สีสัน"กรุงปราก" อัญมณีแห่งยุโรป

ในห้อง 'ท่องเที่ยว - อาหารการกิน' ตั้งกระทู้โดย rinnn, 30 มกราคม 2006.

  1. rinnn

    rinnn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    7,666
    ค่าพลัง:
    +24,024
    [​IMG]อานิสงส์จากไมล์สะสมของการบินไทย ทำให้ฝันข้ามทวีปของผมกับทันตแพทย์แสงชัย โสภณสกุลสุข เกิดเป็นจริงขึ้นเมื่อปลายพฤษภาคมที่ผ่านมา เราทั้งสองเตรียมแผนเดินทางออกจากกรุงเทพฯไปกรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย แล้วต่อเครื่องเข้าสู่กรุงปราก เมืองหลวงของเช็ก เมืองที่ใครๆ บอกว่า โรแมนติกอันทรงคุณค่ามานับร้อยปี แม้บัดนี้ก็ยังไม่สร่างซา
    หะแรกนั้นเมื่อได้ตั๋วการบินไทยซึ่งต้องแลกไมล์พร้อมกับจ่ายค่าภาษีตั๋วอีกห้าพันบาทเศษๆ ต่อคน ต้องเอาตั๋วพร้อมพาสปอร์ตและหลักฐานต่างๆ ไปยื่นต่อสถานทูตเช็ก ในซอยร่วมฤดี
    เจ้าหน้าที่สถานทูตขอสมุดบัญชีธนาคาร เพื่อตรวจสอบสถานะทางการเงิน ผมหยิบยื่นให้โดยไม่ได้มองอย่างละเอียดว่าสมุดบัญชีเล่มนี้มีเงินอยู่แค่ 2.66 บาทเท่านั้น เจ้าหน้าที่คนนั้นเงยหน้าจากบุ๊กแบงก์แล้วถามด้วยความสุภาพว่า "คุณมีเงินแค่ 2.66 บาทจะไปเที่ยวเช็ก?"
    ผมหน้าแตกเป็นเสี่ยงๆ ก่อนรีบแก้สถานการณ์ด้วยการร้องขอให้ "หมอแสง" รีบโอนเงินเข้าบัญชีด่วนก่อนกลับไปยื่นอีกครั้งในวันเดียวกัน
    นี่กล่าวได้ว่า คุณประโยชน์ของระบบโอนเงินอิเล็กทรอนิกส์โดยแท้!
    เที่ยวบินกลางคืนจากกรุงเทพฯเปิดโอกาสให้นักเที่ยวประเภท "งกเวลา" อย่างผมได้ไม่น้อยเพราะไปถึงกรุงปรากในตอนเช้าทำให้มีชั่วโมงเหลืออีกเกือบค่อนๆ วันในการท่องเมือง เพราะเวลาที่นั่นช้ากว่าไทย 6 ชั่วโมง เมื่อเติมเวลาช่วงหน้าร้อนซึ่งพระอาทิตย์หรี่แสงก่อนอัสดงในเวลาสามทุ่มเศษๆ เราสามารถจะตุหรัดตุเหร่รวมเบ็ดเสร็จ 9 ชั่วโมง
    เป้สะพานหลังสัมภาระใบใหญ่ของผมและหมอแสง ฝากไว้กับห้องเก็บของใน "เพนชั่น" อันเป็นที่พักราคาถูกๆ ย่านชานเมืองเพราะไปถึงที่นั่นก่อนเวลาเช็คอิน ยังเข้าห้องไม่ได้จนกว่าบ่ายสองโมง
    เราคว้ากล้องถ่ายรูปกับแผนที่กรุงปราก อ่านรายละเอียดการขึ้นรถรางและรถไฟใต้ดินเพื่อประหยัดการเดินทาง
    1.66 บาทที่แลกมาเป็น 1 เชคคราวน์(Czech crown) ที่มีสัญลักษณ์ "Kc" ประทับอยู่ในเหรียญหรือแบงก์ ทำให้ผมต้องคำนวณตลอด เพราะนั่นหมายถึงค่าครองชีพของ "เช็ก" เกือบเป็นสองเท่าของบ้านเรา
    สาธารณเช็ก เมื่อก่อนนั้นเราคุ้นเคยกันในชื่อ "เชกโกสโลวาเกีย" ซึ่งมีประวัติศาสตร์อันน่าเร้าใจ ซึ่งผมจำเป็นต้องทำความเข้าใจเพราะช่วยให้การท่อง "เช็ก" สนุกขึ้นอีกเยอะ
