ส่งบุญให้คนตายได้จริงหรือ?

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย vacharaphol, 14 เมษายน 2006.

  1. vacharaphol

    vacharaphol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    8,849
    ค่าพลัง:
    +27,173
    ๑.การก่อและถวายพระเจดีย์ทราย
    ๒.การทำบุญตักบาตรอุทิศให้ญาติที่ตายแล้ว
    ๓.การบังสุกุลอัฐิ (กระดูก) อุทิศบุญกุศลให้ญาติที่ตายแล้ว
    ๔.การสรงน้ำพระพุทธ
    ๕.การสรงน้ำพระสงฆ์และสามเณร
    ๖.การรดน้ำดำหัวผู้ใหญ่ และ
    ๗.การปล่อยสัตว์ให้ชีวิตเป็นทาน
    ทั้งหมดนี้เป็นบุญ ๗ ประการที่พุทธศาสนิกชน ทั่วทุกภูมิภาคนิยม ทำกัน ในช่วงเทศกาล สงกรานต์
    บุญอย่างหนึ่งที่พุทธศาสนิกชนจำนวนไม่น้อยอดตั้งคำถามอยู่ในใจ คือ "การบังสุกุลอัฐิ (กระดูก) อุทิศบุญกุศลให้ญาติที่ตายแล้วผู้ตายจะได้รับหรือไม่?"
    พระราชญาณวิสิฐ เจ้าอาวาสวัดหลวงพ่อสดธรรมยาการาม อ.ดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี หรือที่รู้จักกันในนาม "หลวงป๋า" ได้อธิบายเรื่อง การอุทิศส่วนบุญให้ผู้วายชนม์ ไว้ว่า ก่อนอื่นต้องเข้าใจว่าผู้วายชนม์ คือผู้ที่ตายแล้วจากโลกนี้ ไม่ใช่ตายสูญ สำหรับผู้ที่ยังไม่สามารถตัดกิเลสเป็นสมุจเฉทปหานเป็นพระอรหันตขีณาสพแล้ว ตราบใดที่อวิชชายังทำหน้าที่อยู่ก็จะต้องมีภพภูมิเกิดใหม่เสมอไป ไม่ใช่ตายแล้วสูญ หรือตายแล้วจบสิ้น ตายแล้วต้องเกิดใหม่ แต่เมื่อไปเกิดในภพภูมิที่เป็นทุกข์หรือสุข ย่อมได้รับผลบุญที่มีผู้อุทิศให้ไม่เท่าเทียมกัน กล่าวคือ
    ๑.สัตว์ที่ไปเกิดในสุคติภพ อย่างคนที่ทำดีสูงสุดในภพสามได้อรูปฌานก็ต้องเกิดในอรูปภพ ถ้าก่อนตายอรูปฌานไม่เสื่อม ก็ต้องเกิดในอรูปภพ ส่วนท่านที่ได้รูปฌาน ฌานไม่เสื่อมก่อนตายก็จะไปเกิดในอรูปภพ กล่าวอย่างง่ายๆ ว่าเกิดในพรหมโลก ซึ่งเป็นสุคติภพชั้นสูง ชั้นกลางคือผู้ทำความดีระดับกลาง ในระดับที่มีใจเป็นกุศลได้บริจาคทาน รักษาศีล เจริญภาวนาพอสมควรเป็นเนืองๆ
    เมื่อตายไปแล้วก็มีโอกาสได้ไปเกิดในภพภูมิที่เรียกว่า สุคติภพ เช่น กามภพ ได้แก่ เทวโลก หรือมนุษย์โลก คือไปเกิดเป็นเทวดา ที่ต่ำลงมาก็เป็นมนุษย์ มนุษย์ก็จัดเป็นสุคติภพ แต่มนุษย์ที่เกิดมาในที่เจริญทางพุทธศาสนาก็มี เกิดเป็นศาสนิกในศาสนาอื่นก็มาก แม้เกิดในพุทธศาสนาเป็นผู้มีปัญญารู้เรื่องบาปบุญคุณโทษก็มี ไม่รู้เรื่องบาปบุญคุณโทษก็มาก
