อทิสมานกาย

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย สุวรรณา รัตนกิจเกษม, 19 พฤศจิกายน 2005.

  1. สุวรรณา รัตนกิจเกษม

    สุวรรณา รัตนกิจเกษม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2005
    โพสต์:
    311
    ค่าพลัง:
    +772
    อทิสมานกาย


    ท่านสาธุชนทั้งหลาย วันนี้อาตมาจะพาท่านพุทธบริษัท ออกท่องเที่ยวต่อไปเพราะว่าได้ให้บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายติดตามทัศนาจรมานอนสบายกันอยู่ที่เมื่องมนุษย์ ความจริงมันก็เป็นเรื่องของเราเอง ที่เราอยู่กันมาตลอดกาลใกล้จะตายไปตามๆ กันอยู่แล้ว ความจริงวันนี้ตั้งใจพาบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทไปชมเทวดา แต่ก็บังเอิญมานึกได้ว่า ถ้าจะไปชมเทวดาเสียตั้งแต่วันนี้ เรื่องที่บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทสงสัยก็จะไม่หมดไป


    คือมีเรื่องอยู่เรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องของบุคคลที่เกิดมาแล้ว ความชั่วไม่มี ความดีไม่ปรากฏ เรื่องนี้บรรดาท่านพุทธบริษัทพูดกันมาก ว่าถ้าเราเกิดมาแล้ว เราไม่ควรทำความชั่ว และเราไม่สร้างบุญสร้างกุศล จะมีผลเป็นประการใด สำหรับเรื่องราวต่อไปและเรื่องนี้ อาตมาจะขอนำท่านไปชมแต่เพียงย่อๆ ขอย้อนกลับไปถึงสมัยเมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังทรงมีชีวิตอยู่ สมัยนั้นองค์สมเด็จพระบรมครูได้เทศน์สอนพุทธบริษัทถึงเรื่องบาปบุญคุณโทษ ประโยชน์มิใช่ประโยชน์ การทำความดีและความชั่วมีผลเป็นประการใด อันนี้พระพุทธเจ้าสอนไว้อย่างละเอียดถี่ถ้วน แต่ทว่าในสมัยนั้นก็มีคนดีวิเศษอยู่คนหนึ่ง ความจริงอาจจะมีหลายคน แต่ทว่าพระอรหันต์สมัยนั้นไม่ได้บันทึกไว้ ท่านบันทึกไว้คนเดียวคืออานันทเศรษฐี ท่านอานันทเศรษฐีผู้นี้ มีทรัพย์ถึง ๘๐ โกฏิ หรือว่า ๑๖๐ โกฏิ จำไม่ได้นะ จำไม่แม่นนักเพราะเวลาพูดนี้ไม่ได้นำตำรามา เป็นอันว่าท่านเป็นมหาเศรษฐีใหญ่มีเงินมาก ท่านมีความรู้สึกของท่านว่าทรัพย์สินของท่านที่ได้มานี้ ชาวบ้านไม่ได้ให้ท่าน เป็นทรัพย์ของวงศ์ตระกูลท่านสร้างขึ้นมา แล้วก็ปกครองกันเป็นทอดๆ เรื่องอะไรที่เราจะไปเชื่อพระสมณโคดม ซึ่งเป็นศากยบุตรออกมาบวชแล้วก็มายุยงชาวบ้านให้มาบำเพ็ญทาน แจกทรัพย์แจกสินของตนให้แก่บุคคลอื่น คนทั้งหลายเหล่านั้นไม่เคยมาช่วยเราหา ไม่เคยมาช่วยเราทำ เราจะไป ให้ประโยชน์อะไรของคนอื่น เราก็ไม่ยอม ของเราเราก็ไม่ให้ใคร นี่เป็นอัธยาศัยของท่านอานันทเศรษฐี และยิ่งไปกว่านี้ ขึ้นชื่อว่าบาปบุญคุณโทษใดๆ ท่านก็ไม่ทำ ปาณาติบาต อทินนาทาน กาเมสุมิจฉาจาร มุสาวาท สุราเมรัย ไม่เคยละเมิด ถ้าจะมองกันในฐานะของคนธรรมดาก็รู้สึกว่าท่านจะเป็นคนดีมาก ถึงแม้ว่าจะเป็นคนขี้เหนียว ความจริงขี้จะเหนียวหรือไม่เหนียวก็ไม่ได้ไปลองจับดู ไม่ได้พิสูจน์ขี้ของแก เอาเป็นว่าแกเป็นคนใจเหนียวก็แล้วกัน ทรัพย์สินของท่านๆ ไม่ยอมให้แก่ใคร ความชั่วไม่มี ความดีไม่ปรากฏ นี่ถ้ารับราชการก็ได้ ๑ ขั้น แต่ท่านอานันทเศรษฐีท่านจะได้อะไรมาฟังกันต่อไป แล้วก็ในสมัยพระพุทธเจ้านั่นเอง พระพุทธเจ้า ยังไม่นิพพาน ท่านอานันทเศรษฐีก็ตายจากความเป็นคน ดูผลของเขาต่อไป


    เมื่อตายจากความเป็นมนุษย์ ชีวิตออกจากร่าง ร่างอันนี้เป็นที่อาศัยชั่วคราวจำไว้ให้ดีนะ บรรดาท่านพุทธบริษัท ร่างกายที่ท่านทรงอยู่นี้ ท่านมีโอกาสอาศัยได้ชั่วคราว เมื่อถึงกาลถึงสมัยมันก็พังทลายลง อาศัยมันไม่ได้เราก็ไป คำว่าเราในที่นี้ หมายถึงอทิสมานกาย คือ กายอีกกายหนึ่งซึ่งสิงอยู่ในกายเนื้อ เป็นผู้บัญชาการให้กายเนื้อพูด กายเนื้อทำ กายเนื้อคิด กายเนื้อด่าชาวบ้าน ขโมยของชาวบ้าน อย่างนี้เป็นต้นเท่าที่กายเนื้อมันทำได้ ความจริงกายเนื้อมันมีสภาพเป็นหุ่น ที่มันทำได้ก็เพราะอาศัยกายที่เรียกว่าอทิสมานกาย เป็นกายที่เราไม่สามารถจะเห็นได้ด้วยตาเนื้อ ภายในมันสั่ง แล้วเจ้ากายนี้ก็มีมือมีเท้ามีปากมีตาอะไรเสร็จแต่ละอย่าง มือมันก็สิงอยู่ที่มือของกายเนื้อ ตามันก็สิงอยู่ที่ตาของกายเนื้อ เท้ามันก็สิงอยู่ที่เท้าของกายเนื้อ มันมีรูปร่างเสมอกันและจุดศูนย์กลางจอมบงการของมันก็คือจิต เป็นดวงหนึ่งที่พระพุทธเจ้าเรียกว่าจิตเป็นผู้มีอำนาจสั่งการ นี่เรียกว่าเป็นจอมบงการ แล้วเวลาร่างกายนี้พัง เจ้าอทิสมานกายนี้มันก็ไปที่อื่น หาที่ไป คนทำความดีไปสู่ในสถานที่มีผลของความดี ดีบันดาล คนทำความชั่ว ไปสู่ที่ผลของความชั่วบันดาล แต่ทว่าท่านอานันทเศรษฐีไม่ทำทั้งความดีและความชั่ว ท่านเป็นมหาเศรษฐีเพราะความดีดั้งเดิมทำไว้ กลับมาเป็นคนที่ไม่สร้างความดีใหม่ มานั่งกินความดีเดิมสบาย ถ้าจะเปรียบกับชาวนาหรือข้าราชการ ชาวนาปีนี้ทำข้าวได้มาก ปีหน้าไม่ทำอะไร นั่งกินข้าวเก่าจนหมด พอข้าวหมดแล้วทำยังไง? ก็กลายเป็นคนไม่มีข้าวจะกิน ข้าราชการก็เหมือนกัน รับเงินเดือน เมื่อรับเงินเดือนๆ นี้แล้วเดือนหน้าไม่ทำ ลาออกจากราชการ บำนาญก็ไม่มี กินหมดแล้วจะเป็นยังไง? ก็กลายเป็นคนไม่มีจะกิน ข้อนี้มีอุปมาฉันใด ท่านอานันทเศรษฐีก็เหมือนกัน ที่เป็นมหาเศรษฐีได้ก็อาศัยบุญเก่า กล่าวคือการให้ทานไว้มาก เกิดมาเป็นเศรษฐี พอเป็นมหาเศรษฐีแล้วกลับอวดดี หรือว่าอวดเลว ความจริงไม่ใช่อวดดี อย่างนี้เขาเรียกว่าอวดเลว ไม่ทำอะไรเลย ถือว่าทรัพย์สินที่มีมานี้ ต้นตระกูลของฉันหามา ชาวบ้านไม่เกี่ยว ในเมื่อชาวบ้านไม่ได้ช่วยหา เรื่องอะไรที่ฉันจะให้แก่ชาวบ้าน ยิ่งกว่านั้นยังไปโทษพระพุทธเจ้าด้วยว่า พระสมณโคดมนี่ไม่เป็นเรื่อง บวชแล้วไม่มีอะไรจะกินก็เที่ยวไปนั่งสอนชาวบ้านให้ใส่บาตร ไม่ใช่เรื่องเลย ความจริงท่านก็เด่นอยู่เหมือนกัน


    เมื่อชีวิตของท่านออกจากร่าง เจ้าอทิสมานกายคือกายภายในที่นักอภิธรรมเรียกกันว่านามธรรม หรือว่านามที่มีรูป รูปในนาม หรือนามที่เป็นรูปตามเรื่องเถอะ จะเรียกว่ายังไงก็ตามใจ ไม่ได้ขัดคอใคร มันออกจากร่างนี้ มันก็ไปหาร่างใหม่ ที่อื่นที่ดีๆ เข้าไม่ได้ ในตระกูลเศรษฐีเข้าไม่ได้เพราะไม่มีทานบารมี จะไปรับราชการหรือศีลบารมีก็ไม่ปรากฏ จะไปเข้าท้องเมียของข้าราชการก็ไม่ได้ มันสบายเกินไป เดินไปเดินมา เดินมาเดินไปก็หาที่ได้ที่เหมาะสมกับตัวที่สุดว่าท้องของคนขอทาน ย่องเข้าไปนอนอยู่ในท้องของคนขอทาน เป็นผู้หญิงนา ไม่ใช่ย่องเข้าไปในท้องของผู้ชาย เดี๋ยวจะเข้าใจผิด ผู้หญิงคนนั้นเขามีสามี แต่ว่าอีตานี้ย่องเข้าไปนอนในท้องของเขา เมื่อเข้าไปนอนในท้องของเขาอาศัยบารมีความเด่นของแกก็เริ่มแสดงอานุภาพ คือขณะเมื่อเข้าไปอยู่ในครรภ์ของหญิงคนนั้น เวลาเช้าบรรดาขอทานทั้งหลายก็พากันยกขบวนไปขอทาน ทุกวันเคยได้อาหารการบริโภคเยอะแยะเงินทองก็ได้ วันนั้นแต่ละคนไม่มีใครได้เลย นี่อานุภาพของความชั่วไม่มีความดีไม่ปรากฏแสดงแล้ว ขอทานทั้งหมดไม่มีใครได้อะไร ตอนเย็นกลับมาถึงที่พักหัวหน้าใหญ่ของขอทานก็เรียกประชุม ประกาศว่านี่คนกาลกิณีคงจะปรากฏขึ้นอยู่ในหมู่ของเราแล้ว พวกเราขอทานไม่เคยอด แต่คราวนี้อดหมดทุกคนน่าสงสัย ฉะนั้นในวันพรุ่งนี้ พวกเราจงแบ่งกันเป็น ๒ พวก


    พอตอนเช้าก็แบ่งกันเป็น ๒ พวก พวกที่แม่ของอานันทเศรษฐีที่เข้าไปอยู่ในท้องน่ะไม่ได้ไปด้วย พวกนั้นได้ของเยอะแยะเหลือเกินเหลือใช้ แต่ทว่าพวกที่แม่ของอานันทเศรษฐีไปด้วย ไม่ได้อะไรเลย หัวหน้าขอทานเริ่มสงสัย ตานี้ก็แบ่งกันไปแบ่งกันมาแบ่งจนเป็นรายบุคคล เป็นอันว่าคนอื่นขอทานได้หมด แต่ว่าคนที่อานันทเศรษฐีไปนอนอยู่ในท้องแม่ของแกน่ะ หาอะไรไม่ได้ เขาก็เลยรู้กันเลยว่าไอ้เจ้าเด็กคนที่เกิดในท้องของหญิงคนนี้คงเป็นเด็กจัญไร ทำให้คนอื่นไม่ได้กิน แล้วพอแยกกันออกโดยเฉพาะ คนที่เป็นแม่ก็พลอยไม่ได้กินไปด้วย ฉะนั้นหัวหน้าขอทานจึงสั่งระงับ ว่าแม่ของเด็กคนนี้ไม่ต้องไปจนกว่าจะคลอดบุตร ให้อยู่กับที่ คนอื่นได้มาก็เลี้ยงกัน พลอยได้กินจากบุญของคนอื่น นี่เป็นยังงี้


    ต่อมาเมื่ออานันทเศรษฐีคลอดจากครรภ์มารดา วันไหนถ้าแม่พาลูกชายไปขอทานด้วย วันนั้นไม่ได้อะไรเลย แต่วันไหนถ้าไม่พาลูกชายไป วันนั้นได้


    นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท ฟังแล้วคิดดูนะ ว่านี่เป็นเรื่องราวสมัยที่พระพุทธเจ้ายังมีชีวิตอยู่ เมื่ออานันทเศรษฐีเด็กคนนั้นโตขึ้นเดินแข็งแรงแล้ว เห็นจะประมาณอายุ ๓-๔ ขวบ แม่ก็ขับออกจากสำนัก ว่าเจ้าเป็นคนจัญไร พาให้แม่อด จะไปหากันของเอ็งตามลำพัง แล้วนำเอากระเบื้องแตกๆ สำหรับเป็นเครื่องมือขอทานใส่มือให้ แล้วก็ไล่ลูกไป


    ตานี้ สำหรับอานันทเศรษฐีคนนี้ แกตายจากคนแล้วก็เกิดเป็นคน เลยเป็นคนที่ระลึกชาติได้ชาติเดียว เพราะมีสภาพเหมือนคนนอนหลับแล้วก็ตื่นขึ้น ไอ้เรื่องราวก่อนหลับทำอะไรไว้บ้างที่ไหนเราจำได้ฉันใด คนที่ตายจากคนแล้วไปเกิดเป็นคนก็มีสภาพเหมือนคนนอนหลับแล้วก็ตื่นขึ้น ระลึกชาติได้ว่า เอ๊ะ ก่อนที่เราจะมาเห็นเด็กนี่ ตอนนั้นเราเป็นผู้ใหญ่เป็นมหาเศรษฐีใหญ่ มีสมบัติมาก วันนี้ เมื่อแม่เราไล่ออกจากสำนักเราก็จะกลับไปบ้านของเรา นี่ การระลึกชาติได้ชาติเดียวนี่ไม่ต้องเจริญสมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐานนะ เพราะว่ายังไม่ลืมสภาพเดิม สำหรับคนต่างๆ ที่เกิดมาแล้วไม่รู้สภาพเดิมว่าชาติก่อนจากนี้มาจากไหนนั่น เพราะว่าไม่ใช่ตายจากคนแล้วเกิดเป็นคน ตายจากคนอาจย่องไปนรกเสียนาน ไฟเผาเสียประสาทเสื่อมไป แล้วก็มาเป็นเปรตอสุรกายสัตว์เดรัจฉาน นี่มันนานเหลือเกิน นานเกินไปประสาทต่างๆ มันก็ลืม สัญญาต่างๆ มันก็ลืมหมด ระลึกชาติไม่ได้ สำหรับคนที่ตายจากคนแล้วเกิดเป็นคน อย่างนี้ระลึกชาติเดิมได้ทุกคนไม่ใช่ของยาก ในเมื่อแกระลึกได้ว่าแกเคยเป็นมหาเศรษฐีใหญ่ บ้านของแกอยู่ที่ไหนแกก็เดินไปตามทางสายนั้น ตอนเช้า เข้าไปถึงประตูบ้านเวลานั้นลูกชายคนโตเป็นมหาเศรษฐีแทน พระราชาทรงแต่งตั้งตำแหน่งมหาเศรษฐีให้ เพราะสมัยนั้น คนที่จะเป็นมหาเศรษฐีต้องพระราชาแต่งตั้ง แล้วก็มอบฉัตรให้ แล้วมีโอกาสได้เข้าเฝ้าพระเจ้าแผ่นดินเหมือนขุนนางทั้งหลาย เวลาไปถึงประตูบ้าน แกก็จะเข้าบ้าน คนยามหน้าประตูเขาก็ไม่ยอมให้เข้า เพราะรูปร่างของแกเหมือนปีศาจคลุกฝุ่นเพราะไม่เคยทำความดี รูปร่างคล้ายๆ กับผี แล้วแถมคลุกฝุ่นอีกด้วย กลัวจะสวยมาก เมื่อแกจะเข้า เขาไม่ไห้เข้าแกก็ดึงดันจะเข้า เวลานั้นเป็นเวลาพอดีที่องค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จไปพอดี เดินไปกับพระอานนท์ ไปบิณฑบาต เมื่อองค์สมเด็จพระบรมโลกนาถเห็นอานันทเศรษฐีผู้เป็นเด็กจะเข้าประตูให้ได้ คนประตูเขาก็ผลักไสเข้าไว้พระองค์ก็ทรงแย้มพระโอษฐ์ ทีนี้ ตามธรรมดา พระพุทธเจ้า ไม่ยิ้มไม่แย้มถ้าไม่มีเรื่อง หน้าเฉยๆ ไม่ใช่หน้าทะเล้นเหมือนคนพูด คนที่พูดนี่ชอบยิ้มชอบหัวเราะ หน้ามันทะเล้นไม่เหมือนพระพุทธเจ้าท่าน พระพุทธเจ้า ท่านมีหน้าปกติ ถ้ามีเหตุจะยิ้ม เมื่อพระองค์ทรงแย้มพระโอษฐ์ พระอานนท์ก็สงสัย ทูลถามองค์สมเด็จพระจอมไตรว่า ภันเต ภควา ข้าแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญพระพุทธเจ้าข้า เวลานี้ ปรากฏว่าพระองค์ทรงแย้มพระโอษฐ์ มีเหตุอะไรหรือพระพุทธเจ้าข้า องค์สมเด็จพระบรมศาสดาจึงได้มีพระพุทธฎีกาตรัสแกพระอานนท์ว่า อานันทะ ดูก่อน อานนท์ เธอเห็นอานันทเศรษฐีไหม? (เวลานั้นไม่เดินแล้ว สององค์ยืนอยู่) พระอานนท์ก็มองไปมองมา ความจริงเคยรู้จักอานันทเศรษฐี พระอานนท์ก็ทูลตอบองค์สมเด็จพระมหามุนี ว่าไม่เห็นพระพุทธเจ้าข้า เห็นแต่เด็ก พระพุทธเจ้า จึงได้ตรัสว่า เด็กคนนั้นแหละ อานนท์ คืออานันทเศรษฐี ตอนนี้ท่านพระอานนท์สงสัย จึงกราบทูลว่าข้าพระพุทธเจ้าทราบว่าอานันทเศรษฐีตายไป ๓-๔ ปีแล้วพระพุทธเจ้าข้า พระพุทธเจ้า จึงตรัสว่าใช่ อานันทเศรษฐีตายแล้ว แต่ก็ไปเกิดเป็นคนเมื่อเกิดเป็นคนแล้วก็เป็นเด็ก เป็นลูกขอทาน คนที่ยืนอยู่ที่นั่นจะเข้าบ้านที่นายประตูผลักไสอยู่นั่นแหละคืออานันทเศรษฐี ถ้าอานนท์อยากจะทราบความเป็นจริง ก็จงเรียกเศรษฐีบุตรลงมา คือหมายความว่าลูกชายคนใหญ่ของท่านเศรษฐีที่เป็นเศรษฐีอยู่เวลานั้น พระพุทธเจ้า ให้เรียกลงมา พระอานนท์จึงสั่งนายประตูให้เรียกนายของท่านลงมาซิ เวลานี้พระพุทธเจ้าต้องการพบ นายประตูก็ไปตามนายมา เมื่อเขาเห็นพระพุทธเจ้าแล้วก็มีความเลื่อมใส ไม่เหมือนพ่อ จึงกราบถวายนมัสการท่านผู้มีพระภาคเจ้า พระพุทธเจ้า จึงได้ตรัสว่า ดูก่อนมหาเศรษฐี เธอรู้จักพ่อเธอไหม เขาก็บอกว่ารู้จักพระพุทธเจ้าข้า ท่านก็บอกว่าเด็กคนนี้น่ะพ่อของเธอ ท่านเศรษฐีหนุ่มตกใจ จึงกราบทูลสมเด็จพระจอมไตรบอกว่าไม่ใช่พระพุทธเจ้าข้า เพราะว่าบิดาของข้าพุทธเจ้าตายไป ๓-๔ ปีแล้ว

    เวลานี้ข้าพระพุทธเจ้าเป็นมหาเศรษฐีแทน พระพุทธเจ้า จึงได้ตรัสว่า เรื่องนั้นเป็นความจริงแต่ว่าพ่อของเธอน่ะออกจากร่างนี้แล้วไปเข้าสู่ครรภ์ของขอทาน เพราะโทษที่ความชั่วไม่มีความดีไม่ทำ ฉะนั้นเมื่อกินบุญเก่าก่อนที่จะมาเป็นมหาเศรษฐีได้เพราะให้ทานมามาก พอเป็นเศรษฐีเข้าจริงๆ กลับไม่ให้ทาน กินบุญเก่าเสียหมด ก็ปรากฏว่าเป็นคนจน ท่านมหาเศรษฐีใหม่ฟังแล้วก็สงสัย องค์สมเด็จพระจอมไตรจึงบอกว่า เด็กคนนี้ คืออานันทเศรษฐีบิดาของเธอ แล้วก็ใครเขาจะเชื่อเล่า บรรดาท่านพุทธบริษัท อยู่ๆ องค์สมเด็จพระบรมครูก็บอกว่าเด็กเป็นพ่อนี่ท่ามันจะเกินพอดีแล้ว นี่ว่ากันตามภาษาเราๆ นะมาถึงก็ยกเด็กให้เป็นพ่อนี่ไม่ไหว ถ้าเด็กรูปร่างหน้าตาสะสวยก็เห็นจะยังไงๆ อยู่ อาจจะสงสัยบ้าง แต่ว่าเจ้าเด็กคนนี้ หน้าตาเหมือนผีแล้วก็ผีคลุกฝุ่นเสียอีกด้วย (เพราะตามบาลีบอกว่ารูปร่างคล้ายปีศาจคลุกฝุ่น) เขาก็เลยไม่เชื่อ พระพุทธเจ้า จึงบอกว่าเราจะพิสูจน์ให้ดู ฉะนั้น องค์สมเด็จพระบรมครูจึงทรงเรียกเด็กคนนั้นว่า อานันทเศรษฐีจงมาหาตถาคต เด็กคนนั้นพอได้ยินเท่านั้นก็เดินมาไหว้พระพุทธเจ้า พระองค์จึงถามว่า อานันทเศรษฐีทรัพย์สินของเธอสมัยก่อนที่จะตายจากความเป็นมนุษย์ที่ฝังไว้แล้วยังไม่ได้แจ้งให้ลูกชายทราบน่ะมีอีกไหม ท่านอานันทเศรษฐีเด็กก็กราบทูลองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าว่ามีพระพุทธเจ้าข้า สมเด็จพระบรมศาสดาจึงได้มีพุทธฎีกาตรัสถามว่ามีอะไรบ้าง เขาก็บอกว่าเงินก็มีทองก็มี แก้วแหวนเพชรนิลจินดาก็มี มีค่ามาก ของทั้งหมดมีราคาเป็นเรือนโกฏิๆ (หมายความว่าเลยล้านไป ร้อยล้านเท่ากับ ๑ โกฏิ) มีค่าอีกหลายโกฏิ พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงได้มีพระพุทธบัญชาบอกว่า ถ้าอย่างนั้นท่านอานันทเศรษฐีจงพาลูกชายไป แล้วก็ชี้สถานที่ที่ท่านฝังทรัพย์นั้นไว้ให้ลูกชายขุดเป็นเครื่องพิสูยต์ว่ามันเป็นความจริงเพียงใด ครั้นเมื่อองค์สมเด็จพระจอมไตร ทรงตรัสแบบนั้น ท่านอานันทเศรษฐีก็เรียกลูกชายบอกว่าจงตามพ่อมา (อันนี้ ประกาศความเป็นพ่อ) แล้วเดินไปที่ข้างหน้า ชี้ลงไปที่แผ่นดินบอก จงให้คนรับใช้ขุดลงไปตรงนี้ พ่อฝังทองไว้ ๓ ตุ่ม เป็นทองแท่ง ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ เขาก็ให้คนขุด ขุดไม่ลึกนักก็ปรากฏว่าได้ทอง ๓ ตุ่ม แล้วเดินไปอีกหน่อยหนึ่งก็ชี้บอก ตรงนี้พ่อฝังเงินไว้หลายตุ่ม เขาก็ขุดพบ แล้วก็ชี้ไปตรงโน้น ว่าอีตรงนี้มีแก้วแหวนเพชรนิลจินดาพ่อฝังไว้มากจงให้คนขุด เขาก็สั่งให้คนขุด ปรากฏว่าได้อีกเยอะเหมือนกัน เป็นอันว่าตอนนี้ลูกชายของท่านอานันทเศรษฐีเชื่อแล้วว่า องค์สมเด็จพระประทีปแก้วบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า เด็กคนนี้คืออานันทเศรษฐีพ่อของแก แกก็เลยเชื่อเพราะผลความจริงปรากฏ แกก็เลยรับภาระเลี้ยงพ่อของแกต่อไป


    นี่แหละบรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย เรามานั่งชมมนุษย์คนดีกันที่ท่านทั้งหลายสงสัย แล้วก็เรื่องที่อาตมาพูดวันนี้ นำมาจากพระสูตรที่พระอานนท์อ้างว่าเป็นเรื่องราวที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสเอง แล้วพระอานนท์ก็ได้เห็นแล้วก็ได้ยินเองด้วย ท่านจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตามใจ เพราะว่าอาตมานี่เป็นลูกของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้า เวลาเทศน์อะไร ไม่เคยบังคับให้ใครเชื่อ ทรงแสดงว่า อักขาตาโร ตถาคตา ตถาคตเป็นแต่เพียงตนบอก บอกแล้วจะจำหรือไม่จำ จะเชื่อหรือไม่เชื่อ จะปฏิบัติตามหรือไม่ปฏิบัติตามก็ช่างประไร ใครมีหน้าที่ปฏิบัติตามก็ปฏิบัติตาม ไม่อยากปฏิบัติตามก็ตามใจ พระพุทธเจ้าเวลาเทศน์สอนใคร ใครก็ไม่ต้องเสียเงินเสียทอง เรื่องนี้ก็เหมือนกัน อาตมานำมาเล่าให้ท่านพุทธบริษัทฟัง ก็ไม่ได้บังคับให้ใครเชื่อ มีหน้าที่พูดให้ฟัง พูดแล้วก็แล้วกันไป ไม่ได้ติดใจ ไม่ได้สนใจว่าใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ถ้าหากว่าจะพิสูจน์กันจริงๆ ละก็ เอายังงี้ก็แล้วกัน ท่านสร้างความดีอะไรมาบ้าง ลบล้างมันเสียให้หมด นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ความชั่วไม่มีความดีไม่ปรากฏ เราไม่ให้ของใคร ของใครเราก็ไม่เอา เรียกว่าของไม่ให้เขาของเขาเราก็ไม่เอาด้วย ลองมันดูซิ แล้วก็ลองตายมันดูว่าจะเป็นแบบอานันทเศรษฐีไหมพูดแบบนี้ เข้าใจว่าไม่มีใครกล้าพิสูจน์


    เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัท เรื่องนี้ จะมีข้อเท็จจริงเพียงใดหรือไม่นั้น ขอให้บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่านเป็นผู้วินิจฉัย เพราะว่าเวลานี้มองดูนาฬิกา ปรากฏว่าเวลาหมดเสียแล้ว เป็นอันว่าการชมเรื่องราวของเมืองมนุษย์ ถ้าจะชมกันมันก็เยอะ ชีวิตนี้ทั้งชีวิตฟังไม่หมด ขอนำมาเป็นตัวอย่างเล็กๆ น้อยๆ หนังสือจะได้ไม่โตเกินไป เรื่องราวของมนุษย์คราวนี้ ถือว่าเป็นวาระสุดท้าย เป็นเรื่องสุดท้าย ต่อไปจะได้นำเรื่องของเทวดามาเล่าให้ท่านพุทธบริษัทฟัง แล้วก็พาท่านทั้งหลายที่ติดตามทัศนาจรมาไปชมตามอัธยาศัย


    สำหรับวันนี้ เวลาหมดเสียแล้วนี่ บรรดาท่านพุทธบริษัท เห็นจะต้องลากลับก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่ท่านพุทธศาสนิกชนผู้รับฟังและผู้ติดตามทุกท่าน สวัสดี. .