    หากย้อนยุคต้นๆ คริสตกาล จะเห็นได้ว่าแผ่นดิน "เช็ก" ได้ก่อกำเนิดขึ้นมาแล้วมีวัฒนธรรมอันรุ่งเรืองสืบทอดมายาวนาน เนื่องจากสภาพทางภูมิศาสตร์ที่เอื้ออำนวยต่อการก่อตั้งถิ่นฐาน คือมีที่ราบลุ่มล้อมรอบด้วยภูเขาและเนินเขาเตี้ยๆ มีแม่น้ำหลายสายไหลผ่านเหมาะแก่การเพาะปลูกทำกสิกรรม มีแร่เหล็ก ถ่านหินอุดมสมบูรณ์
    พวกโบฮีเมียนกับโมราเวียน เข้ามายึดครองแผ่นดินแห่งนี้ซึ่งพวกเยอรมันเคยอยู่มาก่อนแล้วก่อตั้งอาณาจักรอันยิ่งใหญ่แห่ง "โมราเวียน" (the Great Moravian Empire) ต่อมาพวกโรมันยกทัพโจมตีผนึกเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรโรมันอันศักดิ์สิทธิ์(the Holy Roman Empire) ซึ่งเป็นที่มาของรากฐานทางศิลปวัฒนธรรมและการศึกษาขั้นสูงของยุโรป
    ในเวลานั้น ระบบการศึกษาของ "เช็ก" ดีที่สุด โดยเฉพาะในปี ค.ศ.1348 หรือ 657 ปีที่แล้ว กษัตริย์ชาร์ลส์ ที่สี่(Charles IV) แห่งโบฮีเมีย ขึ้นครองอำนาจก่อตั้งมหาวิทยาลัย "ชาร์ลส์" ในกรุงปราก ถือเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกของยุโรปตอนกลาง
    ส่วนบรรดาโบสถ์สวยๆ และอาคารซึ่งก่อสร้างด้วยสถาปัตยกรรมอันงดงาม ในรูปแบบที่เรียกว่า "วลาดิสลาฟ โกธิค" (Vladislav Gothic) ปรากฏให้เห็นมาถึงวันนี้และกรุงปราก อีกทั้งเมืองอื่นๆ ของเช็กกลายเป็นอัญมณีแห่งยุโรปตะวันออกและศูนย์กลางของการค้าก็เกิดขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 13-14 เช่นกัน
    ช่วงกลางๆ ศตวรรษที่ 14 เป็นต้นมา เช็กกลายเป็นดินแดนที่มีการสู้รบเพื่อแย่งชิงความเป็นใหญ่ระหว่างผู้มีอำนาจในสมัยนั้น บางช่วงเป็นสงครามศาสนา ระหว่างพวกนับถือคริสต์นิกายโปรเตสแตนต์กับคาทอลิก รบกันยาวนานถึงสามสิบปี(คศ.1618-1648) และแผ่นดินนี้ถูกยื้อแย่งไปอยู่ในมือของฮังการี บางทีก็เยอรมนียึดครอง
    แต่ประวัติศาสตร์เช็กเข้าสู่ยุคอันโศกสลดมากที่สุดอีกครั้งในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เมื่อ "อดอล์ฟ ฮิตเลอร์" แห่งเยอรมนีเข้ายึดและไล่กวาดต้อนชาวยิวที่อาศัยอยู่ในประเทศนี้ไปฆ่าทิ้ง กองทัพรัสเซียเข้ามาช่วยกู้ชาติ จากนั้นพรรคคอมมิวนิสต์เข้ายึดอำนาจปกครองและกลับมาใช้ชื่อเชกโกสโลวาเกีย
    รัฐบาลคอมมิวนิสต์ "เชกโกสโลวาเกีย" ปกครองอยู่นานทำให้สถานะทางเศรษฐกิจของเช็กทรุดหนัก คนแย่งกันอยู่แย่งกันกิน จนกระทั่งเกิดการลุกฮือของชนชั้นปัญญาชนนับแสน เรียกร้องเสรีภาพเมื่อปี 1989 อีกปีต่อมา ประเทศนี้เปลี่ยนชื่อเป็น เช็กและสโลวัก แล้วแยกประเทศออกเป็นสองส่วน คือสาธารณรัฐเช็ก และสาธารณรัฐสโลวัก เมื่อปี 1993
    ถ้าดูแผนที่จะเห็น "เช็ก" อยู่ตรงกลางของทวีปยุโรป เพื่อนบ้านข้างเคียงประกอบด้วยออสเตรีย เยอรมนี สโลวะเกีย และโปแลนด์ มีประชากรราว 10 ล้านคน พื้นที่ไม่ใหญ่โตนักแค่ 78,000 กว่าตารางกิโลเมตร เทียบกับไทยแล้ว มีพื้นที่น้อยกว่าไทยเกือบ 6เท่าตัว
