ไม่ได้ฆ่าสัตว์ แต่กินเนื้อสัตว์ เป็นความผิดบาปไหม??

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย @^น้ำใส^@, 11 เมษายน 2007.

  1. @^น้ำใส^@

    @^น้ำใส^@ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    2,330
    ค่าพลัง:
    +4,674
    ไม่ได้ฆ่าสัตว์ แต่กินเนื้อสัตว์ เป็นความผิดบาปไหม?


    ผู้ที่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ต่างรู้อยู่แก่ใจแล้วว่าเป็นบาปมหันต์ แต่ก็หาได้เกรงกลัวต่อเวรกรรมที่ต้องชดใช้ไม่ เพราะถูกความมืดบอด ความโลภ ความหลงเข้าครอบงำ คนทั้งหลายจึงไม่ยอมรับว่า "การกินเนื้อเป็นความผิด"
    กฏธรรมดาเมื่อมีการกินก็ต้องมีการฆ่า เพราะสัตว์ทุกตัวมีชีวิตเป็นๆ เมื่อจะกินจึงต้องถูกนำไปฆ่าให้ตายก่อนการกินโดยไม่ฆ่านั้นไม่มีเลยในโลกนี้ "กินสัตว์กับฆ่าสัตว์" เป็นของคู่กัน ถ้าไม่มีคนกินก็ไม่มีคนฆ่า "คนกิน" และ "คนฆ่า" จึงมีความผิดเท่ากัน เหมือนมือซ้ายกับมือขวาที่อยู่ในคนๆเดียวกัน หากมือขวาไปฆ่าใครเมื่อถูกจับเขาก็ต้องถูกใส่กุญแจมือทั้ง ๒ ข้าง จะโต้แย้งว่ามือซ้ายไม่ผิดเพราะไม่ได้ฆ่า ไม่ยอมให้จับไปด้วย ย่อมเป็นไปไม่ได้


    หากคนใดคนหนึ่งไม่ได้ลงมือฆ่าเอง แต่ใช้ให้ผู้อื่นฆ่าแทน เมื่อศาลพิพากษาโทษก็ต้องตัดสินให้ทั้ง ๒ มีความผิดร่วมกันโทษฐาน "สมรู้ร่วมคิด" ฆ่าผู้อื่น เพราะทั้งคนฆ่าและคนกินได้ประโยชน์ร่วมกัน คนฆ่าก็หวังได้เงิน คนกินก็ได้อิ่มอร่อยกับเนื้อของสัตว์ที่ตาย
    เหตุกับผลย่อมเป็นของคู่กันแยกกันไม่ออก ทำเหตุดีย่อมได้รับผลดี ทำเหตุชั่วย่อมได้รับผลชั่ว การกินเลือดกินเนื้อของผู้อื่นที่เขาไม่ยินยอม ทำให้เขาต้องได้รับความทุกข์ทรมานแสนสาหัส เป็นเหตุดีหรือชั่ว? ผู้มีปัญญาควรไตร่ตรองวินิจฉัยดูให้ชัดแจ้ง

    บาปคืออะไร? การกระทำใดก็ตามที่ทำลงไปแล้วก่อให้เกิดโทษ เกิดทุกข์แก่ตัวเองและผู้อื่นเรียกว่า "บาป" การกินเนื้อสัตว์ทำให้เกิดทุกข์แก่ตัวเองและสัตว์ทั้งหลาย เพราะฉะนั้นการกินเนื้อสัตว์จึงเป็นบาป





    มีต่อค่ะ...(f)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 เมษายน 2007
  2. @^น้ำใส^@

    @^น้ำใส^@ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    2,330
    ค่าพลัง:
    +4,674
    คำโบราณที่พูดกันติดปากว่า "บาปอยู่กับคนทำกรรมอยู่กับคนกิน" น่าจะเป็นคำกล่าวที่คอยตอกย้ำให้เราจดจำไว้เสมอว่า "ใครก็ตามให้ผู้อื่นสร้างบาปด้วยการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเพื่อตนแล้ว ผู้นั้นก็ต้องได้รับผลกรรมจากการฆ่านั้นด้วย"

    หากมัวแต่ใช้คำพูดอย่างมีเล่ห์เหลี่ยมหลบหลีก เลี่ยงกันไปเลี่ยงกันมา เมื่อไหร่สัตว์จะได้รับผลแห่งความเมตตา กรุณาจากมนุษย์สักที

    การกินเนื้อ เป็นการส่งเสริมให้เขาฆ่า ร้านอาหารที่ขายเนื้อสัตว์ ยิ่งคนกินมากคนขายก็สั่งฆ่าสัตว์มากขึ้น ในวันสำคัญทางศาสนาเพียงวันเดียว เนื้อสัตว์ขายไม่ดี ทำให้สัตว์ตายน้อยลงเป็นพันเป็นหมื่นตัว ชีวิตจึงมีโอกาสอยู่รอดไปได้อีกวันหนึ่ง หากทุกคนงดเว้นเนื้อสัตว์ได้ทุกๆวัน ไม่เฉพาะวันพระหรือวันสำคัญทางศาสนาเท่านั้น สัตว์จำนวนมากมายมหาศาลก็จะมีอายุยืนยาวตลอดไป ไม่ต้องถูกฆ่าตาย ทำให้เช่นนี้...คิดดูเถิดว่าจะเป็นมหากุศลสูงส่งเพียงใด

    "หนึ่งมือกินเจ หมื่นชีวิตรอดตาย" ถ้าทุกๆคนพร้อมใจกันงดเว้นเนื้อสัตว์หันมากินเจแม้เพียงคนละ ๑ มื้อ สัตว์จำนวนนับหมื่นนับแสนชีวิต ก็จะรอดตาย อย่าได้มองข้ามมหากุศลของการกินเจเพียงมื้อเดียว

    เพราะความตายนั้นไม่ดี ไม่มีใครชอบ คนจึงเกลียดและกลัวความตาย การกินเลือดเนื้อก็ย่อมไม่ดี เพราะต้องมีการตายก่อนจึงจะได้กิน กินเนื้อก็เท่ากับกินความตายเข้าไปด้วย

