เราทุกคนมีอำนาจพลังจิต !!!

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 9 สิงหาคม 2008.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    จากหนังสือ ธรรมะในจิต โดย อาจารย์ พิศ เงาเกาะ

    พลังจิต (Mind Power)

    หมายถึงคลื่นความถี่ของพลังงานความคิด (Pranic Energy) ซึ่งเป็นพลังงานไฟฟ้าบวก (Proton) ไฟฟ้าลบ (Electron) ที่เกิดจากต่อมไพเนียล (Pineal Body) ที่สมองตอนบน เมื่อบุคคลคิดต่อมนี้จะสร้างคลื่นความถี่ของความคิดขึ้น

    คลื่นนี้อาจจะมีมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับขบวนการทางความคิด(Thinking Process) นั้น คลื่นนี้จะลอยอยู่รอบๆตัวผู้คิด เมื่อคิดถึงใคร คลื่นนั้นจะพุ่งตรงไปยังต่อมสร้างความคิดของผู้รับนั้น ถ้าผู้รับรับคลื่นความคิดนั้นได้ จะเกิดความคิดเช่นนั้นทันที เรียกว่าเกิดการรับรู้ความคิดของผู้อื่นได้ เป็นบุคคลที่มีพลังจิตสูง

    บุคคลที่มีพลังจิตสูงคือ บุคคลที่มีสมาธิดี เช่น มีสมาธิอยู่ในขั้นกลางที่เรียกว่าอุปจารสมาธิ และสมาธิขั้นสูงที่เรียกว่าอัปปนาสมาธิ

    ----------------------------------

    การทำงานของพลังจิต

    จิตจะทำงานได้จิตต้องมีเครื่องมือคือร่างกายที่เป็นอยู่ของจิต จิตจึงแสดงผลออกมาให้เห็นได้ ส่วนของมันสมองมีหน้าที่รับคำสั่งของจิตคือ ต่อมไพเนียล (Pinial Body) ซึ่งเป็นต่อมเล็กๆสีแดงอมเทา รูปกรวย เป็นส่วนประกอบของปลายประสาท ต่อมนี้อยู่ในส่วนกลางตอนบนของมันสมอง เมื่อต่อมไพเนียลรับคำสั่งของจิต ต่อมนี้จะสร้างเป็นคลื่นความถี่ออกมา คลื่นความถี่จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับความคิดนั้น และจะลอยอยู่รอบๆตัวผู้คิด และคลื่นความถี่นี้จะวิ่งไปตามประสาทต่างๆทั่งร่างกายเพื่อควบคุมการทำงานของอวัยวะนั้นๆ

    พลังงานไฟฟ้าที่ควบคุมอวัยวะต่างๆจะมีกระแสความถี่ต่างกันตามหน้าที่ของอวัยวะและคนนั้นๆอีกด้วย เช่น Electron และ Protron ที่ควบคุมการทำงานของเซลล์เนื้อเยื่อของอวัยวะต่างๆทำให้มีการสร้างและการทำลายของเซลล์ได้ตามปกติ เช่น ทำลายไป 10 เซลล์ก็จะสร้างขึ้นมาทดแทนเช่นเดิม อวัยวะนั้นจะทำหน้าที่ได้ตามปกติ สร้างภูมิต้านทานของร่างกายให้สูงเป็นปกติ ร่างกายจะแข็งแรงสมบูรณ์

    -------------------------------------

    การศึกษาพลังจิต

    ได้มีการค้นคว้าทางพลังจิตทั้งในประเทศ และต่างประเทศ ประเทศไทยเรียกพลังนี้ว่าพลังอำนาจทิพย์ ในต่างประเทศ เช่น
    • ชาวจีนโบราณเรียกว่าพลังแห่งชีวิต (Life Force Energy)
    • ชาวยุโรป เช่น เยอรมันเรียกว่าพลังงานแม่เหล็กสัตว์ (Animal Magnetism)
    • ชาวรัสเซียเรียกว่าพลังงานชีวภาพ (Bioplasmic Energy)
    • นักวิทยาศาสตร์ในกลุ่มประเทศตะวันตกเรียกว่าพลังชีวภาพ (Bio Energy)
      หรือพลังแม่เหล็กไฟฟ้า (Electo Magnetic Force)
    บุคคลที่มีร่างกายแข็งแรงคือผู้ที่มีพลังจิตสมบูรณ์ควบคุมอยู่ทั่วทุกส่วนของร่างกายทำให้ร่างกายรู้สึกสดชื่นแจ่มใสกระฉับกระเฉง พลังจิตจะเปล่งเป็นรัศมีออกโดยรอบร่างกาย ตรงกันข้ามคนป่วยจะมีพลังจิตควบคุมอยู่เพียงเล็กน้อย ภูมิต้านทานในร่างกายจะลดต่ำลง ร่างกายจะอ่อนแอ และจะมีร่างกายที่ปกติเหมือนเดิมได้เมื่อได้รับพลังจิตนั้นๆเพิ่มขึ้น

    ดังนั้นพลังจิตจึงเป็นพลังงานที่ควบคุมการทำงานของร่างกาย เช่น การหมุนเวียนของโลหิต การเจริญเติบโตของเซลล์ หากร่างกายส่วนใดขาดพลังจิตร่างกายส่วนนั้นจะไม่สามารถทำหน้าที่ใดๆได้ตามปกติ หรือร่างกายไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ พลังจิตที่ใช้กันทั่วไปมี 3 ลักษณะคือ

    1.Telepathy คือพลังงานแห่งเมตตา พลังนี้ติดต่อกันได้โดยทางจิต เป็นพลังงานที่ใช้เพื่อการสร้างสรรค์

    2.Telkynesys คือพลังงานที่ใช้บังคับวัตถุให้เคลื่อนที่ หรือใช้เพื่อทำลายวัตถุต่างๆ เป็นพลังงานที่ใช้เพื่อการบังคับหรือเพื่อการทำลาย

    3.Teleportation คือพลังงานที่ใช้เพื่อการล่องหนหายตัว เมื่อใช้พลังงานนี้แล้ว สามารถเดินบนน้ำบนอากาศ หรือเพื่อผ่านเครื่องกีดขวางได้ พลังจิตผิดปกติทำให้เจ็บป่วย

    จิตมีอำนาจเหนือร่างกาย ที่เรียกว่า จิตเป็นใหญ่ จิตเป็นประธาน สำเร็จแล้วด้วยจิต เมื่อจิตมีอำนาจของกรรมครอบงำอยู่ จิตนั้นจะสั่งกายซึ่งเป็นเครื่องมือของจิตตามอำนาจของกรรมนั้น เช่น จิตมีอำนาจของอกุศลกรรมมาก พลังงานไฟฟ้าที่ออกมาจะไม่มีความสมดุลย์ทางธรรมชาติ เช่น ทำให้พลังงานไฟฟ้าบวกสูงมาก พลังงานไฟฟ้าลบสูงมากบ้าง จะมีผลทำให้ระบบการสร้างการทำลายของร่างกายไม่คงที่ ดังนี้ พลังงานไฟฟ้าบวกสูงมาก จะทำให้การสร้างเซลล์มากกว่าการทำลายหรือเท่าเดิม แต่รูปร่างโตกว่าเดิม จะเป็นสาเหตุของโรคบวม เนื้องอก เช่น โรคหัวใจ โรคมดลูก เนื้องอกธรรมดา เนื้องอกมะเร็งเป็นต้น

    นายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคมะเร็งได้กล่าวถึง ทฤษฏีเกี่ยวกับมะเร็งที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดว่า เซลล์มะเร็งเกิดขึ้นในตัวคนเราตลอดเวลา แต่ถูกทำลายโดยเซลล์เม็ดเลือดขาว ก่อนที่มันจะโตจนก่อพิษภัยแก่ร่างกาย โรคมะเร็งเกิดขึ้นต่อเมื่อระบบภูมิคุ้มกันถูกกดดันการทำงานไว้ ทำให้ไม่สามารถขจัดเซลล์มะเร็งที่ก่อตัวขึ้น ดังนั้นถ้ามีอะไรก็ตามส่งผลกระทบต่อการทำงานของสมองที่จะควบคุมระบบภูมิคุ้มกัน มะเร็งย่อมเกิดขึ้นได้ พลังงานไฟฟ้าลบสูงมาก จะทำให้การสร้างเซลล์น้อยกว่าการทำลายหรือเท่าเดิม แต่รูปร่างเล็กกว่าเดิม จะเป็นสาเหตุของโรคลีบตีบต่างๆ เช่น หลอดเลือดตีบ ลิ้นหัวใจตีบ กล้ามเนื้อตาย มันสมองฝ่อ ภูมิต้านทานบกพร่อง ตับวาย ไตวาย กล้ามเนื้อหัวใจไม่ทำงาน เรียกว่า โรคไหลตาย เด็กเกิดมามีร่างกายไม่สมบูรณ์เป็นต้น

