าวด้วยความโกรธ

    ด้วยความเหยียดหยาม
    ต้องการจะกดเขาให้เลว
    ก็ไม่ควรพูด

    และแม้ว่าเป็นคำที่เพ้อเจ้อเหลวไหล
    ไม่เป็นธรรม ไม่เป็นวินัย
    ไม่มีขอบเขตจำกัด หาสาระแก่นสารมิได้
    หรือว่ามีสาระแก่นสารน้อยเกินไป
    ก็เป็นคำไม่ควรพูด

    วจีทุจริต

    วาจาเช่นที่กล่าวมานี้ คือ
    การพูดเท็จก็ดี
    การพูดส่อเสียดก็ดี
    การพูดคำหยาบก็ดี
    การพูดเพ้อเจ้อเหลวไหลก็ดี

    ก็นับว่าเป็น วจีทุจริต คือ
    การพูดที่เป็นทุจริตเสมอกัน

    เพราะฉะนั้นแม้เป็นความจริง
    ก็ไม่ใช่ว่าเป็นข้อที่ควรพูดเสมอไป
    ต้องอยู่ในขอบเขตอันสมควร

    : ทศบารมีและทศพิศราชธรรม
    : สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก

    ====

    การให้ธรรมเป็นทาน เป็นทานสูงสุด
    ผู้ให้ให้ด้วยความเมตตา หวังบุญกุศลในธรรมทาน

    หากให้ด้วยความไม่เมตตา
    ท่านไม่เรียกธรรมทาน

    http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=14180
     
  10. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    เฮ้อ...วันนี้ กลุ้มใจ จัง... คำสอนจากหลวงพ่อปัญญา ครับ ธรรมะที่นำมาฝากยามสายๆ ของวันอาทิตย์<HR> <TABLE cellSpacing=20 width="85%" border=0><TBODY><TR><TD class=postbody vAlign=top>
    [​IMG]

    สาธุเคยมีคนหลายคนมาบอกว่ากลุ้มใจ
    ถามว่ากลุ้มเรื่องอะไร...บอกไม่ถูกกลุ้มเรื่องอะไร
    นี่แหละคือ การไม่ได้คิดค้นหาเหตุผลในเรื่องที่เรากลุ้มใจ

    ถ้าเรากลุ้มใจ เราต้องคิดแล้ว กลุ้มเรื่องอะไร
    อย่า เอาแต่บ่นกลุ้มๆ อยู่ตลอดเวลา
    แต่เอาเรื่องกลุ้มนั้นมาพิจารณา เพื่อให้รู้ว่ากลุ้มใจเรื่องอะไร
    แล้วเราก็ จะได้คิดแก้ไขต่อไป
    ถ้าเราแก้เองไม่ไหว เราก็ไปหาผู้รู้
    ผู้เข้าใจในปัญหาชีวิต ให้ช่วยชี้แนะแนวทางในการแก้ไขปรับปรุงต่อไป
    ถ้าหากว่าเราทำได้อย่างนี้บ่อยๆ เราจะมีปัญญาแหลมคมขึ้น
    สามารถจะรู้แจ้งแทงตลอดในเรื่องปัญหาอะไรต่างๆ
    ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เพราะเรามีปกติวิเคราะห์อย่างนั้น
    พิจารณาเรื่องนั้นอยู่เสมอๆ ไม่ปล่อยให้ผ่านพ้นไปเฉยๆ


    จะยกตัวอย่างให้เห็นง่ายๆ เช่นว่าเรากลุ้มใจเรื่องของหาย
    เรามีอะไรที่เราใช้สอยอยู่จะเป็นแหวนเป็นสายสร้อยหรืออะไรก็ตามใจ
    มันหายไปแล้วเราไม่รู้ว่ามันหายไปอย่างไร ไม่มีโอกาสที่จะเอาคืนมาได้
    เขาบอกว่า ให้ไปแจ้งความก็ไปแจ้งไว้ตามเรื่อง
    ตำรวจก็บันทึกไปตามเรื่องแล้วไม่มีทางจะได้ของคืนมา
    แต่ว่าเรานั่งกลุ้มใจ นึกถึงทีไรแล้วก็กลุ้มขึ้นมา เป็นทุกข์ขึ้นมา
    บางทีก็ทุกข์เอามากๆ เพราะว่ารักมาก
    สิ่งใดรักมากก็ทุกข์มากเป็นธรรมดา รักน้อยก็ทุกข์น้อย
    ถ้าเราไม่รักเลยมันหายไปเราก็ไม่สนใจอะไร นี่มันอยู่ตรงนี้


