ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,993
    ค่าพลัง:
    +97,149
    ย้อนอ่านอีกครั้ง❗️ในวันที่สัมพันธ์ #จีน-#สหรัฐ ดั่งแก้วบาง ทรัมป์ทุบทิ้งแตก

    จีนใช้บทกวีโบราณประดับฝาผนังเวทีเจรจาการค้ากับสหรัฐ บทกวีนี้ไม่เพียงงดงามด้านวรรณศิลป์ แต่ยังลุ่มลึกสื่อนัยถึงจุดยืนของรัฐบาล #จีน ต่อ #สงครามการค้า กับ #สหรัฐ
    .
    การเจรจาการค้าระหว่างจีน-สหรัฐรอบที่ 11 มีขึ้นในวันที่ 31 กรกฎาคม ที่โรงแรมในนคร #เซี่ยงไฮ้ บนฝาผนังด้านหลังโต๊ะเจรจาปรากฏอักษรจีนโบราณบนพื้นสีทองอย่างโดดเด่น อักษรเหล่านี้ดูคล้ายแค่ภาพประดับเพื่อความสวยงาม แต่ความจริงแล้วเป็นบทกวีโบราณ ที่สื่อความลึกซึ้งยิ่งนัก
    .
    กวีบทนี้เป็นผลงานของ “#จางหยั่งเฮ่า” #张养浩 กวีสมัยราชวงศ์หยวน ที่มีข้อความในบทแรก ดังนี้

    云来山更佳 云去山如画
    山因云晦明 云共山高下
    倚杖立云沙 回首见山家
    .
    เนื้อความดั้งเดิมของกวีบทนี้ เป็นการชื่นชมทิวทัศน์ที่งดงามของภูผาและสายหมอก ใจความสำคัญอยู่ที่ 4 วรรคแรกที่ถอดความได้ว่า
    .
    เมฆลอยขับผางาม เมฆคล้อยผาดั่งภาพ
    ภูผาเด่นเพราะมวลเมฆ เมฆางามเพราะภูผา
    .
    จางหยั่งเฮ่า ผู้ประพันธ์สื่อความว่าภูเขาและสายหมอกต่างช่วยขับความงามซึ่งกันและกัน เมื่อมีเมฆภูเขายิ่งงดงาม แต่เมื่อเมฆเคลื่อนผ่านไป ภูเขาก็ยังคงงดงามดั่งภาพวาด ภูเขางดงามก็เพราะเมฆทำให้มีแสงงามเหลื่อมสลับ เมฆสวยงามก็เพราะภูเขาทำให้เมฆดูมีชั้นเชิงลดหลั่นกัน

    *** ถอดรหัสกวีจีน เบื้องหลังการทูต ***

    แน่นอนว่า การเลือกประดับผนังห้องเจรจาที่สุดตึงเครียดด้วยบทกวีนี้ คงไม่ใช่แค่ให้ดูสวยงามเท่านั้น แต่มีผู้ตีความว่าฝ่ายจีนต้องการสื่อความว่า "ภูผาไม่สะเทือนเพราะเมฆหมอก"
    .
    ฝ่ายจีนคือภูผา ฝ่ายสหรัฐคือสายหมอก ต่างพึ่งพากันและกัน หากร่วมมือกันได้ทั้ง 2 ฝ่ายย่อมได้ประโยชน์ เหมือนภูผากับเมฆที่งดงามขึ้นทั้งคู่ แต่ถ้าร่วมมือกันไม่ได้ ก็เหมือนเมฆที่ลอยคล้อยผ่านไป แต่ภูผายังคงหยัดยืนงดงามดั่งเดิม เปรียบดั่งการพัฒนาของจีนก็ไม่ได้หยุดยั้งลงเพียงเพราะสหรัฐ ที่เป็นเหมือนเมฆหมอกผ่านมาแล้วก็ผ่านไป
    .
    การตีความเช่นนี้น่าจะสอดคล้องกับจุดยืนที่กระทรวงพาณิชย์ของจีนเคยประกาศว่า “จีนไม่อยากจะสู้ แต่ก็ไม่กลัวที่จะสู้ หากต้องสู้ก็พร้อมสู้ การเจรจาใด ๆ ต้องอยู่บนพื้นฐานของความเสมอภาคและเคารพซึ่งกันและกัน จีนยืดหยัดคัดค้านการเจรจาฝ่ายเดียว ขณะที่อีกฝ่ายใช้การกดดัน การกระทำเช่นนี้ไม่สร้างสรรค์และไม่ใช่ทางคลี่คลาย

    จีนไม่ยอมรับการกดดันและข่มขู่ ในหลักการที่สำคัญจะไม่ยอมถอยแม้แต่ก้าวเดียว จุดยืนของจีนคือ ถ้าจะเจรจาก็พร้อมเปิดประตู ถ้าจะสู้ก็จะยืนหยัดถึงที่สุด จะเจรจาหรือจะสู้ก็ขึ้นอยู่กับสหรัฐ ฝ่ายจีนต้องการความจริงใจจากสหรัฐ และทั่วโลกก็กำลังจับตาการกระทำของสหรัฐ”.

    (เผยแพร่ครั้งแรก 14 ส.ค. 2019)
     
  2. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,993
    ค่าพลัง:
    +97,149
    สรรพสิ่งล้วนมายา เจ้า หรือบ่าว มีจริงหรือไม่ ทุกสิ่งล้วนสมมุติ

    รวบ เพนกวิน ตามหมายจับ ม.116 คดีก่อม็อบอนุสาวรีย์

     
  3. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,993
    ค่าพลัง:
    +97,149
    ถึงจะกำหนดราคาขายลอตเตอรี่ไม่เกิน 80บาทต่อใบ แต่ตามท้องตลาด ยังคงขายใบละ80บาทขึ้นไป ยิ่งเลขชุด เลขดัง ยิ่งแพง เพราะบรรดาพ่อค้าแม่ค้ารับมาผ่านคนกลางก็ใบละ80กว่าแล้ว พอมาขายต่อก็ต้องบวกกำไรไปอีก ราคาถึงแพง และเป็นปัญหาที่ทุกรัฐบาลก็รู้ แต่ไม่เคยแก้ได้ ล่าสุดกองสลากขีดเส้นต้องแก้ปัญหาหวยแพงให้ได้ 3 เดือน โดนจะพยายามตัดคนกลางออก และขายออนไลน์ แต่จะเป็นการแก้ปัญหาตรงจุดหรือไม่ จะทำให้หวยแพง หมดไปจากประเทศไทยได้จริงหรือ

     
  4. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,993
    ค่าพลัง:
    +97,149
    การระบาดของโควิด-19 ทั่วโลกยังคงเป็นไปอย่างต่อเนื่อง หน้ากากอนามัยกลายเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการดำรงชีวิตของประชาชน แต่ก็มีผู้ประกอบการไร้จริยธรรมแอบอ้างว่าเป็นหน้ากากอนามัยที่ผลิตโดยทีมหน้ากากแห่งชาติ ส่งผลให้มีหน้ากากปลอมเกลื่อนตลาด ซึ่งยากบที่ผู้บริโภคจะแยกแยะได้

     
  5. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,993
    ค่าพลัง:
    +97,149
    14 ส.ค. 63 พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อำนวยการกองอำนวยการน้ำแห่งชาติ (กอนช.) เปิดเผยภายหลังเปิดการประชุมเสวนา เรื่อง “ส่องแผนรัฐ รับมือฝน ปี 2563 ลุ่มน้ำเจ้าพระยา รอดหรือไม่ ว่า ได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องศึกษาแผนการผันน้ำลงเขื่อนเจ้าพระยา ซึ่งมีอยู่ 2 แนวทาง คือ การผันจากแม่น้ำยวม จ.แม่ฮ่องสอน และการผันจากสาระวิน ของเมียนมา ที่ทางจีนอยู่ระหว่างการพิจารณาเข้าสร้างเขื่อนพลังงานไฟฟ้า โดยอยู่ใกล้กับประเทศไทยมาก

    ทั้งนี้การพิจารณาทั้ง 2 แนวทางต้องคำนึงถึงความมั่นคงของประเทศด้วยนอกเหนือจากความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจ นอกจากนี้ยังให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการผันน้ำโครงการโขง เลย ชี มูล ด้วยเพื่อแก้ไขการขาดแคลนน้ำในภาคอีสาน

    สำหรับสถานการณ์ฝนในปีนี้ ตามที่รัฐบาลได้เห็นชอบ 8 มาตรการเร่งด่วน คือการคาดการณ์พื้นที่เฝ้าระวังน้ำท่วม การปรับแผนการเพาะปลูกพืช การจัดทำเกณฑ์การบริหารจัดการน้ำ การตรวจสอบอาคารชลศาสตร์ ระบบระบายน้ำ และสถานีโทรมาตร การตรวจสอบสิ่งกีดขวางทางน้ำ การสำรวจแม่น้ำคูคลองและดำเนินการขุดลอก กำจัดผักตบชวา เตรียมความพร้อมเครื่องจักร เครื่องมือในการให้ความช่วยเหลือ และ สร้างการรับรู้กับประชาชน

    ซึ่งถือได้ว่าเป็นแผนรองรับสถานการณ์น้ำในเชิงป้องกัน โดยได้สั่งการให้เร่งรัดดำเนินการตามมาตรการดังกล่าวล่วงหน้าอย่างเต็มประสิทธิภาพ ตั้งแต่ก่อนเข้าสู่ฤดูฝน โดยเฉพาะในเรื่องของการจัดการสิ่งกีดขวางทางน้ำ ขยะมูลฝอย และผักตบชวา ที่สามารถกำจัดได้แล้วกว่า 500,000 ตัน ในบริเวณต่าง ๆ 143 แห่ง รวมไปถึงการเตรียมพื้นที่รับน้ำในทุ่งเจ้าพระยา และการวางแผนกักเก็บน้ำในฤดูฝนนี้ไว้ใช้สำหรับฤดูแล้งปีหน้าให้ได้มากที่สุด

    ทั้งนี้ นอกจาก 8 มาตรการเร่งด่วนแล้ว รัฐบาลยังได้มอบหมายให้มีการจัดทำแผนงานหลักบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของลุ่มน้ำเจ้าพระยา ซึ่งเป็นลุ่มน้ำที่ครอบคลุมพื้นที่ขนาดใหญ่ และมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ โดยเป็นแผนงานระยะยาวที่เน้นเพื่อบรรเทาปัญหาอุทกภัย จำนวน 9 แผน ซึ่งที่ผ่านมา สทนช. รับหน้าที่เป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินโครงการศึกษาจัดลำดับความสำคัญ

