วิธีแก้กรรมแห่งการปาณาติบาต

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย satan, 16 พฤศจิกายน 2006.

  1. satan

    satan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    5,015
    ค่าพลัง:
    +17,915
    วิธีแก้กรรมแห่งการปาณาติบาต



    แก้ได้ด้วยการ ปล่อยสัตว์
    ขอถามท่านทั้งหลายว่า :
    ๑. อยากมีอายุยืนหรือไม่?
    ๒. อยากหายเจ็บป่วยหรือไม่?
    ๓. อยากหมดทุกข์หมดโศกหรือไม่ ?
    ๔. อยากได้กุลบุตรกุลธิดาหรือไม่?
    ถ้าปรารถนาตามนี้...
    มีวิธีง่ายที่สุดจะแนะนำท่านก็คือ
     
  2. satan

    satan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    5,015
    ค่าพลัง:
    +17,915
    วิปัสสนาแก้กรรม
    โดย พระครูภาวนาวิสุทธิ์
    วันนี้จะเล่าเรื่องพิเศษให้ฟังสักเรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องการปฏิบัติวิปัสสนาแล้วสามารถแก้กรรมได้
    กล่าวถึงนางไกร พัฒนทายาท ทำงานอยู่ที่สำนักงานไร่ยาสูบเพชรบูรณ์ บ้านเดิมอยู่จังหวัดแพร่ เป็นลูกของ มัคทายกวัด สำเร็จการศึกษาแค่มัธยม ๖ ก็มาเข้างานที่สำนักงานไร่ยาสูบที่จังหวัดเพชรบูรณ์
    นายไกรเข้ามาทำงานโดยผู้จัดการคนก่อนรับไว้และช่วยเหลืออุปการะ ตั้งแต่เป็นเสมียนจนเลื่อนขึ้นมาเป็นหัวหน้าพัศดุ ต่อมาเกิดมีการก่อสร้างโรงเรือนต่าง ๆ เพิ่มขึ้น ผู้จัดการคนใหม่กับรองผู้จัดการไม่ถูกกันอย่างแรงเลยทีเดียว นายไกรก็ทำบัญชีตะพึด โกงหรือไม่โกงเราไม่รู้ ก็ได้ความว่าผู้สอบบัญชีมาตรวจพบว่าผู้จัดการทุจริตในหน้าที่ การก่อสร้างนี้เอาสิ่งของวัตถุก่อสร้างไปใช้ผิดประเภท

    ทางการก็สั่งพักงานผู้จัดการทันที ข้างนายไกรก็กลุ้มอกกลุ้มใจเหลือเกิน “เอ เราจะเบิกความอย่างไร ต้องเป็นพยาน เราจะต้องติดร่างแหด้วยถ้าเบิกไปตามจริงนี้เจ้านายจะติดคุก แต่ท่านก็เป็นเจ้านายเรานี่ แหม! พะอืดพะอมเหลือเกิน เราอุตส่าห์ตั้งใจทำงานตั้งแต่เป็นเสมียนจนเลื่อนขึ้นมาเป็นหัวหน้าพัศดุมีเงินเดือนเงินดาวสูงขึ้น และลูกยังเล็ก ๆ ๓ คน จะออกใหม่อีกคนเป็น ๔ คนทำนองนี้ จะบอกให้การตามจริงก็เป็นการที่จะต้องแฉผู้จัดการผู้มีพระคุณและเป็นเจ้านาย ถ้าเราจะให้การโดยเล่ห์กระเท่ห์เพทุบาย ก็เป็นการโกงรัฐบาล” เป็นคนตรงอย่างนี้ ในที่สุดนายไกรตัดสินใจตาย ก็บอกกับภรรยาลูกเล็ก ๆ ว่าจะเข้ากรุงเทพฯ นะ รถรายังไม่เจริญก็เตรียมหีบ เตรียมยาอันตรายไปเสร็จขึ้นรถยนต์ไปลงตะพานหิน ซื้อตั๋วรถไฟไปลงกรุงเทพฯ มันเป็นบุญวาสนาของเขาก็เกิดให้ร้อนอกร้อนใจลงเสียที่สถานีลพบุรี ไม่ไปกรุงเทพฯ แต่บอกกับภรรยาว่าจะไปธุระราชการที่กรุงเทพฯ ติดต่องานนิดหน่อยเท่านั้น ด้วยความกลุ้มใจว่าตัวจะต้องโดนติดคุกด้วยเสียอกเสียใจ ข้าวปลาไม่รับประทานมาลงที่สถานีลพบุรีเสร็จแล้วก็แบกหีบเทิ่ง ๆ ไป

    ตอนนั้นไฟฟ้าภูมิภาคไม่มีนะ มีไฟฟ้าเทศบาลอยู่ที่สวนสัตว์โน่น ไปทางวัดไก่มีโรงไฟฟ้าสำหรับปั่นของเทศบาล สมัยเก่าไฟฟ้ายังไม่เข้า เขาก็มีวิกอยู่ ๒ วิก วิกนารายณ์กับวิกท่าขุนนาง และนายไกรนี่ก็ไปพักโรงแรมทหารบก พักโรงแรมไฟฟ้าก็หรี่ตอนหัวค่ำ แล้วก็นั่งเขียนหนังสือว่าจะกินยาตายและก็ขอตายที่โรงแรมนี้ เขียนหนังสือว่า เขาเป็นใคร ชื่ออะไร อยู่ที่ไหน ทำไม่ต้องมากินยาตายที่นี้ด้วย ขอให้โรงแรมได้รับทราบในเรื่องนี้ของเขาในค่ำคืนวันนี้ แต่เขาก็ยังมีบุญอยู่ พอเอายาขึ้นมาดื่ม ไฟฟ้าซึ่งริบหรี่อยู่เกิดสว่างพรึบขึ้นมาทันที สว่างโล่งเลย ตกใจ! ยาหกไปหน่อยแล้วก็วางตั้งสติ เขาเล่าให้ฟังอย่างนี้ ตั้งสติอารมณ์ใหม่ เอ! เมื่อกี้ไฟมันหรี่ มัน ๖ ทุ่มกว่า จะตี ๑ แล้ว หนังเลิกคนก็ใช้ไฟน้อยลง ไฟก็สว่างพรึบขึ้น

    นายไกรก็มาคิดว่า เอ! เราจะมากินยาตายคิดสั้น ๆ อย่างนี้หรือ พ่อแม่เราก็เป็นมัคทายกวัด อยู่จังหวัดแพร่ เป็นคนใจบุญสุนทาน เราจะทำอย่างไรดี คืนนั้นก็ไม่ได้นอนตลอดคืน แล้วก็คิดตกลงใจว่า อย่าเลย! เราจะไปหาสำนักวิปัสสนา จะไปที่ไหนดี ก็ตรึกตรองอยู่จนสว่าง แล้วก็จ่ายค่าโรงแรมก็แบกหีบเทิ่ง ๆ ไป กินกาแฟแก้วหนึ่งแก้หิว ข้าวปลาไม่เอา ก็แบบหีบไปถึงท่าโพธิ์
    ตอนนั้นรถประจำทางไม่มีรถบัสหรอก มีแต่รถคอกหมู รถมีม้านั่ง แล้วก็นั่ง ๆ กันไป สิงห์-ลพบุรี สิงห์-ลพบุรี ก็ไม่ทราบว่าจุดหมายปลายทางจะไปที่ไหนประการใด นายไกรก็แบกหีบมา พวกท้ายรถก็มาช่วยแหบหีบ ปากก็ร้องว่า สิงห์ สิงห์ สิงห์ แหบหีบขึ้นหลังคาไปเลย มัดเลย ขึ้นครับเขาให้ไปสิงห์ ก็ใจลอยอยู่แล้ว สติสตังไม่มีก็ขึ้นส่งไปเลย เก็บบาทหนึ่ง ลพบุรี-สิงห์ บาทหนึ่ง นี่สมัยนั้นนะก็ขึ้นไป ขึ้นไปแล้วทำอย่างไร พวกมาเก็บสตางค์ถามไปไหน ตอบ “ไม่รู้” ไม่รู้ยังไงแล้วผมจะเก็บตังถูกหรือ ไปท่าวุ้งหรือลงไหน สิงห์ก็แล้วกันเก็บบาทหนึ่ง” เสียตังค่าโดยสารรถมาถึงตลาดปากบางทางที่จะเข้ามาวัดเรานี่ ถึงบางนา รถเสียเลย แก้ไม่ติดทำอย่างไรก็ไม่ติด เสียเลย

    นายไกรก็ลงจากรถ มานั่งกอดอกอยู่ที่ร้านกาแฟ มีร้านกาแฟอยู่ร้านเดียว เดี๋ยวนี้เจริญแล้ว ที่บางนาตรงนี้เอง ก็นั่งกอดเข่า ร้านกาแฟเขาถามว่า “นี่คุณจะไปไหน” ตอบไม่รู้ เอ้! ไม่รู้จะไปไหน เอาโอวัลตินมาถ้วยหนึ่งเถอะ พอดื่มโอวัลตินแล้ว รถก็ยังไม่ติด รถไม่ติดเลย สักประเดี๋ยวก็เกิดลางสังหรณ์ใจขึ้นมา บอก “นี่กระเป๋าเอากระเป๋าผมลง เดี๋ยวผมขอคุยกับแม่ค้าก่อน แม่ค้าก็ถามว่าคุณมาจากไหน ก็ไม่บอก ถามว่า “นี่แม่คุณเอ๋ย วัดไหนมีสำนักรรมฐานบ้าง อยากให้พาไป”

    พอดีร้านกาแฟเขารู้จักอาตมา “เอ้าเดี๋ยวจะพาไปเอา ๕ บาท” แล้วผลสุดท้ายก็แบกหีบมาให้ พอตกลง ๕ บาท เฉ่งเงินเลย ต้องให้เกินก่อนไม่งั้นไม่พาไป พอเฉ่งเงินเสร็จเรียบร้อยรถติดเลย ไม่ได้เสียอะไรแล่นต่อไปได้ นี่เห็นไหมนี่ เลยแบกหีบเทิ่งมา
    อาตมาจำวัดอยู่ในโบสถ์ โบสถ์หลังเก่าไม่ใช่หลังนี้ เป็นป่าดงพงทึบเป็นป่าแฝก ป่าหญ้าคาแน่นหมด มีกุฏิกรรมฐานอยู่ ๓ หลัง ที่แม่สะอิ้งสร้างไว้ หลังแรก

    นายไกรมาแล้วพร้อมกับคนรับจ้างแบกหีบ ส่งแค่หน้าโบสถ์บอกกลับละครับ แล้วเขาก็กลับ
    อาตมาก็ถามว่า “โยมมาจากไหนนี่”
    ไม่บอก บอก “ผมชื่อนายบุญพัฒนา” โกหกเราเลย ชื่อนายบุญพัฒนา มาจากไหนก็ไม่รู้
    อาตมารู้แล้ว “เดี๋ยวไปอาบน้ำเสียก่อน จะมานั่งเข้ากรรมฐานใช่ไหม”
    “ใช่” และเขาก็ไปอาบน้ำอาบท่าแล้วก็จะมานั่ง
    บอก “เดี๋ยวฟังโอวาทก่อน” อาตมาก็ให้โอวาท ไปตรงเรื่องเขาหมดเลย ร้องห่มร้องไห้ อาตมาก็จับได้ บอกเสียตรง ๆ นะ มีเรื่องอะไรใจเหรอ

    ก็เล่าเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นจนอวสาน เล่าให้อาตมาฟัง เรารู้เรื่องเขาหมดแล้วก็บอก “เอาอย่างนี้แล้วกัน อยู่ ๗ วัน รักษาศีล ๘ เดี๋ยวนี้” อาตมาก็ให้กรรมฐาน พอให้กรรมฐานเสร็จแล้ว เดินจงกรม เอาเลย ไม่ใช่ ๓๐ นาทีหรอก ต้อง ๑ ชั่วโมงนะ เดิน ๑ ชั่วโมง นั่ง ๑ ชั่วโมง และให้ไปนั่งกับอาตมาในโบสถ์เพราะกุฏิมีอยู่ ๓ หลัง ยังไม่มีพระมาอยู่ทางนี้ พระยังไม่ค่อยมีมาก ก็ให้นั่งในโบสถ์ นั่งเสร็จแล้วก็ให้แผ่เมตตา แผ่เมตตาถึงเจ้านาย

