คลังเรื่องเด่น
-
ทำไมคนเราต้องภาวนาคะ ?
ถาม : ทำไมคนเราต้องภาวนาคะ ?
ตอบ : อันดับแรกคือต้องการให้ใจสงบ ในเหตุการณ์ทางโลกถ้าใจเราสงบลง ประสิทธิภาพการทำงานทุกอย่างจะดีขึ้น
อันดับที่สองก็คือ จิตใจที่สงบจากกิเลสชั่วคราว เป็นความสุขที่หาได้ยากในชีวิตปัจจุบัน หลังจากนั้นก็คือต้องการให้เกิดปัญญา เพื่อหาทางหลุดพ้นจากกองทุกข์ ซึ่งเป็นขั้นท้าย ๆ ของการภาวนาเลย
ถ้าคนสมาธิดี ๆ โรคสารพัดโรคจะหายไปเองโดยอัตโนมัติ อย่างเช่นโรคเครียด นอนไม่หลับอะไรประมาณนั้น เพราะฉะนั้น...ลองไปทำดู เป็นยานอนหลับชั้นดีเลย พุทไม่ทันจะโธก็หลับแล้ว
ถาม : ถ้าสติตามไม่ทันละคะ ?
ตอบ : ถ้าสติตามไม่ทันจะมี ๒ อย่าง อย่างหนึ่งคือหายไปเฉย ๆ เหมือนกับเราเผลอหลับ อีกอย่างหนึ่งก็คือไปฟุ้งซ่าน รัก โลภ โกรธ หลง เสียเยอะแยะ พอรู้ตัวให้รีบดึงกลับมาอยู่กับลมหายใจใหม่ เริ่มต้นนับ ๑ กันใหม่
ถาม : ถ้าวูบหายไปเลย ?
ตอบ : รอให้ได้สติแล้วก็เริ่มต้นใหม่ พยายามตั้งสติจดจ่ออยู่กับลมหายใจเอาไว้ อย่าเผลอให้หลุดไปอีก แต่ก็จะหลุดอยู่เรื่อย ๆ จนกว่าเราจะชำนาญ ถึงจะดีขึ้นไปเรื่อย ๆ แรก ๆ ก็จะรำคาญ ไม่ทันไรหลับอีกแล้ว ความจริงไม่ได้หลับหรอก สติขาด จึงไม่รับรู้อะไร... -
การสร้างวัดและสิ่งที่ยากที่สุดก็คือการสร้างคน
ถาม : เรื่องการสร้างวัด เราจะรู้ได้อย่างไรว่ากิเลสหลอกให้เราอยากทำ หรือกิเลสหลอกให้เราเบื่อหน่าย อยู่เฉย ๆ ดีกว่า ไม่ต้องทำอะไร ?
ตอบ : เอาแค่พอสมควรแก่การใช้งาน ถ้าหากว่ามีเพียงพอแล้วก็ไม่จำเป็นต้องไปทำให้เหนื่อยยาก เพราะว่าสิ่งที่ยากที่สุดก็คือการสร้างคน
หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านตั้งใจจะสร้างคน ถึงขนาดทำธุดงค์สถาน ๑๐๐ ไร่ ท่านตั้งใจจะให้พระผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันเข้าไปฝึกกรรมฐานคนละ ๑ เดือน แต่ปรากฏว่ายังไม่ทันจะทำเสร็จ ท่านก็ไปเสียก่อน ตกลงว่าท่านสร้างได้แต่ของ ส่วนคนสร้างได้ไม่มากเท่าที่ท่านต้องการ
จะว่าไปแล้วในหมู่ลูกศิษย์ของท่านรุ่นแรก ๆ ได้ดีกันทั้งนั้น แต่คราวนี้สำคัญตรงที่ว่าท่านอยากให้พระได้ดี ท่านบอกว่า "ข้ามัวแต่ทำงานอยู่ จนพระรอไม่ไหว สึกหาลาเพศไปก็มาก ออกไปอยู่วัดอื่นก็มี" ท่านก็เลยตั้งใจทำธุดงค์สถานเอาไว้ เพื่อที่จะให้พระเข้าไปฝึกกรรมฐานกันที่นั่น แต่ว่ายังไม่ทันจะสำเร็จ
เพราะฉะนั้น...พวกคุณก็ดูแค่ว่า ถ้าวัดมีเสนาสนะเพียงพอแก่การใช้งาน ไม่ต้องถึงขนาดหรูหรามาก ใหญ่โตมาก ก็เริ่มสร้างคนได้แล้ว ตัวผมเองในวัดก็หยุดสร้างแล้ว เหลืออยู่แค่สร้างคนอย่างเดียว... -
ยิ่งทุกข์ยากลำบากยิ่งเห็นง่าย วิปัสสนาญาณหลัก ๆ ที่สำคัญก็คือมองทุกข์ให้เห็น ยอมรับสภาพว่าธรรมดาเป็นอย่างนั้น แล้วเราไม่ต้องการอีก
ถาม : สมัยพุทธกาลเป็นต้นมา ไม่ว่าโยมหรือพระก็ได้รับวิบากกรรมเช่น มีอุบัติเหตุตาย แต่กำลังวิปัสสนาก็ทำให้บรรลุได้ ไม่เกี่ยวกันใช่ไหมครับว่าจะต้องมีบุญ จะต้องเจริญขึ้นแล้วต้องบรรลุ หรือต้องรับกรรมนั้น ?
ตอบ : ยิ่งทุกข์ยากลำบากยิ่งเห็นง่าย วิปัสสนาญาณหลัก ๆ ที่สำคัญก็คือมองทุกข์ให้เห็น ยอมรับสภาพว่าธรรมดาเป็นอย่างนั้น แล้วเราไม่ต้องการอีก ถ้าหากว่ามีแต่ความเจริญโดยส่วนเดียว บางทีลืมทุกข์ไปเสียด้วยซ้ำ บางคนเป็นพระโสดาบันก็ติดอยู่แค่นั้นทั้งชีวิต เพราะว่าไปเพลินกับความสุขของอารมณ์ที่กิเลสลดน้อยลง
ยิ่งลำบากยิ่งได้เปรียบ ถ้าตั้งใจปฏิบัติเพื่อบรรลุจริงๆ จะง่าย
ก็แบบเดียวกับเรื่องของการสร้างวัด ตอนแรกหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า ถ้าทำใจได้จะบรรลุเร็ว ผมเองก็สงสัยว่าอย่างไร ทำใจได้ บรรลุเร็ว ?
พอไปเจอเข้าจริง ๆ สารพัดเรื่องสารพัดราว โดยเฉพาะพวกช่างรับเงินแล้วไม่ทำงาน อยากจะไปกระทืบพวกนี้ถึงบ้าน แต่พอเราทำใจได้ ปล่อยได้ วางได้ รู้สึกว่าอะไรต่อมิอะไรไหลมาเทมา ได้มากกว่าเดิมเยอะ ถ้าหากว่าเอาแต่สบาย โอกาสที่จะเข้าถึงธรรมกลับมีน้อย ต้องพวกสร้างบุญมาดีจริง ๆ เท่านั้น
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.... -
คุณค่าที่สำคัญที่สุด ของมโนมยิทธิที่หลวงพ่อวัดท่าซุงที่ท่านเมตตาสอนมา
"มโนมยิทธิที่หลวงพ่อวัดท่าซุงที่ท่านเมตตาสอนมานั้น
คุณค่าที่สำคัญที่สุด คือ รู้จักพระนิพพานได้ ไปพระนิพพานตรง
ถ้าเราจดจำอารมณ์ทั้งหลายเหล่านั้นเอาไว้ได้
ตอนที่เรากลับลงมาแล้วประคับประคองรักษาเอาไว้
เท่ากับว่าเราเข้าถึงอารมณ์ความบริสุทธิ์อย่างแท้จริง
ถ้าสามารถทำได้บ่อย ๆ เข้า ระยะเวลาที่เราทรงอารมณ์แบบนั้นได้ก็จะนานขึ้นไปเรื่อย ๆ
ท้ายที่สุดสภาพจิตที่ชินกับการหมดกิเลส ก็จะเข้าถึงความหมดกิเลสไปจริง ๆ
นั่นคือเป้าหมายหลักที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านเมตตาสอนให้กับพวกเรา"
"ส่วนเป้าหมายรองลงไปก็คือ พิสูจน์ว่าบรรดาภพภูมิต่าง ๆ
ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเอาไว้นั้นมีจริงหรือไม่ ?