    พลังงานไฟฟ้าภายในร่างกายของแต่ละบุคคลอาจไม่เท่ากันก็เป็นได้ ผมเคยพบว่าการเพิ่มเลือด เกล็ดเลือดให้คนไข้ สภาพร่างกายคนไข้ไม่ยอมรับเลือดหรือเกล็ดเลือดนั้น เพราะเลือดใหม่และเลือดเก่าไม่สามารถเข้ากันได้ แม้ทางการแพทย์จะวิเคราะห์แล้วว่าเป็นเลือดกรุ๊ปเดียวกัน เมื่อพิจารณาในสมาธิพบว่าพลังงานไฟฟ้าที่ควบคุมเม็ดเลือดนั้นไม่เท่ากัน แสดงว่าพลังงานควบคุมเม็ดเลือดของแต่ละคนจะเท่ากันหรือไม่เท่ากันก็ได้ และพบอยู่มากกับกลุ่มผู้หลงผิดที่ไปรับเอาพลังงานอื่นมากดทับพลังจิตของตนเอง ทำให้การทำงานของพลังจิตของตนผิดไป

    จิตนั้นจึงสั่งมาที่สมองของตนผิด การแสดงออกของร่างกายจิตผิดไปด้วย เช่น กลุ่มของคนทรงเจ้าเข้าผี กลุ่มของคนเหล่านี้จะไปรับเอาเวทย์มนต์คาถา ของอิทธิฤทธิ์ ของอาถรรพ์ดวงวิญญาณเข้ามาสิง เช่น ดวงวิญญาณกุมารทอง นางกวัก ปลัดขิก เจ้าพ่อ เจ้าแม่ น้ำมันพรายหรือองค์เทพต่างๆมาอยู่กับตนที่เรียกว่า เดรัจฉานวิชา ไม่เป็นจิตดั้งเดิมของตนเอง อาการป่วยของบุคคลเหล่านี้ทางการแพทย์จะตรวจหาสาเหตุไม่พบ

    -----------------------------------

    การเพิ่มและการรับพลังจิต

    บุคคลที่มีสมาธิดีจะมีคลื่นความถี่ และความรุนแรงของพลังงานความคิดสูง สามารถที่จะส่งพลังงานนั้นไปยังบุคคลที่ตั้งเป้าหมายไว้ได้แน่ชัด ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ตัวผู้รับได้ตามความปราถนานั้น เรียกว่า การเพิ่มและการรับพลังจิต การเพิ่มแต่ละครั้งแต่ละคนไม่เหมือนกัน เพิ่มพลังจิตแต่ละครั้งนานเท่าใด ผู้เพิ่มพลังจิตจะทราบได้ในสมาธิจิตนั้น

    หากผู้รับยังรับได้ก็เพิ่มให้ต่อไป หากเห็นว่าพลังจิตที่ส่งไปนั้นหยุดลง ก็หยุดเพิ่มพลังจิตในครั้งนั้น และต้องเพิ่มพลังจิตกี่ครั้งจึงจะได้ผล สิ่งนี้ไม่มีกำหนดแน่นอนขึ้นอยู่กับผู้รับ หากผู้รับสามารถรับพลังจิตได้มาก และเห็นว่าอวัยวะที่ผิดปกตินั้นเปลี่ยนเป็นปกติเร็วพลังจิตที่ส่งไปจะหยุดลง ควรหยุดเพิ่มพลังจิตให้ผู้ป่วยกลับไปทำสมาธิภาวนาด้วยตนเอง ผู้ป่วยจะสร้างพลังจิตที่ดีขึ้นมาได้ พลังจิตนั้นๆจะบำบัดทุกข์ให้กับผู้ป่วยได้ในที่สุด การเพิ่มพลังจิตกระทำได้ 3 ทาง คือ

    1. เพิ่มที่อวัยวะนั้นโดยตรง
    2. เพิ่มที่จุดกำเนิดของพลังจิต คือที่ต่อมไพเนียล
    3. เพิ่มพลังจิตให้ครอบคลุมทั้งตัวผู้รับ จะเพิ่มให้ใครที่อวัยวะใดนั้นจะทราบและเห็นได้ในสมาธินั้นๆ

    --------------------------------

    ผู้เพิ่มพลังจิตที่ดี

    ผู้เพิ่มพลังจิตที่ดีควรมีคุณสมบัติดังนี้คือ เป็นผู้ที่ตั้งอยู่ในศีล สมาธิ ปัญญา และเมื่อเพิ่มพลังจิตให้กับใครก็ตามต้องรู้ทุกข์ รู้สาเหตุแห่งทุกข์ รู้หนทางดับทุกข์ และรู้วิธีการดับทุกข์นั้นๆโดยชัดแจ้งพร้อมตั้งตนอยู่ในพรหมวิหารธรรม และหิริโอตัปปธรรม ผู้รับพลังจิตที่ดี คือ เป็นผู้ที่มี

    1. ศรัทธา ผู้รับต้องมีศรัทธาที่จะรับพลังจิต
    2. สมาธิ ผู้รับต้องมีความตั้งมั่นแห่งจิตอยู่กับกายและจิตของตน
    3. สติ ผู้รับต้องมีความระลึกได้ว่าตนกำลังรับพลังจิตอยู่
    4. ปัญญา ผู้รับต้องรู้จักการปล่อยวางความทุกข์ออกจากจิตใจในขณะนั้น
    5. ความขยันหมั่นเพียร การรับพลังจิตนั้นต้องรับสม่ำเสมอและให้ตั้งอยู่ในคำสอนของพุทธองค์เป็นหลัก ดังกล่าวแล้ว

    --------------------------------

    การเพิ่มพลังจิตผ่านบุคคลอื่นวัตถุอื่น

    บางกรณีที่จำเป็น คือ ผู้ป่วยไม่สามารถขอรับพลังจิตด้วยตนเองได้ เช่นอยู่ในห้องผู้ป่วยหนัก อยู่ในโรงพยาบาลจิตเวช อยู่ต่างประเทศ ผมได้ทดลองเพิ่มพลังจิตผ่านกระแสจิตของผู้ใกล้ชิด เช่น พ่อ แม่ บุตร สามี ภรรยา ผู้ดูแล หรือผ่านลงไปในน้ำดื่ม ก็สามารถช่วยผู้ป่วยได้บ้างเป็นบางส่วนเท่านั้น

    ----------------------------------

    บุญและบาปเป็นพลังงาน

    หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ฉบับวันที่ 4 ธันวาคม 2536 และ 30 มกราคม 2537 ลงบทความเรื่องสัจธรรม โดย พญ.บุษกร กล่าวว่า ร่างกายของสัตว์เป็นสสารควบคู่กับจิตใจซึ่งเป็นพลังงานทั้งร่างกายและจิตถูกพลังงานแห่งกิเลสปรุงแต่งให้จิตมืดบอด หรือ ราคะ โทสะ และโมหะ ส่งผลให้เกิดมโนกรรม วจีกรรม และ กายกรรมและกระทำความชั่วต่างๆได้ตามอำนาจของกรรมนั้นๆ

    บุคคลที่มีจิตมีสัมมาสมาธิ สัมมาทิฏฐิ มีจิตเมตตาปราณี ทางการแพทย์พบว่าต่อมใต้สมองจะผลิตสารบุญเรียกว่า เอนดอร์ฟีน (Endorphine) ออกมามากส่งผลให้ร่างกายเบาสบาย ที่เรียกว่าเกิดปิติ กินได้นอนหลับ ไม่ฝันร้าย หรือไม่ฝันเลย ผิวพรรณผ่องใสใบหน้าสดชื่น โคเรสเตอรอลละลายสลายตัว เม็ดเลือดขาวแข็งแรง มีภูมิคุ้มกันโรคสูง ระบบต่างๆของร่างกายทำงานได้ดี เจ็บป่วยทางกายน้อยลง บาดแผลหายเร็วกว่าผู้มีจิตใจเป็นบาปถึงเท่าตัว หากเป็นโรคมะเร็ง เซลล์มะเร็งจะหยุดหรือลุกลามช้าลง

    ในทางตรงกันข้าม บุคคลที่จิตมีมิจฉาสมาธิ มิจฉาทิฏฐิ จิตที่คิดเกลียด โกรธ อิจฉาริษยา อาฆาต พยาบาท เคียดแค้น เครียด วิตกกังวล ต่อมหมวกไตจะสร้างสารบาปออกมามาก สารนี้จะซึมเข้าสู่กระแสโลหิตแล้วไปออกฤทธิ์ที่อวัยวะเป้าหมาย ดังนี้

    1. สารแอดรินาลิน (Adrenalin) ทำให้หัวใจเต้นเร็งแรง เส้นโลหิตแดงหดเกร็ง เป็นเหตุให้ความดันโลหิตสูงขึ้น ถ้าเส้นเลือดแดงที่ไปหล่อเลี้ยงกล้ามเนื้อผนังหัวใจหดจนตีบตัน หัวใจจะวายถึงตายได้ โคเรสเตอรอลจะถูกสร้างขึ้นทั้งๆที่มิได้รับประทานไขมันสัตว์ กะทิ ไข่แดง หอยนางลม หรือเครื่องในสัตว์มากกว่าปกติ

    2. สารสเตียร์รอยด์ (Sterroid) ซึ่งมีหน้าที่ควบคุมการหลั่งน้ำย่อยอาหาร อาจมีผลทำให้หลั่งมากหรือน้อยก็ได้ ถ้าหลั่งมากน้ำกรดในน้ำย่อยย่อมกัดผนังด้านในของกระเพาะอาหารทำให้ปวดท้องบริเวณลิ้นปี่ เกิดแผลในกระเพาะอาหาร ถ้ากัดกร่อนเส้นเลือดใหญ่ทะลุ จะอาเจียนเป็นเลือด หากช่วยไม่ทันจะเสียเลือดจนตาย ถ้าหลั่งน้อย ท้องจะอืดเฟ้อ อาหารไม่ย่อย ไม่อยากรับประทานอาหาร

