Food for health

ในห้อง 'ท่องเที่ยว - อาหารการกิน' ตั้งกระทู้โดย rinnn, 15 มกราคม 2006.

  1. rinnn

    rinnn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    7,666
    ค่าพลัง:
    +24,024
    สาหร่ายทะเล กินอร่อยได้ประโยชน์ [FONT=&quot]<o =""></o>[/FONT]

    สาหร่ายทะเลเป็นอาหารชั้นเลิศที่อุดมไปด้วยคุณประโยชน์ต่อร่างกายมากว่า 2[FONT=&quot],[/FONT]000 ปี มีบันทึกในพงศาวดารจีนไว้ว่า [FONT=&quot]“[/FONT]จักรพรรดิจิ๋นซีฮ่องเต้พยายามเสาะแสวงหายาอายุวัฒนะ เพื่อให้พระองค์มีพระชนม์ชีพครองราชสมบัติยืนยาว ถึงกับส่งคนข้ามน้ำข้ามทะเลมายังประเทศญี่ปุ่นเพื่อขอสาหร่ายนำไปปรุงเป็นยาอายุวัฒนะ จากนั้นสาหร่ายทะเลจำนวนมากก็ถูกส่งจากญี่ปุ่นเข้าสู่จีนและนำไปใช้เป็นยารักษาโรคต่างๆ[FONT=&quot]”[/FONT][FONT=&quot]<o =""></o>[/FONT]
    สาหร่ายทะเล ([FONT=&quot]Seaweed[/FONT]) เป็นพืชที่อาศัยอยู่ใต้ทะเล เป็นผักทะเล ([FONT=&quot]Sea Vegetable[/FONT]) ชนิดหนึ่งที่ใช้แสงอาทิตย์ในการสร้างอาหารเช่นเดียวกับพืชทั่วๆ ไป แต่ไม่มีราก ดอก ใบ เหมือนพืชบนบก ปัจจุบันมีการค้นพบว่ามีสาหร่ายอยู่ถึง 20,000 ชนิดทั่วโลก ซึ่งแบ่งออกเป็นกลุ่มได้ 4 กลุ่ม ดังนี้[FONT=&quot]<o =""></o>[/FONT]
    สาหร่ายสีน้ำเงิน ([FONT=&quot]Blue Seaweed[/FONT]) เป็นสาหร่ายเซลล์เดียวที่มีขนาดเล็ก เช่น สาหร่ายสไปรูลินา ([FONT=&quot]Spirulina[/FONT]) หรือสาหร่ายเกลียวทอง [FONT=&quot]<o =""></o>[/FONT]
    สาหร่ายสีเขียว ([FONT=&quot]Green Seaweed[/FONT]) มีความยาว 10-50 เซนติเมตร พบมากบริเวณน้ำตื้น ได้แก่ [FONT=&quot]Aosa, Fucus Vesiculosus [/FONT]และ [FONT=&quot]Laminaria Digitata<o =""></o>[/FONT]
    สาหร่ายสีแดง ([FONT=&quot]Red Seaweed[/FONT]) อยู่ในส่วนน้ำลึกที่สุด มีความยาวตั้งแต่ 10-40 เซนติเมตร เช่น[FONT=&quot] Codium Corallina<o =""></o>[/FONT]
    สาหร่ายสีน้ำตาล ([FONT=&quot]Brown Seaweed[/FONT]) พบมากในบริเวณน้ำลึกปานกลาง มีความยาวตั้งแต่ 10 เซนติเมตรถึง 100 เมตร เป็นสาหร่ายที่อุดมด้วยคุณค่ามากกว่าสาหร่ายชนิดอื่นๆ เช่น [FONT=&quot]Ascophyllum Nodosum <o =""></o>[/FONT]
    ในสาหร่ายทะเลมีสารอาหารและแร่ธาตุที่สำคัญต่อร่างกายจำนวนมากถึง 77 ชนิด เป็นแร่ธาตุที่ร่างกายมนุษย์ต้องการอยู่ 18 ชนิด อาทิ แคลเซียม คลอรีน โครเมียม ทองแดง โคบอลต์ เหล็ก ไอโอดีน แมกนีเซียม ซัลเฟอร์ โซเดียม วาเนเดียม และสังกะสี แต่ที่มีมากเป็นพิเศษและมีความสำคัญต่อร่างกายเรามาได้แก่[FONT=&quot]<o =""></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]“[/FONT]ไอโอดีน[FONT=&quot]”[/FONT] ซึ่งโดยปกติแล้วมนุษย์เราต้องการไอโอดีนประมาณ 0.1-0.3 มิลลิกรัมต่อวัน หากเทียบกับการกินสาหร่ายทะเลชนิดแผ่นขนาดกว้าง 2 เซนติเมตร ยาว 2 เซนติเมตร แค่นี้ก็เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายในแต่ละวันแล้ว และในสาหร่ายทะเลปริมาณ 100 กรัมมีแคลเซียมมากถึง 710 มิลลิกรัม ซึ่งจะเป็นตัวช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง ถ้าหากร่างกายขาดแคลเซียมแล้ว มิใช่แค่กระดูกและฟันเท่านั้นที่จะเสื่อม แต่ยังส่งผลถึงจิตใจ ทำให้หงุดหงิดง่าย ขี้กังวล เครียดง่าย ถ้าเป็นเด็กก็จะงอแงโดยไม่มีสาเหตุ [FONT=&quot]<o =""></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]“[/FONT]ธาตุเหล็ก[FONT=&quot]”[/FONT] เป็นสารอาหารอีกชนิดหนึ่งที่มีอยู่ในสาหร่ายทะเล ซึ่งช่วยบำรุงผิวพรรณให้ดูเปล่งปลั่งมีน้ำมีนวล รวมทั้งบำรุงเส้นผมให้ดกดำเป็นมันเงางามมากยิ่งขึ้น [FONT=&quot]<o =""></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]“[/FONT]ทองแดง[FONT=&quot]”[/FONT] หน้าที่ดูดซึมธาตุเหล็กและสร้างฮีโมโกลบินที่ไขกระดูก หากร่างกายขาดธาตุนี้จะทำให้เป็นโรคโลหิตจางและผมร่วงง่าย [FONT=&quot]<o =""></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]“[/FONT]สังกะสี[FONT=&quot]”[/FONT] เป็นส่วนประกอบของเอนไซม์หลายชนิดในร่างกาย ถ้าขาดธาตุสังกะสีจะทำให้รู้สึกเบื่ออาหารและเป็นโรคโลหิตจาง โดยเฉพาะเด็กจะทำให้การเจริญเติบโตหยุดชะงัก และมักเป็นแผลตามผิวหนังได้ง่าย [FONT=&quot]<o =""></o>[/FONT]
    ส่วนเนื้อสาหร่ายทะเลนั้นจะเป็นสารจำพวกเส้นใย ([FONT=&quot]Fiber[/FONT]) ที่ร่างกายไม่สามารถย่อยได้อยู่ประมาณ 40-60 เปอร์เซ็นต์ เส้นใยเหล่านี้จะกระตุ้นให้ลำไส้เกิดการบีบตัวและเคลื่อนไหวเพิ่มขึ้น ทำให้สารก่อมะเร็งไม่สามารถเกาะติดอยู่ตามผนังลำไส้ได้ และถูกขจัดออกไปพร้อมกับอุจจาระ [FONT=&quot]<o =""></o>[/FONT]
