เหตุที่คนทำชั่วบ่อย ตายแล้วไปสรรค์ได้ !!!

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย rinnn, 29 กรกฎาคม 2006.

  1. rinnn

    rinnn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    7,666
    ค่าพลัง:
    +24,025
    บุคคล 4 จำพวกตามที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ใน "มหากัมมวิภังคสูตร" นั้นสรุปได้ว่า

    1. บุคคลบางคนที่มักทำผิดศีล (ในภพชาติปัจจุบัน) ตายไปเข้าถึงอบายๆ มี

    2. บุคคลบางคนที่มักทำผิดศีล (ในภพชาติปัจจุบัน) แต่ตายไปกลับเข้าถึงสุคติๆ ก็มี

    3. บุคคลบางคนรักษาศีล (ในภพชาติปัจจุบัน) ตายไปเข้าถึงสุคติๆ ก็มี

    4. บุคคลบางคนรักษาศีล (ในภพชาติปัจจุบัน) แต่ตายไปกลับเข้าถึงอบายๆ ก็มี

    อ่าน มหากัมมวิภังคสูตร

    พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๔ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๖
    มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์

    ๖. มหากัมมวิภังคสูตร (๑๓๖)

    http://larndham.net/cgi-bin/stshow.p...nd=7977&word1=มหากัมมวิภังคสูตร

    พระสูตรนี้ยาวมากและอ่านต้องสรุปให้ดี ไม่เช่นนั้นจะเข้าใจผิด ว่าพระพุทธองค์ไม่อนุมัติให้กล่าวเรื่อง กฏแห่งกรรม โลกนี้ โลกหน้า..... และอาจจะไม่เข้าใจว่า ทำไมคนที่ทำชั่วบ่อยๆ แต่ตายแล้วไปสวรรค์ได้

    ลองอ่านดูน่ะครับ พระสูตรนี้มีประเด็นที่น่าสนใจดังนี้

    1. มีสมณะพราหมณ์นอกพระพุทธศาสนาบางพวก สมณพราหมณ์เหล่านั้น เจริญสมาธิจนได้ตาทิพย์ มองเห็นบุคคลบางคนหลังจากตายไปแล้ว ไปยังอบายๆ หรือสุคติๆ ด้วยญาณของตนเองจริงๆ

    2. สมณพราหมณ์เหล่านั้นพูดแบบ "ปักลงไป" (แง่มุมเดียว) และเชื่อมั่นอย่างถึงที่สุดในสิ่งที่เขาเห็นด้วยตาทิพย์ (เขาเห็นเช่นนั้นจริงๆ แต่ยังไม่แจ้งแทงตลอดถึงความสลับซับซ้อนของการให้ผลของกรรม) เขาจึงเกิดทิฏฐิที่ผิดว่า "ที่เขาเห็นมาเท่านั้นจริง นอกนั้นไม่จริงๆ"

    3. จากพระสูตรนี้แสดงว่า ความจริงแล้ว คนที่มักจะทำดีเป็นประจำ ตายไปแล้วอาจจะไม่ไปสุคติทั้งหมด และคนที่มักทำชั่ว ตายไปแล้วอาจจะไม่ไปทุคติทั้งหมด เพราะ

    3.1 กรรมชั่วและกรรมดีที่ทำในภพชาติปัจจุบันนี้นั้น อาจจะให้วิบากในชาตินี้ก็ได้ ในชาติหน้าก็ได้ หรือในชาติต่อๆ ไปก็ได้ ไม่จำเป็นจะต้องจำกัดว่าต้องให้ผลตอนเปลี่ยนแปลงภพ - ชาติ จากชาตินี้ไปชาติหน้าเท่านั้น

    3.2 กรรมนั้นมีลำดับการให้ผลตามแต่ชนิดของกรรม ไม่ใช่ว่าบุคคลทุกคนที่ในชาตินี้ทำดีแล้ว ชาติต่อไปอีกหนึ่งชาตินับจากนี้จะต้องไปสู่สุคติทั้งหมด มันขึ้นกับว่ากรรมดีที่ทำในชาตินี้นั้นจะไปให้ผลตอนไหนต่างหาก และเช่นเดียวกัน ไม่ใช่ว่าบุคคลทุกคนที่ชาตินี้ทำชั่วแล้ว ชาติต่อไปอีกหนึ่งชาตินับจากนี้จะต้องไปทุคติทั้งหมด มันขึ้นกับว่ากรรมชั่วที่ทำในชาตินี้นั้นจะไปให้ผลตอนไหนต่างหาก