    3. สารแลคติคแอซิด หรือ เกลือแลคติค (Lactic Acid) ที่เกิดขึ้นแล้วมีผลต่อร่างกาย คือ

    3.1 ทำลายภูมิคุ้มกันของร่างกาย ทำลายความแข็งแรงของเม็ดเลือดขาว เหมือนฤทธิ์ของ HIV เชื้อโรค AIDS ร่างกายจึงอ่อนแอ เจ็บป่วยบ่อย หายนาน
    3.2 เกล็ดเลือดในกระแสโลหิตจับตัวกันเป็นลิ่มเล็กๆ ไปอุดตันตามหลอดเลือดฝอยต่างๆ ถ้าเกิดขึ้นกับอวัยวะสำคัญ เช่น มันสมองจะทำให้เกิดอัมพาตขึ้นได้

    พลังงานแห่งวิบากกรรมเหล่านี้ เมื่อถูกก่อขึ้นแล้วมิอาจสูญหายไปในทางใดได้ พลังงานดังกล่าวจะตามสนองเรื่อยไปตามโอกาสตราบจนผู้นั้นสิ้นกิเลส สิ้นกรรม ไม่ก่อพลังงานของกรรมใหม่อีกต่อไป ที่เรียกว่า กรรมเป็นผู้ติดตาม

    เมื่อท่านทราบผลกรรมที่เป็นปัจจุบันกรรมเช่นนี้แล้ว ขอได้หยุดสร้างกรรมต่อกัน ทั้งมโนกรรม วจีกรรม และกายกรรม พลังงานของวิบากกรรมจะเกิดขึ้นน้อยหรือไม่เกิดขึ้น การทำงานทุกระบบของร่างกายจะเป็นปกติ ท่านจะมีสุขภาพสมบูรณ์ทั้งร่างกายและจิตใจ
     
  2. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    การทำสมาธิ คือ การรวบรวม จิตที่เเตกฟุ้งกระจายให้รวมกันเป็น หนึ่ง

    เมื่อ เราทำงาน หรือ เรียนหนังสือ กิจกรรมที่ทำให้ เรา คิดมากเท่าไร

    จะทำให้ ร่างกาย อ่อนเเอ เเละ พลังลดลง

    วิธีการเเก้ คือ การ หยุดคิด เเละ ทำสมาธิกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า

    หาก มีสมาธิสูง พลังจิต ย่อมสูงตามเช่นกัน คะ
     
  3. dhanvas

    dhanvas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กันยายน 2005
    โพสต์:
    117
    ค่าพลัง:
    +254
    ดี แต่เรื่องเกี่ยวกับร่างกายคน ไม่จริง อย่าคิดเอง เออเอง เรื่องอื่นๆดี สอบผ่าน
     
  4. wvichakorn

    wvichakorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    3,669
    ค่าพลัง:
    +9,239
    พลังจิต (Mind Power)

    หมายถึงคลื่นความถี่ของพลังงานความคิด (Pranic Energy) ซึ่งเป็นพลังงานไฟฟ้าบวก (Proton) ไฟฟ้าลบ (Electron) ที่เกิดจากต่อมไพเนียล (Pineal Body) ที่สมองตอนบน เมื่อบุคคลคิดต่อมนี้จะสร้างคลื่นความถี่ของความคิดขึ้น

    คลื่นนี้อาจจะมีมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับขบวนการทางความคิด(Thinking Process) นั้น คลื่นนี้จะลอยอยู่รอบๆตัวผู้คิด เมื่อคิดถึงใคร คลื่นนั้นจะพุ่งตรงไปยังต่อมสร้างความคิดของผู้รับนั้น ถ้าผู้รับรับคลื่นความคิดนั้นได้ จะเกิดความคิดเช่นนั้นทันที เรียกว่าเกิดการรับรู้ความคิดของผู้อื่นได้ เป็นบุคคลที่มีพลังจิตสูง

    บุคคลที่มีพลังจิตสูงคือ บุคคลที่มีสมาธิดี เช่น มีสมาธิอยู่ในขั้นกลางที่เรียกว่าอุปจารสมาธิ และสมาธิขั้นสูงที่เรียกว่าอัปปนาสมาธิ

    ขออนุโมทนาค่ะ
     
  5. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    [​IMG]

    พลังกายทิพย์ (Etheric Body) ระดับปฐมจักระ

    ประวัติผู้ค้นพบและการเผยแพร่วิชา

    เชื่อว่า พลังกายทิพย์เป็นที่รู้จักและนิยมใช้ในสมัยโบราณ ใน Atlantis ซึ่งเคยเป็นเมืองสงบ ไม่มีโจรผู้ร้าย ไม่เจ็บป่วย เพราะรู้จักการนำพลังกายทิพย์มาใช้ มีความเจริญรุ่งเรืองมาก ต่อมามนุษย์มีกิเลสมากขึ้น เกิดความเดือดร้อน เทพ Zeus ดูแลมนุษย์ จึงทำให้เกาะ Atlantis จมหายไป มีบางคนหนีรอดไปทวีปอเมริกาบ้าง และประเทศทางตะวันออกบ้าง ประมาณ 5,000 ปี ก่อนคริสต์กาล พบว่า ปฐมปรมาจารย์โซเซอร์ ผู้ค้นพบการรักษาโรคด้วยพลังกายทิพย์ มีอักษรบันทึกการฝึกวิชาพลังกายทิพย์ และ ภาพการถ่ายพลังให้ผู้อื่น ที่ The great pyramid ประเทศอียิปต์ จึงเชื่อว่าปิรามิดเป็นที่สะสมพลังกายทิพย์ ไม่ใช่แค่หลุมฝังศพ รอบๆปิรามิดมีสถาบัน แอสตรารา (Astrara) เป็นที่สอนเรื่องพลังกายทิพย์ ที่โบสถ์โซเฟีย มีภาพแสดงจักระ 7 แห่ง บนร่างกายมนุษย์

    [​IMG]

    ค.ศ.1846 (พ.ศ.2389) หลวงปู่ดาสิรา นาราดา ที่ วัดวชิระมายา โคลัมโบ ประเทศศรีลังกา เป็นผู้หนึ่งที่อ่านบันทึกที่ The great pyramid ได้ฝึกหัดพลังกายทิพย์และเผยแพร่วิชานี้ ต่อมามีศิษย์เป็นชาวอเมริกัน Professor Dr.C.W. Leadbeater ติดตามหลวงปู่ ใน ค.ศ.1895 จึงได้เขียนเป็นตำรา “The Chakras” และ ได้จัดตั้ง สถาบันแอสตรารา ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา

    [​IMG]

    พลตรีหลวงสุวิชานแพทย์ (อั๋น สุวรรณภาณุ) ชาตะ 10 กุมภาพันธ์ 2435 มรณะ 22 มกราคม 2522 สำเร็จการศึกษา จาก โรงเรียนวัดราชบูรณวรราชมหาวิหาร โรงเรียนสวนกุหลาบ และ พ.ศ.2455 สอบไล่ได้ประโยคแพทย์ตามหลักสูตรกระทรวงธรรมการ รุ่นที่ 20 จากโรงเรียนราชแพทยาลัยศิริราช พ.ศ.2456 บวชเป็นพระภิกษุสงฆ์ ณ วัดราชบูรณวรราชมหาวิหาร ธุดงค์ไปที่ประเทศศรีลังกา ได้สมัครเป็นศิษย์หลวงปู่ดาสิรา นาราดา เพื่อศึกษาพลังกายทิพย์และได้นำมาเผยแพร่ในประเทศไทย โดยลาอุปสมบท และ เข้ารับราชการเป็นแพทย์ฝึกหัดที่โรงพยาบาลศิริราช ตำแหน่งสุดท้ายเป็น นายแพทย์ใหญ่ทหารเรือ ยศพลเรือตรี 20 มกราคม พ.ศ.2479 - 22 พฤษภาคม พ.ศ.2480 เดินทางไปราชการต่างประเทศ ได้ไปที่ประเทศอียิปต์ รับความรู้เพิ่มเติมเรื่องกายทิพย์และพลังคอสมิก ท่านบำเพ็ญแต่คุณประโยชน์ต่อเพื่อนมนุษย์มากมาย ท่านมีหูทิพย์ตาทิพย์ มีอำนาจจิต เป็นที่นับถือของคนทั่วไป ท่านเคยทำนายไว้ว่า อีก 40 ปี ประเทศไทยจะประสบกับภาวะเศรษฐกิจตกต่ำที่สุด แต่จะฟื้นขึ้นมาได้ และ อีก 50 ปี ประเทศไทยจะเจริญรุ่งเรืองที่สุดในโลก (ประมาณ พ.ศ.2550) ท่านเป็นผู้บอกว่า โรงแรมเอราวัณ (ช้างสามเศียร) นำชื่อเทวดามาตั้งชื่อ โดยไม่ขออนุญาต ทำให้ไม่เจริญ ต่อมาท่านจึงแนะนำให้สร้างพระนอน และ พระศรีมหาพรหม ที่สี่แยก มีคนมาสักการะบูชามากมาย และมีความเจริญรุ่งเรือง