ดูว่าผลของกรรมดีกรรมชั่วที่เราทำมาจะส่งผลอย่างไร ?
ถ้าเห็นชัดเจนขนาดนั้นแล้วยังเลือกที่จะทำชั่ว ก็ไม่รู้ว่าจะช่วยอย่างไรแล้ว
แต่พวกเรามักจะเอาไปใช้ผิด ก็คือไประลึกชาติว่าคนโน้นเป็นอย่างนั้นกับเรา
คนนี้เป็นอย่างนี้กับเรา แทนที่จะเข็ดว่ากี่ชาติ ๆ ก็เกิดมาลำบากอยู่อย่างนี้ แต่ก็ไม่เข็ด
แถมไปฟื้นความสัมพันธ์กันใหม่อีกต่างหาก ที่อาตมาเคยเปรียบว่า เราลอยคออยู่ในทะเลทุกข์ แทนที่จะรีบว่ายขึ้นฝั่ง... -
เหตุใดที่พระพุทธเจ้าไม่ได้เทศน์เรื่องการตัดเข้ามรรคผลนิพพานโดยตรง แต่ผู้รับฟังกลับบรรลุอรหันต์ได้เป็นจำนวนมาก ?
ถาม : เหตุใดที่พระพุทธเจ้าไม่ได้เทศน์เรื่องการตัดเข้ามรรคผลนิพพานโดยตรง แต่ผู้รับฟังกลับบรรลุอรหันต์ได้เป็นจำนวนมาก ? อ้างอิงจากตอนที่พระพุทธเจ้าหนีพระภิกษุสองฝ่ายที่ทะเลาะกันหนีไปอยู่ที่ป่าเลไลยก์ และพระอานนท์พร้อมทั้งสาวก ๕๐๐ รูปไปตาม หลังเทศน์เรื่องการคบมิตรแล้วทำให้พระภิกษุ ๕๐๐ รูปบรรลุอรหัตผล ?
ตอบ : เพราะว่าพระทั้งหลายเหล่านั้นท่านฉลาด ส่วนเราโง่ก็เลยไม่บรรลุเสียที...! ในเรื่องของเทศนาจะต้องส่งใจตามธรรมไป โดยเฉพาะเห็นความไม่เที่ยง เห็นความเป็นทุกข์ เห็นความไร้สาระแก่นสารของการเกิดมาในโลกนี้
ถ้าหากปัญญาถึง สามารถรู้เห็นได้อย่างชัดเจน สภาพจิตถอนจากการยึดมั่นถือมั่น ก็สามารถที่จะเข้าถึงมรรคถึงผลได้ ไม่ใช่ว่าต้องป้อนไปจนกระทั่งถึงปาก ต่อให้ป้อนถึงปาก ถ้าเราไม่อ้าปาก ก็ไม่สามารถที่จะกินข้าวนั้นได้อยู่ดี
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เก็บตกจากบ้านเติมบุญ ต้นเดือนกรกฎาคม ๒๕๖๐
เว็บวัดท่าขนุน -
พระโพธิสัตว์กับปุถุชนทั่วไปมีข้อแตกต่างหรือเปล่าครับ ?
ถาม : พระโพธิสัตว์กับปุถุชนทั่วไปมีข้อแตกต่างหรือเปล่าครับ ? เพราะบางชาติพระโพธิสัตว์ก็ทำบาปทั้งที่ ๆ ดูแล้วไม่น่าจะทำ อย่างโตไทยพราหมณ์โพธิสัตว์ ที่จะได้ตรัสรู้ในกัปหน้า ?
ตอบ : พระโพธิสัตว์ก็คือบุคคลที่เหมือน ๆ กับเรานี่เอง ประกอบด้วย รัก โลภ โกรธ หลง เหมือนกัน เพียงแต่เป้าหมายในการดำรงชีวิตของท่านเหล่านั้นยิ่งใหญ่มาก คือ ตั้งใจขนถ่ายสัตว์โลกข้ามวัฏสงสาร ดังนั้น...การเป็นพระโพธิสัตว์นั้น มีอยู่อย่างหนึ่งที่เป็นอยู่แน่แท้ คือลงนรกเป็นปกติ..!
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เก็บตกจากบ้านเติมบุญ ต้นเดือนกรกฎาคม ๒๕๖๐
เว็บวัดท่าขนุน -
ใน ๑๐ บารมี พระพุทธเจ้าสรรเสริญปัญญาบารมีที่สุด ในชาตินี้อยากมีปัญญาบารมีมาก ๆ ควรจะทำบุญประเภทใด
ถาม : พระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ท่านกล่าวไว้ว่าใน ๑๐ บารมี ตั้งแต่ทานบารมีจนถึงอุเบกขาบารมี พระพุทธเจ้าสรรเสริญปัญญาบารมีที่สุด ผมเลยอยากทราบว่า ในชาตินี้อยากมีปัญญาบารมีมาก ๆ แล้วเผื่อไปชาติหน้าด้วย ควรจะทำบุญประเภทใดนอกจากการภาวนาและการถวายพระไตรปิฎก ?
ตอบ : พิจารณาวิปัสสนาญาณไว้บ่อย ๆ ถ้าสามารถรู้เห็นตามความเป็นจริงแล้วยอมรับได้ ก็ไม่ต้องรอชาติหน้าอีกด้วย
ถาม : การภาวนาต้องเข้าถึงระดับฌาน ๘ และวิปัสสนา ๑๖ จะได้มีปัญญาบารมีมาก ๆ ในชาตินี้และเผื่อในอนาคตชาติด้วย แบบขนาดที่ว่าฟังพระพุทธเจ้าเทศน์ครั้งเดียวแล้วบรรลุเลย หรือเปล่าครับ หรือแค่ได้สมาธิไม่ถึงระดับฌานก็พอ ?
ตอบ : แค่กำลังใจเราเกาะความดีจุดใดจุดหนึ่ง ถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทวนของเก่าให้ก็บรรลุมรรคผลได้แล้ว ถ้าถึงวิปัสสนาญาณ ๑๖ ก็ไม่ต้องเกิดกันอีก บรรลุตั้งแต่เข้าถึงแล้ว
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เก็บตกจากบ้านเติมบุญ ต้นเดือนกรกฎาคม ๒๕๖๐
เว็บวัดท่าขนุน -
พระราชทานคำขวัญวันแม่แห่งชาติปี 2560
สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่9 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานคำขวัญวันแม่แห่งชาติ ปี 2560
เมื่อวันที่ 25 ก.ค. สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่9 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานคำขวัญวันแม่แห่งชาติ ปี 2560 เพื่ออัญเชิญลงหนังสือวันแม่แห่งชาติปี 2560 ของสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ความว่า “สอนให้ลูก เรียนรู้ สู้ปัญหา พัฒนา ด้วยตน จนเติบใหญ่ เพราะคนแกร่ง จะก้าว ได้ยาวไกล เพื่อมาเป็น กำลังไทย ให้แข็งแรง”
----------
ที่มา :
http://www.newtv.co.th/news/3682 -
ปรมาจารย์เว่ยหล่าง พระอรหันต์ของจีนที่นิพพานมาเป็นพันๆปีแต่ร่างกายยังนั่งสมาธิเป็นหินอย่างสมบูรณ์
...................
