ฤทธิ์วิปลาส และ การบำเพ็ญธรรมของพุทธมหายานและเต๋า

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย พรตพเนจร, 9 มิถุนายน 2015.

  1. พรตพเนจร

    พรตพเนจร Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    16
    ค่าพลัง:
    +77
    นักปฏิบัติธรรมทั้งหลายที่ปฏิบัติธรรมมานานกำหนดจิตบำเพ็ญเพื่อเข้าสู่การเป็น เทพเซียน พระโพธิสัตว์ และขั้นสูงสุด ยูไล การปฏิบัติธรรมเมื่อเข้าสู่สภาวะหนึ่งที่จิตใจสงบลงบำเพ็ญธรรมเข้าสู่ขั้นตอนถึงชั้นฌานระดับกลางเพราะมีระดับต้นระดับกลางระดับสูงสุดก็ดีนักปฏิบัติจะสามารถมีคุณวิเศษสามารถที่จะมีฤทธิ์บางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้น พรตพเนจรเคยรู้จักนักปฏิบัติธรรมคนหนึ่งเป็นพุทธเหมือนกันแต่เป็นเถรวาทเค้าปฏิบัติหรือฝึกมโนเค้ามีปัญหาและอาการทางจิตต้องไปพบแพทย์และรักษาอาการก็ไม่หายจนมาพบข้าพเจ้าพรตพเนจร ข้าพเจ้าก็เลยถามอาการว่ามันเกิดขึ้นจากอะไรก็ได้สาเหตุว่าฝึกมโนมยิทธิแบบคิดนึก เค้าบอกว่าแรกๆท่องคำภาวนาหนึ่งแล้วจะสามารถเห็นตัวเองนั่งอยู่หรือนอนอยู่แล้วก็เห็นตัวเองเดินไปตามที่ต่างๆ เราก็คิดอยู่ในใจแล้วว่านี้คือผลของการคิดอุปทานแทบทั้งสิ้นไม่มีหรอกที่จะเห็นแว็ปแรกหรือความรู้สึกแรกๆ มีแต่เห็นด้วยใจเท่านั้นถึงจะเป็นของจริง เค้ายังเล่าต่อไปว่าเค้าฝึกแบบนี้มาเกือบจะสามปีแล้ว เค้ามีฌานวิเศษสามารถมีตาทิพย์ หูทิพย์ แต่ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ เพราะเห็น พรตพเนจรก็เลยชี้แนะบอกไปว่าการฝึกมโนตามแบบสายของพระท่านนี้สามารถทำให้มีตาทิพย์ได้จริงๆแต่ไม่ใช่ของจริงเพราะว่าผู้ฝึกมโนมันคือการคิดอุปทานไปว่าไปพบเห็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแล้วเกิดที่ตัวจิตนึกคิดบังคับเพื่อให้เห็นทั้งสิ้นท่านใดไม่เชื่อลองหลับตาแล้วนึกอยากจะเห็นสิ่งใหนจิตมันจะสร้างภาพมาหลอกตาเกิดเป็นภาพให้เห็น แต่ถ้าเป็นตาทิพย์ของจริง จะไม่ใช่เห็นได้ด้วยดวงตาแต่จะเห็นได้ด้วยใจ ถ้าหากฝึกมโนไปนานๆคิดนึกไปเองนานๆพอชินๆเข้าที่ว่ามีตาทิพย์เห็นวิญญานต่างๆก็เกิดจากตรงนี้เพราะจิตสร้างภาพเกิดขึ้นเมื่อเกิดเช่นนี้แล้วท่านจะหาทางแก้ไขไม่ได้เพราะตัวจิตของท่านมันเชื่อมต่อกับจิตสำนึกของทุกคนเป็น จิตเป็นคลื่นสามารถจูนได้แต่ถ้าหากจูนได้ทุกๆคนเชื่อต่อได้ทุกๆคนคราวนี้แหละมันจะแก้ไขไม่ได้เลยเพราะว่าจิตมันเชื่อมต่อไม่สามารถที่จะตัดขาดกับคลื่นจิตเบื้องบนได้ หูทิพย์ก็เช่นกันหากฝึกปฏิบัติแบบเคร่งครัดไม่ได้เดินทางสายกลางบางคนก็จะสามารถที่จะได้ยินเสียงเกิดขึ้นมาในจิตใจคุยกับเราตอบกับเรารู้เรื่อง เอาละคราวนี้คิดละว่าตัวเองเป็นผู้วิเศษเพราะสามารถได้ยินเสียงนั้นในใจและตอบกลับไปกลับมาได้เอาละตอนนี้กิเลสก็เกิดขึ้นแล้วมารเกิดจึงเกิดขึ้นภายในใจบางคนที่มีเสียงตอบรับคุยกลับไปกลับมาในจิตเลยเถือดไปคิดว่าตัวเองมีองค์เทพเป็นนั้นเป็นคนนี้เป็นเทพองค์นี้เป็นพยายมบ้างพระศิวะบ้าง พระแม่อุมาบ้าง ไม่มีเทพองค์ใหนที่จะมาหาคุณแต่มันคือกิเลสมารเกิดขึ้นภายในจิต บางคนถึงกับตั้งตัวเป็นใหญ่เป็นหมอดูบ้างเป็นอะไรบ้างนี้ไม่ใช่คุณวิเศษนึกว่าเป็นเทพแต่หารู้ไม่ว่าคือกิเลสมารเกิดขึ้นภายในใจ หลงทางเพราะถูกกิเลสมารหลอกหล่อเป็นผู้วิเศษหลงทางธรรมไป จากสาวกตถาคตกลายเป็นสาวกองค์อื่นๆไปบางคนได้ยินผ่านหูผลสุดท้ายเค้าคนนั้นทนที่จะไม่ทำตามเสียงเหล่านี้กลับกลายมาเป็นอสูรและมารหลอกจิตคุยกับท่านไม่มีหยุดผลสุดท้ายก็คือต้องไปพบแพทย์และเป็นบ้าไปเสียสติเพราะมารเห็นว่าคนๆนี้หมดหน้าที่ที่จะทำประโยชน์ต่อมารนั้นคือหลอกผู้คนให้มาศรัทธาหาเงินกินบนความทุกข์ผู้อื่นๆเมื่ออยากกลับตัวมาเป็นคนที่ไม่เชื่อเสียงที่ฟังที่ได้ยินมันแก้ไม่ได้ สาเหตุที่พรตพเนจรอยากจะบอกแก่นักปฏิบัติธรรมคนนั้นว่าในเมื่อท่านฝึกมโนมยิทธินึกคิดมาถึงขั้นนี้แล้วจนเกิดวิปลาสเป็นหูทิพย์ ตาทิพย์แล้วมันแก้ไขไม่ได้เพราะจิตมันเชื่อมสัญญากับอุปทานแล้วพรตพเนจรจึงบอกนักปฏิบัติธรรมคนนั้นปรึกษาแพทย์ไป จากนั้นพรตพเนจรก็รับเค้าคนนั้นมาเป็นศิษธ์เพื่อที่จะช่วยเหลือให้พ้นจากทุกข์ที่เป็นอยู่ พรตพเนจรก็คล่อยๆให้เค้าปฏิบัติธรรมกำหนดลมหายใจไม่ต้องมีคำภาวนาให้กำหนดอยู่กับลมหายใจเข้าออกเท่านั้นจนศิษธ์ของพรตพเนจรมาถามว่าตนเองนั้นสมาธิถึงขั้นที่สงบแบบไม่มีลมหายใจแล้วแต่ยังมีลมหายใจแผ่วเบ่ารู้สึกเป็นสุขและนิ่งอยู่กับสมาธิ เมื่อพรตพเนจรได้ยินดังนั้นแล้วก็ดีใจนะก็ได้บอกวิธีการใช้ใจมองและรับรู้ทางใจและได้ยินทางใจจนในที่สุดลูกศิษธ์ของพรตพเนจร สามารถที่จะมีตาทิพย์หูทิพย์ได้จริงๆ เพราะว่าตาทิพย์หูทิพย์ของจริงจะสามารถเปิดเลือกที่จะดูเลือกที่จะฟังและสามารถที่จะปิดเวลาใหนก็ได้ก็ดีใจจนในที่สุดเค้าก็สามารถใช้ชีวิตอย่างเป็นสุขได้