    ประวัติคุณย่าเยาวเรศ บุนนาค

    เมื่อคุณย่าประสบปัญหาการค้าขาดทุน คิดว่า เครื่องดับเพลิงน่าจะเป็นสินค้าที่มีผู้นิยมซื้อไว้ประจำบ้าน เพื่อดับไฟได้ทันท่วงทีเมื่อเกิดไฟไหม้ จึงสั่งสินค้ามาจากประเทศออสเตรเลียจำนวนมาก ปรากฏว่าจำหน่ายไม่ได้ ติดหนี้ธนาคาร กำลังจะถูกฟ้อง เครียดมาก ได้ไปพบกับ หลวงสุวิชานแพทย์ เมื่อพบกันครั้งแรกท่านก็กล่าวว่า มาแล้วคนที่ท่านกำลังรอคอย ท่านเป็นผู้ที่ทำนายว่าหนี้สินจะหมดไปแล้ว ท่านได้สอนวิชาพลังกายทิพย์ให้ และ แนะนำว่าเมื่อหมดภาระหนี้สินแล้วมีเวลาให้ไปศึกษาและฝึกหัดพลังกายทิพย์เพื่อช่วยเพื่อนมนุษย์ต่อไป

    ต่อมาคุณย่าได้ไปศึกษาต่อที่ สถาบันแอสตารา ประเทศสหรัฐอเมริกา กับ Dr.Robert Chaney และ Dr.Earlyne Chaney เป็นสามีภรรยากัน ท่านได้เชิญชวนคนไทย 16 คน เดินทางไปพร้อมกับ ศิษย์สถาบันแอสตาราทั่วโลกอีก 103 คน รวมเป็น 119 คน เดินทางไปประเทศอียิปต์เพื่อศึกษาพลังกายทิพย์จากที่ต่างๆ ไปพักที่โรงแรมลอยน้ำใกล้กับวิหารไอซิส เวลาบ่าย 3 โมง ทุกวัน นกมาพร้อมกัน เหมือนลอยมา ไม่ใช่บินมา เพราะไม่ต้องกระพือบีก ประมาณ 10 นาที เพื่อดูดซับพลังสีแดงจากใต้ดิน แล้วก็บินกลับไป เชื่อว่าเป็นพลังที่กระตุ้นจักระที่ 1 เดินทางต่อไปที่ วิหารเฮอร์ลัส (นกเหยี่ยว), สฟิงส์ (แพะ), เทพีอาเธอร์ (แหล่งน้ำศักดิ์สิทธ์ และในห้องมีที่นอนเป็นพลอยอัด), Sacchara step pyramid (มี 6 ชั้น มีบันไดขึ้นไปคารวะสุริยเทพ ซึ่งดวงอาทิตย์มีกำลัง 6 รอบ), pyramid (ซึ่งขุดจากใต้ดิน) และ The great pyramid (เหมือนผอบ มีบันได 150 ขั้น เข้าไปใน King chamber เป็นรูปกรวยเป็นที่ดูดซับพลัง พื้นห้องเป็นแผ่นหินขนาดใหญ่ กว้าง x ยาว = 13x13 ตารางเมตร สูงจากพื้นดิน 120 เมตร น่าอัศจรรย์ว่ายกแผ่นหินขนาดใหญ่ขึ้นไปตั้งได้อย่างไร ? เชื่อว่าใช้พลังกายทิพย์ยกขึ้นไป ประเทศสหรัฐอเมริกานำรูป Thomas Jefferson, Benjamin Franklin, The great pyramid และ King chamber มีดาว 13 ดวง เป็นรัศมีโดยรอบ บันทึกในธนบัตร 1 US$ มีความหมายว่าต้องเป็นที่หนึ่งในโลก ต่ำลงมาจาก King chamber เป็น Queen chamber) ซึ่งแต่ละแห่งมีพลังกระตุ้นจักระ 2-7 จักระตามลำดับ ที่ประเทศตุรกี ขุดรูอยู่ 16 ชั้น เปิดไว้ให้ชม 8 ชั้น ต้องมุดรูลงไปดู ไกลไปเป็น 100 กิโลเมตร มีแผ่นหินปิดกั้น

    ต่อมา Dr.Robert Chaney เดินทางมาที่ประเทศไทย ท่านบอกว่าคนไทยโชคดีมากมีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระองค์ท่านเป็นพรหมมาเกิด บ้านเมืองร่มเย็น ที่พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท มีเทวดาคอยปกปักรักษา ขณะนี้ดาวดวงใหม่ชื่อ Astara ได้เกิดขึ้นแล้ว ต่อมาได้เดินทางไปที่ประสาทหินเขาพนมรุ้ง Dr.Robert กล่าวว่าที่นี่มีพลังสีแดง (จักระที่ 1) แรงกว่าที่วิหารไอซิส ประเทศอียิปต์ มีพระนารายณ์ให้พร และ ที่ประสาทหินเมืองต่ำมีพลังสีส้ม (จักระที่ 2)

    ต้นกำเนิด


    Cosmos คือ จักรวาล Cosmology คือ จักรวาลวิทยา วิชาที่กล่าวถึงพลังในจักรวาล (Cosmic energy) เชื่อว่า เป็นพลังที่ปรากฎในโลกมนุษย์ ได้จากดวงอาทิตย์แผ่รังสีไปกระทบดวงดาวต่างๆ ดวงดาวเหล่านี้มีแร่ธาตุที่แตกต่างกันจึงดูดซับและสะท้อนรังสีออกมามีสีแตกต่างกัน และ เป็นรังสีที่แผ่มากระทบมนุษย์บนโลก มนุษย์มีพลังจิตที่มีความสามารถในการดูดซับรังสีเหล่านี้มาสะสมไว้ใน “กายทิพย์ (Etheric body)” จึงเรียกว่า พลังกายทิพย์ และ มนุษย์สามารถถ่ายเทเผื่อแผ่พลังเหล่านี้ไปสู่ผู้อื่นได้


    กายของมนุษย์ที่มองเห็นด้วยตาเนื้อ เรียกว่า กายเนื้อ สำหรับ กายทิพย์ คือ ส่วนที่มองไม่เห็นด้วยตาเนื้อ แต่สามารถมองเห็นด้วยตาใน หรือ ตาที่สาม คือ การฝึกสมาธิ ในกายทิพย์ เชื่อว่า มีจักระ 7 แห่ง ซึ่งเป็นที่ดูดซับพลังและส่งพลังไปยังกายเนื้อให้ทำงานตามหน้าที่ กายทิพย์เป็นของ เทวดา มนุษย์ และ สัตว์เดรัจฉาน มีจักระเปิดทำงานตลอดเวลา กายเนื้อของมนุษย์ตายไปเหลือกายทิพย์เป็น เทวดา หรือ สัตว์เดรัจฉาน ขึ้นอยู่กับกรรมของแต่ละคน สำหรับพระอรหันต์ปิดจักระหมดแล้วจึงไม่เกิดอีกต่อไป


    Dr. Alex Gray เป็นจิตรกรผู้ที่ฝึกพลังกายทิพย์ มีหูทิพย์ตาทิพย์ ได้เขียนภาพ กายเนื้อ และ กายทิพย์ ของมนุษย์ไว้ กายเนื้อ เหมือนภาพกายวิภาคศาสตร์ กายทิพย์ลักษณะมีเส้นแสงเป็นสนามแม่เหล็ก มีจักระ 7 แห่ง จักระที่ 1 คล้ายดอกบัวบาน จักระที่ 1-6 โตไม่เกิน 3 นิ้ว แต่จักระที่ 7 โตเต็มศีรษะ ทุกจักระหมุนตามเข็มนาฬิกา ถ้าอารมณ์มีกิเลสตัณหา ทำให้จักระไม่สมดุล จักระเรียงอยู่ตามแนวกระดูกสันหลัง ในแนวเดียวกัน มีบางคนเชื่อว่าไม่ได้เรียงเป็นแนวเดียวกัน มีการเหลื่อมเยื้องกันบ้าง

    จักระ

    [​IMG]

    จักระที่ 1 สีแดง 4 เส้นแสง เป็นขั้วลบ (-) ชื่อ มูลลัดดา หรือ Kundalini หรือ Serpentine ตำแหน่ง อยู่ที่ฝีเย็บระหว่างอวัยวะสืบพันธุ์และทวารหนัก เป็นพื้นฐานของพลังชีวิตและเป็นกลไกที่ทำให้ชีวิตอยู่ได้ ดูดซับพลังจากใจกลางโลกที่พุ่งขึ้นมา ได้แก่ น้ำพุร้อน ภูเขาไฟระเบิด ต้นไม้ที่เจริญเติบโตจากดินพุ่งขึ้นสู่อากาศ