    ถ้ากรรมดีหรือกรรมชั่วที่บุคคลบางคนทำ ไปให้ผล (วิบาก) ในตอนเปลี่ยนภพ - ชาติ ก็จะพาบุคคลไปเกิดในสุคติ (ถ้าเป็นวิบากของกรรมดี) หรือทุคติ (ถ้าเป็นวิบากของกรรมชั่ว)

    4. และที่สำคัญอีกประการหนึ่งที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ในพระสูตรนี้คือ จิตสุดท้ายตอนจะตาย (จากพระพุทธวจนะ "....ทิฏฐิพรั่งพร้อม สมาทานแล้วในเวลาจะตาย.....") นั้นมีส่วนสำคัญมากๆ แม้นตลอดชีวิตบุคคลบางคนจะทำความดีมาตลอด แต่จิตสุดท้ายมีมิจฉาทิฏฐิ (เป็นอกุศล) ผู้นั้นก็ไปอบายๆ ได้ แม้นตลอดชีวิตบุคคลบางคนจะทำความชั่วมาตลอด แต่จิตสุดท้ายมีสัมมาทิฏฐิ (เป็นกุศล) ผู้นั้นก็ไปสุคติๆ ได้

    ..... ซึ่งนี่เป็นมหากัมมวิภังค์ของพระพุทธเจ้า ที่สมณพราหมณ์นอกพระพุทธศาสนาไม่มี .....

    <table align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="94%"><tbody><tr><td class="postbody" valign="top"> เรื่องการให้ผลของกรรมนี้ จากประสบการณ์การทำชั่วของตัวผมเองในอดีต..... ถ้าจะฟังผมเล่าน่ะครับ รวมพิมพ์เป็นพ็อกเก็ตบุ๊คได้เลย..... เล่าไม่หมดครับ มันเยอะจริงๆ

    และกรรมที่ผมทำไม่ดีเอาไว้ในอดีต (ในภพชาติปัจจุบัน) มันก็ตามมาให้ผลกันเห็นๆ ในชาตินี้เลย ผมเลยคิดว่ามันดีเหมือนกันครับที่กรรมตามให้ผลเร็ว ถ้าเป็นกรรมประเภทที่ตามมาให้ผลช้าเดี๋ยวจะไปเผลอคิดว่ากฏแห่งกรรมไม่มีจริงเสียอีก แต่ต้องขอเตือนเล็กน้อยเพราะกรรมนั้นมันมีลำดับการให้ผลตามความหนัก-เบา ก่อน-หลัง ถ้าไม่ใช่พระพุทธเจ้าหรือพระมหาสาวกที่มีญาณด้านนี้โดยตรงอาจจะเข้าใจไม่ทะลุปรุโปร่งถึงการให้ผลของกรรม โดยเฉพาะปุถุชนคนธรรมดาจำนวนไม่น้อยพาลเลิกเชื่อเรื่องบุญ-บาปกันไปเลย เพราะคิดเอาเองว่า"....ก็ฉันทำดีในปัจจุบันทำไมฉันจึงไม่ได้ดี....."

    ..... เรื่องการให้ผลของกรรมเป็นเรื่องอจินไตย กล่าวคือ ผู้ที่ไม่มีญาณด้านนี้โดยตรงไม่สามารถจะเข้าใจได้ทะลุปรุโปร่งแน่ๆ ท่านจึงกล่าวว่าไม่ควรใช้ตรรกะการคาดเดากับเรื่องการให้ผลของกรรม...... ความนึกคิดปรุงแต่งระดับธรรมดา เข้าใจเรื่องเหล่านี้ไม่ทะลุแน่ๆ ต้องเป็นญาณหรือการประจักษ์แจ้งโดยตรง หรือที่เรียกกันว่า"ทิพยจักษุจุตูตปาตญาณ".......