    <!-- / message --><!-- sig -->__________________
    เทียนติดไฟเล่มเดียวสามารถช่วยให้เทียนอีกหลายพันเล่มพบความสว่างได้...โดยที่ไม่ทำให้เทียนเล่มนั้นมีอายุการใช้งานน้อยลงเลย

    ภุมเทวดา


    ท่านสาธุชนทั้งหลาย วันนี้ก็ลองย่องๆ แถวเมืองมนุษย์นี่ก็แล้วกัน อย่าเพิ่งไปไหน แต่ทว่าย่องแหงนขึ้นไปให้สูงนิด คือว่าเรามาดูท่านเทวดาที่อยู่กับเมืองมนุษย์ที่เราสามารถจะมองเห็นในเมืองมนุษย์ได้ เวลานี้เรามาทัศนาจรดูเทวดากันบ้าง แต่ก็ยังไม่ต้องเดินไปถึงเมืองเทวดา เพราะว่าเทวดาอยู่ใกล้ๆ บ้านเรามีเยอะ เขาเรียกว่าเทวดาอะไร บรรดาท่านผู้ฟังหรือท่านผู้ติดตาม?


    มองไปข้างหน้าตามพื้นแผ่นดินเห็นท่านเดินกันออกเกลื่อน หน้าตาสะสวย มีเครื่องแต่งตัวเรียบร้อย ผิวละเอียด แลดูสวยกว่าคนสวยตั้งมาก เท้าไม่ถึงดิน เดินอยู่ใกล้ๆ แผ่นดิน แต่ว่าเท้าไม่ถึงดิน จะว่าสูงขึ้นบนอากาศก็ไม่ใช่ เทวดาประเภทนี้ ท่านเรียกว่า ภุมเทวดา ที่บรรดาท่านพุทธบริษัทพากันเรียกว่าพระภูมิเจ้าที่ ความจริงก็เป็นยังงั้นภุมเทวดาหรือภูมิเทวดา ภาษาบาลีอ่านว่า ภู-มิ แล้วก็เทวดา ภูมิแปลว่าแผ่นดิน เทวดาแปลว่าผู้ประเสริฐ ถ้าจะแปลกันทุกศัพท์ ก็เรียกว่าคนที่มีความประเสริฐอยู่ในแผ่นดินหรือว่าผู้ที่มีความประเสริฐอยู่ในแผ่นดิน สำหรับภุมเทวดานี้ ท่านพุทธบริษัท นั่งดูให้ดีเดินดูให้ดี จะเห็นว่ามีเกลื่อนกลาดไปหมด แต่ละท่านหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส แต่งตัวสุภาพสวยงาม ลีลาการเดินก็สวย แต่น่าแปลกใจไหม มือขวาตั้งแต่ข้อมือลงไปถึงปลายนิ้วปรากฏว่ามีสีแดง แล้วก็แดงไม่เสมอกัน บางองค์ก็แดงเข็ม บางองค์ก็แดงจางๆ จงจำไว้ให้ดีว่ามือสีแดงเข็ม มีอานุภาพมากกว่าองค์ที่มีสีแดงจางๆ นี่ฤทธิ์ของท่านอยู่ที่มือ เทวดาพวกนี้ เรียกว่าภุมเทวดา มีวิมานเป็นที่อยู่เหมือนกัน แต่วิมานอยู่ใกล้ๆ แผ่นดิน เรียกว่าตั้งอยู่เฉียดๆ แผ่นดิน สูงกว่าแผ่นดินประมาณสักคืบหรือศอก ไม่ได้ตั้งอยู่ในดิน คือไม่ได้ปักเสา นี่เป็นวิมานของเทวดาประเภทนี้ เทวดาประเภทนี้ ทำบุญอะไรไว้ อันนี้อาตมาไม่เคยค้นพบเลย จะกล่าวว่าพระพุทธเจ้าไม่เทศน์ไว้ก็เห็นจะไม่จริง แต่ว่าค้นไม่พบ หรือว่าพบแล้วจำไม่ได้ก็ไม่ทราบ จะย่องๆ เข้าไปถามเทวดาสักองค์ก็เกรงใจท่าน หรือเอาสักนิดเป็นยังไง สงสัยนี่ สงสัยก็ลองถามดู เอาองค์นี้แล้วกัน องค์ที่ยืนอยู่ใกล้ๆ หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส แต่งกายด้วยเครื่องขาว ขาวทั้งชุด หน้าตาอิ่มเอิบ ท่านยิ้มหน้าระรื่น อยากจะถามท่านนะ เอ้า บรรดาท่านพุทธบริษัทที่ติดตาม มายืนล้อมกัน แล้วก็ฟังท่านพูด


    เอาละเริ่มถาม อยากจะทราบว่าท่านทำบุญอะไรไว้ จึงได้มาเกิดเป็นเทวดาชั้นนี้ที่เรียกว่าภุมเทวดา? นี่ถามใครรู้ไหม ถามเทวดาที่มีนามว่าอะไร? ขุนสมาหารราชวัตร ที่ถามน่ะความจริงตัวตนไม่มีหรอก พูดมันส่งไปยังงั้นเอง เพราะว่าท่านขุนสมาหารราชวัตรนี่ในสมัยที่ท่านมีชีวิตอยู่ ในตอนปลายที่ท่านออกจากราชการแล้ว เกษียณแล้วท่านปลูกบ้านอยู่ที่โน่น อำเภอธัญญบุรี ในเขตจังหวัดปทุมฯ อาตมาเคยชอบกับท่าน เคยไปพักพาอาศัยท่าน ภรรยาของท่านคนหลังชื่อว่าคุณสมถวิล ท่านผู้นี้เคยเล่าให้ฟังว่า เพื่อนของท่านคนหนึ่งเวลาก่อนจะตายบอกว่าเคยพบพระภูมิหรือเทวดา เพราะเพื่อนอีกคนหนึ่งตายไปแล้ว ไปเกิดเป็นภุมเทวดา ท่านไปรักษาอุโบสถอยู่ เพื่อนของท่านขุนสมาหารราชวัตร ปรากฏว่าเพื่อนที่ตายไปแล้วมาพบในเวลาฝัน นอนหลับเช้าฝัน บอกว่าเวลานี้เราไปเกิดเป็นภุมเทวดา มีความสุขมาก แล้วรู้ความลับของคนทุกคน บ้านไหนก็ตาม ถ้าเราจะเข้าไป เราเข้าได้ทุกเวลา จะปิดประตูลงกลอนขนาดไหนก็ตามเราก็เข้าไปได้ ดีไม่ดีเจ้าของบ้านไปทำปู้ยี่ปู้ยำอะไรกันอยู่ ดูเพลิน เจ้าของบ้านไม่รู้ คู่ที่เขากำลังรักกันอยู่เขาไม่รู้ นี่รู้สึกว่าเทวดาองค์นี้ น่ากลัวจะซุกซนมากเหมือนกัน หรือว่าเป็นเทวดาชอบดู ท่านมาเล่าให้เพื่อนท่านฟัง ก็ปรากฏว่าเพื่อนท่านขุนสมาหารราชวัตรก็ติดใจในการเป็นภุมเทวดา แล้วท่านภุมเทวดาท่านนั้นก็บอกว่า เพื่อนเอ๋ย เพื่อนรักษาอุโบสถอย่างนี้ดีแล้ว ถ้ารักษาอุโบสถอย่างนี้ ตั้งใจทรงศีลให้บริสุทธิ์ เวลากลับไปบ้านรักษาศีล ๕ ไห้บริสุทธิ์ ถึงเวลาวันพระรักษาอุโบสถศีลให้บริสุทธิ์ด้วยความเต็มใจ แล้วก็ตั้งใจไว้ว่า เวลาเราตายเราจะมาเป็นภุมเทวดา ความจริงรักษาอุโบสถน่ะ บรรดาท่านพุทธบริษัท หรือว่ารักษาศีล ๕ บริสุทธิ์ นี่เราจะเป็นอากาศเทวดากันได้แบบสบายๆ แต่ว่าคนที่จะเป็นเทวดาชั้นสูงได้ ต้องการเป็นเทวดาชั้นต่ำนี่เขาไม่ห้าม สุดแล้วแต่ใจ แต่คนที่มีบุญบารมีเป็นเทวดาชั้นต่ำ อยากเป็นชั้นสูง เป็นไม่ได้ เขาห้าม จะต้องบำเพ็ญบุญบารมีให้สมควรแก่ฐานะของเทวดานั้นๆ เรื่องนี้ชักยุ่งๆ เหมือนกัน เป็นอันว่าเรื่องที่จะเล่าให้ฟัง ก็ไม่ใช่เรื่องทำบุญเป็นเทวดาโดยเฉพาะ เป็นการตั้งใจเป็นภุมเทวดา เพราะว่าจะพูดไปยิ่งกว่านี้ก็ไม่รู้จะพูดยังไง หาเรื่องพูดไม่ได้ เพราะไม่เข้าใจว่าทำบุญอะไรจึงเป็นภุมเทวดา

    เป็นอันว่าเพื่อนของท่านขุนสมาหารราชวัตรก็เชื่อเพื่อนที่ตายไปแล้วที่บอกว่าเป็นภุมเทวดารักษาอุโบสถทุกวันพระ วันไหนไปวัดไม่ได้ก็ตั้งใจสมาทานที่บ้าน และโดยปกติวันปกติไม่ใช่วันพระก็รักษาศีล ๕ บริบูรณ์ จนกว่าจะตายไปแล้วจริงๆ ก็ปรากฏว่ามาเกิดเป็นภุมเทวดา มาเข้าฝันท่านขุนสมาหารราชวัตรกับอีกคนหนึ่ง บอกว่าเพื่อนเอ๋ย เวลานี้เราเป็นภุมเทวดาจริงๆ เป็นแล้วไม่ต้องห่วง เป็นสมความปรารถนา เป็นสุขจริงๆงานการไม่ต้องทำ มีเครื่องทิพย์เป็นเครื่องบริโภค เวลาใครเขาจะทำอะไรเขาก็ต้องมาเซ่นต้องสรวง ต้องไหว้ต้องบูชา ดีกว่าความเป็นคนเยอะ ไม่มีความหิว ไม่มีความกระหาย ความร้อน ความเหนื่อยกายไม่มี จะไปทางไหนนึกปั๊บเดียวถึงทันที นี่มาชวนท่านขุนสมาหารราชวัตรไปเป็นภุมเทวดาเข้าอีก ต่อมาเมื่ออาตมาไปพบท่านขุนสมาหารราชวัตร ท่านถามว่าการบำเพ็ญกุศลอย่างนี้เป็นภุมเทวดาได้ไหม อาตมาพิจารณาตามพระธรรมคำสั่งสอนที่องค์สมเด็จพระจอมไตรทรงตรัสว่าการบำเพ็ญกุศลอย่างนั้นสูงกว่าเป็นภุมเทวดามาก จะไปอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ได้สบายๆ แต่ท่านก็เลยบอกว่าผมตั้งใจอยากจะไปอยู่กับเพื่อนเขา เพื่อนเขามาชวน ก็เลยบอกท่านว่า เมื่อคนมีความพอใจแบบนั้นละก็ เชิญตามสบาย คงเป็นไปได้ตามอัธยาศัยที่ต้องการ ท่านก็ตั้งใจสมาทานศีล ๘ ทุกวันพระ สำหรับวันปกติท่านก็รักษาศีล ๕ ให้ครบถ้วน ในที่สุดท่านก็ตายไป ท่านตายได้ประมาณเดือนหนึ่ง อาตมาก็ไปที่นั่น ความจริงไม่รู้ว่าท่านตาย คุณนายสมถวิลก็มาถามว่าเวลานี้ท่านขุนตายแล้วท่านไปเป็นภุมเวดาหรือเปล่า แล้วโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เวลาอยู่ชอบเล่นหวย ๓ ตัว ที่เขาเรียกกันว่าหวยใต้ดินนี่ชอบมาก คุณนายเองก็ชอบ ก็เลยบอกกับท่านว่าเอายังงี้ก็แล้วกันคุณนาย อาตมาเองก็ไม่ใช่คนตาทิพย์ หรือก็ไม่ใช่คนใจทิพย์ จะไปรู้เรื่องราวของเทวดายังงี้มันยาก ลองกันคืนนี้ก่อน ลองนอนสักคืนหนึ่ง ตอนกลางคืนอาตมาจะเชิญท่านขุนมา หากว่าท่านเป็นภุมเทวดาจริงหรือเป็นเทวดาชั้นอื่นจริงๆ ก็จะปรากฏแล้วจะลองขอหวยให้ เป็นอันว่าตอนกลางคืนก่อนนอน อาตมาก็บูชาพระสวดมนต์ทำหน้าที่ของพระ เมื่อสวดมนต์เสร็จก็นึกในใจว่าท่านขุนอยู่ที่ไหน ต่างว่าท่านขุนเป็นเทวดาหรือเป็นอะไรก็ตาม ถ้าหากว่าสามารถมาได้ ขอได้โปรดมาพบ ปรากฏว่าเวลาใกล้หลับไม่ทันจะหลับ เคลิ้มๆ พอจะหลับท่านขุนมา มาในร่างเดิม ถ้าว่าเวลานี้เป็นอะไร ท่านบอกว่าทานเป็นภุมเทวดา ก็ถามว่าบุญวาสนาบารมีที่รักษาอุโบสถศีลก็ดี รักษาศีล ๕ ก็ดี พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าเป็นเทวดาประเภทอื่นได้ ที่เรียกกันว่าอากาศเทวดา คือจะอยู่ชั้นดาวดึงส์แบบสบายๆ ทำไมโยมจึงได้อยู่ที่นี่ ท่านก็รับรองบอกว่า เป็นความจริงขอรับ แล้วเวลาตายแล้ว ก่อนที่จะตายจิตใจมันปักอยู่เฉพาะภุมเทวดา เมื่อเวลาชีวิตออกจากร่าง ก็ปรากฏว่าเป็นภุมเทวดา มีวิมานเป็นที่อยู่ แล้วอารมณ์จิตก็รู้ในขณะนั้นเองว่า นี่ถ้าเราไม่ได้ตั้งจิตเป็นภุมเทวดาแล้ว เราจะไปอยู่ชั้นดาวดึงส์ได้แบบสบาย ก็เลยถามต่อไปว่า แล้วก็โยมจะไปอยู่ชั้นดาวดึงส์ไหม? ท่านบอกว่าไป ถามว่าเมื่อไรจะไป บอกว่าต้องหมดอายุชั้นนี้เสียก่อน ถามว่าชั้นนี้มีอายุเท่าไร ท่านบอกว่าชั้นนี้เขาเรียกว่าอยู่ในชั้นจาตุมหาราช จะเป็นภุมเทวดาก็ดี รุกขเทวดาก็ดี เทวดาชั้นจาตุมหาราชก็ดี มีอายุ ๕๐๐ ปีทิพย์ ถ้าจะเปรียบกับมนุษย์ก็ ๕๐ ปีเป็น ๑ วัน เดือนหนึ่งมี ๓๐ วัน ปีหนึ่งมี ๑๒ เดือน จนกว่าจะครบ ๕๐๐ ปีทิพย์ เมื่อครบ ๕๐๐ ปีทิพย์ แล้วไปเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ได้เพราะหมดระยะที่จะอยู่ในที่นี้ ก็ถามท่านว่า คุณนายต้องการหวย โยมขุนจะสงเคราะห์คุณนายไหม เคยมาบอกไหม ท่านก็เลยบอกว่า แม่หวินนี่ผมห่วงแกมาก ผมมาหาแกหลายครั้ง เคยมาบอกแก แต่แกไม่ได้ยิน มาแกก็ไม่เห็น พูดด้วยแกก็ไม่ฟัง อาจจะฟังแต่ไม่ได้ยิน เวลานี้ท่านมาก็ดีแล้ว ผมขอฝากหวยไว้ด้วย บอกแม่หวินด้วยนะ ว่าหวยคราวนี้มันออก ๘๘๐ ท้ายรางวัลที่ ๑ อาตมาก็จดเข้าไว้ พอตอนเช้าคุณนายสมถวิลถามก็บอกตามนี้ ปรากฏว่าหวยออกตรงจริงๆ นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท ภุมเทวดาแท้ๆ บุญบารมีที่ทำให้เกิดเป็นภุมเทวดานี่อาตมาไม่รู้ รู้แต่เพียงว่าถ้าตั้งใจเป็นภุมเทวดา ก็จะเป็นได้ ถ้าจะเดากันก็จะเดาว่าการให้ทานรักษาศีลแบบธรรมดาๆ แต่ว่ามีจิตใจไม่มั่นคงใครเขาจะไปวัดก็ไปกับเขา เขาสมาทานศีลก็สมาทานกับเขา แต่ไม่ได้ตั้งใจรักษาศีล กลับออกมาก็ปล่อยให้ศีลตกอยู่หน้าศาลา เวลาเขาใส่บาตรก็ใส่กับเขา บางทีก็ใส่บาตรประเภทสนุก มันเป็นบุญเล็กๆ น้อยๆ กระจุ๋มกระจิ๋ม เรียกว่าสักแต่ว่าเป็นบุญ อันนี้เดาเอานะจะไปยืนยันว่าเป็นความจริงไม่ได้นะ


    สำหรับภุมเทวดานี่เรายกศาลบูชาท่านเพื่ออะไร? จะไม่ยกศาลได้ไหม? อันนี้เป็นเรื่องเถียงกัน บรรดาท่านพุทธบริษัท มีนักปราชญ์สมัยนี้โจมตีภุมเทวดากันอย่างหนัก ดีไม่ดีก็หาว่าคนที่ยกศาลพระภูมิเจ้าที่กลายเป็นอะไรต่ออะไรไป ก็รู้สึกว่าจะมากไปสักหน่อย สำหรับความรู้สึกของอาตมา จะเป็นเทวดาชั้นไหนก็ตาม เราควรบูชา ทั้งนี้เพราะอะไร? เพราะว่าท่านที่เป็นเทวดาได้ต้องมีคุณธรรมวิเศษ ๒ ประการ คือ ๑ หิริ ได้แก่ความละอายต่อความชั่ว ๒ โอตตัปปะ ความเกรงกลัวผลของความชั่วจะมาถูกต้องตน จะให้ผลเป็นความทุกข์ เป็นอันว่าคนที่จะเป็นเทวดาชั้นสูง หรือชั้นต่ำก็ตาม จะต้องเป็นคนอายบาปแล้วก็กลัวบาป อายชั่ว กลัวชั่ว เป็นอันว่าคนที่ไม่ทำความชั่วชื่อว่าเป็นคนประเสริฐเป็นคนดี แต่ว่าคนธรรมดาเราทั้งๆ ที่ยังมีความชั่วอยู่ โกหกมดเท็จก็ได้ เจ้าชู้เป็นชู้ลูกเขาเมียใครก็ได้ ทำปาณาติบาตก็ได้ กินเหล้าเมายาก็ได้ เราทำไมถึงได้ไหว้ได้ เราไหว้คนเลวได้ ทำไมเราจะไหว้คนดีจริงๆ ไม่ได้รึ อันนี้ ก็ไม่ได้ ไปเถียงกับท่านนักปราชญ์ทั้งหลาย เพราะอาตมาอาจจะมีความรู้น้อยกว่าท่าน แต่ว่าสำหรับความเห็นของอาตมา การยกศาลบูชาภุมเทวดาเป็นของสมควร มาพิจารณาเองว่าสมควรตรงไหน ที่เขากล่าวกันว่าการไหว้บวงสรวงบูชาเทวดานี่ขัดพระรัตนตรัย คือว่าขาดไตรสรณาคมน์ เขาว่าอย่างนั้น เขาบอกว่าไม่เป็นการเคารพพระพุทธเจ้า เราเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าแล้ว ไม่ควรไปเคารพเทวดา อันนี้ไม่จริง บรรดาท่านพุทธบริษัท อาตมาขอค้าน เพราะว่าภุมเทวดาหรือว่ารุกขเทวดา อากาศเทวดาชื่อว่าเทวดาเหมือนกัน พระพุทธเจ้าทรงสอนให้สาวกของท่านมีเทวตานุสสติกรรมฐาน คือการนึกถึงความดีของเทวดา ตรงนี้ซิท่านพุทธบริษัท อาตมาจะไปขัดคอท่านนักปราชญ์ผู้ใหญ่เข้า หากว่าบังเอิญท่านได้ฟังพูดหรือได้เป็นที่เขาเขียนไว้ละก็ให้อภัยด้วยถ้ากระผมจะพูดไป แต่ถ้าจะผิดก็ผิดเฉพาะกำลังใจของท่านเท่านั้น แต่คงไม่ผิดจากพระพุทธพจน์ ทั้งนี้เพราะว่าอะไร เพราะว่าพระพุทธเจ้าทรงให้เจริญเทวตานุสสติกรรมฐาน นึกถึงความดีของเทวดา ถ้าการบวงสรวงไหว้บูชาเทวดาเป็นของไม่ดีพระพุทธเจ้าคงไม่ยืนยันไว้


    ตานี้ มาว่ากันถึงการยกศาลพระภูมิ ดีตรงไหน นี่อาตมาขอสนับสนุนว่าดีจริงๆ แต่ท่านยกแล้วท่านต้องทำให้ถูกดีนะมันถึงจะได้ดี ถ้าหากว่าท่านทำไปแล้วไม่ชนดี มันก็ไม่พบดีเหมือนกัน ต้องตั้งใจทำให้ถึงดีให้ชนดี แล้วก็พบดีด้วย การจะชนดี จะพบดี จะถึงดี เอากันยังไง? ว่ากันตอนนี้ เมื่อยกศาลพระภูมิขึ้นมาแล้ว ควรบูชาทุกวัน ถ้าจะมีกล้วย อ้อย น้ำท่าบ้างก็ตามอัธยาศัย ขนมนมเนยอะไรก็ตาม ให้เป็นไปตามอัธยาศัยของท่าน เวลาบูชาเทวดาจุดธูปกี่ดอก พระพุทธเจ้า ไม่ได้สอนไว้ ที่เขามาโมเมกันในตอนหลัง ว่าจุดบูชาผีเท่านั้นดอก บูชาพระเท่านั้นดอก บูชาครูบาอาจารย์เท่านี้ดอก นี่มันเรื่องของคนที่คิดขึ้นทีหลัง จะจุดธูปจุดเทียนกี่ดอกตามใจท่าน ท่านจะจุดเท่าไรก็ตามไม่เป็นไร ทีนี้ ตอนบูชา บูชาแบบไหน ถ้าเราไปนั่งบูชาบอกขอภุมเทวดาเจ้าคะเจ้าขากรุณาฉันเถิด เวลานี้ที่บ้านฉันเกิดไม่ดีขึ้นแล้ว ผัวออกนอกบ้าน เมียนอกใจ คนใช้ว่าไม่นอนสอนไม่ได้ ขอให้เทวดาช่วยกำจัดให้ด้วย ไปตามผัวให้ที ไปตามเมียให้ที หรือว่าเวลานี้ฉันอยากจะถูกหวยรวยโป อยากจะค้าขายให้มันรวย ถ้าบูชาแบบนี้ไม่เป็นเรื่องแล้ว ไม่ใช่บูชากลายเป็นเอาเทวดาเป็นคนรับใช้ไป ไม่ถูก แบบนี้ไม่ถูก การบูชาเขาต้องบูชาแบบนี้ คำว่าบูชาแปลว่ายอมรับนับถือ ก็หมายความว่าเรายอมรับนับถือความดีของท่านภุมเทวดา คิดว่านี่ท่านจะเป็นเทวดาขึ้นมาได้มีเรื่องทิพย์บริโภคมีร่างกายทิพย์ มีวิมานเป็นที่อยู่ เป็นทิพย์ เวลานี้เรายกศาลขึ้น ความจริงท่านไม่ได้มาอยู่ที่ศาลของเรา ศาลนี่ เดิมทีสมัยโบราณเขาไม่ได้มีศาล เขามีไม้กระบอกปักไว้กลางแจ้ง เวลาจะบูชาก็เอาธูปเทียนไปปักที่กระบอก ต่อมาเห็นว่า ถ้าจะมีอะไรให้บ้างก็ไม่มีที่จะวาง ก็ทำศาลเพียงตา ทำเป็นศาล ๒ ชั้น คิดว่าเทวดาท่านนั่งชั้นบน แล้วเอาของวางชั้นล่าง ท่านก็เอื้อมมาหยิบกิน ต่อมา เมื่อฝนตกแดดออก นึกสงสารเทวดาขึ้นมาก็เลยเอาร่มไปกางให้ ทีหลังเห็นว่าท่านั้นไม่เหมาะ ก็เลยเอาใหม่ ทำบ้านให้มีหลังคา มีฝารอบคอบ นี่เป็นเรื่องของเราเอง มาสมัยนี้เลยมีตึกมีปราสาท รู้สึกว่าเทวดามีวาสนาบารมีมากขึ้นหน่อย อย่างนี้ จะทำแบบไหนก็ตาม เทวดาท่านไม่ได้ขึ้นอยู่ วิมานของท่านมี แต่การทำแบบนี้เป็นการยอมรับนับถือซึ่งกันและกัน เป็นการบูชาความดี อย่ามานึกว่าท่านมาอยู่บนศาลนะ ไม่ใช่ยังงั้น

    ศาลเล็กจุ๋นจู๋แค่นั้นท่านต้องขดตัวเข้าไปนอนเห็นจะไม่ไหว ภุมเทวดามีร่างกายโตกว่าคนมาก เป็นอันว่าการบูชา ถ้าจะบูชาให้ถูกเขาบูชากันแบบนี้ จำได้แล้วใช่ไหม คำว่าบูชาแปลว่ายอมรับนับถือ ตานี้ เรามานับถือท่านตรงไหนล่ะ ยอมรับนับถือตอนที่ท่านมีความดี คือว่าก่อนที่ท่านจะเห็นเทวดาท่านมีหิริและโอตตัปปะ หมายความว่ามีความอายความชั่ว กลัวผลของความชั่วจะให็โทษเป็นทุกข์ก็เลยไม่ทำความชั่วเสียเลยทั้งในที่ลับและในที่แจ้ง เมื่อท่านไม่ทำความชั่วก็เลยไปเกิดเป็นเทวดาชั้นนี้ เป็นเหตุให้พวกเราบูชากัน แม้แต่หน่วยราชการเขาก็ยกศาล วัดที่มีความรู้เขาก็ยกศาลเหมือนกัน วัดนะ ที่พระได้ฌานสมาบัติ บางท่านเป็นพระอริยเจ้าท่านก็ยกศาลเหมือนกัน แต่ยกเป็นศาลใหญ่ ไม่ใช่ศาลเล็กๆ ท่านยกทำไม? ท่านยกเป็นการประกาศความดีของเทวดา สำหรับท่านที่ได้ฌานสมาบัติได้ทิพย์จักขุญาณทำมากเพราะอะไร? เพราะท่านพวกนี้ท่านเห็นจริงๆ เห็นผลความดีของท่านพวกนี้ เมื่อยกศาลขึ้นแล้ว พอมองเห็นศาลก็นึกว่าท่านพวกนี้ท่านทำความดีไว้ก่อน ตายแล้วจึงได้เป็นเทวดา ท่านก็เลยตั้งมโนปณิธานปรารถนาทำใจให้สบาย คิดว่าเราเองเราก็จะเป็นเทวดาอย่างท่านบ้าง อย่างน้อยที่สุดเราก็เป็นผู้มีหิริและโอตตัปปะ เอาเทวดาท่านพวกนี้เป็นครูสอน ที่ยกศาลขึ้นมาบางทีไม่เห็นตัวท่านจะได้นึกได้ว่า นี่เป็นสถานที่ที่เราบูชาเทวดา เวลานึกขึ้นได้แล้วก็นึกขึ้นมาว่าท่านเป็นเทวดาเพราะอะไร เพราะ ๑ อายความชั่ว ๒ เกรงกลัวผลของความชั่ว ท่านก็เลยเตือนตัวท่านว่าเราจงเป็นผู้อายความชั่ว เกรงกลัวผลของความชั่วเหมือนท่านเทวดาอย่างนี้แล้วก็ปฏิบัติตามนั้น นี่อย่างนี้เรียกกันว่าบูชา คือเป็นปฏิบัติบูชา หากว่าเราจะบูชาเพียงอามิสบูชาเฉยๆ เอาข้าวเอาน้ำไปให้ท่าน จุดธูปจุดเทียนไปให้ท่านแล้วเราก็สร้างความชั่ว อย่างนี้ไม่มีผลนะ บรรดาท่านพุทธบริษัท ต้องบูชาตามแบบฉบับที่พระพุทธเจ้าทรงปฏิบัติ คือปฏิบัติบูชา ถ้าหากว่าท่านบูชาภุมเทวดาแบบนี้จำไว้ว่าภุมเทวดาทุกท่านมีเครื่องทิพย์เป็นเครื่องบริโภค มีร่างกายเป็นทิพย์ มีความสุข ไม่หนาวไม่ร้อน ไม่หิวไม่กระหาย ไม่ป่วยไข้ไม่สบาย ไม่แก่เฒ่า หนุ่มเท่าไรก็เท่านั้น เกิดปุ๊บก็หนุ่มเลย แล้วไม่มีการแก่


    เทวดามีความดีอย่างนี้ เพราะอะไร เพราะมีความดี คือไม่ทำความชั่วในที่ลับและที่แจ้ง เราก็เลยตั้งใจว่าขอให้เทวดาคนนี้เป็นครู จะเอาปฏิปทาของท่านนี้มาเป็นครูของเรา เราจะขอเอาเทวดาองค์นี้เป็นสักขีพยานในการปฏิบัติความดีของเรา อย่างน้อยที่สุด เราตายไปขอให้ได้เป็นเทวดาอย่างท่าน นี่เป็นอย่างน้อยนะ แล้วก็ตั้งใจบูชาด้วยความเคารพ กราบก็ได้ไหว้ก็ได้ ไม่เสียหายแล้วก็นึกถึงความดีของท่าน ตั้งใจอายบาป ตั้งใจเกรงกลัวบาป เรียกว่าอายชั่ว กลัวชั่ว อย่างนี้ ชื่อว่าท่านทำตัวเหมาะสมกับการบูชาภุมเทวดาแล้ว


    เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัท เรื่องราวภุมเทวดานี่ จะพูดกันจริงๆ พูดกันทุกวัน เดือนหนึ่งไม่จบ ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะอาตมาเองก็เคยประสบเรื่องราวของภุมเทวดามามาก แต่ว่าอาศัยการพูดนี้ เป็นการพูดเพียงเพื่อให้เป็นตัวอย่างเท่านั้น เพื่อไห้ผู้ว่าเขาเป็นเทวดาได้เพราะอะไร แล้วก็ภุมเทวดา เป็นเทวดาที่เขาบูชากันมาก ตั้งศาลกันมาก แล้วก็มีนักปราชญ์หลายท่านคัดค้านกันมาก ก็เลยเอาสิ่งที่ควรบูชา และบูชาแบบไหนมันถึงจะถูกมาพูดไห้ฟัง พูดแล้วมองดูนาฬิกา บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่านรู้รับฟังแล้วก็ท่านที่ติดตามทัศนาจร เวลามันหมดเสียแล้วสำหรับวันนี้ ก็ขอพักเพียงเท่านี้ บรรดาท่านที่ติดตามมาจงนั่งอยู่ในกลางมวลหมู่ของเทวดาประเภทภุมเทวดาไปสัก ๗ วัน วันพุธหน้ามาพบกันใหม่


    เอาละ วันนี้ขอลาไปกลับก่อน ขอความสุขสวัสดี จงมีแด่ท่านผู้รับฟังและท่านผู้ติดตามทุกท่าน สวัสดี. .





