โทษแห่งมุสาวาท

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย vacharaphol, 9 เมษายน 2006.

  1. vacharaphol

    vacharaphol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    8,849
    ค่าพลัง:
    +27,173
    [​IMG]

    <!--images-->โทษแห่งมุสาวาท



    .......ก่อนจะกล่าวถ้อยคำใดๆ ออกไป เรามั่นใจหรือไม่ว่ามันเป็นความจริง เพราะ การโกหก
    หลอกลวงนั้น คือการทำลายคุณค่าของตนเอง ดังที่ปุโรหิตผู้หนึ่งได้ทำลายคุณค่าของตนจน
    หมดสิ้น ด้วยคำพูดเพียงไม่กี่คำ


    กักการุชาดก


    ........ในอดีตกาล เมื่อครั้งพระเจ้าพรหมทัตครองกรุงพาราณสี พระองค์ได้จัดให้มีมหรสพครั้งใหญ่
    ขึ้น โดยมีเหล่ามนุษย์ นาค ครุฑ ภุมมัฏฐกเทพดา พากันมาชมมหรสพเป็นจำนวนมาก ในครั้งนั้น
    มีเทพบุตร ๔ องค์ ลงมาจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เพื่อมาชมมหรสพ เทพบุตรทั้ง ๔ องค์นั้นล้วนมี
    พวงมาลัยดอกไม้ทิพย์ ประดับรอบศีรษะ กลิ่นดอกไม้ทิพย์นั้นได้หอมฟุ้ง ตลบอบอวลไปทั่วพระนคร
    พวกมนุษย์จึงเที่ยวสืบหากันว่า ผู้ใดที่ประดับดอกไม้ซึ่งมีกลิ่นหอมเช่นนี้

    เทพบุตรเหล่านั้น จึงเหาะมาแสดงตนให้ปรากฏอยู่ในอากาศ ตรงหน้าพระราชวัง มหาชน
    ที่มาประชุมอยู่ ณ ที่นั้นจึงถามว่า

    " พวกท่านมาจากสวรรค์ชั้นไหน มาเพื่อกิจธุระอันใด "

    " เรามาจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ มาเพื่อชมมหรสพ " เทพบุตรเหล่านั้นตอบ

    พวกมนุษย์จึงถามต่อไปว่า " ดอกไม้ทิพย์ที่ท่านสวมศีรษะมานั้นมีชื่อว่าอะไร "

    เมื่อมนุษย์ทั้งหลายได้ทราบว่าเป็นดอกฟักทิพย์ จึงได้กล่าวขอต่อเทพบุตร เพื่อจะขอทัดทรงบ้าง
    เหล่าเทพบุตรจึงตอบว่า

    " ดอกไม้ทิพย์เหล่านี้มีอานุภาพมาก สมควรแก่หมู่เทพดาพวกเดียวเท่านั้น ไม่สมควรแก่ผู้ไม่มีศีล
    ไม่มีปัญญา มีอัธยาศัยน้อมไปในทางชั่วช้าลามก ซึ่งมีอยู่ในมนุษย์โลก "

    เมื่อตอบดังนี้แล้ว เทพบุตรองค์ที่ ๑ จึงกล่าวว่า

    " ผู้ใดไม่ลักสิ่งของของผู้อื่น ไม่พูดเท็จ ได้รับยศแล้วไม่มัวเมา ผู้นั้นแลสมควรประดับดอกฟักทิพย์ "

    .......ครั้งนั้นปุโรหิตของพระเจ้าพาราณสีได้ฟังคำของเทพบุตรองค์ที่ ๑ แล้ว จึงคิดว่าคุณสมบัติเหล่านี้
    ไม่มีในตัวเราสักอย่าง แต่เราจะโกหกเพื่อจะรับเอาดอกฟักทิพย์มาประดับศีรษะ เพื่อให้มหาชนทั้งหลาย
    เข้าใจว่า เราเป็นผู้บริบูรณ์ด้วยคุณสมบัติเหล่านี้ จึงกล่าวว่า

    " ข้าพเจ้าเป็นผู้มีคุณสมบัติเหล่านี้ครบทุกอย่าง "

    ครั้นรับเอาดอกฟักทิพย์จากเทพบุตรนั้นมาประดับศีรษะตน แล้วก็ขอจากเทพบุตรองค์ที่ ๒ ต่อไปอีก

    เทพบุตรองค์ที่ ๒ กล่าวว่า

    " ผู้ใดแสวงหาทรัพย์ได้มาโดยชอบธรรม ไม่หลอกลวงเอาทรัพย์ของผู้อื่น เมื่อได้ทรัพย์แล้วไม่
    ประมาทมัวเมา ผู้นั้นแลย่อมสมควรประดับดอกฟักทิพย์ "

    ปุโรหิตจึงโกหกว่าตนมีคุณสมบัติเหล่านี้ครบทุกประการ จากนั้นก็รับเอาดอกฟักทิพย์จากเทพบุตร
    องค์ที่ ๓ ต่อไปอีก

    เทพบุตรองค์ที่ ๓ ได้กล่าวว่า

    " ผู้ใดมีจิตไม่จืดจางเร็ว และมีศรัทธาไม่คลายง่ายๆ ไม่บริโภคของอร่อยแต่ผู้เดียว ผู้นั้นแลย่อม
    สมควรประดับดอกฟักทิพย์ "