ปรมาจารย์เว่ยหล่าง พระอรหันต์ของจีนที่นิพพานมาเป็นพันๆปีแต่ร่างกายยังนั่งสมาธิเป็นหินอย่างสมบูรณ์
ประวัติของท่านเว่ยหล่าง
ท่านเว่ยหล่าง พระสังฆปริณายกองค์ที่ ๖ ของพุทธศาสนานิกายเซน เดิมชื่อฮุ่ยเน่ง (Hui Neng) ท่านเกิดเมื่อ พ.ศ. ๑๑๘๑ สมัยยุคราชวงค์ถัง เดิมเป็นชาวเมืองน่ำเฮี้ยง แล้วต่อมาได้ไปอยู่ที่กวางตุ้ง บิดาได้ถึงแก่กรรมในขณะที่ท่านยังเล็กอยู่ และมารดาก็เลี้ยงท่านมาในสภาพที่ยากจนทนทุกข์ ทั้งสองคนได้ย้ายจากกวางตุ้งไปอยู่กวางเจา ต้องทำงานในเรือกสวนไร่นา ช่วงเวลาว่างก็จะตัดไม้ ผ่าฟืนและหาบไปขายในตลาด ท่านเว่ยหล่างอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ แต่มีความเฉลียวฉลาด มีไหวพริบปฏิภาณและมีความจำเป็นเลิศ
ในหนังสือ "สูตรของเว่ยหล่าง" ที่แปลโดยท่านพุทธทาสภิกขุ มีข้อความที่ท่านเว่ยหล่างเล่าอัตชีวประวัติเอาไว้ว่า
"บิดาของอาตมาเป็นชาวเมืองฟันยาง ถูกถอดจากตำแหน่งข้าราชการ ถูกเนรเทศไปอยู่อย่างราษฎรสามัญที่ซุนเจาในมณฑลกวางตุ้ง อาตมาโชคร้ายโดยที่บิดาไปถึงแก่กรรมเสียแต่ในขณะที่อาตมายังเล็กเหลือเกิน และละทิ้งมารดาไว้ในสภาพที่ยากจนทนทุกข์ เราสองคนจึงย้ายไปอยู่ทางกวางเจา... -
เรื่องเล่าในพระธรรมบท ตอน พระภิกษุผู้บรรลุอรหันต์ด้วยการเพ่งเงาแดด
เรื่องเล่าในพระธรรมบท ตอน พระภิกษุผู้บรรลุอรหันต์ด้วยการเพ่งเงาแดด
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในกรุงสาวัตถี ทรงปรารภภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง ผู้เจริญมรีจิกัมมัฏฐาน ได้ตรัสพระธรรมบท พระคาถาที่ 46 นี้
ครั้งหนึ่ง มีพระภิกษุรูปหนึ่ง เรียนพระกัมมัฏฐานจากพระศาสดาแล้ว ได้ไปสู่ป่า แม้ว่าพระภิกษุรูปนี้จะเพียรพยามปฏิบัติพระกัมมัฏฐานอย่างไร ก็ไม่ก้าวหน้าถึงพระอรหัตตผล ดังนั้นท่านจึงได้ตัดสินใจเดินทางกลับไปเฝ้าพระศาสดาเพื่อขอคำนะนำเพิ่มเติม ในระหว่างทางท่านได้เห็นพยับแดด(เงาแดด)ซึ่งเป็นเพียงภาพลวงตาที่แลเห็นเป็นรูปร่าง พอเห็นแค่นี้นี้ท่านก็รู้แจ้งเห็นจริงว่า ร่างกายของคนเราก็ไม่มีตัวตนเหมือนกับพยับแดด ดังนั้นท่านจึงได้ใช้จิตพิจาณาความไม่มีตัวตนของร่างกาย เดินมาถึงริมฝั่งมาน้ำอจิรวดี ขณะที่ท่านนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ริมฝั่งแม่น้ำมองลงไปในแม่น้ำ ได้แลเห็นฟูมฟองน้ำขนาดใหญ่ถูกคลื่นซัดแตกกระจาย ท่านก็ได้ตระหนักถึงสภาพที่ไม่ยั่งยืนของร่างกาย
ต่อมาไม่นาน พระศาสดาประทับอยู่ที่พระคันธกุฎี ได้มาปรากฏในภาพนิมิตของพระภิกษุนั้น ตรัสว่า “ดูก่อนภิกษุ ที่เธอเข้าใจแล้วนั้นถูกต้องแล้ว ร่างกายนี้ไม่ยั่งยืน... -
จมมานานกว่า 30 ปี!! "วัดวังก์วิเวการาม" เมืองใต้บาดาลอันสวยงาม กับประวัติความเป็นมาน่ามหัศจรรย์!!เป็นบุญตาของชีวิต สักครั้งต้องลองไปสัมผัส!!
สถานที่แห่งนี้คือ "เมืองบาดาล" ที่จมอยู่ใต้น้ำมานานกว่า 33 ปีแล้ว โดยจมอยู่ใต้เขื่อนเขาแหลม อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี ซึ่งเมื่อก่อนเคย ตั้งตระหง่านอยู่บนพื้นดิน ก่อนจมลงใต้บาดาล
"วัดวังก์วิเวการาม" หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่า "หลวงพ่ออุตตมะ" เป็นบริเวณวัดหลวงพ่ออุตตมะเดิมที่ ปัจจุบันพระอุโบสถหลังเก่าจมอยู่ใต้น้ำเป็นที่รู้จักในชื่อว่า "วัดใต้น้ำ สังขละบุรี" เราจะสามารถเห็นได้ชัดในช่วงฤดูแล้งช่วงเดือนมีนาคม-เมษายน เพราะน้ำจะลด ทำให้สามารถมองเห็นโบสถ์ของวัดได้อย่างชัดเจน
แต่ในช่วงน้ำขึ้นน้ำจะท่วมสูงเกือบทั้งหมด เหลือเพียงยอดโบสถ์ให้เห็นเท่านั้น หากใครที่ต้องการชมความงดงามของโบสถ์ และศาลาการเปรียญของวัดวังก์วิเวการามเดิมอย่างใกล้ชิด ควรเดินทางมาก่อนเดือนสิงหาคม ก่อนที่น้ำจะเพิ่มระดับสูงขึ้น
ซึ่งประวัติความเป็นมาของ "วัดวังก์วิเวการาม" หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่า "หลวงพ่ออุตตมะ" เป็นวัดที่หลวงพ่ออุตตมะ ร่วมกับชาวบ้านอพยพชาวกะเหรี่ยงและชาวมอญ ได้ร่วมกันสร้างขึ้น ในปี พ.ศ. 2496 ที่บ้านวังกะล่าง อำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี ในระยะแรกมีเพียงกุฏิและศาลา มีฐานะเป็นสำนักสงฆ์... -
การสร้างพระ หล่อพระ แล้วได้บุญใหญ่นั้นจริงหรือไม่? ทำเช่นไรจึงจะได้บุญใหญ่? พระอาจารย์สุชาติชี้แนะไว้!!!