    <!-- / message --><!-- sig -->__________________
    เทียนติดไฟเล่มเดียวสามารถช่วยให้เทียนอีกหลายพันเล่มพบความสว่างได้...โดยที่ไม่ทำให้เทียนเล่มนั้นมีอายุการใช้งานน้อยลงเลย

    ชั้นต่างๆ ของเทวดา


    ท่านสาธุชนทั้งหลาย เมื่อวันพุธก่อน ได้พาท่านพุทธบริษัทและพระคุณเจ้าที่เคารพไปนอนพักอยู่แถวภุมเทวดา สำหรับเรื่องราวของเทวดานี้ เห็นจะต้องรีบรวบรัดกันเสียแล้วบรรดาญาติโยมพุทธบริษัท เพระว่าตั้งใจไว้ว่าเรื่องนี้จะให้จบภายใน ๒๔ ตอน นี่ทำท่าดูลีลาว่าสัก ๑๐๐ ตอน ก็ไม่จบ ฉะนั้น ต่อจากนี้ก็จะขอรวบรัดเรื่องราวต่างๆ ให้จบลงตามกำหนดที่ตั้งใจไว้


    สำหรับวันนี้ บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทดูเทวดาบนยอดไม้กันบ้างดีกว่า ชมกันดูแหงนขึ้นไปดูบนยอดไม้ ต้นไม้ที่มีพุ่มสาขา จะเห็นวิมานต่างๆ แพรวพราวอยู่หมด ต้นไม้ต้นไหนมีสาขามาก ต้นนั้นมีเทวดามาก มีวิมานหลายวิมาน เทวดาพวกนี้ที่องค์สมเด็จพระชินสีห์เรียกว่า รุกขเทวดา สำหรับรุกขเทวดานี้ มีบุญมากกว่าภุมเทวดาหน่อยหนึ่ง คือมีวิมานปะยอดไม้เข้าไว้ แต่ความจริงไม่ใช่อาศัยต้นไม้ที่มีแก่นต่อไป อันนี้องค์สมเด็จพระจอมไตรทรงตรัสว่า ต้นไม้ที่มีแก่นสูงเพียงคืบเดียว รุกขเทวดาก็ใช้วิมานอาศัยได้ อันนี้เป็นพุทธพจน์ จะขอนำเนื้อความย่อๆ ว่าทำบุญอะไรจึงได้เป็นรุกขเทวดามาเล่าให้ฟัง


    ตัวอย่างก็มีว่า คนใช้ของท่านอนาถบิณฑิกะเศรษฐี มารับอาสาเป็นลูกจ้าง ครั้งแรกไม่ทราบว่าวันนั้นเป็นวันพระ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งวันพระบ้านของท่านอนาถบิณฑิกะเศรษฐี แม้แต่เด็กก็ต้องรักษาอุโบสถ เขาไปทำงานอยู่ตลอดวัน กลับมาตอนเย็น เห็นคนอื่นไม่กินข้าว ทราบเนื้อความนั้นจากแม่ครัว ก็เลยขอสมาทานอุโบสถครึ่งวัน รักษาเฉพาะไม่กินข้าวเย็นแล้วก็ตลอดคืน อาศัยที่เขาทำงานหนัก ก็มีความหิวโหย เมื่อไม่ได้กินข้าวเย็น ตอนดึกลมก็กำเริบ ท่านอนาถบิณฑิกะเศรษฐีขอร้องให้กินข้าว เอาอาหารดีๆ ไปให้ แล้วก็บอกว่าวันอื่นมีถมไปที่เราจะรักษาความดี แต่ว่าชายคนนี้บอกว่า ความดีเพียงครึ่งวันข้าพเจ้ายังทำไม่ไหว จะยอมให้ศีลขาดทำไม่ได้เพราะความดีไม่เต็มวัน แต่ครึ่งวันแค่นี้ ถ้าปล่อยให้ศีลขาดก็จะเลวเกินไป เห็นอันว่าแกไม่ยอมกินข้าว ยอมอดข้าวตายดีว่ายอมศีลขาด พอตอนดึก ปรากฏว่าแกตาย เมื่อตายแล้ว ดวงจิตคือวิญญาณหรืออทิสมานกาย กายที่สิงอยู่ในกายเนื้อก็ล่องลอยไปเป็นเทวดา เป็นรุกขเทวดา


    ตัวอย่างมีเท่านี้ เป็นอันว่า ภุมเทวดาก็ดี รุกขเทวดาก็ดี เป็นประเภททำบุญไม่เต็มที่ ภุมเทวดาประเภททำบุญสักแต่ว่าทำ เช่นชาวบ้านเขาไปวัดก็ไป ใส่บาตรก็ใส่ไปรักษาศีลก็ไป แต่ไปตามประเพณีแบบปู่ย่าตายายทำมาก่อนๆ เป็นสำคัญ แต่ว่าบุญนั้นก็ยังช่วยให้เป็นเทวดา สำหรับรุกขเทวดานี้ ตั้งใจทำความดีจริง แต่ว่าทำไม่ครบไม่ถ้วน นี่ว่ากันเท่านี้นะ เพราะว่าจะต้องลัดกันแล้ว


    ต่อจากนี้ไปก็ขอชวนบรรดาท่านพุทธบริษัทและพระคุณเจ้าที่เคารพไปเที่ยวเมืองเทวดา ด้านอากาศเทวดากันดีกว่า ออกเดินตามอาตมามา เวลานี้เราอยู่แดนของมนุษย์หันหน้าไปทางด้านทิศตะวันออก เดินไปในสายที่เราไปเมืองนรก เดินตามมา นี่สมมติว่าตอนนี้มาถึงทางแยกแล้ว เห็นเทวดาอินไหม? ท่านเทวดาอินยืนยิ้มแย้มแจ่มใส หน้าเบิกบาน รูปร่างหน้าตาสวย ทรงเครื่องประดับเต็มที่ ยกมือขึ้นไหว้ถามว่า พระคุณเจ้าจะไปทางไหน ก็เลยบอกว่าวันนี้จะไปเที่ยวอากาศเทวดาเมืองสวรรค์ ท่านก็ชี้ บอกว่าถ้าจะไปเที่ยวเมืองสวรรค์ นี่เราหันหน้าไปทางทิศตะวันออกไปด้านซ้ายมือ ทางขึ้นเนินแต่ความจริงคนที่ได้มโนมยิทธิเขาไม่ต้องอาศัยเนินนี้ก็ได้ ไปทางลัดปั๊บเดียวก็ถึง แต่ว่าสายนี้เดินกันตามลำดับ ถ้าจะไปพรหมต้องเลี้ยวขวามือ ถ้าไปนรก ตรงไป เป็นอันว่าขอบใจท่านเทวดาอิน วันนี้ขอไปเที่ยวเมืองสวรรค์ ไม่ไปนรกแล้ว เพราะว่าเมื่อนรกไปเที่ยวกันมาแล้ว บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทกับพระคุณเจ้าที่เคารพ ตามกระผมมา เราเลี้ยวซ้ายขึ้นเนินทีละน้อย ทางขาวโพลนเป็นทางใหญ่ นี่เราเดินมาได้ประมาณสักครึ่งทาง สมมติกันนะ เที่ยวด้วยปากนี้มันไม่ยาก เที่ยวทางแบบนี้ ถามว่ามาจากไหน จะเอาใครเป็นพยาน ก็บอกเอาพระร่วงเป็นพยาน เพราะไตรภูมิพระร่วงความจริงท่านเขียนไว้ดี พระร่วงไม่ได้เขียน พระเขียนให้ แต่ว่าที่พูดนี่ ก็ไม่ได้อาศัยไตรภูมิพระร่วงจรกระทั่งเต็ม ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ใช้หลักวิชาต่างๆ ตามที่ค้นคว้าพบมาประกอบ


    เวลานี้เราขึ้นเนินมาถึงกึ่งทาง เนินที่ขึ้นมานี้ เราเรียกกันว่าภูเขาพระสุเมรุ ในระหว่างกึ่งทางนี้ เราจะมองไปดูรอบๆ มองไปทางด้านทิศตะวันออกเห็นวิมานแพรวพราวนับเป็นจำนวนแสน ดินแดนนี้เป็นดินแดนของเทวดามีนามว่า ท้าวธตรฐเป็นจอมเทวดาและมีอินทกะ คืออุปราชอยู่ ๑,๐๐๐ ท่าน และมีบริวารเป็นคนธรรพ์ คำว่าคนธรรพ์นี่เป็นชื่อของเทวดาเหล่าหนึ่ง เรียกว่าเป็นชื่อของทัพๆ หนึ่งอยู่หลายแสนท่านด้วยกันเรียกว่านับเป็นแสนๆ อาจจะเกิน ๑๐ แสนหรือ ๑๐๐ แสนก็ได้ มองไปทางด้านทิศใต้เป็นกลุ่มวิมานอีกกลุ่มหนึ่งนับจำนวนแสนๆ เหมือนกัน วิมานแถวนี้มีท่านเจ้าของหรือท่านผู้เป็นใหญ่มีนามว่าท่านวิรุฬหก และอินทกะคืออุปราช ๑,๐๐๐ ท่านเหมือนกัน มีกุมภัณฑ์เป็นบริวารมีจำนวนนับได้แสน ถ้าเรามองไปด้านทิศใต้จะมองเห็นวิมานเป็นจำนวนนับแสนเหมือนกัน ดินแดนแห่งนี้ท่านผู้เป็นใหญ่มีนามว่าท่านท้าววิรูปักษ์ มีอินทกะ คืออุปราชประมาณ ๑,๐๐๐ ท่านเหมือนกัน แล้วก็มีนาคเป็นบริวารนับจำนวนแสนๆ ทว่านาคในที่นี้ไม่ใช่นาคที่เลื้อยคลาน เป็นเทวดามีนามว่านาค เขาเรียกว่ากลุ่มนาค เป็นนามของกองทัพ ทีนี้เรามองไปทางด้านทิศเหนือ มีวิมานนับจำนวนแสนเหมือนกัน แถวนี้หรือในสถานที่นี้ท่านผู้เป็นผู้ใหญ่มีนามว่าท้าวเวสสุวัณณ์ มีอินทกะคือ อุปราช ๑,๐๐๐ ท่านเหมือนกัน แล้วก็มียักษ์เป็นบริวารนับเป็นจำนวนแสนๆ คำว่ายักษ์ในที่นี้แปลว่า ผู้อันบุคคลควรบูชาหรือแปลว่าเทวดา ไม่ใช่ยักยอกหรือว่ายักษ์ทศกัณฐ์ ยักษ์ประเภทนี้ไม่มีเขี้ยว มีรูปร่างหน้าตาสวยกว่าคนมาก เป็นเทวดาที่มีบุญญาธิการมาก รวมความว่าเทวดา ๔ เหล่าหรือ ๔ ด้าน เป็นกองทัพ ๔ กองทัพ ป้องกันเวชยันต์วิมานคือป้องกันชั้นดาวดึงส์ เพราะว่าเทวดากับพวกอสุรกายไม่ถูกกัน อสุรกายในสมัยก่อนอยู่ดาวดึงส์ แล้วก็ถูกพวกเทวดาขับไล่เพราะว่าอสุรกายเป็นอันธพาล ต้องมาอยู่ใต้เขาพระสุเมรุ ทีนี้บรรดากองทัพ ๔ เหล่านี้ก็มาอยู่ถึงกลางเขาพระสุเมรุ เพื่อเป็นการป้องกัน ถ้าอสุรขึ้นมาเมื่อไรก็รบกันเมื่อนั้น นี่เป็นเรื่องของเทวดาเขาจะรบกันจริงหรือไม่จริงก็ไปดูเรื่องเทวดาอสุรกายสงคราม หาที่ไหนไม่ได้ก็ไปดูในพระธรรมบทได้มีอยู่ เรื่องนี้ขอยกไปเป็นอันว่าเรามาพูดกันถึงเรื่องราวของเทวดา ๔ เหล่านี้ ความเป็นมาเป็นยังไง เทวดาทั้ง ๔ เหล่าหรือว่ากองทัพทั้ง ๔ กองทัพ มีท้าวธตรฐ ท้าววิรุฬหก ท้าววิรูปักษ์ ท้าวเวสสุวัณณ์ เป็นจอมทัพหรือแม่ทัพใหญ่อยู่ แต่ว่าเทวดาทั้งหมดปรากฏมาเกิดเป็นเทวดาชั้นนี้ได้ ท่านบอกว่านอกจากทาน ศีล ภาวนา แล้ว ต้องมีบทภาวนาได้ฌานทุกท่านจะเป็นฌานที่เท่าไรก็ตามแต่คงจะไม่ใช่ฌาน ๔ คงจะไม่ถึงฌาน ๔ นะ เรียกว่าท่านที่จะมาเกิดในชั้นนี้เป็นเทวดาทุกท่าน เป็นเทวดาอยู่มีฌานทุกท่าน แล้วก็เวลาตายไม่ได้เข้าฌานตาย จึงมาเป็นเทวดากองทัพของพระอินทร์ เรียกว่าเป็นเทวดาทหาร สำหรับเทวดาที่อยู่ชั้นจาตุมหาราชนี้ก็ดี ชั้นนี้เรียกว่าชั้นจาตุมหาราช คือ มีพระราชา ๔ องค์แล้วก็เทวดาเป็นรุกขเทวดาหรือภุมเทวดาก็ดี ท่านพุทธบริษัท อย่าไปเหยียดหยามท่านนะทุกท่าน และมีจำนวนมากที่เป็นพระอริยเจ้า มีพระโสดา สกิทาคา อนาคา ก็มี นี่บรรดามนุษย์ทั้งหลายอย่าเบ่ง อย่าอวดตัวว่าดีกว่าเทวดา ว่าเทวดาไหว้ไม่ได้ เคารพไม่ได้ บูชาเทวดาไม่ได้ เราถึงพระพุทธเจ้าแล้ว แต่รู้หรือเปล่าว่าเทวดา แม้แต่ภุมเทวดา ที่เป็นพระอริยเจ้าก็เยอะ ถึงแม้ว่าท่านจะไม่เป็นพระอริยเจ้า ท่านก็มีความดี รับผลของความสุขคือมีรับผลของหิริและโอตตัปปะ พระหลายท่านหรือว่าส่วนมากเคยพูดว่าเวลาเราบวชพระนี่ดีเทวดาไหว้เรา พระประเภทนี้เข้าใจผิด ลูกศิษย์อาตมาเองเคยโดนมา คุยแล้วแบบนี้ แต่พอเจริญพระกรรมฐานจิตเข้าสู่อุปจารสมาธิ ก็โดนเทวดายกบาทาให้ บอกว่าส้นตีนนี่แน่ะ เทวดาไหว้ แล้วพอตอนเช้าเขาเข้ามาหาขอกว่าเทวดาไม่มีมรรยาท ถามว่าทำไม บอกว่าเวลานั่งพระกรรมฐานยกบาทาให้ได้ แล้วบาทาก็โตกว่าตัวตั้งเยอะ ก็เลยบอกกับเธอเข้าใจผิด คนที่เขาจะไหว้นั่นน่ะ คนที่เทวดาเขาจะไหว้จะต้องมีความดีเสมอเขาหรือว่ามีความดีเกินกว่าเขา พวกเราบวชเข้ามาเป็นพระไม่ใช่ว่าจะมีความดี เอาหัวก็ตาม โกนหัวอย่างพระห่มผ้าเหลืองอย่างพระ แต่ว่าจิตใจเป็นสัตว์ดิรัจฉานหรือว่าสัตว์นรกก็ถมไป เพราะไม่ตั้งอยู่ในธรรมวินัย ไม่ประพฤติปฏิบัติ มีความดีพอสมควรอย่างเทวดา พระที่ไม่มีหิริและโอตตัปปะ คือไม่มีความอายต่อบาป ไม่มีความเกรงกลัวต่อบาป พระบวชเข้ามาในพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าสอนให้ละ แต่กลับมาสะสมทรัพย์สมบัติ อยากได้ลาภ อยากได้ยศ อยากได้สรรเสริญ อยากได้สุขอย่างฆราวาส บางท่านก็ทำตัวเลวกว่าฆราวาส อย่างนี้เทวดาเขาไม่ไหว้ เอาละบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย เรื่องบุญที่ทำให้เกิดมาเป็นเทวดาชั้นนี้ รู้กันเพียงย่อๆ ว่านอกจากทานศีล ต้องมีภาวนาฌานและเวลาตายๆ นอกฌาน คือไม่ได้เข้าฌานตาย มาเกิดเป็นเทวดาชั้นนี้ เมื่อเกิดเป็นเทวดาชั้นนี้แล้วก็บำเพ็ญฌานบารมีต่อไป ฌานเข้าเต็มที่ รอเวลา ๕๐๐ ปีทิพย์ คือเทวดานั้นมีอายุ ๕๐ ปี คือ ขอโทษ ๕๐ ปีของเราเป็นวันหนึ่งกับคืนหนึ่งของเขา เดือนหนึ่งมี ๓๐ วัน ปีหนึ่งมี ๑๒ เดือน และอายุของเขาจริงๆ ๕๐๐ ปีทิพย์ เมื่อครบ ๕๐๐ ปีทิพย์แล้วเทวดาชั้นนี้ทั้งหมด ถ้าไม่ต้องการไปเกิดเป็นคนก็ไปเกิดเป็นพรหมด้วยอำนาจของฌานที่บำเพ็ญจนครบถ้วนบริบูรณ์


    สำหรับหน้าที่ของเทวดาชั้นนี้คือควบคุมความประพฤติของมนุษย์ มีภุมเทวดาเป็นเจ้าหน้าที่คอยจดความดีความชั่วของตน ใครไปทำความดีความชั่วที่ไหนก็ตามพระภูมิจด เคยพบในสมัยที่ป่วยอยู่กรมแพทย์ทหารเรือ วันนั้นตี ๒ ปรากฏว่าเห็นคนเดินมาคนหนึ่ง ถามว่าใคร บอกว่าเป็นภุมเทวดา ถามว่ามาทำไม บอกว่ามาดูความดีและความชั่วของคน ว่าใครจะเป็นยังไงบ้าง ถามแกเข้าแกบอกว่า มันเป็นหน้าที่จะต้องมาจด จดความดีและความชั่ว อันนี้ตามบาลีก็มี ท่านบอกว่าภุมเทวดาเป็นคนจดตามเขตที่ตนอารักขามีหน้าที่แล้วก็ไปส่งให้อากาศเทวดา คืออากาศเทวดาของจาตุมหาราชชั้นพลทหารต่อไปเทวดาชั้นพลก็ไปส่งให้นายหมวดนายหมู่ แล้วก็มอบให้กับท่านท้าวมหาราช ท่านท้าวมหาราชก็คัดบัญชี ใครทำบาปกันไว้ประเภทของบาป ใครทำบุญกันไว้ประเภทของบุญประเภทของบาปก็ให้เทวดา ๔ องค์ที่เรียกว่าเทวทูตนำไปส่งสำนักของพระยายม ตัวท่านท้าวมหาราชเองพอเวลาวันพระก็นำไปสู่ที่ประชุมของเทวดาบนสวรรค์ดาวดึงส์ เมื่อเทวดามาประชุมกันที่เทวสถานหรือศาลาสุธรรมา ซึ่งบรรดาท่านพุทธบริษัทจะทราบเรื่องราวนี้ในวันพุธหน้า บรรดาเทวดาทั้งหลายเหล่านั้นเมื่อทราบว่าคนทำบุญมากก็ดีใจ แต่หน้าที่ที่ท่านเทวดาไปส่งคืนจาตุมหาราช ท่านนำเรื่องราวความเป็นมาของมนุษย์หรือความประพฤติของมนุษย์ที่ทำบุญไปส่งยั้นไปส่งกับปัญจสิกขเทพบุตร สำหรับปัญจสิขเทพบุตรนี้เป็นชื่อโดยตำแหน่ง คือเดิมทีเดียวท่านเทวดาองค์หนึ่งในสมัยที่เป็นมนุษย์มีแกละอยู่ ๕ แกละ มีจุกบนหัวน่ะ ๕ จุก ทีนี้ทำความดีตายไปแล้วไปเกิดเป็นเทวดา เขาให้นามว่าปัญจสิกขเทพบุตร มีหน้าที่เป็นเลขาของพระอินทร์ ต่อมาท่านองค์นั้นตายไปแล้ว เวลานี้ไปนิพพานแล้ว คนอื่นมารับหน้าที่นั้นก็เลยให้นามว่าปัญจสิกขเทพบุตรเหมือนกัน ท่านปัญจสิกขเทพบุตรก็นำเอาบัญชีนั้นไปกราบทูลให้พระอินทร์ทรงทราบ เมื่อพระอินทร์ทรงทราบแล้วก็ประกาศนามคนที่ทำบุญเหล่านั้นให้มวลหมู่เทวดาที่มาประชุมกันทราบ ถ้าระหว่างวันพระไหนมีคนทำบุญมากบัญชีบุญบัญชีกุศลมากบรรดาเทวดาทั้งหลายก็ดีใจ กล่าวกันว่าต่อแต่นี้ไปพวกบรรดาเทพนิกายมากแล้ว เพราะอาศัยความดีใจปลื้มใจทีมีพวกมาก ท่านก็พากันฟ้อนรำทั้งเทวดาและนางฟ้า ความจริงสวยจริงๆ นะ น่าดู น่าอยู่ น่าเป็นเทวดา แต่วันพระไหนถ้าบังเอิญ เป็นการบังเอิญนะ คนทำบุญน้อย บรรดาเทวดาทั้งหลายได้ทราบจากบัญชีของท้าวมหาราชก็สลดใจ วันนั้นไม่มีการฟ้อนรำ นั่งสลดใจเศร้าสร้อยไปตามๆ กัน นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท หน้าที่ของบรรดาท่านท้าวมหาราชทั้ง ๔ ที่มีหน้าที่จะต้องทำอย่างนี้ นี่เราว่ากันอย่างลัดๆ นะ เรียกว่าคุยกันนานไม่ได้ อย่าดูกันนานเลย เพราะเวลามันกระชั้นเหลือเกิน เหลืออีก ๒-๓ ตอนจะหมดกำหนดที่พูดไว้ว่าจะทำเป็นเพียง ๒๔ ตอน ถ้าขืนพูดละเอียดละก็ ๑๐๐ ตอนมันก็ไม่จบ เพราะว่าเรื่องราวของไตรภูมินี้จะเป็นหนังสือ เวลานี้ ท่าน พล อ.ต. ม.ร.ว. เสริม สุขสวัสดิ์ เจ้ากรมสื่อสารทหารอากาศ กำลังลอกเป็นตัวหนังสือเป็นตอนๆ ท่านเจ้ากรมคนนี้เก่งจริงๆ เก่งมาก หนังสือที่ออกไปแล้วทุกฉบับท่านลอกจากเทปบันทึกเสียงลงเป็นตัวหนังสือ ทำงานได้เร็วมาก เขียนหนังสือก็สวย คนประเภทนี้ได้กำไร เพราะจัดว่าเป็นเหตุของธรรมทานอย่างยิ่ง พระพุทธเจ้า ท่านกล่าวว่า สัพพทานัง ธรรมทานังชินาติ การให้ธรรมเป็นทาน ย่อมชนะการให้ทั้งปวง ก็แลท่านเจ้ากรมนี่เป็นผู้ประกอบด้วยวิริยะและอุตสาหะ และทำงานได้รวดเร็วมาก หายากที่จะทำได้แบบนี้ คนประเภทนี้ถ้าตายลงนรกก็ซวยเต็มที และก็เป็นเรื่องราวต่อไป ข้างหน้ามันมีอยู่ว่านักเจริญพระกรรมฐานทั้งหลายส่งจดหมายกันมาไม่รู้ว่ากี่ฉบับ เวลานี้ก็คั่งเต็มที่ไม่ได้ตอบให้ใครทราบต่างคนต่างก็ถามว่าการปฏิบัติพระกรรมฐานตามแนวที่พระพุทธเจ้าทรงยืนยัน จะเอาแนวจริงๆ กันมีเป็นประการใดบ้าง ถ้าจะตอบก็ตอบไม่ไหว เวลาไม่มี และอีกประการหนึ่งมีหลายท่านด้วยกันส่งเทปมา บอกขอให้ช่วยบันทึกด้วยเถอะ จะเอาไปให้คนฟังกันในสำนักงานของตน นี่ก็เหมือนกัน งานการก็มีทุกอย่าง วัดวาอารามก็สร้างไม่เสร็จ ที่สร้างมาแล้วคิดว่ามันจะพอ เวลานี้พอไม่ได้เสียแล้ว คนมามากเต็มไม่มีที่พักอาศัย ในที่สุดเป็นยังไงก็ต้องสร้างใหม่ เริ่มเหนื่อยใหม่ต่อไปใหม่ เป็นอันว่าเอาอย่างนี้ก็แล้วกันนะ ท่านทั้งหลายที่ถามถึงเรื่องราวเกี่ยวกับพระกรรมฐาน ว่าทำยังไงจึงจะถูกต้องตามพระพุทธพจน์ อันนี้อาตมาจะนำเรื่องราวของอุทุพลิกาสูตรมาบันทึกให้บรรดาท่านพุทธบริษัทฟังและก็เพื่อไม่ให้เสียเวลาสำหรับท่านทั้งหลายที่ไม่ได้ส่งเครื่องบันทึกเข้าไว้ หลังจากเรื่องราวของไตรภูมิจบก็จะออกอุทุมพลิกาสูตรเป็นแนวทางแห่งการปฏิบัติพระกรรมฐาน ที่พระพุทธเจ้าทรงยืนยันกับนิโครธปริพาชก จะพูดให้ฟังเต็มเรื่องโดยละเอียดเวลานี้ คุณหมดประจวบกับคุณยุพยงแห่งร้านวรรณเวช อำเภอสรรค์บุรี ส่งเทปมาตั้งปึกเบ้อเร่อก็ยังไม่มีโอกาสจะทำให้ ก็จะทำพร้อมๆ กันไป คือ บันทึกให้ท่านแล้วก็บันทึกออกสถานีด้วย มิฉะนั้นเวลามันไม่มี


    เอาละบรรดาท่านพุทธบริษัทเวลาเหลืออีกนิดหนึ่ง นี่เรามาชมเรื่องจาตุมหาราชกันพอสมควรแล้ว เดินให้มันลัดให้มันเร็วเข้า วันนี้อย่าย่องเลยวิ่งดีกว่า แต่อย่าวิ่งให้เร็วนักนะ คนที่เดินมาด้วยกันน่ะคนแก่มีเยอะ เดี๋ยวจะหกล้มจมคว่ำ จะล้มไปปากคอจะแตก เดินต่อขึ้นไปอีกครึ่งทางจะถึงจุฬามณีเจดีย์สถาน อันเป็นที่ถวายนมัสการของบรรดาเทวดาและพรหมหรือว่าท่านที่ได้ฌาน หรือว่าพระทั้งหลายที่ตายแล้วไปเกิดในที่ไม่ตายอีก นั่นก็ต่างพากันมาไหว้ ในระหว่างกึ่งกลางนี่ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายทางซ้ายมือจะเห็นต้นไม้ต้นหนึ่งแลดูเป็นแก้วแพรวพราวไปทั้งต้น มีสาขาใหญ่ มีแท่นน้อยๆ วางอยู่โคนต้นไม้ แท่นนี้มองดูแล้วไม่ใหญ่ แต่ความจริงแล้วนั่งกี่คนก็ไม่เต็ม เมืองเทวดานี่มีแปลกอยู่อย่างหาอะไรพอเหมาะพอดีไม่ได้ หมายความว่าหาอะไรเล็กไม่ได้ของไม่โตแต่คนไปมากนั่งไม่เต็ม อันนี้เป็นของแปลก ต้นไม้ต้นนี้กล่าวกันว่าเกิดขึ้นมาได้ด้วยอำนาจของท่านมาลาพาลีเทพบุตร ในสมัยที่ท่านเป็นมนุษย์ ท่านชอบปลูกต้นไม้เป็นสาธารณประโยชน์ เมื่อปลูกต้นไม้แล้วก็ทำเก้าอี้บ้าง ทำเตียงบ้าง ทำแท่นบ้าง เอาหินมาว่าเป็นที่นั่งสำหรับคนจะได้นั่งพัก ท่านทำแล้วท่านไม่ประสงค์ค่าจ้างรางวัล เรื่องการตอบแทนใดๆ หวังให้คนเดินทางมาจากที่ไกลได้อาศัยนั่งร่มให้สบายมีความร่มรื่นจะได้พักอาศัย เอาละบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายถ้าดูเวลาแล้วมันก็เหลืออยู่อีกนิดเดียว ถ้าเราจะเดินทางกันต่อไปก็คงจะไม่ไกลนัก ไหนๆ ก่อนจะหยุดก็ขยับเดินทางไปอีกนิด เดินไปอีกครึ่งทางก็ขึ้นไปถึงบันใดที่จะขึ้นจุฬามณีเจดีย์สถาน อันเป็นสถานที่นมัสการของบรรดาเทวดาและมนุษย์ที่ได้ฌาน ขึ้นหรือไม่ขึ้น ลองขึ้นสักนิดไหม ดูบันไดซิท่านพุทธบริษัท จะเห็นบันใดทองแล้วประดับประดาไปด้วยแก้วพราวพราย แหงนขึ้นไปข้างหน้าไปดูนั่นซิ รอบๆ ทาง รอบๆ ของจุฬามณีเป็นกำแพงทองคำ และก็แพรวพราวไปด้วยแก้ว พระจุฬามณีเจดีย์สถาน เป็นเจดีย์มีสัณฐานกลมสูงตระการตา มีธงหลากสีหลายประการ มีธงมากมายหลายประเภทขึ้นอยู่ แล้วพระจุฬามณีเจดีย์สถานก็มีแก้ว ๗ ประการประดับทั้งองค์ คือเป็นแก้ว ๗ ประการทั้งหมด เอาละบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย เวลานี้หมดเวลาแล้ว พักกันตามบันใดพระจุฬามณีเจดีย์สถานกันก่อน อีก ๗ วัน คือวันพุธหน้าค่อยเดินทางต่อไป


    สำหรับวันนี้หมดเวลาอาตมาก็ขอกลับวัดสักนิดหนึ่งก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผลจงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้รับฟังทุกท่าน สวัสดี. .