    นี่เล่าเรื่องหมดเลย อาตมาก็สอนว่าจะต้องปักหลักสู้ และก็เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เราเป็นผู้มีกตัญญูกตเวทีต่อผู้มีพระคุณ จะให้การตามจริง เจ้านายก็จะติดคุก จะให้ความไม่จริงก็เป็นการโกงรัฐบาล ข้าพเจ้าจะขอบวชเจริญวิปัสสนากรรมฐาน แต่ไม่ได้บวชพระอย่างนี้ นุ่งขาวห่มขาวแล้วก็รับศีล ๘ แล้วนั่งเจริญกรรมฐานแผ่เมตตาออกไปให้กรรมการผู้สอบสวน และเจ้านายได้ทราบด้วยญาณวิถี” ขอให้ท่านมีความสุขความเจริญ และขอให้ผู้จัดการของข้าพเจ้ามีความสุข ขอให้รองผู้จัดการที่หาเรื่องหาราวเป็นความจริงนั้น ขอให้มีความสุข ความเจริญ แผ่เมตตา ถ้าหากข้าพเจ้าเจริญวิปัสสนากรรมฐานได้ครับถ้วนขบวนการแล้ว ขอให้บุญกุศลจงช่วยข้าพเจ้าด้วยเถิด ทำอย่างนี้ทุกวันเลย

    ครบวันที่ ๖ แล้ว วันที่ ๗ เขาจะขอลากลับ วันที่ ๖ ร้อนถึงเจ้านายทันที เป็นเรื่องที่แปลกมาก ที่อุทิศส่วนกุศลนี่นะ ขอให้ญาติโยมทำจริง ขออุทิศส่วนกุศล ขอกข้าพเจ้าหาทางออกไม่ได้แล้ว มีทางเดียวคือตาย อับอายขายหน้าเขาเหลือเกิน ลูกก็ยังเล็ก ๆ แบเบาะอยู่ก็มี ขอให้บุญกุศลนี้ร้อนถึงเจ้านายของข้าพเจ้า ณ บัดนี้ จงเห็นใจข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะให้การตามความจริงก็ไม่ได้ เพราะท่านเป็นเจ้านายผู้มีพระคุณ ตัดสินใจอะไรไม่ได้แล้ว ในที่สุดเป็นอย่างไร

    เจ้านายที่กรุงเทพฯ ก็โทรเลขด่วนเลย บอกว่าให้นายไกรมาพบโดยด่วนทีเดียว นี่เห็นไหม บุญกุศลจากการเจริญวิปัสสนา บอกขอพบโดยด่วนให้ตามมาด่วนภายใน ๗ วัน ถ้าไม่พบภายใน ๗ วันถือว่ามีความคิดคดีอาญาอย่างร้ายแรง เจ้านายว่าอย่างนี้เลย ในที่สุดเขาก็ได้มาส่งข่าวทางบ้าน ภรรยาเขาก็ไม่รู้จะไปตามที่ไหน ทราบแต่มากรุงเทพฯ มาตามที่กรุงเทพฯ ก็ไม่พบ
    ก็มีลุงคนหนึ่ง อาตมาก็จำชื่อเขาไม่ได้เป็นลุงข้างภรรยาเขาโทรตามบ้านญาติแล้วก็ไม่มี ช่วยไปตามทีเถอะ ก่อนที่จะเดินทางมาตามก็เดินจงกรม นั่งวิปัสสนาและขออธิษฐานจิต ให้กุศลดลบันดาลให้พบหลายเขยให้จงได้

    ว่าแล้วมิทันช้าก็เดินทางขึ้นรถไฟมาถึงลพบุรี ก็ลงที่ลพบุรีอีก เห็นไหมนี่ ทำให้เกิดสังหรณ์ในใจ ลงลพบุรีเลย แบกหีบเทิ่ง ๆ ไป มีกระเป๋าเล็ก ๆ ใบหนึ่ง ลงที่ลพบุรี เสร็จแล้วก็เดินทางไปทางท่าโพธิ์เที่ยวถามเขาเรื่อยไป รถคันเดิมนั่นแหละ สิงห์ สิงห์ สิงห์ ยกหีบตาลุงคนนี้ขึ้นรถไปเลย นี่เห็นไหมนี่ สิงห์ สิงห์ สิงห์ขึ้นรถไปถึงบางนารถเสียอีก นี่เรื่องอัศจรรย์เล่าให้โยมฟัง รถเสีย
    ตาคนนี้ก็ลงมาร้านกาแฟร้านเดิม รถก็ไม่ติด ลงมาร้านกาแฟก็ถามเขาเรื่อยมา แกบอกว่าสติบอก สติกรรมฐาน เพราะตาคนนี้แกนั่งกรรมฐานตั้งแต่อยู่วัดบวชมา ๑๕ พรรษา แล้วก็มานั่งร้านกาแฟ และก็ถามร้านกาแฟว่า เมื่อ ๗ วันก่อนโน้น มีคนมาแถวนี้บ้างไหม รูปร่างอย่างงั้น อ๋อ มี มี มี บอกเลย มีหีบรูปร่างอย่างนั้น ๆ เชียว อยากจะไปเจอหรือไง

    รับจ้าง ๕ บาท จากบางนามานี่รถไม่มี และบางนามาปากบางนี่สะพานก็ไม่มีด้วยนะ ยังไม่ได้สร้างสะพาน สร้างสะพานไม้ขึ้นเมื่อสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม และสมัยจอมพลถนอม จึงจะเป็นสะพานคอนกรีตขึ้นมา นี่อาตมาจำได้ละเอียด
    ผลสุดท้ายตาคนนี้ก็มาถึง พอตกลง ๕ บาทก็เฉ่งเงินก่อนนะ ไม่งั้นไม่มาส่งร้านนั้นก็แน่เหมือนกัน พอให้ ๕ บาทแล้ว รถติดเลย ก็คันเดิมน่ะแหละเห็นไหม พอมาถึงนายไกรน้ำตาร่วงเลย โอ้โฮนายไกรน้ำตาร่วง นี่น้ำตาร่วง ไม่ได้เสียใจ ดีใจมาก ก็มากราบและเล่าให้อาตมาทราบว่า เจ้านายให้มาตามด่วนภายใน ๗ วันนี้ ถ้าไม่ไปพบมีคดี ให้ไปพบให้ได้ นายไกรก็ได้นั่งเจริญกรรมฐาน บอกเป็นความจริงแล้วที่เราได้มานั่งเจริญวิปัสสนา ๗ วัน สามารถแก้กรรมของเราได้สิ้นสุดอย่างแน่นอน มั่นใจเหลือเกิน
    แล้วก็กราบเรียนให้อาตมาทราบว่า “หลวงพ่อครับ ถ้าผมกลับไปนี้งานการได้ดิบได้ดีเข้าอย่างรูปเดิมแล้วผมจะทอดกฐิน ทอดผ้าป่า ๗ วัด และก็เลี้ยงเช้าเลี้ยงเพลพระ ๗ วัน แล้วผมจะนิมนต์หลวงพ่อไป” แล้วเขาก็ขอลาไปตลาดไปซื้อตะเกียงเจ้าพายุ เมื่อก่อนไม่มีไฟฟ้าใช้ บอกว่ามาได้รับแสงสว่างที่นี่ แล้วก็ถวายไว้ ๑ ดวงและเขาก็กลับไปกับตาลุงนั้น ก็ได้ความออกมาว่า เจ้านายสอบสวน เห็นอกเห็นใจ เลยให้นายไกรเข้าทำงานได้ แต่ผู้จัดการให้พักงานและย้าย

    นายไกรให้ทำงานได้ตามเดิม เพียงถูกตัดเงินเดือน ๒ ขั้นเท่านั้นเอง นี่เห็นไหมแผ่เมตตาไปนี้เจ้านายทราบหมดเลย ไม่ต้องถามอะไรมากเลย ทำให้เจ้านายเข้าใจนายไกรได้ดีมากด้วยการเจริญวิปัสสนากรรมฐาน และแผ่เมตตาหลังจากออกจากกรรมฐานแล้ว เป็นความจริง เดี๋ยวนี้นายไกรยังมีชีวิตอยู่ด้วย ลูกเล็ก ๆ แบเบาะได้ปริญญาไปหมดแล้ว
    นี่อาตมาเล่าเรื่องเก่าให้ฟังว่าเป็นเรื่องอัศจรรย์ เขาไม่เคยรู้จักกับอาตมาเลยมาแต่เดิมที หลังจากแม่สะอิ้งสร้างกุฏิกรรมฐานไว้และเขาก็มาประเดิมใช้ เรื่องก็จบด้วยเหตุการณ์ดังกล่าวมา

    เขาก็นิมนต์อาตมาไปเพชรบูรณ์ และก็ได้มีโอกาสไปนมัสการเจ้าคณะจังหวัดอยู่ที่วัดชนแดน ซึ่งจอมพล ป. พิบูลสงคราม นิมนต์ท่านไปเป็นเจ้าคณะจังหวัด เมื่อสมัยสงครามโลกเกิดขึ้นที่จองถนนจะเอาเพชรบูรณ์เป็นเมืองหลวงต่อไป แล้วเจ้าคณะจังหวัดนั้นก็มรณภาพไปแล้ว อาตมาไปค้างกับท่าน เลยบ้านนั้นเขาเลี้ยงเพลเลี้ยงเช้า ประชาชนมาคุยกับอาตมามากมาย ว่านายไกรรอดตายได้อย่างไร ผลสุดท้ายเจ้าคณะอำเภอเมืองเพชรบูรณ์มานั่งกรรมฐานที่นี่กันเยอะเชียว แล้วกลับไปสอนต่อไป จนทุกวันนี้

    อาตมาก็ขอเจริญพรไว้แต่เพียงนี้ว่า การเจริญวิปัสสนากรรมฐานนี้ได้ผลอย่างสมค่าเหมือนคุณวีโก้ ชาวนอรเวย์ อุทิศส่วนกุศลให้ปู่เขา กับบิดามารดาเขา ได้รับผลและตอบทางจดหมายได้ ต้องนั่งวิปัสสนาผ่านดาวเทียมจำไว้ ดาวเทียมคือรวมพลังสติไว้ ถ้าเราใช้สมาธิอย่างเดียวแผ่ไม่ออก นั่งแต่สมถะมีสมาธิอย่างเดียว ไม่มีสติสัมปชัญญะ...สมาธิสัมปชัญญะรู้ตัวเป็นของวิปัสสนา แล้วจึงแผ่ออกได้รับผลตอบทางหนังสือได้ ดังที่กล่าวมาแล้ว สามารถจะแผ่ออกไปเป็นตัวหนังสือได้ เอาไว้รอบหลังค่อยฟังกันใหม่

    สุดท้ายนี้ ก็ขออนุโมทนาสาธุการกับบรรดาญาติพี่น้องทั้งหลายที่มาในรายการของยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ท่านทั้งหลายมาด้วยความชื่นใจ มาพิสูจน์หลักฐานในการปฏิบัติโดยมีคุณโยมแม่สิริ กรินชัย เป็นวิปัสสนาจารย์ นอกเหนือจากนั้นแล้ว ยังมีญาติโยมคณะครูบาอาจารย์หลายท่าน ได้ช่วยกันชี้แจงแสดงหลักธรรม ให้ญาติโยมได้ซาบซึ้งในรสพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าทุกประการ ขออนุโมทนาสาธุการให้ทุกท่าน จงประสบแต่ความสุขความเจริญยิ่ง ๆ สืบไป และขอจงเจริญด้วย อายุ วรรณะ สุขะ พละ ปฏิภาณธนสารสมบัติ จะนึกคิดสิ่งหนึ่งประการใด จงสมความปรารถนาด้วยกันทุก ๆ ท่าน เทอญ.
     