    ในหลายประเทศสาหร่ายทะเลเป็นยาแผนโบราณ เพราะสามารถป้องกันและบรรเทาอาการเจ็บป่วยเล็กๆ น้อยๆ ได้ เช่น หากมีอาการท้องผูกบ่อยๆ ให้แช่สาหร่ายทะเลประมาณ 2-3 แผ่นในน้ำเย็น 1 แก้ว แล้วทิ้งไว้หนึ่งคืน นำมาดื่มในตอนเช้าทุกวัน จะช่วยแก้อาการท้องผูกได้ หากใครมีอาการไอเป็นเลือดให้นำสาหร่ายมาต้มน้ำดื่มวันละ 2 ครั้ง ครั้งละครึ่งแก้วทุกเช้า-เย็น จะช่วยให้อาการดีขึ้น แต่ถ้ามีอาการชาตามนิ้วมือ นิ้วเท้า เจ็บบริเวณเต้านม ผมร่วงง่าย ลำไส้อักเสบ ตับอักเสบ เป็นริดสีดวงทวาร ความดันโลหิตสูง ไขข้ออักเสบ หลอดเลือดแข็ง ให้กินสาหร่ายทะเลเป็นประจำจะช่วยให้อาการทุเลาลงได้[FONT=&quot]<o =""></o>[/FONT]
    ไม่เพียงแต่จะอร่อยแล้ว ยังมากด้วยประโยชน์ที่หาได้ในสาหร่ายทะเลในราคาไม่แพงเลย[FONT=&quot]<o =""></o>[/FONT]
    [FONT=&quot].............................................................................<o =""></o>[/FONT]​
    [FONT=&quot]<o ="">
    </o>[/FONT]​
    นานาประโยชน์จาก Apple Cider Vinegar<o =""></o>
    [FONT=&quot][/FONT]
    น้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิล ([FONT=&quot]Apple Cider Vinegar[/FONT]) ทำจากแอปเปิลสุกจัดจากต้นเพราะแอปเปิลที่สุกคาต้นนั้นมีคุณประโยชน์สูง นอกจากนี้ยังต้องปลูกด้วยวิธีธรรมชาติแบบเกษตรอินทรีย์ [FONT=&quot](Organic[/FONT]) อีกด้วย เมื่อได้แอปเปิลสุกแล้วนำมาบดให้ละเอียด คั้นเอาแต่น้ำ นำน้ำแอปเปิลที่ได้หมักในถังไม้ให้เกิดปฏิกิริยาตามธรรมชาติ โดยจะเปลี่ยนน้ำตาลในน้ำแอปเปิลให้กลายเป็นแอลกอฮอล์ เกิดเป็นกรดอะซิติก ([FONT=&quot]Acetic acid[/FONT]) ซึ่งเป็นกรดอินทรีย์ตามธรรมชาติที่ไม่เป็นอันตรายต่อกระเพาะอาหาร น้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิลที่ด้จะมีสีน้ำตาลอ่อน เมื่อส่องกับแสงจะสังเกตเห็นเส้นใยบางๆ เรียกว่า [FONT=&quot]Mother [/FONT]อยู่ที่ก้นขวด [FONT=&quot]<o =""></o>[/FONT]
    ประโยชน์ของน้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิลนั้นมีมากมายและเป็นที่รู้จักกันดีในทางวิทยาศาสตร์ว่าเป็นหนึ่งในอาหารธรรมชาติที่ดีที่สุดสำหรับสุขภาพและชีวิตที่ยืนยาว ที่เป็นเช่นนี้เพราะแอปเปิลเป็นผลไม้ที่มีโพแทสเซียมสูง ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของเนื้อเยื่อ ผิวหนัง และเป็นสารอาหารที่สำคัญของเซลล์ในร่างกายมนุษย์ ทำให้เส้นเลือดแดงมีความยืดหยุ่น อีกทั้งยังเป็นตัวสำคัญในการต่อสู้กับแบคทีเรีย ไวรัส โดยเฉพาะคนที่ขาดสารโพแทสเซียม ซึ่งมักจะมีอาการปวดเมื่อยกระดูกและกล้ามเนื้อ เจ็บบริเวณหลังส่วนกลาง ตื่นนอนตอนเช้าก็รู้สึกมึนศีรษะ ผิวหนังรอบดวงตาเหี่ยวย่นก่อนวัย มือเท้าเย็นในบางครั้งและอาจเป็นตะคริว คันหนังศีรษะ มีรังแค ผมเริ่มบางและศีรษะล้านก่อนวัยอันควร และรู้สึกเหนื่อยง่าย หากคุณมีอาการเหล่านี้แสดงว่ากำลังขาดโพแทสเซียม และควรหาน้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิลมาช่วยบำบัดอาการที่เกิดขึ้น[FONT=&quot]<o =""></o>[/FONT]
    คุณสามารถนำน้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิลมาทำเป็นเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ โดยการชงผสมกับน้ำผึ้งอย่างละ 2-3 ช้อนชาต่อน้ำ 1 แก้ว ดื่มวันละ 3 ครั้ง จะช่วยชะลอความแก่ ปรับสมดุลในร่างกาย กำจัดพิษในร่างกาย ([FONT=&quot]Detox[/FONT]) บรรเทาอาการปวดหัว ช่วยการทำงานของหัวใจ ช่วยปรับระดับกรดและด่างในร่างกายให้อยู่ในระดับสมดุล ทำให้ประจำเดือนมาเป็นปกติ บรรเทาอาการปวดข้อและโรคเกาต์ ช่วยกำจัดนิ่วในไตและในถุงน้ำดี บำรุงสายตา และช่วยให้ระบบปัสสาวะเป็นปกติ [FONT=&quot]<o =""></o>[/FONT]
    สำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื่องระบบการย่อยอาหารและการดูดซึมอาหาร ให้ชงน้ำส้มสายชูหมักนี้ 1/3 ช้อนชากับน้ำ 1 ช้อนโต๊ะ ดื่มก่อนอาหาร 5 นาที โดยอมไว้ในปาก 3-5 วินาทีแล้วค่อยกลืน จะช่วยให้ระบบการย่อยอาหารดีขึ้น และหากมีอาการเจ็บคอ คันคอ ให้ผสมในปริมาณ [FONT=&quot]1 [/FONT]ช้อนโต๊ะกับน้ำครึ่งแก้ว กลั้วคอทุกครึ่งชั่วโมง จะช่วยขับพิษออกจากคอได้[FONT=&quot]<o =""></o>[/FONT]
    สุภาพสตรีที่กังวลกับความอ้วนสามารถกำจัดไขมันส่วนเกินได้โดยการผสมน้ำส้มสายชูหมักนี้[FONT=&quot] 2 [/FONT]ส่วนต่อน้ำมันมะกอกบริสุทธิ์ ([FONT=&quot]Virgin Olive Oil) 1 [/FONT]ส่วน นำมานวดกดบริเวณที่ต้องการลดอย่างน้อย 3 ครั้งต่อสัปดาห์ หรือจะนวดตามข้อที่รู้สึกปวดก็ได้เช่นกัน แต่ถ้ารู้สึกปวดเมื่อยกล้ามเนื้อให้ผสมกับน้ำอุ่นในในปริมาณ 1-2 ถ้วยลงในอ่างอาบน้ำ แล้วลงไปแช่พร้อมกับนวดตัว จะช่วยบรรเทาอาการลงได้ [FONT=&quot]<o =""></o>[/FONT]
    ส่วนผู้ที่รักผิวพรรณยังสามารถนำน้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิล[FONT=&quot] ฝ [/FONT]ถ้วยกับน้ำสะอาด นำมาทาบางๆ ให้ทั่วตัว ช่วยให้ผิวพรรณสะอาดนวลเนียนขึ้น หากรู้สึกว่าผมแห้ง ขาดน้ำหนัก ผมร่วง มีรังแค ให้เทน้ำส้มสายชูหมักที่ว่านี้ 2 ช้อนโต๊ะลงในถ้วย แล้วนำสำลีก้อนที่เปียกน้ำจุ่มลงไป ทาให้ทั่วหนังศีรษะ ทิ้งไว้ 15 นาทีถึง 3 ชั่วโมง แล้วสระออกตามปกติ [FONT=&quot]<o =""></o>[/FONT]