    เฉพาะกรุงปราก มีพื้นที่ 496 ตารางกิโลเมตร ถ้ามีเวลาสัก 3 วัน เที่ยวได้ทั่ว แต่หากจะดูเรื่องของศิลปวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์อย่างละเอียดคงต้องใช้เวลาเป็นเดือนเพราะทุกตารางเมตรของเมืองแทรกด้วยอณูแห่งศิลปวัฒนธรรม ดนตรี และสถาปัตยกรรมเกือบทั้งสิ้น
    ตึกแต่ละตึกของกรุงปรากมีที่มาที่ไปทางประวัติศาสตร์ ซึ่งรัฐบาลได้อนุรักษ์พื้นที่เมืองหลวงไว้อย่างเคร่งครัด กล่าวคือการตกแต่งสถานที่ล้วนดำรงไว้เหมือนที่เป็นในอดีตนับร้อยๆ ปีก่อน เกือบทุกซอกมุมของตึก เสาแต่ละต้นมีการแกะสลักอย่างงดงามในสไตล์โกธิค บาโรก เรอเนสซองซ์ ถ้ามองจากเครื่องบินจะเห็นกรุงปราก เหมือนเมืองโบราณ ไม่มีตึกสูงให้เห็นในพื้นที่เมืองเก่า หลังคาตึกเป็นสีแดงเข้ม ส่วนตัวตึกนั้นทาสีสันสดใส
    ผมมองแผนที่จุดแรกที่ต้องไปให้ได้ก็คือ ศาลาว่าการเมืองเก่า(Old Town Hall) จากที่พักต้องนั่งรถไฟใต้ดินไปราว 4 สถานี ผมซื้อตั๋วประเภท 3 ชั่วโมง ราคา 12 คราวน์ มุ่งหน้าไปที่นั่น
    ศาลาเมืองเก่าสมชื่อจริงๆ เพราะสร้างมาตั้งแต่ ค.ศ.1338 หรือ 667 ปีที่แล้ว สำหรับเป็นศาลากลางของชุมชน นอกจากนี้ ยังมีโบสถ์และอาคารรายล้อม ตรงกลางเป็นลานกว้าง ช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง กองทัพนาซีของ "ฮิตเลอร์" ถล่มจนเกือบพังราบ แต่รัฐบาลเช็กฟื้นฟูบูรณะจนกลับมาสวยงามดังเดิม
    หอนาฬิกาสูงถึง 69.5 เมตร ที่สร้างมาตั้งแต่ 595 ปี ประกอบไปด้วยปฏิทินดาราศาสตร์ และรูปปั้นนักบวชในคริสต์ศาสนา และนาฬิกาที่ยังเดินได้ตรงเวลา โบสถ์ "ไทน์ เชิร์ช" (Tyn Church) ที่มีรูปทรงเหมือนสัญลักษณ์เมืองตุ๊กตา ที่วอล์ต ดิสนีย์ เอาไปใช้เป็นโลโก้ ดูแล้วคุ้นตา
    โบสถ์หลายแห่งจัดแสดงคอนเสิร์ต เป็นการแสดงดนตรีคลาสสิคในหลากหลายสไตล์ เป็นออเคสตรา ดนตรีแค่ 3-4 ชิ้นก็มี เดี่ยวไวโอลิน เปียโน หรือกีตาร์คลาสสิค
    โปสเตอร์ชวนเชิญเข้าร่วมฟังคอนเสิร์ตมีติดแปะไว้ทั่วเมือง บางโบสถ์แสดงทุกวัน วันละหลายเวลา ค่าแสดงหลากหลายราคา อย่างกีตาร์คลาสสิค 450 คราวน์ แสดงราว 1 ชั่วโมงเศษ
    ส่วนสาเหตุที่คนเช็กรักดนตรีกาลนั้น เชื่อกันว่า มาจากอิทธิพลของ "ฮิตเลอร์" ที่ส่งกองทัพนาซีมาตรึงดินแดน คนเช็กไม่รู้จะหาทางออกให้กับชีวิตได้อย่างไร ยกเว้นการเล่นดนตรี แสดงคอนเสิร์ต เพื่อกลบเกลื่อนทุกข์ อีกทั้งยังทำให้พวกนาซีสบายใจว่าพวกนี้ไม่มีพิษมีภัย
    ในยุคสงครามโลกครั้งที่สอง คีตกวีและนักดนตรีของเช็ก ได้รับการยกย่องในวงการดนตรีคลาสสิคหลายคนอย่าง "แอนโตนิน ดโวชาค"