    คนที่ว่ากินเนื้อดี ก็ต้องถือว่าความตายนั้นดี เมื่อความตายมาถึงก็จะต้องไม่ปฏิเสธ เขาควรยอมรับความตายของตนอย่างหน้าชื่นตาบาน แต่มันกลับไม่เป็นอย่างนั้น คนที่ชอบกินเนื้อสัตว์ ถึงคราวที่ตัวเองตายจะตายจิตวิญญาณกำลังจะออกจากร่างไป กลับดิ้นทุรนทุรายหวาดกลัวตื่นตระหนก ไม่มีใครเลยที่จะได้ตายจากไปโดยอาการอันสงบ มันช่างน่าสลดใจเสียจริงๆ


    ------------
    คัดลอกจาก หนังสือการกินเจ

    เรียบเรียงโดย หวัง ซื่อ ไฉ่
     
  3. ธรรมวิวัฒน์

    ธรรมวิวัฒน์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    26,414
    กระทู้เรื่องเด่น:
    82
    ค่าพลัง:
    +115,439
    เราจะกินเนื้อสัตว์ ใช่ว่าไม่มีเมตตา แต่คนกินไม่กินเนื้อสัตว์ ก็ใช่ว่าจะทำถูกนะครับ คนเรามันต้องเดินสายกลาง อย่างผมก็พยายามหลีกเลี่ยงกินเนื้อสัตว์ให้น้อยที่สุด แล้วก็ไม่กินสัตว์ใหญ่เช่น วัว ควาย ครับ เพราะคนเราจะเป็นพระอรหันต์มันไม่ได้อยู่ที่การงดกินเนื้อสัตว์ แต่อยู่ที่การบำเพ็ญเพียรลด ละ เลิกกิเลสในตัวเองนะครับ ไม่งั้นก็ขอยืมคำพูดหลวงปู่แหวนมาพูดนะครับ "ถ้ากินผักหญ้ามันดี วัวควายมันก็เป็นพระอรหันต์แล้วนะครับ" อันนี้เคยอ่านเจอในหนังสือของหลวงพ่อฤาษีตอบปัญหานะครับ แต่อยู่เล่มไหนจำไม่ได้ครับ
     
  4. thos1964

    thos1964 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 เมษายน 2006
    โพสต์:
    73
    ค่าพลัง:
    +441
    "ห้ามฆ่า" แต่ทำไมไม่ "ห้ามกิน" ?

    คลิกดูคำตอบตามลิ้งค์ข้างล่างนี้ครับ

    http://larndham.net/index.php?showtopic=22704
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 เมษายน 2007
  5. เฮียปอ ตำมะลัง

    เฮียปอ ตำมะลัง ทุกสิ่งจบสิ้นลงด้วยความตาย วุ่นวายทำไม ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    24,969
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +91,130
    ไม่ได้ฆ่าสัตว์แต่กินเนื้อสัตว์ ไม่บาปครับ
    ถ้ากินเนื้อสัตว์แล้วบาป พระพุทธเจ้าก็ต้องทรงบัญญัติไว้ในพระธรรมคำสั่งสอนแล้วว่าห้ามกิน แต่ทรงบัญญัติไว้ว่าห้ามกินเนื้อสิบอย่าง
     
  6. thos1964

    thos1964 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 เมษายน 2006
    โพสต์:
    73
    ค่าพลัง:
    +441
    เรื่องเนื้อสิบอย่างน่ะ พระพุทธเจ้าท่านบัญญัติห้ามพระสงฆ์ไม่ใช่หรือครับ คุณปอ

    คนธรรมดาถ้าสามารถทำใจกินได้ ก็ไม่น่าจะผิดบัญญัติข้อนี้นะครับ แต่ปกติมันก็ไม่ใช่อาหารของคนทั่วไปอยู่แล้วหนิครับ พวกเนื้อคน เนื้อช้าง เนื้อเสือ น่ะครับ

    อีกเรื่องหนึ่งก็คือ เรื่องเนื้อที่เห็นเขาฆ่าเพื่อตน ได้ยินมาว่าเขาฆ่าเพื่อตน และเนื้อที่ตนรังเกียจ เรื่องนี้ก็เป็นศีลพระเหมือนกัน

    สำหรับคนธรรมดาทั่ว ๆ ไป ถ้าไม่ได้ฆ่าเอง ไม่ได้สั่งให้คนอื่นฆ่า และไม่ได้ยินดีในการฆ่าของบุคคลอื่น ก็น่าจะกินได้สบายใจโดยไม่จำกัดว่าเป็นเนื้ออะไรนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 เมษายน 2007
  7. tingman

    tingman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    140
    ค่าพลัง:
    +281
    กินเนื้อ

    เรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อนครับ คนที่เค้ากินเนื้อเค้าก็ว่าเค้าไม่บาปนะครับ ชนิดที่ว่าไม่ยอมเลยทีเดียว ก็มันเป็นอาหารของเค้าที่พ่อแม่เค้าพากินมานะครับ ตั้งแต่เป็นทารกด้วยซ้ำไป พวกที่ว่าบาปคือพวกที่กินเจนะครับ ส่วนบาปก็คือผลกรรมนะครับ ให้พูดให้ตรงประเด็นนะครับ โดยไม่เกี่ยวกับคำพูดของพระรูปใดทั้งสิ้น ทุกคนรู้ดีว่าเนื้อสัตว์มาจากสัตว์ที่ถูกฆ่า ไม่ว่าที่โรงฆ่าสัตว์ แบบถาวรและชั่วคราว การฆ่าที่นิยมกันคือใช้ฆ้อนทุบหัวแล้วใช้มีดแทงเส้นเลือดที่คอ เป็ดไก่ก็ใช้มีดปาดคอ ปลาก็ถูกฆ่าด้วยมีด สัตว์มันไม่อยากตายเพื่อเป็นอาหารคนนะครับ อันนี้คือความจริง มันจึงดิ้นรน วิ่งหนี ส่งเสียงร้อง สายตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว อาฆาตแค้น พยาบาท สาปแช่งคนที่ ฆ่ามัน และคนที่กินมัน อันนี้ทุกคนก็น่าจะรู้ ไม่เช่นนั้น พอถึงเวลาสัตว์มันคงพากันฆ่าตัวตาย วิ่งชนมีดเพื่อเป็นอาหารคน โดยที่ไม่ต้องไปฆ่าให้ลำบากหรอกครับ ตามธรรมดาเนื้อสัตว์มันเหม็นคาว จะมากจะน้อยก็แล้วแต่ชนิดของสัตว์ จึงต้องมีการใช้เครื่องเทศนาๆชนิดมาปรุงถึงจะกินสะดวก และต้องระวังโรคต่าง ๆที่มาจากสัตว์ ไม่ว่าจะเป็นโรดบ้าต่าง ๆ หวัดต่าง ๆ พยาธิต่าง ๆ ส่วนพวกินเจก็พึงระวังผักฉีดยาฆ่าแมลงนะครับ ดังที่ว่า การเดินสายกลางมันก็ฟังยากนะครับ การเดินสายกลางคือการไม่ทำให้สิ่งหนึ่งสิ่งใดเดือดร้อนครับ ถ้าไม่มีใครเค้าเดือดร้อนเพราะเราและเราทำเราอยู่ได้ก็เอาเลย.....
     