    เอาละมาเข้าถึงการปฏิบัติได้การที่จะเป็นเทพเซียนหรือพระโพธิสัตว์ได้เอาง่ายๆก่อนเทพเซียน บำเพ็ญธรรมต่อสายธารธรรมกับเหล่านักพรตตามป่าเข้าลำเนาไพรปฏิบัติตามทางที่ท่านบอกก็จะสามารถพัฒนากลายเป็นเทพเซียนจนวิธีการบำเพ็ญเป็นเซียนนั้นขอไม่เอยถึงเพราะเป็นลิขิตสวรรค์หากบอกไปเทพเซียนคงมีมากและคนจะใช้คุณวิเศษบำเพ็ญหากมีความสามารถจะเอาไปใช้ในทางที่ผิดผิดกฏสวรรค์

    การบำเพ็ญพระโพธิสัตว์ของมหายานนั้น บำเพ็ญธรรมธรรมและเข้าฌานเป็นทางเถรวาททุกอย่างเพราะว่าเป็นพุทธเหมือนกันจนสามารถมีตาทิพย์หูทิพย์จริงๆเมื่อใดที่บำเพ็ญเห็นดอกบัวขาวบานในใจได้แล้วแค่บานยังไม่สำเร็จต้องบำเพ็ญต่อไปอีกจนเห็นตัวเองนั่งอยู่บนดอกบัวดอกนั้นที่บานในใจและสามารถถอดจิตไม่ใช่มโนนะหมายถึงแยกจิตแยกกายบำเพ็ญธรรมและสามารถถอดจิตวิญญานสามารถนั่งบนดอกบัวได้ไปที่ต่างๆได้เป็นอันว่าสำเร็จตอนนี้สำเร็จแล้วก่อนที่จะมีดอกบัวได้ต้องผ่านอุปสรรค์ต่างๆทั้งความสามารถพิเศษต่างๆต้องละวางลงและมีปณิธานตั้งมั้นว่าถ้าเป็นพระโพธิสัตว์แล้วจะช่วยเหลือสรรพสัตว์กลับคืนสุขาวดีแม้ต้องแลกด้วยชีวิตก็ยอมละสังขารได้ในเมื่อเกิดดอกบัวบานกลางใจมีตัวเองนั่งบนดอกบัวแล้วสำเร็จเป็นโพธิสัตว์แล้วท่านจะต้องเตรียมตัวละสังขารที่เป็นกายมนุษย์นี้ทิ้งทันทีเมื่อใดที่ณานทวารเปิดท่านจะออกจากณานทวารนั้นจนละสังขารกายเนื้อมนุษย์แล้วไปเป็นพระโพธิสัตว์โปรดสรรพสัตว์ในโลกทิพย์


