สมาทานศีลในวินาทีสุดท้ายของชีวิต ก็ไปดีได้

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย vacharaphol, 2 เมษายน 2006.

  1. vacharaphol

    vacharaphol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    8,849
    ค่าพลัง:
    +27,173
    [​IMG]

    <!--images-->.......จะเห็นได้ว่า อานิสงส์แห่งศีลนั้นไม่เพียงแต่สร้างมนุษย์สมบัติให้ในปัจจุบันชาติเท่านั้น
    แต่ยังเป็นทิพย์สมบัติที่จะคอยติดตาม นำพาให้ไปสู่ภพภูมิที่ดีงามอีกด้วย

    เมื่อทุกชีวิตไปสู่สุคติได้ด้วยศีล การละจากโลกนี้ของผู้มีศีล จึงมิใช่เรื่องที่น่าหวาดกลัวเลย
    ดังเช่นการจากโลกนี้ไปของพ่อค้าสำเภาทั้ง ๗๐๐ คน


    พ่อค้าสำเภา ๗๐๐ คน


    .......เรื่องมีอยู่ว่า ในอดีตกาลที่ล่วงแล้วมา พ่อค้าสำเภา ๗๐๐ คน เดินทางไปทำการค้าทางทะเล
    พอถึงวันที่ ๗ ได้เกิดคลื่นใหญ่ขึ้นในกลางมหาสมุทรโหมกระแทก จนเรือแตกในขณะที่เรือกำลัง
    จะจมนั้น พวกพ่อค้าเห็นน้ำทะเลทะลักเข้ามาในเรือก็ตื่นตระหนกตกใจ พากันสวดอ้อนวอนให้
    เทวดาของตนมาช่วย คงมีแต่บุรุษหนึ่ง ซึ่งมิได้มีความสะทกสะท้านหวั่นกลัวใดๆ เพราะใจของ
    เขานั้น นึกถึงแต่การที่ได้ถวายทานแด่พระภิกษุในวันที่จะลงเรือ ทั้งระลึกถึงคุณพระรัตนตรัย
    และศีลที่ตนเองรักษา พวกพ่อค้าเห็นดังนั้น ก็พากันไต่ถามถึงเหตุที่เขาไม่กลัวภยันตราย บุรุษนั้น
    ก็เล่าเรื่องของตนให้ทราบ พวกพ่อค้าจึงขอร้องให้บุรุษผู้นั้นแนะนำสรณะและศีลให้แก่พวกตนบ้าง

    บุรุษผู้นั้นจึงจัดพ่อค้าเป็น ๗ แถวๆ ละ ๑๐๐ คน โดยให้สมาทานศีลทีละแถว ขณะที่แถวแรก
    สมาทานศีลนั้น น้ำก็ได้เข้ามาในเรือจนถึงระดับข้อเท้าแล้ว

    เมื่อแถวที่สองสมาทานศีล ระดับน้ำก็ท่วมถึงเข่า

    เมื่อแถวที่สามสมาทานศีล ระดับน้ำก็ท่วมถึงเอว

    เมื่อแถวที่สี่สมาทานศีล ระดับน้ำก็ท่วมถึงสะดือ

    เมื่อแถวที่ห้าสมาทานศีล ระดับน้ำก็ท่วมถึงอก

    เมื่อแถวที่หกสมาทานศีล ระดับน้ำก็ท่วมถึงคอ

    เมื่อแถวที่เจ็ดสมาทานศีล ระดับน้ำก็ถึงปาก ต้องสมาทานศีลในขณะที่น้ำเค็มไหลเข้าปาก
    เมื่อทุกคนได้ตั้งใจรักษาศีลดีแล้ว บุรุษผู้นั้นก็ร้องบอกด้วยเสียงอันดังว่า

    " ที่พึ่งอย่างอื่นไม่มีอีกแล้ว ขอท่านทั้งหลายพึงนึกถึงแต่ศีลเท่านั้นเถิด "
    ในที่สุดทั้งหมดก็จมน้ำตาย