    ทีนี้เรามาคิดว่า เราเป็นทุกข์เพราะนาฬิกาเราหาย
    ก็ไม่รู้ว่าใครเอาไป เราก็นั่งกลุ้มใจเป็นทุกข์เป็นร้อน
    ถ้าเราเอาแต่กลุ้มมันจะได้อะไรขึ้นมา ไม่ได้อะไร
    นอกจากว่าได้ความทุกข์ ได้ความระทมตรมตรอมใจ
    นั่นมันเป็นวิธีการที่ถูกต้องหรือ
    เป็นวิธีการของพุทธบริษัทหรือ เป็นวิธีการของผู้มีปัญญาหรือ
    ที่มานั่งกลุ้มอกกลุ้มใจอย่างนั้น...ไม่ใช่..
    มันเป็นวิธีการของผู้ไม่มีปัญญา ไม่มีความเข้าใจในเรื่องอะไรที่ถูก
    ต้องตามสภาพที่เป็นจริง จึงได้มานั่งกลุ้มอยู่ในรูปอย่างนั้น

    ถ้าเราได้ศึกษาธรรมะไว้บ้าง พระท่านบอกว่าต้องพิจารณาในเรื่องนั้น
    เอาเรื่องที่เรากลุ้มนั้นมาแยกแยะออกไป ว่ามันคืออะไร
    เราก็ยกปัญหามาคิดว่า เอ๊ะ..มันเรื่องอะไร
    กลุ้มใจเรื่องของหาย แล้วของนั้นมันเป็นของใคร
    ก็โลกเขาสมมติว่าเป็นคนนั้นคนนี้สมมติว่าเป็นของฉัน
    เราก็ตอบตัวเองว่าของฉัน

     
  11. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    พุทธะ เกิดที่ใจ เกิดจากใจ (หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี)


    [​IMG]

    มูลของศาสนาเบื้องต้นเกิดจากจิตจากใจ จิตใจเป็นบ่อเกิดของพุทธศาสนา

    โลกอันนี้เป็นของวุ่นวี่วุ่นวายแต่ไหนแต่ไรมา พระพุทธเจ้าเกิดขึ้นมาที่ใจ พุทธะเกิดที่ใจ ใจมันเข้าถึงผู้รู้แล้วก็เข้าถึงพุทธะ พุทธะ คือผู้รู้คือผู้เห็น เห็นเหตุเห็นผลเห็นเรื่องราวต่างๆ เห็นสิ่งแวดล้อมเรื่องใจนั้น เช่น เห็นความโลภ ความโกรธ ความหลง มันเกิดจากใจนั้น

    เมื่อความโลภ ความโกรธ ความหลง มันเกิดขึ้นมาแล้ว พระพุทธเจ้าก็เกิดขึ้นมาจากความโลภ ความโกรธ ความหลง อันนั้นละ เห็นความโลภ ความโกรธ ความหลง จึงค่อยเป็นพุทธะกิเลสมันเกิดจากนั้น ไม่ใช่เกิดที่อื่น

    เราปฏิบัติฝึกหัดตามพระองค์ ครั้นไปเห็นเรื่องใจ คือบ่อเกิดแห่งพุทธศาสนา คือคำสอนของพระพุทธเจ้า เราก็ละความโลภ ความโกรธ ความหลงได้ไม่มีอะไร กิเลสทั้งหลาย อายตนะ ขันธ์ห้า ทั้งปวงหมด มันออกไปจากนั่นทั้งนั้น

    ไม่มีใจแล้วไม่มีขันธ์ห้าที่จะต้องชำระหรอก กิเลสทั้งหลายร้อยแปดพันประการมันเกิดจากใจอันเดียว กิเลสมันเกิดที่ใจ พระพุทธเจ้าก็ชี้ลงที่ใจน่ะซี ที่พระองค์ทรงรู้ก็รู้ที่ใจ ครั้นรู้ใจแล้วก็รู้กิเลสทั้งปวงหมด ของพรรค์นั้นจะไปถืออะไรของภายนอกถือภูตผีปีศาจ เชื่อมนต์คาถาอาคมทั้งปวง ครั้นถ้าเกิดจากใจแล้วมันจะไปถืออะไรนอกจากใจนั่น จับเอาที่ใจนั่นให้มันแน่นแฟ้น มันก็รู้ขึ้นมาน่ะซี

    อันนี้ใจก็ยังไม่รู้จัก ไม่ทราบว่าอะไร ไปค้นคว้าหาที่ไหนก็ไม่ทราบ ไม่เห็นตัวใจสักที ไม่เห็นตัวใจก็ไม่เห็นพุทธศาสนา เหตุนั้นศาสนาอย่าเข้าใจว่าอยู่ในที่อื่น ตัวพระสงฆ์ ภิกษุสามเณร อุบาสกอุบาสิกา ครั้นถ้าไม่มีใจแล้วมันก็ไม่มีทั้งนั้นแหละ

    มีใจมันจึงค่อยแต่งให้เป็นรูป กรรมตกแต่งขึ้นมาให้เป็นรูปหญิง รูปชาย รูปพระรูปเจ้าตกแต่งให้เป็นภิกษุสามเณร กรรมมันตกแต่งให้เป็นต่างๆ นานา ก็เพราะใจมันเข้าไปครอบครองในรูปอันนั้น เมื่อกิเลสมันครอบงำแล้วก็ไม่เห็นใจน่ะซี จึงต้องบุกเบิกเข้าไปหาใจ เห็นใจแล้วก็เห็นของพวกนั้น

