เบื้องหลังไสยเวทในอดีต

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย ฐาณัฏฐ์, 22 ธันวาคม 2010.

  1. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,197
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    เบื้องหลังไสยเวทในอดีต
    โดย ทีมงานต่วย'ตูน
    [​IMG]
    ซีโนเต้.
    ------------------------------

    ในอดีตกาลนั้น แต่ละชาติศาสนาจะมีพิธีกรรมต่างๆแตกต่างกันไป ซึ่งบางครั้งร่องรอยที่เหลืออยู่ในปัจจุบัน ได้สร้างความพิศวงให้แก่ผู้ที่สนใจในโบราณคดีต้องขบคิด เพราะพิธีกรรมอันน่าจะประกอบด้วยการใช้ ไสยเวทลี้ลับนั้นเป็นไปได้หรือไม่ จึงได้ค้นคว้าเบื้องหลังและนำมารายงานวิจารณ์กัน ดังจะเล่าในหนนี้ครับ

    เรื่องแรกได้แก่ หนทางไปสู่ดินแดนใต้พิภพ หลังมรณกรรมของชนชาวมายา (Maya) แห่งทวีปอเมริกากลาง ซึ่งเมืองสำคัญได้แก่ ชิเชน อิทซา (Chichen Itza) ที่เรารู้จักกันดีนั่นเอง

    วิหารของชนมายานั้นสูงเสียดฟ้าดุจสื่อสารให้ใกล้ชิดกับสุริยเทพและดวงดาราเบื้องบน แต่ในขณะเดียวกัน พวกเขาก็มีอีกช่องทางหนึ่ง ซึ่งสื่อสารกับเทพแห่งความตายผู้สถิตอยู่ใต้พิภพ



    [​IMG]
    ทางเดินตัดป่าไปยังซีโนเต้.
    -----------------------------​



    นับเป็นโชคดีของผู้สนใจในเรื่องชนชาตินี้ เพราะชาวมายาได้จารึกวิถีชีวิตและเหตุการณ์ต่างๆของพวกเขาไว้ทั้งในรูปแบบอักขระและจิตรกรรมประติมากรรม รวมทั้งเป็นคัมภีร์ที่ทำขึ้นในศตวรรษที่ 16 ในชื่อ "โปปอล วูห์ (Popol Vuh)" คัมภีร์นี้กล่าวถึงอาณาจักรบาดาล "ซิบาลบา (Xibal ba)" ที่ซึ่งวิญญาณทุกดวงปรารถนาที่จะไปอยู่อย่างสุขสำราญ หากเป็นเรื่องไม่ง่ายในการไปถึงยังดินแดนแห่งนี้

    วิถีทางเดียวในการลงไปสู่ใต้พิภพก็โดยการผ่านแอ่งน้ำ หรือ "ซีโนเต้ (cenote)" อันเป็นหลุมธรรมชาติ ซึ่งเมื่อกาลเวลาผ่านพ้นไปนับพันปีก็มีน้ำฝนใสสะอาดขังอยู่เต็ม และเป็นแหล่งน้ำใช้อันสำคัญยิ่งของชาวมายา กระทั่งว่าพวกเขาได้ตัดถนน (sacbe) จากเมืองผ่านป่าดงดิบไปสู่แอ่งน้ำซีโนเต้ เชื่อกันว่าในเทศกาลศาสนาได้มีการบูชายัญถวายเทพเจ้า จากหลักฐานโครงกระดูกทั้งของเด็กและสตรีที่ถูกโยนลง แอ่งน้ำทั้งเป็น



    [​IMG]
    โปปอล วูห์.
    --------------------------​



    คณะนักโบราณคดีได้เคยลงไปสำรวจใต้แอ่งน้ำ ศักดิ์สิทธิ์ และก็พบว่าได้มีการทำช่องทางเดินปูด้วยหินที่ชาวมายาสกัดและขนมาจากภูเขา เชื่อกันว่า ช่อง ทางซึ่งยาวนับร้อยเมตรนี้ได้นำไปสู่แท่นบูชาสำหรับสักการะ ชาแอก (Chaac) เทพเจ้าแห่งวสันต์

    คัมภีร์โปปอล วูห์ กล่าวถึงห้องโถงอันร้อนรุ่มด้วยเพลิงนรก ซึ่งก็น่าแปลกที่เมื่อทีมสำรวจสัมผัสได้ ว่าภายใต้แอ่งน้ำลึกและมืดนั้น มีอุณหภูมิสูงถึงกว่า 100 องศาฟาเรนไฮต์



    [​IMG]
    กางเขนแห่งพระมหากรุณา.
    ----------------------​



    นอกจากนี้ คัมภีร์ยังระบุว่า มีห้องโถงแห่งค้างคาว ด้วย ซึ่งนักสำรวจก็พบถ้ำซึ่งมีค้างคาวบินว่อนอยู่นับพันๆตัว

