หลวงพ่อเซ่ง วัดป่ากร่ำ

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย ฤกษ์ชัย ธ., 15 สิงหาคม 2022.

  1. ฤกษ์ชัย ธ.

    ฤกษ์ชัย ธ. สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2022
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +2
    พระผงกระดูกผี 67D37C1A-33EE-49BA-A585-B0EF10B1198C.jpeg หลวงพ่อเซ่ง วัดป่ากร่ำ
    พระอาจารย์เซ่ง เขมังกโร (พระครูเกษมคุณากร) วัดป่ากร่ำ เกิดในปีขาล ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ 25 มิถุนายน 2457 เข้าอุปสมบทเมื่อปีชวด วันที่ 18 มิถุนายน 2479 ที่วัดพลงช้างเผือก โดยมีพระครูสังฆการบูรพาทิศ เป็นพระอุปัชฌาย์ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดป่ากร่ำ ตั้งแต่ปีพ.ศ. 2494 – 2516 รวมระยะเวลา 22 ปี ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ชั้นสัญญาบัติเป็น พระครูเกษมคุณากรเมื่อปี2516 และมรณะภาพเมื่อ 7 มีนาคม 2516 ที่ รพ.สงฆ์ กทม. เมื่อมีอายุครบ 58 ปี


    พระสมเด็จเนื้อผงกระดูกผีของพระอาจารย์เซ่ง วัดป่ากร่ำ จากคำบอกเล่าและจากที่ไปสอบถามจากผู้ที่อยู่ทันยุคของท่าน เข้าออกวัดบ่อยสมัยนั้น และจากผู้ที่บวชเรียนอยู่กับท่านอาจารย์เซ่ง ต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า "พระสมเด็จผสมผงกระดูกผี" ในการผสมมวลสารนี้ ไม่มีใครเลยที่รู้ว่ามีส่วนผสมอะไรบ้าง ท่านอาจารย์จะทำมวลสารต่างๆภายในกุฏิแต่เพียงผู้เดียว เป็นมวลสารที่ได้รวบรวมมาจากสถานที่ต่างๆทั่วประเทศ เพราะท่านอาจารย์เป็นคนที่ชอบออกไปเสาะแสวงหาของดีทั่ว แบบว่าที่ไหนว่าดีก็ต้องไปให้ได้ หนึ่งสิ่งที่ชาวบ้านเขารู้กันคือ การตามหาเหล็กไหลของท่าน แต่ก็ไม่อาจทราบได้ว่าสุดท้ายแล้วท่านได้มาหรือไม่ มาพูดถึงมวลสารในพระสมเด็จ ท่านจะลบผงต่างๆตามตำราเองในห้องของท่าน(ห้องของท่านสมัยนั้นขนาดพระในวัดยังไม่กล้าเดินผ่าน) วิชาที่ท่านชำนาญ ตามคำบอกเล่าของศิษย์ท่าน จะเป็น วิชามหาละลวย เมตตามหานิยม มหาเสน่ห์ ทางด้านคงกระพัน และอีกวิชาที่โดดเด่นของท่านคือวิชาไสยศาสตร์เลี้ยงผีเลี้ยงพราย วิชาเกี่ยวกับภูติผีและจิตวิญญาญ บางคนขนานนามท่านว่า พระหมอผีบ้าง พระเทวดาบ้าง ส่วนผงพรายของท่านนั้น ไม่ใช่ผงพรายกุมารแบบของหลวงปู่ทิม แต่เป็นผงพรายที่ตายจากอาการต่างๆตามตำรา