    แต่ว่าศาสนาตั้งอยู่ที่ใด ? ตั้งอยู่ที่ใจ ถ้าหากไม่มีกิเลสก็ไม่มีพระพุทธเจ้าหรอก เมื่อมีกิเลสจึงค่อยมีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมา จึงควรเพิกถอนกิเลสนั้นออกจากใจพระพุทธเจ้าเกิดที่นั่น พุทธะ ความเป็นจริง ไม่ใช่พุทธะ เจ้าชายสิทธัตถะราชกุมาร

    เมื่อเกิดความรู้ขึ้นมาทีแรกเขาถึงเรียกว่า พุทธะ ชาวโลกเขาเรียกว่า พุทธะ มันมีหลายเรื่องหลายชื่อพระชินสีห์ พระศากยมุนี พระโคดมบรมครูฯ อะไรต่างๆ หลายเรื่อง เรื่องพระเจ้าสิทธัตถะเดิมก็เลยหายไป เพราะความตรัสรู้อันนั้นนั่นเอง เบิกบานขึ้นมาจากใจแล้วก็ให้นามสมัญญาไปต่างๆ นานา

    แต่พระพุทธะเจ้าท่านทรงเรียกว่า เราคถาคต ไม่ได้เรียกอื่นไกลตามสมมติบัญญัติที่โลกเขาเรียกพระองค์

    แท้ที่จริงพุทธะ ก็เกิดที่ใจ เกิดจากใจ เพราะการปฏิบัติบำบัดเรื่องต่างๆ ออกจากใจ ทำให้ผ่องใสสะอาด ชำระให้หมดจดจากใจ เหตุนั้น ใจจึงเป็นของสำคัญที่สุด ถ้าปฏิบัติเข้าถึงใจเมื่อไรจึงจะเห็นใจเมื่อนั้น เป็นพุทธะเมื่อนั้น ถ้าไม่ถึงใจแล้วยังไม่ถึงพุทธะหรอก เอาละ

    : หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
    http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=16270
     
  12. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    เมื่อความคิดสวนทางกัน





    <TABLE style="FONT-SIZE: 12pt; FONT-FAMILY: 'MS Sans Serif'" cellSpacing=2 cellPadding=0 width="80%" align=center bgColor=#cccccc border=2><TBODY><TR><TD style="FONT-SIZE: 12pt; FONT-FAMILY: 'MS Sans Serif'" bgColor=#ffffff>
    <CENTER>[​IMG]</CENTER>

    [FONT=ms Sans Serif,]ผู้มีคิดอย่างชาญฉลาด[/FONT]


    [FONT=ms Sans Serif,]ความคิดของสัตว์ทั้งหลาย พาสัตว์ไปสู่สิ่งที่สร้างสรร หรือทำลาย เหตุเพราะสัตว์ทั้งหลายมีจิต อันเป็นธรรมชาติที่รู้อารมณ์ และอารมณ์เหล่านี้ก่อให้เกิดความคิดดีหรือไม่ดี หมู่สัตว์จะเป็นไปตามความคิดของตนๆ ความคิดของสัตว์ทั้งหลายเกิดจากสิ่งที่มีมาภายนอกอย่างหนึ่งซึ่งทางธรรมะเรียกว่า ปรโตโฆษะ และเข้ามาถึงจิตแล้ว ถ้าไม่พิจารณาปล่อยคล้อยไปตามอารมณ์ บางครั้งยังจิตให้เป็นทาสหรืออยู่ในกำกับของกิเลส ความยึดมั่นถือมั่น แต่เมื่อใดพิจารณาให้เห็นอารมณ์ตามความเป็นไปตามความเป็นจริง ทางธรรมะเรียกว่าประกอบด้วยโยนิโสมนสิการ ก็ได้ชื่อว่าเป็นผู้มีคิดอย่างชาญฉลาด [/FONT]

    [FONT=ms Sans Serif,]การคิดจึงเป็นกิจกรรม คือการกระทำที่มีกิจยิ่งใหญ่ประการหนึ่งของมนุษย์ ด้วยความคิดมนุษย์ได้สร้างสรรค์และทำลายสิ่งต่าง ๆ มากมาย รวมทั้งความสุขและความทุกข์ของตนเอง การคิดนั้น มีคุณอนันต์และมีโทษมหันต์ บางคนคิดจนสร้างโลกได้ บางคนคิดจนโลกหายนะ และบางคนคิดจนเป็นบ้าไปเลย ถ้าคิดดีก็สร้างสรรค์ คิดร้ายก็ทำลายคิดถูกก็ประสบความสำเร็จ คิดผิดก็ล้มเหลว ฉลาดคิดก็เป็นสุข ไม่ฉลาดคิดก็เป็นทุกข์ [/FONT]