    และเมื่อทีมสำรวจดำลึกลงไปอีกก็ได้พบห้องหรือโพรงถ้ำอีกหลายแห่ง บางถ้ำมีโพรงอากาศอัดอยู่ ทำให้นักดำน้ำสามารถถอดหน้ากากหายใจออกได้ บางห้องมีการประดับประดาด้วย หินสตาแล็กไตต์ (stalactite) และ สตาแล็กไมท์ (stalacmite) ซึ่ง หินทั้ง 2 ชนิดนี้จะเกิดมีขึ้นได้ในที่มีอากาศเท่านั้น จึงเป็นหลักฐานว่าแต่เดิมนั้น ช่องทางเดินเหล่านี้ปราศจากน้ำขัง ครั้นกาลต่อมา ระดับน้ำใต้ดิน (water table) เอ่อสูงขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งในที่สุดก็ท่วมทุกสิ่งทุกอย่างจมมิด

    ภายใต้แอ่งน้ำอันมืดมิด เมื่อสิ้นสุดช่องทางแซคเบ ก็จะเป็นถ้ำที่มีแนวไปทางทิศตะวันตกไม่สิ้นสุด เป็นทิศทางที่ชาวมายาเชื่อว่าไปสู่ดินแดนแห่งยมโลกซิบาลบานั่นเอง



    [​IMG]
    นักบวชสื่อสารกับวิญญาณ.
    ------------------------​



    ความลี้ลับของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สองได้แก่ ปรากฏการณ์มีชีวิตแห่งรูปสลักจีซัส ไครสท์ บนไม้ กางเขนในโบสถ์แห่งบ็อกซลีย์ (Boxley Abbey) ซึ่งอยู่ห่างกรุงลอนดอนไปทางตะวันออก 30 ไมล์ จนเป็นที่เลื่องลือ และได้รับการขนานนามว่า "the Holy Cross of Grace" หรือ "the Rood of Grace" (กางเขนแห่งพระมหากรุณา)

    โดยรูปแกะสลักไม้ขนาดเท่า คนจริงนี้ สามารถขยับเขยื้อน เลิกคิ้วได้ สรวลได้ ขยับแขนขาได้ ทั้งนี้... นักบวชประจำอาราม แห่งนี้ ได้บอกเล่ายืนยัน และเมื่อผู้คนทั่วสารทิศหลั่งไหลมาชมก็ประจักษ์จริงในคำเล่าขานดังกล่าว

    รูปสลักตรึงกางเขนนี้ตั้งอยู่ด้านหน้าฉากกลางโบสถ์ ซึ่งเรียกว่า "ฉากกางเขน (rood screen)" ด้านหลังฉากถือเป็นที่บูชาศักดิ์สิทธิ์ ที่ซึ่งขนมปังและไวน์ จะแปรสภาพเป็นเนื้อหนัง และโลหิตขององค์พระไครสท์ บรรดาศาสนิกชนได้มาสวดอ้อนวอนขอพระเจ้าดลบันดาลให้ทุกข์โศกของพวกเขาได้ บรรเทาลง และเมื่อพระองค์ทรงได้รับทรัพย์สินสักการะบูชาแล้ว ก็จะรับรู้ด้วยการลืมพระเนตรและขยับพระโอษฐ์



    [​IMG]
    เฮนรี่ย์ที่ 8.
    -------------------​



    อะไรทำให้รูปสลักนี้เคลื่อนไหวได้?

    เป็นเพราะอภินิหารจริงๆ หรือมีกลไกอะไรแอบแฝง?

    โดยที่เหตุปาฏิหาริย์นี้เกิดขึ้นในยุคศตวรรษที่ 16 ซึ่งผู้คนมีความเคร่งในศาสนาสูงสุด ยอมแม้กระทั่งสละชีวิตเพื่อบูชาแก่ความเลื่อมใสศรัทธา

    และก็เป็นช่วงขณะเดียวกันกับที่กษัตริย์อังกฤษผู้อื้อฉาว เฮนรี่ย์ที่ 8 (Henry VIII) ทรงครองราชย์

    เฮนรี่ย์ที่ 8 นั้น มีพระประสงค์ที่จะโค่นล้มอำนาจ ขององค์สันตะปาปาแห่งกรุงโรม-ผู้ซึ่งขัดขวางมิให้เฮนรี่ย์ทรงหย่าขาดกับมเหสีองค์แรก-แคทเธอรีน แห่งอารากอน (Catherine of Aragon) ดังนั้น พระองค์จึงต้องหาหนทางลบล้างศรัทธาที่ราษฎรอังกฤษ มีต่อนิกายโรมันคาทอลิก อันมีศูนย์กลางอยู่ที่กรุงโรม ด้วยการทำลายโบสถ์วิหารคาทอลิกทุกแห่งในอังกฤษ



    [​IMG]


    ปี 1538 สายลับของกษัตริย์เฮนรี่ย์ก็ได้นำข่าวสำคัญมาให้พระองค์เผยแพร่ป่าวประกาศ นั่นคือหลังทำลายโบสถ์แห่งบ็อกซลีย์ก็ได้พบเครื่องกลไก ซึ่งทำขึ้นเพื่อหลอกลวงประชาชนให้หลงเชื่อในการคืนชีพขององค์พระไครสท์ โดยบุรุษนามว่า เจฟเฟอรีย์ แชมเบอร์ (Jeffery Chamber) กล่าวว่า

    "เมื่อทุบโบสถ์แห่งบ็อกซลีย์และรื้อถอนรูปสลักตรึงกางเขน ก็พบเครื่องกลไกและเส้นลวดเก่าๆ รวมทั้งก้านไม้อยู่ทางด้านหลังของรูปสลัก ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่ทำให้รูปสลักสามารถเคลื่อนไหว ลืมตาผงกหัวได้..."

