เรื่อง ย้อนรอยอดีต โดย พระราชสุทธิญาณมงคล

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย rinnn, 3 เมษายน 2006.

  1. rinnn

    rinnn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    7,666
    ค่าพลัง:
    +24,024
    <table style="font-size: 12px;" align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="560"><tbody><tr style="font-size: 12px;" valign="top"><td style="font-size: 12px;" class="title" height="65" width="278">:: ธรรมบรรยาย พระเทพสิงหบุราจารย์ ::<!-- InstanceBeginEditable name="groupname" --><!-- InstanceEndEditable --></td> <td style="font-size: 12px;" class="txt9" align="right" width="282"><!-- InstanceBeginEditable name="name" -->เรื่อง ย้อนรอยอดีต
    โดย พระราชสุทธิญาณมงคล
    <!-- InstanceEndEditable --></td> </tr> <tr style="font-size: 12px;" valign="top"> <td style="font-size: 12px;" colspan="2"><!-- InstanceBeginEditable name="txt" --> <table style="font-size: 12px;" border="0" cellpadding="10" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr style="font-size: 12px;"> <td style="font-size: 12px;">[​IMG]</td> <td style="font-size: 12px;">ขอเจริญพรท่าน แม่ครูหวานใจ ชูกร ผู้กำเนิดเกิดใหญ่ในพิภพปรารภธรรม ดุจเหมือนสีหนาทประกาศธรรม วันนี้ท่านสาธุชนอุบาสก อุบาสิกาทั้งหลาย มาสำนึกถึงความดีของท่าน คล้ายวันกำเนิดเกิดของท่านตามสมมติบัญญัติ ว่าแม่ครูนี่กำเนิดเกิดมา ที่เราเรียกว่าบำเพ็ญกุศลถวาย เพิ่มผลผลิชีวิตในจิตใจของท่าน ที่เราเรียกกันตามศัพท์สามัญธรรมดาว่า การบำเพ็ญกุศลเทวตาพลี และปุพพเปตพลี
    </td> </tr> </tbody></table> ๑) เทวตาพลี สร้างความดีถวายอุทิศให้เทวดาประจำวันเกิด
    ๒) ปุพพเปตพลี สร้างความดีถวายให้แก่ปู่กับย่า ตากับยาย

    <table style="font-size: 12px;" background="../images/dot02.gif" border="0" cellpadding="10" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr style="font-size: 12px;"> <td style="font-size: 12px;">บูรพาจารย์ผู้ล่วงลับไปแล้วสู่สัมปรายภพมาปรารภคล้ายวันเกิด ต้องทำทั้งสองอย่างควบคู่กันไป ปุพพเปตพลี แปลว่าสร้างความดีที่ท่านได้สนองงานให้แก่เราแล้วทุกประการ คือ ปู่กับย่า ตากับยาย ๗ ชั่วบรรพบุรุษ ตลอดกระทั้งอุปัชฌาย์อาจารย์ ตลอดกระทั้งแสดงความเคารพนอบนบและบูชา