    ศาสดาหลายชีพ

    กษัตริย์หลายชีวัน

    ปราชญ์หลายชีวิต

    อุดมการณ์ชนหลายร่าง

    ถมตนไปในโลกนี้

    ด้วยหวังจะทำให้โลกดีขึ้น

    แต่โลกก็ยังคงเป็นอยู่อย่างที่เป็น

    หมุนไปด้วยอำนาจแห่งตันหา

    พระเจ้าแห่งตันหาคือผู้ยิ่งใหญ่แท้จริงในโลก

    มิมีผู้ใดยับยังอำนาจพระองค์ได้

    นอกจากผู้มีปัญญา

    จึงสามารถปลดปล่อยตัวเอง

    บำเพ็ญธรรมตามทางเดิน

    ละทิ้งเย้าเรือนอยู่ตามป่าเข้าลำเนาไพร

    บำเพ็ญธรรมอย่างสงบ

    ด้วยจิตใจตั้งมั่น

    จนบรรลุธรรม

    ละทิ้งกายสังขาร

    พบพระพุทธองค์แดนสุขาวดี

    ทำหน้าที่เป็นเทพเซียนและโพธิสัตว์

    ชีวิตนี้ช่วยโปรดเหล่าสรรพสัตว์

    ผลประโยชน์ของเหล่าสรรพสัตว์

    เป็นสุขเทพเซียนย่อมเป็นสุขนิจนิรันร์








    พรตพเนจร
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 มิถุนายน 2015
  2. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    ขออนุญาตเสริม ในมุมที่ตัวเองได้เคยมีประสบการณ์มาจากบุคคล
    รอบๆตัวนะครับ..
    เรื่องของบุคคลที่มีปัญหา ส่วนตัวเรียกว่า วิถีญานเปิด หรือ ญานวิถีเปิดนี่หละครับ
    เจอกับดวงจิตที่มีอธิวาสนาบารมีลงมาเกิดด้วยครับ
    กับบุคคลที่เน้นไปทางด้านสัมผัสพิเศษภายใน..
    แต่เป็นการเปิด ก่อนที่ตัวจิตมันคลายตัวได้ เปิดก่อนที่ตัวจิตมันจะโปร่ง..
    มักจะมีปัญหาเหมือนที่คุณเล่าให้ฟังมาเกือบๆทุกคนครับ..และก็ต้องเข้าโรงพยาบาล
    เพื่อรักษาตัวเองอย่างที่เล่าให้ฟังมาเลยครับ...
    เพราะไม่ว่าจะสัมผัสอะไรได้ รับรู้อะไรได้ บุคคลเหล่านี้จะเผลอไปยึด จนกลาย
    มาเป็นตัวเองอย่างที่ไม่รู้ตัว เพราะตัวจิตอาจจะยังมีกำลังสติทางธรรมไม่พอ
    และอาจจะมีกำลังสมาธิสะสมไม่พอร่วมด้วยครับ นอกจากการที่ตัวจิตมันยัง
    ไม่คลายตัวก่อนที่วิถีญานจะเปิดนะครับ...
    แต่ถ้าอาการกลับเป็นปกติได้
    บางครั้งวิถีญานบางอย่างก็ปิดตัวเองลงได้ครับ ถ้าไม่ได้ใช้นะครับ
    ส่วนเรื่องการปฏิบัติในการเป็นเซียนเป็นพระโพธิสัตว์ ก็ตามที่คุณ
    พจพเนจร
    เล่ามาเลยครับ..ส่วนตัวเรียกว่า บุคคลกลุ่มนี้เค้าจะทำงาน
    ทั้งภาคทิพย์และภาคหยาบครับ ปกติภาคทิพย์ทำอะไรอยู่บางที
    ภาคหยาบก็ไม่รู้เรื่องด้วยถือว่าเป็นปกติครับ ก็ต้องมาฝึกสมาธิ
    พอสมควรตามที่คุณเล่าถึงจะเข้าใจได้นั่นหละครับ ส่วนตัวเรียกระบบ
    ภาคทิพย์นี้ว่าเป็นระบบในมิติที่ ๔ ครับ

    ปล.ปัจจุบันกลุ่มที่รู้จักเป็นปกติแล้วครับ ตอนนี้คล่องปรู้ดปร้าดดีครับ
    เรื่องการใช้งานนะครับ..และก็เดินทางสายอย่างที่คุณเล่าให้ฟังอยู่ครับ
     
  3. gratrypa

    gratrypa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2011
    โพสต์:
    1,286
    ค่าพลัง:
    +1,507
    เขียน ๑๕.๕๑

    อืม..เราก็ว่างั้นน่ะนะ
    คนตั้งแยะ ทำยังไงก็ไม่สำเร็จซะที เฮ้อ...อนาถจิต

    ขนาดยอดฝีมือระดับท่านพุทธทาสแล้วน่ะนะ ยังบ่นท้อแท้เลย ว่า
    "สวนโมกข์นี้ สี่สิบปีแล้ว ยังไม่เห็นผลสำเร็จอะไรที่น่าพอใจเลย"
    เคยอ่านเจอในธรรมโฆษณ์ บ่นไว้ประมาณนี้แหละนะ เนอะ