  8. tomon2

    tomon2 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    23
    ค่าพลัง:
    +77
    ..........อาหาร ที่มีเนื้อสัตว์ ๑๐ อย่างนี้ เจือปนไม่ควรที่จะ " ถวายแก่พระภิกษุ เพื่อการขบฉัน "

    ..........๑. เนื้อมนุษย์
    ..........๒. เนื้อช้าง
    ..........๓. เนื้อม้า
    ..........๔. เนื้อสุนัข
    ..........๕. เนื้องู
    ..........๖. เนื้อราชสีห์
    .........๗. เนื้อหมี
    ..........๘. เนื้อเสือโคร่ง
    ..........๙. เนื้อเสือดาว
    ..........๑๐. เนื้อเสือเหลือง

    ......มังสะ ๑๐ อย่างนี้ ห้ามฉันและห้ามรับประเคน
     
  9. tomon2

    tomon2 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    23
    ค่าพลัง:
    +77
    พระไตรปิฎก เล่มที่ 05
    อุบาสิกาสุปปิยาถวายเนื้อขา
    [๕๘] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ในพระนครราชคฤห์ ตามพระพุทธาภิรมย์
    แล้วเสด็จพระพุทธดำเนินไปทางพระนครพาราณสี เสด็จพระพุทธดำเนินผ่านระยะทางโดยลำดับ
    ถึงพระนครพาราณสีแล้ว ทราบว่า พระองค์ประทับอยู่ ณ อิสิปตนะมฤคทายวันเขตพระนคร
    พาราณสีนั้น สมัยนั้น อุบาสกสุปปิยะและอุบาสิกาสุปปิยา ๒ คน เป็นผู้เลื่อมใส เป็นทายก
    กัปปิยการก บำรุงพระสงฆ์อยู่ในพระนครพาราณสี วันหนึ่ง อุบาสิกาสุปปิยาไปสู่อาราม เที่ยว
    เยี่ยมวิหารและบริเวณทั่วทุกแห่ง แล้วเรียนถามภิกษุทั้งหลายว่า ภิกษุรูปไรอาพาธ ภิกษุรูปไร
    โปรดให้ดิฉันนำอะไรมาถวาย เจ้าข้า.
    ครั้งนั้น ภิกษุรูปหนึ่งดื่มยาถ่ายและได้บอกอุบาสิกาสุปปิยาว่า ดูกรน้องหญิง อาตมา
    ดื่มยาถ่าย อาตมาต้องการน้ำเนื้อต้ม
    อุบาสิกาสุปปิยารับคำว่า ดิฉันจักนำมาถวายเป็นพิเศษ เจ้าข้า แล้วไปเรือนสั่งชายคน
    รับใช้ว่า เจ้าจงไปหาซื้อเนื้อสัตว์ที่เขาขายมา
    ชายคนรับใช้รับคำอุบาสิกาสุปปิยาว่า ขอรับกระผม แล้วเที่ยวหาซื้อทั่วพระนครพาราณสี
    ก็มิได้พบเนื้อสัตว์ที่เขาขาย จึงได้กลับไปหาอุบาสิกาสุปปิยาแล้วเรียนว่า เนื้อสัตว์ที่เขาขายไม่มี
    ขอรับ เพราะวันนี้ห้ามฆ่าสัตว์
    จึงอุบาสิกาสุปปิยาได้มีความปริวิตกว่า ภิกษุอาพาธรูปนั้นแล เมื่อไม่ได้ฉันน้ำเนื้อต้ม
    อาพาธจักมากขึ้นหรือจักถึงมรณภาพ การที่เรารับคำแล้วไม่จัดหาไปถวายนั้น เป็นการไม่สมควร
    แก่เราเลย ดังนี้ แล้วได้หยิบมีดหั่นเนื้อมาเชือดเนื้อขาส่งให้หญิงคนรับใช้สั่งว่า แม่สาวใช้
    ผิฉะนั้น แม่จงต้มเนื้อนี้แล้วนำไปถวายภิกษุรูปที่อาพาธอยู่ในวิหารหลังโน้น อนึ่ง ผู้ใดถามถึงฉัน
    จงบอกว่าป่วย แล้วเอาผ้าห่มพันขา เข้าห้องนอนบนเตียง.
    ครั้งนั้น อุบาสิกาสุปปิยะไปเรือนแล้วถามหญิงคนรับใช้ว่า แม่สุปปิยาไปไหน?
    หญิงคนรับใช้ตอบว่า คุณนายนอนในห้อง เจ้าข้า.
    จึงอุบาสกสุปปิยะเข้าไปหาอุบาสิกสุปปิยาถึงในห้องนอน แล้วได้ถามว่า เธอนอนทำไม
    อุบาสิกา.
    ดิฉันไม่สบายค่ะ อุบาสก.
    เธอป่วยเป็นอะไร.
    ทีนั้น อุบาสิกาสุปปิยาจึงเล่าเรื่องนั้นให้อุบาสกสุปปิยะทราบ
    ขณะนั้น อุบาสกสุปปิยะร่าเริงดีใจว่า อัศจรรย์นักชาวเราไม่เคยมีเลยชาวเรา แม่สุปปิยา
    นี้มีศรัทธาเลื่อมใสถึงแก่สละเนื้อของตนเอง สิ่งไรอื่นทำไมนางจักให้ไม่ได้เล่า แล้วเข้าไปเฝ้า
    พระผู้มีพระภาค. ถวายบังคมนั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง อุบาสกสุปปิยะนั่งเรียบร้อยแล้ว
    ได้กราบทูลคำนี้แด่พระผู้มีพระภาคว่า พระพุทธเจ้าข้า ขอพระผู้มีพระภาคพร้อมด้วยพระสงฆ์
    จงทรงกรุณาโปรดรับภัตตาหารของข้าพระพุทธเจ้าในวันพรุ่งนี้เพื่อเจริญมหากุศล และปิติปราโมทย์
    แก่ข้าพระพุทธเจ้าด้วยเถิด พระผู้มีพระภาคทรงรับนิมนต์โดยดุษณีภาพ ครั้นอุบาสกสุปปิยะ
    ทราบการรับนิมนต์ของพระผู้มีพระภาคแล้วลุกจากที่นั่ง ถวายบังคมพระผู้มีพระภาค ทำประทักษิณ
    แล้วกลับไป และสั่งให้ตกแต่งของเคี้ยวของฉันอันประณีตโดยผ่านราตรีนั้น แล้วให้คนไป
    กราบทูลภัตกาลแด่พระผู้มีพระภาคว่า ถึงเวลาแล้ว พระพุทธเจ้าข้า ภัตตาหารเสร็จแล้ว.
    ขณะนั้นเป็นเวลาเช้า พระผู้มีพระภาคทรงครองอันตรวาสก แล้วถือบาตรจีวรเสด็จไปสู่
    นิเวศน์ของอุบาสกสุปปิยะ ครั้นถึงแล้วประทับนั่งเหนือพุทธอาสน์ที่เขาจัดถวายพร้อมด้วย
    พระสงฆ์ จึงอุบาสกสุปปิยะเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถวายบังคมแล้วได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วน
    ข้างหนึ่ง
    พระผู้มีพระภาคได้ตรัสถามอุบาสกสุปปิยะผู้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งว่า อุบาสิกา
    สุปปิยาไปไหน?
    อุ. นางป่วย พระพุทธเจ้าข้า
    พ. ถ้าเช่นนั้น เชิญอุบาสิกาสุปปิยามา
    อุ. นางไม่สามารถ พระพุทธเจ้าข้า
    พ. ถ้าเช่นนั้น พวกเธอช่วยกันพยุงพามา
    ขณะนั้น อุบาสกสุปปิยะได้พยุงอุบาสิกาสุปปิยามาเฝ้า พร้อมกันนางได้เห็นพระผู้มี
    พระภาค แผลใหญ่เพียงนั้นได้งอกเต็ม มีผิวพรรณเรียบสนิท เกิดโลมชาติทันที จึงอุบาสกสุปปิยะ
    และอุบาสิกาสุปปิยา พากันร่าเริงยินดีว่า อัศจรรย์นักชาวเรา ไม่เคยมีเลยชาวเรา พระตถาคต
    ทรงมีฤทธิ์มาก ทรงมีพระอานุภาพมาก เพราะพอเห็นพระองค์เท่านั้น แผลใหญ่โตยังงอกขึ้น
    เต็มทันที มีผิวพรรณเรียบสนิท เกิดโลมชาติ แล้วอังคาสภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข
    ด้วยชาทนียโภชนียาหารอันประณีตด้วยมือของตน จนยังพระผู้มีพระภาคผู้เสวยเสด็จแล้ว ทรงนำ
    พระหัตถ์ออกจากบาตรให้ห้ามภัตรแล้ว นั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง.
    พระผู้มีพระภาค ทรงชี้แจงให้อุบาสกสุปปิยะและอุบาสิกาสุปปิยา เห็นแจ้ง สมาทาน
    อาจหาญ ร่าเริงด้วยธรรมีกถาแล้ว ทรงลุกจากที่ประทับเสด็จกลับ.