    </td> <td style="font-size: 12px;">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> <table style="font-size: 12px;" border="0" cellpadding="10" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr style="font-size: 12px;"> <td style="font-size: 12px;">[​IMG]</td> <td style="font-size: 12px;">คณะศิษยานุศิษย์ทั้งหลายที่เคารพบูชาแม่ครูหวานใจ ชูกร เราทั้งหลายมาสำนึกสมัญญานึกถึงคุณค่ากตัญญูกตเวทีต่อท่านแล้ว เราได้มีโอกาสบำเพ็ญกุศลถวาย การทำบุญวันเกิด ถ้าพูดศัพท์ธรรมดา ลูก บุตร ธิดา ต้องทำให้พ่อแม่ ไม่ใช่พ่อแม่ทำให้ลูก แต่ครูบาอาจารย์ที่เคารพอย่างสูงนั้น ลูกศิษย์ต้องทำให้ ไม่ใช่ท่านทำเอง มันจะผิดวิสัยนักปราชญ์ราชกวีมีปัญญา ลูกศิษย์ที่ได้รับการอุปการะให้เราก่อนแล้ว เราก็สนองพระเดชพระคุณด้วยการกตัญญูกตเวทิตาธรรมต่อท่าน จึงได้พร้อมใจกันมาบำเพ็ญกุศล มาเนกขัมมะปฏิบัติธรรม เพื่อจะเป็นการอุทิศสนองพระเดชพระคุณต่อคุณครูอุปัชฌาย์อาจารย์ของเราอย่างสูงยิ่ง
    </td> </tr> </tbody></table> ขอย้อนอดีตเมื่อสมัยก่อนไม่มีธรรมาสน์เทศน์ พระพุทธเจ้าเจอคนเดียวก็สอน เจอผัวสอนผัว เจอเมียสอนเมีย เจอลูกสอนลูก สอนที่ไหน เจอตรงไหน สอนตรงนั้น
    <table style="font-size: 12px;" align="center" background="../images/dot02.gif" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="50%"> <tbody><tr style="font-size: 12px;"> <td style="font-size: 12px;" width="20">
    </td> <td style="font-size: 12px;">ปุพฺพณฺเห ปิณฑปาตญฺจ</td> <td style="font-size: 12px;">สายณฺเห ธมฺมเทสนํ</td> </tr> <tr style="font-size: 12px;"> <td style="font-size: 12px;">
    </td> <td style="font-size: 12px;">ภิกฺขุโอวาทํ</td> <td style="font-size: 12px;">อฑฺตรตฺเต เทวปญฺหํ</td> </tr> <tr style="font-size: 12px;"> <td style="font-size: 12px;">
    </td> <td style="font-size: 12px;" height="20" valign="top">ภพฺพาภพฺเพ วิโลกนํ</td> </tr> </tbody></table> ๑. เช้า เสด็จออกบิณฑบาตโปรดสัตว์
    ๒. บ่าย แสดงธรรมโปรดภิกษุสงฆ์
    ๓. ค่ำ ประทานพระโอวาทแก่ภิกษุสงฆ์
    ๔. เที่ยงคืน ทรงแก้ปัญหาเทวดา
    ๕. ย่ำรุ่ง ทรงตรวจดูสัตว์โลก

    ยกตัวอย่างเช่น ตอนเช้าไปโปรดสัตว์ถือบาตรไปเจอก็สอนเลย ยกตัวอย่างสมมติว่าโยมมหาต้อมอยู่วัดปากน้ำบวชมา ๑๗ พรรษา พระพุทธเจ้าบิณฑบาตโปรดสัตว์ ปุพฺพณฺเห ปิณฑปาต�ฺจ พอไปเจอบ้านมหาต้อมกับภรรยาทะเลากันตีกัน ท่านมหาต้อมเอ๋ยอย่าทะเลากัน มันเป็นอัปมงคล สร้างความไม่ดีให้กับลูก ทำไม่ถูกให้กับหลาน รักไม่ถูกวิธี ทำความไม่ดีให้ลูกดู นี่บิณฑบาตโปรดสัตว์ ไม่ใช่ไปขอข้าวขอแกงเขากินนะ อย่าดูถูกพระ แต่เดี๋ยวนี้อาจจะเป็นขอทานก็ได้ ไปเคาะประตูบ้านบอกว่าพระมาแล้ว แล้วก็ให้ลูกสาวออกไปบอกว่า หลวงตานั่งคอยที่ร้านกาแฟก่อน ดูหนังสือพิมพ์ กินกาแฟไปก่อน ข้าวยังไม่สุก นี่เรื่องจริงที่กรุงเทพฯ บิณฑบาตแล้ว ยะถา สัพพี กลางถนนไม่ได้นะ ระวังรถจะชนตาย ไม่ใช่ให้พรกลางถนน น่าเสียดายมากพระพุทธเจ้าไม่ได้ทำเลย แต่พระเดี๋ยวนี้ทำกันเอง เลวร้ายยิ่งกว่าในสังคมอีก ฝรั่งเขาดูถูกพระไทยมาก พวกเนกขัมมะปฏิบัติโปรดตั้งใจฟัง ถ้าโยมเอาพระไว้ในใจได้เมื่อไรจะถึงความสำเร็จของชีวิต ถ้าไม่มีพระอยู่ในใจใช่ไม่ได้ โยมต้อมอย่าทะเลาะกันขอบิณฑบาต มันเป็นอัปมงคล โยมจำไปสอนลูกหลาน บ้านไหนทะเลาะกัน บ้านนั้นอัปมงคล ไม่มีพระอภัยมณี บ้านนั้นเป็นบ้านนางยักษ์ ส่วนมหาต้อมไม่ทราบว่าเป็นพระพุทธเจ้า ทราบแต่ว่าเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ พระองค์เสด็จมาบ้านข้าพระพุทธเจ้าเพราะอะไร พระองค์ก็อุ้มบาตรไป ท่านอย่าทะเลาะกัน ถ้าท่านทะเลาะกันลูกท่านจะเอาดีไม่ได้ อย่าตีกัน อย่าเล่นการพนัน อย่ามั่วอบายมุขหาความสนุกในสังคม ท่านจึงได้บอกไว้ว่า "มุ่งความเสียสละ ลดละความเห็นแก่ตัว อย่ามั่วอบายมุขหาความสนุกในสังคม จงสร้างความสงบสุขให้แก่ครอบครัว" และก็มหาต้อมพิจารณาต่อไปบอกว่าพระองค์มาโปรดเราแล้วก็เดินไปเลยเท่านี้เอง
    <table style="font-size: 12px;" border="0" cellpadding="10" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr style="font-size: 12px;"> <td style="font-size: 12px;">อีกตัวอย่างหนึ่ง ไปถึงเห็นเขาแย่งน้ำกัน จะฆ่ากันแล้วเพราะแย่งน้ำกัน ภพฺพาภพฺเพ วิโลกนํ พระพุทธเจ้าทราบตั้งแต่ตี ๔ เล็งญาณไว้ก่อนแล้วจะต้องไปโปรดสองพวกนี้เป็นพี่น้องกัน แย่งน้ำกันเพราะน้ำไม่มีจะเข้านา พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสออกไปว่า ขอถามท่านทั้งหลายว่าอยากจะเรียนถามโปรดพิจารณาว่า น้ำกับชีวิตของท่านอย่างไหนมีค่ามากกว่ากัน ในที่สุดพระพุทธเจ้าก็แสดงธรรม "พี่น้องที่รัก ถ้าท่านมาฆ่ากันตายเช่นนี้ แล้วน้ำจะไปไหน ไม่มีเป็นของใครเลยหรือ เมตตาอย่าฆ่ากัน โปรดฆ่ากิเลสของท่าน ท่านโลภมาก ท่านโกรธอยากได้น้ำใช่ไหม ถ้าท่านฆ่ากันตายลูกเมียของท่านจะอยู่กับใคร ถ้าท่านคิดว่าชีวิตมีค่า ก็เอาน้ำมาแบ่งกัน ท่านจะเห็นด้วยไหม" ทุกคนเห็นด้วยเหตุผล จึงเอาน้ำแบ่งกัน พระพุทธเจ้าจึงอนุโมทนาสาธุการ ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมาจึงทำให้คนสามัคคีกัน ไม่แตกหมู่ ไม่แตกคณะกัน สามีภรรยาก็รักกัน ลูกก็ผูกพันกับพ่อแม่ พ่อแม่ก็ผูกพันกับลูก ญาติต่อญาติ พี่น้องต่อพี่น้อง ครูอาจารย์ต่อศิษย์ รักกันเป็นมิตรดังที่กล่าวแล้ว