    [FONT=ms Sans Serif,]ดังนั้น ทำอย่างไรเล่า จึงจะคิดได้อย่างชาญฉลาด เอื้อต่อความสุข สรรสร้างสู่ความสำเร็จ [/FONT]


    [FONT=ms Sans Serif,]การคิดอย่างชาญฉลาดนั้น ต้องฉลาดคิดใน ๕ ประการคือ [/FONT]
    [FONT=ms Sans Serif,]๑) คิดในสิ่งที่เป็นไปได้ [/FONT]
    [FONT=ms Sans Serif,]๒) คิดในสิ่งที่เป็นประโยชน์ [/FONT]
    [FONT=ms Sans Serif,]๓) คิดตลอดสายเหตุผล [/FONT]
    [FONT=ms Sans Serif,]๔) คิดรอบคอบโดยลำดับ [/FONT]
    [FONT=ms Sans Serif,]๕) คิดหยุดความคิดเป็น [/FONT]
    [FONT=ms Sans Serif,]สิ่งที่เป็นไปได้นั้นมีมากมาย หากจะสาธยายกันแล้ว คงจะได้หลายหน้ากระดาษ แต่สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ในโลกนี้ อันเป็นข้อจำกัดของโลกนั้นมีอยู่ ๓ ประการตามกฎแห่งความเป็นไปไม่ได้ คือ[/FONT]


    [FONT=ms Sans Serif,]๑. โลกนี้ไม่เที่ยง การพยายามทำให้โลกเที่ยงหรือสิ่งใด ๆ ในโลกนี้เที่ยงนั้นเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ โลกนี้หมุนอยู่ตลอดกาลจักรวาลเคลื่อนที่อยู่ตลอดเวลา เอกภพก็ยืดตัวหดตัวอยู่เสมอ ธรรมชาติทั้งหลายไหลเลื่อนไปตามกระแสการเกิด – ดับ ไม่มีอะไรเที่ยงแท้อมตะในโลกนี้ ดังนั้น การพยายามทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งในโลกให้นิรันดร์นั้นเป็นไปไม่ได้ ก็เราจะไปทำสิ่งที่อยู่ในกระแสแห่งการหมุนนิรันดร์ให้หยุดนิ่งนิรันดร์ได้อย่างไร ใครไม่ยอมรับกฎความเป็นจริงข้อนี้ พยายามไปก็จะสูญเปล่า และผิดหวังร่ำไปจนกว่าจะเรียนรู้และยอมรับความเป็นจริงเสีย [/FONT]
    [FONT=ms Sans Serif,]ดังนั้น ปัญญาชนย่อมไม่ปรารถนาหรือคิดหาความถาวรใด ๆ ในโลกหรือธรรมชาติแห่งการเกิด – ดับทั้งปวง สภาวะที่แท้นั้นมีอยู่ แต่อยู่ในธรรมบริสุทธิ์ที่พ้นธรรมชาติอันเกิด – ดับแล้ว [/FONT]
    [FONT=ms Sans Serif,]แม้การเมืองเรื่องยุ่งๆต่างในสังคมไทย เป็นไปตามกฎแห่งการเปลี่ยนแปลงนี้[/FONT]

    [FONT=ms Sans Serif,]๒. โลกนี้เป็นทุกข์ การพยายามทำให้โลกหรือสิ่งใด ๆ ในโลกนี้เป็นสุขแท้จริงนั้นเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เพราะโลกนี้ทั้งโลกและสรรพสิ่งในธรรมชาติตั้งอยู่บนโครงสร้างแห่งทุกข์) ภาวะบีบเค้น) ก็แม้ในอะตอมทุกอะตอมซึ่งเป็นหน่วยอิสระที่เล็กที่สุดของสิ่งทั้งปวงก็มีการบีบเค้น (ทุกข์) กันอยู่ระหว่างอนุภาคที่มีคุณสมบัติตรงข้ามคือประจุบวก(โปรตรอน) และประจุลบ (อิเลคตรอน) เมื่ออะตอมพัฒนามาเป็นโมเลกุล โมเลกุลรวมตัวกันเป็นสสาร รวมตัวกันเป็นวัตถุธาตุ วัตถุธาตุรวมตัวกันเป็นสิ่งมีชีวิตก็ดี ไร้ชีวิตก็ดี หรือแม้ดวงดาวอันยิ่งใหญ่ก็ดี ทั้งหมดนี้ล้วนตั้งอยู่บนโครงสร้างแห่งภาวะทุกข์(ภาวะบีบเค้น) ทั้งสิ้น ด้วยเหตุนี้สิ่งปรากฎอยู่ในโลกจึงเต็มไปด้วยคู่คุณสมบัติตรงข้ามที่มีอำนาจบีบเค้นกันอยู่ เช่น หญิง – ชาย, มืด – สว่าง, ดี – ชั่ว, โง่ – ฉลาด, รวย- จน, แข็งแรง – อ่อนแอ, ร้อน – เย็น, แรงหนีศูนย์กลาง – แรงเข้าศูนย์กลาง, เกิด – ดับ และ ฯลฯ และเพราะแรงกระทำระหว่างคู่ตรงข้ามที่บีบเค้นกันอยู่นี้เอง จึงทำให้สรรพสิ่งในธรรมชาติเปลี่ยนแปรอยู่ตลอดเวลา ใครที่หวังจะทำให้โลกนี้เป็นสุข หรือหาความสุขจากโลกนี้จึงผิดหวังอยู่ร่ำไป [/FONT]
    [FONT=ms Sans Serif,]ดังนั้น ปัญญาชนย่อมไม่ปรารถนาหรือคิดหาความสุขใด ๆ ในโลกหรือในธรรมชาติอันตั้งอยู่บนโครงสร้างแห่งทุกข์นี้ ความสุขแท้จริงนั้นมีอยู่ แต่อยู่ในธรรมบริสุทธิ์อันอยู่นอกเหนือธรรมชาติที่อยู่บนโครงสร้างแห่งทุกข์นี้[/FONT]