    จักระที่ 2 สีส้ม 6 เส้นแสง ชื่อ สวัสดิ์ธนา ตำแหน่ง อยู่ที่ ก้นกบปลายสุด ตรงกับ Gonads (ต่อมเพศ) ซึ่งสร้าง sex hormones อวัยวะที่เกี่ยวข้อง คือ ระบบสืบพันธ์ และ ระบบขับถ่าย (ไต?) เป็นจุดศูนย์กลางเกี่ยวกับพลังงานทางเพศ (ทั้งผู้ให้และผู้รับ) เกี่ยวกับความเชื่อมั่นในตนเอง ดูดซับพลังจากพระอาทิตย์ เมื่อพระอาทิตย์ตกดินจะกระจายพลังจากจุดนี้ออกไป นอนแต่หัวค่ำ ก่อน 21 น. ตื่นตี 5 ทำให้ melatonin หลั่ง ร่างกายจะกำจัดสิ่งแปลกปลอม เชื้อโรค ทำให้ไม่เป็นโรคติดเชื้อ ถ้ากระตุ้นขึ้นบนไปจักระ 7 จะรุนแรงในทางสร้างสรรค์ มีความหวานหอม แต่ถ้ากระตุ้นลงล่างจะกระตุ้น sex ใจเร็วด่วนได้

    จักระที่ 3 สีเหลือง10 เส้นแสง ชื่อ มณีปุระ ตำแหน่ง อยู่ที่ บั้นเอว ตรงกับ สะดือ ตรงกับ Adrenal gland (ต่อมหมวกไต) เป็นศูนย์กลางของอารมณ์ดิบ ที่ไม่ได้ผ่านการซักฟอก ในขณะที่เราตกใจกลัว กล้ามเนื้อบริเวณสะดือ จะหดตัวลง จักระ 3 มีหน้าที่ผลิตเนื้อเยื่อกระดูกหนาขึ้น ผลิตเม็ดเลือดแดง ระบบการย่อยอาหาร (กลิ่น รส กระเพาะอาหาร ตับ) ระบบขับถ่าย (ไต) อวัยวะที่เกี่ยวข้อง คือ ท้อง ตับ กระเพาะอาหาร และ ลำไส้ ถ้าขาดพลังจักระ 3 ไม่มีแรง ถ้ากระตุ้นจักระ 3 จะรู้สึกหิว

    จักระที่ 4 สีเขียว 12 เส้นแสง ชื่อ อนัตตา ตำแหน่ง อยู่ที่ ตรงกลางกระดูกสันหลังระดับที่ตรงกับหัวใจ ตรงกับ Thymus gland อวัยวะที่เกี่ยวข้อง คือ หัวใจ และ ระบบหมุนเวียนโลหิต เป็นศูนย์รวมของความรักที่แท้จริงอย่างไม่มีเงื่อนไข รวมทั้งการพัฒนาจิตใจ ความเมตตากรุณา และ ความเสียสละ หลายต่อหลายวิธีของการปฏิบัติสมาธิของชาวตะวันออก เพื่อกระตุ้นจักระนี้ มีสีดอกไม้ใบหญ้า ถ้าขาดพลังจักระ 4 ทำให้ไขมันสูง Triglyceride สูง ก่อกรรม Rx. เมตตากรุณา ไม่หวังผลตอบแทน ลดความโลภ โกรธ หลง

    จักระที่ 5 สีฟ้า 16 เส้นแสง ชื่อ วิสุทธิ์ ตำแหน่ง อยู่ที่ กระดูกต้นคอ ตรงกับ Thyroid gland อวัยวะที่เกี่ยวข้องคือ ปอด Rx. โรคระบบหายใจ ผิวหนัง หอบหืด เคราะห์กรรม ถูกกระทำย่ำยี สัมพันธ์กับเพื่อนมนุษย์ พูดเพราะ หูทิพย์ ฟังเทวดาได้ พิธีกรรม สวดมนต์ ดนตรีไทย (ฉิ่งฉาบกลอง มี alpha wave)

    จักระที่ 6 สีไพลิน (สีน้ำเงิน) และ กุหลาบทอง 96 เส้นแสง ชื่อ อัจนา หรือ อัจฉริยะ ตำแหน่ง ตั้งอยู่ที่กึ่งกลางหน้าผาก ตรงกับ Pituitary gland (ต่อมใต้สมอง) อวัยวะที่เกี่ยวข้อง คือ สมองส่วนล่าง และ ระบบประสาท เป็นที่รวมของปัญญา เป็นดวงตาที่สาม และ พาหนะแห่งญาณวิเศษ ติดต่อกับเทพและสิ่งศักดิ์สิทธิ์เบื้องบน Rx. ทำลายสิ่งชั่วร้ายทั้งปวง, Parkinson, Alziemer syndrome คุณย่ามีภาพเด็กชาวรัสเซียมีตาที่สาม คือ พระอิศวร เด็กคนนี้สามารถรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าได้

    จักระที่ 7 สีม่วง 972 เส้นแสง เป็นขั้วบวก (+) มีเส้นแสงสีทอง 12 เส้นตรงกลาง และ สีม่วง 960 เส้น โดยรอบ รวมเป็น 972 เส้น เป็นศูนย์ควบคุมทุกจักระในกายทิพย์ เป็นสถานที่รับพลังคอสมิกและกระจายไปทั่วร่างกาย ตำราอินเดียเรียกชื่อว่า สหัชชะ หรือ สหัสรา แปลว่า หนึ่งพัน หรือ 1,000 เส้นแสง ตำแหน่ง อยู่ที่ กลางศีรษะด้านบน เปรียบเสมือนมงกุฎดอกบัว ตรงกับ Pineal gland อวัยวะที่เกี่ยวข้อง คือ สมองส่วนบน ระบบประสาท ระบบโครงสร้าง และ ระบบหมุนเวียน โดยทั่วไปของร่างกาย Rx. ระบบโครงสร้างและข้อต่อ เป็นจุดที่สามารถรักษาอาการเจ็บป่วยที่จักระอื่นๆ ไม่สามารถจะรักษาได้โดยตรง

    คุณสมบัติของพลังกายทิพย์

    [​IMG]

    1. เป็น alpha wave มีความหนาแน่นมาก เป็นพลังขั้วลบ ไปพบกับพลังขั้วบวกในร่างกาย
    2. มีจำนวนมากในตอนกลางวัน
    3. มีความถี่มากกว่าแสงอาทิตย์ 10 เท่า เดินทางเร็วกว่าแสงอาทิตย์ 10 เท่า
    4. มนุษย์สามารถดูดซับพลังกายทิพย์ได้โดยกำหนดจิตที่จักระ 7 กลางกระหม่อม
    5. สะท้อนที่กระจกได้ ทำให้รู้สึกอุ่นขึ้น
    6. เห็นเป็น aura สะท้อนออกจาก ปลายนิ้ว กลางอุ้งมือ และ ที่ตาที่สามกลางหน้าผาก Valentino Corion และ Densa Corion ชาวรัสเซีย เป็นผู้ประดิษฐ์กล้องถ่ายภาพ aura ได้ กล้องนี้มีอยู่ที่ องค์การนาซ่า และ ประเทศรัสเซีย เท่านั้น
    7. นำไปได้ด้วยสายไฟ สายโทรศัพท์
    8. เก็บไว้ได้ในสิ่งไม่มีชีวิต เช่น ไม้ น้ำ ฯลฯ เช่น พลังพุทธคุณ ในน้ำมนต์วัดพระแก้ว
    9. ความหนาแน่นขึ้นกับ ดินฟ้าอากาศ และ ตำแหน่ง สูงขึ้นไป 15,000 เมตร เป็นเปลือกห่อหุ้มโลก มีสีขาวเงินยวง พยับแดด เชื่อว่า เป็น ชั้นเทพเทวดา
    10. ควบคุมโดยสมาธิจิต
    11. ซึมซับโดยพลังจิต ให้ไป ใกล้ หรือ ไกล
    12. ใช้ในทางสร้างสรรค์ หรือ ดี หรือ ชั่วร้าย สาบแช่ง ได้ rusputin ฝึกพลังกายทิพย์ ไปรักษาโอรสของพระเจ้าซาร์ ซึ่งเลือดออกมากให้หยุดได้ แต่ไปปลุก sex ทำให้พลังเคลื่อนที่ลงที่จักระ 1 ต้องรู้จักบังคับให้เคลื่อนขึ้นบนไปที่จักระ 7 จึงจะใช้เพื่อคุณประโยชน์ ในที่สุด rusputin ตายอย่างอนาถ

    [​IMG]

    เส้นทางของพลังกายทิพย์

    สัญลักษณ์ทางการแพทย์ คือ งู 2 ตัวพันคทา เป็นเส้นทางเดินหลักของพลัง 3 เส้น ได้แก่

    1. Ida (อิดา) สีเหลืองพลังเย็น เดินจากจักระ 1 ขึ้นไปทางซ้ายวนไปสู่ pituitary gland ที่จักระ 6
    2. Pingala (ปิงคลา) สีแดงพลังร้อน เดินจากจักระ 1 ขึ้นไปทางขวาวนไปสู่ pituitary gland ที่จักระ 6
    3. Sushumna (สุสุมนา) แปลว่า ไม้เท้าพราหมณ์ หรือ พลังศิวะ ถ้าเปิดที่จักระ 7 เป็นเทพ ถ้าปิดเป็นนรก เดินจากจักระ 7 pineal gland ตรงลงมาข้างล่างที่ จักระ 1 กระตุ้นกิเลส พ่นพิษ กระตุ้นน้ำมันทอง (golden oil) จาก Kanda ต่อมรูปร่างคล้ายหัวหอมยับย่นที่ฝีเย็บ

