เรื่องเด่น เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๖๗

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๖๗

​

 

วันนี้เป็นวันจันทร์ที่ ๓๐ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗ ช่วงเช้า กระผม/อาตมภาพได้ทำบวงสรวงบูชาพระรัตนตรัย ขออนุญาตหล่อรูปสมเด็จองค์ปฐม ๒ องค์ และระฆังใบใหญ่ ให้กับพระครูวิโรจน์กาญจนเขต, ผศ.,ดร. เจ้าอาวาสวัดอุทยาน ด้วยความที่ว่าอากาศเปลี่ยน กลับมาหนาวใหม่ จึงไข้จับหมดเรี่ยวหมดแรง แทบจะไม่สามารถทำบวงสรวงได้จบ จนกระทั่งท่านปู่ท้าวเวสสุวรรณสงสารก็เลยส่งกำลังมาช่วย ทำให้อยู่ดี ๆ ก็รู้สึกแข็งแรงขึ้นมาอย่างกะทันหัน แม้แต่สุ้มเสียงก็เปลี่ยนไปหมด ต้องเจริญพรขอบพระคุณท่านปู่เป็นอย่างยิ่ง ที่เมตตาสงเคราะห์ในครั้งนี้..!

หลังเที่ยงกระผม/อาตมภาพได้เดินทางมายังวัดไร่ขิง (พระอารามหลวง) เข้าร่วมพิธีการแต่งตั้งรองเจ้าคณะอำเภอเดิมบางนางบวช ซึ่งพระเดชพระคุณพระธรรมวชิรานุวัตร, ดร. (แย้ม กิตฺตินฺธโร) เจ้าคณะภาค ๑๔ ได้มอบตราตั้งให้กับพระครูโกมุทสุวรรณาภรณ์, ดร. เจ้าอาวาสวัดบ่อกรุ เจ้าคณะตำบลบ่อกรุ ซึ่งเลื่อนขึ้นเป็นรองเจ้าคณะอำเภอเดิมบางนางบวช

ในช่วงที่ให้โอวาท พระเดชพระคุณพระธรรมวชิรานุวัตร, ดร. ยังย้ำว่า ตำแหน่งหน้าที่ใหญ่ขึ้น ความรับผิดชอบย่อมมากขึ้นไปด้วย แต่ด้วยความที่เป็นรองเจ้าคณะอำเภอ ถ้าหากว่าไปเจอเจ้านายใจกว้าง รู้จักบริหารงาน ก็จะแบ่งหน้าที่มอบหมายให้ทำอย่างเป็นทางการ

แต่ว่าเคยเจอมาบางแห่ง เป็นจังหวัดใหญ่มีรองเจ้าคณะจังหวัดหลายรูป แต่ตัวเจ้าคณะจังหวัดไม่แบ่งหน้าที่ให้รองฯ จังหวัดรูปใดเลย ยกเว้นมอบหมายให้เป็นครั้ง ๆ ไป ท่านบอกว่าไม่อยากให้เป็นไปในลักษณะแบบนี้ เพราะว่ากลายเป็นผู้บังคับบัญชาเหนื่อยมาก รองผู้บังคับบัญชาก็ว่างจนเกินไป แล้วยังได้ฝากฝังให้กับชาวบ้านบ่อกรุ ซึ่งส่วนใหญ่เป็น "ลาวครั่ง" แต่งตัวมาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ดูเป็นระเบียบเรียบร้อยมาก ว่าให้ช่วยกันดูและรักษา ตลอดจนกระทั่งช่วยงานเจ้าอาวาสที่เพิ่งได้รับแต่งตั้งเป็นรองเจ้าคณะอำเภอด้วย

กระผม/อาตมภาพเข้าไปถวายมุทิตากับท่านพระครูโกมุทสุวรรณาภรณ์, ดร.แล้ว ก็เตรียมเข้าร่วมการประชุมพระสังฆาธิการในเขตปกครองคณะสงฆ์ภาค ๑๔ ระดับที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค ที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัด เจ้าคณะจังหวัด รองเจ้าคณะจังหวัด และเลขานุการ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๗ โดยเป็นการประชุมในตำแหน่งที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดครั้งแรก ทั้งที่ยังไม่ได้รับพระบัญชาจากสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก แต่งตั้งให้รับตำแหน่งที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดอย่างเป็นทางการ ดังนั้น..ในบัญชีเซ็นชื่อเข้าประชุมจึงยังไม่มีรายชื่อของตนเอง..!