  3. satan

    satan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    5,015
    ค่าพลัง:
    +17,915
    พระญวณแก้กรรม
    โดย พระครูภาวนาวิสุทธิ์
    วิปัสสนากรรมฐานแก้กรรมได้อย่างไร กรรมเก่าต้องใช้หนี้ทั้งนั้น แต่เรื่องใหม่นี่เราคงไม่ได้ทำกันอีก คนที่สร้างกรรมไว้แล้ว เมื่อสำนึกได้รับผิดได้ก็ต้องยอมรับใช้กรรม ไม่มีอะไรที่จะแก้ได้ ต้องใช้ทั้งนั้น ต้องใช้กรรม ไม่ใช่บุญบาปล้างกันได้นะ เราทำบุญไปแล้วล้างบาปที่ทำไว้คงไม่ได้ เป็นของกฎตายตัวเลย บุญไปตามบุญ บาปไปตามบาป น้ำกับน้ำมันเข้ากันไม่ได้ ต้องแก้อย่างไร วันนี้อาตมาจะเล่าให้โยมฟังสักเรื่องหนึ่ง เรื่องของพระญวณ พระญวนมาแก้กรรมที่นี่ โดยที่ไม่รู้จักอาตมาเลยนะ เขาคงมีบุฟเฟกตปุญญตา เมื่อชาติก่อน คงจะมาแก้กรรมกันที่นี่ เพราะวัดนี้เก่าแก่จริง ๆ นะ
    เมื่อประมาณ ๑๐ กว่าปีมาแล้ว ยุวพุทธิกสมาคมฯ จัดการฝึกอบรมพัฒนาจิต โดยให้ชวนเชิญนักศึกษามาเข้าค่ายกันที่วัดอัมพวัน คุณสมพร เทพสิทธา เป็นประธาน อาจารย์วิศาล อดีตผู้อำนวยการวิทยาลัยครูมหาสารคาม ปลดเกษียณแล้วก็มาช่วยยุวพุทธ จัดงานอบรมพัฒนาจิต

    ที่วัดอัมพวันนี้ ตอนนั้นยังไม่มีหอประชุมเลยก็ใช้ผ้าใบขึงเอา ศาลาก็ยังไม่เรียบร้อย ห้องน้ำห้องส้วมก็ยังมีน้อยไม่เหมือนปัจจุบันนี้ ให้นักศึกษาอยู่กลด ยุวพุทธซื้อให้คนละอัน เดี๋ยวนี้ยังฝากไว้ที่นี่

    นายบัวเฮียว เป็นชาวญวณ เดิมทำงานรับจ้างฆ่าวัวฆ่าหมู อยู่ทางสกลนครอะไรนี่แหละจำไม่ค่อยจะได้ ก็รับจ้างฆ่าวัว ฆ่าควายก่อน เงินเดือนก็ไม่พอ เงินที่จะเลี้ยงชีพไม่พอ ก็ไปอยู่กับเถ้าแก่คนจีน รับจ้างฆ่าหมูต่อไป ฆ่าวันละ ๔ ตัว ๕ ตัว บอกว่าทางภาคอีสาน ถ้ามีงานก็ต้องฆ่าวัวก่อน เขาเล่าให้อาตมาฟัง

    เริ่มหมดกรรม

    วันหนึ่งเขาจะถึงบุญกุศล จะหมดเวรหมดกรรมของเขา เขาก็เดินกลับไปที่พัก ก็ไปเจอพระธุดงค์องค์หนึ่งปักกลดอยู่ เขาไม่เคยมีศรัทธากับพระแต่ประการใด วันนั้นเห็นพระธุดงค์ก็นึกเลื่อมใสอยากจะไปไหว้ เมื่อไปถึงแล้วก็ไปไหว้กราบพระธุดงค์ ตักน้ำถวายท่าน พระธุดงค์องค์นั้นก็ถามว่า คุณชื่ออะไร มีอาชีพการงานอะไร บัวเฮียวเล่าถวายทุกประการ พระท่านคงสงสารว่ามีอาชีพฆ่าวัวฆ่าควายฆ่าหมู ท่านก็แสดงธรรมให้ฟัง ชี้ให้เห็นข้อผิดข้อถูก ชี้บุญชี้บาป บัวเฮียวก็ซึ้งในธรรมะ พระท่านก็แนะนำบอกว่าไปหาอาชีพอย่างอื่นเถิด เป็นบาปเป็นกรรมเหลือเกินนะ ถ้าเชื่อก็ควรปฏิบัติตาม บัวเฮียวเล่าว่า นึกเลื่อมใสกับพระธุดงค์องค์นี้มาก ไม่เคยไหว้พระ ไม่เคยเลื่อมใสในพระพุทธศาสนามาตั้งแต่เดิมที อาตมาก็ไม่ได้ถามว่า ท่านนับถือศาสนาอะไรมาแต่เดิมที ก็กลับไปบ้านนอนไม่หลับ คืนนั้นฆ่าหมูไม่ลง ต้องแข็งใจฆ่าไปสักคืนหนึ่ง รุ่งเช้าขอลาออกจากเถ้าแก่ ไปบวชเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา

    บวชแล้ว ก็ไปศึกษาเรื่องวิปัสสนา เดินธุดงค์ไปตามสภาพ ๑๐ กว่าปี แล้วเจริญอานาปาณสติ พุทหายใจเข้า โธหายใจออก ทำมาโดยมีสมาธิคร่าว ๆ ดิ่งเข้าไปโดยเอกัคตารมณ์ เวลานั่งแล้วจะเห็นหมูเห็นแต่วัวแต่ควายที่เคยฆ่า มันทำให้สำนักสมัญญาในจิตใจเศร้าหมองตลอดเวลา ไม่สามารถจะแก้ได้เลย แล้วท่านก็เดินธุดงค์ไปเรื่อย ภาคอีสานไปกระทั่งเชียงใหม่ ถ้าเชียงดาวท่านก็ไป ก็ไปเจออาจารย์องค์โน้น องค์นี้ร้อยแปดพันประการ

    นิมิตเกิด

    ในที่สุดมาปักกลดอยู่ภาคอีสาน จะเป็นสกลนครหรือหนองคายหรือจังหวัดใดก็ไม่ทราบ ก็เดินธุดงค์มาเรื่อย ๆ วันหนึ่งท่านเกิดนั่งสมาธิเกิดนิมิตขึ้นมา จิตสบายก็เกิดนิมิตว่า “นี่คุณจะแก้กรรมเอาไหม ที่คุณทำบาปทำกรรมเอาไว้นี้คุณยังแก้กรรมไม่ได้เลย” “ทำไมจะแก้กรรมได้” ถามตามนิมิต ๆ ก็เปิดฉากขึ้นมาว่า “วันที่ ๑๖ เขาจะเปิดอบรมนักศึกษากันที่วัดอัมพวัน อำเภอพรหมบุรี จังหวัดสิงห์บุรี”

    แล้วฉากที่สอง ก็เปิดออกมา “รูปร่างวัดเป็นอย่างนี้ ให้เดินทางมาโดยด่วน แล้วพระคุณเจ้าจะแก้กรรมได้” จากการเจริญวิปัสสนากรรมฐานดังที่กล่าวแล้ว แล้วรูปร่างสมภารเป็นอย่างนี้ ๆๆ ว่าอย่างนี้ มันก็เป็นเรื่องอัศจรรย์ดลบันดาลอีกประการหนึ่ง เลยท่านก็มาหวนระลึกนึกถึง เอ! วัดอัมพวันอยู่ที่ไหน สิงห์บุรีไม่เคยผ่าน ก็เดินธุดงค์ไม่เคยเดินผ่านทางภาคกลางนี้เลย ไปแต่ภาคอีสานภาคใต้และภาคเหนือ และส่วนใหญ่นี้เราก็คำนวณได้ว่า พระกรรมฐานที่เชี่ยวชาญจริง ๆ มี ๒ ภาค ภาคเหนือและภาคอีสาน ภาคกลางนี่ภาคหัวหมอ พระหัวหมอไม่ใช่พระวิปัสสนา นี่อาตมานึกเอาเอง

    รุ่งเช้าท่านก็ไปบิณฑบาต ฉันเสร็จแล้วก็มุ่งตรงมาวัดอัมพวัน ถามเขาเรื่อยมา จากนครราชสีมามาสระบุรี เดินเรื่อยมาไม่ขึ้นรถ มืดที่ไหนก็ปักกลดนอนที่นั่น เช้าต่อมาเรื่อย ๆ ก็นับได้ ๓ วันมาถึงที่วัดอัมพวันนี้ มาถึงก็มานมัสการอาตมา เล่าเหตุการณ์ให้ฟังยังไม่ได้เล่าละเอียด บอกเพียงผมมีนิมิตมาถึงวัดนี้ ว่าจะมีการอบรมนักศึกษามาวันมะรืนนี้ พระบัวเฮียวมาถึงนี่ก่อนกำหนดที่นักศึกษาจะเข้าวัดนี้ ๓ วัน ท่านปักกลดตรงที่มีศาลพระภูมิ เดิมที่ตรงนี้เป็นต้นสัตบรรณสูง ๒๐ วา อีกต้นเป็นต้นพิกุล ที่เทวดาเคยมาสอนแม่ชีสวดมนต์ ต้นเล็กนี้อายุตั้งร่วมพันปี หลวงสมานวนกิจ อดีตอธิบดีกรมป่าไม้ท่านบอก มีต้นสัตบรรณต้นสูงมาก แล้วมีมะม่วงอยู่ ๔ แถว

    ในพิธีเปิดการอบรมนักศึกษาได้นิมนต์พระเถรานุเถระผู้ใหญ่มา มี อธิบดีสมพร เทพสิทธา แล้วยังมีนายอภัย จันทวิมล สมัยก่อนเป็นอะไรไม่ทราบ ก็เชิญมาในพิธีนี้เหมือนกัน

    พระบัวเฮียวมาถึงก็เล่าให้อาตมาฟังว่า ท่านนิมิตว่าจะมาแก้กรรมที่นี่ แต่ยังไม่เล่ารายละเอียดว่าท่านเคยทำบาปอะไรนะ เพียงแต่ว่าจะมาแก้กรรม จะแก้อย่างไรก็ไม่ทราบ ท่านก็ขอรับกรรมฐาน อาตมาก็ให้แนวสติปัฏฐาน ๔ บอกว่า พุทโธก็ดี แต่ใช้สติแทรกเข้าไป บอกให้ท่านตั้งสติปัฏฐาน ๔ ท่านก็เข้าใจ ก็เริ่มปฏิบัติเลยที่กุฏิหลังเล็ก แล้วให้ท่านอยู่บนกุฏิ

    กรรมแสดง

    พอนั่งปฏิบัติได้คืนนั้นผ่าน คืนที่ ๒ มาแล้วเริ่มแสดงอภินิหาร สติดีเข้า แล้วกำหนดเวทนาเข้า ตอนที่ท่านเดินธุดงค์นั้น ท่านเล่าให้อาตมาฟังไม่เคยกำหนดเวทนา ปวดเมื่อยก็ทนเอาเฉย ๆ พุทหายใจเข้า โธหายใจออก ท่านว่าอย่างนี้แล้วก็ดิ่งไป แต่ไม่มีสติท่านว่า สติไม่มี ใช้สติปัฏฐาน ๔ ขันธ์ ๕ รูปนามเป็นอารมณ์เพิ่มขึ้น แต่ก็นั่งตรงกลด เดินจงกรมขวาย่างหนอ ซ้ายย่างหนอ ท่านก็ใช้สติกำหนด

    คืนที่ ๒ แสดงอภินิหารแล้ว คือร้องเป็นหมู เป็นวัว เป็นควายหมดเลย ร้องมาชนเสากุฏิแล้วชนเสาต้นสัตบรรณหัวร้างข้างแตกเลือดไหลออกมา ไหลใหญ่เลย แล้วทีนี้ก็มัดเป็นหมู นอนงอเป็นหมู แล้วร้องอี๊ด ๆ ร้องอย่างหมูเลย แล้วเลือดไหล เห็นกันหลายองค์ พอดีนักศึกษาเข้ามา แล้วก็มายืนดูเป็นกลุ่มเป็นก้อนหมด พวกอาจารย์สมเดชด้วย ตอนนั้นยังเป็นนักศึกษา ปกศ. อยู่ที่ยืนดูก็ท้อใจ บอกโอพระปฏิบัติเป็นอย่างนี้ละก็ไม่เอาแล้ว เราเสียภาพพจน์เสียแล้ว อาตมาก็ยังไม่ทันรู้ เขาก็เลยตามหมอมาตรวจ หมอบอกว่าหัวใจก็ดี ความดันก็ปกติไม่มีโรค หมอบอกว่าไม่เป็นอะไร

    นักศึกษาก็ตกลงกันว่า นั่งวิปัสสนาเป็นอย่างนี้ น่ากลัวบอกไม่เอาแล้วจะกลับบ้าน พอดีอาจารย์วิศาลก็มาห้ามไว้ว่า ยังกลับไม่ได้ก็ต้องประชุมชี้แจงให้เข้าใจ นี่เป็นการเสียภาพพจน์ไปเหมือนกัน