    [FONT=ms Sans Serif,]๓. โลกนี้ไม่เป็นตน การพยายามทำโลกนี้หรือสิ่งใดสิ่งหนึ่งในโลกนี้ให้เป็นตนนั้นเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เพราะโลกทั้งหลายเกิดจากการปรุงหรือการเข้ารวมแห่งธรรมทั้งหลาย(สังขาร) นับแต่ในส่วนรูปธรรม เรื่องของรังสีหรือสิ่งของทั่วไปย่อมมีการปรุงประกอบกันเป็นอนุภาคอนุภาคปรุงประกอบกันเป็นอะตอม อะตอมปรุงประกอบกันเป็นโมเลกุล เรื่อยมาจนเป็นโลก เป็นพืช เป็นสัตว์ เป็นมนุษย์ ดังนั้น [/FONT]
    [FONT=ms Sans Serif,]ทุกอย่างในสรรพสิ่งล้วนเกิดมาจากการปรุงประกอบทั้งสิ้น ไม่มีสิ่งใดเป็นตัวของตัวโดยอิสระแท้จริง และด้วยการปรุงประกอบนี้องค์ประกอบที่มาปรุงกันอยู่ล้วนบีบเค้นกันอยู่โดยโครงสร้าง แม้จะสนับสนุนกันบ้างโดยหน้าที่ ด้วยเหตุนี้สิ่งทั้งหลายจึงเคลื่อนไหวจากการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วเสื่อมสลายเสมอ ดังนั้น ใครที่อุปโลกน์ส่วนใด ๆของธรรมชาติมาเป็นตน ย่อมเศร้าเสมอ[/FONT]



    </TD></TR><TR><TD style="FONT-SIZE: 12pt; FONT-FAMILY: 'MS Sans Serif'">[FONT=ms Sans Serif,]โดย ธีรวัส[​IMG] [/FONT]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    www.thaimisc.com/freewebboard/php/vreply.php?user=dokgaew&topic=11265
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 กันยายน 2008
  13. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    <TABLE cellSpacing=2 cellPadding=0 width="80%" align=center bgColor=#cccccc border=2><TBODY><TR><TD bgColor=#ffffff>[FONT=ms Sans Serif,]
    <CENTER>[​IMG]</CENTER><CENTER></CENTER><CENTER></CENTER>
    [/FONT]
    [FONT=ms Sans Serif,][FONT=ms Sans Serif,]ปัญญาชนจึงไม่พยายามและไม่คิดไขว่คว้า ยึดถือสิ่งใด ๆ ในธรรมชาติหรือในโลกมาเป็นตน แม้ร่างกายที่ประกอบกันอยู่นี้ก็ตาม เพราะเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ที่มันจะเป็นตน มันเป็นผลของการปรุงประกอบของสสาร พลังงาน วิญญาณ และกรรม ที่ทำให้เกิดมา ตั้งอยู่ แล้วต้องแตกสลายไปตามกลไกขององค์ประกอบนั้น ซึ่งเกิดดับอยู่เนืองนิจตามธรรมชาติ นี่คือสามสิ่งที่เป็นไปตามธรรมชาติมีเหตุหรือเป็นไปตามปัจจัย ความคิดที่ถูกเห็นทางที่ชอบย่อมก่อประโยชน์สร้างความคิดที่ชาญฉลาดเป็นไปตามพุทธประสงค์ที่ให้สัตว์ทั้งหลายได้เห็นสรรพสิ่งใดๆในโลกนี้เป็นไปตามความเป็นไปแห่งเขาและเห็นจริงตามความเป็นจริง[/FONT]