    ประชุมสงฆ์ทรงสอบถาม
    [๕๙] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งให้ประชุมภิกษุสงฆ์ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น
    ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุรูปไหน
    ขอเนื้อต่ออุบาสิกาสุปปิยา.

    เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสเช่นนี้แล้ว ภิกษุรูปนั้นได้ทูลรับต่อพระผู้มีพระภาคว่า ข้าพระ-
    *พุทธเจ้า ได้ขอเนื้อต่ออุบาสิกาสุปปิยา พระพุทธเจ้าข้า
    พ. เขานำมาถวายแล้วหรือ ภิกษุ
    ภิ. เขานำมาถวายแล้ว พระพุทธเจ้าข้า
    พ. เธอฉันแล้วหรือ ภิกษุ
    ภิ. ฉันแล้ว พระพุทธเจ้าข้า
    พ. เธอพิจารณาหรือเปล่า ภิกษุ
    ภิ. มิได้พิจารณา พระพุทธเจ้าข้า

    ทรงติเตียน
    พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรโมฆบุรุษ ไฉนเธอจึงไม่ได้พิจารณา แล้วฉัน
    เนื้อเล่า เธอฉันเนื้อมนุษย์แล้ว การกระทำของเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชน
    ที่ยังไม่เลื่อมใส .... ครั้นแล้วทรงทำธรรมีกถารับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า

    พระพุทธบัญญัติห้ามฉันเนื้อมนุษย์
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย บรรดาคนที่มีศรัทธาเลื่อมใสมีอยู่ เขาสละเนื้อของเขาถวายก็ได้
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงฉันเนื้อมนุษย์ รูปใดฉัน ต้องอาบัติถุลลัจจัย อนึ่ง ภิกษุยังมิได้
    พิจารณา ไม่พึงฉันเนื้อ รูปใดฉัน ต้องอาบัติทุกกฏ.พระไตรปิฎก เล่มที่ 05

    พระพุทธบัญญัติห้ามฉันเนื้อช้าง

    [๖๐] ก็โดยสมัยนั้นแล ช้างหลวงล้มลงหลายเชือก สมัยอัตคัตอาหาร ประชาชน
    พากันบริโภคเนื้อช้าง และถวายแก่พวกภิกษุผู้เที่ยวบิณฑบาต ภิกษุทั้งหลายฉันเนื้อช้าง
    ประชาชนจึงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนพระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรจึงได้ฉัน
    เนื้อช้างเล่า เพราะช้างเป็นราชพาหนะ ถ้าพระเจ้าอยู่หัวทรงทราบคงไม่ทรงเลื่อมใสต่อพระสมณะ
    เหล่านั้นเป็นแน่ ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติ
    ห้ามแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงฉันเนื้อช้าง รูปใดฉัน ต้องอาบัติทุกกฏ.