    <!-- / message --><!-- sig -->__________________
    เทียนติดไฟเล่มเดียวสามารถช่วยให้เทียนอีกหลายพันเล่มพบความสว่างได้...โดยที่ไม่ทำให้เทียนเล่มนั้นมีอายุการใช้งานน้อยลงเลย
    <!-- / sig -->

    <TABLE class=tborder id=post5381 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD class=alt1 id=td_post_5381>พระจุฬามณีเจดีย์สถาน


    ท่านสาธุชนทั้งหลาย เมื่อวันพุธก่อนได้นำท่านพุทธบริษัทมาปล่อยไว้ที่จุฬามณีเจดีย์สถาน หวังว่าพุทธบริษัททั้งหลายคงจะนั่งคอยอาตมาจนครบ ๗ วัน ถ้าวันนี้มีเสียกรอกๆ แทรกละก็ขออภัยด้วย เมื่อวันก่อนนี้เสียงขาดไปนิดหนึ่งกำลังนั่งบันทึกเสียง เกิดมีคนเขามารายงานเข้ามาในระหว่าง ความจริงมันผิดระเบียบไม่รู้ว่าเขาทำยังไงของเขาก็เลยต้องหยุดไปนิดหนึ่ง


    สำหรับวันนี้มาว่ากันใหม่ นี่บรรดาท่านพุทธบริษัทนั่งอยู่ที่เชิงบันไดพระจุฬามณีเจดีย์สถาน คงจะได้เห็นบรรดา?และพระเจ้าทั้งหลายพากันมานมัสการพระจุฬามณีกันแล้วกระมัง เพราะมันผ่านวันพระมาแล้ว จะได้ดูหรือไม่ได้ดูก็ช่าง วันนี้ เราขึ้นกันไปบนพระจุฬามณี ขึ้นไปบนเชิงพระจุฬามณีรองๆ บริเวณ ข้างล่างจะประดับประดาไปด้วยมณี ๗ ประการพื้นที่เหยียบอยู่ กำแพงทุกด้านของพระจุฬามณีเป็นทองคำ องค์พระจุฬามณีเป็นแก้ว ๗ ประการ ตามตำนานท่านกล่าวว่าพระจุฬามณีมีประตูสำหรับเข้าถึง ๑,๐๐๐ ประตู ความจริงจะมีเพียงใดไม่ต้องสนใจ จะสนใจไปทำไม ทีนี้ก่อนที่จะพูดถึงเรื่องราวต่างๆ จะอธิบายอะไรก็ตามควรที่พุทธบริษัทจะเดินชมเสียก่อน ที่พระจุฬามณีนี่ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของเวชยันต์วิมาน หรือว่าเป็นวิมานของพระอินทร์ ทีนี้เราเดินเข้าไปอีกหน่อย ขอโทษไม่ใช่ทิศเหนือ เป็นทิศตะวันออกของเวชยันต์วิมาน เดินเข้าไปทางด้านทิศตะวันตก ใต้ลงไปนิด เราจะเห็นสวนสำคัญเป็นที่รื่นรมย์ ที่เที่ยวของเทวดา มีความสุขมาก คล้ายๆ กับสวนสามพราน แต่ความจริงที่นั่นมีต้นไม้เต็มไปด้วยแก้วระยิบระยับเต็มไปหมด มีทั้งไม่ดอกไม้ผลไม้ใบอย่างดี สวนนี้มีนามว่านันทวันและก็ทางด้านทิศตะวันตกของเวชยันต์วิมานอันนี้มีสวนดอกไม้โดยเฉพาะเรียงรายระยิบระยับเป็นแก้วแพรวพราย เรียกว่าสวนจิตรลดาวัน ที่นี้ออกไปทางด้านเหนือของเวชยันต์วิมาน มีสวนอีกสวนหนึ่งเรียกว่าสวนมิสกวัน นี่มีต้นไม้สวยเหมือนกัน แล้วก็ทางด้านทิศใต้มีสวนอีกสวนหนึ่งเรียกว่าสวนปารุสกวัน ที่รัฐบาลให้นามวังหนึ่งว่าวังปารุสก็เห็นจะเอานามชื่อนี้มาใช้ แล้วอีกจุดหนึ่งที่สำคับ ก็คือพระจุฬามณีเจดีย์สถานที่เรายืนอยู่ที่นี่ และจากพระจุฬามณีเจดีย์สถานไปทางทิศตะวันตก อันนั้นเหนือสวนนันทวันนิดหน่อยเขตติดๆ กันกับพระจุฬามณีเจดีย์สถาน นั่นคือเป็นบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ มีเป็นสวนใหญ่มีกำแพงล้อมรอบ ๔ ด้าน อยู่ทางด้านตะวันออกของเวชยันต์วิมาน แล้วตรงกลางมีแท่นแก้ว ที่เรียกว่าแท่นแก้วมณีคือแก้วอะไร บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ หมายความว่าเป็นแก้วกัมพลมีสีแดง เป็นที่ประทับของพระอินทร์มีบริเวณกว้างมาก แก้วนี้มีสภาพคล้ายๆ กับเก้าอี้สปริง แท่นแก้วนะ มีสภาพคล้ายๆ เก้าอี้ของพระอินทร์แล้วก็ต่อแต่นั้นไปทางด้านทิศใต้ มีศาลาอยู่หลังหนึ่งเป็นที่ประชุมของเทวดา เป็นศาลาที่ประดับประดาไปด้วยแก้ว ๗ ประการ มีกำแพงล้อมรอบมีที่ระรื่นมีที่สำหรับพระอินทร์ประทับ อันนี้มีนามวาศาลาสุธรรมา เป็นที่ประชุมของเทวดา แล้วมาทางด้านทิศใต้ข้างหน้าของเวชยันต์วิมาน คือว่าใกล้ๆ กับจิตรลดาวัน-สวนลดาวันน่ะนะ มีสระอันหนึ่งเขาเรียกกันว่าสระโบกขรณี นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เวชยันต์วิมานเป็นวิมาน ๙ ยอด มีแก้ว ๗ ประการเป็นวัตถุสำหรับทำวิมาน แล้วก็เป็นวิมานที่สูงใหญ่มาก ท่านบอกว่ามีถึง ๑,๐๐๐ ชั้น มีนางฟ้าเป็นบริวารของพระอินทร์อยู่ในวิมานนั้นถึงแสนคน แหมมากเหลือเกิน แล้วก็รอบๆ เวชยันต์วิมาน มีวิมานสวยๆ ล้อมรอบอยู่ถึง ๓๒ วิมาน แล้ววิมานทั้งหลายเหล่านี้ อะไรเป็นอานิสงส์ให้ได้วิมานทั้งหลายที่กล่าวมา อันนี้ ก็จะขอยับยั้งไว้ก่อน นี่บอกให้ฟังว่ามีอะไรกันบ้าง คือจากพระจุฬามณีมาไล่กันง่ายๆ มีสวนนันทวันอยู่ทางทิศตะวันออกของเวชยันต์วิมาน สวนจิตรลดาวันอยู่ทางตะวันตกของเวชยันต์วิมาน แล้วก็มีบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์เป็นพระแท่นแก้วสำคัญ เป็นสวนเหมือนกัน อยู่ทางด้านทิศตะวันออกแต่ว่าติดกับพระจุฬามณีมาก ตะวันออกของเวชยันต์วิมานนะ แล้วก็มีธรรมเทวสภาเรียกว่า เทวสภา กับศาลาสุธรรมาประดับประดา คือทำด้วยแก้ว ๗ ประการมีพระแท่นแก้ว ๗ ประการ สำหรับพระอินทร์ประทับแสดงธรรม แล้วก็มีสระโบกขรณีอยู่ทางด้านทิศใต้ของเวชยันต์วิมาน ติดกันกับสวนจิตรลดาวัน นี่ ของที่น่าเที่ยวนี่ชมมีอย่างนี้นะ พูดมาแล้วแค่นี้ขอถอยหลังกลับไปถอยหลังกลับไปอีกนิด ไปหาพระจุฬามณี ตามที่กล่าวมาแล้วว่าพระจุฬามณีทำด้วยแก้ว ๗ ประการ อันนี้เป็นที่บรรจุพระจุฬามณี คือผมของพระพุทธเจ้าแต่ละองค์ เวลาที่ออกบวช ตัดผมเมื่อไหร่ พระอินทร์เอาผอบทองไปรับมาเมื่อนั้น แล้วก็เป็นที่บรรจุของพระเขี้ยวแก้ว ถึงเวลาวันพระ บรรดาเทวดาและพรหมทั้งหลายพากันเข้ามานมัสการอย่างคับคั่ง ท่านที่ได้อภิญญาหรือมโนมยิทธิ สำหรับมนุษย์ที่ได้ฌานก็พากันมาถวายนมัสการพระจุฬามณีเจดีย์สถาน เมื่อเข้าไปที่นั่นแล้ว ถ้าตาดีนะ ถ้ามีญาณพิเศษดีจะเห็นว่ามีพระอยู่องค์หนึ่ง สวยสดงดงามมาก มีรัศมีพวยพุ่งออกจากพระวรกายแสดงธรรมเป็นประจำ แต่ทว่า ถ้าคนตาไม่ดี สมาธิไม่ดีก็เห็นเป็นพระพุทธรูปไป บางคนไม่เห็นพระทอง แต่ปาไปเห็นเป็นพระพุทธรูปขนาดไหนล่ะ ขนาดทำด้วยอิฐทางสีขาว นี่เป็นเรื่องราวของที่นี่ แล้วก็พระจุฬามณีก็เหมือนกัน บางคนก็เห็นเป็นปูนบ้าง บางคนก็เห็นเป็นสีทองบ้าน อันนี้เรียกว่าสมาธิดีไม่พอ ถ้าสมาธิดี จิตสะอาดดีจะเห็นเป็นแก้ว ๗ ประการทั้งองค์ อันนี้ขอเลยไป


    ตานี้ เรามาว่าถึงเรื่องอะไร อ๋อ จะเลยไปเสียก็ไม่ได้ ประเดี๋ยวจะมีคนถามว่าพระจุฬามณีเจดีย์สถานนี่น่ะ บรรจุพระเขี้ยวแก้วกับพระเมาลี คือผมของพระพุทธเจ้ากี่พระองค์ ก็ขอตอบว่าบรรจุทุกพระองค์ ถ้าถามว่าสร้างขึ้นมาเมื่อไร ใครเป็นคนสร้างอีตรงนี้ไม่ต้องตอบ ทำไมจึงไม่ต้องตอบ? ก็เพราะว่าตอบไม่ได้ ไม่รู้ว่าสร้างเมื่อไหร่ใครเป็นคนสร้าง บนสวรรค์นี้ไม่มีนายช่างสร้างของในเมืองมนุษย์เป็นตึกเป็นรามก็ตาม บนเทวดานี่เขาไม่สร้างกัน เกิดขึ้นจากอำนาจบุญ เป็นบุญของใคร? เป็นบุญของพระพุทธเจ้าองค์แรก แล้วพระพุทธเจ้าองค์แรกมีพระนามว่ายังไง? ไม่ตอบ ทำไมจึงไม่ตอบก็ของบอกว่าเกิดไม่ทัน ถ้าจะถามว่าตำรับตำราไม่มีรึ ก็ตอบว่าตำรานี่ซีทำยุ่ง เพราะเรียงชื่อพระพุทธเจ้าไม่เป็นไปตามลำดับ ในที่แห่งนี้เรียงแบบนี้ ที่แห่งโน้นเรียงแบบโน้น เป็นอันว่าเอาแน่นอนไม่ได้ว่าพระพุทธเจ้าองค์แรกคือใคร พูดไปก็เป็นเรื่องเถียงกัน ไม่ม่ประโยชน์ เอาละ เที่ยวกันลัดๆ ออกจากพระจุฬามณีเจดีย์สถานเรามาแวะบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์กันก่อน


    ที่บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์นี้ มีบริเวณล้อมรอบไปด้วยกำแพงแก้ว ๗ ประการ พื้นก็เป็นแก้ว ๗ ประการ มีพระแท่นแก้ว เป็นศิลานะ ศิลาอาสน์ อาสนะทำด้วยศิลา ใหญ่มาก แล้วก็รอบๆ นั้น ทางด้านทิศใต้และทิศเหนือก็มีสวนสวย บริเวณกว้าง อันนี้เกิดด้วยอำนาจบุญบารมีของพระอินทร์กับเพื่อนที่พากันปลูกต้นทองหลางเข้าไว้ แล้วก็เอาหินมาวางเป็นแท่นไว้ในสมัยเป็นมนุษย์ พระอินทร์องค์นี้ก็คือมาฆะมานพในสมัยนั้นปลูกเข้าไว้เพื่อตั้งใจว่าคนทั้งหลายที่เดินไปเดินมาระหว่างทางเป็นระยะทางไกล มีความร้อนจะได้นั่งพักให้สบาย ต้นทองหลางบันดาลให้เกิดความเย็น แล้วก็แท่นที่วางไว้เป็นแท่นหินจะได้นั่งพักให้สบาย หายเมื่อยหายขบแล้วก็เดินต่อไป เวลาที่ท่านตายจากมนุษย์ อานิสงส์ที่ท่านปลูกต้นทองหลาง กลายมาเป็นต้นปาริชาต มีกลิ่นหอมมากเวลาที่มีดอกผุดขึ้นมาพื้นที่วางเรียงรายอยู่รอบต้นทองหลาง กลายมาเป็นบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ นี่พูดถึงอานิสงส์ให้ฟัง ว่าการทำบุญน่ะไม่เสียเปล่า เวลาตายแล้วจะได้รู้ ว่าอะไรมันดีไม่ดี แล้วมาอีกที่หนึ่งมาเวชยันต์วิมาน เวชยันต์วิมานนี่เป็นวิมานใหญ่มาก เป็นที่ประทับของพระอินทร์แล้วก็มีวิมานรอบๆ เวชยันต์วิมานอีก ๓๒ หลัง รวมทั้งเวชยันต์วิมานเป็น ๓๓ หลังด้วยกัน วิมาน ๓๓ หลังนี้เกิดด้วยอำนาจอะไร? ก็เพราะว่าในสมัยนั้น ท่านมาฆะมานพกับพวกอีก ๓๒ คนรวมเป็น ๓๓ คนด้วยกัน เห็นว่าการสร้างต้นไม้ไห้เป็นที่พักมีความสบายจริงแล แต่ทว่าสบายไม่พอ สร้างศาลา คนเดินไปเดินมานี่ เขาจะได้พัก เขาจะได้นอนสบาย ก็เลยร่วมมือร่วมใจกันสร้างศาลาขึ้นเต็มหลัง เวลานั้น ก็มีนายช่างอีกคนหนึ่ง มีช้างตัวหนึ่งที่พระราชาให้เป็นพาหนะ เมื่อสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ให้เป็นที่พักของคนเพื่อเป็นสาธารณประโยชน์ คนก็ได้พักพาอาศัย เพราะอานิสงส์แห่งการสร้างศาลาเป็นสาธารณประโยชน์ คณะของท่านพากันตายหมด (คงไม่ใช่ตายพร้อมกัน) ท่านมาฆะมานพตายขึ้นมาเป็นพระอินทร์ มีเวชยันต์วิมานตั้งอยู่กลางเพื่อน เพื่อนอีก ๓๒ คนขึ้นมาเป็นเทวดา มีวิมานล้อมรอบเวชยันต์วิมานคนละหลังๆ แทนที่จะเข้าไปอยู่ยัดเยียดกันหลังเดียว ๓๓ คน เปล่า เมืองเทวดานี่ให้กำไรมาก สร้าง ๑ หลัง ๓๓ คน เมื่อตายไปเป็นเทวดาแล้วก็ได้ ๓๓ หลัง แล้วสำหรับนายช่าง วัฒกีคือนายช่าง ก็มาเกิดเป็นวิษณุกรรมเทพบุตร มีวิมานอีกหลังหนึ่ง สำหรับช้างที่ช่วยเป็นพาหนะบรรทุกไม้ ลากไม้ เป็นเครื่องทุนแรง ก็มาเกิดเป็นเทวดามีนามว่าเอราวัณเทพบุตร นี่บรรดาท่านพุทธบริษัทฟังแล้วก็จำอานิสงส์ไว้ จะได้เป็นประโยชน์ว่าการทำความดีน่ะไม่เสียผล ไม่ใช่ทำบุญสูญเปล่า ไหว้เจ้าดีกว่า กลับมาได้กิน


    ตานี้นอกจากเวชยันต์วิมานแล้ว เหลียวไปดูอะไรข้างหน้า ทางด้านทิศใต้ ข้างหน้านั้น เราจะพบสระโบกขรณี นี่เรามองข้างสวนจิตรลดาวันไปเสียหน่อยหนึ่งก่อน ข้ามไปตั้งใจข้ามนะ ไม่ใช่ลืม มองข้ามสวนจิตรลดาวันไปเห็นสระโบกขรณี เป็นสระใหญ่มาก มีท่าเป็นที่ลงมากมาย น้ำในสระก็แพรวพราวใสสะอาด มองแล้วคล้ายๆ กับแก้วต้องแสงอาทิตย์แลดูระยิบระยับ สระนี้เกิดขึ้นได้จากผลอะไร จะขอพูดให้ฟังอย่างย่อๆ คือเกิดขึ้นจากอำนาจของท่าน ๓๓ คนนั่นแหละ มีมาฆะมานพเป็นประธาน พากันสร้างศาลาแล้วมาคิดว่า คนเรามานั่งที่ศาลา เดินมาร้อน ต้องการน้ำ ปลูกต้นไม้ยังไม่พอ ทำแท่นนั่งสบายไม่พอ ทำศาลา ทำศาลาแล้วก็มาคิดต่อไปว่าคนที่มาพักศาลานี่เขาเดินร้อน เขาก็ต้องการน้ำ จะอาบน้ำอาบท่า จะกินน้ำก็ตามใจ จะได้เกิดความสบายให้มากขึ้น ท่านก็พากันปลูกสระ ขุดสระ พูดผิดไป สระนี่มันปลูกไม่ได้ หลวงตาแก่นี่อดเพ้อไม่ได้ พากันขดสระขึ้นให้เป็นที่อาศัยของบรรดาประชาชน ขุดแล้วมีตาน้ำ น้ำใสขึ้นมา คนที่มาพักที่ศาลาก็ได้อาบได้กินมีความสุข ฉะนั้น เมื่อเวลาที่ท่านทั้งหลายเหล่านั้นตายขึ้นมาเป็นเทวดา สระในเมืองมนุษย์ก็ตามมา แต่เป็นสระที่ใหญ่กว่า มีน้ำใสสะอาดกว่ามีความสุขสวยสดงดงามกว่า เป็นที่สบายของบรรดาเทวดาและนางฟ้าทั้งหลายชอบเล่นน้ำในสระนี้ นี่ว่ากันถึงเรื่องราวของผู้ชาย ทีนี้ ว่ากันถึงเรื่องราวของผู้หญิงบ้าง ท่านมาฆะมานพในสมัยที่เป็นมนุษย์มีเมีย ๔ คน ความจริงท่านก็ทำถูกแล้วนี่นา ๔ ทิศ หรือว่าธาตุ ๔ มีเมียอยู่ ๔ คน คนต้นชื่อว่านางสุธรรมา คนรองชื่อว่าสุจิตรา คนรองมาอีกคนชื่อสุนันทา และคนสุดท้ายชื่อว่าสุชาดา เวลาที่ท่านทำบุญ อาศัยที่ท่านมีเมียมาก เมียคงจะทะเลาะกันมาก น่ากลัวนะ อดไม่ได้ ท่านคงจะรำคาญผู้หญิง เบื่อผู้หญิง คิดว่าต่อแต่นี้ไปเราทำบุญอะไรก็ตาม ไม่ให้ผู้หญิงร่วม เราจะไม่ขอร่วมกับผู้หญิงต่อไปเพราะสร้างความรำคาญไม่หยุดหย่อน ก็ปาไปมีเมียตั้ง ๔ คน แต่เพียงคนเดียวก็รำคาญหูทนไม่ค่อยจะไหวอยู่แล้ว นี่ล่อเข้าตั้ง ๔ คนมันก็ยุ่งน่ะซี ในเมื่อท่านไม่ให้ทำ ท่านเมียใหญ่เขาฉลาด เมื่อนายช่างทำศาลายังทำไม่เสร็จดี ไปจ้างนายช่าง ๑ พันบาท บอกว่าทำช่อฟ้าให้ฉันทีเถอะ ไอ้ศาลานี่มันต้องใช้ช่อฟ้ามันจึงจะสวย ฉันให้แก ๑ พันบาท นายช่างก็ทำให้บอกว่าทำให้พอเหมาะกับศาลานะ แล้วสลักชื่อไว้ว่าศาลาสุธรรมา เอาเข้าแล้ว มาแล้วผู้ชายมักอดเสียท่าผู้หญิงไม่ได้ สลักชื่อไว้ว่าศาลาสุธรรมา นายช่างก็ทำให้ แล้วก็บอกว่าต่อไปสร้างศาลาเสร็จ ถ้าพวกผู้ชายเขาต้องการช่อฟ้าละก็แกอย่าทำให้นะ มาเอาช่อฟ้าของฉันนี่ไปใส่ จำไว้ให้ดี ฉันให้เงินพิเศษ ๑ พันกหาปณะ เงินนี่มันเข้าใครออกใครที่ไหน มาเจอะกันเข้ามันก็เป็นแบบนี้ นายช่างทำแล้วก็ปิดปากเงียบ เมื่อทำศาลาเสร็จบรรดามาฆะมานพกับเพื่อนฝูงก็จะทำช่อฟ้า นายช่างบอกทำไม่ได้ไม้มันสด ช่อฟ้าต้องมีไม้แห้งๆ ทำ ถ้าเอาไม้สดๆ ไปทำละก็มันจะเกิดเรื่อง เพราะว่าต่อไปช่อฟ้าแห้งมันจะมองดูไม่สวย ท่านก็บอกถ้าอย่างนั้นก็ไปหาซื้อ ที่อื่นก็ไม่มีขาย หาไปหามาก็หาไม่ได้ นายช่างก็แนะนำบอกบ้านของนางสุธรรมามีช่อฟ้า ท่านมาฆะมานพก็บอกว่าไปจอซื้อเขา เมื่อไปถึงนางสุธรรมาบอกไม่ขาย ถ้าไม่ให้ร่วมบุญร่วมกุศลไม่ขายแน่ ทีนี้ทำยังไง เมื่อซื้อเขาไม่ขาย ท่านมาฆะมานพก็ไม่ยอมรับ เพราะไม่อยากคบผู้หญิง ผู้หญิงยุ่ง นายช่างก็บอกว่าท่านปรารถนาพุทธภูมิ ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า ต่อไปเมื่อบำเพ็ญบารมีดีแล้วจะเป็นพระพุทธเจ้าจะต้องบริจาคทาน ๒ ประการ คือให้ลูกเป็นทานให้เมียเป็นทาน ถ้าหากว่าท่านมาตัดผู้หญิงเสียเวลานี้แล้วละก็อีตอนที่มีบารมีใกล้จะเต็ม ท่านก็จะขาดทาน ๒ ประการคือให้ลูกเป็นทานให้เมียเป็นทาน ท่านจะเป็นพระพุทธเจ้าไม่ได้ ยังไงๆ ท่านก็จะต้องคบผู้หญิงตลอดกาล เป็นอันว่าท่านมาฆะมานพจนใจยอมรับ เอาช่อฟ้าของนางสุธรรมาไปสวมกับศาลาก็พอดี แต่ว่าตอนนี้ซิเสียที ๓๓ คนรวมทั้งช่างอีกคนหนึ่งกับช่างเป็น ๓๕ ทำกันเกือบตายไม่มีชื่อ ไปมีชื่อนางสุธรรมาเพียงคนเดียว ใครๆ ไป ใครๆ มาเขาก็เห็นเขียนชื่อนางสุธรรมา ศาลาสุธรรมา แล้วก็ศาลาสุธรรมานี่เป็นอำนาจบารมีของนางสุธรรมา เมื่อยางสุธรรมาตายจากคนก็มาเป็นชายาพระอินทร์ ศาลาหลังนั้นก็ตามขึ้นมา มีชื่อบนสวรรค์ว่าศาลาสุธรรมาเหมือนกัน แล้วก็เป็นที่ประชุมของเทวดา เป็นศาลาที่ประดับประดาไปด้วยแก้ว ๗ ประการ มีแท่นเป็นที่ประทับของพระอินทร์สวยสดงดงามมาก


    เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัท ประเดี๋ยวก่อน ออกจากศาลาสุธรรมาไปก่อน ไปโน่นซิ ไปสวนจิตรลดาวันภรรยาคนที่ ๒ ไปดูสวนจิตรลดาวัน อ๋อ สวนจิตรเวลานี้พระเจ้าแผ่นดินประทับอยู่ที่เมืองมนุษย์ แต่ว่าคนละสวน ไปว่าถึงนางสุจิตรา คิดว่านางสุธรรมานี่เขาเป็นคนฉลาด เมื่อผัวทำศาลาเขาทำช่อฟ้า ก็ดีแล้วเราไม่มีโอกาส ผู้ชายไม่ชวนเรา แต่ว่าคนมาพักที่ศาลาก็ดี อาบน้ำก็ดี อาจต้องการความสวยงาม ความสดชื่นจากดอกไม้และใบไม้ ฉะนั้น นางจึงใช้คนไปปลูกสวนสาธารณประโยชน์ เมื่อต่างตายจากความเป็นคนก็มาเป็นชายาของพระอินทร์ เกิดมีสวนจิตรลดาวันขึ้นข้างสระโบกขรณี นี่ว่ากันถึงรายที่ ๒


    คราวนี้ลัดๆ กันไปว่ารายที่ ๓ รายที่ ๓ คือนางสุนันทา นางสุนันทานี่เห็นนางสุจิตราปลูกสวนดอกไม้ เธอก็เอาบ้าง บอกว่าไอ้คนที่มาตามทางมันอาจจะหิว ในเมื่อมีน้ำอาบ มีศาลาพัก มีดอกไม้ทัดทรง แต่ยังไม่มีผลไม้ นางจึงได้ปลูกสวนใหญ่มีผลไม้ทุกประเภทขึ้น ให้เป็นที่อาศัยของคนเดินไปและเดินมา เมื่อเดินมาหิวก็มากินลูกหมากรากไม้ได้หรือไม่อยากนั่งพักในศาลาจะไปเดินเล่นในสวนก็ได้ เป็นที่สบายใจของคนทั้งหลายที่ผ่านไปผ่านมา เมื่อนางสุนันทาตายแล้วก็ขึ้นมาเป็นชายาของพระอินทร์ แต่ละคนก็มีวิมานคนละหลังๆ เหมือนกัน แล้วก็สวนสุนันทาก็ปรากฏขึ้นทางทิศตะวันออกของเวชยันต์วิมาน


    เอาละบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน สำหรับสกวันก็ดี ปารุสกวันก็ดี ไม่ปรากฏในบาลีว่ามาจากไหน หรือว่าปรากฏ แต่อาตมาไม่ทราบก็รู้ไม่ได้ เพราะค้นหนังสืออาจจะไม่หมด เป็นอันว่าพูดกันแค่รู้ ว่าอานิสงส์ของความดีทีทำในสมัยเป็นมนุษย์ ปรากฏผลเป็นดังนี้


    เอาละบรรดาท่านพุทธบริษัท มองดูเวลามันก็ใกล้จะหมด หรือว่าย่องหมดไปหน่อยหนึ่งแล้วก็ไม่ทราบ เป็นอันว่าบรรดาท่านพุทธบริษัทที่ติดตามมาก็ดี หรือว่าอยู่ข้างล่างที่รับฟัง เวลานี้ท่องเที่ยวไปในดินแดนของพระอินทร์พลางๆ ก่อน วันพุธหน้าอาตมาจะมาพาท่านพุทธบริษัทไปชมต่อไป สำหรับวันนี้หมดเวลาแล้วก็ต้องขอลากลับ


    ขอบรรดาท่านพุทธบริษัทและพระคุณเจ้าที่เคารพที่กำลังรับฟัง จงมีแต่ความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผล และจงเจริญไปด้วยจตุรพิธพรชัยทั้ง ๔ ประการ มีอายุ วรรณะ สุขะ พละ และปฏิภาณ หากทุกท่านประสงค์สิ่งใด ก็ขอให้ได้สิ่งนั้นสมความปรารถนา สวัสดี. .