 

อีกท่านหนึ่งก็คือหลวงพ่อพระครูวิเชียร (พระครูวชิรกาญจนาภรณ์) อดีตที่ปรึกษาเจ้าคณะตำบลหนองหญ้า ซึ่งได้รับการยกขึ้นเป็นที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรีก่อนกระผม/อาตมภาพ ๑ เดือน ยังไม่ได้รับพระบัญชาจากสมเด็จพระสังฆราชทั้งคู่ จึงต้องเขียนรายชื่อตนเองเพิ่มลงไปท้ายบัญชีเซ็นชื่อเข้าร่วมการประชุมในครั้งนี้

วาระการประชุมต่าง ๆ เนื่องจากว่าเป็นผู้บังคับบัญชาคณะสงฆ์ในระดับสูง และมีประชุมกันแค่ปีละ ๒ ครั้ง จึงมีวาระการประชุมมากเป็นพิเศษ เฉพาะเรื่องแจ้งเพื่อทราบที่ได้กระทำไปแล้วในรอบปีก็ตก ๕๐ กว่าหน้ากระดาษไปแล้ว..! แล้วยังในส่วนที่ต้องขอความเห็นชอบ ตลอดจนกระทั่งร่วมอภิปรายถึงความเหมาะสมต่าง ๆ อีกมากต่อมากด้วยกัน จากที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อเจ้าคุณแย้ม เจ้าคณะภาค ๑๔ ท่านวางเวลาการประชุมเอาไว้ว่าไม่น่าจะเกิน ๑ ชั่วโมง ก็กลายเป็นลากยาวไปเกือบ ๓ ชั่วโมงเต็ม..!

กระผม/อาตมภาพที่ไข้จับมาตั้งแต่เช้าก็ออกอาการมาลาเรียกำเริบ พยายามข่มไว้ด้วยกำลังใจไม่ให้สั่น เนื่องเพราะว่าถ้าสั่นเมื่อไร คนอื่นอาจจะตกอกตกใจกันหมด จนกระทั่งปิดการประชุมแล้ว จึงรีบฉันยาระงับอาการเป็นการด่วน แล้วก็อาศัยจังหวะในการนั่งรถกลับยังวัดท่าขนุน ทำการบันทึกเสียงธรรมจากวัดท่าขนุนเอาไว้ก่อน

ในวาระการประชุมที่สำคัญนั้น ก็ประกอบไปด้วยการประชุมตามมติมหาเถรสมาคมของปีหน้า ซึ่งมีทั้งการประชุมในระดับเจ้าคณะอำเภอ และรองเจ้าคณะอำเภอ เจ้าคณะตำบล รองเจ้าคณะตำบล ในเขตปกครองคณะสงฆ์ภาค ๑๔ และการประชุมเจ้าอาวาส รองเจ้าอาวาส ผู้ช่วยเจ้าอาวาสในเขตปกครองคณะสงฆ์ภาค ๑๔ ซึ่งไม่สามารถที่จะมารวมตัวกันทั้ง ๔ จังหวัดได้ เพราะว่าเจ้าอาวาส รองเจ้าอาวาส และผู้ช่วยเจ้าอาวาสนั้น มีจำนวนมาก เกินกว่าสถานที่จังหวัดใดจังหวัดหนึ่งจะรองรับได้ จึงให้แยกการประชุมเป็นแต่ละจังหวัด โดยมากำหนดวันเวลาในการประชุมล่วงหน้า เพื่อให้หลวงพ่อเจ้าคณะภาคท่านจะได้ "ล็อก" วันเอาไว้แต่เนิ่น ๆ

แล้วมีปัญหาทักท้วงกันขึ้นมาว่า ทางสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัด กำหนดให้มีการประชุมครั้งแรกในช่วงเดือนมิถุนายน และส่งรายงานการประชุมไม่เกินวันที่ ๓๑ กรกฎาคมของปี ซึ่งเรื่องพวกนี้เกิดขึ้นก็เพราะว่าต้องมีการเบิกงบประมาณในการประชุม

 

ครั้งนี้จึงเป็นการตกลงกันว่า เราจะประชุมกันอยู่ในลักษณะที่มีเจ้าภาพเสียสละ รับเป็นภาระทั้งสถานที่ ตลอดจนกระทั่งข้าวปลาอาหารหรือไม่ ? เนื่องเพราะว่าก่อนหน้านี้ เราก็ไม่เคยเบิกงบประมาณในการประชุม แต่ช่วงปีที่ผ่านมา อาจจะเป็นเพราะว่าสำนักงานพระพุทธศาสนาของแต่ละจังหวัด โดนตำหนิจากผู้บังคับบัญชามา เพราะว่างบประมาณก้อนนี้ไม่มีการเบิกจ่าย จึงมีการบังคับให้เจ้าอาวาสแต่ละรูปที่เข้าร่วมประชุมนั้น จะต้องเตรียมเอกสารมาเบิกงบประมาณการประชุมด้วย

โดยการเตรียมทั้งหนังสือสุทธิ และบัตรประชาชน ซึ่งต้องแสดงออกซึ่งความเป็นเจ้าอาวาสให้ชัดเจน ก็แปลว่าต้องรวมทั้งตราตั้งเจ้าอาวาสด้วย เซ็นรับรองมาให้เรียบร้อย เพื่อเบิกเบี้ยเลี้ยงการประชุมจำนวน ๑๐๐ บาท/รูป..!