    ก็เป็นที่น่าแปลกใจจัง ว่าทำไมโลกทั้งใบถึงยังไม่เป็นสวรรค์ซะทีน๊า ทำไมทำไม
    เป็นสวรรค์ได้แค่บางที่ บางคน บางถิ่น บางช่วง

    ถ้าใครจะใช้แบบแผนเดิมๆ ก็คงจะไม่สำเร็จต่อไปล่ะมั้ง นะ
    คงต้องใช้จินตนาการ ซึ่งสำคัญกว่าความรู้ มาทดลองอะไรๆ ใหม่ๆ บ้าง หึหึหึ
    "สิ่งที่แตกต่างออกไป ก็ไม่แน่ว่าจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด
    แต่สิ่งที่ดีที่สุดนั้น ต้องแตกต่างออกไปจากธรรมดาแน่นอน เนอะ"


    หรือว่าโลกนี้เป็นของมารจริงๆ ล่ะหว่า ทำไงดีน๊า
    หรือว่าต้องตีซี๊กะมาร จะดีไม๊ เอาชนะไม่ได้ ก็เป็นเพื่อนกะมันซะเลย ๕๕๕
    แล้วค่อยๆ แอบเปลี่ยนสันดานมารซะ ให้มันดีขึ้นทีละนิดละหน่อย เนอะ

    มารเค้าก็คงมีระบบจิตใต้สำนึกล่ะมั้ง นะ เหมือนชาวโลกทั่วไป
    ก็ถ้าอยู่โลกนี้ ก็ต้องมีอะไรๆ เหมือนชาวโลกแน่เลย
    ตีซี๊กะเค้า แล้วทำเนียน ค่อยๆ เจาะระบบจิตใต้สำนึกเข้าไปเล้ย
    เลียนแบบพวกแฮกเกอร์ไง หาช่องเข้าไปข้างในเค้าให้ได้
    แล้วค่อยๆ ย่อง อย่าให้เค้ารู้ตัว ไปเปลี่ยนตรงโน้นตรงนี้ตรงนั้นน่ะนะ เนอะ

    มารน่ะ เห็นเค้าว่าก็เป็นบุตรของพระเจ้าด้วยมิใช่รึ
    แสดงว่าสมัยโน้นก็ต้องเป็นฝ่ายดีสิ ใช่ม๊า
    แต่คงเกิดเหตุผิดพลาดคลาดเคลื่อนอะไรตรงไหนซักอย่าง หรือหลายๆ อย่าง
    ทำให้ต้องกลายเป็นฝ่ายมืด และต้องตกกะไดพลอยโจนเป็นผู้ร้าย
    ชาติแล้วชาติเล่า ได้แต่ก้าวเท้าลงต่ำตลอดตลอด

    แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้วล่ะนะ สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้วจ๊ะ นะจ๊ะ นะจ๊ะ
    เห็นเค้าลือกันว่ามีนักรบแสงแห่งหมู่บ้านในนิทานน่ะนะ
    เค้าบ้าซะไม่มีอ่ะ แต่แสงสว่างเจิดจ้าเชียวล่ะ ขอบอก (ใครบอกวะ ๕๕๕)

    เค้าบ้าพอที่จะเข้าใจมารได้เชียวนะ เจ๋งเป้งเลย
    แล้วยังสามารถมากพอ ที่จะยืนได้ทั้งสองฝ่าย ขาวและดำ
    แบบเต๋าไง รูปหยินหยางซึ่งแสดงออกถึงความสมดุลของจักรวาล
    เริ่มจากเต๋าเต๋อจิง ของท่านเล่าจื้ออ่ะนะ นานมากแล้ว กี่ปีจำไม่ได้

    จนถึงคัมภีร์อี้จิง ที่มีภาพเส้นหกเส้น แสดงถึงการเพิ่มขึ้นและลดลงของหยินและหยาง
    เมื่อนำสมการนั้น ข้ามมิติและเวลามาพบกัน (๕๕๕ เหมือนชื่อหนังเลยแฮะ)
    อาศัยอำนาจแห่งเต๋า ตามกฏของจักรวาล เมื่อมารอยู่ในอำนาจสูงสุด
    ก็ถึงเวลาที่จะลดต่ำลงบ้างแล้ว ล่ะมั้ง นะ ด้วยอำนาจภาพหกเส้นแห่งอี้จิง