    [FONT=ms Sans Serif,]เมื่อความคิดของสังคมกันสวนทางกัน ขัดแย้งมุ่งร้ายทำลายกันเห็นประโยชน์ของตนคิดว่าเป็นประโยชน์เพื่อชาติ จึงมุ่งกระทำในสิ่งที่คิดว่าถูก ที่ต้อง ธรรมะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้สามารถเยี่ยวยารักษาสังคมนี้ได้ ถ้านำความคิดเหล่านั้นมาผ่านกระบวนการกลั่นกรองด้วยโยนิโสมนสิการ ให้แยกแยะตามสามัญญลักษณะแห่งโลก ว่าด้วยไม่เที่ยง ทนได้ยากและไม่ใช่ของตนบังคับได้อย่างไร ประวัติศาสตร์สอนไว้ ว่าคนไทยต้องรักกัน รัฐนาวา กำลังมีมรสุมโถมลูกแล้วลูกเล่า มัวเกี่ยงมัวแย่ง มัวแข่งดีแข่งเด่น มัวถากมัวถาง มุ่งร้ายทำลายกัน ที่สุดก็เป็นตามกฎแห่งสัจจธรรม ผู้ใฝ่ธรรมทั้งหลายปล่อยว่างปล่อยวาง เขาก็คือเขาเราก็คือเรา ทีจะปกป้องพระพุทธศาสนายังให้ปล่อยวางว่าเป็นไปตามกฎแห่งความเสื่อมแล้วไฉนเลยการเมืองเรื่องกิเลสแท้ๆยังยึดมั่นถือมั่นไม่ยอมจบ อนิจจัง วะตะ สังขารา [/FONT]


    [FONT=ms Sans Serif,]"ยามบุญมากาไก่ก็กลายเป็นหงส์ [/FONT]
    [FONT=ms Sans Serif,]ยามบุญลงหงส์เป็นกาน่าฉงน [/FONT]
    [FONT=ms Sans Serif,]ยามบุญมี หมูหมาก็ว่าคน [/FONT]
    [FONT=ms Sans Serif,]ยามบุญหล่นคนเป็นหมาน่าอัศจรรย์"[/FONT]
    [/FONT]


    [FONT=ms Sans Serif,][FONT=ms Sans Serif,]ใครกำลังเฟื่องฟูลอยอยู่ [/FONT]
    [FONT=ms Sans Serif,]หรือกำลังถดถอยจม [/FONT]
    [FONT=ms Sans Serif,]ท่านว่าเอาไว้เตือนตัวเองดีนักแล! [/FONT]
    [FONT=ms Sans Serif,]อย่างน้อยก็จะช่วยลดอัตตาที่ยึดมั่นถือมั่นในตนในพรรคพวกของตนที่คอยสร้างความหลงผิดสำคัญในตนเองมันจะเริ่มลดน้อย ถดถอยลง ความพอกพูนของคุณธรรม ความใจเย็น จะเป็นผลเข้ามาอยู่เสริมแทนที่ ณ ที่นั่น เมื่อประจักษ์เข้าใจในความเป็นอนิจจังขั้นพื้นฐานของสิ่งต่างๆทั้งภายใน ภายนอก ตามความเป็นจริง ใจจะได้ร่มเย็น เป็นสุข[/FONT]



    [FONT=ms Sans Serif,]สิ่งทั้งหลายในโลกนั้นไม่มีเที่ยง [/FONT]
    [FONT=ms Sans Serif,]ล้วนตายเกลี้ยงไม่เหลือให้ถูกขัง [/FONT]
    [FONT=ms Sans Serif,]กรรมเคยก่อสร้างไว้เราจึงยัง [/FONT]
    [FONT=ms Sans Serif,]เพราะกรรมบังจึงเป็นเช่นนิยาย [/FONT]
    [FONT=ms Sans Serif,]อย่าเสียใจที่จนหรือค้นแค้น [/FONT]
    [FONT=ms Sans Serif,]สิ่งที่เด่นเรามีอีกเหลือหลาย [/FONT]
    [FONT=ms Sans Serif,]ก่อกรรมหลายมุ่งดีไว้ก่อนจะตาย [/FONT]
    [FONT=ms Sans Serif,]จะขวนขวายละโมบโลภไปใย [/FONT]
    [FONT=ms Sans Serif,]ยามเราเกิดออกมาตัวเปล่าเปล่า [/FONT]
    [FONT=ms Sans Serif,]ตัวของเราของๆเราเสียที่ไหน [/FONT]
    [FONT=ms Sans Serif,]อย่าหลงไหลล่วงล้ำกฎกรรมเกณฑ์[/FONT]

    [/FONT]





    </TD></TR><TR><TD>[FONT=ms Sans Serif,]โดย ธีรวัส บำเพ็ญบุญบารมี (tvb) [​IMG][​IMG] [/FONT]</TD></TR></TBODY></TABLE>



    www.thaimisc.com/freewebboard/php/vreply.php?user=dokgaew&topic=11265
     
  14. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    <TABLE style="FONT-SIZE: 8pt; FONT-FAMILY: 'MS Sans Serif'" cellSpacing=0 cellPadding=0 width=558 border=0><TBODY><TR style="FONT-SIZE: 8pt; FONT-FAMILY: 'MS Sans Serif'"><TD style="FONT-SIZE: 8pt; FONT-FAMILY: 'MS Sans Serif'; WORD-WRAP: break-word" align=middle height=40>[​IMG]