    โดยเป็นการศึกษาอย่างรอบคอบให้ทุกแผนงานโครงการเกิดความคุ้มค่ามากที่สุด และได้มอบหมายให้ สำนักทรัพยากรน้ำแห่งชาติ(สทนช.)เร่งบูรณาการแผนหลักดังกล่าวกับหน่วยงานปฏิบัติขับเคลื่อนให้เกิดผลสัมฤทธิ์โดยเร็ว เพื่อช่วยบรรเทาอุทกภัยในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา เพิ่มศักยภาพในการใช้ประโยชน์พื้นที่ด้านการเกษตร แก้ปัญหาและพัฒนาในทุกมิติต่อไป

    อย่างไรก็ตาม เพื่อให้การดำเนินการตามมาตรการดังกล่าวให้เกิดผลสำเร็จ ได้เน้นย้ำให้ทุกภาคส่วนทั้งภาคเอกชนและประชาชนมีส่วนร่วมในการจัดการน้ำในพื้นที่กับภาคราชการ และสร้างการรับรู้อย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างความเชื่อมั่นในการสร้างความมั่นคงด้านน้ำให้กับประชาชนด้วย

    ด้าน นายสมเกียรติ ประจำวงษ์ เลขาธิการ สทนช. ในฐานะรองผู้อำนวยการ กอนช.ที่ผ่านมาคณะรัฐมนตรี (ครม.)ได้สนับสนุนงบกลางเพื่อช่วยเหลือภัยแล้งและเตรียมการรองรับอุทกภัย ในปี 2563 จำนวนทั้งสิ้น 29,160 โครงการ วงเงินรวม 23,748 ล้านบาท โดยความร่วมมือจาก 15 หน่วยงาน และ เพื่อเป็นการบรรเทาปัญหาอย่างทันท่วงที เมื่อวันที 13 ส.ค. 63 ครม.ยังได้อนุมัติงบกลางโครงการบรรเทาปัญหาภัยแล้งและน้ำท่วมเพิ่มเติม รวม 11,893 ล้านบาท เพื่อดำเนินการเร่งด่วนในปี 2563 อีกจำนวนทั้งสิ้น 14 โครงการ ประกอบด้วย 1.ฟื้นฟูแหล่งน้ำเดิม 2.ก่อสร้างแหล่งน้ำใหม่ 3.ระบบประปา 4.ระบบระบายน้ำชุมชน 5.ปรับปรุงคุณภาพน้ำ 6.เครื่องจักร เครื่องมือ โดยแบ่งออกเป็นโครงการในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา 17 จังหวัด มีแผนงานที่มีสถานะพร้อมดำเนินการได้ทันที จำนวนทั้งสิ้น 2,135 แห่ง ได้แก่ ระบบประปา ก่อสร้างแหล่งน้ำใหม่ ฟื้นฟูแหล่งน้ำเดิม และเครื่องจักร เครื่องมือ ซึ่งทุกหน่วยงานต้องเร่งดำเนินการให้เป็นไปตามแผนต่อไป

    https://www.bangkokbiznews.com/news...edium=internal_referral&utm_campaign=economic

    #RoundtableThailand
    roundtablethailand.com

     
  6. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,993
    ค่าพลัง:
    +97,149
    #มอร์มูฟเป็นข่าว ไม่รักษามะเร็ง!!! ล่าสุด นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ ได้กล่าวถึงกรณีที่มีคำแนะนำว่ามีวิธีรักษามะเร็งด้วยการดื่มน้ำปั่นใบไม้สดและผักสดที่ไม่ผ่านความร้อนซึ่งได้แก่ ใบบัวบก ใบตำลึง ใบมะยม ใบมะกรูด ใบมะนาว ใบชะมวง ใบมันปู ใบโหระพา ใบกระเจี๊ยบแดง ใบเม่า ใบเตย ใบข่า ผลมะระขี้นก และมะเขือเทศราชินี ว่า จากการตรวจสอบข้อมูลทางวิชาการพบว่าพืชผักดังกล่าวมีสารต้านอนุมูลอิสระที่อาจมีส่วนในการป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง แต่ไม่สามารถรักษาโรคมะเร็งได้ รวมถึงยังไม่มีงานวิจัยที่ยืนยันผลการรักษามะเร็งด้วยการดื่มน้ำปั่นใบไม้สดและผักสด

    ** ด้าน นพ.จินดา โรจนเมธินทร์ ผอ.สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กล่าวว่า อาหารในกลุ่มพืชผักสมุนไพร อุดมไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุ ใยอาหาร และสารต้านอนุมูลอิสระหลายชนิด มีส่วนช่วยในการชะลอความเสื่อมของเซลล์ ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกัน และอาจมีส่วนในการป้องกันมะเร็งได้ เช่น สารเบต้าแคโรทีน สารไลโคปีน สารฟลาโวนอยด์ และสารต้านอนุมูลอิสระอื่นๆ “งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการทดสอบการป้องกันการเกิดเซลล์มะเร็ง ส่วนใหญ่เป็นการศึกษาในระดับห้องปฏิบัติการซึ่งยังไม่มีรายงานผลทางคลินิกเกี่ยวกับปริมาณรับประทานที่สามารถป้องกันมะเร็งได้”

    การรับฟังข้อมูลที่ไม่ผ่านการพิจารณาหรือตรวจสอบ อาจทำให้ประชาชนเข้าใจคลาดเคลื่อนได้ง่าย จึงขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลดังกล่าวและขอความร่วมมือไม่ส่งหรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ.

     
  7. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,993
    ค่าพลัง:
    +97,149
    รมต. ต่างประเทศอิหร่าน พบกับ Michelle Aoun ปธน. เลบานอน ณ ทำเนียบบาอับดา

    สำนักข่าวอย่างเป็นทางการของเลบานอน รายงานว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศแห่งสาธารณรัฐอิสลามอิหร่านพบกับประธานาธิบดีเลบานอนในวันนี้วันศุกร์ ณ ทำเนียบบาอับดา

    หลังการประชุม นาย Zarif เน้นย้ำถึงความจำเป็นที่ทุกประเทศจะต้องช่วยเลบานอนให้ผ่านพ้นวิกฤตหลังเหตุระเบิดครั้งใหญ่ที่เบรุตเมื่อเร็ว ๆ นี้

    เขาอธิบายว่าในการพบปะกับประธานาธิบดีอูน ได้เน้นย้ำถึงความพร้อมของสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่านในการร่วมมือกับเลบานอนในด้านการฟื้นฟูพลังงานและการแพทย์

    ข่าวโลกที่3

    https://www.mashreghnews.ir/news/1106455/دیدار-ظریف-با-میشل-عون-در-کاخ-بعبدا-عکس

     
  8. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,993
    ค่าพลัง:
    +97,149
    #มอร์มูฟเป็นข่าว 'โรงงานโลก' กำลังล่มสลายเพราะสงครามการค้าและโควิด!!! ล่าสุด South China Morning Post (SCMP) รายงานว่า ผลกระทบจาก COVID-19 และสงครามการค้าทำให้โรงงานต่างๆ เริ่มปิดตัวและย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศอื่นที่ไม่ใช่จีนมากขึ้น

    ** สงครามการค้าและ COVID-19 ส่งผลกระทบในหลายประเทศ ทำชีวิตผู้คนเปลี่ยนแปลงมหาศาล หลายประเทศเริ่มมองหาแหล่งผลิตใหม่และเริ่มปิดโรงงานที่มีอยู่เดิมทิ้ง ทำให้แรงงานข้ามชาติที่เคยทำงานอยู่ก่อนหน้านี้ต้องถูกปลดออกจากการทำงานเป็นจำนวนมาก

    ขณะนี้จีนกำลังสูญเสียศักยภาพในการเป็นแหล่งผลิตต้นทุนต่ำโดยเปรียบเทียบ เนื่องจาก COVID-19 ทำให้เกิดการยกเลิกออเดอร์สำหรับการส่งออก.
    --------------------------------------------
    อ่านต่อ : https://brandinside.asia/covid-and-..._nE1SV7SVTuxhp75UYCYmXTaXApV1XJnoM_1EK258IsGc

     
  9. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,993
    ค่าพลัง:
    +97,149
    #มอร์มูฟเป็นข่าว ตัดวังวนผิดกฎหมาย!!! ทางการสิงคโปร์สั่งทำลายงาช้างครั้งใหญ่ที่สุดในโลก คิดเป็นมูลค่าถึง 13 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 416 ล้านบาท โดยงาช้างเหล่านี้เป็นของกลางที่ยึดได้จากขบวนการลักลอบค้าสัตว์ป่า พร้อมกันนี้ยังได้แพร่ภาพการทำลายงาช้างผ่านช่องทางออนไลน์ เพื่อแสดงให้เห็นว่าสิงคโปร์ดำเนินการต่อสู้และปราบปรามขบวนการลักลอบค้าสัตว์ป่าผิดกฎหมาย หวังสกัดกั้นไม่ให้งาช้างกลับเข้าสู่กระบวนการผิดกฎหมายอีก

    งาช้างที่ทางการสิงคโปร์ทำลายครั้งนี้มีถึง 9 ตัน ในจำนวนนี้ 8.8 ตันเป็นงาช้างที่ยึดได้เมื่อปี 2562 เจ้าหน้าที่ประเมินว่าได้มาจากช้างแอฟริกาเกือบ 300 ตัว ซึ่งการทำลายงาช้างจะช่วยไม่ให้งาช้างกลับเข้าไปในตลาดและสกัดกั้นการลักลอบค้างาช้างทั่วโลก.