    แต่ไม่ใช่หมายถึงให้เลิกเชื่อเรื่องกรรมน่ะครับ ฟังให้ดี !!!...... แยกให้ออกระหว่างการที่ท่านกล่าวเตือนไม่ให้หมกมุ่นครุ่นคิดในเรื่องการให้ผลของกรรมเอาเอง กับการห้ามไม่ให้เชื่อ ไม่ให้ศึกษาเรื่องกรรมน่ะครับ...... มันต่างกันน่ะครับ เดี๋ยวจะเข้าใจผิดว่าพระพุทธเจ้าห้ามไม่ให้เชื่อเรื่องกรรม ไม่ให้ศึกษาเรื่องกรรม ........เดี๋ยวจะยุ่งเป็นยุงตีกัน

    เอาอย่างนี้ดีกว่าครับ......ในกรณีที่บางท่านอาจจะสงสัยในเรื่องกฏแห่งกรรม หรือการให้ผลของกรรม......ผมขอเสนอว่า เรามาอยู่กับปัจจุบันกันดีกว่า...... พระพุทธองค์ท่านสอนไว้ว่า

    "ผู้ใดเห็นโทษในความเป็นโทษ แล้วเวนคืนด้วยธรรม
    ผู้นั้นย่อมมีความเจริญในอริยวินัย....."

    ครับ ก็ถ้าเห็นโทษในความเป็นโทษนั้น ก็ดีแล้วน่ะครับ....... ให้เพียรทำความดีหรือเวนคืนด้วยธรรมขึ้นทดแทนสิครับ..... ถึงบาปกับบุญมันจะต่างฝ่ายต่างให้ผลก็จริงอยู่ แต่ถ้าเติมน้ำลงในโอ่งให้มากๆ เกลือในตุ่ม 1 กำมือที่มีรสเค็มมันก็จะจางได้เหมือนกันน่ะครับ

    อีกประการหนึ่ง คือ กรรมที่พระพุทธองค์ท่านเน้นก็คือ กรรมที่เหนือกรรม .... หรือถ้าในนิทานสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ 20 ท่านใช้คำว่า กรรมที่ไม่ถูกครอบงำโดยโลภะ โทสะ โมหะ....... ซึ่งก็หมายถึงชำระกิเลสออกจากใจจนหมดสิ้น..... นั่นถึงจะพ้นออกจากวงล้อกรรมเด็ดขาด...... ตรงนี้คงต้องเจริญมรรคจนหมดสิ้นอวิชานั้นล่ะครับ</td> </tr> <tr> <td>
    เหตุใดเราถึงไม่มีสิทธิ์รู้เรื่องกรรมเก่าที่เราทำ

    ..... เรา-ท่าน คงจะทวงถามเอาแต่ "สิทธิ์" ที่จะรู้เรื่องกรรมเก่าที่เคยทำ อย่างเดียวคงจะไม่ถูกต้องนักหรอก.....เรา-ท่านต้องทำตาม"หน้าที่"ที่ต้องทำด้วยน่ะครับ...... ถ้าเรา-ท่านทำหน้าที่สมบูรณ์แล้ว สิทธิ์นั้นมันก็จะมาเองโดยไม่ต้องดิ้นรนแสวงหา...... และผู้ที่ได้ทำหน้าที่ของตนเองจนสมบูรณ์จนได้รับ "สิทธ์" นั้น ในยุคปัจจุบันก็ยังมีอยู่จริง ได้แก่ ผู่ที่บรรลุ "ทิพยจักษุจุตูตปาตญาณ".......

    แต่มันก็ยังคงจะเป็นปัญหาสำหรับคุณอีก คุณคงจะนึกในใจว่า "แล้วจะรู้ได้อย่างไร ว่าที่ท่านกล่าวถึงการที่ท่านสามารถเห็นกรรมเก่านั้นเป็นเรื่องจริง ???"...... นี่ก็เป็นอีกปัญหาที่อาจตามมา ตราบใดที่คุณไม่เห็นแจ้งชัดด้วยตนเองในเรื่องเหล่านี้จนเป็น"ปัจจัตตัง" ความลังเลสงสัยมันก็ไม่มีทางจบสิ้นไปได้หรอกครับ......

    ดังนั้น อย่ามัวแต่ลังเลสงสัย โดยไม่ปฏิบัติเลยครับ..... ลงมือปฏิบัติเลยดีกว่า

    อีกประการหนึ่ง กรรมนั้น มันก็ไม่ใช่มีเฉพาะกรรมเก่าเท่านั้น..... มันก็ยังมี "กรรมปัจจุบัน" และ "กรรมในอนาคต" (ถ้ายังไม่ดับอวิชชาได้)...... โดยเฉพาะ"กรรมปัจจุบัน" มีความสำคัญมาก เพราะเป็นเรื่องที่เรา-ท่านสามารถแก้ไขได้ กรรมในอดีตนั้นรู้ไปก็เท่านั้น มันผ่านพ้นไปแล้ว (แต่อาจจะกำลังให้ผลอยู่)...... เรา-ท่าน มุ่งแก้ไขกรรมปัจจุบันกันดีกว่าครับ

    มีบทความสั้นๆ ของ ท่านอาจารย์เสถียร โพธินันทะ เกี่ยวกับเรื่อง กัมมัสกตาญาณ อันเป็นโลกียสัมมาทิฏฐิ มาฝากเพิ่มเติม

    ".........สัมมาทิฏฐิในองค์มรรคในมรรค 8 นี่........