ถาม : การสร้างพระ หล่อพระ แล้วได้บุญใหญ่นั้นจริงหรือไม่? ถ้าเทียบกับการลงมือปฏิบัติธรรมภาวนา อันไหนได้อานิสงส์มากกว่ากัน
พระอาจารย์ : การปฏิบัติต้องได้อานิสงส์มากกว่า เพราะเป็นปฏิบัติบูชา ส่วนการสร้างพระพุทธรูปนี้ ยังถือว่าเป็นอามิสบูชาอยู่
ถ้าการสร้างพระพุทธรูปได้บุญ ๑ ล้าน (หนึ่งล้าน)
การปฏิบัติก็จะได้เป็น ๑๐๐,๐๐๐ ล้าน (แสนล้าน)
พระพุทธเจ้าบอกว่าการบูชาตถาคตที่แท้จริง ต้องบูชาด้วยการปฏิบัติบูชา ส่วนอามิสบูชานี้ ก็เป็นเพียงแต่การแสดงความเคารพความศรัทธาเท่านั้น แต่ยังไม่ได้ยังประโยชน์ให้แก่ผู้ที่มีความเคารพมีความศรัทธา ไม่เหมือนกับการปฏิบัติบูชา ปฏิบัติศีล สมาธิ ปัญญา ปฏิบัติทาน ศีล ภาวนา อันนี้จะเป็นประโยชน์สูงสุดแก่ผู้ปฏิบัติ
ดังนั้นขอให้เรามุ่งไปที่การปฏิบัติบูชา
ไม่มีเงินสร้างพระพุทธรูป ก็ไม่ต้องไปเสียเวลาหาเงินมาสร้างพระพุทธรูป เพราะว่าอานิสงส์ได้ไม่เท่ากับการไปปลีกวิเวก ไปปฏิบัติธรรม ไปเจริญสมถวิปัสสนาภาวนา อันนี้แหละเป็นประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เพราะจะทำให้ได้บรรลุมรรคผลนิพพานนั่นเอง
ต่อให้สร้างพระพุทธรูปเป็นแสนล้านองค์ ก็จะไม่สามารถบรรลุมรรคผลนิพพานได้... -
เปิดที่เที่ยวใหม่ วังพญานาค 4 ตระกูล พุทธอุทยานหลวงปู่สด
วันนี้ Sanook! Travel จะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับสถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่ ของจังหวัดปราจีนบุรี นั่นก็คือ พุทธอุทยานหลวงปู่สดนั่นเอง
ที่นี่เป็นอุทยานที่สร้างขึ้นมาจากพื้นที่นาเก่ารกร้างของนายณรงค์ เพียรผักแว่น หรือช่างเอ๋ วัย 46 ปี อาชีพเป็นช่างปั้นงานศิลปะฝีมือดี
โดยเริ่มแรกนั้นช่างเอ๋ได้นิมิตรเห็นหลวงปู่สดลอยอยู่กลางบึงน้ำขนาดใหญ่จึง ได้ริเริ่มทำตามนิมิตรของตน บูรณะที่นารกร้าง
ให้กลายเป็นบึงน้ำขนาดใหญ่ และปั้นรูปปั้นหลวงปู่สดขนาดใหญ่ประดิษฐานอยู่ที่บึงน้ำนี้ และต่อมาได้นิมิตรอีกว่าได้พบเห็นพญานาค 4 ตน อยู่ตรงบึงน้ำของหลวงปู่สด
จึงเกิดเป็นปณิธานในการสร้างปั้นรูปพญานาคต่อมาในปัจจุบัน ซึ่งพญานาคมีทั้งหมดสี่ตน จึงตั้งชื่อที่นี่ว่า วังพญานาค 4 ตระกูล พุทธอุทยานหลวงปู่สด
กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่เปี่ยมล้นไปด้วยความเชื่อของเหล่าพุทธศาสนิกชน ที่มีความเชื่อเรื่องพญานาค แห่แหนเข้ามาเยี่ยมชมพุทธอุทยานนี้เป็นจำนวนมาก
กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวใหม่ของ ปราจีนบุรี ใครที่มีความเชื่อและความศรัทธาในพญานาครวมถึงหลวงปู่สด สามารถเดินทางไปสักการะกันได้ที่ บ้านเลขที่ 37/1 หมู่ 9 บ้านคลองชัน... -
เข้าวัด ทำบุญ ไล่ยุงวิถีพุทธ สร้างบุญป้องกันโรคจากยุงลาย ลุย 3.6 หมื่นวัด ช่วงเข้าพรรษา
อธิบดีกรมควบคุมโรค นายแพทย์เจษฎา โชคดำรงสุข พร้อมด้วยพระมหาสมควร สุทสฺสโน ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดบัวขวัญ นายณรงค์ แสงสุวรรณ ผู้อำนวยการโรงเรียนวัดบัวขวัญ (มีทับราษฎร์บำรุง) ร่วมเปิดโครงการรณรงค์ “เข้าวัด ทำบุญ ไล่ยุงวิถีพุทธ”
โดยชวนพุทธศาสนิกชนสร้างบุญป้องกันโรคติดต่อจากยุงลายด้วย 5 วิธี หลังผลสำรวจชี้! ศาสนสถานเป็นแหล่งที่พบลูกน้ำยุงลายมากที่สุด ถึงร้อยละ 58 ของจำนวนศาสนสถานที่สำรวจทั้งหมด
นายแพทย์เจษฎา กล่าวว่า เนื่องจากขณะนี้อยู่ในช่วงของเทศกาลเข้าพรรษา ประชาชนและพุทธศาสนิกชนต่างพากันเข้าวัดทำบุญ ประกอบกับช่วงนี้เป็นช่วงฤดูฝน จึงมีฝนตกอย่างต่อเนื่อง
หลายพื้นที่มีน้ำขังจนกลายเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุง ส่งผลให้ช่วงนี้มีผู้ป่วยจากโรคที่มียุงเป็นพาหะเพิ่มขึ้น ทั้งโรคไข้เลือดออก โรคติดเชื้อไวรัสซิกา และโรคไข้ปวดข้อยุงลาย โดยเฉพาะโรคไข้เลือดออกที่มียุงลายเป็นพาหะ
ซึ่งสถานการณ์โรคไข้เลือดออกในประเทศไทย ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 17 กรกฎาคม 2560 มีรายงานผู้ป่วยแล้ว 22,356 ราย เสียชีวิต 31 ราย จากข้อมูลพบว่าในจำนวนผู้เสียชีวิตทั้งหมด พบว่าเป็นผู้ใหญ่มากกว่าเด็ก... -
จะพิสูจน์กรรมได้อย่างไร
จะพิสูจน์กรรมได้อย่างไร
เดี๋ยวนี้เมื่อพูดว่าอะไรเป็นอะไร ก็มักจะถูกถามว่าพิสูจน์ได้หรือไม่ เหมือนอย่างวิธีพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ อันทุกๆสิ่งที่ปรากฏขึ้น หรือดังที่เรียกว่าปรากฏการณ์นั้น ต้องเป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้แน่ ในเมื่อมีเครื่องพิสูจน์ที่เพียงพอ แต่จะเป็นเครื่องพิสูจน์ชนิดไหน ก็สุดแต่สิ่งที่พิสูจน์