ที่เรียกว่าตายโหง ส่วนตัวคิดว่าน่าจะตามตำราแบบเดียวกับ เก้าโกศ อาทิ จมน้ำตาย ฟ้าผ่าตาย ผูกคอตายรถชนตาย ตกต้นไม้ตาย ฯลฯ ครบทั้งเก้าอาการ แต่ต้องเป็นศพที่ตายวันเสาร์เผาวันอังคาร หลังจากได้ผงกระดูกมาท่านจะนำไปกำกับและปลุกเสกในห้องเช่นเดิม แล้วท่านก็ผสมออกมาให้พระลูกวัดกดพิมพ์พระ พระบางรูปไม่กล้ากดต้องให้ท่านมานั่งอยู่ใกล้ๆด้วย ท่านก็บอกว่า ฉันทำมาดีแล้ว ท่านกดไปเถอะ พูดแบบยิ้มๆ พระบางรูปกดพระเสร็จจับไข้ไปเลยก็มี สมัยนั้นพระสมเด็จชุดนี้ ไม่ค่อยมีใครกล้านำเข้ามาในบ้าน เพราะกลัวกัน อาจเห็นว่ามีส่วนผสมของผงผีผงพราย แต่สำหรับผู้ที่ใช้ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า สุดยอด ในปัจจุบันพระเครื่องเหล่านี้จะไม่ค่อยได้พบเจอกันแล้ว อาจเพราะคนต่างพื้นที่เขาตามเก็บกันไปหมด เพราะเมื่อก่อนคนต่างจังหวัดเขานับถือท่านอาจารย์เซ่งมาก มากันไม่ขาดสาย ทั้ง พระขโนง กทม. เพชรบุรี หรือแม้กระทั่งทางภาคอิสาน (จากทางภาคอิสานนี้ท่านได้ผงพรายบางส่วนมาผสมพระด้วย) จากคำบอกเล่าที่ได้ไปสอบถามมา บอกได้เลยว่าแทบทุกคน จะเห็นได้ว่าเขานับถืออาจารย์เซ่งมากเว้นแต่บางคนก็กลัวในสายวิชาของท่าน ประสบการณ์ต่างๆที่พวกลุงๆตาๆได้เล่าให้ฟังนั้นถ้านำมาพิมพ์ก็จะยาวไปแต่ส่วนมากที่พวกเขาเจอกัน (ตอนที่บวชเป็นพระ) จะเจอพวกพรายที่ท่านอาจารย์ได้เลี้ยงไว้ คุณตาท่านหนึ่งพูดว่า"มันหลอกแม้กระทั่งพระ กลางวันแสกๆ อาจารย์ใช้ให้ไปเอาของในห้อง เปิดประตูไปมันตบหัวตาเลย" ส่วนลุงอีกคนบอกว่า "สมัยลุงเป็นเด็กวัด เดินตามอาจารย์บิณฑบาตร แล้วฟ้าครึ้มฝนจะตก อาจารย์บอกว่าให้วิ่งไปวัดก่อนเลยเดี๋ยวโดนฝนแล้วจะป่วยเอา ลุงก็วิ่ง วิ่งจนเหนื่อยแทบขาดใจแต่ก็ไปไม่ทันพระอาจารย์ เรามองอยู่ท่านก็เดินปกติ แต่เราวิ่งแซงท่านไปไม่ได้ ก็ยังงงมาถึงทุกวันนี้" และก็เป็นเรื่องการทดลองวิชาต่างๆให้บางคนได้ดู ท่านจะลองวิชาช่วงเวลาหลังเที่ยงคืนไปจนเกือบสว่าง ส่วนลองอะไรนั้นไม่ขอพูดถึงนะครับเดี๋ยวจะกลายเป็นการเล่านิทาน ปล. ตามที่เล่ามาล้วนเป็นเรื่องจริงทั้งหมด จากการเข้าไปสอบถามคนเก่าคนแก่ที่ใกล้ชิดกับอาจารย์เซ่ง เพื่อเป็นการสืบสานประวัติของพระครูเกษมคุณากร (พระอาจารย์เซ่ง) แห่งวัดป่ากร่ำ อ.แกลง จ.ระยอง กับพระเครื่องผงพรายที่ไม่แพ้สายไหนแน่นอน