     
  10. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,993
    ค่าพลัง:
    +97,149
    นพ.นคร เปรมศรี ผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติ (สวช.) เปิดเผยในโอกาสวันสถาปนาครบรอบ 8 ปีการก่อตั้งสถาบันวัคซีนแห่งชาติเมื่อวันที่ 11 ส.ค. ที่ผ่านมา ถึงความก้าวหน้าการพัฒนาวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ในประเทศไทยว่า สถาบันวัคซีนแห่งชาติร่วมกับเครือข่ายด้านวัคซีนได้จัดทำพิมพ์เขียว (Blueprint) เพื่อการเข้าถึงวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ของประชาชนคนไทย โดยคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติได้ให้ความเห็นชอบข้อเสนอโครงการภายใต้แผนงานหรือโครงการที่มีวัตถุประสงค์ทางการแพทย์และสาธารณสุขตามบัญชีท้ายพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 วงเงิน 2,999.30 ล้านบาท ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป

    โดยแผนงานงบประมาณข้างต้นครอบคลุมกิจกรรม 3 แนวทางที่ทำไปพร้อมกัน คือ 1.สนับสนุนการวิจัยพัฒนาวัคซีนให้กับนักวิจัยไทยภายในประเทศ 2.การทำความร่วมมือกับต่างประเทศ และ 3.การจัดซื้อจัดหาวัคซีนจากต่างประเทศ นอกจากนี้ยังมีแนวทางการพัฒนาบุคลากรรองรับการวิจัยพัฒนาวัคซีนในประเทศด้วย ทางด้านการเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับการขึ้นทะเบียนวัคซีนป้องกันโควิด-19 นั้น สถาบันฯ ได้ทำควบคู่กันคือได้ประสานงานกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา และกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เพื่อเตรียมแนวทางให้สามารถขึ้นทะเบียนวัคซีนเพื่อผลิตและจำหน่ายได้ในเวลาที่ทันต่อสถานการณ์

    การเจรจาเพื่อร่วมทำการทดสอบวัคซีนในมนุษย์และรับถ่ายทอดเทคโนโลยีนั้น อยู่ระหว่างทำข้อตกลงและแสวงหาแนวทางความร่วมมือกับประเทศชั้นนำในการพัฒนาวัคซีน ในส่วนการวิจัยพัฒนาต้นแบบในประเทศก็มีความก้าวหน้าอย่างมาก โดยสถาบันวัคซีนฯ ร่วมกับหน่วยงานให้ทุนทั้งในและต่างประเทศมีการสนับสนุนต้นแบบวัคซีน จำนวนทั้งสิ้น 6 แพลตฟอร์ม คือ ดีเอ็นเอ เอ็มอาร์เอ็นเอ ซับยูนิตโปรตีน วัคซีนเชื้อตาย ไวรัลเวคเตอร์ และอนุภาคเสมือนไวรัส

    "วันนี้เรามีวัคซีนต้นแบบที่ผ่านการทดสอบในลิงจำนวน 1 ชนิด คือ ชนิดเอ็มอาร์เอ็นเอ (mRNA) โดยศูนย์วิจัยวัคซีน คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และผ่านการทดสอบในหนูแล้ว 3 ชนิด คือ
    1.ชนิดดีเอ็นเอ (DNA) โดยบริษัทไบโอเนทเอเชีย จำกัด
    2.ชนิดดีเอ็นเอ (DNA) โดยศูนย์วิจัยวัคซีน คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ
    และ 3.ชนิดโปรตีนซับยูนิตจากพืช โดยบริษัทใบยา ไฟโต ฟาร์ม จำกัด
    นอกจากต้นแบบข้างต้น ประเทศไทยยังมีการวิจัยพัฒนาวัคซีนต้นแบบที่อยู่ในระหว่างห้องปฏิบัติการอีกหลายชนิด ได้แก่ ชนิดซับยูนิต (subunit) ชนิดอนุภาคเสมือน (VLPs) ชนิดเชื้อตาย (Inactivated) และชนิดไวรัลเวคเตอร์ (Viral vector)"

    ปัจจุบันวัคซีนต้นแบบทั่วโลกที่อยู่ในขั้นตอนการวิจัยพัฒนาในสัตว์ทดลองและมนุษย์มีจำนวนกว่า 165 ชนิด จำแนกเป็น 2 กลุ่ม ตามความก้าวหน้าของการวิจัยพัฒนา คือ
    1.วัคซีนต้นแบบที่อยู่ในระหว่างการทดสอบในมนุษย์ (Clinical) จำนวน 26 ชนิด
    และ 2. วัคซีนต้นแบบที่อยู่ในระหว่างการทดสอบในสัตว์ (Pre-Clinical) จำนวน 139 ชนิด

    ส่วนในประเทศไทยมีผู้วิจัยวัคซีนต้นแบบรวม 6 หน่วยงาน ซึ่งมีทั้งรัฐและเอกชน ทั้งนี้การวิจัยพัฒนาวัคซีนป้องกันโควิด-19 มีความก้าวหน้าทั้งในระดับโลก และในประเทศ คาดการณ์ว่าภายในกลางปีหน้าจะมีวัคซีนป้องกันโควิด-19 ใช้ เพื่อเป็นเครื่องมือในการควบคุมการระบาดของโรคโควิด-19 นับเป็นความท้าทายความสามารถของนักวิจัยทั่วโลก แต่ทุกคนต้องไม่ลืมการปฏิบัติตัว “การ์ดอย่าตก” ภายใต้ชีวิตวิถีใหม่ (New Normal)

    ที่มา https://www.banmuang.co.th/news/bangkok/202517

    #roundtablethailand
    Roundtablethailand.com

     
  11. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,993
    ค่าพลัง:
    +97,149
    เซอร์ไพรส์คนทั่วโลกมากทีเดียว หลังจากที่ รัสเซีย ประเทศซึ่งมีผู้ติดเชื้อโควิด-19 สูงเป็นอันดับ 4 ของโลก หรือเกินกว่า 9 แสนคน และเป็นหนึ่งในหลายประเทศที่เดินหน้าพัฒนาและผลิตวัคซีนของตนเอง ประกาศว่าประสบความสำเร็จในการผลิตวัคซีนต้านโควิด-19 ตัวแรกของโลก หรือ “วัคซีน Sputnik-V” และพร้อมจะทำการผลิตเพื่อจำหน่ายในปลายปีนี้ ก่อนจะปลงใจเชื่อ มาทำความรู้จักวัคซีน ตัวนี้กันให้มากขึ้น�

    ใครเป็นผู้ผลิต? �
    -สถาบันวิจัย Gamaleya ของทางการรัสเซียในกรุงมอสโกว เป็นผู้พัฒนาวัคซีนตัวนี้ ร่วมกับกระทรวงกลาโหมรัสเซีย และกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติของรัสเซีย หรือ RDIF เป็นผู้ออกเงินทุน

    -RDIF และพันธมิตร ได้ลงทุนในโครงการผลิตวัคซีนนี้มากกว่า 4,000 ล้านรูเบิล หรือราว 1,720 ล้านบาท

    -วัคซีนตัวนี้ ได้ผ่านการทดลองใน 2 ระยะ ในช่วงเดือนมิถุนายน และกรกฎาคม โดยการทดรองระยะแรกกับอาสาสมัคร ซึ่งเป็นประชาชน 38 คน และทหาร 38 นาย (รวม 76 นาย) และในระยะที่ 2 ทดลองในอาสาสมัคร 100 คน

    -ส่วนการทดลองในมนุษย์ในระยะที่ 3 (เฟสที่ 3) ซึ่งจะต้องทำการทดลองในคนหลายพันคน ได้เริ่มต้นแล้ว พร้อม ๆ กับการจดทะเบียนรองรับ และอนุมัติวัคซีนตัวนี้เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ทั้งในรัสเซียเอง และจะนำไปทดลองในประเทศอื่น ๆ อีก เช่น ซาอุดิอาระเบีย, สหรัฐอาหรับเอมิเรต และฟิลิปปินส์

    นี่คือคำการกล่าวอ้างจากรัสเซีย แต่ทางองค์การอนามัยโลก หรือ WHO เปิดเผยรายงานความคืบหน้าวัคซีนล่าสุดเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม กลับพบว่า วัคซีนตัวนี้ของรัสเซีย เพิ่งอยู่ในขั้นการทดลองในมนุษย์ระยะที่ 1 เท่านั้นเอง

    ผลิตอย่างไร? �
    -วัคซีน Sputnik-V นี้ ใช้วิธีการผลิตที่เรียกว่า Viral vector vaccine คือ การใช้ไวรัสที่ทำให้อ่อนลงแล้วไม่ทำให้เกิดโรค มาตัดต่อใส่สารพันธุกรรมของ coronavirus ลงไป เพื่อกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกัน – เช่น วัคซีนอีโบลา ใช้วิธีนี้ ซึ่งวัคซีนของบริษัท sino ของประเทศจีน เองก็ใช้วิธีการนี้ในการผลิต และมีเทคโนโลยีที่คล้ายคลึงกัน

    มีใครได้รับการฉีดแล้วบ้าง?

    -Alexander Gintsburg ผู้อำนวยการของสถาบัน Gamaleya บอกว่า เหล่านักวิทยาศาสตร์ของสถาบันได้ทำการฉีดวัคซีนตัวนี้แล้ว แต่ผู้เชี่ยวชาญวิจารณ์ว่า วิธีการของพวกเขานั้น “นอกรีต” และเร่งรีบจนเกินไป �
    -Kirill Dmitriyev. ผู้อำนวยการของกองทุน RDIF บอกว่าคนในครอบครัวของเขาก็ได้รับการฉีดวัคซีนนี้เช่นกัน

    -ประธานาธิบดีปูติน แถลงเมื่อวันอังคารว่า ลูกสาวคนหนึ่งของเขาได้รับการฉีดวัคซีนตัวนี้ แต่ไม่เปิดเผยวันและเวลาการฉีด โดยบอกเพียงว่า หลังจากฉีดทั้ง 2 ครั้ง ลูกสาวมีไข้ 38 องศา แต่วันถัดมาก็กลับมาเป็นปกติ

    -สำนักข่าว Bloomberg รายงานว่า อาจมีนักการเมืองรัสเซียและนักธุรกิจหลายร้อยคน ที่ได้รับการฉีดวัคซีนตัวทดลอง ตั้งแต่ต้นเดือนกุมภาพันธ์ด้วยซ้ำ โดยผู้ที่ได้รับวัคซีนบางคนบอกว่า มีไข้ และปวดกล้ามเนื้อหลังฉีด ขณะที่ผู้บริหารระดับสูงรายหนึ่งที่ไม่เปิดเผยตัวตน บอกเพียงว่า เขาไม่มีอาการข้างเคียงใด ๆ
    แล้วมันปลอดภัยหรือไม่? �
    -แน่นอนว่าผู้พัฒนาย่อมต้องยืนยันว่าวัคซีน Sputnik-V นี้ปลอดภัยดี และปูตินก็บอกว่า “มันมีประสิทธิภาพดีทีเดียว” และยังทำให้เกิด “ภูมิคุ้มกันที่คงที่” ด้วย �
    -ด้านนักวิทยาศาสตร์ตะวันตกต่างแสดงความกังวลถึง “ความเร่งรีบ และรวดเร็ว” ในการผลิตวัคซีนของรัสเซีย ซึ่งอาจทำให้นักวิจัยรัสเซียได้ตัดลดขั้นตอนหลายขั้น จากแรงกกดดันของทางการเพื่อให้ได้วัคซีนออกมา

