รหัสกรรม รหัสผัสสะ

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย rinnn, 10 พฤศจิกายน 2006.

  1. rinnn

    rinnn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    7,666
    ค่าพลัง:
    +24,025
    ( บทความนี้คัดลอกจาก หนังสือ เจาะรหัสกรรม เป็นการสนทนาธรรมกันระหว่าง พระอาจารย์วัลลภ ชวนปัญโญ และ สนธิ ลิ้มทองกุล )

    สนธิ : ใครเป็นผู้กำหนดรหัสนี้
    แล้วรหัสนี้มันเข้าไปได้อย่างไร
    พระอาจารย์วัลลภ : เจริญพร รหัสนี้ไม่มีใครกำหนด แต่มันเกิดจากกระบวนการของมันเอง เป็นไปโดยธรรมชาติ เพราะข้อเท็จจริงมีอยู่ว่า วินาทีนี้ทำดี วินาทีนี้ทำชั่ว ทำดีทำชั่วจนเกิดเป็นโค้ดขึ้นมาเอง
    สนธิ : คล้ายๆอย่างนี้ได้ไหมครับพระอาจารย์พวกเราแต่ละคนจะมีแคชเชียร์ห้างสรรพสินค้าประจำตัว คอยเอาของกดลงไปว่านี่บาปนี่บุญ ลงไปในศูนย์คอมพิวเตอร์ของจักรวาล
    พระอาจารย์วัลลภ : มีการบันทึก แต่ว่าแหล่งบันทึกข้อมูลไม่มีเท่านั้นเอง แปลกอย่าง พอเราจะไปหาในเชิงรูปธรรมว่าจักรวาล ส่วนไหนหนอที่มันเป็นฐานข้อมูลเก็บเรื่องกฏแห่งกรรมของมนุษย์ เราไปหาไม่ได้ มันไม่มี มันเป็นกระบวนการธรรมชาติว่า ณ วินาทีนี้ที่มีเจตนาด่า ณ วินาทีนี้มีเจตนาฆ่าสัตว์ เดี๋ยวในอนาคต มันจะเกิดผัสสะประเภทถูกด่าถูกทำร้ายมันจะเกิดขึ้นเอง เป็นจักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ กายวิญญาณ
    คำว่าวิญญาณ หมายความว่า รู้อารมณ์ทางตา รู้อารมณ์ทางหู รู้อารมณ์ทางกาย วันนี้ด่า วันหน้าก็ต้องไปรู้อารมณ์ของการถูกด่า วันนี้ตี ก็ต้องไปรู้อารมณ์เจ็บตัววันข้างหน้า มันเป็นโปรแกรมว่าจะต้องเกิดการรู้อารมณ์ที่ไม่ดี ผลของกรรมจะออกมาในลักษณะอย่างนี้ ในฐานะชาวพุทธเราคิดกันเสมอว่า ทำกรรมแล้วต้องได้ผลกรรม มีคำถามที่ถามกันเสมอว่า กรรมให้ผลในรูปลักษณะแบบไหน
    ลักษณะแรก กรรมให้ผลในรูปลักษณะของผัสสะ รู้อารมณ์ทางตา รู้อารมณ์ทางหู รู้อารมณ์ทางจมูก รู้อารมณ์ทางลิ้น รู้อารมณ์ทางกาย 5 ทวาร เว้นมโนทวารเสีย เพราะ มโนทวารเป็นตัวทำกรรม ปัญจทวารเป็นผู้รับผล เป็นผัสสะดีบ้างไม่ดีบ้าง ถ้าพูดคำว่าผัสสะเมื่อไหรแปลว่าต้องมีการรู้อารมณ์จริงไหม
    ผัสสะแปลว่ากระทบ ชนิดของผัสสะที่มากระทบมีดีและไม่ดี ถ้าดีก็มีความสุข ถ้าไม่ดีก็มีความทุกข์ เราจึงรู้อารมณ์ที่ดีบ้างไม่ดีบ้าง ตามเหตุที่เราทำมา มันเป็นโค้ดเลย ขึ้นเป็นรหัสเลย ในบรรดาผัสสะที่ระดมมาทางปัญจทวารนี้ มันมาอย่างมีรหัสเหมือนคนเล่นเปียโนหรือเล่นดนตรี เขาพรมนิ้วลงไป มันมีรหัสในการพรม มันจึงออกมาเป็นเพลงนั้นๆ เพราะฉะนั้นในโลกนี้มีเพลงหลายๆล้านเพลง ฉันใดก็ฉันนั้น