ถ้าสิ่งที่พิสูจน์นั้นเป็นวัตถุหรือสสาร ก็พึงพิสูจน์ด้วยเครื่องพิสูจน์สำหรับวัตถุหรือสสารนั้นทางวิทยาศาสตร์ ดังนี้เป็นต้น ถ้าสิ่งที่พิสูจน์เป็นอย่างอื่นจะใช้เครื่องพิสูจน์สำหรับวัตถุหรือสสารนั้นก็หาได้ไม่ ถ้าจะพึงใช้เครื่องพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ดังกล่าวได้ทุกอย่างแล้ว ศาลหลวงก็ไม่ต้องตั้งขึ้น เพราะเมื่อใครถูกกล่าวหาฟ้องร้องว่าทำผิด ก็จับตัวมาเข้าห้องวิทยาศาสตร์พิสูจน์ ไม่ต้องขึ้นศาล ในบัดนี้แม้จะมีเครื่องจับเท็จก็ใช้เป็นเพียงเครื่องมือประกอบเท่านั้น ใช้เป็นเครื่องวินิจฉัยเด็ดขาดหาได้ไม่ ฉะนั้น จะพิสูจน์อะไรก็ต้องมีเครื่องพิสูจน์ที่ควรกัน
กล่าวอย่างสรุป เมื่อสิ่งที่พิสูจน์เป็นวัตถุหรือสสาร ก็ใช้เครื่องพิสูจน์ในทางนั้น เมื่อสิ่งที่พิสูจน์เป็น
ความจริงที่นอกไปจากวัตถุหรือสสาร... -
หลักกรรมนอกพระพุทธศาสนา
ส่วนในลัทธิอื่น บางลัทธิปรฏิเสธกรรมเสียเลย บางลัทธิรับรองหลักกรรมบ้าง ปฏิเสธบ้าง แต่การระบุว่าทำอะไร เป็นกรรมดี ทำอะไรเป็นกรรมไม่ดี ก็มีกล่าวไว้ต่างๆ กัน ลัทธิที่ปฏิเสธหลักกรรมเสียเลยนั้น คือปฏิเสธว่ากรรมดีชั่วไม่มี ผลของกรรมดีชั่วไม่มี เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่มีกรรมเป็นของใคร ไม่มีใครเป็นเจ้าของของกรรม เพราะเมื่อใครทำอะไรทำแล้วก็แล้วไปไม่เห็นมีอะไรที่เรียกว่ากรรมเหลือติดตัว และที่ว่าดีไม่ดีนั้นก็เป็นการว่าเอาเอง ใครชอบก็ว่าดี ใครไม่ชอบก็ว่าไม่ดี เหมือนอย่างฝนตกแดดออก ใครชอบก็ชม ใครไม่ชอบก็ติ โดยที่แท้เป็นเรื่องของดินฟ้าอากาศ เป็นไปตามธรรมชาติ เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ไม่มีผลอะไร กรรมอะไร ส่วนผลต่างๆ ที่ได้รับนั้น เกิดขึ้นตามคราว ตามสมัย เหมือนอย่างผลไม้ต่างๆ ถึงคราวจะมีผล ก็มีผลขึ้นตามชนิด
ลัทธิที่รับบ้างปฏิเสธบ้าง เช่น รับว่าเมื่อทำอะไรไปก็เป็นบุญเป็นบาป ทำนองรับรองว่ากรรมมี แต่เมื่อคราวจะต้องรับผลของกรรม ก็อยากจะรับแต่ผลของกรรมดี ไม่อยากรับผลของกรรมชั่ว จึงแสดงวิธีทำให้หายบาป เมื่อเป็นเช่นนี้ผู้ทำเอง จึงมิใช่ผู้เป็นเจ้าของของกรรมที่ทำอย่างแน่นอน แต่มีเจ้าของอยู่อีกส่วนหนึ่ง... -
ชีวิตเนื่องด้วยกรรม และกรรมคืออะไร
ชีวิตของทุกคนเกี่ยวข้องกับกรรม ทั้งที่เป็นกรรมเก่า ทั้งที่เป็นกรรมใหม่ จะกล่าวว่าชีวิตเป็นผลของกรรมก็ได้ คำว่า กรรมเก่ากรรมใหม่นี้ อธิบายได้หลายระยะ เช่น ระยะไกล
กรรมที่ทำแล้วในอดีตชาติ เรียกว่ากรรมเก่า กรรมที่ทำแล้วในปัจจุบันชาติ เรียกว่ากรรมใหม่ อธิบายอย่างนี้อาจจะไกลมากไป จนคนที่ไม่เชื่ออดีตเกิดความคลางแคลงไม่เชื่อ จึงเปลี่ยน
มาอธิบายระยะใกล้ว่าในปัจจุบันชาตินี้แหละ กรรมที่ทำไปแล้ว ตั้งแต่เกิดมาเป็นกรรมเก่า ส่วนกรรมที่เพิ่งทำเสร็จลงไปใหม่ๆ เป็นกรรมใหม่ แม้กรรมที่จะเข้าใจหรือที่จะทำก็เป็นกรรมใหม่
เพราะฉะนั้น การที่จะเข้าใจเรื่องชีวิตได้ดี จำต้องทำความเข้าใจเรื่องกรรมให้ดีด้วย
คำว่า กรรม มีใช้ในภาษาไทยมาก เช่น กรรมการ กรรมกร กรรมาธิการ แต่ในภาษาที่พูดกัน เคราะห์ร้ายมักตกอยู่แก่กรรม เคราะห์ดีมักอยู่แก่บุญ ดังเมื่อใครประสบเคราะห์ร้าย
คือทุกข์ภัยพิบัติต่างๆ ก็พูดว่าเป็นกรรม แต่เมื่อใครประสบเคราะห์ดีมักพูดว่าเป็นบุญ และมีคำพูดกันว่า บุญทำกรรมแต่ง
เกณฑ์ให้กรรมเป็นฝ่ายดำ ให้บุญเป็นฝ่ายขาว ความเข้าใจเรื่องกรรมและคำที่ใช้พูดกันในภาษาไทยจักเป็นอย่างไร ให้งดไว้ก่อน... -
กรรมจากการขวางบุญผู้อื่น และเรื่องในพระไตรปิฏก
การขวางบุญผู้อื่น
การขวางบุญผู้อื่น ถือว่าเป็นกรรมฝ่ายอกุศลกรรมอีกชนิดหนึ่ง ถือว่าเป็นกรรมใหญ่ที่บั่นทอนรายได้และความเจริญอย่างมาก มีหลายชนิดดังนี้
การขวางบุญโดยไม่ให้ผู้อื่นรักษาศีลและนั่งสมาธิ ถือว่าเป็นกรรมใหญ่ เพราะศีลเป็นบุญชั้นกลาง สมาธิเป็นบุญชั้นสูง คือเป็นครุกรรม คือกรรมหนักฝ่ายกุศล ถ้าผู้ใดไปขวางบุญชนิดนี้ จะทำให้ผู้นั้นได้รับความทุกข์ยากลำบากเป็นอย่างมาก
การขวางบุญในการแสดงธรรม-การฟังธรรม คือ ในขณะที่อาจารย์สอนธรรมะให้คนทั่วไปฟังอยู่นั้น หรือในขณะที่พระทำพิธีสวดมนต์อยู่นั้น อาจจะมีบางคนพุดคุยกันในที่แห่งนั้น ซึ่งทำให้ผู้ที่ถูกชวนคุยนั้นฟังที่อาจารย์สอนไม่รู้เรื่อง และยังทำให้คนข้างๆ เสียสมาธิในการฟังด้วย เป็นการรบกวนคนอื่นรอบข้าง หรือการกระทำใดๆก็ตามคนที่ฟังธรรม ในที่แห่งนั้นเสียสมาธิในการฟัง หรือถูกรบกวนการฟังธรรม ทั้งที่ผู้ที่กระทำนั้นไม่ได้มีความตั้งใจหรือมีเจตนา แต่เขาผู้นั้นจะต้องได้รับกรรมชดใช้ และกรรมของการขัดขวางบุญผู้อื่นแน่นอน และผลกรรมที่ได้รับก็คือ เขาจะเป็นผู้ตาบอด หูหนวก เป็นต้อเนื้อ ต้อกระจก ปากแหว่ง หรืออาจจะปากเสีย... -
หนังสือ สนทนาธรรม เล่ม 10 ทั้งเล่ม
หนังสือ สนทนาธรรม เล่ม 10
โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) -
พระพุทธประวัติจากพระโอษฐ์ ตอน ความสิ้นตัณหา คือ นิพพาน
พระพุทธประวัติจากพระโอษฐ์ ตอน ความสิ้นตัณหา คือ นิพพาน
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! ที่เรียกว่า ‘สัตว์ สัตว์’ดังนี้, อันว่าสัตว์มีได้ ด้วยเหตุเพียงเท่าไรเล่า ? พระเจ้าข้า !”