    -แม้แต่นักไวรัสวิทยาของรัสเซีย ก็ยังเตือนว่า วัคซีนนี้อาจเป็นอันตรายต่อประชาชนที่มีแอนติบอดี้ต้านไวรัสอยู่แล้ว

    -ส่วน WHO ก็ขอให้รัสเซียเดินหน้าตามขั้นตอนในไกด์ไลน์ ให้ครบทุกกระบวนการที่สำคัญในการผลิตวัคซีนเพื่อความปลอดภัย และการที่ WHO จะประทับตรารับรองวัคซีนนั้น จะต้องมีการตรวจสอบความปลอดภัยอย่างเข้มงวดในทุกขั้นตอนของการทดลอง

    -รัฐมนตรีสาธารณสุขรัสเซีย บอกว่า การทดลองในมนุษย์ระยะที่ 3 นั้น ก็จะดำเนินต่อไปพร้อมกับการผลิตวัคซีน
    ชาวโลกจะได้ใช้เมื่อใด? �
    -หลังจากที่จดทะเบียนรับรอง โดยกระทรวงสาธารณสุขรัสเซียไปแล้ว และประกาศจะให้ประชาชนได้ใช้กันในวันที่ 1 มกราคม 2021�
    -และจะฉีดวัคซีนให้บุคลากรทางการแพทย์ได้ภายในสิ้นเดือนสิงหาคม-ต้นเดือนกันยายน ทั้งนี้ ปัจจุบันมีมากกว่า 20 ประเทศแล้วที่ได้สั่ง พรีออร์เดอร์จากรัสเซีย รวมกว่า 1 พันล้านโดส

    https://www.tnnthailand.com/content/51226

    #RoundtableThailand
    roundtablethailand.com

     
  12. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,993
    ค่าพลัง:
    +97,149
    เวียดนาม : เสร็จสิ้นกระบวนการผลิตวัคซีนโควิด 19

    หน่วยงานด้านการวิจัยและพัฒนาวัคซีนโควิด 19 ในประเทศ กำลังเพิ่มประสิทธิภาพขั้นตอน และเตรียมพร้อมสำหรับการทดลองในมนุษย์

    หลังจากการทดลองที่ประสบความสำเร็จแสดงให้เห็นว่าวัคซีนโควิด 19 " ที่ผลิตในเวียดนาม " สร้างภูมิคุ้มกันที่ดี หน่วยงานด้านวิจัยและพัฒนา โควิด 19 ในประเทศกำลังเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการเตรียมความพร้อมสำหรับการทดสอบการฉีดเข้าในอาสาสมัคร และการเพิ่มการผลิตในปริมาณมาก

    © VietNam New

     
  13. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,993
    ค่าพลัง:
    +97,149
    พบผู้ติดเชื้อเพิ่ม 69 รายวานนี้ในฮ่องกง เสียชีวิตเพิ่มอีก 3 ราย

    เมื่อวานนี้ (13 ส.ค. 20) ได้มีรายงานมีผู้ติดเชื้อเพิ่มทั้งหมด 69 ราย รวมยอดสะสมทั้งหมด 4,313 ราย และมีผู้เสียชีวิตเพิ่มอีก 3 ราย รวมเป็น 66 ราย

    ในกลุ่มผู้ที่ติดเชื้อเพิ่มในฮ่องกงนั้น รวมถึงคนงานที่ Kwai Tsing Container Terminals ที่เกี่ยวเนื่องกับเคสอื่นอย่างน้อย 17 ราย และพนักงานที่พบว่าติดเชื้อหลังจากที่เคยมีเจ้าหน้าที่ไปตรวจเชื้อที่นั่น

    รวมทั้งแรงงานแม่บ้านชาวอินโดนีเซียที่เคยพักที่ Tsuen Wan hostel กับแม่บ้านอีกคนที่ยืนยันติดเชื้อไปก่อนหน้านี้

    ***ติดตามอัพเดทสรุปประเด็นต่างๆ เกี่ยวกับไวรัสโคโรน่าในฮ่องกงได้ที่กระทู้ปักหมุด***


    Source:https://www.scmp.com/news/hong-kong...https://www.coronavirus.gov.hk/eng/index.html

    #ข่าวฮ่องกง #khaohongkong

     
  14. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,993
    ค่าพลัง:
    +97,149
    มาเลเซีย GDP ไตรมาส 2 ร่วง -17% หนักสุดในอาเซียน
    แย่สุดนับตั้งแต่วิกฤติ “ต้มยำกุ้ง”
    .
    เหมือนเป็นการแข่งกันเป็นอันดับ 1 ในด้านการติดลบทางเศรษฐกิจของอาเซียน เพราะล่าสุดวันนี้ธนาคารกลางมาเลเซียประกาศตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ GDP เทียบแบบ YOY ในไตรมาส 2 ปี 2563 ติดลบถึง 17.1% นับเป็น DEEP DOUBLE DIGIT CONTRACTION ติดกันในปีนี้จากไตรมาสแรกของปี 2563 ที่ +0.7% นับเป็นตัวเลขเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ที่สุดในรอบ 22 ปี หนักกว่าวิกฤตต้มยำกุ้งเมื่อปี 2540
    .
    ปัจจัยก็เป็นเพราะสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสวิด – 19 ที่ส่งผลต่อภาคการบริโภคภายในประเทศให้ลดลงจากมาตรการ Lockdown ประเทศ ขณะเดียวกันเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าต่างๆ ของมาเลเซียเองก็อ่อนแอจเช่นเดียวกันส่งผลต่อการส่งออก รวมไปถึงมาตรการปิดชายแดนของมาเลเซีย ส่งผลต่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยว
    .
    สำหรับประเทศต่างๆ ในอาเซียนที่มีการประกาศตัวเลข GDP ในช่วงไตรมาสที่ 2 ออกมาแล้วมีทั้งหมด 5 ประเทศ ได้แก่
    .
    เวียดนาม: + 0.36%
    อินโดนีเซีย: - 5.32%
    สิงคโปร์: - 13.2%
    ฟิลิปปินส์: - 16.5%
    มาเลเซีย: -17.1%
    .
    ส่วนประเทศไทยคาดว่าสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติจะประกาศตัวเลข GDP ไตรมาส 2/2563 ในวันที่ 17 สิงหาคมนี้
    .
    อย่างไรก็ตามทุกประเทศคาดว่าในปี 2564 ภาพรวมของเศรษซกิจจะกลับมาเป็นบวกอีกครั้ง ภายใต้ปัจจัยการมีวัคซีนที่สามารถใช้ได้ผล

     
  15. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,993
    ค่าพลัง:
    +97,149
    เมื่อผู้ประกอบการภูเก็ต แท็กมือลบภาพลักษณ์ “เมืองของแพง”
    มันจะทำได้จริงหรือไม่? ความสำเร็จและล้มเหลวคือ?
    .
    หลังจากมีข่าวว่าภาคส่วนต่างๆ ของจังหวัดภูเก็ตได้มีการมาร่วมกันระดมสมองเพื่อที่จะกระตุ้นการท่องเที่ยวของจังหวัดที่เงียบเหงา ซบเซา จากการที่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่หายไปจากระบบหลายล้านคนเพราะไวรัสวิด – 19 และหันมาให้ความสำคัญกับนักท่องเที่ยวในประเทศมากขึ้น หวังจะลบภาพจำว่ามาภูเก็ตแล้วจ่ายแพงกว่าไปบาหลี หรือผู้ประกอบการท่องเที่ยวไม่มีมิตรจิตมิตรใจที่จะบริการต่อนักท่องเที่ยวชาวไทย
    .
    ซึ่งเท่าที่ทราบจากข่าวมีกลุ่มวิสาหกิจชุมชนบริการร่มเตียงเขตเทศบาลเมืองป่าตอง กลุ่มผู้ประกอบการสถานบันเทิงหาดป่าตอง มูลนิธิพัฒนาป่าตอง กลุ่มขยะมรสุม ตลอดจนผู้ประกอบการชายหาดป่าตองที่มาหารือกันในเรื่องนี้
    .
    สำหรับสิ่งที่ผู้ประกอบการเหล่านี้มองปัญหาก็คือ แม้ว่าภูเก็ตจะเปิดเมือง และไม่มีผู้ติดเชื้อในจังหวัดมาเป็นเวลานานแล้วมีความปลอดภัยที่จะท่องเที่ยวได้อย่างสบายใจ แต่ก็ยังไม่สามารถดึงนึกท่องเที่ยวชาวไทยให้มาเที่ยวที่ภูเก็ตได้ เพราะสิ่งที่นักท่องเที่ยวชาวไทยกังวลไม่ใช่ไวรัส แต่เป็นค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่สูง กว่าการไปเที่ยวทะเลที่ไหนก็ได้ซึ่งไม่จำเป็นต้องภูเก็ตที่เดียว
    .
    อย่างที่ผมเคยเขียนบทความเกี่ยวกับปัญหาการท่องเที่ยวในจังหวัดภูเก็ตไปก่อนหน้านี้ว่า คนไทยจำนวนไม่น้อย หรือจะเรียกว่าส่วนใหญ่เลยก็ได้ มองภาพลักษณ์ของภูเก็ตว่าเป็น “เขตปกครองพิเศษทางการท่องเที่ยว” เดินทางไปภูเก็ตเหมือนไปอีกประเทศหนึ่งซึ่งมีความเป็นมิตรกับนักท่องเที่ยวสัญชาติไทยน้อยกว่านักท่องเที่ยวสัญชาติตะวันตกหรือจากประเทศที่พัฒนาแล้ว
    ...........................................................................
    ก่อนอ่านบทความนี้อยากให้ไปอ่านที่มาที่ไปของปัญหาในบทความตามลิงค์ก่อนเพื่อความเข้าใจ
    .
    ภูเก็ต ในวันที่ดีมานก์การท่องเที่ยวน้อยกว่าซัพพลาย
    ต่างชาติหาย คนไทยบ่นของแพง กิจการเจ๊ง ผู้ค้าขาดทุน