    กำหนดสติแก้

    คืนต่อมานักศึกษามาเข้าประชุมแล้วรับกรรมฐานก็ไปนั่งปฏิบัติ พระองค์นี้มาแสดงอีก วิ่งมาตรงนี้อีกละที่ต้นสัตบรรณวิ่งชนเลย เอาศีรษะชนเป้ง ๆๆ ถอยหลับไปถอยหลังมา จีวรสบงขาดหมด แล้วก็ร้องเป็นวัวเป็นควายเลือดไหลเป็นกอง ๆ เลย เลือดไหลออกมาเป็นกระโถนเลย คอเป็นแผล เลือดก็ออกมาทางตาบ้าง ทางหูบ้าง เลือดออกทางปากบ้าง อาเจียนออกมาบ้าง แล้วถ่ายอุจจาระเป็นเลือด ตลอด ๓ คืน ๓ วันไม่ได้นอน อาตมาไปก็ไปดูท่านแล้วก็บอกว่า บัวเฮียวตั้งสติกำหนดเวทนา ปวดหนอ ๆ กำหนดไป กำหนดใหญ่เลย พอได้สติ กำหนดไป ๆ วันที่ ๓ ที่ ๔ ก็ลุกนั่งได้แล้ว ลุกนั่งได้ก็เจริญสมาธิสติปัฏฐาน ๔ เข้าพลสมาบัติได้ทันที

    พอเข้าพลสมาบัติ ออกมาแล้วก็เล่าถวายอาตมาถึง ๓ ชั่วโมง บอกพระเดชพระคุณหลวงพ่อครับ ผมจะเล่าเหตุการณ์ของผมถวาย ผมเป็นญวนครับ ไม่ใช่เป็นคนไทย ก็เล่าเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นจนอวสาน ตามที่อาตมาได้เล่าผ่านไปแล้ว เล่าว่าได้ไปฆ่าวัวฆ่าควาย นี่เป็นกรรมต้องใช้ พอได้สติขึ้นมานะ กำหนดเวทนา เพราะฉะนั้น โยมอย่าได้ทิ้งเวทนานะ บางคนไปฆ่าผักฆ่าปลามา ปวดแข้งปวดขา

    มีนักศึกษาเคยมาที่นี่ เวลาปฏิบัติบอกปวดจะตายแล้วเจ้าข้า บ้านอยู่รู้สึกจะเป็นอุดรธานี เขามาเรียนวิทยาลัยครูที่อยุธยา เดี๋ยวนี้สำเร็จไปแล้ว เลยบอกให้กำหนดเวทนา กำหนดหนักเข้า ๆ เคยไปหักขาเขียดขากบตอนเป็น ๆ เอามาทำอย่างนั้น ๆ เขาเล่าละเอียด พอรู้เรื่องว่าตัวทำกรรมมาแล้วกำหนดและแผ่เมตตาแล้วหายทันที ๆ และจะไม่ปวดแข้งปวดขาอีก
    แล้วก็ย้อนมาเล่าถึงพระบัวเฮียว พอท่านได้สติดีบอกว่าผมเองนี่ปฏิบัติมา ๑๐ ปี แก้กรรมมิได้เลย ก็นั่งนิ่งไปเฉย ๆ และไม่รู้เวทนาในเวทนา ท่านก็บอกว่าผมทราบแล้วครับว่าเวทนาในเวทนา เราไปฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเราจะต้องทรมานอย่างนี้แหละหนอ พอได้สมาธิพลสมาบัติแผลไม่มีที่คอนี่ แล้วเลือดหายไป และศีรษะที่เป็นแผลก็หายไปทันที มันเป็นเรื่องแปลกอยู่เหมือนกัน เลยในที่สุดก็เข้าพลสมาบัติได้

    วันสุดท้ายพวกนักศึกษาเห็นว่าอ้อแก้กรรมได้ เลยท่านสามารถจะบรรยายได้อย่างสวยงาม ตั้งแต่ต้นจนอวสาน ทำให้นักศึกษาต้องตื่นเต้นในเรื่องการปฏิบัติธรรมนี่อย่างพระบัวเฮียวก็มาทำเป็นตัวอย่างให้นักศึกษาได้ทราบว่า วิปัสสนาแก้กรรมได้ โดยวิธีรับใช้กรรม โดยที่เอาหัวไปชนโน้นชนนี่

    อันนี้ขอเจริญพรว่า เวทนาสำคัญมากนะ จับให้ได้กำหนดให้ได้ บางครั้งมันเป็นกรรมวิธีในตัวเองที่เราไปทำเขาไว้ กำหนดไว้ให้หายโดยสติสัมปชัญญะ โดย สติปัฏฐาน ๔ และการกำหนดอย่างนี้ พระบัวเฮียวเวลากลับไปถึงบ้านรื้อที่ ชวนญาติโยมไปสร้างวัด ญาติโยมนุ่งขาวปฏิบัติวิปัสสนา เจริญสติปัฏฐาน ๔ ท่านก็เลยเลิกใช้พุทโธ ใช้เวทนากำหนดเป็นการใหญ่ เป็นการแก้กรรมของเวทนาทุกขเวทนาที่เราทำไว้ที่ทรมานเหลือเกินคือเวทนา จึงจะรู้กฎแห่งกรรม จากคำว่า เวทนา ตัวนี้ ถ้าคนไหนไม่ทนต่อเวทนากำหนดไม่ได้ จะมีกฎแห่งกรรมที่เราทำเขาไว้ อย่าไปหนีเวทนา หนีไม่ได้

    ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว พระบัวเฮียวก็พาญาติโยมาม ๒-๓ คันรถบัส อาตมาก็รับเลี้ยงพักที่วัดนี้ ๑ คืน ก็พาโยมมาดูว่าแก้กรรมได้ที่ไหน ก็มาที่ต้นสัตบรรณให้ญาติโยมดู มาชี้ที่พระบัวเฮียวมาปักกลดตรงนั้น แล้วก็หายกลับไปหายเงียบไปอยู่สัก ๑ ปี ญาติโยมชุดนั้นมาที่นี่ บอกอยากจะกราบเรียนถามหลวงพ่อว่าพระบัวเฮียวของฉันนั้น ท่านสร้างวัดเสร็จแล้ว สอนเรียบร้อยดีมีตัวแทนแล้ว ท่านหายไปเลย โดยธุดงค์ไปก็ไม่ทราบจนบัดนี้ อาตมาก็พยายามสืบทราบหาไป ก็รู้ว่าท่านอยู่ที่ไหน ก็อยู่จำวัดแล้ว พระบัวเฮียวที่เป็นญวน เดี๋ยวนี้ไปอยู่ภาคเหนือ อาตมาก็ยังไม่ได้ไปพบท่าน แต่รู้ในญาณว่าท่านไปอยู่ภาคเหนือ แต่ไปเปลี่ยนชื่อ ไม่ชื่อบัวเฮียว แต่ชื่อจริงของพระญวนนั้นชื่อบัวเฮียวชัด

    อย่าลืม อย่าทิ้งเวทนา โยมต้องสู้ ถึงจะรู้กัน อย่างทหารมาอบรมที่นี่ ไว้หนวดหน่อยเป็นสิบเอก นั่งไปนั่งมาบอกกำหนดเวทนา จะลุกไปลุกมาทำไม พอบังคับเข้า นั่งเวทนาได้ก็กำหนดได้ แสดงออกแล้ว พร่ำ ๆๆ เดินรอบวัดเลย เสียอกเสียใจ อาตมากำลังบรรยายไปเรียก หลวงพ่ออธิบายที ๆ จับได้เลยไม่ฆ่าเขาหลายศพ มันมาปรากฏในเวทนาทันที เวทนานี่ตัวสำคัญนะ จะบอกวิธีปฏิบัติให้แล้วหนักเข้านึกได้ ว่าเมาเข้าไปพ่อก็มาห้าม ทะเลาะกับเมีย เตะตกท่อลงใต้ถุนไป เล่าให้อาตมาฟัง อาตมาบอกไม่ว่าง เดี๋ยว ๆ ไปนอนก่อน รู้จากเวทนา ตัวกรรมที่รู้จากเวทนาคือตัวทุกข์ถึงรู้ว่าตัวเองทำอะไรไว้ บอกเคยรู้ไหมเคยจำได้ไหม เคยนึกได้ไหมไปฆ่าเขานี่ ตอนหนุ่ม ๆ น่ะ รุ่นเป็นจ่าน่ะ ตอนนี้อายุมากแล้ว บอกผมลืมไปแล้วหลวงพ่อ แล้วตกท่อตกใต้ถุนไป นี่ก็ลืมไปแล้วนะ ผมเมาผมไม่รู้ จำไม่ได้ แต่มาได้เวทนาที่นี่ กำหนดเวทนาได้ปั๊บก็ยังนึกเหตุการณ์ได้ขึ้นโดยอัตโนมัติของตนเองว่าเคยไปฆ่าเขามา อย่างนี้อาตมาติดต่อตามไปว่าเรียบร้อยแล้ว เดี๋ยวนี้ดีปกติ ไม่เป็นไรเลยนะ

    อีกคนหนึ่งผ่าไปอยู่ในกอไผ่ เห็นไหมพอรู้ตัวทุกข์ขึ้นมา เห็นกรรมของตัวที่ท่านทำมาดันออกเดินไปเลย เดินไปอยู่ในกอไผ่น่ะ อนุศาสนาจารย์ก็กลุ้มอกกลุ้มใจ หลวงพ่อเขาไม่ตกน้ำตายไปแล้วหรือนี่ คนนี้น่ะ อาตมาบอกว่า เฉย ๆ กินข้าวซะก่อน เดี๋ยวไปตาม จะเจออยู่ในกอไผ่ ต้องผ่าจากกอไผ่ออกมา เห็นไหม ผ่าไปอยู่ในกอไผ่ที่อยู่เหนือสุดเขตบ้านที่พระไปบิณฑบาต เดินไปกลางคืนนะ เวลาเข้าไม่รู้เข้าไปอย่างไรออกลำบาก ผ่าเข้าไปในกอไผ่ นี่เวรกรรมต้องไปใช้นะ เคยเอาเขาเข้าไปในกอไผ่ มันก็ต้องไปเข้าซี

    นี่คนลืมนึกกฎแห่งกรรมไม่ได้ เข้าไปประสบทุกข์มีเวทนาวิปัสสนาสติปัฏฐาน รู้กรรมตอนเวทนา นั่งสบายไม่รู้หรอกว่าทำกรรมอะไรไว้ ขอฝากเทคนิควิธีปฏิบัติไว้ด้วย ถ้าทนต่อเวทนาไม่ได้เลย เลิก ๆ โยมจะรู้กรรมแล้วใช้กรรมไม่ได้ ต้องตอบปฏิเสธกันเรื่อยไป นายจ่าคนนี้บอกหลวงพ่อ ผมรู้แล้วผมเสียใจมาก แล้วก็เอาหัวไปชนกับลูกกรงนี่บ้าง เสียใจมาก ตี ๔ พังประตูไปเลย คอกกรรมฐานพังเลย นี่เป็นภาพกฎแห่งกรรมต้องระวัง เพราะฉะนั้นการปฏิบัตินี้ บางอย่างมันท้อมันถอย อย่าม้วนเสื่อหนี
    เพราะฉะนั้น พวกญาติโยมในระดับวิทยากรที่จะไปสอนเขา ต้องควบคุมดูแลไว้ก่อนนะ ถ้าคนไหนมีกรรมมากต้องควบคุมให้มาก เดี๋ยวมันแสดงฤทธิ์อย่างนี้ ถ้าคนไม่เคยสร้างกรรมมาไม่เป็นไร ๆ เลยนะ ถ้าคนไหนสร้างกรรมไว้ในอดีตชาติหรือในปัจจุบันนี้ต้องควบคุมให้ดี หนีได้ง่าย ฟุ้งซ่านได้ง่าย บ้าบอคอแตกไปก่อนบ้างก็ไปชนโน่นชนนี่ โดดโน่นโดดนี่ อะไรไปอย่างนี้นะ นี่กรรมชัดต้องใช้เขาก่อน เพราะฉะนั้นญาติโยมก็ดีในฐานะเป็นวิทยากร ต้องควบคุมไว้เลยนะ ถ้าเห็นว่าคนนี้มีกรรมอะไรมา ควบคุมดูแลไว้ก่อนนะ นี่มีวิธีแก้หลายอย่าง

    ประสบการณ์จากการอบรมพัฒนาจิตใจ
    อร เพ็ชรเอี่ยม
    ๑๒ พ.ค. ๓๒

    เมื่อวันที่ ๑-๗ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๖ ได้มีการเปิดค่ายอบรมพัฒนาจิตใจขึ้นที่วัดอัมพวัน อ.พรหมบุรี จ.สิงห์บุรี โดยยุวพุทธิกสมาคม ซึ่งคุณสมพร เทพสิทธา เป็นประธานจัดการ มีนักศึกษาจากวิทยาลัยครูทั่วประเทศเข้ารับการ อบรมในครั้งนี้ประมาณร้อยคนเศษ รวมทั้งดิฉันและเพื่อนอีก ๕ คน ซึ่งกำลังศึกษาอยู่ที่วิทยาลัยครูธนบุรี

