วิธีการรวมจิตให้เป้นหนึ่งเดียว

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย hamanokun, 10 มิถุนายน 2008.

  1. hamanokun

    hamanokun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    121
    ค่าพลัง:
    +287
    สวัสดีครับพี่ น้อง ลุง ป้า น้า อา และญาติทางธรรมทุก ๆท่าน

    ในกระทู้นี้เป็นกระทู้ที่ผมตั้งขึ้นมาเพื่อแลกเปลี่ยนวิธีการปฎิบัติสมาธิตามหัวข้ออะนะครับ อยากขอเรียนเชิญทุกท่านรบกวนแลกเปลี่ยนวิธีการทรงสมาธิแบบไหน อย่างไร ให้ไว และทรงอยู่ได้นาน ๆ
    ก่อนอื่นผมต้องขอเล่าประสบการณ์ตัวเองที่ประสบ มาก่อน
    ผมจะมีวิธีการเข้าสมาธิได้ไว โดยการจะใช้วิธีดังนี้คือ

    1.ทรงสติให้ตั้งมั่น รู้อยู่ว่าตอนนี้เรากำลังจะทำอะไร (ทำสมาธิ)

    2.ใช้คาถารวมจิตให้รวมเป็นหนึ่งเดียว ปกติเราแล้วจิตของคนเราจะแตกซ่านออกไปคนละทิศคนละทางซึ่งเรียกกันว่าการขาดสติ หรือว่าความฟุ้งซ่าน ด้วยเหตุผลที่ขาดสติมานาน ฉะนั้นจึงต้องทำการรวมจิตให้เป็นหนึ่งเดียวเสียก่อน
    โดย ภาวนาคาถาว่า "อิติสัมมา สัมพุทธัสสะ มะมะ จิตตัง" ก่อนภาวนาให้นึกถึงพระพุทธเจ้าเสียก่อนนะครับนึกด้วยความเคารพจริงใจ จากนั้นก็ว่าคาถาไป สัก 3 5 7 9 จบ ก็ได้แล้วแต่เรา

    3.ในระหว่างที่กำลังภาวนาคาถารวมจิตอยู่นั้นก็ให้ใช้ความรู้สึกที่ทรงสติอยู่นั้นรวบรวมจิตที่กระจายออกมารวมอยู่ที่จุดเดียวคือศูนย์กลางของจิตก็ศูนย์กลางกายทท่านจะมีความรู้สึกเหมือนกับจิตที่กระจายออกนั้นมารวมอยู่จุดเดียวกันตามที่ผมแขนขาจะรู้สึกวูบ ๆ เหมือนกับพลังทั้งหลายมานมารวมอยู่จุดเดียวกันคือจุดศูนย์กลาง

    4.เมื่อทำตามทั้ง 3 ข้อที่กล่าวมาจิตจะรวมเป็นหนึ่งจากนั้นก็ให้เริ่มกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก ใครจะภาวนาหรือจับภาพพระด้วยก็ได้ อารมณ์จะไม่ฟุ้ง ตอนที่ผมทำด้วยวิธีที่ผมเจอมานี้ จิตจะทรงตัวดีมาก ๆเลยครับ แปล๊บเดียวไม่ถึง10 วินาทีเข้าสมาธิดิ่งไปเลย

    5.และขอหยิบยกคำพูดของหลวงพ่อมาใช้ว่า "ในระหว่างที่ท่านทั้งหลายรู้ลมหายใจเข้าหายใจออกอยู่ก็ดี รู้คำภาวนาก็ดี ในเวลานั้นจิตของท่านมีสมาธิ" ขอให้ทำด้วยวิธีการที่ว่านี้บ่อย ๆวันละหลาย ๆ ครั้งกันนะครับ จิตจะทรงตัวจะเข้าสมาธิตอนไหนก็ทำได้ตลอด (ถ้าคล่องแล้ว)