    <!-- / message --><!-- sig -->_________________
    เทียนติดไฟเล่มเดียวสามารถช่วยให้เทียนอีกหลายพันเล่มพบความสว่างได้...โดยที่ไม่ทำให้เทียนเล่มนั้นมีอายุการใช้งานน้อยลงเลย
    <!-- / sig --></TD></TR><TR><TD class=alt2>[​IMG] </TD><TD class=alt1 align=right><!-- controls --><!-- Start Post Anumotana Hack --><!-- End Post Anumotana Hack --></TD></TR></TBODY></TABLE>

    สวรรค์ชั้นดาวดึงส์


    ท่านสาธุชนทั้งหลาย เมื่อวันพุธก่อน ได้ให้บรรดาท่านพุทธบริษัทท่องเที่ยวอยู่ในดินแดนของพระอินทร์พักหนึ่ง มาวันนี้ จะพาบรรดาท่านพุทธบริษัทไปชมวิมานเบ็ดเตล็ดซึ่งเป็นเทวดาตัวอย่างสัก ๒-๓ องค์ตามที่เวลาจะอำนวย เพราะว่าเรื่องราวของสวรรค์ต้องว่ากับแบบรวมๆ


    วันนี้ เรามาพูดกันถึงว่า คนที่เคยทำบาป แต่ทว่าตายแล้วไปเกิดบนสวรรค์ แล้วก่อนที่บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่านจะทราบเรื่องราวของเทวดาต่างๆ ขอให้รู้อายุของเทวดาชั้นนี้ไว้เสียก่อน เทวดาบนสวรรค์ชั้น ดาวดึงส์เทวโลก ทุกองค์ มีอายุอยู่ ๑,๐๐๐ ปีทิพย์ ถ้าจะประมาณเปรียบเทียบอายุในเมืองมนุษย์ หนึ่งร้อยปี เท่ากับ ๑ วัน แล้วก็เดือนหนึ่ง ๓๐ วันปีหนึ่งมี ๑๒ เดือน ก็นั่งนับกันเอาเองก็แล้วกัน นั่งนับกันตามสบายแล้วสำหรับเทวดาที่เกิดในชั้นนี้ หรือชั้นอื่นก็เหมือนกัน ไม่แน่ว่าจะมีอายุเฉพาะกาลที่กำหนดไว้ สมมติว่าบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายเคยบวชพระด้วยตนเอง และปฏิบัติตามพระธรรมวินัยด้วยดี ท่านประเภทนี้เวลาบวชแล้วมีอานิสงส์อยู่เป็นเทวดาได้ ๖๐ กัป หมายความว่ามีอายุเป็นเทวดาได้ ๖๐ กัป สำหรับบิดามารดาผู้ให้บวช ผู้ให้กำเนิด ได้อานิสงส์คนละ ๓๐ กัป ต่อลูกชายบวช ๑ คน แล้วสำหรับคนที่เป็นเจ้าภาพ ไม่ใช่พ่อไม่ใช่แม่ เป็นเจ้าภาพให้กุลบุตรบวชในพระพุทธศาสนาได้อานิสงส์แห่งการบรรพชากุลบุตรใว้ในพระพุทธศาสนาคนละ ๑๒ กัปต่อ ๑ องค์ สำหรับท่านที่ได้ทำบุญอุปสมบทกุลบุตรไว้ในพระพุทธศาสนา ช่วยเขาคนละบาทสองบาท หรือช่วยด้วยกำลังแรง อย่างนี้ก็มีอานิสงส์องค์ละ ๘๐ กัป ไม่ใช่ ๘๐ นะ เอาแค่ ๘ เฉยๆ เอาศูนย์ออกเสีย มันจะเหนื่อยเผลอไป เป็นอันว่าถ้าหากว่าอยู่ถึงพันปีทิพย์หรืออยู่ตามกำหนดเทวดาชั้นนั้นๆ อานิสงส์นี่ยังไม่หมด เมื่อตายจากความเป็นเทวดาเมื่อครบกำหนดพันปีทิพย์สมมติเอาในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ท่านก็เกิดเป็นเทวดาใหญ่ เพียงแค่พริบตาเดียว ไม่ต้องป่วยไข้ หมดบุญก็หมดตัวพริบตาเดียว คนอื่นไม่รู้ เรียกว่า คนอื่นสังเกตไม่ทัน นี่ว่าถึงอานิสงส์แห่งการอยู่ในฐานะเทวดา ไม่ใช่เฉพาะว่าต้องมีอายุครบพันปีทิพย์แล้วก็ต้องไปที่อื่น ไม่ใช่ยังงั้น นี่สำหรับคนผู้บวช และสำหรับคนที่บวชสามเณรในพระพุทธศาสนา บวชตัวเอง หมายความว่าตัวเองได้บวช แล้วก็เป็นเณรอย่างดี ไม่ใช่เป็นเณรเปรต พระเปรต บวชเข้ามาแล้วไม่ปฏิบัติตามพระธรรมวินัย บวชเข้ามาแล้วประพฤติดีตามพระธรรมวินัย มีอานิสงส์เป็นเทวดาได้ ๓๐ กัป สำหรับบิดามารดาได้คนละ ๑๕ กัป สำหรับพ่อกันแม่นี่ มีอานิสงส์เป็นพิเศษ ท่านกล่าวว่า เมื่อบิดามารดาคลอดบุตรออกมาแล้ว พ่อกับแม่จากไป ไม่รู้ว่าลูกชายเป็นใคร ลูกชายไม่รู้ว่าพ่อแม่ชื่ออะไร รูปร่างหน้าตาเป็นยังไง เป็นยังไงไม่รู้จักกัน เวลาลูกชายบวชเมื่อไร พ่อแม่อยู่ที่ไหนก็ตาม มีอานิสงส์เต็มที่ คือสามารถเป็นเทวดาได้ ๑๕ กัป เฉพาะลูกชายบวชเณร ถ้าลูกชายบวชพระ ก็มีอานิสงส์เป็นเทวดาได้ ๓๐ กัป นี่การบวชกุลบุตรในพระพุทธศาสนามีอานิสงส์พิเศษแบบนี้ ซึ่งไม่เหมือนกับอานิสงส์อย่างอื่น การทำบุญอย่างอื่น ต้องอุทิศส่วนกุศลให้ พ่อแม่มีโอกาสโมทนาก็ได้บุญ ถ้าพ่อแม่ไม่มีโอกาสโมทนาก็ไม่ได้บุญ ฉะนั้น การบวชตัวเองก็ดี บวชคนอื่นไว้ในพระพุทธศาสนาก็ดี บวชลูกบวชหลานไว้ในพระพุทธศาสนาก็ดี ต้องให้ลูกให้หลานปฏิบัติให้ดีตามพระธรรมวินัย จะมีอานิสงส์ตามที่กล่าวแล้ว ถ้าลูกหลานปฏิบัติไม่ดี หรือว่าเวลาบวชสร้างบาปไว้มากๆ เวลาจะบวชลูกหลานสักคราว ฆ่าเป็ด ฆ่าไก่ ฆ่าหมู ฆ่าวัว ฆ่าควาย อย่างนี้ เขาเรียกว่าไม่ใช่บวชซื้อบุญ เป็นการลงทุนซื้อบาป การบวชในคราวนั้นไม่มีผล เพราะอะไร? เพราะว่าจิตไม่มีกุศล จิตเป็นอกุศลเป็นบาปไปเสียหมด เลี้ยงเหล้ายาปลาปิ้งซึ่งกันและกัน ไม่ทำอย่างนั้นก็เกรงว่าชาวบ้านจะติเอา เขาทำแล้วเขาเลี้ยงกันแบบนี้ เราเองเราทำเราไม่เลี้ยง หน้าตามันจะไม่เสมอเขา ยังงี้เขาไม่เรียกว่าปรารถนาหน้าตาเป็นเทวดา ปรารถนาหน้าตาเป็นสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดียรัจฉาน เพราะว่าน้องใช้หนี้กรรมเขามาตามนั้น นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท อายุของเทวดาแต่ละชั้นมีจำกัดก็จริง แต่ทว่าท่านพุทธบริษัทชายหญิงที่ทำบุญเข้าไปแล้ว อย่างบวชพระบวชเณรเป็นต้น เมื่อครบอายุก็ตายปุ๊บเกิดปั๊บ เป็นเทวดาชั้นนั้นต่อไป นี่ว่ากันถึงว่าเป็นเทวดาธรรมดาไม่สร้างบารมีพิเศษ ถ้าไปสร้างบารมีเป็นพิเศษ อาจจะมีบุญก้าวขึ้นไปสู่ชั้นอื่นก็ได้ เอาละ สำหรับเรื่องนี้ของดไว้ จะพูดต่อไปถึงเทวดาตัวอย่างคนทำบาปไว้มาก แต่ว่าเกิดเป็นเทวดาได้ ตัวอย่างท่านสุปติฏฐเทพบุตร ปรากฏว่าในสมัยที่เป็นมนุษย์ ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเป็นอาจิณกรรม ไม่เคยทำบุญ วันดีไม่ละวันพระไม่เว้น ใครเขาบอกบุญบอกทานเห็นแล้วทำเป็นไม่เห็น ได้ยินแล้วแกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน ไม่ต้องการ กินเหล้าเมายาตลอดเวลา เมื่อเวลาจะตายขึ้นมาจริงๆ เวลานั้นมองเห็นทรัพย์สิน เห็นลูกเห็นเมีย ข้าทาสหญิงชายนั่งกันสะพรั่งตัวเองมีทุกขเวทนาอย่างหนัก ก็มาคิดในใจว่าคนทั้งหลายนี้เป็นคนของเรา เราสร้างฐานะมาด้วยความลำบาก จนกระทั่งเป็นคหบดี คนทั้งหลายเหล่านี้ไม่มีโอกาสจะช่วยเราได้ เราตายคราวนี้เห็นจะรับโทษคนเดียว เพราะว่าพระพุทธเจ้ากล่าวว่าใครทำบาปแล้วไปตกนรกคนเดียว ตอนนี้ เกิดกลัวนรกขึ้นมา จิตใจเลยน้อมนึกไปว่า พระพุทธเจ้าก็ดี พระธรรมก็ดี พระสงฆ์ก็ดี ย่อมช่วยคนในยามมีทุกข์ นี่เป็นยังงั้นนะ บรรดาพระนี่เป็นยังงั้น ถ้าคนไม่เห็นทุกข์ คนก็ไม่ค่อยจะเห็นพระ ถ้ามีทุกข์ขึ้นมาเมื่อไรก็เห็นพระเมื่อนั้น พระก็ประเภทเดียวกับหมอดู แต่ว่าหมอดูได้เปรียบกว่าพระ เพราะมีโอกาสได้ค่าจ้างรางวัล ดีไม่ดีก็ยุให้สะเดาะเคราะห์ไปเลย เป็นอันว่าคนดูมีเคราะห์เพิ่มขึ้น หมอดูหมดเคราะห์ นี่เป็นเรื่องของท่าน คราวนี้ มาว่ากันไปถึง สุปติฏฐเทพบุตร เมื่อเป็นมนุษย์นึกถึงความชั่วของตัวจะให้ผล ก็นึกถึงความดีขององค์สมเด็จพระทศพล ตอนนี้เอง จิตใจน้อมนึกถึงคุณพระรัตนตรัย มีพระพุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ และสังฆรัตนะ นึกในใจว่า พุทโธ ธัมโม สังโฆ น้อมจิตไปด้วยความเลื่อมใส ภาวนาได้ไม่กี่คำก็พอดีตาย ตายแล้วก็ไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เทวโลก เรื่องนี้บรรดาท่านพุทธบริษัทหลายท่านเคยค้านท่านฤๅษีลิงดำว่า คนทำความชั่วมามาก ทำไมหนอจะมีโอกาสไปสวรรค์ได้แม้ว่าตัวเองจะทำบุญนิดเดียว อันนี้บรรดาท่านพุทธบริษัทต้องคิดดูสักนิด จะเปรียบเทียบให้ฟัง สมมติว่าเราเองนี่นะ เป็นหนี้เขาอยู่มาก เป็นหนี้เขาอยู่หลายแสนบาท เจ้าหนี้เขาทวงซึ่งอีกไม่กี่วันเขาจะฟ้องล้มละลาย จะยึดทรัพย์ยึดสินจนหมด แต่ก่อนหน้าที่เจ้าหนี้จะฟ้องล้มละลาย บังเอิญทีเดียว เขาไปถูกล็อตเตอรี่รางวัลที่ ๑ เข้า เวลานี้ได้ล้านบาทเศษ พอได้เงินล้านบาทเศษทำยังไง? เขาไม่ใช้หนี้ โน่น เดินทางไปต่างประเทศที่ไม่มีความสัมพันธ์กัน ไปนั่งเป็นเศรษฐีมหาเศรษฐีที่นั่นตามสบาย แต่ทว่า ถ้าหมดเงินเมื่อไร กลับมาเมื่อไร เมื่อนั้นแหละ เจ้าหนี้เขาก็ฟ้องตามหน้าที่ที่เขาจะต้องทำ เวลานั้นเขาหนีไปได้เงินทองที่มีอยู่ก็ไม่ต้องเสียไป ไม่ต้องใช้หนี้เขา ข้อนี้มีอุปมาฉันใด แม้คนเราก็เหมือนกัน ทำความชั่วไว้มาก แต่เวลาจะตายถ้าทำใจผ่องใสนึกถึงสิ่งที่เป็นกุศล อันนี้ สมเด็จองค์พระทศพลทรงตรัสเป็นพุทธภาษิตไว้ว่า จิตเต สังกิลิฏเฐ ทุคติปาฏิกังขา เมื่อเราจะตายถ้าจิตเศร้าหมอง ทำบุญไว้มากมายเท่าไรก็ตาม ไปรับผลของกรรมชั่วก่อน จิตเต ปริสุทเธ สุคติปาฏิกังขา เมื่อเวลาจะตายถ้าจิตใจผ่องใส จะทำบาปไว้เท่าไรก็ตาม เราไปรับผลของบุญก่อน ตัวท่านสุปติฏฐเทพบุตรทำบาปไว้มาก เมื่อเวลาจะตายจิตใจน้อมนึกถึงคุณพระรัตนตรัย อารมณ์เกิดผ่องใส คิดว่าพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ต้องช่วยเราได้ ภาวนาด้วยความเลื่อมใสและความมั่นใจอันนี้ ท่านกล่าวว่าเป็นพุทธานุสสติ คือระลึกนึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ ธรรมานุสสตินึกถึงคุณพระธรรมเป็นอารมณ์ สังฆานุสสตินึกถึงคุณพระสงฆ์เป็นอารมณ์ ฉะนั้น เมื่อท่านตายไปแล้ว แทนที่จะไปเกิดในนรก ก็เกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เทวโลก แต่ในฐานะที่ตนเองเป็นคนประมาทมาก่อน เป็นเทวดาก็เป็นเทวดาประมาทไม่สร้างความดีต่อ สมัยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปแสดงธรรมโปรดพุทธมารดา ปรากฏว่า ท่านสุปติฏฐเทพบุตรจะหมดอายุจากความเป็นเทวดา เมื่อหมดแล้วต้องต้องหาใช้หนี้กรรมเก่ารู้ตัวว่าจะต้องตกอเวจีมหานรกสิ้น ๑ กัป เพราะบาปที่ทำปาณาติบาตเป็นอาจิณกรรม ออกจากนั้นแล้วก็ไปเสวยผลในนรกบริวารอีก ๔ ขุม แล้วก็มานั่งไล่เบี้ยในยมโลกียนรกอีก ๑๐ ขุม เพราะทำบาปครบถ้วน จากนั้นก็มาเป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดียรัจฉานแล้วก็เป็นแร้ง ๕๐๐ ชาติ เป็นกา ๕๐๐ ชาติ เป็นสุนัขบ้า ๕๐๐ ชาติ พ้นจากนั้นแล้ว ก็มาเป็นคนหูหนวด ๕๐๐ ชาติ เพราะเขาบอกบุญรู้แล้วได้ยินแล้วแกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน ตาบอด ๕๐๐ ชาติเห็นแล้วแกล้งทำเป็นไม่เห็น มาเป็นคนบ้า ๕๐๐ ชาติเพราะการดื่มสุราเมรัยเป็นคนง่อยเปลี้ยเสียขาเดินไม่ได้ ๕๐๐ ชาติ เพราะเศษกรรมของปาณาติบาตทรมานสัตว์ ทำสัตว์ให้ตาย เมื่อแกรู้เข้าแบบนี้ก็ตกใจ วิ่งโร่เข้าไปหาพระอินทร์ขอให้พระอินทร์ช่วย พระอินทร์ก็บอกว่าช่วยไม่ได้ ฉันก็เป็นเทวดาเหมือนกัน พระอินทร์พาไปหาพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าพิจารณาว่า เทวดาองค์นี้ ถ้าเราเทศน์อภิธรรม ๗ คัมภีร์ไม่มีผล เพราะบารมีไม่ถึง เทศน์อะไรจึงจะดี องค์สมเด็จพระชินสีห์ ก็ทราบด้วยอำนาจพระพุทธญาณ ว่าเราเทศน์อุณหิสวิชัยสูตร เทวดาองค์นี้เมื่อฟังจบ ก็จะได้บรรลุพระโสดาปัตติผล บาปกรรมที่ตนทำไว้ไม่มีโอกาสจะให้ผล เป็นอันว่าสมเด็จพระทศพลจึงได้เทศน์อุณหิสวิชัยสูตร พอเทศน์จบท่านสุปติฏฐเทพบุตรก็เป็นพระโสดาบัน เป็นอันว่าอบายภูมิทั้ง ๔ คือ นรก เปรต อสุรกาย เดียรัจฉานฉานไม่มีโอกาสจะให้ผล


    นี่แหละบรรดาท่านพุทธศาสนิกชน คนที่เป็นบาปนะเขาทำกันแบบนี้ เรียกว่าเขาทำกันแบบนี้ เวลาจะตายหาความดีเข้าไว้ ฉะนั้นองค์สมเด็จพระจอมไตรจึงได้สอนพุทธบริษัทให้เจริญพระกรรมฐานเข้าไว้ ข้อใดข้อหนึ่งให้จิตชิน เมื่อมีอารมณ์ชินแล้ว เวลาจะตายจิตก็จับอารมณ์นั้นเข้าไว้ อารมณ์จะผ่องใส บาปกรรมทั้งหลายจะตามไม่ทัน นี่เป็นเทวดาตัวอย่างพูดให้ฟัง เชื่อก็เชื่อ ไม่เชื่อก็ตามใจ นี่ หนึ่งละนะ


    มาคนที่ ๒ คนทำบุญเล็กๆ น้อยๆ ดูเจตนาเขาให้ดีนะ เทวดานางหนึ่ง เรียกว่านางฟ้าก็แล้วกัน นางฟ้านางหนึ่งมีนามว่า สาตจีเทพธิดา สาตจีเทพธิดานี่เป็นคนจนในสมัยเป็นมนุษย์ ในขณะเป็นมนุษย์จนมาก ตัดฟืนขายทุกวัน โอกาสที่จะบำเพ็ญกุศลไม่มี เช้าก็ป่า ตอนเย็นก็กลับมาบ้านขายฟืนเสร็จหุงข้าวกิน เช้าก็ต้องเข้าป่า เป็นแบบนี้ทุกวัน พระจะมาบิณฑบาตหรือจะมาบอกบุญบอกทานไม่มีใครมีโอกาสได้พบเธอ ไม่ใช่ว่าไม่มีศรัทธา ศรัทธามี แต่โอกาสไม่มี วันหนึ่ง สาตจีเทพธิดาเข้าป่า ไปพบดอกบวบขมเข้า มีสีเหลืองคิดถึงพระว่าดอกบวบขมนี่ มีสีคล้ายๆ จีวรพระ ตอนเย็นวันนี้ เรากลับไป เราจะเด็ดเอาไปบูชาเจดีย์ที่เขาบรรจุอัฐิธาตุของพระอรหันต์ เวลากลับบ้านเธอก็เก็บมาจริงๆ มาถึงบ้านขายฟืนแล้วหุงข้าวกินเสร็จอาบน้ำอาบท่านแต่งตัวดี จึงได้นำดอกบวบขมชุดนี้ ตั้งใจจะเอาไปบูชาเจดีย์ที่เขาบรรจุพระธาตุของพระอรหันต์ แต่ว่าระหว่างที่นางเดินทางไปนั้น ปรากฏว่า มีวัวแม่ลูกอ่อนขวิดตาย ขณะที่นางจะตายจิตใจก็นึกว่าเราจะไปบูชาพระรัตนตรัย นี่แหละ บรรดาท่านพุทธบริษัท จิตใจของนางนี้นั้น จัดว่าเป็นสังฆานุสสติกรรมฐาน เพราะตั้งใจจะไปบูชากระดูกพระอรหันต์ ด้วยอานุภาพแห่งการตั้งใจบูชา ตั้งใจทำบุญด้วยจิตเป็นกุศลจริงๆ เมื่อชีวิตของนางออกจากร่าง ก็ไปบังเกิดเป็นนางฟ้าบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เทวโลก มีวิมานทองคำเพราะอาศัยมีสีเหลืองเป็นสำคัญ เครื่องประดับกายของนางก็ดี เครื่องประดับวิมานของนางก็ดี มีสีเหลืองเป็นทองไปหมด แล้วมีนางฟ้า ๕๐๐ เป็นบริวาร มีความสุขสำราญอยู่ที่นั่น นี่คนที่ ๒ ละนะ ดูเวลามีพอไหม ถ้ามีพอว่าต่อไป


    อีกท่านหนึ่งไม่เคยทำบุญอะไรมาเลยเช่นเดียวกับนางสาตจีเทพธิดา แต่ทว่าก็ไม่เคยทำบาป ท่านองค์นี้คือท่านมัฏฐกุณฑลีเทพบุตร ท่านมัฏฐกุณฑลีเทพบุตรนี่เป็นลูกของเศรษฐี มีทรัพย์นับได้ ๘๐ โกฏิ แต่เศรษฐีนี่ท่านก็เศษจริงๆ เป็นคนที่ไม่เคยให้ทานเลย ขี้เหนียวตลอดกาลตลอดสมัย ทั้งนี้เป็นเพราะอะไร เพราะถือว่าทรัพย์ของเรา เราหาเอาไว้ พ่อแม่หาให้ คนอื่นไม่เกี่ยว มีลูกชายคนหนึ่งเวลาที่ลูกชายป่วยหนักท่านรักษาของท่านคนเดียว ไปเก็บยามาให้ แต่ว่าขณะนั้นอาการไม่ดีขึ้น ในที่สุดท่านก็คิดว่าลูกชายของเราใกล้จะตาย ดีไม่ดีญาติพี่น้องทั้งหลายพากันมาเยี่ยม ลูกชายนอนอยู่ในห้องแบบนี้ เมื่อเห็นทรัพย์สินเข้า คนนั้นจะขออย่างนั้น คนนี้จะขออย่างนี้ เราก็จำจะต้องให้ ไม่เอา ไม่เอา อีท่านี้ไม่ดี เลยพาลูกชายไปนอนที่ระเบียง เอาไปนอนที่ระเบียงบ้านเผื่อว่าใครเขามาเยี่ยมจะได้ไม่เห็นทรัพย์สมบัติอะไร ลูกชายก็มีอาการหนักเข้ามาทุกที เงินทองมีมากจะไปหาหมอมารักษา ท่านก็ไม่ทำ ในที่สุดลูกชายก็ใกล้ตายเต็มที วันนั้นบังเอิญองค์สมเด็จพระชินสีห์กับพระอานนท์เดินผ่านไป ท่านมัฏฐกุณฑลีเห็นเข้าก็มีจิตเลื่อมใส คิดว่าพ่อแม่ของเรานี้ไม่เป็นที่พึ่ง เป็นเศรษฐีใหญ่ แต่ว่าไม่ยอมจ่ายเงินเพื่อลูกชาย ฉะนั้นจึงได้คิดว่าพ่อแม่ก็ดี ทรัพย์สินก็ดี ไม่เป็นที่พึ่งที่อาศัยสำหรับเราได้ เห็นแต่พระรัตนตรัยเท่านั้น ที่จะเป็นที่พึ่งที่อาศัยได้เป็นอย่างดี ท่านมัฏฐกุณฑลีจะยกมือขึ้นมาไหว้ก็ไหว้ไม่ไหว ในที่สุดก็เอาใจน้อมไปถึงคุณพระรัตนตรัย มีพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ ไม่ช้าท่านก็ตาย เมื่อตายไปแล้วก็ไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เทวโลก มีวิมานทองคำ มีเครื่องประดับมาก มีนางฟ้า ๕๐๐ เป็นบริวาร นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่านชมวิมานแล้วก็ดูเจตนาของเขานะ คนที่จะถึงสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ได้นี่ ไม่ใช่ว่าจะมากันได้ง่ายๆ ต้องมีกำลังใจชั้นดีจริงๆ ถ้าหากจะบูชาพระรัตนตรัยนึกถึงพระรัตนตรัยก็ต้องจิตมั่นคง ไม่ใช่สักแต่ว่าสวดมนต์ส่งเดชตามประเพณี ภาวนาส่งเดชตามประเพณี อย่างนี้มาสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ไม่ได้ อย่างดีก็ไปเกิดเป็นรุกขเทวดา หรือดีไม่ดี บุญกุศลที่กระทำประเภทนั้นโดยไม่ตั้งใจจริงก็จะพาลงนรกไป เพราะว่าไม่ได้เคารพกราบไหว้บูชาด้วยจริงใจ นี่เล่าให้ฟังนะ เขาตัดใจกันจริงๆ


    ตานี้ มาดูคนอีก ๒ คน เวลาเหลืออีกนิดหนึ่ง มาดูอีก ๒ คน คือพระอินทร์กับอังคุละเทพบุตร เวลาที่พระพุทธเจ้าเสด็จเข้าไปใหม่ๆ ไปถึงบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ พระอินทร์ไปนั่งข้างขาเบื้องขวา อังคุละเทพบุตรนั่งข้างขาเบื้องซ้าย พอเทวดาผู้ใหญ่มาเข้าอังคุละเทพบุตรถอยไปๆ ถอยจนกระทั่งไปอยู่ข้างหลังเพื่อน สำหรับพระอินทร์ไม่ถอย พระพุทธเจ้าประสงค์จะประกาศผลของคนที่ทำบุญในพระพุทธศาสนามีอานิสงส์มาก จึงได้ถามอังคุละเทพบุตรว่า อังคุละ เมื่อตถาคตมาใหม่ๆ เธอนั่งใกล้อยู่กับพระอินทร์ เวลานี้เธอไปนั่งอยู่ไกลสุด ในสมัยที่เป็นมนุษย์เธอทำอะไรไว้? อังคุละเทพบุตรจึงได้กราบทูลตอบสมเด็จพระจอมไตรว่า ภันเต ภควา ข้าแต่องค์พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญ เมื่อข้าพระพุทธเจ้าเป็นมนุษย์ เป็นมหาเศรษฐีใหญ่ตั้งใจให้ทานอยู่ ๒ หมื่นปี คือตั้งเตาไว้ ๑ โยชน์ ตั้งเตา ๑ เตา ๑ โยชน์ตั้ง ๑ เตา เพื่อตั้งโรงครัว ๘๐ โยชน์ ๘๐ เตา เลี้ยงคนกำพร้าและคนเดินทางตลอดเวลา แต่เวลานั้นเป็นเวลาที่ไม่มีพระพุทธเจ้าตรัส เป็นเวลานอกพระศาสนา อานิสงส์ที่ทำบุญแบบนี้มา ๒ หมื่นปี ตายขึ้นมาเป็นเทวดาที่มีบุญน้อยที่สุด ต้องอยู่หลังเทวดาอื่นทั้งหมด เพราะอานุภาพไม่เท่าเขา องค์สมเด็จพระผู้มีภาคเจ้าจึงได้ถามพระอินทร์ว่า สมัยที่เป็นมนุษย์พระองค์ทำอะไรไว้ จึงมีศักดาใหญ่ ไม่ต้องถอยหลังให้แก่ใครเป็นเทวดาชั้นหัวหน้า พระอินทร์ก็กราบทูลสมเด็จพระสมมาสัมพุทธเจ้าว่า สมัยเป็นมนุษย์ข้าพเจ้าถวายสังฆทานเป็นปกติ คือนิมนต์พระมาแล้วก็ถวายสังฆทาน อานิสงส์แห่งการถวายสังฆทานนี้มีอานิสงส์มาก เป็นเหตุให้ข้าพระพุทธเจ้านี่เป็นเทวดาอื่นทั้งหมดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์


    นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย เรื่องการชมดาวดึงส์ก็ขอยุติเพียงแค่นี้นะ ถ้าจะนำชมกับจริงๆ ละก็อีกหลายตอน สัก ๑๐๐ ตอนก็ไม่จบเพราะว่าเรื่องนี้จะให้จบภายใน ๒๔ ตอน เอากันแค่นี้ก็แล้วกัน มาพูดไว้ตอนนี้เพื่อให้รู้ว่า การที่จะมีวิมานเข้าสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ได้ ต้องใจดีจริงๆ แล้วการทำบุญนอกเขตพระพุทธศาสนากับการทำบุญในเขตพระพุทธศาสนามีอานิสงส์ไม่เหมือนกัน รวมความว่าทำบุญกับพระ กับการทำบุญกับชาวบ้านน่ะ มีอานิสงส์ไม่เหมือนกัน ดูตัวอย่างอังคุละเทพบุตรกับท่านพระอินทร์ก็แล้วกัน


    ตานี้ ทำบุญกับพระก็เหมือนกัน ทำบุญกับพระที่มีศีลบริสุทธิ์ก็สู้ทำบุญกับพระที่ได้ฌานสมาบัติไม่ได้ ทำบุญกับพระที่ได้ฌานสมาบัติก็สู้ทำบุญกับท่านที่เป็นอริยสงฆ์ไม่ได้


    เอาละ จะพูดมากไป เวลามันเลยไปสักนิดหนึ่งกระมัง เลยหรือไม่เลย? ถ้าเลยก็ขออภัยท่านเจ้าหน้าที่ด้วย สำหรับวันนี้ ก็ขอชวนบรรดาท่านพุทธบริษัทและพระคุณเจ้าที่เคารพ เดินทางเที่ยววนไปวนมาอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์สัก ๗ วันนะขอรับ วันพุธหน้าผมจะพาท่านเที่ยวใหม่ สำหรับวันนี้ หมดเวลาแล้ว ต้องขอลาก่อน


    ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้ติดตามรับฟังทุกท่าน สวัสดี. .