    ผู้ที่เป็นโรคความดันสูงให้ชงผสมกับน้ำผึ้งอย่างละ 2 ช้อนชา ผสมกับน้ำ 1 แก้ว ดื่มวันละ 3-5 ครั้ง ลดอาหารจำพวกเนื้อสัตว์และไขมันจากสัตว์ลง และออกกำลังกายร่วมด้วย จะช่วยให้เลือดไหลเวียนสะดวกขึ้น นอกจากนี้น้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิลยังแก้อาการอาหารเป็นพิษได้ โดยผสมน้ำส้มสายชู 1 ช้อนชาต่อน้ำ 1 แก้ว จิบครั้งละ 1-2 ช้อนชาทุก 5 นาที จะช่วยให้อาการดีขึ้น <o =""></o>
    [FONT=&quot]................................................................................................<o =""></o>[/FONT]​
    โยเกิร์ตสด เปรี้ยวนี้มีประโยชน์<o =""></o>

    [FONT=&quot]<o =""></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]“[/FONT]โยเกิร์ต[FONT=&quot]”[/FONT] เป็นภาษาตุรกี แปลว่า [FONT=&quot]“[/FONT]นมเปรี้ยว[FONT=&quot]”[/FONT] ชาวอินเดียถือว่าเป็นอาหารของพระเจ้า เพราะเชื่อว่าเป็นยาอายุวัฒนะที่สามารถลบรอยตีนกาและแก้อาการนอนไม่หลับได้ กรรมวิธีการทำโยเกิร์ตแบบดั้งเดิมเป็นเพียงการนำนมสดที่ได้จากวัว แพะ แกะ ควาย หรืออูฐมาต้มโดยไม่ปิดฝา เพื่อให้นมเกิดการระเหยจนได้น้ำนมที่ข้นเป็นครีม ทิ้งไว้ให้เย็นแล้วจึงตักใส่ถ้วยกินเท่านั้น [FONT=&quot]<o =""></o>[/FONT]
    ปัจจุบันโยเกิร์ตมีหน้าตาเปลี่ยนไปเป็นโยเกิร์ตบรรจุกระป๋องเป็นโยเกิร์ตชนิดครีมและบรรจุในกล่องและขวดเป็นโยเกิร์ตพร้อมดื่มที่เรียกว่านมเปรี้ยว กรรมวิธีการทำมักจะใช้นมวัวผสมกับนมผงเพื่อให้เข้มข้น เติมเชื้อ [FONT=&quot]Streptococcus thermophilus[/FONT] และ [FONT=&quot]Lactobacillus bulgaricus[/FONT] แล้วหมักไว้ที่อุณหภูมิ 43-44 องศาเซลเซียสนาน 4-5 ชั่วโมง จะได้นมที่ข้นเป็นครีม จากนั้นผสมสารให้ความหวานและแต่งสีแต่งกลิ่นผลไม้ให้น่ากินยิ่งขึ้น[FONT=&quot]<o =""></o>[/FONT]
    สำหรับคุณประโยชน์ของโยเกิร์ตนั้นอยู่ที่เชื้อจุลินทรีย์ ซึ่งช่วยรักษาอาการท้องเสียท้องเดิน เพราะจุลินทรีย์จะเข้าไปปรับสมดุลของแบคทีเรียในลำไส้ใหญ่ และช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งที่ลำไส้ใหญ่ อีกทั้งยังเป็นตัวกระตุ้นภูมิคุ้มกันในร่างกายให้สูงขึ้น ช่วยกระตุ้นการสร้างสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นบ่อเกิดของโรคภัยต่างๆ นอกจากนี้ยังอุดมด้วยแคลเซียมและฟอสฟอรัส ซึ่งช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง เป็นแหล่งโปรตีนและวิตามินบี 2 (ไรไบฟลาวิน) ซึ่งจำเป็นต่อร่างกาย ทำหน้าที่ดูดซึมพลังงานจากอาหาร นอกจากนี้ยังมีวิตามินบี 12 ช่วยบำรุงระบบประสาทด้วย[FONT=&quot]<o =""></o>[/FONT]
    ใครเลยจะคิดว่าความเปรี้ยวของโยเกิร์ตที่นอกจากจะอร่อยลิ้นแล้วยังอุดมด้วยประโยชน์อีกด้วย[FONT=&quot]<o =""></o>[/FONT]
    [FONT=&quot].......................................................................................[/FONT][FONT=&quot]<o =""></o>[/FONT]​
    <o =""></o>

    หอมเครื่องตุ๋นยาจีน<o =""></o>

    <o =""></o>
    เครื่องตุ๋นยาจีนมีขายตามร้านขายยาจีนแผนโบราณทั่วไป ประกอบด้วยสมุนไพรจีนหลายชนิดด้วยกัน แต่ละชนิดมีสรรพคุณเฉพาะตัวที่โดดเด่นแตกต่างกันไป ได้แก่<o =""></o>
    เก๋าคี้ ช่วยบำรุงสายตา ฟอกปอด ฟอกไต บำรุงไต บำรุงร่างกาย เสริมสร้างกระดูก ขับลม และช่วยให้ขับถ่ายสะดวก ในทางการแพทย์แผนปัจจุบันพบว่าเก๋าคี้สามารถลดน้ำตาลในเลือด มีฤทธิ์ระงับการจับตัวของเซลล์ไขมันในตับ รวมทั้งกระตุ้นการสร้างเซลล์ใหม่ในตับ ลดน้ำตาลในเลือดและลดคอเลสเตอรอลได้<o =""></o>
    ห่วยซัว บำรุงกระเพาะและสำไส้ บำรุงผิวพรรณให้ชุ่มชื่น บำรุงม้าม บำรุงไต แก้ท้องร่วง หากใช้ร่วมกับเก๋าคี้จะทำให้ความจำดีขึ้น บำรุงหัวใจได้ดี<o =""></o>
    เก๊กฮวย ดอกเก๊กฮวยมีหลายชนิด แต่ที่ดีที่สุดคือดอกเก๊กฮวยจากอานฮุยและหังโจว สรรพคุณแก้ร้อนใน ดับพิษร้อนในตับ ดับพิษไข้ ลดความดันโลหิต ขยายหลอดเลือด<o =""></o>
    ปักคี้ บำรุงม้าม บำรุงกระเพาะ และช่วยระงับเหงื่อ<o =""></o>
    เม็ดบัว บำรุงหัวใจ ไต ม้าม แก้ท้องเสีย ลดความดันโลหิต<o =""></o>
    แปะฮะ บำรุงหัวใจ ระงับอาการไอ <o =""></o>
    โสมคน บำรุงร่างกายให้แข็งแรง แก้กระหายน้ำ <o =""></o>
    พริกหอม มีสรรพคุณฆ่าเชื้อโรคในลำไส้ ะงับการเจริญเติบโตของแบคทีเรียบนผิวหนัง แก้ท้องเสีย <o =""></o>
    ขึ้นฉ่าย กระตุ้นสมองให้แจ่มใส บำรุงประสาท ระงับอาการไอ ทางการแพทย์พบว่าสามารถรักษาโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง เวียนศีรษะ และแก้อาการนอนไม่หลับได้ดี<o =""></o>
    รากบัว แก้กระหาย ช่วยให้เจริญอาหาร รักษาเลือดออกตามไรฟัน <o =""></o>