    6.ก่อนจะทำสมาธิก็สมาทานพระกรรมฐานก่อน ถ้าเป็นผมก็อธิฐานเพิ่มไปอีกว่า ขออธิฐานขอรวมผลของพระกรรมฐานและ ญาณทั้งหลายที่เคยได้กระทำหรือสั่งสมมาแล้วนับตั้งแต่ต้นชาติจนถึงชาติปัจจุบันทุก ๆชาติ จงมารวมส่งผลทั้งหมด

    7.!!!เน้นย้ำนะครับว่าอย่าใช้อารมณ์หนักเกินหรือเคร่งเครียดเกินไป ตั้งใจเกินไปก็ไม่ได้ ควรทำอารมณ์แบบสบาย ๆ เน้นที่ใจเป็นสุข เป็นหลัก ถ้าทำได้แบบนี้ความสุขจะเกิดแก่ทุกท่านทั้งวันและตลอดวัน ทำไปเรื่อย ๆโดยที่ใจสบาย ๆ

    8.ท้ายนี้ขอทุกท่านลองปฎิบัติดูนะครับแล้วหากท่านใดที่แนวทางหรือวิธีการแบบใดก็รบกวนโพสมาได้เลยนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 มิถุนายน 2008
  2. panuwat_cps

    panuwat_cps เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    105
    ค่าพลัง:
    +433
    อนุโมทนาครับ เด๋วจะลองดูครับเผื่อจะถูกกับจริตตัวเอง
     
  3. โพธิญาณ45

    โพธิญาณ45 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    17
    ค่าพลัง:
    +29
    ขอบคุณมากครับ ที่คุณได้แนะนำวิธีรวมจิตฯ จะลองฝึกทำตั้งแต่
    วันนี้เป็นต้นไป จากการที่ฝึกทำสมาธิด้วยวิธีอื่นๆ ใช้เวลาประมาณ
    สัก 5- 10 นาที ก็เผลอหลับซะแล้ว ขออนุโมทนากับผลบุญของ
    คุณ hamanokun ด้วย และขอให้คุณจงมีความเจริญทั้งทางโลก
    และทางธรรม มีความสุขมากกว่าที่เคยเป็นนะ
     
  4. hamanokun

    hamanokun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    121
    ค่าพลัง:
    +287
    การฝึกในแนวที่ผมแนะนำไปนี้ใครได้ผลอย่างไรช่วยมาเล่าสู่กันฟังหน่อยนะคับ แล้วท่านใดมีวิธีการอื่น ๆแบบไหนก็ขอรบกวนนำมาโพสกันนะครับเพื่อจะได้นำมาผสมผสารเป็นแนวทางในการปฎิบัติและบรรลุมรรคผลกันต่อไปครับผม ขออนุโมทนากับทุก ๆท่านด้วยครับ
     
  5. ตามรอยเท้าพ่อ-แม่

    ตามรอยเท้าพ่อ-แม่ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    61
    ค่าพลัง:
    +32
    เมื่อก่อนผมนั่งหลับสับประหงก ตั้งหลายรอบ วันนี้จะขอลองทำตามดูครับ ขออนุโมทนาสาธุ
     
  6. บัวใต้น้ำ

    บัวใต้น้ำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2004
    โพสต์:
    891
    ค่าพลัง:
    +1,937
    มีข้อควรระวังนิดนึงสำหรับนักปฏิบัติในเรื่องนี้คือ

    "จิตรวม" กับ "รวมจิต" แตกต่างกัน ผลที่ได้ย่อมมีความแตกต่างกันในรายละเอียด

    การภาวนาให้มีสติรู้ตัวตลอดสาย เมื่อมีเหตุปัจจัยที่พอดี จิตก็รวมของมันเอง อันนี้คือ"จิตรวม" ( เราไม่มีความตั้งใจให้มันรวม )