    พระพุทธบัญญัติห้ามฉันเนื้อม้า

    สมัยต่อมา ม้าหลวงตายมาก สมัยอัตคัดอาหาร ประชาชนพากันบริโภคเนื้อม้า และ
    ถวายแก่ภิกษุผู้เที่ยวบิณฑบาต ภิกษุทั้งหลายฉันเนื้อม้า ประชาชนจึงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า
    ไฉนพระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรจึงได้ฉันเนื้อม้าเล่า เพราะม้าเป็นราชพาหนะ ถ้าพระเจ้าอยู่หัว
    ทรงทราบ คงไม่เลื่อมใสต่อพระสมณะเหล่านั้นเป็นแน่ ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มี
    พระภาค. พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติห้ามแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงฉัน
    เนื้อม้า รูปใดฉัน ต้องอาบัติทุกกฏ.

    พระพุทธบัญญัติห้ามฉันเนื้อสุนัข

    สมัยต่อมา ถึงคราวอัตคัดอาหาร ประชาชนพากันบริโภคเนื้อสุนัข และถวายแก่พวก
    ภิกษุผู้เที่ยวบิณฑบาต ภิกษุทั้งหลายฉันเนื้อสุนัข ประชาชนจึงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า
    ไฉนพระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรจึงได้ฉันเนื้อสุนัขเล่า เพราะสุนัขเป็นสัตว์น่าเกลียด น่าชัง
    ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติห้ามแก่ภิกษุทั้งหลาย
    ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงฉันเนื้อสุนัข รูปใดฉัน ต้องอาบัติทุกกฏ.

    พระพุทธบัญญัติห้ามฉันเนื้องู

    สมัยต่อมา ถึงคราวอัตคัดอาหาร ประชาชนพากันบริโภคเนื้องู และถวายแก่พวกภิกษุ
    ผู้เที่ยวบิณฑบาต ภิกษุทั้งหลายฉันเนื้องู ประชาชนจึงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉน
    พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรจึงได้ฉันเนื้องูเล่า เพราะงูเป็นสัตว์น่าเกลียดน่าชัง แม้พระยานาค
    ชื่อสุปัสสะก็เข้าไปในพุทธสำนักถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้วได้ยืนอยู่ ณ ที่ส่วนข้างหนึ่ง
    ได้กราบทูลคำนี้แด่พระผู้มีพระภาคว่า พระพุทธเจ้าข้า บรรดาที่ไม่มีศรัทธา ไม่เลื่อมใสมีอยู่
    มันคงเบียดเบียนพวกภิกษุจำนวนน้อยบ้าง ของประทานพระวโรกาส พระพุทธเจ้าข้า ขอพระ-
    *คุณเจ้าทั้งหลายโปรดกรุณาอย่าฉันเนื้องู ลำดับนั้นพระผู้มีพระภาคทรงชี้แจงให้พระยานาคสุปัสสะ
    เห็นแจ้ง สมาทาน อาจหาญ ร่าเริงด้วยธรรมีกถา ครั้นพระยานาคสุปัสสะอันพระผู้มีพระภาค
    ทรงให้เห็นแจ้งสมาทาน อาจหาญ ร่าเริงด้วยธรรมีกถาแล้วถวายบังคมพระผู้มีพระภาคทำ
    ประทักษิณกลับไป

    ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงทำธรรมีกถา ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุ
    แรกเกิดนั้น แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงฉันเนื้องู รูปใดฉัน
    ต้องอาบัติทุกกฏ.

    พระพุทธบัญญัติห้ามฉันเนื้อราชสีห์

    สมัยต่อมา พวกพรานฆ่าราชสีห์แล้วบริโภคเนื้อราชสีห์ และถวายแก่พวกภิกษุผู้เที่ยว
    บิณฑบาต พวกภิกษุฉันเนื้อราชสีห์แล้วอยู่ในป่า ฝูงราชสีห์ฆ่าพวกภิกษุเสีย เพราะได้กลิ่นเนื้อ
    ราชสีห์ ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติห้ามภิกษุ
    ทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงฉันเนื้อราชสีห์ รูปใดฉัน ต้องอาบัติทุกกฏ.

    พระพุทธบัญญัติห้ามฉันเนื้อเสือโคร่ง

    สมัยต่อมา พวกพรานฆ่าเสือโคร่งแล้วบริโภคเนื้อเสือโคร่งและถวายแก่พวกภิกษุผู้เที่ยว
    บิณฑบาต พวกภิกษุฉันเสือโคร่งแล้วอยู่ในป่า เหล่าเสือโคร่งฆ่าพวกภิกษุเสียเพราะได้กลิ่นเนื้อ
    เสือโคร่ง ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติห้าม
    ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงฉันเนื้อเสือโคร่ง รูปใดฉัน ต้องอาบัติทุกกฏ.

    พระพุทธบัญญัติห้ามฉันเนื้อเสือเหลือง

    สมัยต่อมา พวกพรานฆ่าเสือเหลือง แล้วบริโภคเนื้อเสือเหลืองและถวายแก่พวกภิกษุ
    ผู้เที่ยวบิณฑบาต พวกภิกษุฉันเนื้อเสือเหลืองแล้วอยู่ในป่า เหล่าเสือเหลืองฆ่าพวกภิกษุเสีย
    เพราะได้กลิ่นเนื้อเสือเหลือง ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาค
    ทรงบัญญัติห้ามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงฉันเนื้อเสือเหลือง รูปใดฉัน
    ต้องอาบัติทุกกฏ.

