เส้นทางชีวิตที่มุ่งสู่นรกอเวจี

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย @^น้ำใส^@, 14 พฤศจิกายน 2005.

  1. @^น้ำใส^@

    @^น้ำใส^@ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    2,330
    ค่าพลัง:
    +4,674
    เส้นทางชีวิตที่มุ่งสู่นรกอเวจี

    โดย ระพี สาคริก

    คนในสังคมไทยจากอดีตส่วนหนึ่งได้กล่าวถึงเรื่อง นรกและสวรรค์ กันมาช้านานแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งบนพื้นฐานพุทธศาสนา ซึ่งเข้ามาเผยแพร่และเจริญงอกงามตามกาลเวลา ทำให้คนส่วนใหญ่เชื่อว่า เรื่องนี้เป็นปรัชญาของพุทธศาสนา

    แต่ช่วงชีวิตผู้เขียนเท่าที่ผ่านพ้นมาแล้ว ทำให้อดรู้สึกไม่ได้ว่า พื้นฐานแนวคิดตลอดจนเนื้อหาสาระที่เกี่ยวข้องกับพุทธศาสนา เป็นปรัชญาที่หยั่งลงลึกซึ้งถึงรากเหง้าของจิตใจคนอันควรถือว่า เป็นศูนย์รวมของสัจธรรม

    ในเมื่อทุกสิ่งทุกอย่าง หากมีรากฐานจิตใจอิสระถึงระดับหนึ่งควรจะมองเห็นได้สองด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสามารถเข้าใจถึงความจริงที่มีสมดุล อีกทั้งมีเหตุผลเชื่อมโยงทั้งสองด้านให้สานถึงกันอย่างมีเหตุมีผล

    แต่ชนรุ่นหลังส่วนใหญ่มักเชื่อสิ่งที่เป็นอดีตอย่างปราศจากการค้นหาเหตุผลกับอีกด้านหนึ่งอาจคิดว่า เป็นเรื่องงมงาย ณ จุดนี้เอง ในช่วงถัดมาจึงทำให้กระแสที่ควรจะเชื่อมโยงถึงกันจำต้องขาดหายไป แม้จะนำมาอธิบายก็มักมีแนวโน้มที่เข้าใจว่าเป็นเรื่องอุปมาอุปไมยมากกว่าสิ่งที่เป็นความจริง ซึ่งควรหยั่งรู้ได้จากจิตใจตนเองโดยแท้

    อาทิเช่น ภาพพุทธประวัติ ซึ่งมีผู้นำออกมาแสดง โดยที่ปรากฏชัดว่าหลังจากพระพุทธองค์ประสูติออกมาจากครรภ์พระมารดา ก็ทรงพระดำเนินได้ นอกจากนั้นยังมีดอกบัวหลวงรองรับพระบาทติดตามมาด้วย

    ภาพที่กล่าวถึง ขาดการอธิบายถึงเหตุผลได้ลึกซึ้งถึงระดับหนึ่ง คนยุคหลังๆ ซึ่งมีความเห็นแก่ตัวสูงขึ้น ย่อมไม่อาจค้นหาความจริงเพื่อนำมาใช้อธิบายเรื่องนี้ได้ จึงทำให้เข้าใจว่าเป็นเรื่องเหลวไหล

    หากการดำเนินชีวิตของแต่ละคน แม้จะเติบโตขึ้นมาบนพื้นฐานร่างกายและวัตถุสูงมากแค่ไหน ถ้าวิญญาณความรักยังมั่นคงอยู่ที่พื้นดิน ย่อมไม่จนปัญญาที่จะค้นหาเหตุผลมาใช้อธิบายทำให้เกิดความเข้าใจได้ทุกเรื่อง

    ผู้ที่หยั่งรู้ความจริงจากใจตนเองอย่างลึกซึ้ง ควรจะรู้ได้ว่า ปรากฏการณ์ซึ่งนำมาเขียนไว้ในภาพพระพุทธประวัติระหว่างช่วงประสูติของพระพุทธองค์ ควรจะหมายถึงจิตใจมากกว่าการนำมาตีความบนพื้นฐานวัตถุ เพราะฉะนั้นการที่พระพุทธองค์ประสูติออกมาจากครรภ์พระมารดาแล้วสามารถยืนและเดินได้ น่าจะหมายถึงรากฐานจิตใจที่มีอิสรภาพสามารถหยั่งรู้ความจริงจากพื้นฐานตนเองถึงระดับหนึ่ง ช่วยให้เกิดปัญญาที่ลึกซึ้งสามารถพึ่งพาเหตุผลในใจตนเองได้ชัดเจนกว่าคนทั่วไป