    อึ้งคี้ บำรุงม้าม บำรุงกำลัง ระงับเหงื่อ ขับปัสสาวะ <o =""></o>
    ถั่งเช่าหรือตังทั้งแห่เช่า ช่วยเพิ่มพลัง บำรุงไตและปอด ป้องกันวัณโรคปอด แก้หอบ<o =""></o>
    ซุปไก่ น้ำซุปที่ได้จากการตุ๋นไก่ จะช่วยในการบำรุงเลือด เสริมสร้างไขกระดูก <o =""></o>
    น้ำซุปที่ใส่เครื่องตุ๋นยาจีนนั้นต้องอาศัยความพิถีพิถันในการปรุง เพื่อให้ได้รสชาติที่กลมกล่อมพร้อมรักษาสรรพคุณทางยาไม่ให้สูญหายไป การตุ๋นเริ่มจากนำเนื้อสัตว์มาล้างทำความสะอาดแล้วลวกประมาณ 4-5 นาที จากนั้นใส่ในโถบนลังถึง ขั้นตอนต่อไปใส่เครื่องยาจีนลงในโถ เติมน้ำซุปลงไปให้พอดีกับเนื้อสัตว์ ปรุงรสตามชอบ ปิดฝา นึ่งด้วยไฟกลาง รอจนกระทั่งน้ำขลุกขลิกจึงนำมากินได้ อาหารประเภทตุ๋นควรกินร้อนๆ เพราะหากทิ้งไว้จนเย็นชืดจะทำให้สรรพคุณของยาจืดจางลงไปด้วย <o =""></o>
    สมุนไพรส่วนใหญ่ที่นำมาประกอบอาหารนั้นไม่ก่อให้เกิดโทษต่อร่างกาย แม้ป่วยหรือไม่ป่วยก็กินได้ แต่หากมีหมอจีนหรือผู้รู้ที่ให้คำปรึกษา แนะนำ หรือแม้แต่พลิกตำรายาประกอบการทำอาหาร ก็จะทำให้มั่นใจในสิ่งที่คุณจะได้รับจากอาหารในแต่ละมื้อ
    ....................................................................................​
    <o ="">
    </o>​
    ชาเขียวรสโอชา<o =""></o>

    ชาเขียว ([FONT=&quot]Green tea[/FONT]) หรือ เรียวกุชุ เป็นที่โปรดปรานของคนไทยในขณะนี้ แต่สำหรับคนญี่ปุ่นชาเขียวเป็นเครื่องดื่มในชีวิตประจำวัน สำหรับกรรมวิธีการทำชาเขียวเริ่มจาก การเก็บใบชาจากต้น ว่ากันว่าชาเขียวที่มีคุณภาพดีที่สุดได้จากใบชาคู่ที่หนึ่งและคู่ที่สองจากยอด ภาษาจีนฮกเกี้ยนเรียกว่า [FONT=&quot]“[/FONT]บู๋อี๋[FONT=&quot]”[/FONT] ส่วนใบชาคู่ที่สามและคู่ที่สีเรียกว่า [FONT=&quot]“[/FONT]อันเคย[FONT=&quot]”[/FONT] เป็นชาคุณภาพรองจากคู่ที่หนึ่ง และที่มีคุณภาพรองลงมาเป็นอันดับ 3 คือใบคู่ที่ห้าและคู่ที่หกเรียกว่า [FONT=&quot]“[/FONT]ล่ำกอง[FONT=&quot]”[/FONT] เมื่อได้ใบชาสดแล้ว ขึ้นตอนต่อไปคือการนำใบชาคั่วในกระทะทองแดงด้วยความร้อนที่ไม่สูงเกินไปนัก แล้วใช้มือคลึงเบาๆ ก่อนนำใบชาไปตากแดดให้แห้งสนิท ใบชาที่ได้จะมีสีเขียวและอุดมด้วยคุณค่าใกล้เคียงกับใบชาสดมากที่สุด [FONT=&quot]<o =""></o>[/FONT]
    ในชาเขียวประกอบด้วยสารสำคัญหลายชนิดด้วยกัน ได้แก่ กาเฟอีน ([FONT=&quot]caffeine[/FONT]) ที่กระตุ้นให้สมองแจ่มใส เพราะคาเฟอีนมีฤทธิ์กระตุ้นประสาท เพิ่มการเผาผลาญ เพิ่มการทำงานของหัวใจและไต แต่ถ้าดื่มมากเกินไปอาจทำให้นอนไม่หลับ ใจสั่นได้ สารอีกชนิดคือ แทนนิน หรือฝาดชา ([FONT=&quot]tea tannin[/FONT]) ซึ่งช่วยบรรเทาอาการท้องเสีย และช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อหัวใจและขยายผนังหลอดเลือด ถ้าดื่มมากเกินไปจะทำให้เกิดอาการท้องผูกได้เช่นกัน[FONT=&quot]<o =""></o>[/FONT]
    สารที่สำคัญอีกชนิดคือ [FONT=&quot]Eplgallocatechin Gallate [/FONT]([FONT=&quot]EGCG[/FONT]) มีส่วนช่วยกำจัดคอเรสเตอรอลในหลอดเลือด ลดภาวะความเสี่ยงต่อโรคความดันโลหิตสูงเนื่องจากการอุดตันของไขมันในหลอดเลือด ช่วยในการขับสารพิษและสารอนุมูลอิสระที่ส่งผลในการป้องกันความเสี่ยงต่อภาวะมะเร็งและโรคเสื่อมของเซลล์และอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย และยังทำให้ร่างกายรู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่า[FONT=&quot]<o =""></o>[/FONT]
    ที่สำคัญชาเขียวสามารถช่วยลดน้ำหนักได้ มีรายงานการวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร [FONT=&quot]American Journal Clinical Nutrition เกี่ยวกับการดื่มชาเขียวว่า[/FONT] ถ้าดื่มชาเขียววันละ 3 แก้ว จะช่วยเร่งระบบการเผาผลาญพลังงานและไขมันในร่างกาย แต่ถ้าดื่มมากเกินไปอาจทำให้เป็นโรคเหน็บชา หรือโรคโลหิตจาง เพราะขาดวิตามินบี 1 และธาตุเหล็ก อันเนื่องมาจากสารพอลีฟีนอล ([FONT=&quot]polyphenols[/FONT]) ในชาเขียวอาจยับยั้งการดูดซึมวิตามินบี 1 และธาตุเหล็กจากทางเดินอาหารจึงเป็นสาเหตุของโรคเหน็บชา และโรคโลหิตจาง ทางองค์การอนามัยโลกจึงแนะนำให้ดื่มชาในระหว่างกินอาหารจะดีที่สุด [FONT=&quot]<o =""></o>>[/FONT]
    .................................................................................​
    <o ="">
    </o>​
    น้ำมันมะกอก ปรุงรสปรุงสุขภาพ <o =""></o>

    มะกอกเป็นพืชยืนต้นที่มีอายุยืนนับร้อยปี มีสายพันธุ์ถึง 30 สายพันธุ์ แบ่งตามประโยชน์เป็น 2 จำพวก คือ สำหรับกินสดและนำมาสกัดน้ำมัน น้ำมันมะกอกบริสุทธิ์คุณภาพดีที่สุดเรียกว่า Extra Virgin Olive Oil และ Virgin Olive Oil ได้จากการสกัดน้ำมันจากผลมะกอกที่ผ่านขั้นตอนการผลิตอย่างพิถีพิถัน <o =""></o>