    พระพุทธบัญญัติห้ามฉันเนื้อหมี

    สมัยต่อมา พวกพรานฆ่าหมีแล้วบริโภคเนื้อหมี และถวายแก่พวกภิกษุผู้เที่ยวบิณฑบาต
    พวกภิกษุฉันหมีแล้วอยู่ในป่าเหล่าหมีฆ่าพวกภิกษุเสียเพราะได้กลิ่นเนื้อหมี ภิกษุทั้งหลายกราบทูล
    เรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติห้ามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    ภิกษุไม่พึงฉันเนื้อหมี รูปใดฉัน ต้องอาบัติทุกกฏ.

    พระพุทธบัญญัติห้ามฉันเนื้อเสือดาว

    สมัยต่อมา พวกพรานฆ่าเสือดาวแล้วบริโภคเนื้อเสือดาว และถวายแก่พวกภิกษุผู้เที่ยว
    บิณฑบาต พวกภิกษุฉันเนื้อเสือดาวแล้วอยู่ในป่า เหล่าเสือดาวฆ่าพวกภิกษุเสีย เพราะได้กลิ่น
    เนื้อเสือดาว ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาค ทรงบัญญัติ
    ห้ามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงฉันเนื้อเสือดาว รูปใดฉัน ต้องอาบัติทุกกฏ.
    สุปปิยภาณวาร ที่ ๒ จบ.
    -----------
     
  10. ลมรำเพย

    ลมรำเพย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    126
    ค่าพลัง:
    +503
    อย่าดีเลยพระพุทธเจ้า

    [FONT=&quot]มีพระพุทธพจน์ว่า [/FONT]
    [FONT=&quot]เจตนาหํ กมฺมํ วทามิ เรากล่าวว่า เจตนาเป็นตัวกรรม[/FONT]
    [FONT=&quot]คนกินเนื้อสัตว์ ไม่มีเจตนาฆ่าสัตว์ จะเป็นกรรมเป็นบาปได้อย่างไร?[/FONT]
    [FONT=&quot]พระพุทธเจ้า พระอริยเจ้า ก็เสวย ก็กินเนื้อสัตว์ [/FONT]
    [FONT=&quot]คนทำบาปคนทำกรรมต้องไปอบายภูมิมิใช่หรือ?[/FONT]
    [FONT=&quot]แต่พระพุทธเจ้า พระอริยเจ้า เป็นผู้ปิดอบายแล้ว [FONT=&quot]ไม่ขัดกันหรือ[/FONT]?[/FONT]
    "[FONT=&quot]บาปอยู่กับคนทำกรรมอยู่กับคนกิน"[/FONT]
    [FONT=&quot]คำว่ากรรมอยู่กับคนกิน[FONT=&quot] บอกได้ไหมว่า คนกินต้องรับกรรมอย่างไร[/FONT]?[/FONT]
    [FONT=&quot]ถ้าต้องรับกรรมจากการกินก็มีคำถามต่อไปว่า[/FONT]
    [FONT=&quot]กินเนื้อหมูรับกรรมอย่างไร?[/FONT]
    [FONT=&quot]กินเนื้อไก่รับกรรมอย่างไร?[/FONT]
    [FONT=&quot]กินเนื้อเป็ดรับกรรมอย่างไร?[/FONT]
    [FONT=&quot]กินเนื้อฯลฯรับกรรมอย่างไร?[/FONT]
    <o:p> </o:p>
    [FONT=&quot]กินปีกไก่รับกรรมเท่ากินตูดไก่มั้ย?[/FONT]
    [FONT=&quot]ใช้ที่ปัดขนไก่รับกรรมอย่างไร?[/FONT]
    [FONT=&quot]ใช้ที่กระเป๋าหนังจระเข้หนังปลากระเบนรับกรรมอย่างไร?[/FONT]
    [FONT=&quot]และอีกมากมายคำถาม[/FONT]
    [FONT=&quot]คำถามเหล่านี้ใครจะตอบได้?[/FONT]
    <o:p> </o:p>
    [FONT=&quot]การไม่กินเนื้อสัตว์พิจารณาดูแล้วก็เป็นการดี[/FONT]
    [FONT=&quot]แต่อย่าให้ดีเลยพระพุทธเจ้า[/FONT]
    [FONT=&quot]คือไปว่าคนกินเนื้อว่าไม่มีเมตตา[/FONT]
    [FONT=&quot]ก็เท่ากับว่าพระพุทธเจ้า พระอริยเจ้า ไม่มีเมตตา[/FONT]
    [FONT=&quot]เพราะพระพุทธเจ้า พระอริยเจ้า ก็เสวย ก็กินเนื้อสัตว์ [/FONT]
    <o:p> </o:p>
    [FONT=&quot]และคำว่าคนกินเนื้อว่าไม่มีเมตตา<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]พระพุทธเจ้าไม่เคยดำรัสอย่างนั้น[/FONT]
    <o:p></o:p>[FONT=&quot]<o:p></o:p><o:p></o:p><o:p></o:p><o:p></o:p><o:p></o:p>[FONT=&quot]<o:p></o:p>[/FONT]<o:p></o:p>[/FONT]
     
  11. นายฉิม

    นายฉิม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2004
    โพสต์:
    2,099
    ค่าพลัง:
    +2,696
    ผมเองก็ฆ่าสัตว์และเอามาทำกินไม่น้อย บาปติดตัวคงจะเยอะมาก
     
  12. สัทธาธิกะ

    สัทธาธิกะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    736
    ค่าพลัง:
    +373
    ถ้าอยู่ใน ๓ ข้อนี้ก็ไม่บาปครับ

    ๑.ไม่เห็น
    ๒.ไม่ได้ยิน
    ๓.ไม่รังเกียจ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 27 กุมภาพันธ์ 2009
  13. ไห่เฉากุหลาบไฟ

    ไห่เฉากุหลาบไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    895
    ค่าพลัง:
    +2,177
    แต่ถ้าประเภทฆ่าสดๆ เช่นตามภัตาคาร ที่มีสัตว์เป็นๆ แล้วสั่งอาหารประเภทปลาที่อยู่ในตู้ มาฆ่าสดๆ คงจะบาปนะ แต่ก็อยากจะทราบว่า ถ้ากฎแห่งกรรม ของสัตว์นั้น ถูกกำหนดให้ถูกฆ่า สัตว์นั้นจะอาฆาตจองเวรเราหรือไม่?
     