    ๒.สัตว์ที่ไปเกิดในทุคติภพ คือ พวกเปรต สัตว์นรก อสุรกายสัตว์ดิรัจฉาน แม้แต่สัตว์นรกก็มีอยู่หลายภูมิ สัตว์นรกก็เหมือนติดคุก ซึ่งมีอยู่หลายแดน มีตื้น มีลึก มีชั่วคราว มีถาวร มีขั้นถึงโทษประหาร กล่าวถึงเปรตก็นับเผ่าพันธุ์ไม่ถ้วน สัตว์ดิรัจฉานก็นับชนิดไม่ถ้วน อสุรกายก็มาก เพราะฉะนั้น คนเราตายไปแล้วยังต้องเกิด ตราบใดที่อวิชชายังทำหน้าที่อยู่
    หลวงป๋า บอกด้วยว่า การอุทิศส่วนบุญให้ผู้วายชนม์ ผู้วายชนม์นั้นย่อมได้ไปเกิดแล้วเพียงแต่ว่าจะไปเกิดที่ไหนอย่างไร โดยปกติจะไม่เกิน ๕ วัน ๗ วัน ต้องได้เกิดแน่ การอุทิศบุญให้จะได้รับหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับภพภูมิที่ไปเกิด สัตว์บางประเภทก็ได้รับ บางประเภทก็ไม่ได้รับ ขึ้นอยู่กับประเภทของภพภูมิของผู้รับ
    ทั้งนี้หลวงป๋าได้อธิบายประเภทของภพภูมิให้ฟังด้วยว่า พวก "อรูปพรหม" และ "รูปพรหม" เป็นสัตว์ในสุคติภพชั้นสูง อายุของพรหมยืนยาว เรียกว่า พรหมจะขยับตัวครั้งหนึ่ง มนุษย์เราก็ตายไปนับครั้งไม่ถ้วน เพราะฉะนั้นในการอุทิศส่วนกุศล พรหมเกือบจะไม่มีโอกาสได้รับรู้ได้เลย เว้นแต่ในบางชั้นของพรหมอาจจะรับรู้แต่เวลาก็แตกต่างกันมากเหลือเกิน บางทีเราทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปนับครั้งไม่ถ้วน จนกระทั่งเราตายไป พรหมเพิ่งขยับตัว เลยไม่ทันได้รับรู้
    ส่วนใน "เทวโลก" เวลาก็ยังต่างกันมากอยู่ เมื่อเทียบกับมนุษย์โลก โอกาสที่เทวดาจะรับรู้เรื่องการบุญการกุศลกับเราก็น้อยแต่มีทางเป็นไปได้มากทีเดียว เฉพาะเรื่องรับรู้ขึ้นกับเงื่อนไขว่าถ้าผู้ปฏิบัติธรรมสามารถที่จะสื่อสารกันได้ จะได้โดยวิธีใดก็แล้วแต่กับเทวดา ทำให้เขารับรู้โดยง่าย แต่ถ้าปุถุชนทั่วไปอุทิศส่วนกุศลให้เทวดา เทวดาก็จะรับรู้ได้สำหรับเทวดาที่อยู่ในระยะใกล้ๆ เท่านั้นที่พอรู้ได้ นอกนั้นก็จะเพลิดเพลินอยู่ในทิพย์สมบัติ ก็จะไม่มองดูว่าหมู่ญาติได้ทำบุญอะไรอุทิศให้ เพราะฉะนั้น โอกาสที่เทวดาจะรู้เรื่องการทำบุญก็ไม่มากนัก แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่มีเสียเลย ขึ้นอยู่กับผู้อุทิศบุญ จะสามารถบอกข่าวไปได้ไกลเท่าใด