    ............................................................................
    ราคาสินค้า บริการ ค่าที่พัก ค่าเดินทาง มีราคาสูงมาก มากจนงงว่า ภูเก็ตก็ไม่ได้ใช้เรือข้ามฝากในการขนส่งสินค้าจากแผ่นดินใหญ่มาสู่เกาะ เพราะก็มีสะพานข้ามมานานแล้ว หรือใช้ทองคำในการปูถนน สร้างบ้าน สร้างตึก แต่ทำไมทุกอย่างกลับแพงจนคนไทยรู้สึกอยู่ “ผิดที่ผิดทาง”
    .
    การลบภาพจำและสร้างภาพลักษณ์ใหม่มันไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะอย่าลืมว่าภาพลักษณ์ของภูเก็ตที่สร้างตัวเองเป็นเมืองท่องเที่ยวระดับระดับไฮเอนด์มาหลายสิบปีมันได้สร้างคำจำกัดความของการเป็นเมืองของแพงติดตัวไปจนไม่สามารถถอดออกได้แล้ว การที่จะใช้ระยะเวลาสั้นๆ เพื่อลบภาพจำเดิมๆ นั้นมันคงไม่ใช่เรื่องง่าย
    .
    และจะให้ผู้ประกอบการทำการแก้ไขปัญหาในเชิงรุกอยู่ฝ่ายเดียวก็คงเป็นเรื่องที่ยากที่จะทำให้มันสำเร็จ เพราะอย่างที่ทราบว่าระบบราชการ หน่วยงานในพื้นที่ ข้าราชการ ตำรวจ นักการเมือง ก็มีผลประโยชน์หรือส่วนได้เสียกับการท่องเที่ยวแบบโขกสับราคามาก่อนเช่นกัน พูดง่ายๆ ก็คือ ใช้ชีวิตกินหรูอยู่สบาย ไม่ต้องทำอะไรมากมายก็ได้รับผลพลอยได้จากความเฟื่องฟูของเมือง
    .
    แต่ในวันที่เมืองกำลังลำบากกลับเป็นมีแต่ผู้ประกอบการที่ดิ้นรนหาทางออก ยังไม่เห็นภาครัฐออกมาช่วยผลักดันอะไรเท่าที่ควรจะเป็น ทำหน้าที่ในระบบราชการที่เป็นส่วนสนับสนุนให้มันสามารถแก้ไขได้ทั้งระบบครบองค์ประกอบ
    .
    ซึ่งหากไม่เป็นการปรับเปลี่ยนทั้งระบบในจังหวัด เกรงว่าแคมเปญต่างๆ ที่ฝั่งเอกชนเข็นออกมาจะไม่สามารถกระจายไปสู่วงกว้างได้ และไม่มีสามารถเปลี่ยนแปลงการรับรู้ของคนไทยส่วนใหญ่ได้อย่างแน่นอน
    .
    อีกอย่างคือการใช้ช่องทางประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างภาพลักษณ์ให้เกิดการรับรู้เป็นวงกว้างไม่ว่าจะเป็นการทำสปอตโฆษณาเผยแพร่ผ่านทาง TVC หรือ Online ซึ่งการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยหรือ ททท. คงต้องกระโดดเข้ามาช่วยในเรื่องของการทำโปรโมทอย่างจริงจัง เนื่องจากมีความเชี่ยวชาญ มีสายป่านที่มากพอกับบริษัทผลิตสื่อที่สามารถสร้างสตอรี่ของแคมเปญขึ้นมาได้ และใช้เงินในการซื้อสื่อเพื่อกระจายให้ทั่วถึงแก่สายตากลุ่มเป้าหมาย ซึ่งจะต้องทำอย่างเร่งด่วน หากอยากให้แคมเปญมันสัมฤทธิ์ผลในวงกว้าง
    .
    ที่สำคัญการสร้าง Story Telling ที่มีเนื้อหาดึงดูด สร้างความประทับใจ คือพลังที่สำคัญอย่างมากในการผลิตชิ้นงานเพื่อการโปรโมท ลำพังให้ท้องถิ่นทำกันเองมันไม่ใช่เรื่องง่าย และคงไม่ประสบความสำเร็จ เพราะการสร้าง “เรื่องราว” มันต้องอาศัยการครีเอทีฟจากผู้ผลิตที่มีความชำนาญ เพื่อจะได้รู้ว่าจะสื่อสารจุดเด่นอะไรให้ตรงจุดที่สุด ซึ่งมันเป็นเรื่องที่จะต้องทำอย่างจริงจัง ไม่สามารถทำแบบขอไปทีเล่นๆ ได้ มิเช่นนั้นก็ไม่สามารถสร้างการรับรู้ของแคมเปญได้แน่นอน
    .
    สุดท้ายสิ่งที่สำคัญที่สุดคือการเปลี่ยนทัศนคติของทั้งผู้ประกอบการ ผู้รับจ้าง วินรถโดยสาร รถมอเตอร์ไซค์รับจ้าง หรือแม้แต่พอค้าแม่ค้าแบบจริงๆ ไม่ใช่เป็นการแสดง ไม่ใช่ทำเอาผักชีโรงหน้าให้คนหลงกลไปแล้วฟันเขาหัวแบะเหมือนเดิม รวมทั้งปรับมุมมองว่านักท่องเที่ยวคนไทยไม่ใช่ของตายในยามที่การท่องเที่ยวซบเซา แล้วหวังจะมาขอร้องอ้อนวอนให้เขาไปเที่ยวเมื่อหมดสิ้นหนทาง เพราะที่ผ่านมาการมองต่างชาติว่าเป็นบ่อเงินบ่อทองที่กอบโกยได้ง่าย จนไม่เห็นหัวคนไทยด้วยกันนี่แหละที่ทำให้คนไทยไม่อยากไปเยือน ซึ่งจริงๆ แล้วมันไม่ใช่เรื่องที่ยากเลยสำหรับการทำตลาดให้สอดคล้องกับพฤติกรรมของคนไทยด้วยกันเอง แต่พอคนไทยถูกลดบทบาทความสำคัญเป็นนักท่องเที่ยวชั้น 2 ตลอดมา มันเลยทำให้การมองอะไรง่ายๆ ใกล้ตัวเป็นเรื่องยากไป เพราะลืมไปแล้วว่าคนไทยต้องการอะไร
    .
    ไม่กี่วันก่อนหน้านี้ในห้องกลุ่มภูเก็ตก็เพิ่งจะมีคนท้องถิ่นภูเก็ตแท้ๆ โดนมอเตอร์ไซค์รับจ้างขูดรีดค่าโดยสารเกือบ 200 บาท จากแถวป่าตองไปทำธุระที่โรงพักระยะทางไม่ถึง 3 กิโลเมตร ซึ่งคิดดูว่าขนาดคนท้องถิ่นยังโดนแบบนี้ ในสถานการณ์ที่ยากลำบากอยู่แล้วแบบนี้ แล้วนักท่องเที่ยวจะเหลืออะไร
    .
    สรุป...ทุกอย่างสามารถเปลี่ยนแปลงได้ถ้าทำเป็นระบบ ทำจริงจัง ทำแบบจริงๆ ไม่ใช่การสร้างภาพ และใช้เครื่องมืออย่างถูกต้อง เพราะหากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งตะบี้ตะบันทำ แต่อีกฝ่ายกลับลอยตัว หรือทุกฝ่ายต่างร่วมมือกันทำ แต่ใช้สื่อไม่เป็นสื่อสารไม่ตรงจุด ก็ไม่มีทางที่จะสำเร็จได้ ดังนั้นร่วมมือทำ เป็นระบบ และใช้สื่ออย่างเป็นมืออาชีพ เพื่อสร้างภาพลักษณ์ใหม่ มันถึงจะวัดกันได้ว่าที่ผ่านมาเราทำอย่างสัมฤทธิ์ผลหรือไม่ และจำไว้เป็นบทเรียนว่าอย่าทำแบบนี้กับคนไทยด้วยกันอีก เพราะสุดท้ายเดือดร้อนมาทีไรก็ไม่มีใครมาช่วย นอกจากคนไทยจะต้องช่วยกันเองนี่แหละ
    .
    เหนือสิ่งอื่นใดต้องตอบคำถามให้ได้ว่า "ไปทำไมตั้งภูเก็ต หรือ สมุย จำเป็นขนาดไหนที่จะต้องไปไกลขนาดนั้น เพราะทะเลใต้มันก็สวยเหมือนกัน เที่ยวที่ไหนก็ได้" ต้องตอบให้ชัดว่ามันเศษกว่ายังไงเหมือนคนเลือกไปเชียงใหม่หรือเชียงราย แม้จังหวัดติดกันแต่มีจุดขายต่างกันชัดเจน ให้คนรู้ว่าไปแล้วจะได้อะไรนั่นแหละ