    #พระเครื่องที่สร้างจากผงขี้เถ้ากระดูกผี

    การนำผงพรายหรือเถ้ากระดูกผีมาสร้างพระเครื่อง หรือเครื่องรางของขลังนั้น หลายคนอาจจะรู้สึกว่าไม่ค่อยเหมาะสมสักเท่าไหร่ ที่เอามวลสารเหล่านี้ มาทำเป็นพระเครื่อง เพราะดูเป็นไสยศาสตร์ น่ากลัว ดูเป็นของไม่สะอาด แต่จริงๆแล้วของเหล่านี้กลับมีกุศโลบายอันลึกซึ้งแฝงอยู่ ซึ่งยังมีคนส่วนมากที่ยังไม่เข้าใจ นั่นคือการฝึกมรณานุสติ คือการเจริญสติระลึกถึงความตายที่ไม่มีใครหนีพ้น พระที่คล้องอยู่ก็ผี ตัวเราต่อไปก็กลายเป็นผี ให้พึงทำความดีเมื่อยังมีชีวิตอยู่ ละเว้นจากการสร้างกรรม ใช้ชีวิตบนความไม่ประมาท มีสติอยู่เสมอ และยังเป็นการโน้มพลังงานของผีให้ผู้ใช้เข้าถึงพลังงานพุทธได้อย่างรวดเร็วอีกช่องทาง ก็จริงที่การใช้สายพรายมีทั้งข้อดีและข้อเสีย แต่ถ้าไม่ดีจริงพระเกจิอาจารย์สมัยก่อนก็คงไม่สร้างกันไว้หรอกครับ


    การสร้างพระเครื่องโดยใช้ #กระดูกผี เป็นมวลสารนี้ ไม่ใช่จะสร้างกันได้ง่ายๆ ผู้ที่จะสร้างต้องได้รับการฝึกจิตฝึกสมาธิมาอย่างดีและมีพลังจิตขั้นสูง ต้องร่ำเรียนวิชาทางด้านภูติพรายมาจริงๆสามารถสะกดวิญญาญ ผูก ขับ ไล่ ใช้งานได้ เพราะเวลาที่ไปหามวลสารกระดูกนั้นต้องเผชิญหน้ากับสิ่งที่น่ากลัวต่างๆนาๆ เจอทั้งวิญญาญ เจ้าป่าช้า ผีเจ้าที่เจ้าทาง รวมไปถึงผีนักเลงที่เฮี๊ยนแบบสุดๆ ท่านต้องพิจารณาอสุภกรรมฐาน ต้องเห็นศพ พิจารณาซากศพที่เน่าเปื่อยส่งกลิ่นเหม็น พิจารณาความไม่สวย ไม่งามของสังขารร่างกายต้องเข้าไปในป่าช้า ต้องเผชิญกับภาวะและสิ่งลี้ลับต่างๆอาจถูกทำร้ายหรือกลั่นแกล้งจากดวงวิญญาญ ดังที่กล่าวมาผู้ที่ทำได้ต้องมีคุณสมบัติขนาดไหนลองคิดกันดูครับผู้ที่จะสร้างพระสมเด็จหรือพระผงได้นั้นไม่ใช่จะเก่งเฉพาะเรื่องผีเพียงย่างเดียว ยังต้องเก่งเรื่องการทำผงวิเศษต่างๆอีกด้วย อาทิ ผงอิทธิเจ ผงปัถมัง ผงตรีนิสิงเห ผงว่าน108 ฯลฯ นั่นคือผู้ที่สามารถทำได้ต้องอ่านเขียนอักขระเลขยันต์ได้อย่างคล่องแคล่ว วิชามนตราคาถาต้องร่ำเรียนมาจนเจนจบครบถ้วนและแตกฉาน ยิ่งการทำพระเครื่องจากผงกระดูกนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องระมัดระวังกันในทุกขั้นตอนเลยทีเดียว