    เอ..ชักจะโม้มั่วไปหน่อยแล้วมั้ง นะ ๕๕๕ ชอบออกทะเลประจำเลยเรา หึหึหึ

    เนี่ย ตามอากู๋ไปหลายตลบ จนไปเจอเวบอี้จิงเข้า ที่นี่นะ
    ยังไม่ได้ดูมากหรอก แต่เดาว่า ที่นี่น่าจะเหมาะสมที่สุด ที่ใครจะเข้าไปปวดหัว ๕๕๕
    ไทยโจวอี้ เว็บชุมชนผู้ศึกษาอี้จิง



    พักก่อนดีกว่า เกินสี่โมงครึ่งแล้ว หัวก็เริ่มปวดบ้างแล้ว ๕๕๕ ใช้เซลล์สมองแยะไปหน่อย


    ค้างคาวแห่งแสง / สไตล์ ของไอ

    .
     
  4. พรตพเนจร

    พรตพเนจร Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    16
    ค่าพลัง:
    +77

    คุณ nopphakan พูดถูกส่วนมากแล้วจะเกิดขึ้นกับคนที่มีวาสนาบารมีมาเกิดจึงทำให้ชนเหล่านี้เรียกว่ามีตาทิพย์ หูทิพย์ เกิดขึ้นด้วยตัวเองบางคนแค่สวดมนต์มากๆเท่านั้นก็เกิดขึ้นแล้วเพราะบุญวาสนาบารมีเก่าๆที่ทำคุณงามความดีสร้างความดีไว้จึงทำให้มีตาทิพย์ หูทิพย์ แต่กรณีนี้พวกเค้าเห็นแบบตาเนื้อและได้ยินผ่านหูคล้ายๆเสียงกระซิบบางคนควบคุมไม่ได้เกรงกลัวในสิ่งที่เห็นในสิ่งที่ได้ยินจึงทำให้ควบคุมไม่ได้ต้องหาอาจารย์ที่มีความรู้และผ่านเรื่องแบบนี้มาสอนเท่านั้นถ้าชนเหล่านี้เค้าเข้าใจถ่องแท้ก็สามารถที่จะควบคุมได้ การที่นักปฏิบัติธรรมกรณีนี้เกิดขึ้นได้ทุกคนดังที่พรตพเนจรเล่าไปข้างต้น คือ เอาง่ายๆทุกสิ่งทุกอย่างมันอยู่รอบๆตัวเรานี้แหละเหมือนหยินกับหยางความดีความชั่ว สำเร็จธรรมและไม่สำเร็จ คนที่ปฏิบัติธรรมแรกๆก็ตั้งใจมุ้งมั่นสู่การหลุดพ้นตั้งใจเอาเป็นเอาตายเลยที่เดียวปฏิบัติมาเป็นเวลานานเพื่อดูจิตตัวเองพอมันเริ่มที่จะเข้าไกล้อริยะ ความที่เป็นมารมักเห็นคนปฏิบัติแล้วไกล้ๆจะพ้นจากอำนาจของตัวเองนั้นคือกามพยายามจะลดหรือละกามได้มารมันเห็นว่าคนๆนี้จะหนีจากมันไปแล้วไปเป็น อริยะ เทพ เซียน พระโพธิสัตว์ หรือแม้กระทั่งสำเร็จ ยูไล มารเหล่านี้เห็นจึงเอาฤทธิ์เดชมาให้โดยบอกว่าถ้าฟังเสียงกระซิบนี้จะทำให้ล่วงรู้ทุกอย่าง ถ้ามีตาทิพย์จะสามารถเห็นสิ่งสวยงามบนสวรรค์ ข้อนี้แหละที่นักปฏิบัติหลงทางกันเสียก่อนทั้งๆที่จะได้เป็น อริยะ เทพ เซียน โพธิสัตว์ แม้กระทั่ง ยูไล หนักๆเข้าตั้งตนเป็นใหญ่เป็นหมอดูละทิ้งมรรคผลที่จะปฏิบัติตามเดินไปเป็นผู้วิเศษรอบรู้ชีวิตและกรรมคนอื่นๆดูกรรมมามากมายแต่นักปฏิบัติกลับดูกรรมของตัวเองไม่ได้น่าเวทนายิ่งนัก พอมารู้ตัวอีกที่อยากที่จะหนีออกจากหนทางที่ไม่ใช่ทางเดินสู่การหลุดพ้นกลับถูกมารหลอกล่อแสดงให้เห็นภาพแสดงให้เห็นสิ่งที่น่ากลัวจนกระทั่งบางรายกลัวถึงกับต้องฆ่าตัวตายแม้กระทั่งเป็นบ้าก็มีให้เห็นมาแล้วหลายรายเพราะฉะนั้นพรตพเนจรจึงเตื่อนเพื่อนๆทุกๆคนว่าก่อนเคยตั้งใจไว้ว่าจะทำอะไรอย่าหลงทาง พรตพเนจรเองไม่ได้เป็นผู้วิเศษมาจากใหนเพียงแต่แค่อยากให้คนที่หลงทางได้รู้ได้เห็นในหนทางที่แท้จริง พรตพเนจรคือผู้ลึกลับไม่มีตัวตนอยู่จริงๆ