    ปัจจุบันมีมนุษย์ 6000 ล้านคน ปัญจทวารของเขามีผัสสะพรมมา 6000 ล้านรหัส ไม่เหมือนกันเลย ขนาดสามีภรรยาอยู่บ้านเดียวกัน ยังเป็นไปไม่ได้ที่รู้ผัสสะชนิดเดียวกันประเภทเดียวกัน หรือมีน้ำหนักแห่งผัสสะเท่ากันตั้งแต่เกิดจนตายเหมือนกันเป๊ะ เป็นไปไม่ได้ มันจะต้องมีเวลาที่จะรู้ไม่เหมือนกัน
    หลายคนอาจจะบอกว่า งั้นกฏแห่งกรรมไม่เห็นน่ากลัวเลย มันไม่น่ากลัวหรอกสำหรับคนทำบุญมามาก ยิ่งทำบุญเยอะ ผัสสะเยอะยิ่งน่าชื่นใจ ได้กลิ่นหอมๆ เสียงเพราะๆ รสอร่อย เกิดแล้วเพราะบุญเลยไม่น่ากลัว
    แต่ถ้าท่านทำบาปมาผัสสะน่ากลัวนะ รถชน โดนมีด หอก แหลน หลาว โดนกระสุนปืน คลื่นสึนามิยังใช่เลย นั่งอยู่ดีๆมาจากไหนไม่รู้ ผัสสะอย่างแรงถึงตาย ผัสสะอ่อนลงมาก็บาดเจ็บ ผัสสะที่เบาลงไปก็แค่ทำความรำคาญ
    สนธิ : พระอาจารย์พูดถึงคลื่นสึนามิ เราจะอธิบายเรื่องกฏแห่งกรรมได้ไหมว่า คนมาจากทั่วโลก ไม่รู้จักกันมาก่อนแล้วมาตายในที่เดียวกัน เป็นกรรมที่เคยทำร่วมกันมาก่อนรึเปล่า
    พระอาจารย์วัลลภ : เป็น 2 กรณี 1. เวลาทำ ชวนกันทำในเหตุกาณ์เดียวกันก็มีเช่น สมัยก่อนชวนกันทำสงคราม ชวนกันมาฆ่าฟันกันเป็นล้านๆ โอกาสรับผลอาจรับในสถานกาณ์เดียวกันก็ได้
    2.แม้ไม่ได้ทำกรรมตัวเดียวกัน แต่พร้อมกันทั่วทุกมุมโลก คาดว่าวินาทีนี้คาดว่ามีคนฆ่าสัตว์พร้อมกัน กินเหล้าพร้อมกันทั่วโลกไม่ต่ำกว่าล้านคน ล้านหนึ่งยังน้อยไป คนที่กำลังลงมือฆ่าในวินาทีเดียวกัน พวกนี้มีโอกาสไปรับกรรมในสถานการณ์เดียวกัน
    มนุษย์มีหลายเผ่าพันธ์ แต่ถ้าทำกรรมประเภทฆ่าสัตว์แล้ว มีโทษเสมอกัน แม้ว่าจะทำกันทั่วโลกต่างมุมต่างประเทศ ต่างเหตุการณ์ แต่เวลาตายแล้วไปตกนรก ตกกระทะทองแดงที่เดียวกัน ขุมนรกเดียวกัน โอกาสยังงี้รับผลเหมือนกัน
    คนทั้งหลายชอบคิดว่า ผลกรรมมาในรูปลาภ ยศ ชื่อเสียง เงินทอง อำนาจ วาสนา แท้ที่จริงสิ่งเหล่านี้ ท่านรับรู้ผ่านทางปัญจทวารจริงไหม ท่านจะรู้ว่าท่านรวยก็ผ่านปัญจทวาร รู้ว่ามีคนนับถือท่านก็ผ่านปัญจทวารนี่แหละ
    ปัญจทวารก็คือการสัมผัสทางตาเป็นรูป รสก็ลิ้น กลิ่นก็จมูก เสียงก็หู ทางกายก็เย็นร้อนอ่อนแข็ง
    เราก็รับผลอย่างเป็นรหัสผัสสะ วิจิตรมาก เราไม่รู้ว่าวินาทีหนึ่งเราจะผัสสะกับอะไรบ้าง มีคำถามว่ามันโปรแกรมไว้ตายตัวตั้งแต่วันแรกืที่เกิดมาหรือว่าจะต้องรับผัสสะอย่างไร
    ตอบว่าเปล่า เคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงได้ ขึ้นอยู่กับสิ่งที่เราทำในปัจจุบันนี้ กรรมใหม่กับกรรมเก่าจะร่วมกันออกแบบรหัสว่าวินาทีไหนจะรับผลโดยผัสสะอะไร การทำกรรมปัจจุบันจึงสำคัญมาก