    เริ่มจากขั้นตอนแรก #การหาผงกระดูกผี มาทำพระเครื่องนั้นไม่ใช่จะหากันสุ่มสี่สุ่มห้า ไม่ใช่จะใช้กระดูกใครก็ได้ แต่ต้องจัดหาตามตำราที่ผู้นั้นได้ร่ำเรียนมา บางตำราต้องใช้กระดูกของผู้ที่มีนามอันเป็นมงคลเช่น รวย ดี เฮง บุญ สุขเป็นต้น บางตำราต้องใช้กระดูกผีตายโหงหรือตายทั้งกลมที่ตายวันเสาร์เผาวันอังคาร บางตำราใช้เป็นกระดูกคนที่ตายด้วยอาการต่างๆเก้าอย่างหรือที่เขาเรียกกันว่าเก้าโกฐ บางตำราต้องใช้เถ้ากระดูกเจ็ดป่าช้า แล้วแต่ตำราของแต่ละท่านที่ได้ร่ำเรียนมา ในการหามวลสารนี้ล้วนต้องทำตามตำราทั้งสิ้นและต้องเป็นผู้ที่มีวิชาจริงๆเรียนมาจริงๆมีพลังจิตที่แก่กล้ามิฉนั้นอาจเจอดีหัวโกร๋นได้ เพราะไม่ใช่แค่หามาแล้วก็เอามาตำผสมทำพระเครื่องได้เลย เถ้ากระดูกคนตายถือว่าเป็นของที่มีอาถรรพ์ร้าย มีภูติพรายอาศัยอยู่ วิญญาญมีทั้งสัมมาทิฐิ และมิชฉาทิฐิ ต้องทำการบอกกล่าวบัดพลี ขึ้นบายศรี ข้าวพล่าปลายำเครื่องเซ่นสังเวยต่างๆให้ถูกต้องตามตำราเสียก่อน และต่อด้วยพิธีสอนผีหรือที่เรียกกันว่าการบวชพราย ทำอาถรรพ์ร้ายให้กลายเป็นดี หมายถึงการเรียกดวงวิญญาญเจ้าของกระดูกนั้นๆมารับศีลรับพรสอนสั่ง ปฏิบัติธรรมให้รู้จักบาปบุญคุณโทษ บวชให้จิตนั้นขาวสะอาด กล่าวคือต้องทำให้จากที่เป็นสัมภเวสีนั้นให้เปลี่ยนภพภูมิกลายมาเป็นกึ่งเทพหรือเป็นภูมิเทวดา เพื่อที่จะมาสร้างบุญ สามารถปกปักรักษาและสถิตย์อยู่ในพระเครื่องเหล่านั้นได้ หรือในบางตำราอาจจะใช้แค่กระดูกอย่างเดียวโดยไม่เอาวิญญาญเข้ามาเกี่ยวข้อง คือต้องการแค่กระดูกให้ครบตามธาตุที่บุคคลพึงมีแล้วจึงเสกเรียกจิตเรียกนามให้มีตัวตนต่อไป อย่างหลังนี้ส่วนมากจะใช้ในการทำกุมารหรือพยนต์ ดังที่กล่าวมาเป็นแค่บางส่วนเห็นได้ว่าผู้สร้างต้องมีวิชาจริงๆถึงจะกำกับภูติผีวิญญาญเหล่านี้ได้


    นอกจากนี้ #การปลุกเสก พระเครื่องในลักษณะนี้ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลย เป็นการเสกโดยโน้มนำอาราธนาพลังงานต่างๆ เช่น การใช้ผงผี หรือผงพรายกุมาร ซึ่งเป็นพลังงานที่เราสัมผัสได้ง่าย เป็นภพภูมิที่ใกล้ชิดกับมนุษย์มากที่สุดเพราะเป็นพลังงานที่เสียชีวิตจากโลกไปไม่นาน บางวิญญาณเราก็เคยเจอ เคยรู้จักมาก่อน เป็นพลังงานที่ค่อนข้างหยาบ สัมผัสได้ง่ายกว่าพลังงานพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ดังนั้นจะเห็นว่าแม้แต่คนธรรมดา ไม่เคยฝึกสมาธิภาวนาอะไร แต่พอเข้าไปในที่ที่มีผีอยู่ ก็จะสามารถรับรู้ หรือรู้สึกถึงการมีอยู่ของผีได้ เช่นรู้สึกขนลุกขนพอง หนาวสั่น เวียนหัวคลื่นไส้ เป็นต้น


    #พุทธคุณของพระสายผี นั้น เร็วและแรง การใช้พลังงานของผีเป็นสะพานให้จิตเราเข้าถึงพลังงานของ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์นั้น มักจะมีปาฏิหารย์หรือประสบการณ์เกิดขึ้นทำให้เราสามารถสัมผัสพุทธคุณได้อย่างรวดเร็ว กล่าวคือการสื่อพลังงานผ่านทางผีและวิญญาณต่างๆ ซึ่งเมื่อเราทำได้สำเร็จแล้วพลังงานพุทธคุณแห่งพระพุทธ ก็จะผ่านมาสู่พระเครื่อง ทางช่องทางของผีและวิญญาณเหล่านั้น พวกเขาก็จะมีโอกาสอนุโมทนาบุญกับเรา ทำให้เค้ามีบุญมากขึ้นมีพลังงานมากขึ้น กลายเป็นเทวดาที่จะมารักษาพระเครื่องเหล่านั้น ดังนั้น ผู้ที่เอาพระเครื่องลักษณะนี้มาใช้ จึกมักมีความศักสิทธ์และประสบการณ์ในด้านการมีวิญญาณมาคอยคุ้มครองช่วยเหลือ