    เมื่อเกิดอารมณ์ งู 2 ตัว มีอาหาร คือ กิเลสตัณหา จึงเป็นที่รองรับอารมณ์จากตัวเอง ความชั่วร้ายจึงเป็นตัวทำลายน้ำมันทอง และ เผาผลาญความดีงามของตัวเอง

    [​IMG]

    การฝึกพลังกายทิพย์

    แบ่งเป็น 3 ระดับ คือ
    1. ระดับปฐมจักระ เรียน 6 วัน ติดต่อกัน
    2. ระดับพัฒนาจักระ เรียน 2 วัน ติดต่อกัน
    3. ระดับกายทิพย์ แสง สี เสียง เพื่อเป็นครูสามารถสอนและกระตุ้นจักระให้ผู้มาเรียนระดับปฐมจักระได้

    [​IMG]

    การเกิดโรค

    ในตำราการแพทย์แผนปัจจุบัน แบ่งโรคเป็น โรคที่มีเชื้อโรค โรคที่ไม่มีเชื้อโรค รับประทานอาหารมากไปน้อยไป ได้รับสารพิษ ได้รับอากาศพิษร้อนหนาวและภัยพิบัติ

    ในตำราการแพทย์แผนโบราณ แบ่งโรคเป็น

    1. กายมีพิษ เกิดจาก ความไม่สมดุลของธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ (อาหาร น้ำ อากาศ)
    2. จิตมีกิเลส เกิดจาก อารมณ์ โลภ (รัก หึงหวง) โกรธ (เกลียด ริษยา อาฆาต) หลง (หลงผิด) และ ความไม่สมดุลของกายทิพย์
    3. กรรม เกิดเป็น กรรมร่วม (ตายพร้อมกัน) หรือ กรรมเฉพาะตัว


    [​IMG]


    สาเหตุการหมดอายุขัย แบ่งเป็น


    1. หมดบุญ การทำบุญ จึงเป็นการเพิ่มน้ำมันทองของชีวิต เป็นการต่ออายุขัย
    2. หมดกรรม การหมดกรรม เป็นการใช้ไส้ตะเกียงหมดไป ช่วยไม่ได้
    3. ใช้กรรม ได้รับผลกรรมแล้วก็ตายด้วยวิบากกรรม คือ การทำกรรมดีไปสวรรค์ หรือ เป็นเทวดา แต่การทำกรรมชั่วไปนรก หรือ เป็นสัตว์เดรัจฉาน
    4. อุปัทเฉกรรม การตายก่อนอายุขัย

    การรักษา

    สถานที่ ควรอยู่ในที่โล่ง มีแสงแดดบ้าง ไม่เปิดไฟนีออน
    การเดินลมปราณก่อนใช้พลังจิต ผู้ให้พลังต้องฝึกเดินลมปราณอย่างน้อย 3 ครั้ง โดยหายใจเข้าทางจมูกช้าๆลึกๆ=หายใจออกทางปากช้าๆลึกๆ ลมปราณคือพลังที่ลึกที่สุด พลังลมปราณและพลังจิตหนาแน่นมาก
    การจัดท่านั่ง ผู้ให้หันหน้าไปทางทิศเหนือ กำหนดจิตที่กระหม่อมของตัวเอง ลืมตามองผู้รับพอควร ผู้รับหันหน้าไปทางทางทิศตะวันออก นั่งสมาธิจีบนิ้วมือหลับตา และ กำหนดจิตที่กระหม่อมตัวเอง
    การกระตุ้นจักระ 6-7 วางมือหนึ่งที่จักระ 6 ที่หน้าผาก และ วางอีกมือที่จักระ 7 โดยใช้นิ้วโป้งวางที่ร่องหน้าเหนือหู นิ้วที่เหลือวางบนกระหม่อมให้นิ้วกลางอยู่ที่กลางกระหม่อม ใช้เวลานาน 2 นาที
    การกระตุ้นจักระ 4-5 วางมือหนึ่งที่จักระ 4 ด้านหลังตรงกับหัวใจ และ วางอีกมือที่จักระ 5 โดยใช้มือหนึ่งวางที่ลำคอด้านหลัง ใช้เวลานาน 2 นาที
    การกระตุ้นจักระ 2-3 วางมือหนึ่งที่จักระ 2 โดยใช้นิ้วโป้งวางที่ก้นกบและนิ้วที่เหลือวางบนกระดูกสันหลัง และ วางอีกมือที่จักระ 3 ที่กระเบนเหน็บ ใช้เวลานาน 2 นาที
    การกระตุ้นจักระ 3-4 วางมือหนึ่งที่จักระ 3 ที่กระเบนเหน็บ และ วางอีกมือที่จักระ 4 ที่ด้านหลังหัวใจ ใช้เวลานาน 2 นาที

    การรักษาโรคต่างๆ ระดับปฐมจักระ โดยทั่วไปใช้จักระ 7 เป็นหลัก หรือ จักระอื่นๆ เช่น


    1. ปวดหลัง Rx. จักระ 7 กับ จักระ 5 นาน 2 นาที และ จักระ 5 กับ ที่ปวดหลัง นาน 2 นาที
    2. ริดสีดวงทวาร Rx. จักระ 7 กับ จักระ 3 นาน 2 นาที และ จักระ 3 กับ จักระ 2 นาน 2 นาที
    3. โรคไต Rx. จักระ 7 กับ ไต ถ้ายังไม่ได้ล้างไตจะหายเร็ว แต่ ถ้าล้างไตแล้วไม่รับรองผล
    4. แต่งงานกันแล้วไม่รอมชอม Rx. จักระ 1-2 กับ จักระ 7 ส่งพลังจากล่างขึ้นบน
    5. เด็กเหลือขอ Rx. จักระ 7 กับ จักระ 6
    6. ตับอ่อน ตับแก่ Thalassemia มดลูก ลำไส้ ต่อมลูกหมาก Rx. จักระ 2-3 นิ้วกลางที่ก้นกบ นิ้วโป้งชี้

    เกร็ดความรู้


    จักระ เป็นศูนย์กลางของแสง aura ภายในร่างกาย ในทางตะวันออกจะระบุว่าเป็น “ดอกบัวบาน” ในชาวคริสต์โบราณจะเรียกว่า “ดอกกุหลาบที่มีแสงสว่าง”


    จักระอ่อนล้าจากอารมณ์ทำให้เกิดเชื้อโรค โรคภัยเกิดจากจักระขาดพลัง


    มนุษย์มี aura เป็นสนามพลังเป็นคลื่นความถี่ของแต่ละคนเป็นรัศมีโดยรอบร่างกาย สรรพสิ่งทั้งหมดที่มีชีวิตและไม่มีชีวิตมีสนามพลัง เพราะโครงสร้างทางอะตอม มี electron วิ่งอยู่โดยรอบ proton และ neutron สนามพลังของสิ่งที่มีชีวิตมีพลังมากกว่า และ ตรวจพบได้ง่ายกว่า แต่ทั้งสองประเภทสามารถนำมาใช้เพื่อเพิ่มสนามพลังของแต่ละคนได้ สนามพลังเปลี่ยนแปลงไปตามร่างกาย ความรู้สึก จิตวิญญาณ และ อารมณ์


    ต้นไม้แต่ละต้นจะมีคลื่นพลังเป็นของตัวเอง เช่น การไปนั่งใต้ต้นวิลลี่ใช้เวลาเพียง 5-10 นาที จะช่วยบรรเทาอาการปวดศีรษะได้ ต้นสนมีปฏิกิริยากับสนามพลังของมนุษย์ในลักษณะช่วยให้กายทิพย์สะอาด พลังของต้นสนจะช่วยดูดซับและดึงอารมณ์ที่สับสนฟุ้งซ่านชั่วร้ายออกไป โดยเฉพาะความรู้สึกผิดจากสนามพลังของกายทิพย์มนุษย์ ต้นสนเองจะไม่ได้รับอันตรายจากสิ่งชั่วร้ายนี้จากตัวมนุษย์ เพราะต้นไม้รับเอาพลังชั่วร้ายแล้วเปลี่ยนแปลงเป็นปุ๋ยสำหรับตัวมันเอง


    ถ้าต้องการรักษาฝ้า เดินไปใต้ต้นหูกระจง มือ 2 ข้างวางขนานกันประกบกัน แยกห่างกัน และ เข้าหากัน หลายๆครั้ง แล้วจะรู้สึกเกิดเป็นก้อนกลมๆ ของพลังคอสมิก เอามือขึ้นลูบหน้า


    กิเลสทำให้เกิดมะเร็งแพร่ได้เร็ว Rx. กระตุ้น จักระ 3 (จักระ 3 ขาดพลัง ทำให้เกิดมะเร็ง)


    เด็กที่มีก้อนเกิดขึ้น และ ชอบเล่นเกมกด Rx. ใช้เกมกดเพ่งจิตไปที่ก้อนทุกวัน ทำให้ก้อนเล็กลงได้


    ประเทศจีนใช้อุจจาระสดๆ ถ่ายใส่ถังสดๆ รดต้นไม้ตอนตี 4 แสงแดดฆ่าเชื้อโรคตอนเช้า คนไทยดูดส้วมอุจจาระจากบ่อเกรอะทำปุ๋ยมีเชื้อโรค ไม่ควรทำ