    ส่วนการตั้งใจภาวนาหรือบังคับ เพ่ง จ้อง ไม่ให้มันไปไหน หรือเพื่อให้มันรวมอันนี้คือเรา "รวมจิต"
    ยังไม่ใช่สมาธิที่สามารถต่อยอดไปในการละกิเลส เป็นแค่สมาธิของฤาษีชีไพร
    ก่อนพระพุทธเจ้าอุบัติก็มีผู้ที่ทำได้อยู่ก่อนแล้ว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 มิถุนายน 2008
  7. junior phumivat

    junior phumivat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    1,346
    ค่าพลัง:
    +1,688
    ขออนุโมทนาบุญกับทุกๆท่านครับ ธรรมใดที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงพบแล้ว ขอธรรมนั้น จงสำเร็จแก่ท่านทั้งหลายโดยเร็วด้วยเถิด สาธุ สาธุ สาธุ
    อิทัง ปุญญะผะลัง ผลบุญใด ที่ข้าพเจ้า ได้บำเพ็ญแล้ว ตั้งแต่ต้นชาติ จนถึงปัจจุบันชาติ ข้าพเจ้าขออุทิศส่วนกุศลนี้ ให้แก่เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย ที่เคยล่วงเกินมาแล้ว แต่ชาติก่อนก็ดี ชาตินี้ก็ดี ขอเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย จงโมทนา ส่วนกุศลนี้ ขอจงอโหสิกรรมให้แก่ข้าพเจ้า ตั้งแต่บัดนี้ ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพาน และขออุทิศส่วนกุศลนี้ ให้แก่เทพเจ้าทั้งหลาย ที่ปกปักรักษาข้าพเจ้า และเทพเจ้าทั้งหลาย ทั่วสากลพิภพ และพระยายมราช ขอเทพเจ้าทั้งหลาย และพระยายมราช จงโมทนาส่วนกุศลนี้ ขอจงเป็นสักขีพยาน ในการบำเพ็ญกุศล ของข้าพเจ้าในครั้งนี้ด้วยเถิด และขออุทิศส่วนกุศลนี้ ให้แก่ท่านทั้งหลาย ที่ล่วงลับไปแล้ว ที่เสวยความสุขอยู่ก็ดี เสวยความทุกข์อยู่ก็ดี เป็นญาติก็ดี มิใช่ญาติก็ดี ขอท่านทั้งหลาย จงโมทนาส่วนกุศลนี้ พึงได้รับประโยชน์ ความสุข เช่นเดียวกับข้าพเจ้า จะพึงได้รับ ณ กาลบัดเดี๋ยวนี้เถิด ผลบุญใด ที่ข้าพเจ้า ได้บำเพ็ญแล้ว ตั้งแต่ต้นชาติ จนถึงปัจจุบันชาตินี้ ขอผลบุญนี้ จงเป็นปัจจัย ให้ข้าพเจ้า ได้เข้าถึง ซึ่งพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้ด้วยเถิด หากแม้นยังไม่ถึงพระนิพพานเพียงใด ขอคำว่าไม่รู้ ไม่มี จงอย่าได้บังเกิดแก่ข้าพเจ้าเลย ขอผลบุญทั้งหลาย ที่ข้าพเจ้า ได้กระทำแล้ว จงบังเกิดผล ณ กาลบัดเดี๋ยวนี้เถิด

    <!-- / message -->
     
  8. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,197
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    รวมจิต ไม่ใช่ทาง วิมุตติ
     
  9. เด็กโชว์พาว

    เด็กโชว์พาว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,082
    ค่าพลัง:
    +470
    ของคุณรวมแล้วถึงฌานขั้นไหนในกี่นาที เคยจับเวลามั้ยครับ
     
  10. phutsa

    phutsa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    261
    ค่าพลัง:
    +852
    รวมจิต รวมพลังไว้ตัดกิเลส

    ถ้าไม่รวมจิตจะเอาพลังที่ไหนตัดกิเลสหว่า

    โมทนาครับ จะลองทำดูครับ จับลมหายใจเข้าออกให้จิตทรงตัว

    จับภาพพระนี้ ผมมองไม่เห็นน่ะครับ แต่ถ้าเอาความรู้สึกว่ามีพระในอกพอทำได้ครับ

    แนะนำด้วยครับ
     
  11. บัวใต้น้ำ

    บัวใต้น้ำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2004
    โพสต์:
    891
    ค่าพลัง:
    +1,937
    จิตรวม คือมันรวมของมันเอง ส่วนใหญ่แล้ว เมื่อเจริญสติปัญญา เห็นกิเลสมาตลอดวันหรือจิตหมดแรง เวลาทำสมาธิ จิตจะรวมเข้าไปพักผ่อน พอจิตได้กำลังอิ่มตัวก็จะโผล่ขึ้นมา มีเรี่ยงแรงมหาศาล แต่ก็เป็นของเสื่อม ดังนั้นเมื่อเราออกจากจิตรวม จิตมีกำลังแล้วควรใช้ประโยชน์ในการดูกิเลสในจิตใจเรา