    __________________
    เทียนติดไฟเล่มเดียวสามารถช่วยให้เทียนอีกหลายพันเล่มพบความสว่างได้...โดยที่ไม่ทำให้เทียนเล่มนั้นมีอายุการใช้งานน้อยลงเลย
    <!-- / sig -->
    <!-- / sig -->
    <!-- / sig -->

    สวรรค์ ๔ ชั้น


    ท่านสาธุชนทั้งหลาย สำหรับวันนี้จะพาท่านพุทธบริษัท ลัด เรียกว่าไปลักกันเลยไปจนจบแดนสวรรค์ทั้งหลาย


    นี่เราพากันออกจากชั้นดาวดึงส์ไปชั้นยามา ชั้นยามานี่อยู่ทางทิศเหนือของชั้นดาวดึงส์เป็นเนินขึ้น ความจริงสวรรค์ไม่ใช่เป็นชั้น เป็นภาคพื้นอันเดียวกัน แต่รู้สึกว่าเป็นเนินสูงกว่ากัน เดินไปสักครู่หนึ่ง เป็นทางที่สวยสะอาดมากเป็นทางสีขาวโพลน สวรรค์ชั้นชั้นยามานี่มีอายุ ๒,๐๐๐ ปีทิพย์ ถ้าจะเทียบกับเมืองมนุษย์ ๒๐๐ ปีของมนุษย์จึงเป็น ๑ วันของสวรรค์ชั้นยามา อันนี้ขอบรรดาท่านพุทธบริษัททราบไว้ด้วย เทวดาชั้นยามานี่มีวิมานใหญ่กว่าเทวดาชั้นดาวดึงส์มาก มีเครื่องประดับประดาสวยสดงดงาม มีสวนเหมือนกัน มีสระโบกขรณีเหมือนกัน เป็นที่น่ารื่นรมย์มาก มีความสุขมาก เป็นเทวดาที่มาบำเพ็ญบารมีต่อโดยตรง ความจริงสำหรับดาวดึงส์ก็เหมือนกัน ดาวดึงส์ทุกวันพระ พระอินทร์จะต้องเทศน์ถ้าไม่มีใครมาเทศน์สอนเทวดา หรือมิฉะนั้นท่านก็เชิญพรหมมาเทศน์บ้าง ถ้ามีพระขึ้นไปก็นิมนต์พระเทศน์บ้าง


    สำหรับเทวดาชั้นยามานี่ทำบุญอะไร โดยมากเทวดาชั้นยามาประดับกายด้วยเครื่องขาว คือ เป็นเพชรแลดูสีขาวสะอาด วิมานก็ใหญ่กว่า มีความสงบสงัดคล้ายๆ กับเมืองพรหมมีความสุข เป็นเทวดาที่พระอินทร์ไม่เรียกใช้ เพราะว่าเป็นเทวดาที่มีความตั้งใจบำเพ็ญบารมีต่อ เรื่องการให้ทานการรักษาศีลเป็นเรื่องธรรมดาของเทวดาทุกชั้นจะต้องทำ การให้ทานการรักษาศีลของเทวดาแต่ละชั้น ตั้งแต่ชั้นดาวดึงส์ขึ้นมาหรือจาตุมหาราชขึ้นมา ท่านไม่ได้ทำตามประเพณี ทราบไว้ด้วย ตั้งใจทำกันจริงๆ ไม่เหมือนฝ่ายรุกขเทวดาหรือภุมเทวดา คือเรียกว่าบุญไม่ค่อยจะครบถ้วน ทำเหมือนกันแต่ว่าใจไม่ครบ สำหรับอากาศเทวดาทั้งหมดไม่ถือประเพณีเป็นสำคัญ ทำด้วยจิตเป็นกุศลแท้อันนี้ต้องจำไว้


    ตานี้ จะว่าต่อไปสำหรับบุญพิเศษ เทวดาชั้นยามานี่มีส่วนสำคัญอยู่ ๒ อย่างเป็นบุญพิเศษ คือ ๑ สวดมนต์ด้วยความเคารพ หมายความว่าชีวิตจิตใจของท่าน สวดมนต์เป็นประจำ ถ้าวันไหนไม่ได้สวดมนต์วันนั้นนอนไม่หลับ ไม่สบายใจ คือสวดด้วยความเคารพจริงๆ ด้วยความเลื่อมใสจริงๆ จะเป็นการสวดมนต์บทไหนก็ช่างเถอะ เรียกว่าเป็นการสวดมนต์ในพระพุทธศาสนาก็แล้วกัน หรือมิฉะนั้น ก็เป็นนักเจริญพระกรรมฐาน เจริญกรรมฐานจนกระทั่งจิตเข้าสู่อุปจารสมาธิ จิตเป็นทิพย์บ้างเล็กๆ น้อยๆ สามารถจะเห็นภาพที่เป็นทิพย์ ได้ยินเสียงที่เป็นทิพย์ได้บ้างพอสมควร ครั้นเมื่อตายแล้วจึงเกิดมาเป็นเทวดาชั้นยามาได้ นี่จำไว้เพียงเท่านี้นะ ว่าเทวดาชั้นนี้มีความสุข จะนำชมวิมานทุกวิมานน่ะไม่ไหว ในชั้นยามานี่ก็มีท้าวยามา คือเทวดาที่เป็นหัวหน้าหนึ่งคนคล้ายๆ พระอินทร์เหมือนเป็นเทวราชาปกครองทั้ง ๖ ชั้น


    ออกจากชั้นยามาไป เราเดินมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตกนิดหน่อย ความจริงบนนี้ไม่มีตะวันนะ ไม่มีอาทิตย์ ไม่มีดวงจันทร์ ไม่มีดวงอาทิตย์ใดๆ แต่เราเทียบกับทิศของเมืองมนุษย์ เดินไปสักหน่อยหนึ่ง แต่ความจริงไกลมาก แต่ว่าเดินอย่างเทวดา เดินอย่างสภาพที่เป็นทิพย์ มันก็ไม่ไกล เป็นอันว่ามาถึงชั้นดุสิตซีคราวนี้ ชั้นสำคัญ


    ชั้นดุสิตนี่มีอายุอยู่บนสวรรค์ชั้นนี้ ๔,๐๐๐ ปีทิพย์ แล้วก็ถ้าจะเทียบกับเมืองมนุษย์ก็ ๔๐๐ ปีของเราเป็น ๑ วันของเทวดาชั้นนี้ แต่ว่าเทวดาชั้นนี้มีบุญญาธิการพิเศษ ที่คนจะเข้ามาได้ท่านจำกัดจริงๆ เรื่องทานเรื่องศีลไม่ต้องพูดกัน ดีแน่ เรียกว่าท่านทำกันแน่แล้วก็ทำอย่างเครียด เครียดมาก เอาจริงเอาจังมาก เทวดาที่จะมาอยู่ชั้นนี้ได้มีอยู่ ๓ เหล่า คือ ๑ ท่านที่ปรารถนาพุทธภูมิ จะเป็นพระพุทธเจ้า บำเพ็ญบารมีขั้นปรมัตถบารมี จึงจะเข้ามาเป็นเทวดาในชั้นนี้ได้ หรือว่าคนที่เป็นพระพุทธบิดา พุทธมารดา ของพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง เมื่อตายจากมนุษย์แล้ว จึงมาเป็นเทวดาชั้นนี้ได้ หรือว่าคนธรรมดาแต่ว่าบำเพ็ญบารมีเป็นพระอริยเจ้า ตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป จึงจะมีโอกาสเข้ามาอยู่เป็นเทวดาชั้นนี้ได้ แต่ความจริงพระอริยเจ้านี่ ท่านอยู่เกือบทุกชั้น อย่างภุมเทวดา รุกขเทวดา จาตุมหาราช ดาวดึงส์ ยามา ดุสิต นิมมานรดี ปรนิมมิตวสวัสดี และพรหม มีพระอริยเจ้าเยอะ แต่นี่เรากล่าวกันเฉพาะว่า ถ้าจะเข้ามาอยู่ขั้นนี้ ตั้งใจจะมาอยู่ชั้นนี้ ต้องเป็นตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป เรียกว่า เทวดาธรรมดาๆ ที่ทำบุญให้ทานรักษาศีลธรรมดาหรือได้ฌานสมาบัติ นอกจากพระโพธิสัตว์ และ พระพุทธบิดา พุทธมารดาแล้วไม่มีโอกาสจะเข้ามาได้ นี่เป็นเทวดามีชั้นจำกัดจริงๆ แล้วก็ชั้นนี้มีเทวดาสำคัญอยู่องค์หนึ่งที่พวกเราสนใจ พวกเราสนใจกันมากก็คือพระศรีอาริยเมตตรัย


    ความจริงพระศรีอาริยเมตตรัยนี่ สมัยพระพุทธเจ้า ท่านบวชเป็นพระมีนามว่า อชิตะภิกขุ เดิมทีเป็นลูกศิษย์ของพราหมณ์พาวรี ท่านองค์นี้ไปบวชเพื่อสร้างเสริมบารมีต่อมาเมื่อพระนางกีสาโคตมีได้ทอจีวรด้วยมือของตนเอง ปรารถนาจะถวายพระพุทธเจ้า เมื่อเวลาพระนางไปถวาย พระพุทธเจ้าเรียกพระมาหมด นั่งเรียงแถวกันตามลำดับอาวุโสและคุณสมบัติ เมื่อพระนางกีสาโคตมีถวายผ้าแก่พระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็ส่งให้พระสารีบุตร ท่านพระสารีบุตรก็ส่งในพระโมคคัลลาน์ พระโมคคัลลาน์ก็ส่งต่อๆๆ กันไปผลที่สุด พระทุกองค์ก็ส่งต่อกันไปหมดจนถึงองค์สุดท้าย คือท่านอชิตะภิกขุไม่รู้จะส่งให้ใคร เพราะนั่งอยู่ท้ายบาหลี เป็นอันว่าท่านก็รับไว้ พระนางกีสาโคตมีเสียใจว่าอุตส่าห์ทำเอง เลือกด้ายชั้นดีมาทอกับมือเอง ถวายพระพุทธเจ้า แต่พระพุทธเจ้าไม่รับ กลับไปให้พระที่ไม่ได้แม้แต่ฌานสมาบัติมากมายอะไรนัก คือว่ายังเป็นพระปุถุชนคนธรรมดา ทีนี้สมเด็จพระบรมศาสดาทรงทราบอัธยาศัยจึงเทศนาโปรด ว่าพระองค์สุดท้ายน่ะไม่ใช่ใคร ไม่ใช่พระธรรมดา คือท่านอชิตะภิกขุผู้นี้ต่อไปข้างหน้าจะได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง มีนามว่า พระศรีอาริยเมตตรัย


    เมื่อเรามาถึงชั้นดุสิตแล้ว เราจะเห็นว่าวิมานใหญ่มาก ใหญ่กว่าชั้นยามา วิมานแต่ละวิมาน ก็มีความสวยสดงดงาม เทวดาทุกองค์ ทุกชั้นมีรัศมีกายสว่างจากกาย มีรัศมีแสงสว่าง เทวดาทุกองค์ ทุกชั้นมีรัศมีกายสว่างจากกาย มีรัศมีแสงสว่างออกจากวิมาน แต่ว่าชั้นนี้มีแสงสว่างมาก สวยมาก วิมานก็ใหญ่มาก มีสถานที่รื่นรมย์มากมาแล้วนี่ พุทธบริษัทย่องๆ ไปดูพระศรีอาริย์สักนิดดีไหม? เดินตามอาตมามานี่เราตั้งต้นกันทางด้านทิศเหนือ เดินไปทางด้านทิศใต้ เฉียงๆ ไปทางด้านตะวันตกนิดๆ มีวิมานระเกะระกะ บริเวณวิมานแต่ละวิมานกว้างใหญ่ไพศาลมาก มีรั้วรอบขอบชิดเต็มไปด้วยแก้ว ๗ ประการ ทางที่เราเดินก็เป็นทางแก้ว เดินไป วิมานแต่ละหลังก็สวย เทวดาแต่ละองค์ก็หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส ดุสิตแปลว่ายิ้ม ดุสิตไม่ใช่หน้าบึ้ง มีพระอริยเจ้าทั้งหมด มีพระพุทธบิดา พุทธมารดา และพระโพธิสัตว์ที่มีบารมีเป็นปรมัตถบารมี นั่งอยู่ประจำวิมานเป็นแถวมีบริวารมากมาย เดินไป เดินไปสักครู่หนึ่ง จากต้นแถวเกือบจะสุดปลายแถว เรายืนอยู่มาพบวิมานหลังหนึ่งสวยสดงดงามมาก องค์เจ้าของมีรัศมีกายสว่างมาก ผ่องใสหน้าตายิ้มระรื่นน่าชื่นใจ มองดูไปทางขวามือของเรา เลี้ยวขวา ไม่ใช่หน้าเดินเอาเท้าเดินไป อย่าเอาหน้าลงไปเดินมันจะยุ่ง เข้าไปใกล้วิมาน วิมานนี้ เป็นวิมานของพระศรีอาริยเมตตรัยเทพบุตร


    พระศรีอาริยเมตตรัยนี่ เคยมีท่านที่ได้ฌานสมาบัติพิเศษท่านเคยถามว่า เมื่อใดจะได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้า ท่านกล่าวโดยประเมินว่า นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ถ้านับในเมืองมนุษย์ก็ประมาณล้านปีเศษๆ ท่านจะมีโอกาสได้มาตรัสในเมืองมนุษย์ ถามว่าถ้าจะเทียบเวลานี้เป็นพื้นที่สมัยนี้ จะตรัสในประเทศไหน ท่านก็บอกว่า ทางทิศเหนือของพม่า ในเขตนั้น นี่สำหรับท่านที่ได้ฌานท่านเคยบอกให้ฟัง ท่านบอกว่ายังงี้นะ แต่ตามตำราเขาไม่ได้เขียนไว้


    นี่เรามาชมบารมีของพระโพธิสัตว์กันตามสมควร ต่อจากนี้ไปก็เดินต่อไปดีกว่าอย่ารอช้าเลย เพราะเวลามันกระชั้น เพราะตั้งใจไว้แล้วว่า เรื่องนี้จะว่ากัน ๒๔ ตอนก็เลิก ถ้าขืนพูดละเอียดไม่เป็นเรื่องแน่ เป็นอันว่าเดินต่อไป คราวนี้เราเดินไปทางตะวันตกเฉียงใต้นิดๆ จากชั้นดุสิต ขึ้นไปชั้นนิมมานรดี นี่เป็นเทวดาชั้นที่ ๕


    ชั้นนิมมานรดี นี้มีอายุอยู่เป็นเทวดาได้ ๘,๐๐๐ ปีทิพย์ ถ้าจะเทียบกับเมืองมนุษย์ ๘๐๐ ปีของเรา เป็น ๑ วันของท่าน ยุ่งเหมือนกันนะ รู้สึกว่ายุ่งๆ เหมือนกัน อายุท่านมากเหลือเกิน แต่มากแบบธรรมดาๆ มากแบบสบายๆ มันจะเป็นไรไป งานการไม่ต้องทำแต่เรามาดูเทวดาชั้นนี้ รู้สึกว่าวิมานของท่าน แพรวพราวสวยสดงดงามมีของกระจุ๋มกระจิ๋มกระจุดกระจิกมาก เทวดาแต่ละองค์ก็มีความสวยสดงดงาม มีเครื่องประดับเป็นอย่างดีน่าเที่ยว เทวดาชั้นนี้ รู้สึกว่าจะเป็นเทวดาซุกซนมากสักหน่อย เรียกว่า รู้สึกว่าแต่ละองค์มีงานไม่ว่าง ชอบเนรมิตอะไรต่ออะไรเล่นโก้ๆ บางทีเทวดาชั้นปรนิมมิตวสวัสดี ชั้นที่ ๖ มีความต้องการอะไร ท่านเทวดานี้ ท่านก็เนรมิตให้ หมายความว่า ทำงานให้ จึงเรียกว่านิมมานรดี คือว่าเป็นเทวดาพวกเนรมิตของต่างๆ ตานี้ มาดูถึงบุญบารมีของเทวดาชั้นนี้ว่าเดิมที่นี่เขาทำยังไงกันไว้ จึงได้มาเป็นเทวดาชั้นนี้ เรื่องการให้ทาน การรักษาศีล บรรดาท่านพุทธบริษัทอย่าลืม ถ้าไม่ได้พูดถึงละจงคิดไว้ว่า ท่านทำกันไว้ครบถ้วน แต่ว่ามีกรณีพิเศษอยู่อย่างหนึ่ง คือว่าเทวดาชั้นนี้ ในสมัยที่เป็นมนุษย์ เคยเจริญฌานสมาบัติ ได้ฌาน ฌานของท่านต้องไม่น้อยกว่าฌาน ๔ อย่าลืมนะว่าฌานของท่านนี้ ไม่น้อยกว่าฌาน ๔ เมื่อได้ฌาน ๔ แล้วก็เจริญกสิณ ๑๐ ได้กสิณทั้ง ๑๐ อย่าง เป็นอภิญญา เมื่อได้อภิญญาแล้วท่านก็ชอบเนรมิตอะไรต่ออะไร เพราะพวกอภิญญานี่เป็นพวกมีฤทธิ์ สามารถเนรมิตร่างกายของคนก็ได้ เนรมิตอะไรต่ออะไรก็ได้ ให้เป็นอะไรได้ตามความปรารถนาทุกขณะจิตที่ต้องการ ไม่ใช่ไปนั่งเสกปากหมุบหมิบๆๆ ไม่ใช่ยั้งงั้น พวกอภิญญา พอนึกปั๊บมันก็เป็นปั๊บทันที อยากจะเล่นบ้างไหมล่ะ บรรดาท่านพุทธบริษัท อยากจะเป็นนักอภิญญา เล่นอะไรก็ได้ เหาะเหินเดินอากาศก็ได้ หายตัวก็ได้ จะทำอะไรก็ได้ตามใจนึก สมัยที่เป็นมนุษย์ท่านคล่องแบบนี้ เมื่อเวลาเป็นเทวดาก็เลยมีใจคล้ายมนุษย์ เพราะว่าการว่ามาด้วยใจ ร่างกายทิ้งไว้ ความประสงค์ก็เป็นเช่นเดียวกับความเป็นมนุษย์ เพราะว่าการไปเกิดเรานำใจไปเกิด เราไม่ได้นำกายไปเกิด ตานี้ เมื่อเป็นมนุษย์มีความต้องการยังไงมีอุปนิสัยเป็นยังไง เป็นเทวดาก็เป็นแบบนั้น เป็นพรหมก็เป็นแบบนั้น ทีนี้เมื่อท่านอยู่สมัยเป็นมนุษย์ท่านได้อภิญญาสมาบัติ ความจริงเทวดาพวกนี้ ถ้าตายแล้วควรจะไปเป็นพรหม เพราะได้ฌาน ๔ ด้วย แล้วได้อภิญญาสมาบัติด้วย แต่ว่าบรรดาท่านพุทธบริษัทเวลาที่ท่านจะตายท่านไปตายนอกฌาน เอ๊ะ ไอ้คำว่านอกฌานนี่อย่าเข้าใจผิดนา ไม่ใช่ชานบ้าน ประเดี๋ยวจะหาว่าในบ้านมีเยอะแยะไปทำไมไม่นอน ทำไมไม่ตาย ดันมาตายที่นอกชาน ภายนอกของบ้าน เป็นชานเรือนออกไปไม่ใช่ยังงั้น คำว่าฌานังในที่นี้ หรือคำว่าฌานแปลว่าเพ่ง พูดว่า เวลาตายไม่ได้เข้าฌานตายก็ดี ฟังง่ายดี เวลาตายไม่เข้าฌานตาย ปล่อยอารมณ์เป็นปกติ แต่ว่าเป็นกุศล จิตที่ไม่น้อมนำเอาอกุศลเข้ามาไว้ในใจ ตายจิตเป็นกุศล แต่ไม่ได้เข้าฌานตายก็เลยไปเป็นพรหมไม่ได้ คนที่เข้าฌานตาย ถ้าต้องการไปเป็นพรหมก็มีคุณสมบัติเป็นพรหมได้ เขาก็ไปเกิดเป็นพรหม เว้นไว้แต่ถ้าไม่ต้องการเป็นพรหมจะไปแวะพักเป็นเทวดาชั้นในชั้นหนึ่งได้ ไม่ห้าม แต่ว่าท่านผู้นี้ไม่ใช่อย่างนั้นมีสิทธิจะไปเป็นพรหมได้ แต่เวลาจะตายไม่ได้ใช้ฌานให้เป็นประโยชน์ เลยไปเป็นพรหมไม่ได้ มาเป็นเทวดาชั้นที่ ๕ ที่เรียกว่านิมมานรดี แล้วมีหน้าที่เนรมิตของต่างๆ ที่เทวดาชั้นปรนิมมิตวสวัสดีจะต้องใช้ จะต้องการทำให้ด้วยความเต็มใจ แต่ว่าท่านทั้งหลายพวกนี้เมื่อเป็นเทวดาแล้วบำเพ็ญฌานบารมีต่อไป ฌานเข้าที่ตามเดิม ถ้าพ้นภาวะจากเทวดาชั้นนี้เมื่อใด ถ้าหากว่าต้องการเป็นพรหมจะไปเป็นพรหมได้ทันที เรียกว่าเป็นเทวดาที่มีโอกาสจะก้าวขึ้นชั้นสูงต่อไป


    เอาละชมกันตามสบาย รู้กันถึงประวัติความเป็นมาของเทวดาชั้นที่ ๕ แล้ว คราวนี้เราก็ไปชมเทวดาชั้นสูงสุดฝ่ายกามาวจรสวรรค์ เทวดาชั้นที่ ๖ มีนามว่า ปรนิมมิตวสวัสดี แปลว่าเป็นเทวดาที่จะต้องการใช้ของอะไร ผู้ที่ทำให้ก็คือเทวดาชั้นนิมมานรดี เทวดาชั้นนี้มีอายุถึง ๑๖,๐๐๐ ปีทิพย์ แหม ยาวมาก อายุยาว ถ้าจะเทียบกับปีในมนุษย์ ๑๖,๐๐๐ ปีมนุษย์เป็น ๑ วันของท่าน น่าดู ถ้าหากว่ามนุษย์มีอายุเท่านี้ก็น่าดู น่ากลัวว่าเขี้ยวจะยาวจัด แล้วก็สำหรับเทวดาชั้นนี้มีวิมานสวย เป็นที่อยู่ของพระยามาราธิราช เอาละ วันนี้เราจะพบคนสำคัญกัน ว่ากันถึงบุญบารมีหรือว่าที่อยู่ก่อน วิมานใหญ่มีแสงสว่างมาก แสงสว่างจากกาย เป็นสถานที่น่ารื่นรมย์ เรื่องของสวรรค์ไม่ต้องพูดกัน นางฟ้าหรือทุกชั้น เทวดาทุกองค์มีนางฟ้าองค์ละมากๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งชั้นนิมมานรดีและปรนิมมิตวสวัสดีนี่ มีนางฟ้าหน้าตาสวยๆ กระจุ๋มกระจิ๋มนับเป็นหมื่นๆ คน องค์หนึ่งนะ หนึ่งองค์มีนางฟ้านับเป็นหมื่นๆ องค์เป็นบริวาร น่าดูความจริงเราเป็นมนุษย์นี่จะหานางสำหรับเราไขว่คว้าแต่ละคนก็ยุ่งจัง หายาก กว่าจะตกลงกันได้ก็เต็มกลืน จะไปหานางไขว่คว้าสำหรับไขว่คว้าตามถนนก็ต้องเสียสตางค์ ดีไม่ดีก็เป็นโรคไม่ได้เรื่อง แต่นี้ สำหรับเทวดานี่รวยจริงๆ แหมน่าเป็น ไม่ต้องไปหาที่ไหนพอตายปุ๊บไปเป็นเทวดาปั๊บ แหมนางสำหรับไขว่สำหรับคว้ามีอยู่เป็นหมื่นๆ คอยอยู่แล้วนี่ถ้าไม่มียาบำรุงดีๆ หรือยาระงับประสาทดีๆ ก็น่ากลัวเหมือนกัน เพราะพวกผู้หญิงมากๆ นี่ แต่คนเดียวเราก็แย่อยู่แล้วนะ แกพูดไม่ใช้น้อย มากคนถ้าแกพูดกันคนละคำนี่ ฟังคราวหนึ่งก็เป็นหมื่นๆ คำ น่ากลัวเทวดาชั้นนี้จะหูไม่ค่อยดี เรียกว่า ๒, ๓ ชั้นนี่น่ะหูไม่ค่อยดี จึงทนรำคาญพวกสตรีพูดกันได้มากๆ


    เป็นอันว่าบุญบารมีของเทวดาในชั้นนี้ ในสมัยที่เป็นมนุษย์ท่านทรงฌาน ๔ แต่ว่าไม่ทรงอภิญญา ได้ฌาน ๔ เฉยๆ แล้วก็ทรงฌาน ๔ เป็นปกติ รักษาอารมณ์เป็นกุศลแต่ว่าเวลาตายไม่ได้เข้าฌานตายเหมือนกับชั้นนิมมานรดี เมื่อตายแล้วเพราะอาศัยทรงฌาน ๔ ยิ่งมาเป็นเทวดาชั้นนี้ ครั้นเมื่อมาเป็นเทวดาชั้นนี้แล้ว ต่อไปทรงฌานปกติตามเดิม พ้นภาวะจากเทวดาชั้นนี้ ครั้นเมื่อมาเป็นเทวดาชั้นนี้แล้ว ต่อไปทรงฌานปกติตามเดิม พ้นภาวะจากเทวดาชั้นนี้ก็ไปเกิดเป็นพรหม นี่ว่ากันอย่างลัดๆ ถ้าไม่ลัดละก็เจ๊งแล้ว ๒๔ ตอนนี่ไม่จบกันแน่


    ตานี้ เทวดาชั้นนี้มีที่น่าสนใจอยู่อย่างหนึ่ง คือพระยามาราธิราช ความตามที่บางแห่งท่านกล่าวว่า มารโลกมีอยู่ แล้วก็อยู่ที่ชั้นปรนิมมิตวสวัสดีแบ่งกันคนละตอน คือว่ามารอยู่ตอนหนึ่ง อันนี้ พระอรรถกถาจารย์เฝือไป เฝือไปแก้พลาดไป ความจริงพระพุทธเจ้าทรงกล่าวถึงมารโลกเหมือนกัน แต่ว่าท่านไม่ได้แยกบุคคลออก หมายความว่ามารในที่นี้หมายความถึงว่าจิตเป็นมิจฉาทิฐิ แล้วคำว่าโลก ท่านหมายถึงว่าคนๆ หนึ่งหรือเทวดาองค์หนึ่งจัดเป็นโลกๆ หนึ่ง ถ้าเป็นเทวดาก็ตาม มนุษย์ก็ตาม เป็นมิจฉาทิฐิ ท่านเรียกกันว่ามาร เพราะตัวมิจฉาทิฐิเป็นตัวฆ่าความดี มาระหรือมาร แปลว่าผู้ฆ่าความดีของบุคคลคนนั้น


    ทีนี้มาว่ากันถึงพระยามาราธิราช พระยามาราธิราชนี่ ชาวสวรรค์เรียกกันว่าท้าวมาลัย ความจริงเวลานี้ท่านไม่ได้เป็นมารแล้ว เคยพบกับท่าน ท่านคุยสนุกหน้าตายิ้มแย้ม แจ่มใส ท่านบอกว่าเวลานี้ไม่ใช่มาร พระอุปคุตเล่นงานท่านเข้าให้ เป็นคู่ปรับกัน ความเป็นมารของท่านที่จะเป็นศัตรูกับพระพุทธเจ้า จะขอนำเรื่องราวมาเล่าให้ฟังย่อๆ เพราะเหลือเวลาอีก ๓ นาที คือว่าในสมัยหนึ่ง ตอนต้นโน้น ตอนที่พระพุทธเจ้าบำเพ็ญบารมีใหม่ๆ เมื่อปรารถนาพุทธภูมิ ท่านพระยามาราธิราชกับพระพุทธเจ้าเป็นเพื่อนกัน ต่างคนต่างเลี้ยงม้าเหมือนกัน วันหนึ่งก็ไปเกี่ยวหญ้าให้ม้าด้วยกัน พระยามาราธิราชก็เกี่ยวแยกออกไป ต่างคนต่างเกี่ยวคนละทาง วันนั้น บังเอิญมีพระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่งมาต้องการหญ้า ก็มายืนที่พระพุทธเจ้าของเราเกี่ยว พระพุทธเจ้าถวายหญ้าท่านฟ่อนหนึ่ง ท่านก็เหาะไป ครั้นจะเอาของเพื่อนให้ไปด้วยก็เกรงว่าเพื่อนจะไม่มีความเลื่อมใส จะด่าเอาเลยไม่ให้ไป ตอนเย็นเก็บหญ้ามารวม พระพุทธเจ้า ก็บอกกับเพื่อน ว่าวันนี้พระมาบิณฑบาตหญ้าเรา เราเอาของเราให้ไป แต่ว่าของเพื่อนเราไม่ได้ให้ไป เพราะเกรงว่าเพื่อนจะไม่เลื่อมใส เท่านั้นแหละ พระยามาราธิราชสมัยเป็นเพื่อนเจ็บใจหาว่าพระพุทธเจ้าเอาดีคนเดียว เลยจองล้างไว้ ถ้าหากแกจะเป็นพระพุทธเจ้าเมื่อไรก็ตาม หรือก่อนเป็นพระพุทธเจ้าก็ตาม ข้าจะคอยขัดขวางการบำเพ็ญบารมีของแกตลอดไป ทั้งนี้ เพราะว่าท่านเองก็ปรารถนาพุทธภูมิเหมือนกัน


    ท่านเล่าให้ฟังว่าในสมัยที่พระพุทธเจ้าเป็นพระพุทธเจ้า ที่คอยขัดขวางไม่ใช่อะไรเป็นความโง่ของท่าน ท่านคิดเกรงว่าพระพุทธเจ้านี่น่ะ จะเทศน์สอนคนไปนิพพานเสียหมด แล้วเวลาที่ท่านเป็นพระพุทธเจ้าจะไม่มีคนรับการฟังเทศน์ ท่านบอกว่าผมมันโง่มากคุณ ความจริงผมไม่น่าจะโง่แบบนั้น (น่าจะโง่ ไม่ใช่โง่) ที่โง่ก็เป็นเพราะกรรมที่จองล้างจองผลาญกันไว้ รู้สึกเสียใจเหมือนกัน ว่าไม่น่าจะทำ ต่อมาเมื่อพระอุปคุตทรมานเสียจนหมดฤทธิ์ จึงมาได้คิดว่าเราโง่เกินไป เป็นอันว่าท่านมาราธิราช บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย เวลานี้ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องกลัวท่าน ควรจะดีใจ ถ้าท่านมาหาเมื่อไร มีความสุขเมื่อนั้น แล้วก็เลิกเรียกชื่อพระยามาราธิราชได้แล้ว เรียกว่าท้าวมาลัยก็แล้วกัน ท่านเป็นพระโพธิสัตว์


    เอาละบรรดาท่านพุทธบริษัท พามาชมถึงสวรรค์ ๖ ชั้นพอดี และก็พอดีแก่เวลามันจะหมด ก็จะต้องกำหนดให้บรรดาท่านพุทธบริษัทและพระคุณเจ้าที่เคารพ พักอยู่บนสวรรค์ชั้นที่ ๖ ก่อน แล้วก็เที่ยวไปเที่ยวมาตามอัธยาศัยได้ทุกชั้น จะได้สบายใจ วันพุธหน้าจะได้มาพาท่านพุทธบริษัททั้งหลายไปเที่ยวพรหมโลก พอถึงพรหมโลกแล้วก็ถือว่าเอวังกันเอาละสำหรับเวลานี้หมดเวลาแล้วต้องขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผลจงมีแด่ท่านพุทธศาสนิกชนนักทัศนาจรที่ติดตามมาและท่านผู้รับฟังทุกท่าน สวัสดี. .