    หรืออีกนัยหนึ่งคือ บุญที่มีมาแต่ชาติกำเนิดถึงระดับหนึ่งแล้ว นอกจากนั้นดอกบัวหลวงซึ่งรองรับพระบาทควรหมายถึง มีความดีความงามอยู่ในรากฐานจิตใจมาแต่กำเนิด ซึ่งประเด็นนี้ ทุกคนมีเป็นธรรมชาติอยู่แล้ว หากมีสิ่งปนเปื้อนเข้าไปแฝงอยู่ในส่วนลึกของจิตใจ เว้นไว้แต่ว่าบางคนอาจมีมากมีน้อยแตกต่างกันบนพื้นฐานความหลากหลายของมวลมนุษยชาติ

    หากสามารถเข้าใจสิ่งที่กล่าวมาแล้วทั้งหมดได้อย่างชัดเจน ย่อมไม่หลงงมงาย ดังนั้น จึงสรุปได้ว่า ความหลงงมงายหรือการมีเหตุผล หาใช่อยู่ที่แนวคิดความเชื่อของผู้อื่นไม่ หากหมายถึงเงื่อนไขที่อยู่ในใจตนเองมากกว่า ดังนั้น คนที่หลงงมงายหากไม่พอใจอะไร มักมุ่งไปโทษคนอื่น แท้จริงแล้วน่าจะอยู่ในรากฐานจิตใจของบุคคลผู้นั้นมากกว่า

    บางคนกล่าวว่า พุทธศาสนาเป็นปรัชญามากกว่าที่จะเป็นศาสนา หากพูดในเชิงโต้แย้งย่อมสะท้อนให้เห็นว่า บุคคลผู้นั้นไม่คิดทำความเข้าใจประเด็นนี้ให้แจ่มชัด แท้จริงแล้วทุกศาสนามีรากฐานสืบเนื่องมาจากปรัชญาด้วยกันทั้งนั้น ดังนั้น ศูนย์รวมของทุกศาสนาจึงมีเพียงหนึ่งเดียว ซึ่งสิ่งนี้หมายถึงรากฐานจิตใจมนุษย์แต่ละคนอย่างปราศจากพรมแดน

    อนึ่ง สิ่งที่กล่าวมาแล้วควรเป็นศูนย์รวมความแตกต่างของทุกสิ่งทุกอย่าง ประเด็นนี้หากเข้าใจได้ ความแตกแยกระหว่างศาสนาไม่น่าจะเกิดขึ้น ตราบใดที่คนในสังคมใจแตก ความสงบสุขของโลกย่อมเปลี่ยนสภาพมาเป็นความร้าวฉาน ทำให้มนุษย์โลกมุ่งวิถีทางไปสู่การทำลายล้างกันเอง

    ในช่วงที่ผ่านมา การเปลี่ยนแปลงของสังคมมีผลทำให้สภาพที่อยู่ในรากฐานจิตใจคนห่างจากความจริงมากขึ้น มีผลทำให้คนทั่วไปคิดว่า สิ่งที่กล่าวไว้เป็นเรื่องในเชิงปรัชญานอกจากนั้น เมื่อเกิดสภาพที่ไม่อาจค้นหาเหตุผลบนพื้นฐานความจริงให้หยั่งรู้ได้อย่างชัดเจน จึงมักปัดความยากลำบากที่จะคิดค้นหาความจริง ออกไปจากชีวิตปัจจุบัน จึงเชื่อว่า นรก สวรรค์ เป็นสิ่งเหลวไหล บางคนอาจคิดว่า เป็นเรื่องที่คนโบราณหลอกให้เกิดความกลัว

    ยิ่งเป็นคนมีนิสัยเห็นแก่ตัวแม้เพียงเล็กน้อย ประเด็นดังกล่าวย่อมกลายเป็นความเชื่อที่เลื่อนลอย หากเป็นนรกคงหมายถึงสิ่งที่อยู่ใต้พื้นดิน ซึ่งวิทยาศาสตร์พิสูจน์ได้ยาก เนื่องจากศาสตร์สาขานี้ถูกนำมาใช้ประโยชน์ในด้านวัตถุ โดยที่ส่งผลสะท้อนกลับมาทำลายโอกาสในการเรียนรู้

    ปัญหาต่างๆ ซึ่งนับวันยิ่งมีการสะสมเพิ่มมากขึ้น จนกระทั่งมาถึงช่วงนี้ เรามักเชื่อกันว่า สังคมกำลังวิกฤตหนัก แต่แท้จริงแล้วหากมองในด้านสร้างสรรค์ ควรจะหยั่งรู้ได้ว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคมยุคปัจจุบันมีผลส่งเสริมให้คนดิ้นรนค้นหาความจริงจากสิ่งที่เคยคิดว่า เป็นความเพ้อฝัน เปลี่ยนมาเป็นสิ่งที่กล่าวกันว่า ทันตาเห็น