    แต่ถ้าเราฝึกการเจริญสติมาก่อน คือไม่เห็นรู้กิเลสเราที่มันเกิดขึ้นในปัจจุบัน แต่มีความสามารถด้านสมาธิให้จิตมันรวมได้ สมาธิที่ได้นั้นจึงไม่เป็นไปในการละกิเลส มักชอบใช้ไปในทางอิทธ์ฤทธ์ ปาฏิหารย์ สามารถรู้เห็นสิ่งต่างๆนอกตัวเรา

    ส่วนการรวมจิตนั้น คำศัพท์ตามความหมายจริงๆ คือการที่ "เรารวมจิต" ซึ่งยังไม่ใช่ทางสายกลาง เพราะยังอยาก ยังบังคับให้จิตรวม ยังมี"เรา"ในการกระทำเพื่อให้ได้อะไรบางอย่าง ก็ยังมีอัตตาบงการอยู่ ไมได้ปล่อยให้จิตมันรวมของมันเอง หรือมันไม่รวมก็เรื่องของมัน เราบังคับบัญชาไม่ได้

    ครูบาอาจารย์พระป่า เมื่อก่อนเจอผู้เขียนชอบทักว่า "จิตรวมยัง" หรือ "เคยรวมจิตหรือยัง"
    ตอนแรกก็ไม่เข้าใจ กลับไปบ้านนั่งเพื่อให้รวมจิตไม่ให้มันกระจัดกระจาย ให้มันเป็นกลุ่ม เป็นก้อน อยู่เป็นที่เป็นทางในกายในใจเรา สักพักก็ทำได้ หลงอยู่สักพักนึง ตอนหลังได้ไปกราบครูบาอาจารย์ถึงรู้ว่าตรงนี้ คือการที่เราบังคับจิตให้มันรวม หรือที่ผมเรียกว่า"รวมจิต" นั้นยังไม่ใช่ทาง เพราะจริงๆที่ท่านพูดหมายถึงการภาวนาจนจิตมันรวมของมันเอง เมื่อออกมาจากจิตรวมแล้ว จิตจะมีกำลังมากสักพักนึงตามระดับของสมาธิแต่ละคน เวลาสติเข้าไปรู้กิเลสตัณหาต่างๆ จะรู้ได้ละเอียด รู้ได้ชัดเจน



    แนวทางการปฏิบัติ ผมลองสรุปสั้นๆมาให้เพื่อนๆได้ลองอ่านดู เผื่อจะมีประโยชน์บ้าง

    ขั้นแรก คือต้องมีสติเห็นกิเลสจริงๆ ที่มันเกิดขึ้นในใจเราเสียก่อน เรียกว่ามี "สัมมาสติ"

    ขั้นต่อมาคือจิตมีความตั้งมั่นด้วยความเป็นกลางในการรู้กิเลสอย่างต่อเนื่อง แต่ไม่ไหลไปตามกิเลส คือ"สัมมาสมาธิ" ( เพราะมีสัสมาสติเป็นองค์ประกอบ สมาธิที่ได้ถึงเป็นสัมมาสมาธิเท่านั้น )

    ขั้นต่อมา คือเมื่อจิตตั้งมั่นไม่ไหลไปตามกิเลสแล้ว จะเห็นสิ่งต่างๆที่มากระทบใจ เป็นของเกิด-ดับ ส่วนจะรู้ในมุมของอนิจจัง ทุกขัง หรืออนัตตา เราบังคับไมได้ จิตเลือกเอง ตรงนี้เรียกว่า "ปัญญา" คือการที่จิตเห็นไตรลักษณ์ ( ถ้าเราบังคับให้เห็นไตรลักษณ์ได้ เรียกว่ายังไม่ใช่ของจริงเพราะเป็นอัตตา )