  14. yutkanlaya

    yutkanlaya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    865
    ค่าพลัง:
    +4,403
    โปรตีน จากพืชดีกว่าเยอะ
    ปลอดไขมันชั้นเลว ปลอดโรค
    อย่าเชื่อตามก้น ฝรั่งเลย

    แต่สงสัยจังว่า????
    ยักษ์ผู้ประกอบธุรกิจ เลี้ยงสัตว์เพื่อฆ่า รวยเอาๆๆๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 มีนาคม 2009
  15. yutkanlaya

    yutkanlaya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    865
    ค่าพลัง:
    +4,403
    เยี่ยม;aa13;aa8
     
  16. yutkanlaya

    yutkanlaya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    865
    ค่าพลัง:
    +4,403
    กินมังสวิรัติ สร้างอัจฉริยภาพมนุษย์

    25 February, 2009 09:56:00 admin
    Font size: [​IMG] [​IMG]
    [​IMG]
    มีผลการวิจัยที่เชื่อได้ว่าอาหารมังสวิรัติ เป็นอาหารที่สามารถพัฒนาอัจฉริยภาพของมนุษย์ ได้
    มีผลการวิจัยที่เชื่อได้ว่าอาหารมังสวิรัติ เป็นอาหารที่สามารถพัฒนาอัจฉริยภาพของมนุษย์ ได้ นอกจากนี้การกินอาหารมังสวิรัติยังเป็นการมอบของขวัญ ที่เรามอบให้กับตัวเองอย่างแท้จริง เพราะอาหารมังสวิรัติจะทำให้เรารู้สึกว่าสุขภาพร่างก ายดีขึ้น อันจะส่งผลให้เกิดสติปัญญาหรืออัจฉริยภาพที่สมบูรณ์ข องมนุษย์นั่นเอง
    คำว่า “มังสวิรัติ” มาจากคำว่า “ มังสะ” แปลว่าเนื้อสัตว์ “วิรัติ” การงดเว้น มังสวิรัติจึงแปลว่า การงดเว้นเนื้อสัตว์ ซึ่งหมายถึงการไม่รับประทานเนื้อสัตว์ ทั้งนี้ อาจรวมหรือไม่รวมถึงไข่ และผลิตภัณฑ์จากนม
    มีรายงานการวิจัยจากสถาบันโภชนาการแห่งสหรัฐอเมริกา ซึ่งกล่าวถึง ประโยชน์ของอาหารมังสวิรัติ ที่มีผลต่ออัจฉริยภาพของมนุษย์ โดยระบุว่าเนื้อสัตว์ที่ถูกฆ่านั้นจะเต็มไปด้วยเลือด ที่เป็นพิษ เช่น ฮอร์โมนอะดรีนาลิน จะถูกหลั่งออกมาเมื่อสัตว์เหล่านั้นถูกฆ่า มีการใช้ดินประสิวใส่เพื่อให้เนื้อเป็นสีแดง จะมีโอกาสทำให้เป็นโรคมะเร็ง การใช้ฮอร์โมนเลี้ยงสัตว์เพื่อให้โตเร็วจะเป็นสาเหตุ ของโรคมะเร็งได้เช่นกัน รวมทั้งการใช้ยาปฏิชีวนะในสัตว์ เมื่อคนรับประทานเนื้อเหล่านั้นก็จะได้รับยาไปด้วยจะ ทำให้เกิดการต้านยาขึ้นได้ นอกจากนี้ยังมีโรคที่อาจจะติดมากับสัตว์ได้ เช่น โรควัณโรค โรคพยาธิ มะเร็ง เป็นต้น
    การวิจัยดังกล่าว ยังได้วิเคราะห์ว่า ในเนื้อสัน 1 กิโลกรัม มียูริคถึง 30 กรัม ทำให้ไตของเราต้องทำงานหนักขึ้น และมีโอกาสเป็นโรคเกาต์และโรคไต นอกจากนี้เนื้อย่าง 1 กิโลกรัม เกิดเป็นไซไพรีนเท่ากับการสูบบุหรี่ 600 มวน ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดมะเร็ง ไขมันสัตว์ทำให้เป็นโรคเส้นโลหิตอุดตันที่หัวใจ และสมอง เป็นสาเหตุของการเกิดโรคหัวใจอัมพาตได้ ปัจจัยเหล่านี้ล้วนส่งผลถึงอัจฉริยภาพของมนุษย์ทั้งส ิ้น

    หากพูดถึงโครงสร้างและสรีระของมนุษย์นั้น อาจจะบอกได้ว่าเมื่อเปรียบเทียบมนุษย์กับสัตว์อื่นแล ้ว จะเห็นได้ว่า ผักและผลไม้นั้นเหมาะสมสำหรับเป็นอาหารของมนุษย์อย่า งแท้จริง เพราะสรีระของมนุษย์มีลักษณะเล็บแบน ขับเหงื่อโดยรูขุมขน ฟันหน้าไม่แหลม มีต่อมน้ำลายที่สมบูรณ์แบบ ซึ่งจำเป็นสำหรับการย่อยอาหาร ประเภทข้าว กรดในกระเพาะอาหารอ่อนกว่าของสัตว์กินเนื้อถึง 20 เท่า และมีลำไส้ที่ยาวกว่าสัตว์กินเนื้อถึง 12 เท่า
    แล้วการรับประทานอาหารมังสวิรัติ จะมีผลให้เกิดอัจฉริยภาพของมนุษย์ได้อย่างไร ศ นพ.ดร.วิชัย เอกทักษิณ หัวหน้าหน่วยวิจัย คณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า อาหารมังสวิรัติเป็นอาหารที่งดเว้นจากการรับประทานผลิ ิตภัณฑ์ที่ทำมาจากเนื้อสัตว์ทุกชนิด แต่จะเป็นการหันมาบริโภคอาหารที่ทำมาจาก พืชผัก ผลไม้ แทนการรับประทานเนื้อสัตว์