    <!-- / message --><!-- sig -->__________________
    เทียนติดไฟเล่มเดียวสามารถช่วยให้เทียนอีกหลายพันเล่มพบความสว่างได้...โดยที่ไม่ทำให้เทียนเล่มนั้นมีอายุการใช้งานน้อยลงเลย
    <!-- / sig -->

    พรหมชั้นที่ ๑-๑๖


    ท่านสาธุชนทั้งหลายและพระคุณเจ้าที่เคารพ เมื่อวันพุธก่อนได้พาท่านพุทธบริษัทและพระคุณเจ้าที่เคารพทุกท่านไปเที่ยวชมสวรรค์ชั้นกามาวจร แบบย่อๆ จบลงแล้ว สำหรับวันนี้ เราเดินทางท่องเที่ยวกันในชั้นพรหมต่อไป


    เรื่องการท่องเที่ยวนี่ บรรดาท่านพุทธบริษัท คงจะมีอยู่อีก ๒ ตอน คือตอนนี้กับตอนหน้า เป็นอันว่าจบกัน ทั้งนี้เพราะว่า ถ้าไม่จบหนังสือเล่มนี้จะใหญ่มากเกินสมควร และสำหรับบรรดาท่านพุทธบริษัท ที่ถามถึงวิธีปฏิบัติที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนและยืนยันว่ามีเป็นประการใด ถ้าหากว่าจะนำจดหมายมาอ่านมันก็เกินกว่า ๑๐๐ ฉบับแล้วก็มีท่านพุทธบริษัทหลายท่านส่งเครื่องบันทึกเสียงมาให้บันทึกจะได้เอาไปฟัง อันนี้ก็เห็นจะทำกันไม่ไหว ถ้าขืนทำก็คงจะตายกันละ ตายก่อนจบ เป็นอันว่าเรื่องราวแต่งเพราะกรรมฐานที่พระพุทธเจ้าทรงยืนยัน อาตมาจะนำออกอากาศ หลังจากเรื่องราวแห่งไตรภูมิจบตอนนี้ แล้วก็ตอนหน้าอีก ๑ ตอนจบ หลังจากนั้นก็จะเอาเรื่องราวแห่งพระกรรมฐานที่พระพุทธเจ้าทรงยืนยันในการสอนกับนิโครธปริพาชก ซึ่งปรากฏมีมาในอุทุมพลิกาสูตร เอามาพูดให้บรรดาท่านพุทธบริษัททราบโดยละเอียด ฉะนั้นหากว่า บรรดาท่านพุทธบริษัทที่มีความประสงค์ที่จะเก็บเสียงไว้ ก็โปรดหาเครื่องบันทึก เอามาบันทึกเสียงจากวิทยุไว้ก็แล้วกัน จะได้รับฟังกันโดยทั่วๆ ไป แล้วก็เก็บกันได้นานๆ เรื่องการที่จะตอบจดหมายหรือว่าบันทึกไว้สำหรับให้ฟังน่ะ ทำไม่ไหวแน่ เพราะภาระก็มีหนัก แล้วก็ร่างกายไม่สู้จะดีนัก เอาละ ต่อจากนี้ไป เราไปเที่ยวกันชั้นพรหมดีกว่า


    พรหมขึ้นทางไหนลงทางไหน เวลานี้เราอยู่ในสภาพของกายทิพย์ ไม่เห็นจะมีอะไรยาก ก้าวปั๊บเดียวก็ถึงพรหม


    มาว่ากันถึงพรหมอันดับแรก มี ๓ ชั้นด้วยกัน คือ พรหมชั้นที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ บรรดาท่านพุทธบริษัทและพระคุณเจ้าที่เคารพโปรดทราบ การบำเพ็ญบารมีเพื่อเป็นพรหม หากว่าจะสร้างโบสถ์วิหารการเปรียญสักแสนหลังหรือล้านหลัง หรือว่าจะลงทุนสร้างวัดสร้างวาทำสิ่งสาธารณประโยชน์สักกี่ล้านรายการก็ตาม เราไม่มีโอกาสจะเป็นพรหมกันได้ สำหรับพรหมนี้จะเป็นได้ก็ต้องอาศัยการเจริญสมถกรรมฐานให้ได้ถึงฌานสมบัติ นี่ว่ากันถึงเรื่องพรหมโลกียฌาน แล้วก็พรหมโลกุตรฌาน ก็ต้องมีวิปัสสนาญานควบคู่กับสมถะที่ได้ฌาน แล้วเวลาจะตายจากความเป็นมนุษย์ก็ต้องเข้าฌานตาย ไม่ใช่ตายแบบประเภทส่งเดช เป็นอันว่ารู้กัน รู้กันแล้วนะบรรดาท่านพุทธบริษัท ว่าจะเป็นพรหมต้องเจริญสมถกรรมฐานด้วยภาวนาให้ได้ฌานสมบัติ แล้วก็เวลาจะตายไม่ใช่ตายแบบประเภทส่งเดช คือว่าต้องตายในระหว่างที่ทรงฌาน


    ตานี้ พรหมระดับที่ ๑ ที่ได้ปฐมฌาน ท่านที่เจริญปฐมฌานได้อย่างหยาบ ๆ ปฐมฌานนี่มี ๓ ชั้นด้วยกัน คือ อย่างหยาบ อย่างกลาง อย่างละเอียด ท่านที่ได้ปฐมฌานหยาบ แล้วออกในปฐมฌานหยาบ เวลาตาย ชื่อว่า ปริสัชชาพรหม มีอายุอยู่ในพรหมได้ ๑ ใน ๓ ของกัป เวลาปีนี่อย่าไปถามนะ ไอ้เรื่องกัป ๆ นี่พูดกันมาแล้ว ว่ากำหนดเป็นปีเป็นเดือนเป็นวันไม่ได้ ปฐมฌานหยาบนี่ ไปเป็นพรหมชั้นที่ ๑ ชื่อว่า ปริสัชชาพรหมมีอายุอยู่ในพรหมได้ ๑ ใน ๓ ของกัป แล้วท่านที่ทรงปฐมฌานได้อย่างกลางไปเป็นพรหมชั้นที่ ๒ ชื่อว่า ปุโรหิตาพรหม มีอายุครึ่งกัป ท่านที่เป็นพรหมปฐมฌานอย่างละเอียด พรหมชั้นนี้เรียกว่า มหาพรหมมา มีอายุได้ ๑ กัป สำหรับพรหมกับเทวดามีต่างกันอยู่อย่างหนึ่ง คือว่าเทวดานี่นะ มีนางฟ้าเยอะแยะเรียกว่าไม่ต้องหาสาว ๆ กันก็แล้วกัน มีสาว ๆ คอยบำรุงบำเรออยู่นับเป็นร้อย เป็นพันเป็นหมื่นเป็นแสน แต่ว่าพรหมนี่มีสภาพคือวิมานหนึ่งอยู่องค์เดียว วิมานกว้างใหญ่ไพศาลมีเนื้อเหมือนแก้วใส ๆ มีเครื่องประดับเป็นสีเหลืองคล้ายทองแต่มีประกายออก ถ้าเราจะมองกันไปแล้วประกายของทองจะจับที่เนื้อ เห็นเนื้อพรหมเป็นทองไปหมด นี่ พึงทราบว่าสภาวะของพรหมเป็นอย่างนี้พรหมอยู่กันอย่างสงบสงัด แล้วบรรดาพรหมทั้งหลายไม่มีเพศ ผู้หญิงก็ตาม ผู้ชายก็ตาม ถ้าตายจากความเป็นคนแล้วไปเกิดเป็นพรหม หาความเป็นผู้หญิงผู้ชายไม่ได้ เป็นอันว่าเรื่องราวของการต้องการเพศ ไม่มีสำหรับพรหม อันนี้ ท่านที่ชอบรักก็ไม่น่าจะอยากอยู่นะ คงจะอยากอยู่สวรรค์มากกว่า แต่ว่าท่านที่ต้องการความสงบก็อยู่ที่พรหม แล้วพรหมแต่ละท่านก็เป็นพรหมประเภทที่มีความสงบ คืออยู่ด้วยความเป็นสุขด้วยกำลังของธรรมปีติ คือฌานที่เล่าให้ฟัง


    ต่อไปก็เป็นพรหมสำหรับฌาน ๒ สำหรับฌานที่ ๒ นี่ก็มีอยู่ ๓ อันดับเหมือนกัน คือ อย่างหยาบ อย่างกลาง อย่างละเอียด ท่านที่ได้ฌาน ๒ แล้วก็ตายในฌาน ๒ อย่างหยาบไปเกิดเป็นพรหมชั้นที่ ๔ ชื่อว่า ปริตตาภาพรหม นี่นะ ชื่อชั้นนี้เขาเรียก ปริตตาภามีอายุอยู่ในพรหมได้ ๒ กัป แล้วถ้าหากว่าได้ฌานที่ ๒ อย่างกลาง ไปเกิดเป็นพรหมชั้นที่ ๕ พรหมนี้เรียกว่า อัปปมาณาภา มีอายุได้ ๔ กัป อย่าลืมนะว่าพรหมที่ได้ฌาน ๒ อย่าง กลางไปเป็นพรหมชั้นที่ ๕ พรหมชั้นนี้มีนามของชั้นว่าอัปปมาณาภา มีอายุ ๔ กัป แล้วก็ท่านที่ได้ฌาน ๒ ละเอียด ไปเกิดเป็นพรหมชั้นที่ ๖ พรหมชั้นนี้เรียกนามว่า อาภัสรา มีอยู่ ๘ กัป พรหมแต่ละชั้นๆ นี่ มีอายุเป็นกัปๆ เขาไม่ได้นับเป็นปีๆ


    ทีนี้ มาว่ากันถึงท่านที่ได้ฌาน ๓ ฌาน ๓ นี่แบ่งเป็น ๓ ชั้นเหมือนกันคืออย่างหยาบ อย่างกลาง อย่างละเอียด ท่านที่ได้ฌาน ๓ อย่างหยาบไปเกิดเป็นพรหมชั้นที่ ๗ พรหมชั้นนี้มีนามว่า ปริตตสุภา มีอายุ ๑๖ กัปแล้วท่านที่ได้ฌาน ๓ อย่างกลางไปเกิดเป็นพรหมชั้นที่ ๘ พรหมชั้นนี้มีนามว่า อัปปมาณสุภา มีอายุ ๓๒ กัป แล้วท่านที่ได้ฌาน ๓ อย่างละเอียดไปเกิดเป็นพรหมชั้นที่ ๙ พรหมชั้นนี้มีนามว่า สุภกิณหา มีอายุ ๖๔ กัป แหมกว่าจะมาเกิดเป็นคนได้ นานเหลือเกิน ชักจะเหนื่อยๆ นี่ว่ากันถึงพรหมชั้นที่ ๓


    ตานี้ มาว่ากันถึงพรหมชั้นที่ ๔ ประเภทฌานโลกีย์ ฌาน ๔ นี่มีอยู่ ๒ ระดับ เป็นพรหมได้ ๒ ระดับ คือพรหมชั้นที่ ๑๐ และ ๑๑ ฌาน ๔ อย่างหยาบไปเกิดเป็นพรหมชั้นที่ ๑๐ ชื่อว่า เวหัปผลาพรหม มีอายุเป็นพรหมได้ ๕๐๐ กัป น่าดูเหลือเกิน ท่านที่ได้ฌาน ๔ ละเอียดแล้วก็ได้สัญญาวิราคาภาวนา คือเจริญวิปัสสนาญาณเพื่อความเครียดจากราคะเป็นพรหมชื่อว่า อสัญญีตาภูมิ มีอายุได้ ๕๐๐ กัปเหมือนกัน พรหมชั้นที่ ๑๑ นะ นี่สำหรับพรหมชั้นนี้มีแปลกอยู่อย่างหนึ่ง ชั้นที่ ๑๑ นี่ ไม่ใช่เป็นพรหมชนิดทรงฌานแบบจิตสงบเฉยๆ นะ คือเรียกว่าได้สัญญาวิราคา ฟังรู้เรื่องไหม? ฟังไม่รู้ซี พระบางท่านอาจจะฟังรู้เรื่อง โยมบางท่านอาจจะฟังไม่รู้เรื่อง เพราะตาเถรคนพูดแกพูดส่งเดชนี่ สัญญาวิราคาภาวนา จะไปรู้อะไร ยังงี้ใครจะรู้เรื่อง พูดใหม่ดีกว่า สัญญาวิราคาภาวนา ภาวนาแปลว่าการเจริญคือการทำในด้านของความดี สัญญาแปลว่าความจำ วิราคะแปลว่ากำจัดความรัก ไม่หมดหรอก แต่เบาลงไป เรียกว่ามีวิปัสสนาญาณครบไม่ใช่สมถะอย่างเดียวต้องเจริญวิปัสสนาญาณด้วย แล้วดับความรู้สึกที่จำไว้ว่าไอ้นั่นสวยไอ้นี่สวยอย่างโน้นสวยอย่างนี้สวย อย่างนี้อารมณ์ใจเริ่มเบื่อ แต่ก็ประเภทเบื่อๆ อยากๆ ไม่ใช่เบื่อหมด ประเดี๋ยวเบื่อประเดี๋ยวอยาก แต่มีความรู้สึกเบื่อมากกว่าอยาก บางทีอยากๆ ขึ้นมาแล้ว พอกินเข้าไปแล้วอิ่มเบื่อ แต่ว่าถึงแม้ว่าบางครั้งไม่ได้บริโภคก็เบื่อมาก มีอารมณ์เบื่อมากกว่าความอยาก ท่านจึงเรียกว่าสัญญาวิราคาภาวนา ยังไม่ได้บรรลุมรรคผล นี่จบแค่ฌาน ๔ โลกียฌานเพียงเท่านี้นะ


    แต่พรหมจริงๆ น่ะ บรรดาท่านพุทธบริษัท ท่านมีอยู่ถึง ๑๖ ชั้นสำหรับรูปพรหมที่พูดมานี่ เป็นเรื่องของรูปพรหมทั้งหมด ตั้งแต่ชั้นที่ ๑๒ เดียว จะเก็บไว้ก่อน ยังไม่คุยมาไล่เบี้ยพรหมฝ่ายที่เป็นโลกียฌานกันเสียก่อน สำหรับพรหมนี่ บรรดาท่านพุทธบริษัทถ้าเราคิดกันอย่างมนุษย์ที่มีความต้องการมากๆ จะคิดว่าพรหมนี่หงอยเหงาเหลือเกิน ไม่มีเพื่อนเหมือนเมืองเทวดา เทวดามีเพื่อนมากมีผู้หญิงก็มาก มีผู้ชายน้อย รู้สึกว่าผู้หญิงจะเสียเปรียบผู้ชาย เพราะผู้ชายคนเดียวดีผู้หญิงตั้ง ๕๐๐ เป็นอย่างน้อย บางรายก็ตั้งพันตั้งหมื่นตั้งแสน แล้วบรรดาสาวๆ ทั้งหลายไม่เหงากันแย่รึ ถ้าจะพูดกันอีกทีไม่เหงาหรอกบรรดาท่านพุทธบริษัท เพราะเทวดามีสมรรถภาพมาก ไม่เหนื่อย ไม่เพลีย ไม่ง่วงเหงาหาวนอน เรียกว่า เทวดาเป็นผู้ทรงอานุภาพ สามารถจะแจกความรักได้ทั่วถึงกัน นี่สำหรับคนที่เมาในรักนะ คนที่ชอบรักมากๆ ต้องไปเกิดเป็นเทวดา แล้วคนที่ต้องการความสงบสงัดมากๆ ก็ควรต้องไปเกิดเป็นพรหม พรหมนี่แปลว่าอะไร ไม่ใช่แปลว่าปูพื้นห้อง ไม่ใช่ยังงั้น ไม่ใช่พรมสำหรับเหยียบสำหรับย่ำ พรหมนี่แปลว่าประเสริฐ จำไว้ให้ดี คำว่าพรหมนี่แปลว่าประเสริฐ เป็นผู้มีอารมณ์สงัด มีธรรมปีติอยู่ตลอดเวลา ทรงฌานอยู่ตลอดเวลา มีความสงบสงัด เขาบอกว่าพระพรหมเป็นผู้สร้างโลก พระพรหมบันดาลให้มนุษย์เป็นยังงั้นยังงี้ นี่เป็นประเพณีของคนโกหกมดเท็จ พรหมไม่ได้มีหน้าที่มายุ่งกับคน ใครจะดีจะชั่วเป็นเรื่องของบุคคลคนนั้น ได้เรื่องการบันดาลให้มนุษย์เป็นยังงั้น สัตว์เป็นยังงี้ สร้างโลกนี่ พรหมไม่มีหน้าที่ หน้าที่ของพรหมมีอยู่อย่างเดียว คือมีจิตเมตตา รักคนและสัตว์เสมอด้วยตัว กรุณามีความสงสารมนุษย์และสัตว์เสมอด้วยตัวท่าน มุทิตา เมื่อเห็นบรรดามนุษย์ทั้งหลายทำความดีก็พลอยยินดีด้วย อุเบกขา ถ้าใครสร้างความชั่ว ท่านเตือนไม่ไหวหรือเตือนแล้วไม่ได้ยินไม่ฟัง ไม่ได้รับทราบ ท่านก็ต้องตั้งในอุเบกขา วางเฉยเพราะสงเคราะห์ไม่ไหว นี่ว่ากันถึงเรื่องของพรหม ความอยู่เป็นสุขของพรหมมีความดีมาก สบายมาก สงบสงัด พระเณรในพระพุทธศาสนาที่เรียกว่าพรหมจรรย์ ก็แปลว่าประพฤติ คือหมายความว่าเป็นผู้สงบสงัดจากนิวรณ์ ๕ ประการ นี่ว่ากันเฉพาะพรหมชั้นที่ ๑ ถึงชั้นที่ ๑๐ แต่ว่าถ้าจะให้เหมือนพรหมชั้นที่ ๑๑ ก็ต้องเจริญวิปัสสนาญาณ พอมีอารมณ์ของวิปัสสนาใกล้ ๆ จะตัดสังโยชน์ได้ เห็นของสวยว่าไม่สวย เห็นของดีว่าไม่ดี เพราะจิตเริ่มมีกิเลสบางเข้า นี่ พระทั้งหลายที่เขาเรียกพรหมจรรย์ก็หมายความว่า เป็นผู้มีความประพฤติเหมือนพรหม แต่ว่าพระหลายท่าน หรือกี่ท่านก็ตาม ถ้าปฏิบัติเข้ามาแล้วทรงฌานสมาบัติอย่างพรหม อย่างนี้ เขาเรียกว่าพรหมจรรย์ขวาง พรหมจรรย์ประเภทขวาง ๆ ฉะนั้น เมื่อบวชเข้ามาแล้วในพระพุทธศาสนา บกพร่องในศีล บกพร่องในฌานสมาบัติ พระพุทธเจ้ากล่าวว่าท่านผู้นั้นไม่ใช่สาวกของท่าน เรียกว่าไม่ใช่ลูกของพระพุทธเจ้า ถ้าไม่ใช่ลูกพระพุทธเจ้าก็ไม่ใช่ลูกพระเทวทัตตามใจ นี่ไม่ได้นินทาใครนะ พูดให้บรรดาท่านพุทธบริษัทฟัง บรรดาพระคุณเจ้าและญาติโยมพุทธบริษัทที่ติดตามมา ชมพรหมสวยสดงดงาม พรหมแต่ละท่านมีหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใสหน้าระรื่นชื่นบาน เห็นพวกเราเดินผ่านขึ้นมายกมือไหว้กัน ท่านก็ยกมือรับ และทุกท่านก็รู้สึกว่ามีความสุขใจที่เห็นพวกเราผ่านมา เอา เรื่องการพรรณนายกไว้พูดมาก ตาเถรนี่พูดมาก ประเดี๋ยวเวลาไม่พอ


    คราวนี้ ประเดี๋ยวก่อน เราอย่าเพิ่งไปพรหมชั้นที่ ๑๒ กัน เพราะพรหมชั้นนั้นเป็นพรหมของชั้นอนาคามีที่ได้ฌาน ๔ แล้วออกจากฌาน ๔ ด้วย เวลาตาย มาด้วยกำลังของฌาน ๔ ทีนี้ มาว่ากันถึงพรหมชั้น ๑ ถึงชั้นที่ ๑๑ จะมีพระอริยเจ้าไหม ก็ตอบได้เลยว่ามีพระอริยเจ้าอยู่มาก ที่เป็นพระโสดา สกิทาคา อนาคาก็เยอะ ทั้งนี้เพราะอะไร? เพราะท่านทั้งหลายที่เป็นพระอริยเจ้า ได้ฌานเหมือนกัน แต่เฉพาะอย่างยิ่งต้องไม่ถึงอนาคามีนะ ได้ฌานเหมือนกัน แต่ว่าบางท่านถึงฌาน ๔ ที่ไม่ได้อนาคามีก็ต้องมาเป็นพรหมตั้งแต่ชั้นที่ ๑ จนถึงชั้นที่ ๑๑ สำหรับท่านที่เป็นพระโสดา สกิทาคา อนาคา แต่ว่าไม่ได้ฌาน ๔ ก็ต้องเป็นพรหมระดับต่ำลงไปตั้งแต่ ๑ ถึง ๑๐ หรือว่าท่านที่ได้อนาคามี แต่ว่าได้ฌาน ๔ เวลาจะตายจริง ๆ ไม่ได้ตายในระหว่างฌาน ๔ เข้าแค่ฌานที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ก็มาอยู่ตามระยะตามที่กล่าวมาแล้ว เป็นอันว่าพรหมตั้งแต่ชั้นที่ ๑ ถึงชั้นที่ ๑๑ ไม่ใช่มีแต่ฌานโลกีย์อย่างเดียว ที่เป็นพระอริยเจ้าก็เยอะ จะบอกชื่อพรหมให้รู้จักสัก ๒-๓ ท่านเกรงว่าบรรดาท่านพุทธบริษัทจะสะอิดสะเอียนว่าท่านเหล่านั้นเป็นพระอริยเจ้าขนาดไหนเพราะเคยถามท่าน แต่มาคิดดูแล้วไม่พูดดีกว่า ถ้าขืนพูดดีไม่ดีท่านพุทธบริษัทจะต้องกลั้นใจตาย จะนึกว่าตาเถรหัวล้านนี่เอาใหญ่เสียแล้ว ดันไปรู้เรื่องของพรหมมากเกินไป