    การผลิตน้ำมันมะกอกเริ่มจากการคัดผลมะกอก โดยเลือกผลที่สมบูรณ์ สุกพอดี และสะอาด จากนั้นนำส่งโรงหีบ โดยผลมะกอกจะถูกคัดออกตามประเภทและพันธุ์ รวมทั้งแยกตามวิธีเก็บเกี่ยวด้วย คือ ผลมะกอกที่เก็บจากต้น และผลมะกอกที่เก็บจากพื้น หลังจากคัดแยกตามประเภทแล้วต้องทำความสะอาดทันทีและเข้าสู่กระบวนการหีบน้ำมันโดยเร็วที่สุด เพราะผลมะกอกที่เก็บค้างไว้จะทำให้เกิดการบูดเสีย ซึ่งส่งผลเสียต่อคุณภาพของน้ำมันที่ได้โดยตรง<o =""></o>
    ขั้นตอนการหีบน้ำมันจากผลมะกอกเริ่มจากบดผลมะกอกให้เนื้อเยื่อของผลแตกตัวออกคล้ายน้ำมัน จากนั้นนำเข้าเครื่องผสมให้น้ำมันกับเนื้อมะกอกรวมตัวกัน ช่วยให้การบีบน้ำมันในขั้นตอนต่อไปทำได้ง่ายขึ้น <o =""></o>
    การบีบน้ำมันเป็นการบดและเกลี่ยผลมะกอกลงไปที่แผ่นกรองพร้อมบีบน้ำมันในเวลาเดียวกัน เมื่อได้น้ำมันมะกอกออกมาแล้ว นำน้ำมันที่ได้เข้าเครื่องปั่นเพื่อแยกตะกอนและกากมะกอกออกจากน้ำมัน <o =""></o>
    ขั้นตอนสุดท้ายเป็นการแยกน้ำมันออกจากน้ำมะกอก ซึ่งวิธีที่ง่ายที่สุดคือการปล่อยให้น้ำมะกอกตกตะกอนเอง ก็จะได้น้ำมันมะกอกบริสุทธิ์ที่ลอยอยู่ด้านบนพร้อมบรรจุขวด[FONT=&quot]<o =""></o>[/FONT]
    ชื่อเรียกน้ำมันมะกอกแต่ละชนิดแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับรสชาติกลิ่นเฉพาะตัวและหลักการวิเคราะห์โดยวัดจากปริมาณกรดไขมันซึ่งแบ่งได้ดังนี้[FONT=&quot]<o =""></o>[/FONT]
    Extra Virgin Olive Oilคือ น้ำมันมะกอกบริสุทธิ์ที่ไม่มีจุดด้อยแม้แต่น้อยในเรื่องของรสและกลิ่น มีค่าความเป็นกรดอยู่ในรูปของกรดโอเลอิก<o =""></o>
    Virgin Olive Oil คือ น้ำมันมะกอกบริสุทธิ์ที่ไม่มีจุดด้อยในเรื่องของรสและกลิ่น แต่มีปริมาณของกรดโอเลอิกไม่เกิน 2 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น<o =""></o>
    Ordinary Virgin Olive Oil คือ น้ำมันมะกอกบริสุทธิ์ที่มีรสชาติดีและมีกลิ่นหอมพอใช้ มีค่าความเป็นกรดไม่เกิน 3.3 เปอร์เซ็นต์<o =""></o>
    Lampante Virgin Olive Oil คือ น้ำมันมะกอกบริสุทธิ์ที่มีค่าความเป็นกรดเกินกว่า 3.3 เปอร์เซ็นต์ มีจุดด้อยของรสและกลิ่น ไม่เหมาะกับการนำไปบริโภคโดยตรง จะต้องนำไปกลั่นจึงจะกินได้<o =""></o>
    น้ำมันมะกอกที่ได้จากการกลั่นคือ น้ำมันมะกอกบริสุทธิ์ด้อยคุณภาพที่ผ่านกระบวนการกลั่นเพื่อลดค่าความเป็นกรดและกำจัดกลิ่น รส ซึ่งจะเหลือกรดโอเลอิกอยู่ไม่เกิน 0.5 เปอร์เซ็นต์<o =""></o>
    น้ำมันมะกอกธรรมดา เป็นการผสมน้ำมันมะกอกที่ได้จากการกลั่น (Refined Olive Oil) กับน้ำมันมะกอกบริสุทธิ์ (Virgin Olive Oil) มีค่าความเป็นกรดไม่เกิน 1.5 เปอร์เซ็นต์<o =""></o>
    น้ำมันมะกอกจากกากมะกอกคือ น้ำมันที่สกัดจากกาก โดยใช้สารละลายโซลเวนท์ในกระบวนการกลั่น แล้วนำไปผสมกับน้ำมันมะกอกบริสุทธิ์ โดยค่าความเป็นกรดจะต้องไม่เกิน 1.5 เปอร์เซ็นต์<o =""></o>
    ไขมันชนิดที่มีประโยชน์ต่อร่างกายที่สุดคือ ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว (monounsaturater) และแหล่งอาหารสำคัญที่สุดที่อุดมไปด้วยไขมันชนิดนี้คือน้ำมันมะกอก ซึ่งมีสารอาหารหลักคือน้ำมันโอเลอิก (Oleic Oil) วิตามินอี เบต้า-แคโรทีน และสารต้านอนุมูลอิสระอื่นๆ ที่ให้ผลดีต่อสุขภาพหลายประการ เช่น ป้องกันภาวะหลอดเลือดแดงแข็ง ช่วยให้การหมุนเวียนโลหิตดีขึ้น รวมทั้งป้องกันโรคความดันโลหิตสูง หัวใจล้มเหลว หัวใจวาย ไตวาย เส้นเลือดในสมองแตก นอกจากนี้ยังช่วยให้ระบบการทำงานของส่วนต่างๆ ในร่างกายดีขึ้น ทั้งกระเพาะอาหาร ตับอ่อน ลำไส้ ตับ ถุงน้ำดี ส่วนวิตามินอีและสารต้านอนุมูลอิสระที่อยู่ในน้ำมันมะกอกนั้นช่วยให้ผิวหนังมีความยืดหยุ่น ป้องกันโรคผิวหนังและลดริ้วรอยเหี่ยวย่น สำหรับผู้สูงอายุที่มักมีปัญหาเกี่ยวกับกระดูก หากกินน้ำมันมะกอกเป็นประจำจะช่วยเสริมสร้างกระดูก ป้องกันโรคกระดูกพรุน และช่วยให้ร่างกายสามารถดูดซึมแร่ธาตุและแคลเซียมได้ดียิ่งขึ้น อีกทั้งยังมีกรดไขมันที่ช่วยต่อต้านการก่อตัวของติ่งเนื้อในอวัยวะต่างๆ ที่เรียกว่ามะเร็งได้ <o =""></o>
    ในแง่ของการปรุงอาหาร น้ำมันมะกอกเป็นเครื่องปรุงหลักของชาวเมดิเตอร์เรเนียน การเลือกชนิดน้ำมันมะกอกมาปรุงอาหารนั้นขึ้นอยู่กับประเภทของอาหาร น้ำมันมะกอกชนิดรสอ่อน (Mild) เหมาะที่จะกินสดๆ หรือใช้ทำสลัด ทอดไข่ ทำมายองเนส และอบอาหารต่างๆ ส่วนน้ำมันมะกอกชนิดรสกลางๆ (Medium fruity-flavoured) จะช่วยเพิ่มรสชาติของสลัดให้น่ากินยิ่งขึ้น ส่วนน้ำมันมะกอกรสเข้มข้น (Strong fruity-flavoured) เหมาะสำหรับทอด ผัด เคี่ยว ตุ๋น และน้ำมันมะกอกบริสุทธิ์ (Extra Virgin Olive Oil) เหมาะอย่างยิ่งในการใช้ปรุงสลัดและทาขนมปัง <o =""></o>
    .................................................................................​
    <o ="">
    </o>​
    ทานตะวัน ต้านโรค<o =""></o>
    <o =""></o>
    ทานตะวันแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ ประเภทที่นำเมล็ดมาประกอบอาหารและประเภทปลูกเป็นไม้ประดับ หากเป็นประเภทใช้เมล็ดประกอบอาหารได้จะมีดอกเพียง 1 ดอกต่อ 1 ต้น ดอกมีขนาดใหญ่ เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณครึ่งฟุต เมล็ดมีขนาดใหญ่ ส่วนทานตะวันที่ปลูกเป็นไม้ประดับนั้นลำต้นเล็ก ใน 1 ต้นจะมีดอกเล็กๆ จำนวนมาก เมล็ดจึงมีขนาดเล็กมากเช่นกัน การแปรรูปเมล็ดทานตะวันนั้นทำได้หลายรูปแบบ เช่น สกัดน้ำมันสำหรับปรุงอาหาร เนยเทียมจากเมล็ดทานตะวัน แป้งเมล็ดทานตะวันสำหรับทำขนมและอาหาร เมล็ดทานตะวันอบหรือคั่วเป็นอาหารว่าง หรือแม้แต่ใช้เป็นอาหารสัตว์ และที่กำลังเป็นที่นิยมอยู่ก็คือกรดไขมันจากน้ำมันเมล็ดทานตะวัน ([FONT=&quot]CLA[/FONT]) ประเภทอาหารเสริม <o =""></o>
    ในเมล็ดทานตะวันอุดมไปด้วยน้ำมันและวิตามินอี น้ำมันที่ได้จากเมล็ดทานตะวันเป็นน้ำมันที่มีกรดไลโนเลอิก ([FONT=&quot]linoleic acid[/FONT]) อยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งกรดไขมันชนิดนี้มีความจำเป็นต่อร่างกาย สามารถป้องกันการแข็งตัวของเลือดในหลอดเลือด ป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจ ส่วนวิตามินอีที่อยู่ในเมล็ดทานตะวันจะทำหน้าที่เป็นสารแอนติออกซิแดนต์ คอยดักจับและทำลายของเสียที่มาทำลายเซลล์ต่างๆ ช่วยให้ผิวพรรณเต่งตึง ช่วยลดไขมันในเส้นเลือด ป้องกันการเกิดมะเร็ง บำรุงสายตา ป้องกันการเป็นหมัน การแท้ง และป้องกันเนื้อเยื่อปอดถูกทำลายจากอากาศ<o =""></o>
    [FONT=&quot]CLA [/FONT]([FONT=&quot]Conjugated Linoleic Acid[/FONT]) คือกรดไขมันที่ร่างกายไม่สามารถผลิตเองได้ มีอยู่ในเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์แปรรูปจากนม แต่มีปริมาณที่น้อยมาก และจากการค้นคว้าพบว่ากรดไขมัน [FONT=&quot]CLA [/FONT]พบมากในน้ำมันเมล็ดทานตะวัน เมล็ดทานตะวันจึงถือเป็นแหล่งของ [FONT=&quot]CLA[/FONT] ธรรมชาติที่ให้คุณค่าของสารอาหารอย่างเข้มข้น <o =""></o>
    กรดไขมัน [FONT=&quot]CLA [/FONT]มีประโยชน์ในการเร่งการเผาผลาญไขมันที่สะสมตามส่วนต่างๆ ของร่างกายโดยเพิ่มฮอร์โมนที่ช่วยกระตุ้นการทำงานของเอนไซม์ [FONT=&quot]Lipase[/FONT] เพื่อช่วยในการเผาผลาญไขมันที่สะสมมาใช้เป็นพลังงานอย่างเต็มที่ พร้อมทั้งลดปริมาณการเกิดไขมันสะสมที่จะเกิดใหม่ โดยยับยั้งการเกิดเอนไซม์ [FONT=&quot]Lipo-Protein Lipase [/FONT]ซึ่งเป็นสาเหตุของการสะสมไขมันในร่างกาย หากจะเลือกบริโภคอาหารเสริมชนิดนี้ต้องเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีสารสกัด [FONT=&quot]CLA[/FONT] มากกว่า 60 เปอร์เซ็นต์ขึ้นไป จะเกิดประโยชน์สูงสุดในการลดไขมันส่วนเกินพร้อมๆ ไปกับการควบคุมอาหารและออกกำลังกายเป็นประจำ<o =""></o>
    เมล็ดทานตะวันไม่เพียงนิยมกินเป็นของว่างขบเคี้ยว ยังสามารถปรุงเป็นอาหารจานอร่อยได้อีกด้วย หากใครชื่นชอบสลัดผัก เมล็ดทานตะวันสามารถเข้ากับน้ำสลัดได้ทุกชนิด หรือจะเป็นอาหารประเภทยำ ข้าวอบ ก็สามารถนำไปคลุกเคล้าเพิ่มความอร่อยอย่างลงตัว[FONT=&quot]<o =""></o>[/FONT]
    [FONT=&quot].............................................................................<o =""></o>[/FONT]​
    <o ="">
    </o>​
    <o ="">
    </o>
    ลิ้มรสหวานจากน้ำผึ้ง<o =""></o>
    น้ำผึ้งคือน้ำหวานจากเกสรดอกไม้นานาชนิด ที่เจ้าผึ้งตัวน้อยใช้จะงอยปากดูดน้ำหวานที่อยู่ตามโคนกลีบดอกไม้ น้ำหวานที่ผึ้งดูดเข้าไปนั้นจะจุรวมอยู่ในกระเพาะ จากนั้นผึ้งจะบินกลับรัง นำน้ำหวานที่ได้ไปเก็บไว้ในหลอด (cell) แล้วส่งต่อให้ผึ้งพลรัง (ผึ้งงาน) ทำการดูดน้ำหวานที่อยู่ในหลอดไปผสมกับน้ำเชื้อ (Enzyme) ที่อยู่ในกระเพาะผึ้งพลรัง น้ำเชื้อนี้จะเปลี่ยนน้ำหวานให้เป็นน้ำตาลต่างๆ จากนั้นผึ้งผลรังจะกระพือปีกเพื่อให้น้ำในน้ำหวานระเหยกลายเป็นน้ำหวานเข้มข้นที่เรียกว่าน้ำผึ้ง”<o =""></o>

    คนไทยสมัยก่อนรู้จักบริโภคน้ำผึ้งเป็นยามากกว่าเป็นอาหาร ในตำรับยาและยาอายุวัฒนะทุกขนานของไทยโดยมากจะใช้น้ำผึ้งเป็นส่วนผสมของยาลูกกลอนและน้ำกระสาย และใช้น้ำผึ้งผสมเป็นยาบรรเทาอาการเจ็บป่วยต่างๆ เช่น หากมีอาการท้องอืดท้องเฟ้อ ให้กินน้ำผึ้งกับผลยอสุกจะช่วยบรรเทาได้ หากปวดท้องเนื่องจากเป็นโรคกระเพาะให้ดื่มน้ำผึ้ง 2-3 ช้อนโต๊ะก่อนนอนทุกวัน และดื่มน้ำผึ้งทุกครั้งที่เกิดอาการปวดท้องจะช่วยให้ทุเลาได้ภายใน 15 นาที ใครที่เป็นโรคหัวใจอ่อนๆ ให้ผสมน้ำผึ้ง 1-2 ช้อนโต๊ะกับน้ำมะนาวและน้ำอุ่น ดื่มทุกครั้งหลังอาหารและก่อนนอนจะช่วยบรรเทาได้ สำหรับคนที่เพิ่งฟื้นไข้ใหม่ๆ มักมีอาการอ่อนเพลียหรือเบื่ออาหาร ให้เจือน้ำผึ้ง 2-3 ช้อนโต๊ะกับน้ำอุ่นหนึ่งแก้วดื่มแทนการกินอาหารทั้ง 3 มื้อ จะช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวเร็วขึ้นน้ำผึ้งนอกจากกินเพื่อบำบัดอาการเจ็บป่วยบางประการแล้ว ยังสามารถทารักษาแผลภายนอกได้ด้วย เช่น ผสมน้ำผึ้งกับเนยในอัตราส่วนเท่าๆ กัน ทาที่แผลไฟไหม้หรือน้ำร้อนลวก ช่วยดับอาการปวดแสบปวดร้อนได้ดี หรือหากเป็นแผลสดให้ใช้น้ำผึ้งทาที่แผล จะช่วยให้แผลไม่ติดเชื้อและหายเร็ว<o =""></o>