    สัมมาทิฏฐิแบ่งเป็น 2 ชั้น คือ โลกียสัมมาทิฏฐิ โลกียสัมมาทิฏฐิได้แก่อะไร ได้แก่ กัมมัสสกตาญาณ ถ้าคนที่มีกัมมสกตาญาณเชื่อในเรื่องว่าทำกรรมได้รับผลแห่งกรรมนั้นเท่ากับเชื่อว่าจะต้องมีเวียนว่ายตายเกิด ถ้าเชื่อกรรมก็ต้องเชื่อเวียนว่ายตายเกิดเป็นเงาตามตัว ฯลฯ

    ....... เมี่อไม่มีโลกียสัมมาทิฏฐิแล้ว โลกุตตรสัมมาทิฏฐิก็เกิดไม่ได้ .......

    โลกุตตรสัมมาทิฏฐิ ได้แก่การเห็นแจ้ง ในอริยสัจจ์ 4 เป็นโลกุตตรสัมมาทิฏฐิแต่การที่จะเห็นแจ้งในอริยสัจจ์ 4 ได้นั้น คนนั้นจะต้องมี โลกียสัมมาทิฏฐิเป็นบุพภาค

    (ถ้า) ไม่มีโลกียสัมมาทิฏฐิเป็นบุพภาคแล้ว การเห็นแจ้งในอริยสัจจ์เป็นไปไม่ได้ ......."

    <table align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="94%"><tbody><tr><td class="postbody" valign="top"> ทำกรรมเก่าให้เกิดประโยชน์
    อยู่เพื่อพัฒนากรรม ไม่ใช่อยู่เพื่อใช้กรรม
    โดย พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต)

    http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=6455

    ไม่จำนนต่อกรรมเก่า
    โดย พระไพศาล วิสาโล

    http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=2594</td> </tr> <tr> <td>
    </td> </tr> <tr> <td class="postdetails" height="40" valign="bottom">
    </td></tr></tbody></table>
    </td> </tr> <tr> <td class="postdetails" height="40" valign="bottom">
    </td></tr></tbody></table>
     
  2. DevilBitch

    DevilBitch เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2005
    โพสต์:
    9,776
    ค่าพลัง:
    +36,838
    วันนี้ยายไปสังขละบุรี ไปกับคุณหมูป่า คุณรุ่งอรุณ(แฟรคุณหมูป่า) น้องเกรซ น้องออม และได้รับการต้อนรับด้วยดีจากคุณจุ๋ม คุณครูสุทัศน์ (หนึ่งในครอบครัวผู้ร่วมโครงการณ์แรลลี่ครอบครัวอบอุ่นรุ่นเดียวกับครอบครัวยายผีป่าค่ะ)

    ยายก็อธิบายขณะเดินทางให้คุณหมูป่าฟังว่า

    บาปก็ยังบาปนะคะ กรรมบาปไม่ได้หายไปไหน

    บุญที่ทำก็เป็นกุศล

    หากวันที่จิตเราหลุดไป เรานึกถึงบุญ เราไปเสวยบุญก่อนน่ะค่ะ

    พอหมดบุญส่วนที่ควรได้รับ เราก็มาเสวยกรรมอื่นๆ ที่เคยทำมาทุกภพทุกชาติ ถ้ากรรมบาปมันจ่อคิว เราก็รับไปเลย

    เราหนีนรกได้ค่ะ หนีไปเรื่อยๆ จนนิพพาน กรรมมันบาปมันตามเราไม่ทันแล้วอย่างที่หลวงพ่อฤๅษีลิงดำท่านสอนไว้งัยคะว่า หนีนรกหนีอย่างไร

    บอกจริงๆ ค่ะ พรหมยังเกิดมาลำบาก เกิดมาไม่ได้เป็นคนก็มากมาย
     

แชร์หน้านี้

Loading...