    พรหมชั้นที่ ๑๒-๑๖


    ท่านพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย วันพุธนี้ เป็นพุธสุดท้ายของเรื่องไตรภูมิแล้ว ก็ขอบรรดาท่านพุทธบริษัทที่มีความประสงค์จะรู้แนว ทางปฏิบัติตามที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้ว่าการปฏิบัติพระกรรมฐานแบบไหนมันถึงจะถูก แบบไหนมันถึง จะตรง อันนี้ ขอบรรดาท่านพุทธบริษัทเตรียมเครื่องบันทึกเสียงคอยรับเข้าไว้ ว่าการปฏิบัติที่ถูกต้องที่ควรน่ะมันเป็นยังไง ตั้งแต่พุธหน้าเป็น ต้นไป ก็จะนำเอาเรื่องราวที่ พระพุทธเจ้าทรงยืนยันกับนิโครธปริพาชกในเรื่องการสอนเพื่อให้บรรลุมรรคผลมาพูดให้ บรรกาท่านพุทธศาสนิกชนฟังทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าการปฏิบัติเวลานี้ รู้สึกว่ายุ่งๆ อยู่เหมือน กัน บางท่านก็เอาดีกันในด้านที่เรียกว่าพระพุทธเจ้าไม่ดี บางทีบางคนเห็นพระฉันข้าวเวลาเดียว เอ้า นึกว่าโก้ไปมากเสียแล้ว บางทีเห็นเขากินข้าวสำรวมกัน อะไรๆ ก็รวมกันมาหมด อย่างนี้มัน ก็ดีมันก็โก้มาก ทีนี้ถ้าจะทราบว่ามันถูกหรือไม่ถูก ทำแบบนั้น อะไรบ้างถูกอะไรบ้างผิด หรือ ประเภทมังสะวิรัติ ไม่กินเนื้อสัตว์เห็นว่าเป็นของอัศจรรย์ เวลานี้อาตมาจะยังไม่พูดว่าอย่างนั้น ถูก หรืออย่างนี้ถูก เอาไว้ไปฟังกันตอนที่พระพุทธเจ้าพูดดีกว่า เตรียมตัวไว้ก็แล้วกัน ว่าท่านผู้ใด ต้องการแนวประพฤติปฏิบัติที่ถูกต้องตามที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนความจริงถ้าทำได้อย่างนี้นะ ท่านกำหนดเวลาไว้ไม่กี่ปี อย่างช้าบุคคลผู้มีบารมีมาก ๗ วันได้อรหัตผล ถ้าทำคุณสมบัติในเบื้อง ต้นได้ครบถ้วน อย่างกลางไม่เกิน ๗ เดือน และอย่างเลวที่สุดไม่เกิน ๗ ปีเห็นไหม ว่าการสั่งสอน ขององค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้สอนแบบคลุมๆ มีหลักเกณฑ์ในการ สอนครบถ้วนกระทัดรัด เอาละบรรดาท่านพุทธบริษัท ถ้าสนใจนะอย่านั่งเขียนจดหมายมาเลย หรืออย่าส่งเทปมาให้บันทึกเลย ไม่ไหว ทำไม่ไหวจริงๆ นอกจากบันทึกออกอากาศแล้ว งานอื่นยังมี การสอนพระกรรมฐานมีเป็นปกติ การสร้างวัดก็ต้องทำ เพราะว่าที่พักที่อาศัยเข้าใจว่ามากแล้วเวลา นี้กลับเล็กไปเสียอีกแล้ว คนมาพักเข้าจริงๆ ไม่มีที่ให้พัก ต้องไปนอนกันกลางศาลาบ้าง อะไรบ้าง อย่างนี้เป็นต้น ก็รู้สึกว่าสงสารคน คนที่มุ่งความดีจึงได้ตั้งใจจะให้ท่านพุทธบริษัทที่มีความประสงค์ดี ปรารถนาจะปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระชินสีห์บรรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้อยู่ค่อนข้างสบายนิดๆ ไม่ได้สบายมาก มีที่กินสบายหน่อยๆ ไม่ใช่สบายมาก จะได้ประพฤติปฏิบัติธรรมะ จึงจะสร้างวิหารทานขึ้นให้พอสมควรแก่บุคคลผุ้มาพัก เอาละ วันนี้มาพูดกันต่อไป ว่ากันถึงพรหมชั้นดีเลยนะ เป็นพรหมชั้นอนาคามีระหว่างสวรรค์ถึงพรหมนี่เราไม่ได้ชมกันเสียแล้ว บรรดาพระคุณเจ้าที่เคารพและบรรดา ญาติโยมพุทธบริษัทที่รัก เรามาวิ่งชมกัน ถ้าขืนเดินชมกันละก็ร้อยงวด ร้อยพุธไม่จบ นี่เราว่ากัน เพียง ๒๔ พุธ หรือ ๒๔ ตอน เอากันแค่นี้ก็แล้วกัน วันนี้มาว่ากันถึงพรหมชั้นที่ ๑๒, ๑๓, ๑๔, ๑๕, ๑๖ สี่ชั้น แล้วจะย่องพูดเรื่องนิพพานสักนิด นิพพานนี่จะพูดไว้นิดเดียว พูดมากไม่ได้ ประเดี๋ยวคนตกนรกมาก สำหรับพรหม ๔ ชั้นนี้ เป็นพรหมที่ได้อนาคามี สมัยที่เป็นมนุษย์ เจริญฌานสมาบัติได้ถึงฌาน ๔ แล้วก็ได้อนาคามี เหลืออีกขั้นเดียวจะเป็นพระอรหันต์ ถ้าหากว่าท่านที่ได้อนาคามีแล้ว แล้วเวลาจะตายได้ฌาน ๔ ขอโทษได้ฌาน ๔ มาก่อน เวลาจะตาย ทรงอยู่ในฌาน ๔ ออกจากกายด้วยกำลังของฌาน ๔ อันดับแรก ว่ากันยังงั้นก็แล้วกัน อันดับแรก ท่านบอกว่าเป็นประเภทมีอินทรีย์แก่กล้านะ อินทรีย์แก่กล้า อินทรีย์นี่คือความเป็นใหญ่ แล้วแก่กล้า ในทางการพิจารณาใหญ่ หูก็ใหญ่ ตาก็ใหญ่ ปากก็ใหญ่ จมูกก็ใหญ่ ใหญ่ในที่นี้ มีความเป็นใหญ่ ในอายตนะ ปากมีหน้าที่กิน จมูกมีหน้าที่สูดกลิ่น หูมีหน้าที่ฟัง อย่างนี้เป็นต้น จมูกจะไปฟังเสียง ไม่ได้ เพราะหูเขาใหญ่ เขาไม่ยอมให้ฟัง หูก็เหมือนกันจะไปดมกลิ่นไม่ได้เพราะจมูกเขาใหญ่ เขาไม่ยอมให้ละเมิดหน้าที่เขา หน้าที่ใครหน้าที่มัน พรหมประเภทนี้ พิจารณาอายตนะภายใน ๖ อายตนะภายนอก ๖ มีความแก่กล้า เห็นว่าไม่เป็นเรื่อง เกิดมาเป็นพรหมชั้นที่ ๑๒ พรหมชั้นนี้ มีชื่อ อวิหาสุทธาวาส มีอายุ ๑,๐๐๐ กัป ว่ากันง่ายๆ ยังงี้ดีกว่า แล้วต่อไปพรหมชั้นที่ ๑๓ เป็นพระอนาคามี เวลาตาย ออกจากฌาน ๔ เหมือนกัน พรหมนี้มีวิริยะกล้า เพราะมีความเพียร มาก มีวิริยะ อุตสาหะมาก ไม่อยากจะพูดกับใครไม่อยากจะคุยกับใคร มุ่งหน้าอย่างเดียว ปฏิบัติเพื่อบรรลุมรรคผล อันนี้องค์สมเด็จพระทศพลท่านบอกว่า เวลาตายจากความเป็นมนุษย์ มากเกิดเป็นพรหมชั้นที่ ๑๓ พรหมชั้นนี้มีนามว่า อตัปปาสุทธาวาส มีอายุ ๒,๐๐๐ กัป น่าดูๆ แล้วก็พรหมชั้นที่ ๑๔ เป็นพระอนาคามีเหมือนกัน พรหมประเภทนี้เวลาเจริญพระกรรมฐาน ทั้งสมถะและวิปัสสนา มีสติแก่กล้า คือไม่ค่อยจะลืมอะไร มีสติมาก นี่ปฏิปทาไม่เหมือนกันนะ มีสติมากมาเกิดเป็นพรหมชั้นที่ ๑๔ มีนามว่า สุทัสสาสุทธาวาส มีอายุ ๔,๐๐๐ กัป แหม เยอะน่าดู แล้วก็พรหมชั้นที่ ๑๕ เป็นพระอนาคามีเหมือนกัน พรหมชั้นนี้มีสมาธิแก่กล้ามาก นี่ไม่เอาอะไรทางไหน หมายความว่าฉันนั่งตั้งเป็นสมาธิให้มันเป๋ง จิตสงบอยู่ตลอดเวลา ใครจะพิจารณาอินทร์ก็ช่าง จะมีวิริยะ ความเพียรมากก็ช่าง จะมีสติมากก็ช่าง แต่ว่าท่านต้อง มีนะ เหล่านั้นมีมาหมด แต่ว่าทรงสมาธิแก่กล้ามาก ใจตั้งอยู่ในอารมณ์ของฌานเกือบตลอดวัน ว่ากันแค่เกือบนะ จะเอาตลอดวันเสียเลยมันจะไม่ถูก ต้องมีเวลาพักบ้างซี ไม่พักบ้างก็แย่ แต่ถึง พักก็เถอะ ท่านก็ตั้งอยู่ในฌาน อย่างน้อยที่สุด อย่างเลวที่สุดจิตตั้งอยู่ในอุปจารสมาธิ หรือไม่ยัง งั้นกับปฐมฌาน ทุติยฌาน เรื่องฌานไม่คลาดกันแน่ พรหมชั้นนี้มีชื่อว่า สุทัสสีสุทธาวาส มีอายุ ๘,๐๐๐ กัป แหมเยอะ ประเดี๋ยว พลิกไป พลิกมา พลิกไปหาพรหมชั้นที่ ๑๖ ซิ เอาตำรามาด้วย กัน เสียวกร๊อกแกร๊กๆๆ นี่ประเดี๋ยวบรรดาญาติโยมทั้งหลายจะสงสัยว่าวันอื่นๆ ไม่มีเสียง วันนี้ทำไมถึงมีเสียง วันนี้ทำไมถึงมีเสียง ก็มันอยากมาเที่ยวด้วย ถือตำราด้วย อ้าว ลืมชวนเที่ยวไป ตามกันมาหรือเปล่าล่ะ มามากันทุกคน เวลานี้ทุกคนเอาหูตามอาตมาไป อาตมาเที่ยวด้วยปาก ญาติโยมพุทธบริษัทเดินตามด้วยหู สบาย ตานี้ มาว่ากันถึงพรหมชั้นที่ ๑๖ พรหมชั้นนี้มีนามว่า อกนิษฐสุทธาวาส แหม แจ๋ว อกนิษฐสุทธาวาส ที่อ่านช้าๆ พูดช้า ก็เกรงว่าท่านเจ้ากรมสื่อสาร ทอ. คือท่านพลอากาศตรี หม่อมราชวงศ์เสริม สุขสวัสดิ์ นักลอกจากเสียงเป็นตัวหนังสือจะเขียนไม่ชัด เครื่องบันทึกอันก่อนที่ บน. ๔ คือ ๐๔ เขาส่งไปให้ บอกว่ามันทุ้มเกินไปฟังไม่ค่อยจะชัด นั่นเสียงเขาทุ้มมากไป นี่เลยขอยืมเครื่อง พระอีกองค์หนึ่งมาบันทึกถ่ายทอดเข้าไว้ เสียงคงจะชัดดีกว่า เลยพูดช้าๆ พรหมชั้นนี้มีอายุ ๑๖,๐๐๐ กัป โอ้โฮ เจ๊งเลย แต่ว่าส่วนใหญ่นะ พรหมท่านเป็นอนาคามี อยู่ไม่ค่อยเต็มที่นัก ท่านก็มักหาโอกาสบำเพ็ญบารมีไปนิพพานกันเร็วๆ นี่ว่ากันถึงอายุของท่านนะ ถ้าหากว่าเป็น พรหมชั้นอนาคามีก็ดี เทวดาชั้นอนาคามีก็ดี จะเป็นเทวดาตั้งแต่ภุมเทวดาหรืออากาศเทวดา ก็ตาม ถ้าเป็นอนาคามีแล้วยังบำเพ็ญบารมีไม่ถึงอรหัตผล ตายตรงนั้นแล้วก็เกิดตรงนั้น หมายความว่าไม่มีโอกาสจะกลับไปเกิดเป็นมนุษย์อีกจนกว่าจะถึงพระนิพพาน อ้าว พูดเลอะเทอะ แล้วซี พรหมชั้นนี้มีปัญญาแก่กล้ามากพิจารณาขัณธ์ ๕ โอ๊ยเอาอย่างจริงจังเลย แต่ว่าแบบ ๓ อย่างที่กล่าวมา ท่านมีครบถ้วน แต่ว่าท่านใช้ปัญญาหนัก ใกล้จะเป็นอรหันต์เต็มที พรหมชั้นนี้ เป็นพระอรหันต์เร็วกว่า ๓ ชั้นโน่น เพราะมีปัญญามาก เราเรียกกันว่าท้าวมหาพรหม หรือว่า สหัมบดีพรหม พรหมชั้นนี้นะ สหัมบดี สหะ แปลว่ารวม บดี แปลว่าใหญ่ พรหมชั้นนี้ เป็นใหญ่กว่าพรหมทั้งหมดพรหมทั้งหมดต้องเคารพพรหมชั้นนี้ เพราะอะไร? เพราะท่านมี บารมีใกล้พระอรหันต์เต็มที เอาละบรรดาญาติโยมและพระคุณเจ้าที่เคารพ เห็นหรือยัง เห็นพรหมบ้างไหมอยากจะไปเป็นพรหมชั้นไหนก็เลือกเอาตามอัธยาศัยที่ท่านปฏิบัติ ตานี้ เมื่อเราเที่ยวพรหมกันจนหมดแล้ว ไม่ต้องไปคุยกับท่านหรอกนะ ไปคุยกับองค์ไหนก็คุยได้ คุยแล้วบรรดาท่านพุทธบริษัทจะสงสัย ว่าตาหัวเหม่งนี่เอาอีกแล้ว เอาอีกแล้ว ไปพูดกับคนที่ไม่มี ตัว นี่เอาอีกแล้ว จะยุ่งใหญ่ไม่คุยเลยดีกว่า เวลาเหลือน้อย .

    __________________
    เทียนติดไฟเล่มเดียวสามารถช่วยให้เทียนอีกหลายพันเล่มพบความสว่างได้...โดยที่ไม่ทำให้เทียนเล่มนั้นมีอายุการใช้งานน้อยลงเลย
    <!-- / sig -->

    อรูปพรหม


    แต่ต่อจากนี้ไป เรามาเหลียวไปดูอรูปพรหม พรหมที่ว่ามี ๒๐ ชั้น พรหมที่มีรูป ๑๖ ชั้น แล้วพรหมที่ไม่มีรูป ที่เรียกว่าอรูปพรหมนี่ ความจริงไม่ได้เป็นชั้นที่ต่อสูงขึ้นไปเป็นชั้นที่ ๑๗ ๑๘ ๑๙ ๒๐ ไม่ใช่ยังงั้น อรูปพรหมนี่ไม่ได้ตั้งปนอยู่กับพรหม แล้วก็ไม่ได้อยู่สูงกว่าพรหมที่มีรูป อยู่ในช่องกึ่งกลางระหว่างพรหมชั้นที่ ๘ กับชั้นที่ ๙ นี่ อรูปพรหมน่ะเขาอยู่อย่างนี้นะ บรรดาท่านพุทธบริษัท เวลาเดินขึ้นมาบนเขตของพรหม เราหันหน้าไปทางด้านทิศตะวันตกของเมืองมนุษย์ นี้ถ้าหากว่าเราเดินมาชั้นที่ ๑ ถึงชั้นที่ ๘ แล้วก็กำลังเดินไปชั้นที่ ๙ เหลียวไปข้างซ้ายมือ ถ้าจะว่ากันไปก็เป็นทิศใต้ก็แล้วกัน เราจะเห็นทะเลอากาศขาวเป็นประกายไม่เหมือนอากาศธรรมดา เป็นทะเลอากาศทั้งหมด แต่ไม่ใช่อากาศเวิ้งว้างแบบละเอียด ขาวแล้วก็เป็นประกายระยิบระยับ เป็นแดนที่มีความกว้างขวางบอกไม่ถูก มองดูที่สุดของพื้นที่ไม่ไหว ไม่ทราบว่าที่สุดจะกว้างยาวสักเท่าไร หาวิมานสักหลังก็ไม่มี หารูปกายสักรูปหนึ่งก็ไม่มี ที่เขาบอกว่าพรหมลูกฟักเป็นพรหมแล้วมีรูปร่างเหมือนฟักแฟงแตงน้ำเต้าอะไรก็ช่างเถอะ แบบนี้ยังรู้ไม่จริง ถ้ารู้จริงๆ ต้องย่องขึ้นไปดูซี เอาเดินไปดูกันสักนิดก็ได้ เดินไปเดินไปในอากาศนั่นแหละ มันไม่ยาวเราเดินไปด้วยปาก อาตมาเดินด้วยปาก บรรดาท่านพุทธบริษัทและพระคุณเจ้าที่เคารพที่ติดตามมา เดินด้วยใจ มันจะไปยากลำบากอะไร เดินไปเดินมาไปเถอะ จะไปหารูปกายสักนิดก็ไม่มี สิ่งที่จัดว่าเป็นวัตถุในด้านของความเป็นทิพย์สักหน่อยหนึ่งก็ไม่มี รูปกายสักนิดก็ไม่มี สิ่งที่จัดว่าเป็นวัตถุในด้านของความเป็นทิพย์สักหน่อยหนึ่งก็ไม่มีแต่ปรากฏว่าช่วงอากาศตรงนี้เป็นอากาศหยาบ สวยเป็นประกายแพรวพราว แดนนี้เขาเรียกว่าแดนของอรูปพรหม ถ้าหากว่ารูปไม่มีแล้วอะไรเป็นพรหม ก็ต้องบอกกล่าวว่าจิตของพรหมแต่ละพรหมนั่นแหละ อยู่ในบริเวณของอากาศนั้น ไม่มีรูป ถ้าจะมีปัญหาถ้าว่าทำไมพรหมทั้งหลายพวกนี้จึงไม่มีรูปก็เพราะว่าในสมัยที่พวกนี้เป็นมนุษย์ เกลียดรูป ทำไมจึงเกลียด เวลาหนาวก็ดี ร้อนก็ดี หิวก็ดี กระหายก็ดี ป่วยไข้ไม่สบายก็ดี ปวดอุจจาระปัสสาวะก็ตาม ถูกเมียด่าถูกผัวว่า ถูกเจ้าหนี้มาทวงหนี้ แกก็คิดว่าอย่างนี้อาการที่ไม่ชอบใจเราทั้งหมด นี่เป็นอาการที่เพราะมีร่างกายเป็นสำคัญ ถ้าเรายังมีร่างกายอยู่เพียงไร ความทุกข์ทั้งหลายเหล่านี้ก็จะปรากฏแก่เรา ฉะนั้นจึงได้บำเพ็ญบารมีในด้านอรูปฌาน คืออากาสาณัญจายตนะ พิจารณาอากาศเป็นสำคัญว่าอากาศที่สุดมิได้ แล้วพิจารณาวิญญาณัญจายตนะ ดูวิญญาณว่าวิญญาณนี้ก็หาที่สุดมิได้เหมือนกัน แล้วก็ได้อากิญจัญญายตนะ คือว่าในโลกนี้ไม่มีอะไรเป็นสำคัญ มันสลายตัวหมดแล้ว มาขั้นที่ ๔ ก็เนวสัญญานานัญญายตนะ เลยทำอารมณ์ของตัวเป็นคนที่มีความจำไม่เหมือนกัน แต่ทำเหมือนว่าจำไม่ได้ ไม่รับรู้อะไรทั้งหมดเหมือนหลวงพ่อกบ วัดเขาสาลิกา จังหวัดลพบุรี ท่านทำแบบนี้ สำหรับพรหมทั้ง ๔ ชั้น คือ อรูปพรหมนี้ เป็นพรหมที่รู้สึกว่ามีอะไรอาภัพมาก ว่ายังงั้น มีความอาภัพมาก เพราะว่าเวลาที่พระพุทธเจ้าตรัสเทศน์โปรด ไม่มีโอกาสจะรับฟัง ไม่เหมือนบรรดารูปพรหมทั้งหลาย ท่านทั้งหลายเหล่านี้มีโอกาสฟังเทศน์ของพระพุทธเจ้า เมื่อฟังแล้วแต่ละคราว บรรดาพรหมที่เป็นพระอริยเจ้าเสียก็เป็นพระอรหันต์เข้านิพพานไป บรรดาพรหมที่ทรงฌานโลกีย์ ที่เป็นพระอริยเจ้าเสียก็มาก นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท เรื่องของพรหมโลกีย์นะ นี่ส่วนใหญ่เรียกว่าส่วนใหญ่ คนมักจะมาตีความหมายเอาด้านอรูปพรหมนี่ พรหมที่มีความดีสูงไปอยู่ชั้นสูงมากสูงกว่ารูปพรหม อันนี้มันไม่ถูก ไม่ถูกหรอก พรหมมี ๒๐ ชั้นจริง เป็นรูปของพรหมเสีย ๑๖ ชั้น เขาตั้งอยู่ระดับหนึ่ง สำหรับอรูปพรหมอยู่อีกเขตหนึ่ง ไม่ได้ปนกัน เอาละบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน วันนี้ว่ามาถึงพรหมชั้นที่ ๑๑ แล้วต่อท้ายด้วยอำนาจของอรูปพรหม ดูเวลานี่มันก็จะหมดเวลา ฉะนั้น ขอพาบรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลายโดยถ้วนหน้า และพระคุณเจ้าที่เคารพเดินกลับไปกลับมา กลับมากลับไป ชมพรหมเล่นโก้ๆ ถ้าชมแล้วอย่าชมเปล่าถ้าปรารถนาจะรู้อะไรจากพรหมก็ถามท่านได้ เพราะท่านพวกนี้มีความดีมาก มีนามว่าเป็นผู้ประเสริฐ แล้วก็พร้อมที่จะบอกข้อเท็จจริงในข้อวัตรปฏิบัติ ถึงแม้ว่าเมืองเทวดาก็เหมือนกัน ถ้าเรามีความประสงค์ปรารถนาจะเป็นเทวดาชั้นไหน ถ้าเราเที่ยวไปได้ไปถามท่าน เห็นเทวดาองค์นี้มีวิมานสวย มีนางฟ้ามาก เราอยากจะเป็นคนมีวิมานสวยๆ อย่างนั้น มีเมียมากๆ แบบนั้น ว่ามันให้ชุ่ม อยู่เมืองมนุษย์หายาก กว่าจะตกลงได้แต่ละคนก็แสนลำบาก เมื่อเลือกมาแล้ว คัดมาแล้ว กลับมาแก่เสียอีก มาเก่าเสียอีก ตอนสาวๆ จู้จี้จุกจิก สวยยังงี้ก็ไม่ชอบ เอาแบบโน้น ไอ้แบบที่ว่าดีที่สุดนะมันดีไม่นาน ไม่ช้าก็หย่อนก็ยานก็เหี่ยวก็แห้ง สำหรับเมืองเทวดาไม่เป็นยังงั้น เต่งตึงเปล่งปลั่ง ตึงอยู่เสมอ สาวตลอดกาลตลอดสมัย ผู้ชายก็หนุ่มตลอดกาล ถ้าเราอยากจะต้องการวิมานประเภทไหน มีนาฟ้ามากเท่าไร ไปถามท่าน ท่านก็บอกปฏิปทาที่ท่านประพฤติปฏิบัติในสมัยที่เป็นมนุษย์ .
    __________________
    เทียนติดไฟเล่มเดียวสามารถช่วยให้เทียนอีกหลายพันเล่มพบความสว่างได้...โดยที่ไม่ทำให้เทียนเล่มนั้นมีอายุการใช้งานน้อยลงเลย
    <!-- / sig -->

    พระนิพพาน


    ตานี้มาพูดกันถึงแดนพระนิพพาน อันนี้พระพุทธเจ้าทรงรับรองนี่ ว่าสถานที่อีกแห่งหนึ่งมีดีกว่าพรหม บริสุทธิ์กว่าพรหม มีความสุขกว่าพรหม ถึงที่นั่นแล้วไม่มีการเคลื่อน นี่พระพุทธเจ้าไม่ได้บอกว่าพระนิพพานสูญ แต่ว่าเราเรียกกันว่าสูญ อาตมาเรียนมาก็สูญ แถมก็ไปเทศน์ว่าสูญเสียอึก เยอะด้วยซี ต่อมาภายหลังทราบชัดว่าองค์สมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาคย์ คือพระพุทธเจ้ารับรองว่านิพพานไม่สูญ เลยเทศน์ใหม่ ไปเทศน์ที่ไหนก็ไปขออภัยชาวบ้านเขาว่า ได้ที่เทศน์มาเก่าน่ะมันผิด เวลานี้ไปพบพระสูตรเข้าสูตรหนึ่ง ปรากฏว่าพระพุทธเจ้ายืนยันว่าพระนิพพานไม่สูญ แล้วถ้าพระนิพพานไม่สูญหรือพระนิพพานสูญ เราจะรู้กันได้ยังไง เอาละบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายที่ฟังก็ตาม ที่ติดตามมาก็ดี ฟังกันดูให้ดีนะ ถ้าใครสงสัยเรื่องพระนิพพานทำกันแบบนี้ จะบอกให้ มีหรือไม่มี สูญหรือไม่สูญ เอากันแบบปฏิบัติให้มันถึงนา ไม่ใช่มานั่งเถียงกัน ไอ้การที่มานั่งเถียงกันนี่ไม่มีประโยชน์ เมื่อยลิ้นเปล่าๆ ไปนอนไปเที่ยวไปดูหนังดูละครดีกว่า หรือกินข้าวกินปลาให้มันอิ่มดีกว่า อย่ามานั่งเถียงกัน มานั่งทำกันให้มันถึงเลยดีกว่า ทำถึงเลยทำยังไงจะบอกให้ฟัง ในตอนต้นปฏิบัติตามแบบอุทุมพลิกาสูตร อย่าละ อย่าเว้นนา นิดหนึ่งก็ห้ามข้ามแล้วหน่อยหนึ่งก็ห้ามประมาท ทำแต่พอเหมาะพอดี อุทุมพลิกาสูตร พุธหน้าเริ่มต้นแล้วฟังไว้แล้ว จำไว้ บันทึกเข้าไว้ จะมานั่งถามกันบ่อยๆ ถ้าออกรายการนั้นแล้วเอามาถามไม่พูดไม่ฟังอีกแล้ว ถ้าพูดไห้จำแล้วไม่จำ ไห้จดแล้วไม่จด ให้เก็บเสียงไว้ไม่เก็บ จะมานั่งถามกัน เสียเวลานอน ไม่เอาไม่เอาหรอก ไม่ได้บวชมาเพื่อประจบชาวบ้าน บวชมาเพื่อมีความประสงค์อย่างเดียว คือว่าเป็นตาเถรไม่อยากเกิด แต่มันจะเกิดหรือไม่เกิดก็ช่างมัน แต่จิตใจมั่นไม่อยากเกิด เป็นเถรนี่ดีกว่าพระมียศทีศักดิ์ เพราะตำแหน่งเถรใครถอดไม่ได้ สบายเวลานี้เป็นเถร สบายเวลานี้เป็นเถร ไปดูในทำเนียบพระไม่มีหรอกเถร มีแต่เถระพระผู้ใหญ่ ตาเถรไม่มี นี่คนพูด นี่เป็นตาเถร ไม่อยู่ในทำเนียบพระ สบาย สบายเพราะไม่มีตำแหน่งให้ถอด เป็นอันว่าปฏิบัติตามอุทุมพลิกาสูตรนั้น ให้ได้ด้วยบุพเพนิวาสานุสสติญาณระลึกชาติได้แล้วก็จุตูปปาตญาณ คือได้ทิพยจักขุญาณ เอาละ อีตรงนี้ แล้วก็พิจารณาวิปัสสนาญาณ ให้เข้าถึงโคตรภูญาณหรือพระโสดาบัน แค่โคตรภูญาณนี่ใช้ได้แล้วพอแล้ว ตอนนี้ เราจะอาศัยทิพยจักขุญาณมองเห็นพระนิพพานได้ชัดเจน แจ่มใส ไม่ต้องถึงอรหันต์แล้วก็ยังไม่ถึงพระโสดาบัน นี่ว่ากันฝ่ายวิชชาสามขึ้นไปนะ วิชชาสาม อภิญญา ๖ เข้าปฏิสัมภิทาญาณ ท่านผู้นี้เห็นพระนิพพานชัดเจนแจ่มใส แต่ว่าฝ่ายสุขวิปัสสโก ไม่เห็นอะไร แต่พอใจ เชื่อว่าพระนิพพานมีจริง เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัทชายหญิง เรื่องของพระนิพพาน นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป หากว่าท่านไม่สามารถสร้างทิพยจักขุญาณให้ปรากฏ แล้วก็ไม่สามารถจะทำจิตของท่านให้เข้าถึงโคตรภูญาณ เรื่องของพระนิพพานเย็บปากไว้เสียก่อนดีกว่า เย็บเสียเลยนะ อย่าเผยอพูดไปเลย พูดเท่าไรผิดเท่านั้น เพราะอะไร? ฟังมาเยอะแล้ว ฟังมามากแล้วที่ท่านไม่เข้าถึงจังหวะแล้ว พูดถึงพระนิพพานไม่เห็นใครพูดถูกสักราย แม้แต่เพียงแค่เปรตยังพูดไม่ถูก อสุรกายก็พูดไม่ถูกแล้ว ทำไมจะไปพูดเรื่องพระนิพพาน เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน เรื่องไตรภูมิก็ขอเอวังลงแค่นี้ บรรดาท่านพุทธบริษัทที่มาเที่ยวพรหมชั้นอนาคามี แหงนหน้าขึ้นไปดูอีกสักนิดซี กำลังยืนอยู่ชั้นที่ ๑๖ เห็นไหม ท้องฟ้าต่ำๆ มีทางเป็นประกายระยิบระยับสวยสดงดงามยิ่งกว่าพรหมชั้นที่ ๑๖ มาก แค่ทางนะ ท้องฟ้าก็สวย มีดาวเป็นประกายเต็มไปหมด ดาวดวงใหม่ที่สุดก็มีดวงเล็กๆ ย่อมลงมาก็มี สถานที่นี้เขาเรียกว่าอะไร นั่นคือพระนิพพาน เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน เมื่อเวลาก็หมด รายการก็ขอหมดเพียงนี้เพราะไตรภูมินี้ ถ้าจะพูดกัน ๑๐๐ ตอน หรือ ๒๐๐ ตอน แต่หนังสือจะมากเกินไปพูดมาเท่านี้ก็เพื่อให้บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายได้รับฟังไปนิทรรศนะได้บ้าง ถ้ามีใครมีความต้องการเกินในนรก เป็นเปรต อสุรกาย สัตว์เดียรัจฉาน หรือเป็นมนุษย์ เป็นเทวดา เป็นพรหม หรือไปนิพพาน จะได้นำเอาปฏิปทานั้นเป็นเครื่องวัดใจของตัว แล้วก็ปฏิบัติตามนั้น จะได้ไปในที่นั้นๆ ได้สมตามอัธยาศัย เอ้า วันนี้เลยเวลาของสถานีวิทยุ ๐๔ มาหน่อยหนึ่งแล้ว ขออภัยท่านเจ้าหน้าที่ด้วย ยังไงๆ ก็เป็นอันว่าเลิกเที่ยวกันเสียทีสำหรับเมืองผี ก็ขอยุติด้วยเวลาแต่เพียงนี้ ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล ขอบรรดาพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย จงเจริญไปด้วยจตุรพิธพรชัยทั้ง ๔ ประการ มีอายุ วรรณะ สุขะ พละ และ ปฏิภาณ ธรรมใดที่สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาจารย์ และพระอรหันต์ทั้งหลายได้ ขอบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายที่เป็นสาวกขององค์สมเด็จพระประทีปแก้ว จงเห็นธรรมนั้นทุกท่านในชาติปัจจุบันนี้เถิด สวัสดี. .



    <!-- / message --><!-- sig -->__________________
    เทียนติดไฟเล่มเดียวสามารถช่วยให้เทียนอีกหลายพันเล่มพบความสว่างได้...โดยที่ไม่ทำให้เทียนเล่มนั้นมีอายุการใช้งานน้อยลงเลย
    "ไตรภูมิ"
    หลวงพ่อฤาษีลิงดำ


    1. กรรมที่นำไปสู่นรก
    2. ทาง ๔ แพร่งสู่โลกันตนรก และสำนักพระยายม
    3. การพิจารณาโทษของพระยายม
    4. นรกขุมใหญ่ ขุมที่ ๑
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 7-6.gif
      7-6.gif
      ขนาดไฟล์:
      27.8 KB
      เปิดดู:
      2,001
    • 137-14.gif
      137-14.gif
      ขนาดไฟล์:
      22.8 KB
      เปิดดู:
      500

แชร์หน้านี้

Loading...