    </td> <td style="font-size: 12px;">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> กันอยู่ที่แม่ แก้อยู่ที่พ่อ ก่ออยู่ที่ลูก ปลูกอยู่ที่ครู ความรู้อยู่ที่ศิษย์จะได้เป็นมิตรกัน



    <table style="font-size: 12px;" background="../images/dot02.gif" border="0" cellpadding="10" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr style="font-size: 12px;"><td style="font-size: 12px;">
    </td> <td style="font-size: 12px;">ถ้าพ่อแม่ไม่ดี ลูกจะก่อเรื่องให้พ่อแม่ต้องเดือดร้อนตลอดชีวิต ถ้าโยมเป็นพ่อแม่ ถ้าลูกกินเหล้าเมาสุรา เล่นการพนัน ติดยาเสพติด โยมจะเสียใจตลอดชีวิต ถ้าโยมดีมีปัญญาจะสร้างลูกได้ดี สามีภรรยาจะไม่ทะเลาะกัน
    </td> </tr> </tbody></table> ท่านสาธุชนทั้งหลายโปรดพิจารณาตรงนี้ พระพุทธเจ้าไปโปรดสัตว์ บิณฑบาตโปรดสัตว์ ไม่ใช่ไปขอข้าวขอแกงโยม เริ่มต้นตั้งแต่พระพุทธเจ้าเสด็จบรรพชา พระพุทธเจ้าเน้นวิชาการ มีหลักฐานว่าก่อนพระพุทธเจ้าเสด็จบรรพชาสำเร็จ ๑๘ ศาสตร์ ๑๘ ด็อกเตอร์ มีลูกมีหลานให้เรียนหนังสือให้เป็นด็อกเตอร์ ไม่ใช่ไปทัวร์บุญวัดโน้น ไปทัวร์บุญวัดนี้ ไปเสียเงินเสียทอง พวกทัวร์บุญบ่อย ๆ สมเด็จพระสังฆราชบอกว่าคนหลายประตู ขอให้ออกประตูเดียวเข้าประตูเดียวได้ไหม ประตูเกิด กับ ประตูตาย หลายกระแสมากจนเกินไป ไม่ได้อะไรเลย ขอฝากท่านทั้งหลายไปคิดและตีความไว้ด้วย แหม! พระพุทธเจ้านี่ยอด ท่านจะต้องไปโปรดสัตว์ ตี ๔ เล็งญาณว่าจะไปโปรดใครก่อน ใครจะเกิด ใครจะตายท่านรู้หมด พระพุทธเจ้าเน้นวิชาการ ก็คือว่าท่านสำเร็จ ๑๘ ศาสตร์ ๑๘ ด็อกเตอร์แล้ว อาจารย์ทิศาปาโมกข์แห่งเมืองตักสิลาก็ไม่มีวิชาที่จะสอนแล้ว พระพุทธเจ้าเรียนมาตั้ง ๑๐ ชาติแล้ว ถ้าโยมมีลูก ๕ คน ขอไว้ ๒ คน คนที่หนึ่งให้เรียนหมอเรียนแพทย์เป็นวิชาการกุศล คนที่สองให้เรียนเป็นศาสตราจารย์ เป็นครูบาอาจารย์ สอนคนให้เป็นคนดี สอนคนให้มีวิชาความรู้ เป็นวิชาการกุศล ได้บุญมาก
    <table style="font-size: 12px;" border="0" cellpadding="10" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr style="font-size: 12px;"> <td style="font-size: 12px;">เป็นครูอาจารย์ เป็นอาชีพการกุศล มีวิญญาณครู ครูไม่มีวิญญาณสอนจบหน่วยกิตแล้วก็เลิก ไม่ได้ติดตามผล ครูที่ดีมีปัญญาต้องมีวิญญาณครู ถ้ามีวิญญาณครูติดตามผล สอนให้เขามีความรู้คู่กับความดี มีปัญญาด้วย ครูอย่างนี้ควรคบค้าสมาคม ติดตามผลงานของลูกศิษย์ สอนไม่ใช่เฉพาะในโรงเรียน สอนนอกโรงเรียนด้วย นอกโรงเรียนไปที่ไหนเจอเด็กไม่ดี ก็แนะแนวได้ว่าอย่าทำอย่างนี้ เจอนอกโรงเรียนก็ช่วยกันสอนอย่าทำชั่ว อย่างนี้เรียกว่ามีวิญญาณครู ถ้าครูที่ไร้วิญญาณจะไม่เกิดประโยชน์เลยนะ