    บางคนก็เกิดข้อสงสัยว่าวิญญาณเหล่านี้ #ถูกบังคับมาหรือเปล่า หรือ ถูกสะกดกักขังไว้หรือเปล่า มีทั้ง2อย่างครับ วิญญาญที่ถูกบังคับส่วนมากจะเจอในทางของฆราวาสหมอผี ที่ได้สะกดวิญญาญไว้ใช้งาน ในส่วนของเกจิอาจารย์ก็มีนะครับ อันนี้เราก็ต้องศึกษาวัตถุมงคลของแต่ละท่านดีๆ เราจะมาพูดถึงวิญญาญที่ไม่ได้ถูกสะกดมานะครับ คือในวัตถุมงคลหรือพระเครื่องที่พระสงฆ์เกจิอาจารย์ได้สร้างขึ้นนั้นส่วนมากวิญญาณเหล่านี้ไม่ได้ถูกสะกดกักขัง หรือ บังคับ ไว้แต่อย่างใด แต่ว่าเป็นวิญญาณที่ท่านเชิญมาเพื่อรับบุญ ร่วมสร้างบุญกับเรา เป็นตัวแทนที่สื่อพลังงานไปถึง พระพุทธพระธรรม พระสงฆ์ เพื่อโน้มพลังงานมาใช้ในลักษณะเทวดา หรือวิญญาณที่คอยดูแลรักษาผู้ใช้พระเครื่อง ซึ่งเป็นศาสตร์ชั้นสูงที่จะหาผู้สร้างถึงจริงๆได้ยาก และหากผู้ใช้นั้นใช้เป็นจริงๆ ก็จะเป็นประโยชน์ต่อตนเองและวิญญาณเหล่านั้นเป็นอย่างมาก ที่กล่าวนั้นคือ วิญญาณที่ดูแลพระเครื่องเหล่านี้บางครั้งอาจจะเป็นเทวดาทั่วๆไปหรือยังเป็นสัมภเวสีอยู่ ถ้าผู้ที่นำไปใช้ หมั่นสวดมนต์ไหว้พระ รักษาศีล ทำบุญกุศล แผ่เมตตา กุศลให้ดวงวิญญาณที่สถิตย์อยู่ในพระเครื่องเหล่านี้อยู่อย่างเสมอ เขาก็มีโอกาสอนุโมทนาบุญ กับเราอยู่ตลอดเวลา เขาจะมีพลังงานและเปลี่ยนภพภูมิที่สูงขึ้น และสามารถนำพลังงานนั้นมาช่วยเราได้มากขึ้นเช่นกัน เขาต้องคอยช่วยเราให้อยู่ดีมีสุขมากขึ้น เพราะยิ่งเราอยู่ดีมีสุข เราก็จะมีกำลังในการทำบุญมากขึ้น และถ้าเราทำมากขึ้น เขาก็ได้รับมากขึ้น กลายเป็นวงจรพลังงานบุญที่คอยเกื้อหนุนกันให้ดีขึ้นทั้งคู่ เพราะฉะนั้น การสร้างพระเครื่องด้วยของอาถรรพ์ เช่น ผงกระดูกผีนั้น ถ้าผู้สร้างจิตถึงพระจริงๆแล้ว ไม่ใช่เรื่องของไสยศาสตรที่สกปรกน่ากลัวเลย แต่เป็นการโน้มพลัง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ผ่านทางช่องของวิญญาณ เพื่อนำมาใช้ได้ง่ายและเป็นประโยชน์อย่างมากเหมือนกันนั้นเอง แต่ผู้ที่จะหามาใช้ก็ควรศึกษาให้ดีเพราะวิชาเกี่ยวกับพวกภูติพรายนั้นจะหาผู้ที่สร้างได้จริงน้อยมาก