    เมื่อเจริญ สติ สมาธิ ปัญญาไปเรื่อย จะยิ่งเห็น การเกิด-ดับของ รุป เวทนา สัญญา สังขาร รวม ๔ ขันธ์จะปล่อยวางได้เป็นลำดับไป
    ท้ายสุดแล้วเมื่อวันใดที่จิตรู้ว่า จิต(สิ่งที่ไปรับรู้ขันธ์ ๔ ตัวแรกไม่ใช่เรา) หรือเรียกว่า "วิญญาณขันธ์ ไม่ใช่ของเรา"

    ชาวโลกเรียกผู้ที่เห็นวิญญาณขันธ์ไม่ใช่เรา ว่าได้ดวงตาเห็นธรรมหรือโสดาบันบุคคล ซึ่งเป็นการเข้าสู่กระแสพระนิพานเกิดอีกไม่เกิน ๗ ชาติ

    หมายเหตุ:
    โสดาบันบุคคลเห็นสิ่งต่างๆว่าไม่ใช่เรา แต่ยังยึดไว้ ด้วยเหตุนี้โสดาบันบุคคลจึงยังไม่ละราคะ โทสะ โมหะ
    ถ้ารู้ครบสี่ครั้ง จะไม่ยึดอะไรไว้ทุกสิ่งทุกอย่าง เรียกว่าพระอรหันต์
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 มิถุนายน 2008
  12. วิฑัญดาวัชรธาตุ

    วิฑัญดาวัชรธาตุ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มกราคม 2008
    โพสต์:
    13
    ค่าพลัง:
    +23
    จากการที่ "คุณบัวใต้น้ำ" ได้กล่าวมาข้างต้นก็ไม่ได้ถือว่าผิด แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น การทำให้ "จิตรวม" หรือ การ "รวมจิต" ก็ล้วนแล้วแต่เป็นการฝึกจิตฝึกใจตนเองเพื่อละกิเลสให้เบาบางมิใช่หรือ การปฏิบัติอย่างนี้ถือได้ว่าเป็นพื้นฐานในเบื้องต้น เรียกได้ว่าคือการทำสมถะนั่นเอง เพื่อไปสู่วิปัสสนาญาณ ทำให้เกิดปัญญาพิจารณา เพื่อดับกิเลส อย่างน้อย ๆ ก็ขึ้นชื่อว่าได้ทำความดีแล้ว ฉไนเลยต้องสนใจกับ "จิตรวม" หรือการ "รวมจิต" ว่าต่างกันอย่างไร ของแบบนี้ไม่ได้จะเกิดขึ้นกับผู้ที่ปฏิบัติทุกคนเพราะ "ธรรมะคือธรรมชาติ" ธรรมชาติของสิ่งมีชีวิตแตกต่างกัน ต่อให้เป็นสายพันธุ์วงศ์วานเดียวกัน ก็ยังมีอุปนิสัยลักษณะที่แตกต่างกัน มันเป็นเรื่องอจิณไตยที่ลึกซึ้ง

    ต้องขออภัยด้วยหากกล่าวสิ่งใดผิดพลาด เพราะเป็นความคิดเห็นส่วนตัว มิได้มีเจตนากล่าวอ้างอิงถึงผู้หนึ่งผุ้ใด

    ขอโมทนา สาธุการ ด้วยเจ้าค่ะ
     
  13. บัวใต้น้ำ

    บัวใต้น้ำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2004
    โพสต์:
    891
    ค่าพลัง:
    +1,937