    .......ปรากฏว่าบุรุษผู้นั้นได้ไปเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ส่วนพ่อค้าทั้งหลายก็ได้ไปเกิด ณ ที่นั้น
    เช่นกัน เทพบุตรทั้งหมดมีนามว่า ยกสัตบุรุษ เพราะล้วนแต่เป็นผู้ที่ได้รับการยกขึ้นด้วย
    ธรรมของสัตบุรุษ คือ ศีล ๕ ก่อนที่จะเสียชีวิตลง วิมานของเทพบุตรเหล่านั้น อยู่เป็นลำดับเรียง
    กัน ๗ ชั้น ตรงกลางนั้นเป็นวิมานทองคำ สูงถึง ๑๐๐ โยชน์ เป็นวิมานของเทพบุตรซึ่งเป็นอาจารย์
    ผู้แนะนำให้รักษาศีล ส่วนวิมานของเหล่าศิษย์ซึ่งมีความสูงลดหลั่นลงมา จะตั้งอยู่ล้อมรอบเป็นชั้นๆ
    ออกไป โดยชั้นนอกสุดมีความสูง ๑๒ โยชน์

    เมื่อเทพบุตรเหล่านั้นนึกถึงกุศลของตน ก็รู้ว่าที่ตนได้ทิพย์สมบัติเช่นนี้ เพราะอาศัยศีลที่อาจารย์
    เป็นผู้แนะนำให้รักษา จึงพากันมาสรรเสริญคุณของอาจารย์ถวายแด่พระบรมศาสดา ณ พระเชตวัน-
    มหาวิหาร ในเวลาเที่ยงคืน โดยกล่าวเป็นคาถาสรรเสริญสัตบุรุษว่า

    " บุคคลพึงคบสัตบุรุษอย่างเดียว พึงทำความสนิทสนมกับสัตบุรุษ เพราะรู้ชัดสัทธรรมของ
    สัตบุรุษแล้ว มีแต่ดีขึ้น ไม่มีเลวลง "

    ต่อจากนั้นเทวดาอีก ๕ องค์ ก็กล่าวคาถาสรรเสริญคุณของสัตบุรุษคล้ายๆ กัน พระพุทธองค์
    ทรงรับรองว่า คำที่เทวดากล่าวมานั้นเป็นคำสุภาษิต แล้วตรัสคาถาสรุปคุณของการคบหาสัตบุรษว่า

    บุคคลพึงคบสัตบุรุษอย่างเดียว พึงทำความสนิทสนมกับสัตบุรุษ เพราะรู้ชัดสัทธรรมของ
    สัตบุรุษแล้ว บุคคลย่อมหลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวง "


    .......หากพ่อค้าสำเภาทั้งหลาย จบชีวิตลงอย่างทุรนทุรายหวาดผวา ก็ไม่รู้ว่าความหวาดผวานั้นจะ
    พาพวกเขาไปสู่ภพภูมิอันน่ากลัวเพียงใด แต่เพราะได้คบหากับ สัตบุรุษผู้มีศีล ชีวิตของ
    พวกเขาจึงได้พบกับสิ่งที่ดีงาม ได้รู้จักการรักษาศีล ซึ่งเป็นที่พึ่งอันมั่นคงได้ ไม่ว่ายามใด

    พ่อค้าสำเภาทั้งหลายยังได้รู้ว่า เมื่อเรืออับปาง และชีวิตต้องจบสิ้นลง พวกเขาย่อมไม่อาจนำ
    ทรัพย์สมบัติใดๆ ติดตัวไปได้เลย แต่ศีลที่พวกเขารักษา แม้ในวาระสุดท้ายของชีวิต ย่อมจะเป็น
    ทิพย์สมบัติอันโอฬารติดตามพวกเขาไป โดยที่ภัยใดๆ ก็ไม่อาจทำลาย หรือขวางกั้นไว้ได้เลย

    พ่อค้าสำเภา ผู้มีชีวิตรอนแรมเสี่ยงภัยในมหาสมุทร สามารถก้าวสู่ความเป็นเทพบุตร ผู้เสวย
    สุขในทิพยวิมาน มีสมบัติอันเป็นทิพย์ได้ ก็เพราะอาศัยบุญที่เกิดจากความตั้งใจรักษาศีลอย่างแน่ว
    แน่จวบจนสิ้นลมหายใจ



    จากหนังสือ.....



    ศีล....เป็นที่ตั้งแห่งความดีงาม

    พระมหาสุวิทย์ วิชฺเชสโก ป.ธ. ๙
     

แชร์หน้านี้

Loading...