    </td> <td style="font-size: 12px;">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> พระพุทธเจ้าเน้นวิชาการดังที่กล่าวมาแล้ว แต่ทำไมพระพุทธเจ้าต้องเสด็จออกบรรพชาด้วย เพื่อต้องการไปเรียนวิชาที่ไม่มีครูสอน คือ :-
    ๑.วิชาแก้ไขปัญหาชีวิต
    ๒.วิชาแก้ทุกข์
    ๓.วิชาเพื่อบำรุงความสุขให้แก่ชาวโลก

    <table style="font-size: 12px;" background="../images/dot02.gif" border="0" cellpadding="10" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr style="font-size: 12px;"> <td style="font-size: 12px;">ไปบวชนั้นต้องการไปศึกษาใช้เวลาถึง ๖ ปี เวลาบวชแล้วก็เสวยพระกระยาหาร จึงได้ตำราจริง เพราะอยู่ในพระราชวังจะเสวยพระกระยาหารอย่างไรก็ได้ทุกอย่าง แต่ออกบรรพชาแล้วนั้น มีแต่ข้าวก็ดำ แกงก็เค็ม สิทธัตถะหรือจะเต็มใจกลืน ท่านก็พิจารณา ปะฏิสังขา โยนิโส ปิณฑะปาตัง ปะฎิเสวามิฯ ก่อน เหมือนโยมมาบวชเนกขัมมะก็ต้องพิจารณาอาหารก่อน ว่าอาหารนี้รับประทานอย่ามากจนเกินไป อย่าให้น้อยจนเกินไป ดูอาหารอย่าให้แสลง อาหารให้เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย อย่างเช่น โยมมาบวชเนกขัมมะก็ฝากชีวิตไว้กับสำนักปฏิบัติธรรมสวนแก้ว ถ้าสำนักสวนแก้วมีอะไรให้รับประทานก็รับประทานอย่างนั้น ไม่ต้องไปคิดว่าจะไปกินตามใจตัวเองเหมือนกับอยู่ที่บ้าน บัดนี้เราเป็นนักบวชแล้ว ให้ถืออย่างนั้น โยมผู้หญิงก็ถือได้ บวชเนกขัมมะ บวชด้วยไตรสิกขา ๓ คือ ศีล สมาธิ ปัญญา พระบวชแตกต่างจากโยมด้วยพระวินัยมาในพระปาฏิโมกข์ แต่พระบวชในพระวินัยมาในพระปาฏิโมกข์แต่ไม่มีไตรสิกขา ๓ ไร้ความหมาย บวช ๗ วัน ๑๕ วัน แล้วสึก นะก็ไม่รู้ โมก็ไม่เห็น นี่ทำลายสังคม อย่างนี่โยมผู้หญิง เนกขัมมะให้ผู้มีพระคุณอย่างต่ำก็ให้แทนค่าข้าวป้อนน้ำนมแม่ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ชาย เป็นผู้หญิงก็บวชให้แก่แม่ได้ มีหลักฐานว่า พุทธะ แปลว่า ทั้งหญิงทั้งชาย โยมก็เป็นพระอริยสาวกได้ เป็นพุทธบริษัท เป็นสหธรรมิกได้ หญิงก็มีความสำเร็จเหมือนกันกับชาย มีสิทธิเท่ากันกับชาย จึงเรียกว่า พุทธะ