    จึงสรุปได้ว่า เหตุการณ์เลวร้ายที่เกิดขึ้นในสังคม หาใช่ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นด้านเดียวไม่ หากอีกด้านหนึ่งได้ช่วยพิสูจน์ความจริงให้สิ่งที่ยังไม่รู้สามารถรู้ได้อย่างเป็นธรรมชาติ

    หรืออาจสรุปได้ว่า แท้จริงแล้วนรก สวรรค์ รวมทั้งเทวดาและเปรต ก็คือคนที่เดินดินอยู่ในยุคปัจจุบันนั่นเอง แต่รากฐานจิตใจมีสิ่งปนเปื้อนเข้าไปแทรกซึมอยู่ในนั้น มากหรือน้อยสุดแต่ธรรมชาติของแต่ละคน

    ดังนั้น ประเด็นการศึกษาเรื่องชีวิตคนกับสิ่งแวดล้อม จึงควรมุ่งที่เหตุและผลของการเปลี่ยนแปลงในระดับพื้นฐาน ซึ่งความจริงแล้วหากหยั่งรู้ได้ว่า คนมีรากฐานจิตใจที่สามารถกำหนดพฤติกรรมของตัวเองให้มุ่งไปสู่สภาพที่สร้างสรรค์หรือทำลายก็เป็นได้
     
  2. @^น้ำใส^@

    @^น้ำใส^@ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    2,330
    ค่าพลัง:
    +4,674
    หากรากฐานจิตใจมีสิ่งปนเปื้อนเข้าไปแฝงอยู่น้อย ย่อมมีอิสรภาพได้มากกว่า ณ จุดนี้เองย่อมเกิดปัญญาสามารถหยั่งรู้ความจริงจากใจตนเองที่มีเหตุมีผลสานถึงการรู้ความจริงจากใจเพื่อนมนุษย์ได้ทุกเรื่อง

    ดังนั้น ความเข้าใจเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมบนพื้นฐานจิตใจดังกล่าว ควรจะเน้นความสำคัญเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมที่เป็นเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเอง ก่อนที่จะมุ่งออกไปสู่สิ่งแวดล้อมที่เป็นต้นไม้และสิงห์สาราสัตว์อีกทั้งป่าเขา และน้ำทะเล และสิ่งสกปรกทั้งหลาย แต่คนเห็นแก่ตัวมักลืมนึกถึงเหตุมีอยู่ในใจตนเองทำให้มองข้ามธรรมชาติของคนไปสู่สิ่งอื่น

    ในช่วงอื่นๆ คนเคยพึ่งพาอาศัยกัน เราจึงพบว่า ในอดีตอันยาวนาน คนในสังคมมักมีการให้ใจแก่กันและกันอย่างใกล้ชิด แตกต่างออกไปจากยุคนี้ เนื่องจากสันดานของคนยุคนี้ ยิ่งมีเงินมากและมีวัตถุอย่างครบถ้วน มักขาดน้ำใจที่ควรให้แก่กันอย่างรู้คุณค่า เมื่อขาดน้ำใจย่อมชอบนำมาอ้างถึงความเอื้ออาทร เพื่อหวังใช้เป็นเครื่องมือป้องกันไม่ให้ผู้อื่นรู้เท่าทันตัวเองได้ง่าย

    สรุปแล้วผู้ที่ควรได้ชื่อว่า ตกนรกทั้งเป็นน่าจะหมายถึงคนที่มีกิเลสหนาทำให้มีความเห็นแก่ตัวสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถึงระดับที่ไม่อาจปกปิดความจริงในการแสดงออกเอาไว้ให้ซ่อนเร้นอยู่ได้

    ทุกวันนี้ความเห็นแก่ตัวซึ่งอยู่ในรากฐานจิตใจร่วมกันกับการลืมตัวที่มีเพิ่มมากขึ้น อีกทั้งยังมีความชัดเจนยิ่งขึ้นร่วมด้วย ซึ่งเป็นธรรมดาของคนลืมตัวย่อมปกปิดเงื่อนปมที่แฝงอยู่ในรากฐานจิตใจตนเองได้ยาก แม้จะคิดว่า ผู้อื่นไม่รู้