     
  16. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,993
    ค่าพลัง:
    +97,149
    Xpeng P7 ค่ายรถยนต์ไฟฟ้าจีนน้องใหม่อายุ 6 ปี
    ก้าวกระโดดที่สำคัญของวงการ ชาร์จครั้งเดียววิ่งไกล 700 กม.
    .
    เรียกได้ว่าประเทศจีนเป็นชาติที่มีความคึกคักและพัฒนาอย่างก้าวกระโดดรวดเร็วมากที่สุดในเรื่องของเทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้า เพราะการแข่งขันเพื่อพัฒนาขีดความสามารถของเทคโนโลยีที่ไม่จำกัดทำให้ รถยนต์ไฟฟ้าของจีนมีสมรรถนะการขับขี่ในระยะทางที่ไกลมากขึ้นและรูปทรงมีความโฉบเฉี่ยว แข่งกับเจ้าตลาดด้านรถยนต์ไฟฟ้าของโลกอย่าง Tesla จากสหรัฐฯ
    .
    ล่าสุดรถยนต์ไฟฟ้าของจีนได้พัฒนาขึ้นอีกขั้น เมื่อน้องใหม่ของวงการอย่าง Xpeng (เสี่ยวเผิง) ได้สร้างความปรากฏการเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้ารุ่น P7 ที่มีความโดดเด่นเรื่องของการขับขี่ได้ในระยะทางที่ไกลถึง 700 กิโลเมตร ตามมาตรฐานของ The New European Driving Cycle (NEDC) ต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง
    .
    เทียบง่ายๆ ก็คือสามารถขับจากกรุงเทพมหานครถึงเชียงใหม่ได้สบายๆ ซึ่งสมรรถนะที่มาเหนือชั้นขนาดนี้ทำให้ถูกจับตามองว่านี่คือคู่แข่งของ Tesla เลยทีเดียว
    .
    ความไม่ธรรมดาที่น่าจับตามองก็คือ Xpeng Motors เป็นแบรนด์น้องใหม่ในอุตสาหกรรมที่เพิ่งมีอายุเพียง 6 ขวบปีเท่านั้น แต่เบื้องหลังของเทคโนโลยีที่ปั้นแต่งรถยนต์ไฟฟ้าของค่ายนี้มีความไม่ธรรมดา เพราะเต็มไปด้วยเหล่าบรรดากลุ่มทุนจากบริษัทเทคโนโลยีขั้นสูงรายใหญ่ของจีนและต่างชาติทั้งสิ้น เช่น Capital China (จีน), Sequoia (สหรัฐฯ), Hillhouse Capital (จีน), Coatue (สหรัฐฯ) และ Aspex (สหรัฐฯ) และ Xiaomi (จีน) เป็นต้น
    .
    โมเดลของการเติบโตของบริษัท Xpeng Motors ค่อนข้างแตกต่างจากบริษัทอื่นๆ กล่าวคือ Xpeng ใช้การระดมทุนจากบริษัทต่างๆ ที่กล่าวไปข้างต้น ร่วมลงเงินและเทคโนโลยีไปพร้อมๆ กัน โดยมีรัฐบาลจีนคอยให้การสนับสนุนและอำนายความสะดวก ส่วนบริษัทอื่นๆ จะใช้วิธีการหาเงินระดมทุนด้วยตัวเอง ทำให้อัตราการเติบโตเป็นไปอย่างเชื้องช้า และต้องหาซื้อเทคโนโลยีมาใช้ในการผลิต ซึ่งกว่าจะก่อตั้งบริษัท กว่าจะออกแบบ ทดลองเทคโนโลยี และผลิต จนไปถึงกระบวนการส่งมอบอาจใช้เวลาหลายปี ซึ่งตรงจุดนี้ Xpeng Motors เลือกใช้ทางลัดแทน ทำให้เพียงระยะเวลา 6 ปี สามารถผลิตรถยนต์ที่ผ่านการทดสอบแล้ว เพื่อส่งมอบให้กับลูกค้าได้เลย
    .
    ตอนนี้ข้อมูลของ Xpeng P7 ในปัจจุบันมี 3 รุ่นย่อยก็คือ
    RWD Long Range : ระยะทางวิ่ง 586 กิโลเมตร
    RWD Super-Long Range : ระยะทางวิ่งไกลสุดมากถึง 706 กิโลเมตร
    4WD Performance : ระยะทางวิ่งไกลสุดมากถึง 706 กิโลเมตร
    .
    สิ่งที่เป็นหัวใจสำคัญของมันก็คือแบตเตอรี่ CATL รุ่นใหม่ล่าสุด ที่ขนาด 80.9 kWh แม้จะเล็กแต่ประสิทธิภาพสูง สามารถชาร์จผ่านระบบ Quick Charge จาก 30%-80% ได้ในเวลาเพียง 30 นาที หากชาร์จเพียง 10 นาที สามารถวิ่งได้ระยะทาง 120 กม. และเมื่อรถเกิดจมน้ำที่มีความลึก 1 เมตร ก็สามารถแช่อยู่ในน้ำได้นานถึง 2 วันโดยไม่เสียหาย
    .
    เรื่องความแรงก็ไม่เป็นสองรองใครเพราะ ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ล่าสุดแบบ 3in1 ขนาดกำลังสูงสุด 316 kW หรือราว 430 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 655 นิวตันเมตร
    .
    ส่วนฟังชั่นอัจฉริยะอื่นที่ใส่เข้ามาก็เช่นหมวดการขับขี่อัตโนมัติระดับ 3 (L3) ในชื่อ XPILOT 3.0 ซึ่งถือว่าเป็นรถยนต์รุ่นแรกในสายการผลิตของจีนที่สามารถใช้งานในระดับนี้ได้ ทั้งยังเป็นรถยนต์รุ่นแรกของโลกที่ใช้ระบบสมองกลจาก NVIDIA’s DRIVE AGX Xavier system-on-a-chip ที่มีความรวดเร็วในการส่งข้อมูลถึง 30 TOPS หรือ 30ล้านล้านปฏิบัติการต่อวินาที
    .
    นอกจากนี้ยังมีระบบการสั่งงานด้วยเสียงผ่านสมาร์ทโฟน ทั้งจาก IOS และ Android และอื่นๆ อีกมากมาย
    .
    ตอนนี้ P7 ได้วางจำหน่ายในประเทศจีนแล้วด้วยราคาเปิดตัวที่ 229,900 - 349,900 หยวน หรือ 1,030,000 - 1,567,000 บาท ซึ่งได้รับเสียงตอบรับค่อนข้างดีจากในประเทศจีนอีกด้วย และเตรียมนำบริษัทเข้าสู่ตลาดหุ้นนิวยอร์ก เพื่อขายหุ้นต่อประชาชนทั่วไป (IPO) ท่ามกลางความตึงเครียดที่ทวีความรุนแรงขึ้นระหว่างสหรัฐฯและจีนซึ่งคุกคามบริษัทของจีนที่จดทะเบียนใน Wall Street
    .
    ทั้งนี้ประเทศจีนถือว่าให้ความสำคัญอย่างมากในการผลักดันอุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า และยังเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดในโลกอีกด้วย รัฐบาลมีมาตรการในการส่งเสริมทั้งระบบไม่ว่าจะเป็นทั้งค่ายผู้ผลิตและผู้บริโภค เช่น การลดภาษีชิ้นส่วนรถยนต์ไฟฟ้า การทุ่มงบประมาณสนับสนุนงานวิจัยให้แก่เอกชน เพื่อดึงดูดการลงทุนในอุตสาหกรรมนี้เข้าประเทศ รวมทั้งใช้งบประมาณอุดหนุนรถยนต์ไฟฟ้าต่อคันเพื่อให้ผู้ซื้อเข้าถึงรถยนต์ไฟ้ฟ้าได้ในราคาที่ถูกลง และเป็นการจูงใจให้เลือกซื้อรถยนต์ไฟฟ้ามาใช้แทนรถยนต์เครื่องยนต์สันดาบ
    .
    ส่วนมาตรการฝั่งของผู้บริโภคเองก็มีมาตรการลดภาษีการขายที่อัตราดอกเบี้ยต่ำพิเศษ ให้สิทธิพิเศษรถยนต์ไฟฟ้าสามารถขับขี่ได้ทุกวัน เพราะบางเมืองบางมณฑลมีการจำกัดทะเบียนรถยนต์ให้วิ่งได้แค่วันคู่วันคี่ เพื่อลดปัญหาการจราจรติดขัดรวมทั้งปัญหามลพิษทางอากาศที่สูงเกินค่ามาตรฐาน ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลจีนมีความจริงจังอย่างยิ่งในการแก้ไขปัญหา เพื่อจูงใจให้ประชาชนเปลี่ยนมาใช้รถยนต์ไฟฟ้าให้มากขึ้นนั่นเอง
    .
    ที่น่าสนใจยิ่งกว่าก็คือ เวลานี้รถยนต์พลังงานฟอสซิลของค่ายต่างๆ เริ่มมียอดขายรถลง จนกำลังกระทบกับมูลค่าของบริษัท เช่น โตโยต้าจากแดนปลาดิบ ที่เคยเป็นค่ายรถยนต์ที่มีมูลการตลาดสูงที่สุดของโลก ปัจจุบันนี้โดนเทสล่าแซงขึ้นมาเป็นที่เรียบร้อย แถม 2 ไตรมาสที่ผ่านมาผลกำไรก็ลดลง 74% จากช่วงเดียวกันในปีที่แล้ว ขณะที่รายได้ระหว่างเดือน เม.ย. - มิ.ย. ลดลง 40% จากปีที่แล้ว และผลกำไรจากการดำเนินงานสุทธิก็ลดลงถึง 98% ซึ่งยอดขายในประเทศจีนร่วงหนักลงไปเกือบ 70% ในเดือน ก.พ. เทียบกับปีที่แล้ว ทำให้ยอดขายรถโตโยต้าโดยรวมในจีนเพิ่มขึ้นเพียง 1% เท่านั้นและเป็นค่ายรถยนต์ยักใหญ่ที่ปรับตัวเข้าสู่อุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าได้ช้าที่สุด เนื่องจากขนาดองค์กรที่ใหญ่โตและการมีตลาดรถยนต์แบบเดิมที่พันตัวเองเอาไว้ ทำให้การปรับเปลี่ยนเป็นไปได้ยาก
    .
    อย่างไรก็ตามก็คงต้องจับตาดูกันต่อไปสำหรับอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าทั้งในจีนและในตลาดโลกว่าจะมีทิศทางการแข่งขันต่อไปอย่างไร และการพัฒนาเทคโนโลยีในการขับขี่ รวมทั้งความจุของแบตเตอรี่จะสามารถเทียบเท่ากับรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาบได้เร็วขนาดไหน เพราะหากมีผู้เล่นรายใหญ่ๆ ของโลกกระโดดลงมาร่วมวงมากขึ้นเรื่อยๆ จะยิ่งเป็นการสร้างการพัฒนาในการแข่งขันของอุตสาหกรรมนี้อย่างรวดเร็ว และเชื่อว่าในระยะเวลา 3 ไม่เกิน 5 ปี หลังจากนี้ ตลาดของรถยนต์ไฟฟ้าคงมีอะไรให้ว้าวกว่าที่เป็นอยู่อย่างแน่นอน
    .
    แหล่งอ้างอิง
    https://www.carscoops.com/2020/07/the-xpeng-p7-can-put-on-a-pretty-cool-light-show/
    https://insideevs.com/news/434901/xpeng-announces-500-million-series-c-financing/
    https://insideevs.com/reviews/436499/bjorn-xpeng-p7-performance-acceleration-review/
    https://www.autoblog.com/2020/08/06/toyota-quarterly-profit-sales/