    ในวันแรกที่มาถึงวัดทุกคนดูสนุกรื่นเริงเหมือนเด็กวัยรุ่นทั่วไป ส่งเสียงดังไม่เกรงใจใคร แต่ก็ไม่มีผู้ใดในวัดดุว่าพวกเราให้เจ็บใจ หลวงพ่อพระครูภาวนาวิสุทธิ์ (สมณศักดิ์ในขณะนั้น) เป็นผู้ให้การอบรมเพียงผู้เดียว คอยสั่งสอนว่ากล่าวตักเตือนด้วยวาจาที่ไพเราะ จนเรียกเสียงเฮฮาจากพวกเราได้เป็นระยะ ๆ

    ท่านมีเมตตามาก ยอมเสียสละเวลาและกำลังกายของท่านตลอด ๗ วัน ๗ คืน ไม่ได้หลับนอน เพื่อถ่ายทอดวิชาที่ไม่เคยมีสอนในสถานศึกษาให้พวกเรา อีกทั้งเลี้ยงอาหารตลอด ๓ มื้อทุกวันมิให้อดอยาก ผู้ที่ติดในรสอาหารก็รับประทานเสียมากมาย พอถึงเวลาปฏิบัติสมาธิจึงหลับไปตาม ๆ กัน

    หลวงพ่อเป็นผู้สอนเองตั้งแต่วันแรกจนถึงวันสุดท้าย โดยเริ่มด้วยการรับศีลในโบสถ์ ท่านสาธิตท่านั่งและท่าเดินให้ดู แล้วพาออกไปเดินรอบโบสถ์ โดยท่านเดินนำ นักศึกษาเดินตาม สักครู่ก็กลับเข้าไปนั่งสมาธิในโบสถ์ แล้วแยกย้ายกันกลับไปนอนทำสมาธิต่อที่ที่พักของตัวเอง

    ผู้ชายนอนตามกลดที่ปักไว้ ส่วนผู้หญิงพักอยู่กับแม่ชี ดิฉันพักอยู่กับเพื่อนรวม ๔ คนในห้องแคบ ๆ ซึ่งแม่ชีเสียสละให้
    เพื่อน ๆ คุยกันเสียงดังรบกวนแม่ชีมาก หลายคนไม่ยอมทำตามทำสอนที่ว่า กินน้อย นอนน้อย พูดน้อย และทำความเพียรมาก ทั้ง ๆ ที่ทุกคนสมัครใจมากันเอง

    ส่วนดิฉันทำตามอย่างเคร่งครัด ด้วยเหตุผลคือ ความที่ไม่เคยมีศรัทธาในพระสงฆ์มาก่อน แต่เมื่อมาพบหลวงพ่อ ได้รับฟังคำสอนเป็นภาษาไทย (มิใช่ประเภทเทศน์เป็นบาลีสวดเรี่ยไรเงิน แต่ไม่เคยสอน) แม้ว่าจะพอมีศรัทธาขึ้นมาบ้าง แต่ก็ยังไม่เชื่อว่า สิ่งที่ท่านสอนนั้นจะเป็นไปได้

    ตัวอย่างเช่น ให้เดินช้า ๆ เหมือนคนไข้ แล้วไปนั่งเฉย ๆ ไม่ขยับเลย แม้ขาชาก็ให้กำหนดว่า ชาหนอ ๆๆ ในใจ กำหนดไปเรื่อย ๆ แล้วจะคลายไปเอง ดิฉันไม่เชื่อจึงลองทำตามดู อาการชาหายไปจริง ๆ ศรัทธาเริ่มมากขึ้น

    แต่ที่ถูกใจดิฉันมาก มิใช่นิมิตต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจากการเจริญสมาธิ ดิฉันมีความประสงค์จะเรียนให้จบไว ๆ จะได้รีบทำงาน แต่ปัญหาของดิฉันคือ นอนตื่นสาย ไม่สามารถบังคับตัวเองได้ หลวงพ่อบอกว่าทำสมาธิแล้วนอนกำหนด อยากตื่นเวลาใด ตื่นได้โดยไม่ต้องใช้นาฬิกาปลุก

    ดิฉันลองทำปรากฏว่า ในจำนวนเพื่อนสี่คนที่นอนด้วยกัน ไม่มีใครตื่นก่อนดิฉันเลย ตลอด ๗ วันไม่เคยตื่นสาย นอนหลับสบาย ไม่ฝันร้ายเหมือนนอนอยู่บ้าน แม้จะนอนน้อย ก็ไม่ง่วงไม่เพลีย ดิฉันสำรวมตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อย่างเคร่งครัด ไม่พูด ไม่คุย จะพูดเมื่อจำเป็นจริง ๆ

    วันหนึ่งมีเหตุการณ์วุ่นวายเกิดขึ้น ดิฉันจำไม่ได้ว่าวันใด ได้ยินว่าพระไม่สบาย เลือดไหลมาก ก็สำรวมทางหู ไม่ตกใจ ไม่กลัว จนค่ำวันหนึ่งนักศึกษาได้ถูกจัดให้นั่งในเต้นท์ (มีรูปถ่ายอยู่ในโบสถ์) บริเวณมีต้นไม้มาก เวลานั้นมืดแล้ว มองอะไรไม่ชัดเจนนัก

    หลวงพ่อนั่งบนยกพื้นที่สร้างขึ้นชั่วคราว มีพระอีกรูปหนึ่งผิวคล้ำนั่งอยู่ด้วย หน้าเหมือนคนจีน หลวงพ่อแนะนำว่า พระรูปนั้น คือ บัวเฮียว เป็นคนญวน เพิ่งมาขออยู่กับท่าน แล้วพระบัวเฮียวก็เริ่มเล่าเรื่องของตัวเอง เล่าไม่ยอมหยุด เกี่ยวกับการทำบาปกรรมของท่าน รับจ้างเขาฆ่าวัวควายและหมู

    ดิฉันจำคำพูดของท่านไม่ได้มากนัก เพราะไม่สนใจว่าจะนำไปใช้ประโยชน์ในชีวิตได้อย่างไร จำได้แต่ท่าท่างของท่านดูเหนื่อยหอบ และหลวงพ่อก็มีสีหน้าเคร่งขรึมไม่พูดให้พวกเราได้เฮฮาเหมือนวันก่อน ๆ
    ท่านบอกให้พระบัวเฮียวหยุดพูด ให้พอแค่นั้น แต่พระท่านอยากพูด พยายามจะพูดต่อ หลวงพ่อจึงถือไมโครโฟนไว้เสียเอง สักครู่หนึ่งพระบัวเฮียวจึงสงบลง

    วันต่อมาการอบรมค่ายพัฒนาจิตใจก็สิ้นสุดลง ด้วยการอภิปรายของบุคคลในศาสนาต่าง ๆ เช่น คุณหญิงแสงดาว สยามวาลา ฯลฯ และการแสดงความคิดเห็นของตัวแทนนักศึกษาแต่ละวิทยาลัย

    ทุกคนพอใจที่ได้มีโอกาสเข้ารับการอบรมในครั้งนี้ รวมทั้งดิฉัน เราต่างได้รับประโยชน์มากมาย ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่จะต้องจำไปจนตาย สิ่งที่เกิดขึ้นเหมือนเรื่องไม่จริง

    ดิฉันเชื่อครึ่ง ไม่เชื่อครึ่ง ว่า มีวัดและพระเช่นนี้อยู่ในประเทศไทย และเมื่อกลับไปบ้านเล่าให้ใครฟัง เขาก็ไม่สนใจ ดิฉันนำวิธีปฏิบัตินี้ไปฝึกที่บ้าน หลายคนคัดค้านว่าไม่ควรทำเสียเวลานอน เสียเวลาทำงานบ้าน การปฏิบัติจึงสิ้นสุดลง

    ด้วยความสงสัยไม่แน่ใจในข้อปฏิบัติที่หลวงพ่อให้ไป หลังจากนั้น ๘-๙ ปี ดิฉันกลับมาที่วัดนี้อีก ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไป บริเวณที่เคยนั่งอบรม สร้างเป็นหอประชุมใหญ่ ที่พักและห้องน้ำ ห้องส้วมมีเพิ่มขึ้นมากมาย

    ดิฉันจึงเริ่มมาปฏิบัติอีก แต่น่าเสียดายไม่ได้ผลเลย ต้องเริ่มต้นใหม่ ต้องใช้ความพยายามมากกว่าเดิมกว่าจะได้ผล
    ผลที่ได้นั้นมากมายถ้าปฏิบัติจริง ดิฉันไม่กล้ายืนยัน เพราะเพิ่งปฏิบัติได้รับผลเป็นที่น่าพอใจในวันนี้ (๑๒ พ.ค. ๓๒) แล้วรู้สึกตื่นเต้นมากที่ต้องเขียนเรื่องที่ตัวเองไม่เคยศรัทธาเชื่อถือมาก่อน แต่ด้วยความซึ้งในคุณครูบาอาจารย์ ผู้ปฏิบัติศาสนาด้วยความเหนื่อยยาก จึงยอมสละแม้ชีวิตเพื่อพิสูจน์ว่า สติปัฏฐาน ๔ เป็นหนทางเดียวที่จะดับทุกข์เราได้


    น.ส. อร เพชรเอี่ยม
    ที่บ้าน ๘๕๗/๑๙ ตรอกอาเหนียว
    อ.ตากสิน แขวงคลองต้นไทร
    เขตคลองสาน กทม. ๑๐๖๐๐
     
  4. satan

    satan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    5,015
    ค่าพลัง:
    +17,915
    กรรมฐานแก้กรรมได้อย่างไร
    โดย พระครูภาวนาวิสุทธิ์
    ๑๓ พ.ค. ๓๒
    ขอเจริญพร บรรดาญาติพี่น้องและคณะอาจารย์วิทยาลัยครูธนบุรีและผู้ปฏิบัติธรรมทุกท่าน ขอเจริญสุขนักศึกษาที่มาปฏิบัติธรรมทุกคน วันนี้จะแสดงธรรมะในเรื่องกฎแห่งกรรมและกรรมฐานแก้กรรมได้อย่างไร ขอให้ท่านทั้งหลายได้ตั้งใจฟังธรรมสืบไป
    คำว่า กฎแห่งกรรม แปลว่าอะไร กฎ แปลว่า ดัน และผลัก กรรม แปลว่า การกระทำ แต่ละราย แต่ละรูปไม่เหมือนกัน ทำดีก็ดันไปทางดี ทำชั่วก็ดันไปทางชั่ว

    กฎ ตัวนี้คือ กฎแห่งธรรมชาติ กฎ แปลว่า กดลงไปและดันขึ้นมา ถ้าหากเรามีคุณธรรมได้อบรมมาดีแล้ว มันจะดันและผลักไปในทางดีให้มีปัญญา

    ถ้าการกระทำของเราไม่สมส่วนควรกันไม่สมเนื้อสมน้ำ เพราะจิตใจที่อบรมมาไม่ดี มันจะดันไปในทางที่ไม่ดีและกดให้จมลง ให้ต่ำลงไปโผล่ไม่ขึ้น

    อาตมาประสบมามากหลาย บางคนไม่สนใจในเรื่องกรรมดี กรรมชั่ว ต้องการอายุมั่นขวัญยืน ต้องการให้มีความสวยงาม ผิวพรรณผ่องใส ต้องการให้สุขภาพอนามัยดี และต้องการให้กิจการสำเร็จตามเป้าหมาย แต่เขาไม่ได้สร้างเหตุผลที่จะส่งผลให้อายุยืน กลับไปทำให้อายุสั้น ไปฆ่าสัตว์ตัดชีวิต เบียดเบียนชีวิตเขา อาฆาต เคียดแค้นผูกพยาบาท ริษยา รับรองผู้นั้นจะอายุสั้น พลันตายตั้งแต่อายุยังน้อย

    พระท่านสอนไว้ว่า “กิจฺโฉ มนุสฺสปฏิลาโภ” การเกิดเป็นมนุษย์แสนจะยาก ลำบากเหลือเกินที่จะเกิดมาโสภาภาคย์ มีน้าตาดียิ่งหายากที่สุด ท่านต้องมีญาณมา มีปัญญามา มีวิชชามา มีความรู้ของมนุษย์ คือมีคุณสมบัติมนุษย์ครบ คือคุณธรรม มีศีล ๕ ครบ จึงจะมาเกิดเป็นมนุษย์ที่โสภาได้