    ประเทศญี่ปุ่นทำ EM กิน อ้างว่าเขมือบของสกปรก ระวังกินเข้าไปทำให้ตับเสื่อม เกิดไวรัสสีฟ้า Rx. ใช้ลูกยอ ต้มน้ำแล้วกรอง ต้มน้ำแล้วกรองอีกครั้ง ดื่มกินได้ ไม่ต้องซื้อจากต่างประเทศ


    Bacteria หรือ สมุนไพร ใช้สำหรับเฉพาะที่ ไม่สามารถนำจากต่างประเทศมาใช้ในประเทศอื่นได้ ประเทศไทยมี มี ต้นทองหลาง ต้นสะเดา ต้นไผ่ ใบร่วงกลายเป็นปุ๋ย ทำให้เกิด จุลินทรีย์อีโทรลิท สำหรับประเทศไทยเท่านั้น มีประโยชน์มาก จุลินทรีย์ มาจากพลังคอสมิก ชอบความสะอาด


    ผู้ป่วยเส้นเลือดหัวใจโป่งพอง มีอาการเจ็บคันที่หน้าอก คุณย่าถามว่าจิ้งหรีดทวงหนี้หรือเปล่า ? ในที่สุดผู้ป่วยบอกว่า น่าจะเป็น แมลงกุดจี่ ซึ่งเคยไปทำร้ายมันมาก่อน เป็นกรรมเฉพาะตัว


    ผู้สำเร็จระดับปฐมจักระ ไม่สามารถรักษาผู้ป่วยที่เป็นโรคเหล่านี้ได้ คือ เอดส์ Leukemia SARS ไวรัสไม่ทราบชนิด โรคประสาท และ โรคที่เกิดจากสารพิษ

    http://www.dtam.moph.go.th/alternative/viewstory.php?id=54
     
  6. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    ออร่าคืออะไร คำว่าออร่ามาจากภาษาลาติน แปลว่า อากาศ
    มาจากภาษากรีก แปลว่าลมหายใจ

    หลักฐานทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับออร่า
    - แสงฉัพพรรณรังสีของพระพุทธเจ้าที่เราเห็นตามฝาผนังโบสถ์
    - ภาพรัศมีของพวกนักบุญฝรั่ง


    รังสีมนุษย์

    ยังมีเรื่องราวของการเรืองแสงของมนุษย์อีกครั้ง คราวนี้มองกันในแง่ที่ไม่ใช่วัตถุธรรม แสงเรืองแห่งมนุษย์ในแง่นี้เรียกว่า “ออร่า” (aura) หรือการเปล่งรังสีแสง หรือรัศมีเรืองรองบางอย่างออกมารอบตัว อาจจะเป็นแสงเรืองสีต่าง ๆ กันซึ่งตาเปล่ามองเห็น หรือเป็นรังสีแสงที่ตาเปล่ามองไม่เห็น แต่สามารถมองเห็นได้ด้วย “ทิพย์จักษุ” ก็ได้…….กล่าวกันว่าการเปล่งรัศมีเหล่านี้มีความเข้มข้นแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะปรากฏเข้มข้นเฉิดฉายมากในบุคคลที่มีพัฒนาการทางจิตอย่างสูง และรองลงมาจะมีรังสีแจ่มกระจ่างในบุคคลที่มีจิตใจอยุ่ในสภาวะปิติเบิกบานอยู่เสมอ ๆ ……. ปรากฏการณ์ออร่าจึงเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเรื่องทางจิต วิญญาณ เสียเป็นส่วนใหญ่…..ดร.แนนดัวร์ โฟดัวร์ นักปรจิตวิทยา หรือ parapsychologis ได้อธิบายไว้ว่า…พวกนักบุญและผู้ชำนาญการศาสนาทางตะวันตกได้จำแนกลักษณะของออร่าไว้ 4 แบบ ด้วยกัน กล่าวคือ:-

    ๑. แบบ นิมบัส (Nimbus) คือแบบที่มีออร่าแผ่ออกมาในลักษณะคล้ายการ “ทรงกลด” เป็นรัศมีทรงกลมรอบศีรษะ

    ๒. แบบ ฮาโล (Halo) เป็นแบบการแผ่รังสีที่มีลักษณะคล้ายวงแหลวแผ่ออกมารอบศีรษะเหมือนกัน

    ๓. แบบ ออรีโอลา (Aureola) เป็นแบบลักษณะแผ่รังสี คล้ายเปลวเพลิงทรงกลด

    ๔. แบบ กลอรี (Glory) เป็นลักษณะแสงเรืองเปล่งปลั่งเรืองรองแผ่ออกมารอบร่างกาย ส่วนมากบุคคลที่มีออร่าแบบกลอรีนี้มักเป็นคนที่มีบุญวาสนาสูงส่งมาก ๆ หรือไม่ก็พวกศาสดาผู้บรรลุธรรมชั้นสูงสุด

    เรื่องออร่ามิใช่มีอยู่เฉพาะทางซีกโลกตะวันตกเท่านั้น ทางซีกโลกตะวันออกอย่างบ้านเมืองเราก็มีเช่นกันและมีรายละเอียดปลีกย่อยมากกว่าด้วย….ผู้เชี่ยวชาญทางด้านการเข้าฌาน (Theosophists) ของทางตะวันออกได้จำแนกลักษณะของออร่ารังสีของมนุษย์เอาไว้ 5 แบบด้วยกัน กล่าวคือ :

    ๑. สุขภาวะรังสี (Health aura)

    ๒. กรรมรังสี (Karmic aura)

    ๓. ชีวรังสี (Vital aura)

    ๔. บุคลักษณะรังสี (Aura of Character)


    ๕. วิญญาณรังสี (Aura of Spiritual nature)

    นอกจากนี้แล้วยังระบุไว้อีกด้วยว่าสีสัยของออร่าจะเปลี่ยนแปลงไปได้ตามสุภาพของอารมณ์ เช่น สีแสด ส้ม จะเกิดเมื่อมีอารมณ์โกรธ หรือเกลียด หรือถูกกดดัน สีแดงเข้มคล้ำจะเกิดขึ้นเมือมีอารมณ์ขุ่นข้องหมองใจ อยู่ในโทสะจริตหรือกำลังลุ่มหลงด้วยโลภราคะ สีน้ำตาลจะปรากฏขึ้นเมือเกิดอารมณ์ตระหนี่ หึงหวง หรือเกิดความงก สีแดงดอกกุหลาบเกิดขึ้นเมืองอยู่ในอารณ์แห่งความรัก ความใคร่ทางกาม สีเหลืองจะเกิดขึ้นถ้าอยู่ในอารมณ์เป็นกลางหรือในขณะใช้ความคิดทางสติปัญญา สีม่วงจะปรากฏออกมาเมื่อเกิดอารมณ์สงบ วิเวก สีน้ำเงิน ปรากฏได้ก็ต่อมเออยู่ในอารมณ์เชื่อมันมีจิตศรัทธาในรสพระธรรมหรือบุญกุกศ และสีเขียวจะเกิดขึ้นถ้ามีอารมณ์อิจฉาริษยา …… นอกจากนี้แล้วผู้เชี่ยวชาญทางการเข้าฌานบางคนยังเคยเห็นสีของออร่าสีอื่น ๆ อีก แต่ยังระบุไม่ได้ว่ามีความหมายอย่างไร นอกจากผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่งคือสตีเฟน อสวิคกิ ในปีพ.ศ. 2443 ยืนยันว่าได้เห็นออร่าของคนใกล้จะตายเปล่งสีออกมาเป็นสีเทาทึบ ๆ คล้ายหมอกควันดำและเขาได้เห็นหลายครั้งเป็นเช่นนั้น จึงเชื่อว่าสีเทาดำนั้นเป็นสีที่เกิดขึ้นก่อนที่จิตจะสละร่างออกไป


    [​IMG]

    แสงออร่าไม่ใช่เรื่องใหม่
    หลายๆ คนอาจจะมองออร่าไม่เห็น แต่ทุกคนสามารถรับข้อมูลและความรู้สึกจากแสงออร่าของผู้อื่นได้ จากประสบการณ์ดังนี้
    1. รู้สึกสดชื่นหรือห่อเหี่ยว เมื่อได้ยินเสียงใครบางคน
    2. รู้สึกว่าเพื่อนคุณสวยหรือหล่อเป็นพิเศษ เมื่อสวมเสื้อผ้าสีใดสีหนึ่ง
    3. รู้สึกว่าคุณสดชื่นขึ้นเมื่อสวมเสื้อผ้าสีใดสีหนึ่ง
    4. รู้สึกว่ามีคนจ้องมองอยู่ เมื่อเหลียวกลับไปก็มีคนจ้องอยู่จริง
    5. รู้สึกชอบหรือเกลียดขี้หน้าคนบางคน ทั้งๆ ที่เพิ่งพบกันเป็นครั้งแรก
    6. รู้สึกโกรธหรือสงบเมื่อย่างเท้าเข้าไปในสถานที่บางแห่ง
    7. รู้สึกว่าคนที่คุยด้วยไม่จริงใจกับคุณ และภายหลังคุณพบว่าความรู้สึกนั้นถูกต้อง