    ไม่เพียงแต่คนไทยที่รู้จักใช้น้ำผึ้งเป็นยา แต่เป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย จะแตกต่างกันที่วิธีการนำมาใช้ในการบำบัดแต่ละอาการ เช่น ชาวอียิปต์ใช้น้ำผึ้งรักษาแผลและหยอดตารักษาตาเจ็บ ชาวจีนและชาวอินเดียใช้น้ำผึ้งในการรักษาฝีดาษและไม่ให้เป็นรอยแผลเป็น ส่วนชาวยุโรปเป็นอีกชาติหนึ่งที่ใช้น้ำผึ้งผสมกับสารส้มใช้ทารักษาแผลเน่าเปื่อย มีบางตำรากล่าวถึงการแก้อาการกล้ามเนื้อกระตุก เป็นตะคริว หนังตาหรือมุมปากเขม่นว่าให้กินน้ำผึ้ง 2 ช้อนชาหลังอาหารทุกมื้อ อาการกระตุกจะหายเป็นปลิดทิ้งภายใน 1 สัปดาห์ ส่วนคุณแม่ที่กลุ้มใจกับคุณลูกที่มักปัสสาวะรดที่นอนบ่อยๆ มีวิธีแก้ง่ายๆ โดยให้ลูกกินน้ำผึ้งก่อนนอน 1 ช้อนชา จะช่วยให้การควบคุมระบบประสาทที่เกี่ยวกับการขับถ่ายทำงานดีขึ้น เพราะน้ำผึ้งมีสรรพคุณในการดูดน้ำและความชื้น และน้ำตาล Levulose ในน้ำผึ้งยังช่วยดูดซึมน้ำที่เคลื่อนไปสู่ไต ทำให้น้ำในกระเพาะปัสสาวะลดน้อยลง ส่วนใครที่มีอาการกระสับกระส่าย นอนไม่หลับ ให้กินน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะหลังอาหารเย็นทุกวัน จะช่วยคลายความเครียดและลดความกระวนกระวาย ทำให้หลับสบายตลอดคืน ที่เป็นเช่นนี้เพราะน้ำตาลในน้ำผึ้งจะสร้างสารเคมีในสมองชนิดหนึ่งที่มีฤทธิ์กล่อมประสาท ซึ่งนอกจากจะช่วยให้หลับสบายแล้ว ความหวานของน้ำผึ้งยังไม่มีสารตกค้างและแบคทีเรียที่ทำให้ฟันผุ ทั้งยังเสริมแคลเซียมที่ช่วยบำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรงอีกด้วย<o =""></o>
    น้ำผึ้งจัดเป็นน้ำตาลบริสุทธิ์ที่ได้จากธรรมชาติ ประกอบด้วยน้ำตาล Levulose ประมาณ 40 เปอร์เซ็นต์ น้ำตาล Dextrose 37 เปอร์เซ็นต์ น้ำตาล Sucrose 1.7 เปอร์เซ็นต์ และมีน้ำเจือปนอยู่ราว 20 เปอร์เซ็นต์ นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งรวมแร่ธาตุต่างๆ ได้แก่ เหล็ก ทองแดง แมงกานีส ซิลิกา คลอรีน แคลเซียม โพแทสเซียม โซเดียม ฟอสฟอรัส อะลูมินัม และแมกนีเซียม แร่ธาตุต่างๆ เหล่านี้มาจากรากพืชที่ดูดขึ้นมาจากดินสู่ลำต้น ตลอดจนนำมากลั่นเป็นน้ำหวาน ฉะนั้นเมื่อผึ้งดูดน้ำหวานจากพืช จึงทำให้น้ำผึ้งอุดมไปด้วยแร่ธาตุต่างๆ ทั้งยังมีโปรตีน วิตามิน และกรดหลายชนิดที่มีประโยชน์ต่อร่างกายผสมอยู่ด้วย มีนักวิจัยชาวอเมริกันได้พูดถึงแร่ธาตุในน้ำผึ้งว่า น้ำผึ้งที่มีสีคล้ำมากจะมีธาตุเหล็ก ทองแดง และแมกนีเซียมอยู่เป็นจำนวนมากกว่าน้ำผึ้งสีอ่อน ซึ่งธาตุเหล็กนี้เองที่เป็นตัวสำคัญเกี่ยวกับสีของเลือดที่เรียกว่าฮีโมโกลบิน ซึ่งนำออกซิเจนไปสู่เนื้อเยื่อต่างๆ ของร่างกาย ส่วนธาตุทองแดงจะเสริมการทำงานของการสร้างฮีโมโกลบินในเลือดที่เกิดจากขาดธาตุเหล็กให้ทำงานได้ดีขึ้น <o =""></o>
    ......................................................<o =""></o>​
    <o ="">
    </o>​
    เต้าหู้คุณค่าจากถั่วเหลือง <o =""></o>
    <o =""></o>
    เต้าหู้ ภาษาจีนกลางเรียกว่า ‘โต้วฟู่’ ภาษาญี่ปุ่นเรียก ‘โตฟู’ คนไทยเรียกเพี้ยนมาจากภาษาจีนฮกเกี้ยนอีกทีหนึ่งจาก ‘เต่าฮู’ มาเป็น ‘เต้าหู้’ แต่ให้เป็นสากลที่สุดเรียกว่า ‘โตฟู’ (Tofu) <o =""></o>
    กรรมวิธีการทำเต้าหู้นั้นเริ่มจาก นำถั่วเหลืองมาแช่น้ำไว้ประมาณ 10-12 ชั่วโมง จากนั้นนำถั่วเหลืองไปโม่จนกลายเป็นน้ำ กรองน้ำด้วยผ้าขาวบางอีกทีหนึ่ง นำน้ำนมถั่วเหลืองที่ได้ไปต้มให้เดือด แล้วใส่สารตกตะกอน เพื่อให้โปรตีนจับตัวกันเป็นตะกอนนมถั่วเหลืองที่เรียกว่า เคิร์ด (curd) (สารตกตะกอนมีอยู่หลายชนิดด้วยกัน อย่าง เกลือแกง หรือแมกนีเซียมคลอไรด์ ที่ได้จากเกลือสมุทร จะใช้สำหรับทำเต้าหู้แข็ง และใช้สารแคลเซียมซัลเฟตที่ได้จากหินอ่อนตามธรรมชาติ หรือที่ชาวจีนเรียกว่า เจี่ยกอ สำหรับทำเต้าหู้อ่อน) เมื่อโปรตีนจับตัวเป็นเคิร์ดแล้ว ก็ตักเอาเฉพาะเคิร์ดไปใส่ลงในพิมพ์สี่เหลี่ยมที่รองด้วยผ้าขาวบางอีกทีหนึ่ง เพื่อที่จะห่อตะกอนของนมถั่วเหลือง จากนั้นใช้วัตถุที่มีน้ำหนักมาทับไว้ประมาณ 25-30 นาที เพื่อไล่น้ำออกจากตัวตะกอนนมถั่วเหลือง พร้อมที่จะนำไปประกอบอาหารต่อไป เพียงเท่านี้เป็นอันเสร็จสิ้นกระบวนการทำเต้าหู้แล้ว <o =""></o>
    เต้าหู้ที่ขายอยู่ตามท้องตลาดนั้นมีอยู่หลายชนิดด้วยกัน สามารถแยกประเภทให้เข้าใจง่ายๆ โดยแบ่งออกเป็น เต้าหู้ชนิดแข็ง เต้าหู้ชนิดอ่อน และเต้าหู้ชนิดนิ่ม(หลอด) เต้าหู้ทอด(พวง) ฟองเต้าหู้ ซึ่งแต่ละชนิดก็จะเหมาะกับการนำมาประกอบอาหารแต่ละประเภทแตกต่างกันไป บางคนอาจจะยังไม่ทราบว่าชนิดไหนทำอะไรจึงจะเหมาะ เรามีข้อแนะนำดีๆ เกี่ยวกับการทำอาหาร จะได้นำไปทำรับประทานกันได้ถูกในเทศกาลอาหารเจที่จะถึงนี้<o =""></o>