    #การบูชาผี ไม่ใช่สิ่งที่เพิ่งมีแต่มีมาตั้งแต่สมัยโบราณเป็นร้อนปีพันปีแล้ว จากที่นักวิชาการทางศาสนวิทยาล้วนกล่าวตรงกันว่า ศาสนาที่เก่าแก่ที่สุดในโลก คือศาสนาผี หรือการนับถือ "วิญญาณ" นั่นเอง โดยผีในที่นี้ไม่ใช่ผีเปรต ผีกระหัง ผีกระสือ หรือผีปอบแต่อย่างใด แต่เป็นผีเจ้าป่าเจ้าเขา ผีบ้านผีเมือง ผีบรรพบุรุษและวิญญาญสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ โดยจะเห็นได้ว่าสิ่งที่มีมาตั้งแต่โบราณคือ ขนบธรรมเนียมประเพณีที่เกี่ยวกับผี เช่นการบวงสรวงเซ่นไหว้ผีนับถือผี บูชาผี เพื่อขอพร ขอความอุดมสมบูรณ์ต่างๆ ขอสิ่งดีๆให้เข้ามาและขอให้ปัดเป่าสิ่งที่ไม่ดีออกไป ซึ่งที่คนไทยส่วนใหญ่ทุกวันนี้นับถือจริงๆแล้วเขาเรียกว่าศาสนาผีปนพราหมณ์พุทธ หรือศาสนาผี ปนพราหมณ์ แล้วเจือด้วยพุทธ จะเห็นได้ว่ามีการตั้งศาลผี และมีการทำพิธีบวงสรวง ทรงเจ้าเข้าผีกันมากมายในหลายพื้นที่ทั่วไปเกือบทั้งประเทศ การนับถือศาสนาผีในไทยจากข้อมูลที่ได้สืบค้นมาเชื่อว่ามีมาอย่างยาวนาน และได้มีการพัฒนามาตั่งแต่สมัยโบราณ จากการนับถือผีธรรมชาติ ผีฟ้าผีดิน ต่อมาก็คือนับถือผีที่เป็นดวงวิญญาญของบรรพบุรุษที่ตายไปแล้ว โดยมีความเชื่อว่าวิญญาญเหล่านั้นยังคงวนเวียนดูแลลูกหลานอยู่ไม่ได้ไปไหน และจากสมัยนั้นจนถึงปัจจุบัน ความเชื่อและความศรัทธาในสิ่งนี้ก็ไม่เคยสูญหายไปไหนเลยแม้แต่น้อย


    #พระเครื่องสายพราย ใช้ดีก็ดีไป ใช้ผิดก็สร้างเวรสร้างกรรมคูณสองรอชดใช้กันต่อไป คิดจะเล่นกับภูติผีวิญญาญก็ควรยอมรับผลที่ตามมา มีของดีแล้วคนใช้ก็ควรต้องเป็นคนดีด้วย พระเครื่องที่สร้างจากผงเถ้ากระดูกผีนี้ในอดีตมีพระเกจิอาจารย์ที่สร้างไว้หลายรูป อาทิเช่น พระผงกระดูกผีของหลวงพ่อพุ่ม วัดโคกสวาย พระปิดตาผงกระดูกผีของพระอาจารย์หนู วัดโพธ์ ท่าเตียน พระผงพรายสมุทรอชิโตพ่อท่านเจิม วัดหอยราก และผงพรายกุมารหลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ เป็นต้น


    ภาพประกอบนี้ขอใช้เป็นรูปถ่ายและพระเครื่องของพระเดชพระคุณ ท่านพระครูเกษมคุณากร(พระอาจารย์เซ่ง) แห่งวัดป่ากร่ำ อ.แกลง จ.ระยอง ซึ่งท่านเป็นพระเกจิอาจารย์พื้นบ้านของผู้เขียน อยู่ในยุคระหว่าง๒๔๐๐ปลายๆ-๒๕๐๐ต้น ไม่ได้เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางเหมือนหลวงปู่ทิม แต่ท่านเป็นหนึ่งในพระเกจิอาจารย์เพียงไม่กี่รูปที่ร่ำเรียนและสำเร็จวิชาสายพรายอย่างเจนจบครบถ้วน เป็นทั้งพระหมอดู หมอผี หมอยา และอื่นๆอีกมากมาย ทั้งนี้เนื่องด้วยผู้เขียนมีความนับถือและศรัทธาท่านอย่างสูงสุดตั้งแต่สมัยรุ่นปู่รุ่นย่าที่เป็นศิษย์ใกล้ชิดท่าน และจากประสบการณ์ส่วนตัวต่างๆที่เล่ายังไงก็คงไม่หมด