    บางคนมีศีลมาไม่ครบ มีคุณสมบัติไม่ครบ เกิดมาขี้ริ้วขี้เหร่ บางคนเกิดมาง่อยเปลี้ยเสียขา บางคนตาบอดหูหนวก บางคนแถมยังปัญญาอ่อนอีก บางคนเฒ่าแก่ชราเป็นอัมพาต

    บางคนมีทานดีมาแต่ชาติก่อน ก็เกิดมาเป็นลูกมหาเศรษฐีมั่งมีศรีสุข แต่เมื่อชาติก่อนเขาได้ทำการเบียดเบียนสัตว์มา ชาตินี้จึงสามวันดีสี่วันไข้ เข้าโรงพยาบาลไม่พัก มีเงินก็ช่วยไม่ได้ บางคนไม่ได้สร้างเหตุแห่งปัญญามา ถึงเกิดเป็นลูกเศรษฐี เงินก็ชื้อวิชาไม่ได้ เงินก็ช่วยลูกเรียนเป็นดอกเตอร์ไม่ได้ เพราะเหตุใด เพราะทำบุญมาไม่ครบ

    บางคนบ้านใหญ่โตราวกับวัง แต่กินข้าวกับน้ำตาไม่เว้นแต่ละวัน ท่านทั้งหลายโปรดทราบ เรื่องสังข์ทองเป็นปริศนาธรรม หกเขยคือหน้าโง่ โง่ทางอายตนะ ตาโง่ ไม่มีกำหนดเห็นหนอ เห็นด้วยโง่ ๆ ไม่เห็นลึกซึ้ง ไม่เห็นนิสัยใจคอคน ดูคนไม่เป็น
    ดูคนให้ดูหน้า ดูผ้าให้ดูเนื้อ ดูเสื่อให้ดูลาย ดูชายให้ดูพ่อ จะได้ไม่ย่อท้อใจ!

    ท่านทั้งหลาย เพิ่งเริ่มเข้ามาปฏิบัติไม่กี่ชั่วโมง จึงอาจจะไม่ลึกซึ้งถึงขึ้นที่ดูหน้าดูตาก็จะรู้ได้ ดูคนให้ดูหน้า ดูโหงวเฮ้ง
    การแนะแนวไม่ใช่มาถึงวัดสอนบุญ บาป ทำบุญไปสวรรค์ ทำบาปไปนรกเท่านั้น ต้องสอนแนะแนวถึงกรรมฐานแก้กรรมได้อย่างไร ใครเอาไปใช้ปฏิบัติเป็นประจำ จะแก้กรรมได้จริง ๆ ถ้าใช้ไม่จริงก็เหมือนถ้วยชา เขาให้มาแล้วเอาไปใส่ตู้ไว้ ไม่ค่อยใช้ให้เป็นประโยชน์เลย

    ตัวเรานี้มีประโยชน์มาก แต่ใช้ตัวไม่เป็น ไปใช้ในเรื่องไร้สาระเสียมาก ไม่ใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อตัวเอง เกิดมาเสียชาติเกิดไม่ประเสริฐล้ำเลิศ ไหน ๆ จะตายจากโลกไปก็จะต้องมีความดีติดตัวไปด้วย และทิ้งความดีไว้ในโลกมนุษย์ คือความดีเป็นตรา ถ้าใครทำกรรมฐานได้ลึกซึ้ง จะรู้เหตุผลของชีวิตได้อย่างดีที่สุด เป็นประโยชน์แก่ชีวิตประจำวัน แก้ไขปัญหาเกิดขึ้นเฉพาะหน้าด้วยกรรมฐาน

    บางคนชอบไปหาหมอดู หมอดูบอกว่าต้องสอบได้ที่หนึ่ง แต่ปรากฎว่า สอบตก หมอดูว่า สอบตกกลับสอบได้เพราะเราขยัน เราต้องสร้างความดีให้กับดวง หาใช่ดวงทำให้เราดีไม่ ต้องสร้าง อยู่เฉย ๆ ดีได้อย่างไร มันต้องเกิดจากการกระทำ คือกฎแห่งกรรมนั่นเอง

    การสร้างความดีให้กับดวง ก็คือสร้าง ศีล สมาธิ ปัญญา ให้เกิดขึ้นแก่ตัวเรา แล้วเราจะอบอวล ทวนลม ผู้ที่มีสมาธิจะเป็นคนขยันหมั่นเพียร และเป็นผู้มีปัญญา คนที่มีปัญญาแหลมลึก แหลมหลักต้องมีสามคม
    คมกริบ ไว้ภายในจิต ไม่บอกใคร แสดงออกในเมื่อมีความจำเป็นจะต้องใช้
    คมคาย มันยังเป็นหลุม เป็นบ่อ ไม่เสมอ ก็เอาบุ้งมาแทง อย่างนี้เป็นต้น
    คมสัน มันต้องใช้ขวานตอกย้ำลงไป จึงจะเข้าเรียบร้อยดี นี่มันมีในลักษณะศีล สมาธิ ปัญญา ครบ
    ศีล คือ สถาปนิก ออกรูปแบบพื้นฐานให้คนชอบ
    สมาธิ คือ วิศวกร รู้วาระจิต รู้จักน้ำหนัก รู้จักชั่งตวงวัด รู้จักวาระจิตของคนในฐานะเช่นไร ควรทำกับเขาอย่างไร รู้จักกาลเทศะ รู้จักบาป รู้จักบุญ รู้จักคุณ รู้จักโทษ รู้จักสิ่งที่เป็นประโยชน์และไม่เป็นประโยชน์ที่วิศวกร
    ปัญญา คือ นายช่าง ลงมือทำทันที มิได้รอรีแต่ประการใด

    ถ้าใครเป็นทั้งสถาปนิก วิศวกรและนายช่างแล้ว รับรองคนนั้นเอาตัวรอดปลอดภัยในอนาคต บางคนเกิดมาแต่ชาติก่อน นิสัยดีมีปัญญาในโลกมนุษย์นี้ เขาจะมีแต่ความเจริญรุ่งเรือง ถึงจะเกิดในบ้านยากจนก็สามารถเป็นรัฐมนตรี หรือเป็นใหญ่เป็นโตได้ เพราะสติปัญญาที่สร้างมาแต่ชาติก่อน คนเราก็มีทั้งถูกและแพง มีทั้งเก๊และดี มีทองคำก็มีทองชุบ มีหลวงพ่อทวดก็มีหลวงพ่อเทียบ คนดีหายากคนเก๊เยอะ มีน้อยเหลือเกินที่จะดีเด่นเห็นชัดและเห็นไกล อย่างนี้หายาก ต้องอดทน ต้องฝึกฝน
    ท่านทั้งหลายเอ๋ย จิตนี้ฝึกได้ขยันก็ได้ฝึกให้ทำงานก็ได้ ฝึกให้ขี้เกียจก็ได้

    การเจริญวิปัสสนากรรมฐานจะรำลึกชาติได้ รู้กฎแห่งกรรมที่ผ่านมา จะแก้ปัญหากรรมที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้าในกิจประจำวันของเราได้ ถ้าใครเจริญวิปัสสนากรรมฐานโดยต่อเนื่อง สร้างความดีให้ติดต่อกัน สร้างความดี ถูกตัวบุคคล ถูกสถานที่ ถูกเวลา ต่อเนื่องกันเสมอต้นเสมอปลายแล้ว คนนั้นจะได้รับผลดี ๑๐๐% และจะเอาดีในชาตินี้ได้แน่นอน ไม่ต้องรอดีถึงชาติหน้า
    สำคัญที่ทำความดีผิดสถานที่ผิดตัวบุคคล และผิดกาลเวลาด้วย ไม่ใช่กาลเวลาที่จะต้องทำไปแล้วไปทำ ไม่ใช่กาลเวลาที่จะพูดแล้วไม่พูด มันก็เสียหาย ถ้าเรานั่งสมาธิอยู่หายใจยาว ๆ มีกรรมฐานเป็นการพักผ่อนในร่างกายในตัว เช่น ๑ นาทีหายใจ ๑๘ ครั้ง กำลังนอนหลับเหลือ ๑๕ ครั้ง ถ้าเราทำสมาธิปกติเหลือ ๑๕ ครั้ง ก็เหมือนได้หลับไปแล้ว มันไม่อ่อนเพลียละเหี่ยใจแต่ประการใด มันจะเข้าภาวะปกติอย่างดียิ่ง จะมีพลังจิตสูง ต่อสู้กับเหตุการณ์และปัญหาได้ ด้วยการฝึกฝนกรรมฐานนี่แหละ
    เพราะฉะนั้นกรรมฐาน แปลว่า การกระทำให้ฐานกายนี้เป็นที่ตั้งของสติ พอท่านทั้งหลายทำจนได้ดวงตาเห็นธรรมวิเศษบางประการ ได้ศีล สมาธิ ลึกซึ้งในจิตใจ ท่านจะเห็นความดีในจิต

    รำลึกถึงบุพการีได้ สามารถรำลึกชาติได้ จะไม่ลืมพ่อ ลืมแม่ ปู่ย่าตายาย ครูบาอาจารย์ จะสนิทสนมกลมกลืนกันกับครูบาอาจารย์ผู้มีพระคุณทั้งหลาย

    นักปราชญ์ท่านสอนไว้ว่า ถ้าเราให้อะไรใครจะไม่นับไม่จำ แต่ใครให้อะไรเรา แม้น้ำถ้วยเดียว เราก็กำหนดจดจำไว้ได้ เราจะไม่ลืมบุญคุณของเขา อย่างนี้จะเกิดขึ้นกับนักกรรมฐานที่ซึ้งใจ
    เพราะเหตุที่เราไม่หวังผลตอบแทน แล้วบุญกุศลจะสนองแก่เราเอง เงินไหลนอง ทองไหลมา จะคิดอ่านทำอะไรก็ได้ผลสำเร็จตามเป้าหมายทุกประการ มีแต่ความเจริญ จะได้อยู่ในแวดวงสิ่งแวดล้อมที่ชื่นใจ ไม่มีการทะเลาะวิวาทกัน จะมีแต่สิ่งที่เป็นมงคลในบ้านนี้
    อันนี้บางคนทำได้ยาก เพราะสันดานทำไม่ได้ นิสัยไม่ให้ รูปร่างก็ดี ๆ นะ แต่นิสัยไม่ให้ บางคนเข้าใจว่าคนอื่นคงเหมือนเรา และเราเหมือนคนอื่นเขา เหมือนไม่ได้! เพราะแตกต่างด้วยกฎแห่งกรรม เหมือนกันไม่ได้!
    การแต่งกายก็ไม่เหมือนกัน บางคนชอบทรงนั้นทรงนี้ ถ้าเคยชอบอย่างไร ไปใช้อย่างอื่นมันก็ไม่พอใจ ไม่สบายใจเป็นที่การฝึก เราเคยทำอย่างนี้แล้วไปทำอย่างนั้นมันก็ทำไม่ได้ ก็ธรรมดา เพราะกฎแห่งกรรมนี้มันแยกประเภทของสรรพสัตว์เหมือนกันไม่ได้
    กฎแห่งกรรมสั้น ๆ มาจากไหน อาตมาทบทวนได้แล้วขอฝากท่านทั้งหลายไว้ด้วย เราจะดูได้จาก “เห็นหนอ! รู้หนอ คิดหนอ เข้าใจหนอ และกำหนดกิเลสได้ในตัวเรา ธาตุ อายตนะจะโง่หรือฉลาดอยู่ที่ อายตนะ ๖ อยู่ที่....อินทรีย์ หน้าที่นี้เอง ตา หู จมูก ลิ้น กาย จิต จะโง่หรือไม่โง่ อยู่ที่ตรงนี้

    จะฉลาดหรือมีปัญญาอยู่ที่ตา หู..ทำได้จริงหรือเปล่า กำหนดต่อเนื่องหรือเปล่า เปล่าเลย มันก็ไม่ได้ ก็ได้แค่นั้น ที่กำหนดก็ไม่รู้ด้วย และรู้ไม่จริง

    ที่ท่านทั้งหลายทำนี่ก็ต้องการเอาเป็นนิสัยปัจจัย เพื่อทำต่อเนื่องต่อไปในอนาคต เพื่อแก้ปัญหาปัจจุบัน จากการกำหนดตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจนี่เอง นี่มันอยู่ตรงนี้ มันโง่หรือฉลาดมันอยู่ตรงนี้เอง ขันธ์ ๕ รูปนามก็อยู่ตรงนี้เอง