    </td> </tr> </tbody></table> <table style="font-size: 12px;" border="0" cellpadding="10" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr style="font-size: 12px;"> <td style="font-size: 12px;">[​IMG]</td> <td style="font-size: 12px;">ขอเจริญพรต่อไปว่า โยมเป็นผู้หญิงถ้ามาปฏิบัติได้บุญเยอะ บวชในการคล้ายวันเกิดของแม่ครู ครูบาอาจารย์ของเราสนองพระเดชพระคุณท่าน ที่ท่านสอนให้เราเป็นคนดี สอนให้เราตัดสิ่งที่เลวร้ายออกจากตัวไป เรานึกถึงพระเดชพระคุณท่าน เราก็มาสร้างความดีให้ท่านดังที่ท่านเห็นกันอยู่ทุกวันนี้ นี่แหละความดีของท่าน
    </td> </tr> </tbody></table> ท่านพุทธศาสนิกและอุบาสก อุบาสิกาทั้งหลาย เรามาบวชกันแค่นี้จะได้อะไรบ้าง พระพุทธเจ้าต้องใช้เวลานานถึง ๖ ปี กว่าจะได้ตำรามาให้เรา ท่านไปค้นตำราไปศึกษาด้วยตัวเอง ทนทุกข์ทรมานอดอาหารเหลือแต่กระดูกแล้วก็ยังไม่สำเร็จ พิณ ๓ สาย เป็นที่สังหรณ์จิต ตึงก็ขาด หย่อนก็ไม่เพราะ มัชฌิมาปานกลางไพเราะเพราะมาก เหมือนอย่างโยมพูดเสียงใหญ่เสียงสูงไม่เพราะเลย เสียงปานกลางขึ้นลงตามระเบียบแบบแผนจะเพราะมากและเสียงจะดีด้วย พระพุทธเจ้าไปอยู่กับอาฬารดาบสและอุทกดาบสอยู่เป็นเวลานานก็ไม่มีทางสำเร็จ เพราะอาจารย์สญชัยทั้งสองสำเร็จฌานสมาบัติเหาะเหินเดินอากาศได้ดำดินก็ได้แต่ไม่สำเร็จ แต่พระพุทธเจ้าเพ่งในการพ้นทุกข์ การสำเร็จฌานสมาบัติดำดินได้เป็นการสร้างทุกข์ สร้างให้กิเลสเพิ่มขึ้น ไม่เป็นการกำจัดความชั่วออกจากตัวได้ พระองค์จึงได้ลาอาจารย์ทั้งสองเดินทางต่อไป อาจารย์สญชัยทั้งสองก็เรียนให้ทราบว่า ถ้าท่านเจ้าชายได้ของดีเมื่อไรมาบอกเราด้วย เราได้แค่ฌานสมาบัติ โลกียฌาน ไม่สามารถจะไปถึงโลกุตตระฌานได้ ยังหาตำรานั้นไม่พบ ถ้าเจ้าชายได้สำเร็จมรรคผลที่ใด ได้โปรดมาโปรดข้าพเจ้าด้วย พระองค์ก็เดินทางต่อไป อดอาหารก็ไม่สำเร็จ กลับมาเสวยพระกระยาหารเพื่อบริหารจิตให้เข้มแข็งและอดทน จะบริหารกายอย่างเดียวไม่ได้ ปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ ที่ติดตามมาตอนบวชเห็นว่าพระองค์มักมากไม่สันโดษเหมือนแต่ก่อนมา จึงหนีไป "คนสำเร็จต้องคนเดียว พัฒนาต้องสองขึ้นไป" ในที่สุดพระองค์ก็เสวยพระกระยาหาร บริหารจิตให้เข็มแข็งและอดทนแล้ว เพื่อจะได้ต่อสู้กับอุปสรรคที่จะมาข้างหน้าต่อไป จนกระทั่งวันโกนก่อนวันวิสาขบูชา ได้ไปนั่งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชราใต้ต้นพฤกษาใหญ่ (เหมือนอย่างเรามาพบต้นกลางที่สวนแก้วเมื่อหลายสิบปีมาแล้ว เดินทางมาพบแม่ครูหวานใจอยู่ใต้ต้นกลาง แต่ก่อนแถวนี้มีแต่ป่าอ้อยและป่ามันสำปะหลัง แห้งแล้งที่สุดในสมัยยุคนั้น) ครั้งนั้นนางสุชาดาได้บนกับเทวดาด้วยข้าวมธุปายาส จะแก้บนก็นำข้าวมธุปายาสใส่ถาดทองคำ ไปที่ต้นไทร เห็นพระพุทธเจ้านั่งอยู่นึกว่าเทวดาจึงน้อมถวายท่าน พอเสวยเสร็จก็อธิษฐาน เหมือนอย่างแม่ครูหวานใจ ท่านอธิษฐานจิตมาอยู่ที่สวนแก้วนี้ อธิษฐานจิตย้อนอดีตของท่านเอง ท่านอธิษฐานไว้ว่า