    สุข

    </TD></TR><TR style="FONT-SIZE: 8pt; FONT-FAMILY: 'MS Sans Serif'"><TD style="PADDING-RIGHT: 20px; FONT-SIZE: 8pt; FONT-FAMILY: 'MS Sans Serif'" vAlign=top align=right height=30>พี่ดอกแก้ว</TD></TR><TR style="FONT-SIZE: 8pt; FONT-FAMILY: 'MS Sans Serif'"><TD style="FONT-SIZE: 8pt; FONT-FAMILY: 'MS Sans Serif'" align=middle><TABLE style="FONT-SIZE: 8pt; FONT-FAMILY: 'MS Sans Serif'" width=320 border=0><TBODY><TR style="FONT-SIZE: 8pt; FONT-FAMILY: 'MS Sans Serif'"><TD class=font-th-content style="FONT-SIZE: 12pt; RIGHT: 0px; LEFT: 0px; WIDTH: 320px; COLOR: rgb(0,0,0); FONT-FAMILY: 'MS Sans Serif'; TEXT-DECORATION: none; WORD-WRAP: break-word">ความวิวัฒน์จัดหามาสนอง
    สร้างสิ่งของสวยงามตามคิดสรรค์
    เกิดเป็นความหลากหลายผลิตภัณฑ์
    ทุกชิ้นอันสรรเพื่อสุขแก่ใจกาย

    จึงขันแข่งแบ่งชั้นผันเงินตรา
    มุ่งไขว่คว้าเสพสุขสิ่งทั้งหลาย
    ความเอาเปรียบถีบตัวขึ้นมากมาย
    สังคมกลายเป็นสนามสงครามวจี

    ร้อนระอุคุไหม้ไฟกิเลส
    เป็นต้นเหตุสร้างทุกข์ซ้อนเพิ่มหมองศรี
    เดิมมีทุกข์เพราะต้องเลี้ยงชีวี
    แต่เพราะ "อยาก" จึงมีทุกข์ซ้ำใจ

    ปรารถนาเกินต้องการหาญแข่งขัน
    สร้างความหวังความฝันอันสดใส
    เมื่อไม่สมหวังฝันในวันใด
    เกิดทุกข์ใจบนทุกข์กายหลายดีกรี

    ปรารถนาปรนเปรอบำเรอสุข
    เสพสนุกเรื่อยไปในวิถี
    ไม่เรียนรู้เรื่องราวความชั่วดี
    ทุกข์มากมีเมื่อลืมตามาสายไป

    ปรารถนาบัญชาสิ่งทั้งผอง
    ให้มากองแทบเท้าได้ไฉน
    แต่เพราะเมาอำนาจขาดวิจัย
    สุขเป็นทุกข์เมื่อไร้ใครเหลียวแล

    แต่เมื่อใดวางใจให้ไกล "อยาก"
    ความสุขจะไหลหลากล้นกระแส
    เพราะทุกข์ใจน้อยลงตรงไม่แคร์
    ทำเพียงแค่แก้ไขในจำเป็น

    กิเลสน้อยทุกข์น้อยร้อยสุขมาก
    เป็นสุขจากใจสงบเพราะรู้เห็น
    คุณค่าอริยทรัพย์ที่บำเพ็ญ
    จิตร่มเย็นไร้แข่งขันพลันสุขใจ
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>



    ขอขอบคุณ
    www.thaipoem.com
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  15. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    911
    ค่าพลัง:
    +4,285
    วันนี้ขอนำรูปพระเครื่องมาให้ชมกันเพื่อศึกษาและสร้างความรอบรู้กันต่อนะครับ แต่อย่าลืมการสร้างพระในใจสร้างสมาธิด้วยการกำหนดลมหายใจเข้าออก(ที่ปลายจมูก)ของตัวท่านเอง(การเล่มลมหรืออาณาปานสติ)เป็นสิ่งที่ไม่ต้องไปลงทุนซื้อหาให้เปลืองสตางค์เป็นหนี้เป็นสินล้นพ้นตัว แถมยังคุ้มครองและติดตัวท่านไปตลอดจนถึงภพชาติหน้าได้อีกด้วยด้วยนะครับ ซึ่งพี่ใหญ่บอกเสมอว่าของแท้ของดีอยู่ที่ปลายจมูกเราเองนี่แหละหมั่นทำไปเถอะแล้วจะรู้เองเห็นเอง พี่ใหญ่จะยกภาษิตให้ฟังอยู่ตอนหนึ่งว่า อยากรวยให้หมั่นทำทาน อยากไปนิพพานให้หมั่นภาวนา

    [​IMG]