    ถ้าผู้ทีมีความสามารถด้านสมาธิ ภาวนาให้จิตตั้งมั่นตั้งแต่ระดับฌาณ ๒ ขึ้นไป จะเกิดสภาวะอย่างหนึ่งคือจะเกิดผู้รู้ ผุ้ดูขึ้นมา หรือที่ตามคำศัพท์เรียกว่า "เอโกฑิภาวะ" เป็นสภาวะที่ จิตผู้รู้ตั้งเด่นดวง เมื่อมีอย่างอืนนอกจากจิตผู้รู้ เกิดขึ้นมา หรือเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลง สามารถรู้ได้โดยที่จิตไม่ไปถลำ ไม่ไปจมแช่กับสภาวะนั้น วิธีการเช่นนี้เรียกว่าใช้สมาธินำปัญญาหรือสมถะญานิก

    อีกแบบหนึ่งไม่ต้องเสียเวลาทำสมาธิขึ้นมาก่อน หัดเจริญสติให้เห็นกิเลส ผุดเกิดขึ้นมาในปัจจุบันจริงๆ เห็นบ่อยๆ ยิ่งเห็นบ่อยกำลังของสัมมาสมาธิยิ่งขึ้นขึ้นเองโดยที่ไม่ต้องไปทำสมาธิเสียก่อน วิธีการแบบนี้เรียก ปัญญานำสมาธิ หรือวิปัสสนนาญานิก

    แต่ไม่ว่าวิธีการแบบไหน ถ้าทำอย่างถุกต้องถึงเป้าหมายแล้ว ย่อมได้ทั้งเจโตวิมุตติและปัญญาวิมุตติทั้งคู่
     
  14. เด็กโชว์พาว

    เด็กโชว์พาว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,082
    ค่าพลัง:
    +470
    สมถะเป็นฐานของวิปัสสนาครับ ยิ่งฐานดีก็วิปัสสนาดี ใครๆก็กลัวได้ฌานแล้วหลงในฤทธิ์กันเป็นส่วนมาก ผมก็สงสัยอยู่นะว่าในเมื่อคุณคิดที่จะบรรลุแล้วคุณจะกลัวอะไร คนเราน่ะถ้าคิดจะปลงต่อให้ได้อะไรมันก็ยังปลงอยู่ดี ส่วนคนที่ไม่ปลงถึงไม่ได้อิทฤทธิ์ก็ใช่ว่าจะได้บรรลุธรรมนะครับ
     
  15. บัวใต้น้ำ

    บัวใต้น้ำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2004
    โพสต์:
    891
    ค่าพลัง:
    +1,937

    อย่างที่คุณบอกไว้เองเลยครับ ว่าการรวมจิตถือเป็นการทำความดีอย่างหนึ่ง ดังนั้นนักภาวนาส่วนใหญ่ จึงติดดีโดยไม่รุ้ตัว ติดขัดแล้วก็ตันอยู่ตรงนี้ ยังไม่ใช่ทางสายกลาง คือไม่ดี ไม่ชั่ว แต่นี่ยังอยู่ในข้างของคนดี ความดี บุญกุศล ผมถึงบอกว่ายังใช้ละกิเลสไมได้จริง

    เปรียบเทียบเหมือนเรามี ดาบที่คมมากๆ แต่ไม่เห็นกิเลส จึงถือไว้เฉยๆ เมื่อยมือเปล่าๆ ส่วนผู้ที่เห็นกิเลสแต่ไม่มีกำลังสมาธิหนุนหลัง กิเลสไมได้ถุกละจริงๆ ก็เหมือนกับคนที่สามารถมองเห็นข้าศึก ศัตรู แต่ก็ได้แค่เห็น ไม่สามารถจัดการอะไรได้

    ดังนั้นสมถะกับวิปัสสนาต้องควบกับไปตลอดสายของการภาวนา ขาดอย่างไรอย่างหนึ่งไมได้ แต่สัดส่วนอย่างไร จะมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับจริตนิสัยและความสามารถ และไม่ใช่พอเอ่ยถึงสมาธิ จะต้องไปนั่งหลับตาทำในรูปแบบเสมอไป ส่วนมากจะติดกัน พอนึกถึงทำสมาธิจะต้องนึกถึงการนั่งหลับตาทำอะไรสักอย่าง และไม่ใช่หมายถึงการที่เราคิดว่าจะต้องทำสมาธิให้ได้ฌาณก่อนแล้วค่อยไปเจริญปัญญาแบบนั้นมันช้าไป เกิดชาตินี้ไม่สามารถทำฌาณได้จริงๆ ก็คงไม่ต้องหวังพ้นทุกข์กันพอดี ถือว่าเป็นการตัดโอกาสที่ดีของตัวเองทิ้งไปเช่นกัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 มิถุนายน 2008
  16. บัวใต้น้ำ