    พวก "มนุษย์" ผู้วายชนม์แล้วไปเกิดเป็นมนุษย์ ส่วนใหญ่ก็จำกันไม่ได้ว่าใครเป็นญาติใคร ไม่รู้จักกันเลยว่าเคยเป็นญาติกันมาก่อน อาจจะเดินสวนกันไปมาก็ได้ อีกฝ่ายหนึ่งอุตส่าห์ทำบุญไปให้ แต่เมื่ออีกฝ่ายหนึ่งไม่ได้รับรู้ก็ไม่ได้อนุโมทนาบุญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เกิดเป็นมนุษย์ แต่ไม่รู้ว่าไปเกิดส่วนไหนของโลกมนุษย์ยิ่งถ้าเกิดนอกพุทธศาสนาก็ยิ่งไม่รู้เรื่องบาปบุญคุณโทษ ถึงได้ยินก็เหมือนไม่ได้ยิน ไม่รู้เรื่อง ก็เลยไม่รับรู้และไม่ได้อนุโมทนาบุญ
    พวก "เปรต" สำหรับเปรตมีเป็นร้อยๆ ชนิด แต่เปรตที่จะรับรู้ส่วนบุญคือเปรตที่อยู่ใกล้ๆ กับมนุษย์ ซึ่งมีความทุกข์และความหิว ภาษาบาลีเรียก "ปรทัตตูปชีวิกเปรต" เปรตประเภทนี้เกือบจะแน่นอนว่ามีโอกาสรับรู้ได้ และเขาก็จำญาติโยมแม้เกิดมานานนับภพนับชาติไม่ถ้วน ก็ยังจำได้ เพราะเปรตเหล่านี้มีชีวิตยืนนาน แต่เปรตอื่นนอกนั้นแย่เต็มที ไม่สามารถรับรู้ได้
    พวก "อสุรกาย" ก็ดีกว่าเปรตหน่อย ส่วนพวก "สัตว์นรก" พวกนี้ยากที่จะได้รับรู้เพราะเหมือนคนติดคุก ถึงเราจะบอกไปเท่าใดก็ไม่มีโอกาสได้ยินในส่วนบุญส่วนกุศลที่อุทิศให้ มีแต่ความเดือดร้อนทรมานด้วยเครื่องกรรมกรณ์ (เครื่องทรมาน) ต่างๆ พวก "สัตว์ดิรัจฉาน" แทบไม่มีโอกาสรับรู้เรื่องการบุญการกุศล และไม่รู้จักการอนุโมทนาบุญเพราะไม่มีใครบอก ถึงแม้บอกแล้วก็ฟังไม่รู้เรื่อง
    นอกจากนี้ยังมีอีกประเด็นคำถามที่ตามมา คือ "เมื่อเราอุทิศส่วนบุญสุดท้ายบุญของเราจะหมดไปหรือไม่" โดยหลวงป๋าได้อธิบายไว้ว่า ไม่ใช่เช่นนั้น บุญกุศลนั้นเหมือนกับแสงสว่าง หรือแสงเทียน ลองนึกว่า ถ้าท่านมีเทียนสว่างไสวอยู่ในมือและมีแสงสว่าง (ของผู้อื่นที่ต่อเทียนกับเรา) รอบท่านทั้งหมดด้วย "การอุทิศส่วนบุญกุศลก็เสมือนว่าท่านเชื้อเชิญทุกคนให้มาชื่นชมแสงสว่าง (คุณความดี) ของท่าน และรับแสงสว่างจากท่าน หรืออาจพูดว่าทุกคนมาพร้อมด้วยเทียน ขอจุดต่อจากท่านเช่นนั้น ท่านจะเห็นว่าแสงเทียนของท่านก็มิได้อ่อนลง แต่แท้ที่จริงจะกลับสว่างยิ่งขึ้น เพราะเหตุไร เพราะว่าแสงจากเทียนของทุกคน ที่ท่านเชื้อเชิญมาต่อเทียนจากท่านจะสว่างไสวสะท้อนกลับมายังตัวท่านอีกด้วย" หลวงป๋า กล่าวทิ้งท้าย
     

แชร์หน้านี้

Loading...