    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  16. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    911
    ค่าพลัง:
    +4,285
    พระกรุนี้เป็นพระกรุวัดชนะสงครามมีทั้งแบบเนื้อผงใบลานและเนื้อดินดิบ เป็นการแกะพิมพ์จากฝีพระหัตถ์ของกรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ(ท่านเจ้า) เนื่องในงานถวายพระเพลิงพระบรมศพของสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชบิดาของท่าน

     
  17. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    911
    ค่าพลัง:
    +4,285
    พระกรุนี้เป็นพระกรุวัดชนะสงครามมีทั้งแบบเนื้อผงใบลานและเนื้อดินดิบ เป็นการแกะพิมพ์จากฝีพระหัตถ์ของกรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ(ท่านเจ้า) เนื่องในงานถวายพระเพลิงพระบรมศพของสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชบิดาของท่าน


    [​IMG]



    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  18. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097


    เงินสำหรับการบริจาคเข้าไปยัง รพ.ที่รักษาสงฆ์อาพาธในส่วนภูมิภาคทั้ง 4 แห่งข้างต้นนี้ ในสัปดาห์หน้าจะได้ทยอยโอนเงิน ผ่านทางบัญชีธนาคาร และทางไปรษณีย์ธนาณัติได้ทั้งหมด ตามจำนวนเงินที่แจ้งไว้ข้างต้น ส่วนเครื่องดูดเสมหะ ตอนนี้ที่ รพ.ศรีนครินทร์ จ.ขอนแก่น ทางหัวหน้าหอสงฆ์ของ รพ. ได้แจ้งให้ทราบว่าทาง รพ.ได้พิจารณาพระสงฆ์ที่ท่านจำเป็นต้องใช้เครื่องนี้แบบฉุกเฉินไว้แล้ว 1 รูป ดังนั้น ทางทุนนิธิฯ จึงได้มอบให้ทาง รพ. ตามที่ร้องขอได้ คาดว่าจะส่งเครื่องให้ได้ภายในสัปดาห์หน้าเช่นกัน สำหรับเครื่องดูดเสมหะนี้ ราคาเครื่องละ 5,000.- โดยผู้แทนขาย ของบริษัท TA. MEDIC CO.LTD. ได้มาสาธิตการใช้งาน ให้คณะกรรมการของทุนนิธิฯ ได้ดูแล้วเมื่อวันที่ 7/9/51 ที่ผ่านมา ตลอดจนสามารถตอบข้อซักถามจนเป็นที่พอใจของคณะกรรมการฯ ทุกท่าน ซึ่งจะได้นำเงินจากบัญชีของทุนนิธิฯ นำมาซื้อถวายท่านต่อไป

    ในส่วนของกิจกรรมที่ รพ.สงฆ์ครั้งที่ 10 นี้ ยังเป็นวันอาทิตย์ที่ 28/9/51 เหมือนเดิมครับ




    <CENTER>[​IMG]</CENTER><CENTER></CENTER><CENTER> </CENTER><CENTER>ผู้แทนขายมาสาธิตการใช้งานเครื่องดูดเสมหะ</CENTER>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 กันยายน 2008
  19. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    911
    ค่าพลัง:
    +4,285
    มาดูกันต่อครับ

    [​IMG]

    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]

    พระพิมพ์ของกรุวัดชนะสงครามนี้ผมจะนำไปสอนให้ดูและศึกษาพิจารณากันในวันอาทิตย์ที่ 28 สิงหาคม 2551 ซึ่งจะเป็นวันที่ทางทุนนิธิฯจะทำบุญประจำเดือนนี้ที่โรงพยาบาลสงฆ์ครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 1.jpg
      1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      80.7 KB
      เปิดดู:
      776
    • 2.jpg
      2.jpg
      ขนาดไฟล์:
      80.8 KB
      เปิดดู:
      778
    • 3.jpg
      3.jpg
      ขนาดไฟล์:
      87.5 KB
      เปิดดู:
      768
    • 4.jpg
      4.jpg
      ขนาดไฟล์:
      86.8 KB
      เปิดดู:
      765
    • 5.jpg
      5.jpg
      ขนาดไฟล์:
      88.3 KB
      เปิดดู:
      765
    • 6.jpg
      6.jpg
      ขนาดไฟล์:
      68.4 KB
      เปิดดู:
      754
    • 7.jpg
      7.jpg
      ขนาดไฟล์:
      76.7 KB
      เปิดดู:
      765
    • 8.jpg
      8.jpg
      ขนาดไฟล์:
      70.1 KB
      เปิดดู:
      873
  20. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    วันก่อนน้องพาไปเดินเล่นที่สนามพระ ไปเจอกริช และพระขรรค์ของหลวงปู่ใหญ่เสก ของถูกอันละประมาณ ร้อยบาท ตอนนี้เหลือสักสิบเล่มได้มั๊งยังไม่ได้ไปเอามา กำลังคิดที่จะนำไปให้บูชาในวันจัดกิจกรรมที่ รพ.สงฆ์กันครับ


    <CENTER>[​IMG]</CENTER>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 กันยายน 2008

แชร์หน้านี้

Loading...