    เพราะฉะนั้นการกระทำของแต่ละท่านนี้ เราดูได้จากตัวเรา สังเกตได้จากตัวเรา เจริญกุศลภาวนามีหน่วยกิตครบ เราจะรู้ได้เองว่าตัวเรามีปาณาติบาตติดตัวมา ๖๐% เราจะต้องรับใช้หนี้ในชาตินี้แน่

    รับใช้หนี้อะไร ก็หมายความว่าเราจะต้องโดนรถชน เราจะต้องโดนฆ่าตาย เราจะต้องโดนใส่ร้าย มันจะบอกเราเองก่อนที่จะไปบอกคนอื่นเขา อันนี้อาตมาก็ได้ประสบมาเป็นต้น เช่นมีปาณาติบาตฆ่าสัตว์ติดตัวมา ๖๐% เรารู้แจ้งแก่ใจ รู้วันตายว่าจะต้องตายอย่างไร รถชนตาย โดนยิงตาย โดนอุบัติเหตุตาย เป็นต้น

    จะโดนง่อยเปลี้ยเสียขา โดนทรมาน โดนหนอนกินจนชีวิตหาไม่ มันจะบอกเหตุการณ์ชัดในตัวเราก่อน
    ในเมื่อบอกตัวเราได้ ดูคนอื่นมันก็บอกได้ เราอ่านภาษาอังกฤษที่นี่จบ ไปอ่าน เอ บี ซี ที่ไหน มันก็ต้องผสมสระ ผสมอักษรเข้าแล้วก็แปลความหมายของศัพท์ได้ นั่นแหละเช่นเดียวกัน

    เราจะรู้ได้ว่าเห็นหนอ คนนี้มีปาณาติบาตติดมาก็จะรู้ได้เลยว่า กฎแห่งกรรมคนนี้จะต้องเป็นอัมพาต คนนี้ต้องไปอุบัติเหตุ คนนี้ไปโดนรถชนตาย มันบอกชัดนะ
    มีประโยชน์มากสำหรับผู้ทำได้ มันมีประโยชน์อย่างนี้
    ถ้าเราเจริญกรรมฐาน เราจะรู้กฎแห่งกรรมได้ตอนมีเวทนา คนไหนอดทนต่อเวทนาได้ กำหนดผ่านเวทนาได้ เราจะรู้ได้ว่าทุกข์ทรมานที่ผ่านนั้นไปทำกรรมอะไรไว้ มันจะมีกรรมอะไรมาแทรกซ้อน มันจะบอกเราเอง อันนี้มีตัวอย่างที่อาตมาประสบการณ์มามากมาย เช่น อทินนาทาน
     
  5. satan

    satan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    5,015
    ค่าพลัง:
    +17,915
    กรรมฐานแก้กรรมได้อย่างไร
    โดย พระครูภาวนาวิสุทธิ์
    ๑๓ พ.ค. ๓๒

    เบียดเบียนทรัพย์เขามานะ แล้วก็ไปเบียดเบียนสัตว์ด้วย ทุกอย่างเอาหมดมักได้มักง่าย รุกหัวคันไร่คันนา ลักเงินลักทอง โจรกรรมเล็ก ๆ น้อย สะสมหน่วยกิตนิสัยไม่ดี นิสัยเคยชินในการลักขโมย ไปเบียดเบียนทรัพย์
    เหมือนเศรษฐีมีเงินแล้วไปบ้านเหนือบ้านใต้ ก็ต้องหยิบมีดเขามา หยิบโน่นใส่พกใส่ห่อมา จนได้คือนิสัยสันดาน มีเงินแล้วยังต้องไปลักของเขาอีก ไปเบียดเบียนเขาอีก เบียดเบียนคนจนอีก ทำนองนี้เป็นต้น

    กฎแห่งกรรมจะบ่งบอกออกมาเป็นดุจเครื่องคอมพิวเตอร์ว่า คนนี้ได้เงินได้ทองมาแล้วต้องถูกโจรกรรม ต้องถูกคนลัก ตีชิงวิ่งราว มิฉะนั้นไฟจะไหม้บ้าน ไม่เคยผิดแม้แต่รายเดียว อาตมาเคยทายไว้ คนนี้ระวังนะโยมเคยถูกโจรกรรมไหมโยม ไม่ถูกเลยค่ะ ระวังอันเดียวคือไฟไหม้บ้านหมดเนื้อประดาตัว แล้วก็จริงด้วย อันนี้เห็นได้ชัด

    นี่แหละท่านทั้งหลาย ทำให้มันจริง จะเห็นจริง ทำไม่จริง จะเห็นจริงได้อย่างไร ต้องเห็นจากตัวเราออกมาข้างนอก เรารู้ตัวว่าเรามีเวรมีกรรมประการใด ก็ใช้หนี้โดยไม่ปฏิเสธทุกข้อหา จิตอโหสิกรรมได้ ยินดีรับเวรรับกรรมได้ โดยไม่มีปัญหาใด ๆ
    กาเมสุมิจฉาจาร ถ้าเรารู้ตัวเอง นั่งเจริญกุศลภาวนา มันจะบอกว่าอดีตชาติ ไปปู้ยี่ปู้ยำเขามา ชู้สาวนานาประการ ผัวเขา เมียเขา นานาชนิด มีข้อคิดหลายอย่าง

    มาในชาตินี้ เราก็มาลำบากลำบนในครอบครัวหาความสุขไม่ได้เลย มีสามีก็เป็นของเขาหมด มีภรรยาก็มีชู้หมด และครอบครัวต้องหายนะ ทะเลาะวิวาทกัน ไม่ใช่คู่สร้างคู่สม กลายเป็นคู่วิวาทกัน และจะต้องแตกแยกหย่าร้างกันไป ถึงจะมีลูกด้วยกันแล้ว มีทั้งเขยสะใภ้แล้วก็ตาม จะต้องแยกกันไปตามกาลเวลา จากการกระทำของเราแน่นอนที่สุด

    บางท่านเป็นผู้ชายแท้ ๆ ปู้ยี่ปู้ยำผู้หญิง ทำให้เขาช้ำอกช้ำใจหลายชาติที่ผ่านมา เกิดมาในชาตินี้ต้องเกิดมาเป็นผู้หญิงโสเภณี ก่อนจะตายต้องให้หนอนกินก่อน มีจริงที่จดไว้หลายราย ถ้าท่านไม่เชื่อลองไปทำดูนะ มีความหมายอย่างนี้

    นอกเหนือจากนั้น หลอกลวงโลกหวังเอาลาภเขา หลอกลวงเขาตลอดรายการ พูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ เพ้อเจ้อ เลี้ยวลดคดเคี้ยวติดวิญญาณมาในชาตินี้ รับรองอย่าปฏิเสธ ไม่ช้าเราต้องโดนหลอกเอาเงินไป โดนหลอกเอาโน่นไป โดนหลอกเอานี่ไปอย่างแน่นอน ใครเป็นผู้หลอก ผู้ใกล้ชิด ญาติมิตรหรือเพื่อนฝูง เขามาเกิด จะต้องสนองงานในกฎแห่งกรรม ก็มาหลอกเอาของเราไป และเราไม่ต้องติดตามของนั้นแน่นอนที่สุด เพราะเราไปหลอกเขามาก่อนอย่างนี้เป็นต้น

    สุราเมรัย เครื่องดองของเมานานาชนิดทุกประการ ถ้าเรานั่งภาวนาเราจะรู้ตัวเองว่า อดีตชาติเราเสพยานี้มาไหม ถ้าติดมา ๖๐% รับรองว่า เรานี้จะไม่ต้องเรียนอะไรเลย เรียนไม่ไหวแล้ว และเป็นโรคปัญญาอ่อน ไปเรียนอะไรก็ไม่จบหลักสูตรมัธยมศึกษา แน่นอนและเป็นความจริงด้วย

    เราต้องแก้กรรมของเราเสีย อ๋อ! ปาณาติบาตเมื่อชาติก่อนติดมา เรายังไม่ง่อยเปลี้ยเสียขาในขณะนี้ เราจะต้องรับสนองผลงานในโอกาสหน้า เราก็รีบบำเพ็ญกุศล ด้วยการปฏิบัติกรรมฐาน

    เราก็มาบำเพ็ญทานศีลและภาวนา สวดมนต์เป็นนิจ อธิษฐานจิตเป็นประจำ อโหสิกรรมเสียก่อนและเราก็แผ่เมตตาให้สรรพสัตว์ทั้งหลาย ที่เราไปสร้างกรรมมาครั้งอดีต รู้บ้าง ไม่รู้บ้าง รู้เท่าทันหรือไม่เท่าทันก็ตาม ถ้ารู้เท่าไม่ถึงการณ์เช่นนี้แล้ว ขอสรรพสัตว์ทั้งหลายจงอโหสิกรรมให้แก่ข้าพเจ้า มันก็จะน้อยลงไป ยกตัวอย่างอาตมาเป็นต้น

    อาตมารู้ตัว ๖ เดือน ก็ขออโหสิกรรมทุกวัน ว่าเราก็ไปหักคอนกมามากหลาย เราก็บอกว่า พ่อนกเอ๊ยตอนที่ข้าพเจ้าเป็นเด็กรู้เท่าไม่ถึงการณ์ อย่าเอาโทษเราเลย ขอให้โทษเราลดลงไป ให้อภัยโทษเถิด เหมือนให้การกับศาลรับสภาพฉะนั้น
    ศาลจะเมตตาเราที่ให้ความสะดวกในการพิจารณาของศาล จึงลดโทษลงไปอีก ๖๐% เราอาจจะรอดจากความตายได้ เลยก็เตรียมให้รถชนคอหักหมุนได้ แล้วก็กลับมาใช้เวรกรรมให้สิ้นสุดในชาตินี้ชาติเดียวเท่านั้น ผ่านจากหนักเป็นเบาได้ คือมิได้ปฏิเสธทุกข้อหาด้วยกรรมฐาน แก้กรรมได้อย่างนี้ โดยรู้ตัวของเราเอง

    ญาติโยมผู้ปฏิบัติธรรมทุกท่าน ถ้ามีเวทนาต้องสู้ กำหนดให้ได้ ปวดท้อง ปวดขา หรือปวดตรงไหน ปวดหนอ ตายให้ตาย เดี๋ยวท่านจะเห็นกรรม เมื่ออดีตชาติท่านทำอะไรไว้ท่านจะโล่งใจนะ ท่านจะดีใจเดี๋ยวท่านจะได้แก้กรรมด้วยการแผ่เมตตา อโหสิกรรม ข้าพเจ้าจะไม่ปฏิเสธกรรมทุกข้อหา นี่กรรมฐานแก้กรรมอย่างนี้

    บางทีเรามีเวทนาหน่อยเลิกเลย ไม่รู้จะแก้อย่างไร ครูอาจารย์เขาบอกกำหนด ปวดหนอ ๆ นักศึกษาวิทยาลัยครูพระนครศรีอยุธยามานั่งปฏิบัติ เดี๋ยวนี้จบปริญญาโทเป็นอาจารย์ที่ขอนแก่นไปแล้ว ปวดหนอ ๆ ปวดหนักเข้ามาบอกแม่ยุพิน บอกหนูไม่หาย แม่ยุพินให้กำหนดต่อไป พอวันที่ ๓ นึกขึ้นได้ เมื่ออยู่ชั้นประถมสอง ประถมสาม หักขาเขียด หักทั้งเป็น ใส่เกลือทั้งเป็น กำหนดหนักเข้าให้อโหสิกรรม แผ่เมตตาให้สัตว์เสีย นี่แหละกรรมฐานแก้กรรม ก็เลยเบาลงไปและหายวับไปกับตา ไม่ปวดขาอีกต่อไป

    เขาบอกว่าไปหักขาขวาเขียดและปวดขาขวามาตลอด พออโหสิกรรมว่าไม่ปฏิเสธ เราไปหักขาเขามาจริง เราปวดอย่างนี้ เขาก็ต้องปวดอย่างนั้นแหละ เราก็ต้องใช้หนี้ด้วยการปวดไป ทรมานพอสมควรแก่เวลา และเรากำหนดจิตแผ่เมตตาต่อเมื่อออกจากกรรมฐาน อโหสิกรรมเสีย นี่เรียกว่า กรรมฐานแก้กรรมอย่างนี้ สามารถจะไม่ปวดอีกต่อไปแล้ว