    ที่สุดมรรคคือสัมมาสมาธิ

    ด้วยสัมมาสมาธิจึงเกิดผลคือสัมมาญาณะ

    ด้วยสัมมาญาณะจึงเข้าถึงสัมมาวิมุติ

    สัมมาสมาธิคือสุดถนน

    สุดถนนก็ขึ้นบ้านได้ได้แก่สัมมาญาณ

    เมื่อขึ้นบ้านแล้วก็เข้าห้องต่างๆได้คือสัมมาวิมุติ

    นั้นแหละคือบ้านที่แท้แห่งพระอริยะชน

    คนจำนวนมากเดินไม่สุดถนนจึงไม่ถึงบ้านคือสัมมาญาณะ

    บ้างก็ค้างคาอยู่ที่สัมมาวาจากลายเป็นนักเทศน์ผู้อวดรู้ไป

    บ้างก็ค้างคาอยู่ที่สัมมาสติกลายเป็นนักกำหนดรู้ไป

    บ้างก็ค้างคาอยู่ที่สัมมาสมาธิ เป็นผู้แช่อยู่ในฌานจมจิตตนเองไป

    ทั้งหมดทั้งมวลนี้จึงค้างคาอยู่บนมรรคถนนหนทางหาได้เสวยผลแห่งมรรคไม่

    ดังนั้นเหล่าชนต้องดำเนินให้สุดมรรค

    แล้วทะลุมรรคเข้าถึงผล คือ ญาน วิมุติ และอริยะ

    จะได้เข้าสู่บ้าน (ผล) กันเสียที่





    พรตพเนจร
     
  5. พรตพเนจร

    พรตพเนจร Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    16
    ค่าพลัง:
    +77
    gratrypa พรตพเนจร รู้ว่าแบบท่านคงชอบแบบแนวโล้ดโพน พรตพเนจรเองจะเขียน คัมภีร์ยุทธิ์ให้ หวังว่าคงเป็นที่น่าสนใจ เพราะคัมภีร์ยุทธิ์ จะเขียนและเข้าใจได้ก็มีแต่นักพรตเต๋าเท่านั้นเพราะรู้จักใช้คัมภีร์เต้าเต้อจิงมาเป็นกระบวนท่า อย่างเช่นทางพุทธมหายานท่านต๊กม้อท่านได้มียุทธิ์ บวกกับฤทธิ์อภิญญาจึงสามารถทำปาฏีหารย์ได้จีนทางเหมาซานก็ยังคงมีฝึกยุทธ์กันอยู่ แต่คงฝึกบ้านเราไม่ได้ละเพราะมีปืนแล้วยุคสมัยมันเปลียนไปละถ้าจะมียุทธ์ก็คงไม่ไหว ขำเล่นๆนะท่าน gratrypa
     

แชร์หน้านี้

Loading...