    บัวใต้น้ำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2004
    โพสต์:
    891
    ค่าพลัง:
    +1,937

    เปรียบเทียบเหมือนเรามีดาบที่คมมากๆ แต่ไม่เห็นกิเลส จึงถือไว้เฉยๆ เมื่อยมือเปล่าๆ ส่วนผู้ที่เห็นกิเลสแต่ไม่มีกำลังสมาธิหนุนหลัง กิเลสไมได้ถูกละจริงๆ ก็เหมือนกับคนที่สามารถมองเห็นข้าศึก ศัตรู แต่ก็ได้แค่เห็น ไม่สามารถจัดการอะไรได้

    ดังนั้นสมถะกับวิปัสสนาต้องควบกับไปตลอดสายของการภาวนา ขาดอย่างไรอย่างหนึ่งไมได้ แต่สัดส่วนอย่างไร จะมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับจริตนิสัยและความสามารถ และไม่ใช่พอเอ่ยถึงสมาธิ จะต้องไปนั่งหลับตาทำในรูปแบบเสมอไป ส่วนมากจะติดกัน พอนึกถึงทำสมาธิจะต้องนึกถึงการนั่งหลับตาทำอะไรสักอย่าง และไม่ใช่หมายถึงการที่เราคิดว่าจะต้องทำสมาธิให้ได้ฌาณก่อนแล้วค่อยไปเจริญปัญญา เกิดชาตินี้ไม่สามารถทำฌาณได้จริงๆ ก็คงไม่ต้องหวังพ้นทุกข์กันพอดี ถือว่าเป็นการตัดโอกาสที่ดีของตัวเองทิ้งไปเช่นกัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 มิถุนายน 2008
  17. เด็กโชว์พาว

    เด็กโชว์พาว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,082
    ค่าพลัง:
    +470
    ก็ใช่ไงครับก็ต้องฝึกควบคู่กันไปด้วย แต่คุณจะเลือกวิธีไหนฝึกสมถะ
    1. ฝึกได้ภายใน 3 เดือน
    2. ฝึก 10 ปี
    หึๆ
     
  18. hamanokun

    hamanokun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    121
    ค่าพลัง:
    +287
    โอ้เอาความรู้จากตำรามาถกกันซะแล้ว
     
  19. เด็กโชว์พาว

    เด็กโชว์พาว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,082
    ค่าพลัง:
    +470
    ถ้าหากคุณคิดจะวิปัสสนาอย่างเดียวเพื่อหลุดพ้นก็แล้วแต่คุณแต่ต้องไม่ใช่เหตุผลว่ากลัวหลงในฤทธิ์ เพราะถ้าคุณวิปัสสนาอย่างเดียวเพราะยังกลัวที่จะหลงในฤทธิ์คุณก็ไม่สามารถบรรลุธรรมได้เพราะคุณยังไม่สามารถปลงในความรู้สึกของตัวเองได้
     
  20. บัวใต้น้ำ

    บัวใต้น้ำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2004
    โพสต์:
    891
    ค่าพลัง:
    +1,937

    พระพุทธเจ้า ท่านไม่ทรงตรัสว่าวิธีไหนที่ดีที่สุด สติปัฏฐานสี่เป็นทางสายเอก มีทั้งส่วนที่เป็นสมถะและวิปัสสนา วิธีการที่ดีที่สุดของแต่ละบุคคลแตกต่างกัน วิธีการที่เหมาะกับคนๆหนึ่งอาจจะไม่เหมาะกับอีกคนหนึ่ง แต่ทั้งนี้ถ้าหวังพ้นทุกข์ต้องเป็นวิธีการที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในสติปัฏฐานสี่
     

แชร์หน้านี้

Loading...