    ปุโรหิตก็รับสมอ้างอีกเช่นเคย เมื่อรับเอาดอกฟักทิพย์มาสวมศีรษะของตนแล้ว ได้กล่าวขอต่อ
    เทพบุตรองค์ที่ ๔ ต่อไปอีก

    เทพบุตรองค์ที่ ๔ จึงกล่าวว่า

    " ผู้ใดไม่ด่าว่าสัตบุรุษทั้งในที่ต่อหน้าและลับหลัง พูดอย่างใดทำอย่างนั้น ผู้นั้นแลสมควรประดับ
    ดอกฟักทิพย์ "

    ฝ่ายปุโรหิตก็กล่าวรับอีก พร้อมทั้งรับดอกฟักทิพย์จากเทพบุตรองค์ที่ ๔ มาสวมศีรษะตนเหมือน
    กับทุกครั้งที่ผ่านมา

    เมื่อเทพบุตรทั้ง ๔ ให้พวงมาลัยดอกฟักทิพย์แก่ปุโรหิตแล้ว ก็พากันกลับสู่สวรรค์

    .......ในขณะนั้นเอง ปุโรหิตเกิดอาการเจ็บปวดศีรษะแปลบปลาบ เหมือนกับถูกทิ่มแทงด้วยปลาย
    มีดที่แหลมคม ทั้งปวดตึงราวกับศีรษะถูกรัดไว้ด้วยเชือกเหล็ก ต้องล้มลงกลิ้งเกลือกไปมาอยู่ ณ ที่
    นั้นเอง มหาชนทั้งหลายต่างพากันถามว่าเกิดอะไรขึ้น ปุโรหิตจึงสารภาพว่า

    " เราพูดเท็จ เพื่อขอดอกฟักทิพย์จากเทวดามาสวมศีรษะของเรา ขอท่านทั้งหลายจงช่วยกันปลด
    พวงมาลัยดอกฟักทิพย์ออกจากศีรษะของเราด้วยเถิด "

    คนทั้งหลายได้ช่วยกันปลดพวงมาลัยดอกฟักทิพย์อย่างสุดกำลังความสามารถ แต่ก็ไม่อาจปลด
    ออกได้ จึงพากันหามปุโรหิตไปส่งยังเรือนของเขา ปุโรหิตได้ร้องไห้คร่ำครวญ ต้องทนทุกข์ทรมาน
    อยู่นานถึง ๗ วัน

    พระราชาทรงปรึกษากับหมู่อำมาตย์ว่า จะทำอย่างไรจึงจะช่วยปุโรหิตผู้ไม่มีศีล ให้รอดพ้นจาก
    ความตายได้ อำมาตย์ทั้งหลายจึงกราบทูลว่า " ขอให้จัดมหรสพขึ้นใหม่ เทพบุตรทั้ง ๔ นั้น คงจะมา
    ชมอีก "

    พระองค์ทรงเห็นชอบด้วย จึงโปรดให้จัดมหรสพขึ้นอีก เทพบุตร ๔ ก็มาปรากฏกายแก่มหาชน
    อีกครั้ง ปุโรหิตจึงกล่าวอ้อนวอนเทพบุตรเหล่านั้นว่า " ขอเทพบุตรทั้งหลายจงช่วยชีวิตข้าพเจ้าด้วยเถิด "

    เทพบุตรทั้ง ๔ พากันติเตียนปุโรหิตนั้น ในท่ามกลางมหาชนว่า " ดอกฟักทิพย์เหล่านี้ ย่อม
    ไม่สมควรแก่ผู้ไม่มีศีล ไม่มีกัลยาณธรรมเช่นท่าน ท่านได้หลอกลวงพวกเราจึงได้รับผลแห่งมุสาวาท
    นั้น "

    ครั้นกล่าวติเตียนแล้ว จึงปลดพวงมาลัยนั้นออกจากศีรษะปุโรหิต จากนั้นก็ให้โอวาทแก่มหาชน
    ให้ตั้งอยู่ในศีล แล้วพากันกลับไปสู่สรางสวรรค์

    พวงมาลัยดอกไม้อันงดงาม ที่กลับกลายเป็นความแหลมคมเข้าทิ่มแทง จะสร้างความเจ็บปวด
    ได้ก็เพียงกาย แต่ความเจ็บปวดรวดร้าวใจของปุโรหิตผู้นั้น ไหนเลยจะบรรเทาลงได้ จากบุคคล
    ผู้เคยเป็นที่เคารพนับถือ กลับต้องมีชีวิตเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมืออย่างน่าอับอาย แต่...ปุโรหิต
    ผู้น่าสงสารจะรู้หรือไม่ว่า ความทุกข์เหล่านั้นยังมิใช่โทษทัณฑ์ที่แท้จริง

    เพราะ การที่ใครสักคนจะกล่าวคำเท็จได้นั้น เขาจะต้องบิดเบือนความจริงในใจ ต้องทำลาย
    สัจธรรมที่มีอยู่ในใจ คำเท็จของเขาจึงทำลายใจเขาก่อนใคร และทำลายใจเขามากกว่าใคร ยิ่งกล่าว
    ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ใจของเขาจะยิ่งทรุดโทรมเสื่อมสมรรถภาพลงไป

    นี่คือ ผลอันร้ายกาจของการโกหกหลอกลวง



    จากหนังสือ.....



    ศีล....เป็นที่ตั้งแห่งความดีงาม

    พระมหาสุวิทย์ วิชฺเชสโก ป.ธ. ๙
     

แชร์หน้านี้

Loading...