    วันนี้มีเกร็ดความรู้เล็กๆน้อยๆเกี่ยวกับความหมายของ พระสมเด็จฐาน 9 ชั้น มาฝากกันครับ

    ความหมายของ ฐาน 9 ชั้น นั้นหมายถึง มรรค 4 ผล 4 นิพพาน 1 ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้


    มรรค คือ หนทางปฏิบัติให้ถึงความดับไม่เหลือของทุกข์ มีองค์ 8 คือ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ และมี 4 ระดับ คือ โสดาปฏิมรรค สกทาคามีมรรคอนาคามีมรรค และ อรหันตมรรค...

    1. โสดาปัตติมรรค คือ ความรู้ที่เป็นเหตุให้ผู้ปฏิบัติตามไหลเข้าสู่กระแสอริยมรรคเป็นครั้งแรก , ผู้ตกกระแสแห่งนิพพาน

    2. สกทาคามิมรรค คือ ความรู้ที่เป็นเหตุให้ผู้ปฏิบัติตามจะกลับมาเกิดในโลกมนุษย์อีกเพียงครั้งเดียว

    3. อนาคามิมรรค คือ ความรู้ที่เป็นเหตุให้ผู้ปฏิบัติตามจะไม่กลับมาเกิดในกามภูมิอีก

    4. อรหัตตมรรค คือ ความรู้ที่เป็นเหตุให้ผู้ปฏิบัติตามบรรลุอรหัตตผลพ้นจากกามาวจรภูมิ รูปภูมิ อรูปภูมิโดยเด็ดขาดละสังโยชน์ทั้งสิบได้เด็ดขาด


    ผล คือ ผลลัพท์จากการปฏิบัติตามมรรค มี 4 ระดับ คือ โสดาปฏิผล สกทาคามีผล อนาคามีผล และ อรหันตผล

    1. โสดาปัตติผล (ผลแห่งการเข้าถึงกระแสที่นำไปสู่พระนิพพาน, ผลอันพระโสดาบันพึงเสวย)

    2. สกทาคามิผล (ผลอันพระสกทาคามีพึงเสวย)

    3. อนาคามิผล (ผลอันพระอนาคามีพึงเสวย)

    4. อรหัตตผล (ผลคือความเป็นพระอรหันต์, ผลอันพระอรหันต์พึงเสวย)

    “ผล 4” นี้ บางที่เรียกว่า “สามัญญผล” (ผลของความเป็นสมณะ, ผลแห่งการบำเพ็ญสมณธรรม)


    นิพพาน คือ สภาพที่ดับกิเลสและกองทุกข์แล้ว ภาวะที่เป็นสุขสูงสุด เพราะไร้ทุกข์ เป็นอิสรภาพสมบูรณ์ หรือกล่าวโดยสรุป นิพพานคือการไม่มีกิเลสตัณหาที่จะร้อยรัดพัดกระพือให้กระวนกระวายใจ อันเป็นจุดหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนา


    ทั้งหมดนี้เรียกว่า โลกุตระ หมายถึงภาวะที่หลุดพ้นแล้วจากโลกิยะ ไม่เกี่ยวข้องกับกาม ตัณหา ทิฏฐิ อวิชชาอีกต่อไปได้แก่ธรรม 9 ประการซึ่งเรียกว่า นวโลกุตรธรรม หรือ โลกุตรธรรม 9




    บทความรายละเอียดยังมียิบย่อยอีกมากมายถ้าลงลึกไปกว่านี้คงไม่จบ ในบทความนี้จึงเป็นเพียงส่วนหนึ่งทีเรียบเรียงมาเพื่อให้เห็นในมุมกว้างๆเท่านั้น

    #ผิดพลาดประการใดต้องขออภัยไว้ณที่นี้ด้วยครับ

    ฤกษ์ชัย ธ.
     

แชร์หน้านี้

Loading...