    สำหรับผมแล้ว แม้ว่าการแสดงคอนเสิร์ตในกรุงปรากมีให้เลือกลานตาและยั่วน้ำลายแค่ไหนก็เหอะ แต่นึกถึงราคาแล้ว จำใจให้คิดว่าไปซื้อซีดีดีๆ มาฟังอาจคุ้มค่ากว่า เพราะฟังกี่รอบก็ได้
    ผมและหมอแสง เดินชม "โอลด์ ทาวน์ ฮอลล์" จนเพลิน ก่อนจะเดินลงไปทางสะพานข้ามแม่น้ำวัลตา ซึ่งมีสะพานทอดข้ามไปยังอีกฝั่งของกรุงปราก ซึ่งเรียกว่า "Prague Lesser Town" เป็นเมืองเก่าอันสำคัญ
    สะพานที่ผมจะข้ามไปนั้นคือ "ชาร์ลส์ บริดจ์" หรือสะพานชาร์ลส์ มีชื่อเสียงโด่งดังมาก ใครมา "เช็ก" แล้วไม่เดินข้ามสะพานแห่งนี้ ถือว่าไม่ได้มา "เช็ก"
    เย็นวันเสาร์ของ "ปราก" คลาคล่ำไปด้วยนักท่องเที่ยว ผมประมาณเอาเองว่าราวเกือบหมื่นคน เส้นทางเดินก็เหมือนๆ กัน คือจากทาวน์ฮอลล์ ตรงไปที่สะพานชาร์ลส์ ซึ่งกษัตริย์ชาร์ลส์ที่ 4 สร้างขึ้น ยืนพักกลางสะพานดูความสวยงามของทิวทัศน์จากกลางแม่น้ำ Vltava หรือ Moldau ในชื่อเยอรมัน แล้วก็ชื่นชมกับปฏิมากรรมที่อยู่บนสะพานเก่าแก่อายุกว่า 600 ปี เป็นรูปปั้นของบุคคลที่มีชื่อเสียงทางศาสนา การเมือง ในศตวรรษที่ 14 ซึ่งมีทั้งหมด 30 รูป
    จากฝั่งของศาลาเมืองเก่า มองตรงไปข้างหน้าจะเห็นปราสาทฮราดคานี(Hradcany Castle) หรือปราสาทแห่งกรุงปราก และโบสถ์เซนต์ วิตุส ตั้งตระหง่านเหนือเนินเขา รายล้อมด้วยอาคารหลังคาสีแดงอันเป็นตัวเมืองเก่าอีกแห่งที่เรียกว่า เลสเซอร์ ทาวน์(Lesser Town)
    เลสเซอร์ ทาวน์ ตั้งขึ้นมาตั้งแต่ ค.ศ.1257 วันนี้ สภาพยังเดิมๆ พื้นถนนปูด้วยแท่งหินสี่เหลี่ยมผืนผ้าก้อนเล็กๆ วางเรียงทั่วเมือง รถยนต์แล่นผ่านทีจะมีเสียงล้อยางบดกับแผ่นหินดังครืดๆ ตรงกลางของถนนเจาะเป็นเส้นทางรถราง
    อาคารของเลสเซอร์ ทาวน์ ส่วนใหญ่เป็นของหน่วยงานราชการ สถานทูต และเป็นอาคารพาณิชย์ ภัตตาคาร สร้างด้วยรูปแบบสถาปัตยกรรมบาโรก ว่ากันว่า โบสถ์เซนต์ นิโคลัส ที่ตั้งอยู่ใกล้จัตุรัสเลสเซอร์ ทาวน์นั้น เป็นสถาปัตยกรรมสไตล์ "บาโรก" ที่สวยงามของยุโรปทีเดียว ส่วนภายในโบสถ์มีภาพเขียนของจิตรกรกระเดื่องนามของเช็กในเวลานั้น เช่น โยฮัน แครกเกอร์
    เมื่อเดินขึ้นไปถึงปราสาทแห่งปราก เห็นภาพอลังการของตัวโบสถ์เซนต์ วิตุส ที่สร้างอย่างวิจิตรพิสดาร ในสถาปัตยกรรมสไตล์โกธิคเช็ก(Czech Gothic) เป็นการผสมผสานกันระหว่างโกธิคของเยอรมันกับฝรั่งเศส ชาวเช็กเรียกกันเองว่า "วลาดิสลาฟ โกธิค"
    สามทุ่มของฤดูร้อน ท้องฟ้า "ปราก" ยังมีสีฟ้าสดใสโปร่งตา ก้อนเมฆสีขาวใสเป็นริ้วขาวบางๆ ลอยเหนือยอดปราสาท ผมกับหมอแสงเดินข้ามสะพาน "ชาร์ลส์" ตรงไปสถานีรถไฟใต้ดินแถวๆโอลด์ ทาวน์ ฮอลล์ ขึ้นรถกลับ "เพนชั่น" อย่างสะดวกราบรื่น ไม่มีอาการหลงทาง แม้จะเป็นการเยือน "ปราก" เพียงวันแรก
     

แชร์หน้านี้

Loading...