    หากบุคคลใดมีรากฐานจิตใจอิสระเหนือกว่า อีกทั้งเป็นคนสนใจสังเกตสิ่งซึ่งสะท้อนออกมาจากพฤติกรรมการปฏิบัติของผู้อื่น ย่อมสามารถหยั่งรู้ความจริงจากใจเพื่อนมนุษย์ได้เองอย่างเป็นธรรมชาติ

    ปัจจุบันนี้คนส่วนใหญ่มีรากฐานจิตใจที่ควรจะซื่อสัตย์ต่อตนเองกลับมีความอ่อนไหว และอ่อนแอเพิ่มมากยิ่งขึ้น อย่างที่กล่าวกันว่า เห็นเงินตาโต อีกทั้งสนใจความทันสมัยของวัตถุจึงนำชีวิตตนเองเข้าไปผูกพันเกี่ยวข้อง ดังที่พบความจริงว่า ชีวิตคนสมัยนี้แม้ตั้งแต่ยังเป็นเยาวชน ส่วนหนึ่งมักแสดงความห่วงใยต่อสังคมค่อนข้างรุนแรง ยิ่งอยู่ในพรรคพวกเดียวกันก็ยิ่งมีการแสดงออก ซึ่งบางคนบางโอกาสถึงกับร้องไห้

    ครั้นออกไปปฏิบัติงานกลับกลายเป็นคนเห็นแก่ตัว จึงมักอ้างเหตุผลเพื่อเอาตัวรอด แม้กระทั่งบางเรื่องควรจะถือเป็นอุดมการณ์ที่มีอยู่ในรากฐานจิตใจอย่างเป็นธรรมชาติ แต่มักถูกนำมาเผยแพร่โดยเข้าใจว่า เป็นเพียงงานอาชีพซึ่งทำเพื่อหาเงิน

    บุคคลลักษณะนี้หากสนใจติดตามการเปลี่ยนแปลงที่ปรากฏเป็นความจริงอยู่ในวิถีชีวิตอนาคต หลายคนเปลี่ยนสภาพจิตใจไปสู่ความโลภ อยากมีหน้ามีตา อยากมีอำนาจ อยากร่ำอยากรวย ยิ่งในช่วงนี้มักมีโอกาสเห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

    คนเหล่านี้ ภายในวิถีชีวิตที่มักกล่าวกันว่า เพื่อการเรียนรู้ แต่แท้จริงแล้วพฤติกรรมซึ่งแสดงออก ชวนให้ตีความได้ว่า ยิ่งเรียนรู้ยิ่งเป็นคนรู้มาก อีกทั้งขาดการรู้เท่าทันต่อสิ่งที่ปรากฏอยู่ในสภาพแวดล้อม แม้บุคคลผู้ซึ่งอยู่ในตำแหน่งบริหาร หากสามารถหยั่งรู้ความจริงได้ว่า สิ่งที่อยู่ภายนอกตัวเองเป็นเพียงสภาพที่เกิดจากการสมมติขึ้นโดยผู้อื่น ส่วนสิ่งซึ่งอยู่ในใจตนเองคือความจริงของตนที่ควรจะรักษาไว้ให้มั่นคงและยั่งยืนตลอดไป ย่อมถือเป็นผู้บริหารที่มีคุณภาพสูง เนื่องจากมีความซื่อสัตย์ต่อตนเองและเห็นใจผู้อื่น

    สังคมได้กำหนดเส้นเกษียณอายุการทำงานในด้านที่เป็นทางการและอยู่บนพื้นฐานการจัดการเอาไว้ 60 ปีโดยทั่วไป แต่คนส่วนใหญ่กลับกลัวเส้นเกษียณ โดยที่เข้าใจว่าหลังจากนั้นแล้วจะไม่มีโอกาสทำงานหาเงิน บางคนก็ไม่คิดทำอะไรให้เกิดประโยชน์แก่สังคม

    แท้จริงแล้วหากบุคคลใดรู้เท่าทันสิ่งดังกล่าวได้เร็ว แม้ตนยังคงทำงานอยู่ในสภาพที่เป็นทางการ คงไม่เอาจิตใจไปผูกติดไว้กับเส้นเกษียณ หากปฏิบัติงานด้วยความจริงใจต่อทุกคนอย่างมีความสุข ซึ่งบุคคลลักษณะนี้อาจจะถอนตัวออกมาจากระบบที่มีการจัดการเป็นทางการก่อนกำหนดเกษียณอายุ เพื่อพิสูจน์ตนเองว่าสิ่งที่สร้างสรรค์ไว้แล้วย่อมมีผู้อื่นช่วยให้ตนมีโอกาสสร้างต่อไปอย่างไม่มีเส้นเกษียณ เพราะได้รับการยอมรับจากคนทั่วไปอย่างกว้างขวาง ซึ่งสิ่งดังกล่าวจะเป็นความจริงขึ้นมาได้ บุคคลลักษณะนี้ย่อมมีการเอาชนะใจตัวเองในการดำเนินชีวิตอยู่เหนือสิ่งอื่นใดทั้งหมด