ราธะ ! ความพอใจอันใด ราคะอันใด นันทิอันใด ตัณหาอันใด มีอยู่ในรูป ในเวทนา ในสัญญา ในสังขารทั้งหลาย และในวิญญาณ, เพราะการติดแล้ว ข้องแล้ว ในสิ่งนั้น ๆ, เพราะฉะนั้น จึงเรียกว่า ‘สัตว์’ ดังนี้.
ราธะ ! เปรียบเหมือนพวกกุมารน้อย ๆ หรือกุมารีน้อย ๆ เล่นเรือนน้อย ๆ ที่ทำด้วยดินอยู่, ตราบใดเขายังมีราคะ มีฉันทะ มีความรัก มีความกระหาย มีความเร่าร้อน และมีตัณหา ในเรือนน้อยที่ทำด้วยดินเหล่านั้น ; ตราบนั้นพวกเด็กน้อยนั้น ๆ ย่อมอาลัยเรือนน้อยที่ทำด้วยดินเหล่านั้น ย่อมอยากเล่น ย่อมอยากมีเรือนน้อย ที่ทำด้วยดิน เหล่านั้น ย่อมยึดถือเรือนน้อย ที่ทำด้วยดินเหล่านั้นว่าเป็นของเรา ดังนี้.
ราธะ ! แต่เมื่อใดแล พวกกุมารน้อย ๆ หรือกุมารีน้อย ๆ เหล่านั้น มีราคะไปปราศแล้ว มีฉันทะไปปราศแล้ว มีความรักไปปราศแล้ว มีความกระหายไปปราศแล้ว มีความเร่าร้อนไปปราศแล้ว มีตัณหาไปปราศแล้ว ในเรือนน้อยที่ทำด้วยดินเหล่านั้น,... -
พายุโซนร้อน “เซินกา” เข้าไทยวันนี้
กรมอุตุนิยมวิทยา ออกประกาศเตือน พายุโซนร้อน “เซินกา” ส่งผลทำให้ประเทศไทยตอนบนจะมีฝนตกชุกหนาแน่น กับมีฝนตกหนักถึงหนักมากหลายพื้นที่
กรมอุตุนิยมวิทยา ออกประกาศเตือน ฉบับที่ 8 เรื่อง “พายุโซนร้อน “เซินกา” (SONCA) บริเวณทะเลจีนใต้ตอนบน มีผลกระทบจนถึงวันที่ 29 กรกฎาคม 2560
ประกาศดังกล่าวระบุว่า วันนี้ พายุโซนร้อน “เซินกา” (SONCA) บริเวณทะเลจีนใต้ตอนบน มีศูนย์กลางอยู่ห่างประมาณ 190 กิโลเมตรทางตะวันออกของเมืองวิญ ประเทศเวียดนาม พายุนี้กำลังเคลื่อนที่ทางตะวันตกอย่างช้าๆ คาดว่าจะเคลื่อนขึ้นฝั่งประเทศเวียดนามในวันนี้ และจะอ่อนกำลังลงเป็นพายุดีเปรสชันและหย่อมความกดอากาศต่ำ ก่อนเคลื่อนผ่านประเทศลาว ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน และภาคเหนือ ตามลำดับ ลักษณะเช่นนี้ส่งผลทำให้ประเทศไทยตอนบนจะมีฝนตกชุกหนาแน่น กับมีฝนตกหนักถึงหนักมากหลายพื้นที่ โดยมีพื้นที่ได้รับผลกระทบตามภาคต่างๆ โดยในช่วงวันที่ 25-26 กรกฎาคม 2560 ภาคเหนือ , ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ , ภาคตะวันออก และในช่วงวันที่ 27-28 กรกฎาคม 2560 ภาคเหนือ , ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ , ภาคตะวันออก... -
"ต้องพยายามระลึกถึงภัยที่จะเข้ามาหาเรา"
"ต้องพยายามระลึกถึงภัยที่จะเข้ามาหาเรา"
ต้องพยายามระลึกถึงภัยที่จะเข้ามาหาเราคือความตาย พยายามเจริญมรณานุสติอยู่เรื่อยๆ ไปเยี่ยมดูคนตายอยู่เรื่อยๆ เมื่อเช้านี้ไปบิณฑบาต บ้านหนึ่งเขาบอกว่าลูกเขาอายุ ๓ - ๔ ขวบมั้ง ใส่บาตรก็เกือบทุกอาทิตย์ วันเสาร์อาทิตย์เขาก็จะมาใส่บาตรกัน แล้วก็มีลูก ๒ คน คนโตคนเล็ก อายุไร่เรี่ยกัน คนหนึ่งอ่อนกว่าสักปีหนึ่ง วันนี้เหลือคนเดียว วันนี้เขาบอกว่าคนโตตายไปแล้ว ไปเข้าโรงพยาบาลติดเชื้ออะไรในปอดหรือในเลือดก็ไม่ทราบ ๕ วันก็ตาย นี่เด็กอายุไม่กี่ขวบ ๔ - ๕ ขวบเท่านั้นเอง ปุ๊บปั๊บก็ตายได้ ให้คิดอย่างนี้ เราจะได้เห็นภัยเห็นโทษแล้วจะเห็นทุกข์ แล้วจะทำให้เรามีฉันทะ วิริยะ ที่จะหมั่นปฏิบัติให้มากขึ้น.
ธรรมะบนเขา
วันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๕๘
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต -
หลวงพ่อสมเด็จ ฯ วัดสระเกศ สอนเรื่อง "ความกตัญญู"
ในเรื่องของความกตัญญู หลวงพ่อสมเด็จ ฯ ท่านบอกว่า
ผู้ที่มีคุณ ใช่ว่าจะต้องเป็นผู้ใหญ่ ใช่ว่าจะต้องเป็นผู้ที่มีอายุมากกว่าเรา แม้คนที่มีอายุน้อยกว่าเรา เราก็ต้องจำ บางทีเขาเป็นเด็กแต่เขาเคยเอื้อเฟื้อแก่เรา เคยหยิบอะไรให้ เคยฉวยอะไรให้ เคยแบ่งเบาภาระอะไรให้ ก็ต้องนึกเหมือนกัน คือ เราไม่ได้ไปเคารพที่ตัวเขา แต่เคารพคุณธรรมที่เขามี
บางทีเณรเคยมีอุปการะแก่พระ พระไม่คิดถึงบุญคุณเณร อย่างนี้ไม่ได้ ใช่ว่าพระคิดถึงบุญคุณเณรแล้ว จะต้องไปกราบไปไหว้เณร แต่ต้องรู้ว่า เณรองค์นี้ เคยทำความดีไว้เหมือนกัน ควรจะให้อะไรตอบแทน นี่คือ หลักกตัญญูกตเวทิตาธรรม
ใครมีความดีแก่เราแม้เพียงเล็กน้อย เรามองเห็น เราต้องหาโอกาสที่จะทำให้ชัดเจนขึ้นว่า คนนี้เขามีความดี เราต้องพยายามทำให้ความดีชัดขึ้น นี่คือ กตัญญูกตเวทิตาธรรม
กตัญญูกตเวทิตาธรรมอย่างนี้ เราไม่ค่อยได้พูดถึงกัน โดยมากเราพูดถึงในลักษณะของพ่อแม่กับลูก ครูบาอาจารย์กับศิษย์ เป็นเรื่องที่ถูก เพราะความกตัญญูต่อพ่อแม่ครูบาอาจารย์นั้นเป็นสิ่งที่เราจำเป็นจะต้องมีอย่างชัดเจนแน่นอน ถ้าขาดกตัญญูกตเวทิตาธรรมต่อพ่อแม่ครูบาอาจารย์ไปเสียแล้ว ข้ออื่นก็พากันเลวหมด... -
ทำบุญ...คุณหวังอะไร? ถ้าหวังผล จะได้บุญหรือไม่?