     
  17. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,993
    ค่าพลัง:
    +97,149
    อยู่ไม่ไหว ยุค “โดนัลด์ ทรัมป์” ทำคนอเมริกันทิ้งสัญชาติพุ่ง
    เหตุแบกภาษี แม้มีชีวิตใหม่ที่ต่างแดน - ไร้ปัญญาแก้ไวรัส
    .
    การที่สหรัฐอเมริกาเป็นชาติมหาอำนาจอันดับ 1 ของโลก คนภายนอกมักมีมุมมองเกี่ยวกับประเทศนี้ว่าเป็นดินแดนแห่งโอกาส และเสรีภาพในการใช้ชีวิต ผู้คนจากทั่วโลกไม่น้อยที่ยอมละทิ้งถิ่นฐานบ้านเกิดเมืองนอนเพื่อดิ้นรนขวนขวายเข้าไปหาโอกาสในชีวิตที่ (อาจ) ดีกว่าในสหรัฐฯ ซึ่งก็มีทั้งผู้ที่ประสบความสำเร็จจากความพยายามและล้มเหลว
    .
    อย่างที่ทราบกันว่าการที่บุคคลสัญชาติอื่นจะได้เป็นพลเมืองของสหรัฐฯ อย่างถูกต้องตามกฎหมายนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย มีขั้นตอนในการพิสูจน์ ใช้ระยะเวลา และเงินอีกมหาศาล ที่กว่าจะได้สถานะพลเมืองเต็มขั้นที่นั่น เพราะมันหมายถึงการได้รับสวัสดิการจากภาครัฐอย่างเต็มที่ มีความสะดวกสบายในการทำธุรกรรมต่างๆ หรือแม้แต่ได้ถือสัญชาติที่หนังสือเดินทางมีอำนาจเป็นอันดับต้นๆ ของโลก ซึ่งมันก็ฟังดูดีใช่ไหม?
    .
    แต่ในปัจจุบันการได้เป็นอเมริกันชนนั้นจะยังเป็นสิ่งที่ผู้คนต้องการอยู่หรือไม่ เพราะล่าสุดตัวเลขสถิติของชาวอเมริกันเริ่มมีการละทิ้งสัญชาติมากขึ้นซึ่งสูงเป็นประวัติการณ์ ในยุคสมัยของ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ
    .
    ที่บอกว่าสูงเป็นประวัติการก็เนื่องจากในรอบ 6 เดือนของปีนี้มีชาวอเมริกันยื่นเรื่องสละสัญชาติเกิดเพื่อถือสัญชาติใหม่เพิ่มขึ้นถึง 1,210% เป็นจำนวนถึง 5,816 คน จาก 6 เดือนหลังของปี 2019 ที่มีเพียง 444 คน และทั้งปีที่ 2,072 คน
    .
    ต้องเข้าใจก่อนว่าตัวเลขการทิ้งสัญชาตินี้ไม่ใช่ชาวอเมริกันที่อยู่ในประเทศ แต่เป็นชาวอเมริกันที่อยู่นอกประเทศสหรัฐฯ ซึ่งเดินทางไปทำงาน หรือใช้ชีวิตในต่างแดน โดยมีตัวเลขชาวอเมริกันที่พำนักระยะยาวในต่างประเทศทั่วโลกราว 9 ล้านคน
    .
    5,816 คนของผู้ที่พร้อมสละสัญชาติต่อ 9 ล้านอาจเทียบดูแล้วมีสัดส่วนเพียงน้อยนิด ไม่ถึง 0.001% แต่ที่มันไม่ปกติก็เนื่องจากว่าอัตราเร่งที่เกิดขึ้นในช่วงปีนี้ที่สูงกว่าตัวเลขปกติของทุกๆ ปี ที่มีเพียงแค่หลักร้อยต่อรอบ 6 เดือน แต่ปีนี้เพียงแค่ 6 เดือนกลับมีตัวเลขสูงทะลุครึ่งหมื่นรายไปแล้ว
    .
    Bambridge Accounts บริษัทจัดการบัญชีของสหรัฐฯ เผยข้อมูลถึงสาเหตุที่ทำให้ชาวอเมริกันสมัครใจละทิ้งสัญชาติมีด้วยกันหลายสาเหตุ แต่สาเหตุหลักก็คือ “ภาษี” สำหรับชาวอเมริกันหรือผู้ที่ถือสัญชาติอเมริกันนั้น มีการจ่ายภาษีเงินได้มีความยิบย่อยสูงมาก หากแบ่งออกเป็นหมวดใหญ่ จะแบ่งได้ 2 หมวดคือ ภาษีอากรระดับรัฐบาลกลาง และ ภาษีอากรระดับมลรัฐ ซึ่งถ้าหากย่อยลงไปที่ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาก็จะพบว่ายังมีการจ่ายภาษีที่ทับซ้อนอยู่ในภาษีรูปแบบต่างๆ อีกหลายชั้น ซึ่งสัดส่วนการจ่ายภาษีของบุคคลธรรมดาอาจสูงถึง 35 - 40% ของเงินได้ ยังไม่รวมภาษีความมั่นคงที่กำลังเป็นปัญหาถกเถียงว่าเป็นการรีดภาษีของประชาชนทั่วไป
    .
    แต่ในระดับมหาเศรษฐีของประเทศกลับมันสัดส่วนการจ่ายภาษีในเปอร์เซ็นที่น้อยกว่า หรือบางบริษัทขนาดใหญ่ในแต่ละปีไม่ต้องจ่ายภาษีเลยก็มีเพราะมีการนำเงินเข้าสนับนุนพรรคการเมืองซึ่งเป็นการหักภาษีไปในตัว และมันทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำในเรื่องการจัดเก็บภาษีระหว่างคนรวยและคนธรรมดาทั่วไป หากสนใจเรื่องระบบภาษีของสหรัฐฯ แนะนำให้หาอ่านข้อมูลเพิ่ม เพราะถ้ายัดลงมาในบทความนี้คงจะยาวเกิน 10 แผ่นแน่ๆ
    .
    ดังนั้นเมื่อถือสัญชาติอเมริกันแต่ตัวไม่ได้อยู่ในประเทศสหรัฐฯ แล้ว ก็ยังต้องยืนแบบเสียภาษีกลับประเทศอยู่ดี ต่อให้อยู่แห่งหนตำบลใดของโลกใบนี้ หรือตั้งแต่โตมาไม่ยังเคยกลับไปเหยียบแผ่นดินที่ถือสัญชาติตามกำเนิดเลยก็ตาม ก็ยังต้องมีหน้าที่จ่ายภาษีในฐานะที่เป็นพลเมืองอเมริกัน
    .
    ดังนั้นเมื่อชาวอเมริกันหลายคนรู้สึกไม่ผูกพันต่อประเทศ และการถือสัญชาติอเมริการกลายเป็นภาระแทนความภาคภูมิใจ การสละสัญชาติจึงเป็นทางออก เพราะไม่เช่นนั้นการใช้ชีวิต หรือทำงานในประเทศที่พำนักพักพิงอยู่ก็ต้องเสียภาษีเงินได้ให้กับประเทศที่ใช้ชีวิตอยู่จริง ซึ่งมันคือการแบกภาษีซ้ำซ้อน 2 ทาง มันคือภาระนั่นเอง
    .
    แต่การจะสละสัญชาติก็ไม่ใช่จะสามารถทำได้ฟรีๆ ง่ายๆ อีกด้วย เพราะมีค่าดำเนินการถึง 2,000 ดอลลาร์ หรือราว 62,000 บาท ซึ่งจะต้องไปดำเนินการด้วยตัวเองยังสถานทูตฯ สหรัฐในประเทศที่พำนัก
    .
    ส่วนสาเหตุอื่นๆ ก็ได้แก่ ชาวอเมริกันบางคนที่ถือสัญชาติอเมริกันด้วยและสัญชาติประเทศที่พำนักด้วยต้องการลงเล่นการเมืองในประเทศนั้นๆ หรือการทำงานในบางอาชีพเช่น ทหาร ซึ่งไม่สามารถถือสองสัญชาติได้ ก็จำเป็นต้องสละสัญชาติอเมริกันทิ้งไป เพื่ออนาคตในอาชีพการงานในปัจจุบัน
    .
    ปัจจัยเร่งที่ทำให้ช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมานั้นมีสถิติของชาวอเมริกันทิ้งสัญชาติมากเป็นหลายเท่าตัวก็มาจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสวิด – 19 ในสหรัฐฯ กับการบริหารงานที่ “ไม่ได้เรื่อง” ของทรัมป์เพื่อยุติการระบาด ทำให้คนอเมริกันเหล่านี้มองว่า นี่มันไม่ใช่ประเทศที่คุ้นเคยอีกต่อไป และการถือหนังถือเดินทางของสหรัฐฯ กลายเป็นเรื่องต้องห้ามในเวลานี้แม้กับประเทศพันธมิตรในยุโรปเองที่ห้ามพลเมืองของสหรัฐฯ เดินทางเข้าประเทศเนื่องจากมีการแพร่ระบาดของไวรัสเป็นอันดับ 1 ของโลก หรือแม้แต่เดินทางกลับเข้าประเทศตัวเองก็ยังเป็นเรื่องยากหรือเป็นไปไม่ได้
    .
    ไหนจะการสร้างความขัดแย้งกับประเทศอื่นไปทั่วโลก การสร้างสงครามทางการค้า หรือแม้แต่การนำเอาความขัดแย้งทางด้านผิวสีมาเป็นประเด็นทางการเมือง รวมทั้งการที่สหรัฐฯ ถูกลดบทบาทบนเวทีโลกในมิติทางเศรษฐกิจ และอำนาจระหว่างประเทศลงไป สิ่งเหล่านี้ก็เป็นตัวเร่งที่ทำให้คนอเมริกันที่อยู่ต่างถิ่นได้ทบทวนว่า มันยังเป็นอยู่หรือไม่ที่ต้องคงสัญชาติเอาไว้ ทั้งๆ ที่แทบไม่ได้ประโยชน์อะไรในเวลานี้
    .
    แหล่งอ้างอิง
    https://www.rt.com/usa/497650-americans-give-up-citizenship-record/
    https://www.theguardian.com/comment...iving-americans-to-renounce-their-citizenship
    http://www.businessmole.com/over-5000-americans-renounce-citizenship-in-first-half-of-2020/
    https://www.newsweek.com/citizenship-renunciations-have-doubled-2019-2020-under-trump-152416