    การพบของแชมเบอร์เป็นการสันนิษฐานว่า ช่างไม้สมัยนั้นได้ประดิษฐ์ อุปกรณ์เหล่านี้ และนักบวชในโบสถ์เป็นผู้ ดำเนินการให้เกิดสิ่งอัศจรรย์แก่ศาสนาขึ้น ดังนั้น เฮนรี่ย์ที่ 8 จึงทรงได้โอกาสนำเอาซากศักดิ์สิทธิ์นี้มาแห่แหนป่าวประกาศทั่วกรุงลอนดอน ถึงการโกหกหลอกลวงของนักบวชคาทอลิกภายใต้บังคับ บัญชาขององค์สันตะปาปาแห่งกรุงโรม และเมื่อชาวอังกฤษเสื่อมศรัทธาลงแล้ว การก่อตั้งนิกายใหม่ "Church of England" ของพระองค์จึงประสบผลสำเร็จ หาก ทว่าเบื้องหลังข้อเท็จจริงเหล่านั้นเป็นฉันใดก็ยากที่จะรู้ได้ เพราะหลักฐานสำคัญต่างๆก็ไม่เหลือพอที่จะ ศึกษาค้นคว้าแล้ว

    เรื่องสุดท้ายคือ เบื้องหลังการสื่อสารกับดวงวิญญาณในวิหารเทพีเพอร์ซีโฟน (Persephone) มเหสีของ เฮเดส (Hades) เทพพญายม ณ ตอนเหนือของประเทศกรีซ

    ทั้งนี้ ในช่วงกลางศตวรรษที่ 20 ได้มีการขุดค้นพบอุปกรณ์ประหลาด เป็นโลหะลักษณะคล้ายเครื่องยิงกระสุน (catapult) หลายเครื่องใกล้กับวิหารเพอร์ซีโฟน ซึ่งเป็นสถานที่ที่ชาวกรีกนิยมมากระทำพิธีพบดวงวิญญาณของญาติที่ล่วงลับ ภายใต้ การดำเนินการของนักบวชประจำวิหาร พวกเขาจะได้ พูดคุยและไถ่ถามสิ่งที่อยากรู้กับดวงวิญญาณ เรื่องนี้ มีบันทึกไว้เมื่อ 500 ปีก่อน ค.ศ. โดย ฮีโรโดตุส (Herodotus) นักประวัติศาสตร์กรีกคนสำคัญ เขาเรียกการสนทนากับคนตายว่า "nekromanteion (อังกฤษ ใช้ว่า necromancy)"



    [​IMG]
    เครื่องยิงหิน.
    ---------------------​



    ทั้งนี้ ผู้ประสงค์จะสนทนากับดวงวิญญาณจะต้องผ่านกรรมวิธีอดอาหารราว 29 วัน ทำกายให้บริสุทธิ์ แล้วเดินเข้าสู่วิหารตามเส้นทางแคบๆและลดเลี้ยวจนถึงสถานที่ประกอบพิธีอันศักดิ์สิทธิ์ เขาจะได้รับสมุนไพรบางอย่างมากินและเกิดความเคลิบเคลิ้มกระทั่งขั้นสุดท้ายก็ได้แลเห็นร่างของญาติที่ตายไปแล้วลอยมาปรากฏให้เห็น

    และนี่เองที่เป็นความลับของอุปกรณ์คล้ายเครื่องยิงกระสุนดังกล่าว นั่นคือเมื่อผู้มีศรัทธาผ่านกระบวนการอันทำให้เคลิบเคลิ้มแล้ว ทางนักบวชก็จะอาศัยอุปกรณ์นี้ อันประกอบด้วยเฟืองและรอก ชักตัวสมุนผู้ร่วมงานให้ลอยขึ้นลงได้ ท่ามกลางความสลัวและควันธูป...ดั่งวิญญาณมาปรากฏ
     
  2. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,197
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    ความทุกข์ไม่เคยมีในโลก<!-- google_ad_section_end --> [​IMG]
     
  3. วิถีคนจร

    วิถีคนจร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    696
    ค่าพลัง:
    +226
    ทุกวันี้เขาก็หลง แตาเจ๊เขหลงอย่างอื่น
     
  4. Dolfin

    Dolfin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    134
    ค่าพลัง:
    +258
    อนุโมทนากับเรื่องราวดีๆ ค่ะ
    ไม่บอกไม่รู้นะเนี่ย สนุกมากได้ความรู้ด้วย ^v^
     
  5. อีโต้

    อีโต้ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    510
    ค่าพลัง:
    +256
    หวัดดีครับ พี่หลง บายดี บ่

    พี่หลง vs น้าจร
     

แชร์หน้านี้

Loading...