    บางคนปวดตา บอกว่า “ไม้แทงตา ไม้แหลมมาแทงตาปวดเหลือเกิน” กำหนดเข้าโยม ไม่มีใครไปแทง กำหนดเสีย นึกถึงคุณพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ เป็นคนข้างวัดนี้เอง แต่ไม่เคยทำกรรมฐาน เดี๋ยวภาพนิมิตออกมาทันที

    โยมคนนี้อายุ ๗๐ กว่าแล้ว ภาพนิมิตออกมาว่า เมื่อยังแข็งแรงอยู่ มาลักหน่อไม้วัดนี้ หน่อไหนที่เอาไม่ได้ เอาไม้แหลมแทงให้มันเสีย แทงหน่อไม้วัดเลย ตัวเองก็ต้องปวดตาอย่างนี้ พอรู้ชัดเข้าก็ขออโหสิกรรม พระสงฆ์อนุโมทนาและก็หายปวดตาจนชีวิตหาไม่ นี่กรรมฐานแก้กรรมอย่างนั้น

    บางคนไม่รู้พอปวดก็เลิกไปเลย ไม่เอาแล้ว ชอบสบาย รับรองท่านจะไม่รู้กฎแห่งกรรม เดี๋ยวจะว่าอาตมาหลอกไม่ได้นะ อาตมาผ่านมาแล้วนะ ขอฝากผู้ปฏิบัติธรรมไว้ด้วย
     
  6. satan

    satan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    5,015
    ค่าพลัง:
    +17,915
    กรรมฐานแก้กรรมได้อย่างไร
    โดย พระครูภาวนาวิสุทธิ์
    ๑๓ พ.ค. ๓๒

    เป็นคนจริงหรือเปล่า ถ้าจริงต้องได้ผลแน่ อย่างหนูที่วิทยาลัยครูพระนครศรีอยุธยา เจริญวัยชันษาพอดี ผู้ที่ไม่ได้รับราชการครู แต่เรียนวิชาครูไม่จำเป็นต้องเข้าครูเสมอไป เพราะวิชาครูเป็นหลักสำคัญมาก เป็นศูนย์กลางอันสำคัญ ที่เรียนเข้าไว้ สามารถจะเลื่อนยศตำแหน่งได้

    มีจ่าทหารคนหนึ่ง มีฝึกกรรมฐานที่นี่ สอบวิชาครูได้ปริญญาตรี บัดนี้เลื่อนเป็นนายร้อยโทแล้ว อาตมาช่วยบอกเจ้ากรม กรมยุทธศึกษาทหารบก เดี๋ยวนี้เป็นร้อยเอกไปอีกคนหนึ่ง

    อย่างท่านทั้งหลายเป็นทหาร เป็นฝ่ายอะไรก็ตามมีประโยชน์นะ แต่ท่านไม่นั่งกรรมฐานจริง ก็ไม่ทราบประโยชน์ตัวเอง อันนี้ช่วยไม่ได้ นี่เห็นว่าคนเข้างานได้หมดแล้ว บรรจุได้หมด เจริญกรรมฐาน เป็นผลงานกฎแห่งกรรม แก้กรรมได้
    คนที่เป็นหนี้เขา ยังใช้หนี้ไม่หมด สร้างความดีไม่ขึ้นหากินไม่ขึ้น บางคนหาเงินโดยค้าขายร่ำรวยจริง แต่เก็บไม่อยู่ ทำอย่างไรก็ไม่อยู่ ไม่รู้ไหลออกไปทางไหนหมด

    อาตมาก็ดูให้ บอกให้มานั่งกรรมฐานเสีย แก้กรรมนี้ ก็ได้ความว่าสร้างเวรสร้างกรรมมามากยังใช้ไม่หมด พอใช้เวรใช้กรรมหมด อโหสิกรรมแผ่เมตตา บำเพ็ญกุศลเสร็จเรียบร้อย ทีนี้เงินเก็บอยู่ละ เป็นเศรษฐีได้ นี่กลายเป็นคนมีเงินมีทองไปแล้ว นี่แหละใช้หนี้ใครไม่หมดไม่เจริญหรอก ทำไม่ขึ้น ขอฝากไว้สั้น ๆ นะ
    บางคนมาถามว่า “ฉันมีเวรมีกรรมอะไร”
    “มานั่งกรรมฐานซิโยม จะได้รู้”
    “โอ๊ย ฉันไม่มีเวลา ไม่ว่าง”

    แต่เวลาไปคุยบ้านเหนือบ้านใต้ว่างดีนัก คุยนินทากันนั่นแหละว่าง ไปสร้างความชั่วว่าง แต่สร้างความดีไม่มีใครว่าง ถูกต้องแล้วน่าเห็นใจ เพราะคนเราจะดีเหมือนกันทุกคนไม่ได้ แล้วแต่วาสนาบารมี คนที่ไม่มีบุญวาสนา มันทำยาก อาตมาก็เห็นใจด้วย

    คนเราที่จะดึงมาสร้างความดีดึงยาก เพราะดูเหตุการณ์แล้ว คนนั้นไม่มีบุญ ไม่มีวาสนา เขาจึงทำยาก อย่าไปว่าเขาเลย เพราะไม่มีวาสนา ทำอย่างไรก็ทำไม่ขึ้น และทำไม่ได้ด้วย

    ขอเจริญพรให้ญาติพี่น้องได้ทราบว่า กรรมฐานแก้กรรมได้ มีนายทหารคนหนึ่ง ยศร้อยโท อยู่ศูนย์การทหารปืนใหญ่มาบวชที่นี่ พ.ศ. ๒๕๐๐ มีลูกผู้หญิง ๒ คนแล้ว ปู้ยี่ปู้ยำกับผู้หญิงจริง ๆ ไม่เชื่อบุญเชื่อกุศล ไม่เชื่อเวรเชื่อกรรมด้วย
    อาตมาบอก “ผู้บังคับหมวด อาตมาขอบิณฑบาต สึกหาลาเพศแล้ว อย่าไปยุ่งกับผู้หญิงเขานะ”
    “โอ๊ยหลวงพ่อ ผมไม่เชื่อ ไม่มีทางหรอก สนุกสนานไปชั่วคราวเท่านั้น ตอนตายแล้วมันก็สูญ จะไปเกิดที่ไหนอีก ที่ผมมาบวชที่นี่ไม่ใช่เพราะศรัทธานะ แม่ให้มาบวช แม่บอกว่าสำเร็จนักเรียนนายร้อยแล้วบวชให้แม่หน่อย เลยผมก็ไปมีครอบครัวเสียก่อน”
    “เอาละผู้หมวด ไม่เชื่ออาตมาไม่เป็นไรนะ จดไว้นะไม่มีลูกผู้หญิงบ้างก็แล้วไปนะ”
    “โอ๊ย ผมมี ๒ คนแล้ว”
    “จดไว้เผื่อจะมีลูกผู้หญิงอีก”

    ในที่สุดก็สึกหาลาเพศไป จากไปเป็นเวลานานหลายสิบปี ยศสุดท้ายก่อนที่จะมาพบกัน เป็นนายพันเอกพิเศษ มีลูกสาว ๓ คน ลูกชาย ๒ คน ภรรยาเป็นอาจารย์ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ขอฝากข้อคิดท่านทั้งหลายไว้

    หนักเข้าลูกสาวสามคนเป็นอย่างไร ลูกสาวจบ ม.๖ ทุกคน จบแล้วออกเลเพลาดพาด ไปด้วยกฎแห่งกรรม จากที่พ่อทำให้กับลูก มาหาพ่อพ่อก็เตะทั้งรองเท้า มาหาแม่แม่ก็บ่นจู้จี้ สอนลูกด้วยด่าลูกด้วย

    ลูกก็เลยออกจากบ้านไป ไปร้องเพลงอยู่ตามโฮเต็ล ตามโรงแรม ทำเสียหายน่าบัดสีในวงศ์ตระกูลเหลือเกิน ลูกชายสองคนดีหมด นี่แหละกฎแห่งกรรม

    หนักเข้าสามีภรรยาก็ร้องไห้มาหา เพราะว่าบันทึกหลักฐาน จำได้ว่าบวชที่วัดนี้เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๐ บันทึกไว้ว่า ไม่เชื่อตามใจ ลูกจะต้องเสียหาย

    มากราบนมัสการอาตมา อาตมาบอก ท่านจะแก้ไหมล่ะ ถ้าจะแก้ลาพักร้อนมาด้วยกันทั้งคู่ มานั่งเจริญกรรมฐาน ๗ วัน แล้วก็แผ่เมตตาให้ลูก อโหสิกรรมให้ลูกทุกวัน ๆ อย่าด่าลูกอีกต่อไป ตั้งแต่นาทีนี้เป็นต้นไป

    ลูกมาแล้วก็อย่าไปพูดเรื่องเก่ามาเล่ากันใหม่โดยเด็ดขาด เอาเรื่องใหม่เลย ให้ลูกไปเรียนปริญญาต่อไป
    ก็ได้ความว่า กลับไป ลูกกลับทีละคน ไปตามน้องมาหมด พ่อแม่ไม่ได้ว่าอะไร หนักเข้าทั้งสามคนก็ไปเรียนรามคำแหง สำเร็จปริญญาด้วยกันทั้งหมด และบัดนี้เข้าทำงานด้วยกันทั้งหมด ลูกสาวก็มานั่งวิปัสสนาที่นี่ด้วย

    บางคนหาเงินหาทองร่ำรวยจริง ๆ ได้มาเก็บไม่อยู่ ต้องไหลออกไปจนได้ มีเรื่องให้ไหลออกไป ก็เพราะเราใช้กรรมไม่หมด มันต้องใช้กรรมอยู่ตลอดไป อย่าไปเสียใจ

    ไม้ต้องไปหาหมอดู เราก็เป็นพิเภกเสียเอง คือ สติเป็นพิเภก หนุมานเป็นลิง คือจิตใจ ลักษณ์ราม คือธรรมะที่ประทับใจ ขาวผ่องบริสุทธิ์ใจคือพระลักษณ์ น่ารัก น่าเอ็นดู น่าบูชา เขียวชอุ่ม เป็นพุ่มไสว อิทธิพลของบุญกุศล ดลบันดาลให้จิตใจชุ่มชื่นเป็นเรื่องการกระทำของกรรม เพราะคนไม่มีบุญวาสนาทำอย่างนี้ไม่ได้ ต้องฝืนใจ คนที่จะดีได้ต้องฝืนใจได้ ถ้าฝืนใจไม่ได้รับรองเอาดีไม่ได้ ไปเกิดอยู่ที่ไหนก็เอาดีไม่ได้ จะไปบวชเป็นพระเป็นชีก็เอาดีไม่ได้

    ดีไม่ได้แน่เพราะฝืนใจไม่ได้ ล่องไปตามกระแสลมและสายธาร ตามอารมณ์ตามใจตัวเองตลอดมาช้านานแล้ว จึงเอาดีไม่ได้ดังเหตุที่กล่าวมานี้ มีความหมายอย่างนั้น

    เรื่องที่จะเล่าสู่กันฟังมีมาก มีหลายเรื่องก็จริง แต่หมดเวลาแล้ว ขอแนะนำโยมผู้ปฏิบัติธรรมทุกท่าน จงอุตส่าห์ตั้งใจอดทน เดินจงกรมนั่งปฏิบัติคู่กันไป

    อย่างที่คุณหมอชลอ คู่กับแม่ใหญ่มาช้านานนั้น ก่อนที่จะเข้าผลสมาบัติได้ ๘๔ ชั่วโมง รำลึกชาติได้ว่าตัวเองเกิดที่บ้านมอญ จังหวัดราชบุรี ไปฆ่าเขาตายที่น้ำตกเอราวัณ พอเหตุการณ์ผ่านไปแล้ว เข้าผลสมาบัติ ลืม! อาตมาจดไว้ครบ และเขาต้องไปตายตรงนั้นทีเดียว
    กฎแห่งกรรมอย่าลืมนะ ทำเขาไว้ ไปฆ่าเขาตายที่ ต.ท่าพุทรา อ.ศรีสวัสดิ์ จ.กาญจนบุรี ที่กระท่อมหลังนั้น ตัวเองก็ต้องไปโดนฆ่าตายตรงนั้น

    ขอฝากไว้ด้วยเป็นกฎแห่งกรรม ทำอะไรขอให้ทำให้จริง ๆ ได้ผลจริงและสมค่า สมปรารถนาทุกประการด้วยกฎแห่งกรรม ที่ชี้แจงแสดงมาในวันนี้
     

แชร์หน้านี้

Loading...