    ๑.ความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จอยู่ที่นั่น "บุคคลล่วงทุกข์ไปได้เพราะความเพียร" ข้าพเจ้าจะพยายามต่อไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่ที่ต้นกลางต้นนี้
    ๒.แม่ครูท่านได้ตำราที่นี่ อุปสรรคเป็นครู ท่านมีอุปสรรคมารร้ายมากมายมาเป็นครูของแม่ครูหวานใจ
    ๓.ศัตรูเป็นยากำลังให้กับแม่ครูมาจนทุกวันนี้
    ๔.ข้าพเจ้าแม่ครูหวานใจจะไม่หวังผลตอบแทนจากท่านผู้ใดตั้งแต่วันนี้ที่ต้นกลางที่นี่จึงเป็นขุมทรัพย์ของแม่ครูหวานใจเมื่อครั้งอดีตชาติ พญานาคก็มาร่วมอนุโมทนา ขอเจริญพรต่อไปว่า เจ้าชายสิทธัตถะได้ธรรมะแล้วคือ :-
    ๑.ธรรมชาติ
    ๒.เหตุผล
    ๓.กฎแห่งกรรม
    ๔.ความฝืนใจ
    <table style="font-size: 12px;" background="../images/dot02.gif" border="0" cellpadding="10" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr style="font-size: 12px;"> <td style="font-size: 12px;">ถ้าฝืนใจไม่ได้ ดีไม่ได้ ถ้าโยมตามใจตัว นอนตื่นสาย พอตี ๔ นาฬิกาดังกริ๊ง กดมันไว้อย่าให้มันดัง แล้วก็นอนต่อ อย่างนี้เรียกว่าตามใจจะดีไม่ได้แน่นอน นี่เรามาบวชเนกขัมมะปฏิบัติอย่าตามใจตัว "ตามใจตัว เพราะกลัวลำบาก ความยากจะเกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว" แต่แม่ครูนี่ไม่เคยตามใจตัว มาอยู่ที่นี่น้ำไหลน้ำไหลออกข้าพเจ้าจะต่อสู้ต่อไปโดยปฏิญาณ ตอนมาก็ปฏิญาณที่ต้นกลางที่มีเทวดาว่า ข้าพเจ้าจะต้องพยายามต่อไป ข้าพเจ้าจะต่อสู้ต่อไป ท่านอธิษฐานไว้จึงได้สำเร็จมาอย่างนี้ แล้วท่านอธิษฐานอีกว่าอุปสรรคเป็นครู ศัตรูเป็นยากำลัง ต้องแก้ไขปัญหาด้วยตนเอง แก้ปัญหาคือหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า คือแก้วสารพัดนึก ลูกแก้วจะออกแสงสว่างเป็นตัวปัญญาให้
    </td> <td style="font-size: 12px;">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> สรุปได้ความว่า ท่านเคยให้ทุกอย่างแก่ลูกศิษย์ทุกประการ โดยไม่อยากจะได้อะไรของใครเลย ไม่เคยไปเบียดเบียนใคร ท่านจึงได้รุ่งโรจน์มาจนทุกวันนี้ ท่านสร้างความดีอย่างนี้ เบื้องบนพระอินทร์มาช่วย เบื้องต่ำร้อนถึงพญานาคพ่นน้ำขึ้นมาให้ จนสวนแก้วกลายเป็นสวนสารพัดนึก
    <!-- InstanceEndEditable -->
    [​IMG][​IMG][​IMG]
    <!-- InstanceEndEditable --></td> </tr> </tbody></table>
     

แชร์หน้านี้

Loading...