    ถ้าคำตอบเหล่านี้คือ ใช่ แสดงว่าคุณสามารถสัมผัสออร่าได้ และหากฝึกฝนคุณก็สามารถสัมผัส ได้ด้วยตา มือ จิต และอ่านความหมายได้ รวมไปถึงหากดูแลรักษาสุขภาพ แสงออร่าของตัวเอง จะช่วยให้ร่างกายคุณ ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บมีแต่ความสุขกายสบายใจ [​IMG]

    [​IMG]

    สีของออร่าและความหมาย
    มี 2 ประเภท
    1. สีของความคิดและอารมณ์ จะมีลักษณะเป็นหมอก มีความไหลปรากฏเป็นหย่อมๆ จะเห็นได้ชัดเจนบริเวณรอบศีรษะ และเหนือบ่า มีสีสันต่างๆ เช่น
    1.1 สีชมพู หมายถึงพลังที่แจ่มใส เต็มไปด้วยความรัก อารมณ์ขัน ถ่อมตนสามารถ ปลอบประโลม ผู้อื่น โรแมนติก ข้อเสียคือมักจะใจคอโลเล
    1.2 สีแดง เป็นสีที่แสดงถึงความทะเยอทะยาน เต็มไปด้วยพลังงาน มีความกระฉับกระเฉง และ มีพลังทางเพศ ถ้าเป็นสีแดงมืดอาจหมายถึงอารมณ์รุนแรง ถ้าเป็นสีแดงสดใสหมายถึงความ ภาคภูมิใจ และทะเยอทะยานในทางที่ถูกที่ควร ถ้าสีแดงขุ่นเป็นพวกใจคอโหดร้าย
    1.3 สีส้ม / แสด เป็นสีของความกระฉับกระเฉงว่องไว มีความสุข สุขภาพ ที่เต็มไปด้วยพลัง ถ้ามีแสงสีนี้มากเกินไปจะกลายเป็นคนเย่อหยิ่ง สีนี้ยังเป็นสีที่ควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อด้วย
    สีส้มมัวหม่น หรือ ส้มปนน้ำตาล แสดงถึงปัญญาต่ำ ถ้าสีส้มแดงหมายถึง เย่อหยิ่ง อวดฉลาด
    1.4 สีเหลือง เป็นสีที่มองเห็นง่ายที่สุดในออร่า เป็นสีของความฉลาดความเมตตา มองโลกในแง่ดี รักเพื่อนมนุษย์ นอกจากนั้นยังเป็นสีของภูมิคุ้มกันโรค สีเหลืองอมส้มแสดงถึง ความฉลาด - ปราดเปรื่อง สีเหลืองขุ่นค้นแสดงถึงความอิจฉาริษยา หรือความคลางแคลงใจ
    1.5 สีเขียว เป็นสีของจิตใจที่ละเอียดอ่อน มีความเข้าใจผู้อื่น นอกจากนั้นยังเป็นสีของ ความรัก การเปลี่ยนแปลง การรักษาโรค ความสามารถในการใช้มือ และยังเป็นสีที่แสดงถึงความสมดุล
    ถ้าเป็นสีเขียวสดใสแสดงว่าเป็นคนปรับตัวเก่ง ใจดี ชอบอิสระ ถ้าเป็นสีเขียวมืดจะเป็นพวกขี้โกง ขี้อิจฉา ถ้าเป็นสีเขียวอมฟ้าเป็นพวกชอบช่วยเหลือผู้อื่นไว้วางใจได้ เข้าอกเข้าใจผู้อื่น และแสดงถึงความสามารถในการรักษาโรค ถ้าเป็นสีเขียวขี้ม้าเป็นพวกชอบหลอกลวง ต้มตุ๋น ขี้โกง และขี้เหนียว
    1.6 สีน้ำเงิน เป็นสีของความสงบและสัจจะ เป็นสีของการสื่อสาร พลังจิตความฉลาด ความมีอุดมคติ ขยันขันแข็ง ความสำเร็จ สามารถยืนหยัดอยู่บนขาของตัวเอง มีความเชื่อมั่นในตนเอง ซื่อตรง จริงใจ และชอบช่วยเหลือผู้อื่น มักจะเป็นพวกสมถะ แต่ใจคอหงุดหงิดง่าย
    สีน้ำเงินขุ่นแสดงว่าทัศนะวิสัยถูกปิดกั้น กลายเป็นคนขี้กังวล และขี้ลืม
    1.7 สีคราม เป็นสีของพลังจิต สัมผัสที่ 6 โทรจิต ความฉลาดล้ำลึกความคิดสร้างสรรค์ และความเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ มีความจริงใจ ชอบค้นหาสัจจะความจริงของชีวิต
    1.8 สีม่วง เป็นพวกจิตละเอียดอ่อน เป็นตัวของตัวเอง มีสัมผัสที่ 6 ชอบทางสมาธิ และโน้มเอียงไปทางศาสนา ชอบเรื่องลี้ลับ คนส่วนใหญ่มักจะไม่ค่อยมีสีนี้ ผู้ที่มีสีนี้มักจะมีพลังจิตสูง แต่อาจมีปัญหาเกี่ยวกับบริเวณท้อง เนื่องจากจักระช่วงบนพัฒนาล้ำหน้าจักระช่วงล่าง
    1.9 สีน้ำตาล เป็นสีที่แสดงถึงความคิดแคบๆ ไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น เห็นแก่ตัว ชอบคุยแต่เรื่องตัวเอง เป็นคนน่าเบื่อ สีน้ำตาลยังเป็นสีของจักระเท้า พลังธรณี และอดีตที่ผ่านมา
    ข้อดีของสีนี้คือ เป็นสีของความขยันขันแข็ง ความมีระเบียบ และอาจหมายถึงความมุ่งมั่นที่จะให้สู่จุดมุ่งหมาย และความสำเร็จ
    1.10 สีดำ หมายถึง การสิ้นสุด ซึ่งในที่นี้หมายถึง การสิ้นสุดของสถานการณ์หนึ่ง เพื่อเปิดโอกาสให้สถานการณ์ใหม่เข้ามา อาจหมายถึงการเกิดใหม่ หรือความล่าช้าก็ได้ บางครั้งอาจหมายถึง โรคร้ายแรง หรือโรคเรื้อรัง อิทธิพลมืด บางครั้งอาจหมายถึงการปกป้องตัวเองจากพลังภายนอก หรือคนผู้นั้นอาจจะมีความลับ ถ้าสีดำเกิดปะปนอยู่กับสีอื่นๆ เช่น สีแดง แสดงถึงความโกรธ เกลียด อาฆาต พยาบาท สีเหลือง แสดงถึงความคิดชั่วร้าย สีเขียวหมายถึง ความคิดหักหลัง อิจฉา
    1.11 สีขาว เป็นสีที่มีความสมดุล และสมบูรณ์แบบมากที่สุด จะปรากฏกับพวกนักบุญ พระ หรือ ผู้ฝึกสมาธิวิปัสสนาสม่ำเสมอ ถ้าปรากฏเป็นเส้นแสงสีขาวผ่านเข้ามาในแสง อาจหมายถึงข่าวสาร จากมิติอื่นเข้ามา พวกที่เข้าทรงจะมีสีขาวเข้ามาในแสงระหว่างการเข้าทรง
    ผู้ที่มีสีขาวปรากฏอยู่ในออร่า หมายถึง กายแสงได้รับการชำระและฟอกให้บริสุทธิ์ หรืออาจหมายถึง สภาพจิตใจที่เต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์และบริสุทธิ์
    1.12 สีเงิน หมายถึงแรงบันดาลใจ หรือข่าวสารข้อมูลจากโลกวิญญาณ หรือจากมิติอื่น
    1.13 สีทอง เป็นพลังของจักรวาล หรือพลังจากเทพที่เข้ามาช่วยถ่ายโรคออกจากร่างกาย
    1.14 สีเทา เป็นพวกขาดจินตนาการ คร่ำครึ หัวโบราณ ยึดถือความคิดตนเป็นใหญ่ เจ้าระเบียบ
    ถ้าเป็นสีเทามืด ยิ่งมืดทึบมาก ยิ่งแสดงถึงอารมณ์ที่เหี่ยวเฉา สลดหดหู่ คนพวกนี้มักจะว้าเหว่ ถ้ามีจุดมืดสีนี้ในแสงแสดงถึงโรคอวัยวะที่มีปัญหา หรืออิทธิพลมืด
    ถ้ามีจุดสีแดงอยู่ในเงามืดของแสง แสดงถึงความคิดแง่ลบ ได้แก่ ความเกลียด เคียดแค้น หรือ แม้แต่อารมณ์ฆาตกร สีเทาค่อนไปทางสีเงิน แสดงถึงว่าสมองซีกขวาได้รับการกระตุ้นก่อให้เกิด จินตนาการและ สัมผัสที่ 6
    สีที่ไม่ค่อยปรากฏอยู่ด้วยกันคือสีน้ำเงินกับสีแสด ถ้าใครมีสองสีนี้อยู่ด้วยกัน จะเป็นคนที่น่าอิจฉา เพราะสีน้ำเงินเป็นสีของความสงบ และสีแดงเป็นสีของความสุข คุณจะมีแต่ความสงบสุขทางจิตใจ

    http://www.lokthip.net/article/aura.php
     
  7. babi

    babi สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    30
    ค่าพลัง:
    +0
    ดี..
     
  8. foundman

    foundman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    286
    ค่าพลัง:
    +734
    ^^
     

แชร์หน้านี้

Loading...