ทำบุญ เพื่ออะไร?
ก่อนอื่นต้องย้อนมาดูถึงเหตุผลของการทำบุญกันก่อน เราทำบุญเพื่อให้เรารู้จักการเสียสละ แบ่งปันสิ่งที่มี เพื่อมอบความสุขให้แก่คนอื่น แต่สำหรับที่ต้องการกำลังใจในการทำบุญ พระพุทธเจ้าจึงตรัสถึงอานิสงส์ของการทำบุญ เพื่อเป็นแรงจูงใจให้คนหันมาร่วมกันทำบุญมากขึ้น
ทำบุญ หวังผล ให้ตนเองรวย ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน การเรียน สุขภาพแข็งแรง หรือหวังจะได้คู่ครองที่ดี ถือว่าผิดไหม?
ไม่ผิดอะไร หากจุดประสงค์ของเรา เป็นการทำบุญเพื่อเป็นสิริมงคลแก่ชีวิตตัวเอง ทำบุญด้วยความศรัทธาว่าสิ่งดีๆ ที่ทำไป จะเป็นประโยชน์ใครอีกหลายๆ คน โดยหวังว่าผลบุญนั้นส่งผลให้ชีวิตเรามีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นด้วย
แต่หากเป็นการทำบุญโดยมีจุดประสงค์แห่งความละโมบโลภมาก อยากได้อยากมีในสิ่งที่ไม่ใช่ของๆ คน หรือต้องทำความเดือดร้อนแก่ผู้อื่น ไม่คำนึงถึงคนอื่น และยังไม่มีจิตศรัทธาในการทำบุญ เช่น ทำบุญเพื่อหวังผลทางธุรกิจ ขอให้ได้แย่งงานจากบริษัทคู่แข่งได้ หรือทำบุญเพื่อหวังคู่ครอง โดยขอให้อีกฝ่ายเลิกกับสามีภรรยาเพื่อมาหาตน อย่างนี้ถือว่าทำบุญด้วยจิตใจที่ไม่บริสุทธิ์ ถือว่าเป็นการบั่นทอนบุญ... -
รักษาศีลแล้วยังไม่รวย - หลวงพ่อฤาษีลิงดำตอบปัญหาการรักษาศีล
รักษาศีลแล้วยังไม่รวย
ผู้ถาม “หลวงพ่อเจ้าขา ความจริงลูกไม่อยากค้านหลวงพ่อหรอก เพราะรู้ว่าหลวงพ่อมีปัญญามาก ฉลาดในการสอน แต่วันนี้ขอถามแกมประท้วงสักนิดหนึ่ง ในคำสอนที่หลวงพ่อว่า มีศีลแล้วจะร่ำรวย มีเงิน ไม่เป็นหนี้ มีโชคมีลาภ แค่รักษา ๕ แต่ไม่พอใจเดี๋ยวนี้เพิ่มเป็น ๘ มันก็ยังจนเหมือนเดิม”
หลวงพ่อ รักษามากี่ปี?
ผู้ถาม ๒ ปี...
หลวงพ่อ โธ่เอ๋ย! ก็ซวยมากี่ปี ศีลขาดมากี่ปี มันคุ้มกันหรือ...คือว่ารักษาศีลจริงๆ แค่ศีล ๕ น่ะ ๑.ค่าเหล้าไม่เสีย ๒.ค่าเจ้าชู้ไม่เสีย ๓.ค่าม่านรูดไม่เสีย...(หัวเราะ)
ผู้ถาม เอ๊ะ ไหนว่าพระอยู่วัดอยู่วา ไม่รู้อีโหน่อีเหน่?
หลวงพ่อ พระน่ะท่านไม่รู้ แต่ฉันรู้ มีคนไปพูดให้ฟัง เลยไม่ขี้ร้อนไม่ต้องไปอาบน้ำตามห้อง...(หัวเราะ) เรื่องที่ไม่เสียมีเยอะแยะ ทรัพย์ก็ดีขึ้น ไอ้ใจร้ายไปฆ่าเขาไปตีเขา ทะเลาะกับเขาก็ไม่มี แม้แต่ติดคุกติดตะราง ไม่ต้องเสียสตางค์ นี่ถ้ารักษามาตั้งแต่เกิดนะ ป่านนี้รวยนานแล้ว แกรักษามากี่วันนี่ ขาดทุนมากี่ปี...?
อยู่สำนักงานทำแท้ง
ผู้ถาม หลวงพ่อเจ้าขา... -
วิธีการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ของหลวงพ่อจรัญ วัดอัมพวัน จ.สิงห์บุรี เผยแผ่เป็นธรรมทาน
วิปัสสนากรรมฐาน คือ
วิ แปลว่า แจ่มแจ้ง แตกต่างจากและวิเศษกว่าการหยั่งรู้โดยโลกวิธี
ปัสสนา แปลว่า การเห็น คือ การหยั่งรู้ด้วยปัญญา ซึ่งเกิดจากวิปัสสนาวิธี
กรรม แปลว่า การกระทำ คือ การกระทำด้วยใจอัน ประกอบด้วยความเพียร สติ สัมปชัญญะ ตามวิธี การ
ฐาน แปลว่า การงาน คือ สิ่งที่ตัวกระทำ ได้แก่ ใจเข้าไปกำหนดเพื่อความรู้แจ้ง
วิปัสสนากรรมฐาน คือ การเพียรใช้สติ สัมปชัญญะ เข้าไปกำหนดสิ่งที่เกิดขึ้นทางกายและ ใจเพื่อให้เกิดปัญญาหยั่งรู้อย่าง แจ่มแจ้งซึ่งมิใช่จากสุตวิธี
( คือการฟังผู้อื่นบอกเล่า) หรือ ตรรกวิธี (การคิดตามด้วยเหตุผล) และแม้สมถวิธี ( การทำให้ใจความเกิดสงบ)
วิธีการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน
๑.การเดินจงกรม ก่อนเดินให้ยกมือไขว้หลังมือขวาจับข้อมือซ้ายวางไว้ตรงกระเบนเหน็บ ยืนตัวตรง เงยหน้า หลับตา ให้สติจับอยู่ที่ลายผมกำหนดว่า ยืนหนอ ช้าๆ ๕ ครั้ง เริ่มจากศีรษะลงมาลายเท้า และจากลายเท้าขึ้นไปบนศีรษะลงมาปลายเท้า และจากปลายเท้าขึ้นไปบนศีรษะกลับขึ้นกลับลงจนครบ ๕ ครั้ง แต่ละครั้ง แบ่งเป็น ๒ ช่วง
ช่วงแรก คำว่า ยืน จิตวาดมโนภาพ ร่างกายจากศีรษะลงมาหยุดที่สะดือ คำว่า หนอ จากสะดือ... -
คนสมัยนี้ชอบเอาพระเป็นบันไดไปนรก
พระอาจารย์เล็กเมตตาเตือนคนที่ชอบ "ด่าพระ"
ในเรื่องการด่าพระ ที่ท่านมีวัตรปฏิบัติไม่เหมาะสม ควรหรือไม่ ?