    เต้าหู้ขาวชนิดแข็ง จะมีรสจืด จึงเหมาะกับการนำไปทำพะโล้ ต้มจืดวุ้นเส้น เต้าหู้ทอด ผัดผัก หรือนำเต้าหู้ก้อนมาหั่นเป็น 4 ส่วน นำไปยัดไส้เห็ดหอมปรุงรส ใส่ก๋วยเตี๋ยวแทนลูกชิ้นก็อร่อยไปอีกแบบ <o =""></o>
    เต้าหู้ขาวชนิดอ่อนรสชาติจืดและเนื้อนุ่ม เหมาะกับการนำไปทำแกงจืด ราดหน้าเต้าหู้ทรงเครื่อง ผัดกับต้นหอม หรือนำไปนึ่งจิ้มกับซีอิ้ว ในช่วงเทศกาลเจ สามารถใช้เต้าหู้ชนิดนี้มาทำเป็นสเต๊กเต้าหู้แทนสเต๊กเนื้อทั่วไปได้ <o =""></o>
    เต้าหู้เหลืองชนิดแข็ง คือเต้าหู้ขาวชนิดแข็งที่นำไปต้มในน้ำขมิ้น เต้าหู้เหลืองรสชาติจะออกเค็ม จึงมักจะนำไปเป็นเครื่องปรุงของผัดไทย หมี่กรอบ ผัดหมี่กะทิ ก๋วยเตี๋ยวหลอด เต้าหู้ผัดขิง คนจีนจะชอบนำไปผัดกับถั่วงอก ถ้าเป็นเทศกาลเจ ก็จะใช้เต้าหู้ชนิดนี้ทำเป็นไส้ขนมจีบแทนเนื้อหมู <o =""></o>
    เต้าหู้เหลืองชนิดอ่อน ผิวภายนอกจะมีสีเหลือง แต่เนื้อในจะมีสีขาว รสชาติจะจืดกว่าเต้าหู้เหลืองชนิดแข็ง แต่จะเค็มกว่าเต้าหู้ขาว นิยมนำไปทำเป็นเต้าหู้ทรงเครื่อง เต้าหู้น้ำแดง บางคนนิยมนำไปทอดจิ้มกับซอสหรือซีอิ๊ว <o =""></o>
    เต้าหู้ซีอิ๊วดำเป็นการนำเต้าหู้ขาวไปต้มกับซีอิ้วดำและน้ำตาลทรายแดง ทำให้เต้าหู้มีสีดำ เต้าหู้ชนิดนี้จะมีขนาดเล็กกว่าเต้าหู้ชนิดอื่นๆเล็กน้อย เนื้อเหนียว รสชาติจะออกหวานและเค็มอยู่ในตัว มักนำไปปรุงเป็นก๋วยเตี๋ยวหลอด ยำ ผัดผัก ทำไส้เปาะเปี๊ยะ หรือรับประทานสดก็ได้เช่นกัน <o =""></o>
    เต้าหู้หลอด ถือเป็นเต้าหู้ที่มีเนื้อนิ่ม จึงต้องบรรจุอยู่ในหลอดพลาสติก นิยมนำไปทำเป็นแกงจืด เต้าหู้ทรงเครื่อง และนำไปชุบแป้งข้าวโพดทอด <o =""></o>
    เต้าหู้ญี่ปุ่น(คินุ)ชนิดอ่อน หน้าตาคล้ายกับเต้าหู้ขาวชนิดอ่อน เหมาะกับการนำมาทำเป็นแกงจืด หรือนึ่งร้อนๆ จิ้มกับซอสหรือซีอิ๊ว <o =""></o>
    เต้าหู้ญี่ปุ่น(โมเม็ง)ชนิดแข็ง ชนิดนี้นิยมใส่ในสุกี้ยากี้ หรือนำไปทอดก่อนที่จะนำไปผัดกับถั่วงอก หรือใส่ในก๋วยเตี๋ยวหลอด <o =""></o>
    เต้าหู้ทอด(พวง) ทำมาจากเต้าหู้ชนิดแข็ง นำมาหั่นเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมแล้วนำไปทอดให้เหลืองกรอบ นำมาร้อยเชือกขายเป็นพวง นิยมนำไปใส่ก๋วยจั๊บ เย็นตาโฟ พะโล้ หรือนำไปทอดให้กรอบอีกทีจิ้มน้ำจิ้ม <o =""></o>
    ฟองเต้าหู้ ในท้องตลาดจะขายในลักษณะแผ่นแห้งหรือผงแห้ง คนจีนนิยมนำมาทอดกรอบรับประทานกับข้าวต้มหรือนำไปต้มน้ำแกง<o =""></o>
    ปัจจุบันได้มีงานวิจัยเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์อาหารจากถั่วเหลือง(เต้าหู้) โดยมีผลสรุปตรงกันว่า การบริโภคเต้าหู้เป็นประจำจะสามารถป้องกันและรักษาโรคได้หลายโรค อาทิ โรคมะเร็ง เพราะในถั่วเหลืองจะมีสารไฟโตเอสโตรเจน สารโปรเตสอินฮิบิเตอร์ สารไอโซฟลาโวน และสารซาโพนาย สารเหล่านี้เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ หรือที่เรียกว่า สารยับยั้งการเกิดมะเร็ง ไม่ว่าจะเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งเต้านม มะเร็งปอด มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งตับอ่อน เนื้องอกในมดลูก หรือซีสต์ที่เต้านม นอกจากนี้ยังพบว่าในถั่วเหลืองนั้นมีไขมันน้อยกว่าเนื้อสัตว์ทุกชนิด และกว่าร้อยละ 80 เป็นกรดไขมันชนิดไม่อิ่มตัว ซึ่งจะช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด ทำให้การไหลเวียนของเลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจดีขึ้น ลดความเสี่ยงกับการเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน สามารถควบคุมระดับคอเลสเตอรอลสูงจากพันธุกรรม และช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยโรคเบาหวานได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ ผู้หญิงที่ถึงวัยหมดประจำเดือน หากรับประทานอาหารที่มีส่วนผสมของถั่วเหลืองทุกวัน สารไฟโตเอสโตรเจนที่อยู่ในถั่วเหลืองจะช่วยทดแทนฮอร์โมนที่ขาดไปได้เช่นกัน วิธีเลือกซื้อเต้าหู้มีหลักง่ายๆ โดยการสังเกตดูที่สีของเต้าหู้ จะต้องสม่ำเสมอกันทั้งก้อน หากมีตัวหนังสือสีแดง จะต้องไม่ซีดหรือเลือนลาง หรืออาจใช้วิธีดมกลิ่นดูว่ามีกลิ่นเหม็นเปรี้ยวหรือไม่ หากมีกลิ่นเล็กน้อยก็ให้นำมาล้างน้ำก่อนรับประทาน หากมีกลิ่นเหม็นเปรี้ยวมากก็ไม่ควรนำมารับประทาน แต่ถ้าเป็นเต้าหู้ที่บรรจุกล่องไม่สามารถดมกลิ่นได้ ก็ให้สังเกตว่ามีฟองหรือเปล่าและน้ำขุ่นหรือไม่ ถ้าปกติดีก็ปลอดภัย และอย่าลืมดูวันหมดอายุด้วยเป็นสำคัญ ดังนั้นการซื้อเต้าหู้มาปรุงอาหาร ควรซื้อแล้วลงมือทำอาหารเลยจะดีที่สุด หากจะเก็บไว้ทานวันหลังควรจะเก็บไว้ในตู้เย็น โดยใส่ในภาชนะใส่น้ำหล่อเลี้ยงแล้วปิดฝาให้สนิท และควรเปลี่ยนน้ำทุกวัน แต่ไม่ควรเก็บไว้เกิน 7 วัน <o =""></o>
    .........................................................<o =""></o>​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 มกราคม 2006

แชร์หน้านี้

Loading...