กระผม/อาตมภาพเองยังตีหน้างง ๆ ว่า ถ้าเป็นกระผม/อาตมภาพที่โยกย้ายมาหลายวัด เฉพาะหน้าหนังสือสุทธิ ถ้าหากว่าพิมพ์เป็น ๔ สีก็น่าจะเกิน ๑๐ หน้าไปแล้ว จำนวนเอกสารหลายหน้าขนาดนี้ ถ้าหากว่าพิมพ์เป็น ๔ สี ราคาน่าจะเกิน ๑๐๐ บาทอย่างแน่นอน แล้วท่านทั้งหลายคิดว่าเงินจำนวน ๑๐๐ บาทที่ท่านให้มานั้น เหมาะสมกับเบี้ยประชุมแล้วหรือไม่ ?

จะว่าไปแล้ว เรื่องน่ารำคาญใจเหล่านี้มักจะมีอยู่ในส่วนราชการที่เกี่ยวข้องกับงบประมาณอยู่เสมอ ไม่ต้องการเขาก็บังคับให้เรารับ พอถึงเวลารับมาแล้วก็ไม่แน่เหมือนกันว่า จะคุ้มค่ากับสิ่งที่เราต้องส่งเอกสารไปหรือไม่ ? ที่ผ่านมาจึงทำให้เจ้าอาวาสหลายต่อหลายท่าน ประท้วงถึงขนาดบอกว่าไม่ขอรับเบี้ยประชุมไปเลยก็มี..!

ขณะเดียวกัน ทางคณะสงฆ์ของเราก็อาศัยวัดที่มีกำลังและมีจิตศรัทธา จัดทั้งสถานที่ประชุม ทั้งข้าวปลาอาหารถวายผู้เข้าร่วมการประชุม บางวัดก็ยังมีของที่ระลึกและค่ารถให้กลับอีกต่างหาก เราก็อยู่กันมาแบบนี้ปีแล้วปีเล่า อยู่ ๆ ส่วนราชการเข้ามาวุ่นวายกับพระ เงินมีให้ไม่เพียงพอ แถมยังเรียกร้องจะเอาเอกสารจำนวนมากมายอีกต่างหาก..!

ในลักษณะแบบนี้ทำให้เราได้เข้าใจเลยว่า ส่วนราชการนั้นทำงานกับคณะสงฆ์เมื่อไร ก็ต้องมีการสะดุดกันอย่างแน่นอน เนื่องเพราะว่าส่วนหนึ่งก็ถือตามระบบระเบียบของหน่วยงานของตน แล้วก็ไม่ได้ดูว่าบางส่วนของท่านนั้นให้งบประมาณมาแล้ว เพียงพอต่อการใช้งานหรือไม่ ?

 

อย่างเช่นว่ามีหน่วยงานหนึ่งโอนงบประมาณมาให้กระผม/อาตมภาพในการจัดงานจำนวน ๒,๕๐๐ บาท แต่ขอให้ส่งรายงานเป็นไตรมาส ตลอดทั้งปี ๔ ไตรมาส กระผม/อาตมภาพบอกว่าไม่ต้องส่งเงินส่วนนี้มาเลย รายงาน ๔ ไตรมาสของวัดท่าขนุน แค่ไตรมาสเดียวก็น่าจะต้องใช้งบประมาณเกิน ๒,๕๐๐ บาทอยู่แล้ว แต่อีกฝ่ายหนึ่งบอกว่าไม่ได้ เพราะว่าโอนมาให้แล้ว..!

กระผม/อาตมภาพก็ได้แต่ "กลืนไม่เข้า คายไม่ออก" จะเอาเงินโยนกลับคืนก็ไม่ได้ เพราะว่าเขาโอนเข้ามาในบัญชีวัด เรียกง่าย ๆ ว่า "มัดมือชก" เพราะเห็นว่าโอนมาทางวัดท่าขนุน อย่างไรก็ได้งานแน่นอนอยู่แล้ว แต่ไม่ได้ดูว่าคุณได้งาน แล้ววัดได้อะไร ? นอกจากไม่เหลืออะไรไว้ "ยาขี้ฟัน" แล้ว ยังต้องมาเป็นทาสทำรายงานให้คุณเป็นเวลา ๔ ไตรมาสทุก ๓ เดือน ซึ่งเรื่องพวกนี้มักจะเกิดขึ้นบ่อย ๆ กระผม/อาตมภาพเองยังคิดว่า ถ้าส่วนราชการไม่มายุ่งกับวัดได้จะเป็นการดีมากกว่านี้..!

เมื่อบันทึกเสียงธรรมไปได้ช่วงหนึ่ง เสียงก็ยังขาดหายไปอีก ทำให้ต้องมาบันทึกต่อท้าย เสียงอาจจะไม่ได้กันบ้าง หรือว่าหนักเบาไม่เท่ากันบ้าง ก็ต้องขออภัยทุกท่านมา ณ ที่นี้

สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแต่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันจันทร์ที่ ๓๐ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)