หลวงพ่อเล็กท่านสอนไว้ว่า "คนสมัยนี้ชอบเอาพระเป็นบันไดไปนรก ด่าพระได้จะรู้สึกว่าตัวเองเก่งกว่านักบวช เป็นการยกตนข่มท่าน แสดงว่าไม่มีธรรมะที่แท้จริงอยู่ภายในใจ ถ้าเขาอยากลงต่ำก็ปล่อยเขาไป เราอย่าโดดตามไปด้วยก็แล้วกัน"
และอีกครั้งที่มีคนถามท่านว่า "เราวิจารณ์พระไม่ได้หรือ ?" หลวงพ่อท่านตอบว่า
"จำเอาไว้ว่า อะไรที่อันตรายอย่าไปแตะ"
รวมธรรมะจากพระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ)
ที่มา : เว็บวัดท่าขนุนดอทคอม
ภาพจาก : https://i.ytimg.com/vi/0h92HPrtTak/maxresdefault.jpg -
อย่าเล็กน้อยและเป็นกันเองกับพระ
พระอาจารย์เล็กเมตตาสอนว่า "อย่าเล็กน้อยและเป็นกันเองกับพระ"
พวกเราเป็นคนที่ทำอะไรแล้วไม่ค่อยจะบอกกันก่อน อย่างเช่นการสร้างวัตถุมงคลที่จะเอาไปเข้าพิธีที่วัดท่าขนุน เชื่อไหมว่าอาตมามารู้เอาตอนที่เขาเอามาขึ้นหน้าเว็บ เปิดบัญชีจำหน่ายเรียบร้อยแล้ว สร้างในนามวัดท่าขนุน แต่เจ้าอาวาสรู้ทีหลัง จะบอกว่ากำลังใจเขามุ่งแต่งานจนลืม..ก็ไม่ใช่ เพราะว่าอะไรควรหรือไม่ควรนั้นต้องมีขั้นตอน
ในเรื่องของระยะเวลาอย่างหนึ่ง ความใกล้ชิดอย่างหนึ่ง จะทำให้พวกเราเผลอตัว แล้วก็ลืม โดยเฉพาะในเรื่องของพระ พอเราลืมแล้ว ก็จะมี กาย วาจา ใจ อะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ ในความรู้สึกของตัวเอง แต่จะกลายเป็นเรื่องใหญ่ที่มีโทษทีหลัง ต้องระมัดระวังให้ดี ต้องใช้คำว่า "อย่าทำตัวเป็นกันเอง" เป็นอันขาด ถ้าทำตัวเป็นกันเองเมื่อไร โทษจะเกิดได้ง่าย เพราะประมาทไปแล้ว
ถาม : พอพิจารณา ๆ ไป คำว่าไม่เป็นไรนี่ หนักหนาสาหัสเอาการเหมือนกันนะครับ
ตอบ : ต้องไปดูในมหาปรินิพพานสูตร ทีฆนิกาย สุตตันตปิฎก ก่อนพระพุทธเจ้าปรินิพพาน พระองค์ตรัสกับพระอานนท์ว่า "อานันทะ ดูก่อน..อานนท์ ต่อไปในภายภาคหน้า สงฆ์พึงหวังว่า สิกขาบทใดที่ไม่เหมาะกับยุคสมัย... -
"อยู่โลกนี้ก็เหมือนอยู่ในกรง" (หลวงปู่ชา สุภัทโท)
"อยู่โลกนี้ก็เหมือนอยู่ในกรง"
" .. อยู่โลกนี้ก็เหมือนอยู่ในกรงเท่านั้นแหละ ไม่พ้นไปจากกรง "ถึงจะรวยก็อยู่ในกรง มันจะจนก็อยู่ในกรง" มันจะร้องไห้ก็อยู่ในกรง มันจะรำวงอยู่ก็รำวงอยู่ในกรง มันจะดูหนังก็ดูหนังในกรง กรงอะไรเล่า "กรงคือความเกิด กรงคือความแก่ กรงคือความเจ็บ กรงคือความตาย"
"เปรียบเหมือนอย่างนกเขาที่เลี้ยงเอาไว้" เอานกเขามาเลี้ยงไว้แล้วก็ฟังเสียงขันของมัน แล้วก็ดีใจว่านกเขามันขันดี นกเขามันเสียงโต นกเขามันเสียงเล็ก ไม่ได้ไปถามนกเขามันเลยว่ามันสนุกหรือเปล่า
เพราะเราก็ว่าฉันเอาข้าวให้มันกิน เอาน้ำให้มันกินแล้ว "ทุกอย่างอยู่ในกรงทั้งหมดแล้ว ก็นึกว่านกเขามันจะพอใจ" เรานึกหรือเปล่าว่า ถ้าหากเขาเอาข้าวเอาน้ำให้กินโดยให้เราไปขังอยู่ในกรงนั้น เราจะสบายใจไหม
มันไม่ได้คิดอย่างนี้ "ก็นึกว่านกเขามันสบายแล้ว" น้ำมันก็ได้กิน ข้าวมันก็ได้กิน มันจะไปทุกข์อย่างไร พอคิดแค่นี้ก็หยุดแล้ว "แต่ว่านกเขามันจะตายอยู่แล้ว มันอยากจะบินไป มันอยากจะออกจากกรงไป" แต่เจ้าของนกนั้นไม่รู้เรื่อง .. "
"๘๔ พระธรรมเทศนา"
หลวงปู่ชา สุภัทโท -
พระพุทธประวัติจากพระโอษฐ์ ตอน ทรงมีปาฏิหาริย์สามอย่าง
พระพุทธประวัติจากพระโอษฐ์ ตอน ทรงมีปาฏิหาริย์สามอย่าง ๑
เกวัฏฏะ ! นี่ปาฏิหาริย์สามอย่าง ที่เราได้ทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งเองแล้วประกาศให้ผู้อื่นรู้ได้. สามอย่างอะไรเล่า ? สามอย่างคือ อิทธิปาฏิหาริย์ อาเทสนาปาฏิหาริย์ และ อนุศาสนีปาฏิหาริย์.
(๑) เกวัฏฏะ ! อิทธิปาฏิหาริย์ นั้นเป็นอย่างไรเล่า ? เกวัฏฏะ ! ภิกษุในกรณีนี้ กระทำอิทธิวิธีมีอย่างต่าง ๆ : ผู้เดียวแปลงรูปเป็นหลายคน,หลายคนเป็นคนเดียว, ทำที่กำบังให้เป็นที่แจ้ง ทำที่แจ้งให้เป็นที่กำบัง, ไปได้ไม่ขัดข้อง ผ่านทะลุฝา ทะลุกำแพง ทะลุภูเขา ดุจไปในอากาศว่าง ๆ, ผุดขึ้น และดำลงในแผ่นดินได้เหมือนในน้ำ, เดินไปได้เหนือน้ำ เหมือนเดินบนแผ่นดิน, ไปได้ในอากาศเหมือนนกมีปีก ทั้งที่ยังนั่งสมาธิคู้บัลลังก์. ลูกคลำดวงจันทร์และดวงอาทิตย์อันมีฤทธิ์อานุภาพมาก ได้ด้วยฝ่ามือ. และแสดงอำนาจทางกายเป็นไปตลอดถึงพรหมโลกได้. เกวัฏฏะ ! กุลบุตรผู้มีศรัทธาเลื่อมใสได้เห็นการแสดงนั้นแล้ว เขาบอกเล่าแก่กุลบุตรอื่นบางคน ที่ไม่ศรัทธาเลื่อมใส ว่าน่าอัศจรรย์นัก. กุลบุตรผู้ไม่มีศรัทธาเลื่อมใสนั้น ก็จะพึงตอบว่า วิชาชื่อคันธารี ๒ มีอยู่...
หน้า 340 ของ 395