     
  18. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,993
    ค่าพลัง:
    +97,149
    เปิดโครงสร้างงบประมาณปี 64 มาจากภาษีอะไรบ้าง
    สลากฯ เหล้า บุหรี่ เก็บภาษีได้เท่าไหร่ เก็บอะไรได้มากสุด
    .
    ทุกคนรู้ แฟนคลับรู้ เดือนนี้เป็นเดือนสุดท้ายที่จะสามารถยื่นแบบฟอร์มภาษีเงินได้ ซึ่งผมเองก็ร้อนๆ หนาวๆ ไม่น้อยว่าจะโดนภาษีรอบนี้เท่าไหร่ หาอะไรมาลดหย่อนเพิ่มอีกได้ไหม แต่สุดท้ายไม่เช้าก็เร็วต้องจ่ายอยู่ดีเพราะมันคือหน้าที่ของประชากรมนุษย์โลกผู้มีเงินได้
    .
    เรื่องภาษีเป็นวิชาการเงินที่เรียนแล้วน่าเบื่อ เข้าใจยากที่สุด แต่พอก้าวเข้าสู่วัยทำงานกลับต้องเรียนรู้เรื่องเหล่านี้ให้ชัดแจ้ง เพราะมันคือสิ่งที่ประชาชนทุกคนต้องรู้ เพื่อที่จะได้บริหารภาษีของตัวเองอย่างถูกต้อง และในระดับโครงสร้างทางภาษีของประเทศเราก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ก็ต้องรู้ไว้บ้างไม่เสียหลาย เพราะมันคือสิ่งที่จะนำไปสู่ “งบประมาณแผ่นดิน” ที่ใช้ในการบริหารกิจการภายในประเทศ
    .
    ดังนั้นมาลองเรียนรู้กันว่างบประมาณแผ่นดินประจำปีงบประมาณ 2564 (1 ตุลาคม 2563 – 30 กันยายน 2564) ประเทศไทยจัดเก็บภาษีได้เท่าไหร่ เก็บได้จากอะไรบ้าง ภาษีอะไรเก็บได้มากที่สุดตามลำดับ
    .
    ในปีนี้รัฐจะมีรายได้ 2 ทางที่เข้ามาในในคลังหลวงได้แก่
    1️⃣ รายได้ที่รัฐสามารถจัดเก็บภาษี 2.677 ล้านล้านบาท มีสัดส่วน 81.1%
    2️⃣ เงินกู้รัฐบาล 6.23 แสนล้านบาท สัดส่วน 18.9%
    .
    สำหรับในปีนี้รัฐมีรายทั้งหมดที่จะกลายมาเป็นงบประมาณแผ่นดินทั้งสิ้น 3.3 ล้านล้านบาท ซึ่งมากกว่าปีงบประมาณ 2563 ซึ่งอยู่ที่ 3.2 ล้านล้านบาท หรือเป็น 21% ของ GDP ที่ 15.5 ล้านล้านบาท
    .
    เงิน 2.677 ล้านล้านบาท รัฐจัดเก็บมาจากอะไรบ้าง?
    ตำตอบก็คือ “ภาษี” ซึ่งมีทั้ง “ภาษีทางตรง” และ “ภาษีทางอ้อม”
    โดยภาษีที่จัดเก็บได้คือ 2.437 ล้านล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 73.9%
    ภาษีทางตรง 1.168 ล้านล้านบาท โดยแบ่งออกเป็น
    ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 370,000 ล้านบาท
    ภาษีเงินได้นิติบุคคล 714,000 ล้านบาท
    ภาษีปิโตรเลียม 70,000 ล้านบาท
    ภาษีการเดินทางออกนอกราชอาณาจักร 12,000 ล้านบาท
    .
    ภาษีทางอ้อม 1.749 ล้านล้านบาท โดยแบ่งออกเป็น
    ภาษีการขายทั่วไป 916,000 ล้านบาท แบ่งย่อยลงไปอีกคือ
    ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT7%) 839,000 ล้านบาท
    ภาษีธุรกิจจำเพาะ 61,000 ล้านบาท
    อากรแสตมป์ 16,000 ล้านบาท
    .
    ภาษีการขายเฉพาะ 677,000 ล้านบาท แบ่งออกเป็น
    ภาษีจากน้ำมัน 234,000 ล้านบาท
    ภาษีสินค้านำเข้าสรรพสามิต 123,000 ล้านบาท
    ภาษีสินค้าเข้าออก 102,000 ล้านบาท
    ภาษีเบียร์ 86,000 ล้านบาท
    ภาษีสุรา 56,000 ล้านบาท
    ภาษีรถยนต์56,000 ล้านบาท
    ภาษียาสูบ 37,000 ล้านบาท
    ภาษีเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ 25,000 ล้านบาท
    .
    รายได้จากการสินค้าและบริการของหน่วยงานภาครัฐ 33,000 ล้านบาท
    รายได้จากรัฐพาณิชย์ 159,000 ล้านบาท แบ่งออกเป็น
    พลังงาน 60,000 ล้านบาท
    สำนักงานสลากกินแบ่ง 45,000 ล้านบาท
    สถาบันการเงิน 23,000 ล้านบาท
    .
    ซึ่งการจัดเก็บภาษีในปีนี้แม้จะจัดเก็บได้เพิ่มขึ้นแต่สัดส่วนภาษีในและประเภทมีความเปลี่ยนแปลงจากปีก่อนหน้า เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด – 19 ทำให้สัดส่วนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาลดลง แต่ที่เพิ่มขึ้นมาคือภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งหมายความว่าประชาชนยังคงมีการจับจ่ายเพิ่มขึ้นแม้เศรษฐกิจจะชะลอตัวก็ตาม
    .
    ✴️ ดังนั้นภาษีทางตรงที่มียอดจัดเก็บได้มากที่สุดในปีนี้คือ ภาษีนิติบุคคล 700,000 ล้านบาท
    ✴️ ส่วนภาษีทางอ้อมที่มียอดจัดเก็บได้มากสุดในปีนี้นี้คือ ภาษีมูลค่าเพิ่ม 800,000 ล้านบาท
    ✴️ ขณะที่ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่ประชาชนทุกคนผู้มีเงินได้เข้าเกณฑ์การเสียภาษี ซึ่งก็คือมีเงินได้ทั้งปีรวมกัน 150,000 บาทขึ้นไป จัดเก็บภาษีได้เพียง 370,000 ล้านบาท
    .
    ประเทศไทยมีประชากรทั้งประเทศราว 67 ล้านคน
    มีประชากรที่อยู่ในวัยทำงาน 35 ล้านคน
    มีผู้มีเงินได้เข้าเกณฑ์เสียภาษี 15 ล้านคน
    ต้องยื่นแบบ ภงด.90/91(จากสถิติปี 2561) 11 ล้านคน
    ไม่ต้องจ่ายเนื่องจากรายได้ไม่ถึง 5 ล้านคน
    จ่ายภาษีจริง 6 ล้านคน
    .
    คิดเป็นสัดส่วนเพียง 6% ของประชากรทั้งประเทศ
    .
    ดังนั้นเงินภาษีที่เข้าสู่งบประมาณแผ่นดินส่วนใหญ่จึงมาจากภาษีทางอ้อมและเป็นภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นหลัก
    .
    จริงๆ แล้วกรมสรรพากรพยายามดันฐานการจ่ายภาษีให้สูงขึ้นเป็น 10 ล้านคน แต่ก็ยังไม่สามารถเพิ่มจำนวนผู้เสียภาษีให้เป็นไปตามเป้าได้ นอกจากนี้ยังมีผู้ที่มี่รายได้เข้าเกณฑ์ต้องยื่นภาษีราว 1 ล้านคน ที่ไม่ยอมทำเรื่องยื่นภาษี ซึ่งก็จะต้องเจอกับการเก็บภาษีย้อนหลัง
    .
    ส่วนภาษีเงินได้นิติบุคคลปัจจุบันอยู่ในระบบฐานภาษีราว 460,000 ราย และตั้งเป้าจะเพิ่มเป็น 600,000 ราย ภายใน 3 ปี ซึ่งอีกเกือบ 200,000 รายที่จะนำเข้ามาสู่ระบบภาษีนั้น ส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการรายย่อย และ SMEs นั้นเอง
    .
    ก็คงจะพอเห็นภาพแล้วของงบประมาณแผ่นดินและสัดส่วนของภาษีที่นำมาเป็นความรู้แบ่งปันให้ได้อ่านกันแล้ว ฉะนั้นเตือนอีกครั้งว่าเดือนนี้เป็นเดือนสุดท้ายแล้วที่ต้องยื่นภาษี ใครที่มีรายได้เข้าเกณฑ์ก็อย่าลืมยื่นให้ถูกต้องด้วย
    .
    แหล่งอ้างอิง
    http://www.planning.kmutnb.ac.th/document/index?dep_id=3&type_id=1
    https://www.rd.go.th/publish/310.0.html

     
  19. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,993
    ค่าพลัง:
    +97,149
    นอนหลับฝันดีครับ
     
  20. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,993
    ค่าพลัง:
    +97,149
    จีดีพีฮ่องกงหดตัว 9% ใน Q2/63 คาดทั้งปีหดตัว 6-8% เซ่นพิษโควิด

    รัฐบาลฮ่องกงเปิดเผยในวันนี้ว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของฮ่องกงในไตรมาส 2 หดตัวลง 9.0% เมื่อเทียบรายปี เนื่องจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ส่งผลกระทบอย่างหนักต่อเศรษฐกิจฮ่องกง

    ทั้งนี้ GDP ของฮ่องกงลดลง 9.1% ในไตรมาสแรก และตัวเลขคาดการณ์ GDP ไตรมาส 2 อยู่ที่ 9.0%

    เมื่อเทียบรายไตรมาส เศรษฐกิจของฮ่องกงในไตรมาส 2 ซึ่งปรับทบทวนตามฤดูกาลแล้ว หดตัว 0.1% หลังจากหดตัว 5.5% ในไตรมาสแรก

    นอกจากนี้ รัฐบาลฮ่องกงได้ปรับคาดการณ์ GDP ของทั้งปีนี้เป็นหดตัว 6-8% จากก่อนหน้านี้ที่คาดว่าจะหดตัว 4-7%

    Source: อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย สุภัค โห้พึ่งจู/กัลยาณี
    https://www.ryt9.com/s/iq28/3150847

    เพิ่มเติม
    - Hong Kong’s economy contracts 9% on-year in the second quarter, cuts full-year GDP forecast : https://www.cnbc.com/2020/08/14/hon...d-quarter-2020-gdp-data-economic-updates.html

    - Hong Kong Cuts Economic Forecast to Record Low on Virus
    https://www.bloomberg.com/news/arti...cast-to-record-low-on-virus?srnd=premium-asia

     

แชร์หน้านี้

Loading...