    “เมื่อเราบริโภคพืชผัก ผลไม้ ละเว้นอาหารที่ทำมาจากเนื้อสัตว์ก็เท่ากับว่าเรามีจิ ตใจที่บริสุทธิ์ มีเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ และสัตว์ ก็จะส่งผลให้เรามีจิตใจที่เป็นสมาธิ เมื่อจิตใจเรามีสมาธิก็จะส่งผลก่อให้เกิดปัญญา เมื่อสมองเราก่อให้เกิดปัญญาก็จะสามารถแก้ไขปัญหาต่า ง ๆ ได้อย่างอัจฉริยะ อีกทั้งคนที่รับประทานอาหารมังสวิรัติเป็นระยะเวลาที ่ยาวนาน หรือทานได้ตลอดชีวิตบุคคลผู้นั้นจะมีอายุที่ยืนยาว จะส่งผลให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นด้วย เนื่องมาจากเรามีสุขภาพที่ดีปลอดภัยจากโรคภัยไข้เจ็บ ต่างๆ ไม่ต้องรับสารที่อันตรายทีเกิดมาจากเนื้อสัตว์”
    ศ นพ ดร.วิชัย ยังกล่าวต่ออีกว่า โปรตีนในพืชผักนั้นมีมากกว่าโปรตีนในเนื้อสัตว์ การที่เรารับประทานมังสวิรัตินั้นเราควร จะทานข้าวกล้อง หรือข้าวซ้อมมือร่วมด้วย และที่สำคัญควรรับประทานผักผลไม้ที่ขึ้นตามฤดูกาล เช่น กล้วยน้ำหว้า ฝรั่ง ส้ม หรือสับปะรด โดยที่เราควรจะทานผลไม้เหล่านี้หมุนเวียนกันไป เพียงเท่านี้ก็จะทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารครบทุกหม วดหมู่ เทียบเท่ากับการรับประทานเนื้อสัตว์
    มีความเชื่อว่าอาหารมังสวิรัตนั้น จะเป็นกุญแจที่จะสามารถเปิดประตูทุกบาน ไปสู่โลกที่มีแต่ความสงบสุข และเป็นหลักประกันสุขภาพอันสมบูรณ์ รวมทั้งความสมบูรณ์ทางปัญญาที่จะนำไปสู่ความมีอัจฉริ ยภาพของมนุษย์ และความมีเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ และสัตว์ในสังคม
    ศ นพ ดร วิชัย เอกทักษิณ นักเรียนสอบได้ที่ ๑ จาก ร.ร. เตรียมอุดมศึกษา สามารถสอบชิงทุนไปเรียนต่อที่คณะแพทย์ศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยแพทย์ และทันตแพทย์แห่งโตเกียว จนจบระดับปริญญาเอก ได้สร้างชื่อเสียงให้กับคนไทย ในฐานะเป็นนักศึกษาแพทย์ ซึ่งมีผลการเรียนดีเด่น และมีผลงานการวิจัยทางวิชาการ ตั้งแต่ยังเป็นนักศึกษาแพทย์ ระดับปริญญาตรี และระหว่างเป็นนักศึกษานั้น ก็บันทึกข้อสังเกตเกี่ยวกับมังสวิรัติไว้ ซึ่งเราได้นำมาตีพิมพ์ ณ ที่นี้
    ปัจจุบัน ศ น.พ.ดร.วิชัย เอกทักษิณ ดำรงตำแหน่งอาจารย์แพทย์ รับเชิญและเป็นนักวิทยาศาสตร์ ของมหาวิทยาลัยแพทย์ และทันตแพทย์แห่งโตเกียว และยังคงเป็นนักเอกามังสวิรัติมาจนถึงทุกวันนี้ เป็นเวลากว่า 30 ปีแล้ว
    โดย ผู้จัดการออนไลน์ 6 เมษายน 2549 09:16 น.
     
  17. angeltk229

    angeltk229 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กันยายน 2008
    โพสต์:
    1,584
    ค่าพลัง:
    +6,912
    เรา้เป็นคนหนึ่งที่ยังกินเนื้อสัตว์ค่ะ แต่งดกินหมูและเนื้อรวมถึงอาหารที่ปรุงด้วยรสดีหรือน้ำต้มกระดูกของหมูและเนื้อมา 9 ปีแล้ว ก็ดีค่ะคิดว่าถึงแม้จะไม่ได้กินเจ แต่ก็ยังได้ลดปริมาณการฆ่าหมูและเนื้อไปหลายร้อยตัว แค่ทำแล้วสบายใจค่ะ แบบว่าใครใคร่กิน กิน ใครใคร่งด งด แล้วกันเนาะ
     
  18. lagunaram

    lagunaram เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    368
    ค่าพลัง:
    +697
    เคยถามพระเรื่องกินเจกับกินเนื้อเหมือนกันค่ะว่ากินเจแล้วร่างกายบริสุทธิแล้วไปสวรรค์ดีกว่าคนกินเนื้อไหม พระท่านตอบว่า งั้นวัวควายกินแต่หญ้ามันคงได้ไปสวรรค์ กันหมดทุกตัวเพราะว่ามันไม่เคยกินเนื้อสัตว์เลยทั้งชีวิตมัน
     
  19. yutkanlaya

    yutkanlaya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    865
    ค่าพลัง:
    +4,403
    โลกยุคนี้ คือ ยุคโลกียะ อวิชชา อย่างจริงแท้ แน่นอน
    เพราะมนุษย์มีความเห็นผิดๆ แต่คิดว่าถูก
    มองโลกและสรรพสิ่งแบบแยกส่วน
    ขาดการคิดแบบองค์รวม
     
  20. วิญญาณนิพพาน

    วิญญาณนิพพาน ทีมงานอาสาฯ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    22,694
    กระทู้เรื่องเด่น:
    51
    ค่าพลัง:
    +21,020
    ก่อนนอน หลังสวดมนต์เเละนั่งสมาธิ ผมจะเเผ่เมตตาให้สรรพสิ่งทั้งปวง รวมไปถึงสัตว์ทุกตัวที่เราได้เคยกินเขาเป็นอาหารมา ใครที่ปฏิบัติก็มาร่วมด้วยช่วยกันเเผ่ให้พวกเขานะครับ พวกเขาจะได้รับจากพวกเราบ้าง อนุโมทนาครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...