    มีคำกล่าวที่ผู้เขียนเคยได้ยินมาแต่อดีตว่า ผู้ที่ขึ้นไปสู่ที่สูงมักจมไม่ลง ซึ่งทุกวันนี้หากสนใจ ควรจะพบความจริงได้อย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะผู้บริหารที่สร้างวิถีชีวิตตนเองให้มุ่งขึ้นไปสู่ด้านบนด้านเดียว แม้ไม่ทันเกษียณอายุมักใช้โอกาสที่ยังมีอำนาจสร้างบุญคุณไว้ให้กับคนกลุ่มอื่นที่สามารถรับช่วงชีวิตของตนหลังเกษียณอายุแล้วให้ก้าวขึ้นไปแขวนอยู่กับด้านบนมากขึ้น รายแล้วรายเล่า แม้ผู้บริหารสถาบันการศึกษาระดับสูงในยุคปัจจุบันส่วนใหญ่มักสะท้อนพฤติกรรมในทำนองเดียวกันให้เห็นได้ไม่ยาก

    สภาพดังกล่าว หากมองย้อนกลับไปสู่อดีตเพื่อค้นหาความจริงจากวิถีชีวิตเพื่อรู้ที่มาจากคนกลุ่มนี้ เรามักพบว่า มีความทะเยอทะยานโลภมากมาตั้งแต่อายุยังไม่มากนัก เพียงแต่อนาคตที่ก้าวไปแต่ละก้าว จะมีองศาความมักใหญ่ใฝ่สูงเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ สิ่งดังกล่าวน่าจะสะท้อนผลทำให้เข้าใจความหมายของคำว่า บุญเก่า-กรรมเก่า ซึ่งหมายถึงเงื่อนไขที่เข้าไปแฝงอยู่ในรากฐานจิตใจมาแต่อดีตได้ไม่ยาก

    สิ่งที่กล่าวมาแล้วทั้งหมด หากนำมาประมวลกันเป็นภาพรวม นอกจากนั้น ถ้าใช้รากฐานจิตใจที่สะอาดบริสุทธิ์ถึงระดับหนึ่งเป็นพื้นฐาน น่าจะเข้าใจความหมายของข้อความที่ผู้เขียนนำมาใช้เป็นหัวข้อบทความเรื่องนี้ ซึ่งเขียนไว้ว่า เส้นทางที่มุ่งสู่นรกอเวจีได้ไม่ยาก แม้จะมีความลึกซึ้งซึ่งควรจะเกิดความรู้ความเข้าใจได้จากใจตนเอง หากสิ่งที่อยู่ในรากฐานจิตใจเราแต่ละคนจะมีสภาพเป็นนามธรรม แต่ก็ใช่ว่า ธรรมชาติของทุกคนจะขาดศักยภาพในการสร้างความรู้ความเข้าใจที่เป็นรูปธรรมอย่างภาคภูมิไม่ได้

    คนยุคนี้ส่วนใหญ่ชอบนำสิ่งที่อยู่ภายนอกตัวเองออกมากล่าวอ้าง อย่างที่ใช้ข้อความว่า ภาษาดอกไม้ แม้เบ่งบานออกมาแล้วย่อมร่วงโรยไปตามกาลเวลา ความจริงแล้วการนำคำว่า รูปธรรมมาแล่าว หากวิเคราะห์ค้นหาความจริงได้ลึกซึ้งถึงระดับหนึ่งควรจะมองเห็นได้สองด้านว่า เป็นรูปธรรมหรือรูปแบบกันแน่? เนื่องจากสิ่งที่คนอื่นบอกให้ทำย่อมเป็นรูปแบบมากกว่า ส่วนสิ่งซึ่งค้นหาความจริงจากใจตนเองออกมานำปฏิบัติอย่างอิสระเท่านั้นที่ควรถือว่าเป็นรูปธรรม ผู้ที่เรียกหารูปธรรมจากผู้อื่นย่อมได้รับแต่เพียงในด้านรูปแบบด้านเดียว หากนำไปใช้ย่อมเกิดผลเสียหายแก่รากฐานจิตใจตนเองเพิ่มมากยิ่งขึ้น

    From MGR Online

    http://www.bbznet.com/scripts2/view.php?user=ppbbz&board=9&id=70&c=1&order=numtopic
     

แชร์หน้านี้

Loading...