    <!-- End main-->




    ทางม้าลายของบุญและบาป
    <!-- Main -->( บทความนี้คัดลอกจาก หนังสือ เจาะรหัสกรรม เป็นการสนทนาธรรมกันระหว่าง พระอาจารย์วัลลภ ชวนปัญโญ และ สนธิ ลิ้มทองกุล )

    พระอาจารย์วัลลภ : ขอบเขตและความหมายของคำว่า “กรรม”จึงหมายถึงเจตนาทางใจ ที่ไปทำทั้งดีและชั่ว เวลาทำกรรม เราทำอย่างเป็นรหัส
    ยกตัวอย่าง ใครคนหนึ่งตื่นนอนขึ้นมาตอน 6 โมงเช้า หุงข้าวไปใส่บาตรตอน 6 โมงครึ่ง แล้วกลับมาหาข้าวให้พ่อแม่รับประทานตอน 6 โมง 45 นาที อาบน้ำแต่งตัวไปทำงาน เปิดประตูออกไปเจอหมานอนขวางทางอยู่ มิหนำซ้ำกัดรองเท้าอีกต่างหาก เลยเตะหมาตอน 7 โมง ไปขึ้นรถเมล์ นั่งไปสักพัก คนแก่ขึ้นมาไม่มีที่นั่งเลยสละที่ให้คนแก่นั่งตอน 7 โมง 15 นาที ยืนไปสักพักมีคนมาเหยียบเท้าเลยด่าไปตอน 7 โมงครึ่ง
    มนุษย์เราก็อย่างนี้ทำดีทำชั่วสลับกัน ไม่มีใครเลยทำดีอย่างเดียวตลอดเวลา ไม่มีใครทำชั่วตลอดเวลา แต่ถ้าเป็นอริยบุคคลขึ้นไป โอกาสที่จะทำชั่วแทบจะไม่มี เพราะฉลาดมาก ฉลาดที่จะเว้นสิ่งที่ควรเว้น ฉลาดที่จะทำสิ่งที่ควรทำ
    อกุศลกรรมมีไหม สำหรับโสดาบัน ตอบว่ามี แต่เป็นอกุศลกรรมที่ไม่ไปอบาย ส่วนปุถุชนมีอกุศลกรรมอย่างหยาบที่ไปอบายได้
    ทีนี้ ถ้าเราเอาตัวอย่างของคนที่ว่าเมื่อครู่มาทำเป็นกราฟให้ดู มันจะได้หน้าตาแบบนี้
    เลข 1-12 แทนค่าบุญและบาป เลขยิ่งสูงมากบุญยิ่งมาก เลขยิ่งต่ำ บาปยิ่งแรง อย่างเราเข้าวิปัสสนากรรมฐานเลขสูงสุด 12
    พอตื่นมา 6 โมงเช้า จะเรียกว่าทำบุญก็ไม่ใช่ ทำบาปก็ไม่เชิง ตื่นใหม่ๆยังไม่มีบุญบาปเกิดขึ้นมากนัก ก็จุดไปที่เลข 6 กลางๆ คำว่ากลางๆ ในที่นี้ หมายความว่าบุญบาปไม่ปรากฏชัด
    แต่กรรมกลางๆไม่บุญไม่บาปไม่มีในโลก จะต้องเป็นกุศลหรืออกุศล อย่างใดอย่างหนึ่งเสมอ
    ผู้ที่จะทำอะไรแล้ว เป็นกรรมกลางๆไม่บุญไม่บาปมีอยู่พวกเดียวเท่านั้นคือพระอรหันต์ ทำอะไรแล้วเป็นกิริยา พูดอะไรแล้วเป็นกริยาล้วน กลับมาจุดที่เลข 6 ตื่นมาใส่บาตรจุดไปที่เลข 8 ทำข้าวให้พ่อแม่รับประทานขึ้นไปที่เลข 10 เพราะพ่อแม่เป็นอรหันต์ของลูก ท่านทั้งหลายอยากทำบุญให้มีอานิสงค์มาก ให้ทำกับ พ่อ แม่ นี่แหละสูงสุด
    อย่างกับพระที่เดินไปเดินมา ท่านทำบุญด้วยเท่าไรก็แล้วแต่ อานิสงค์ไม่เท่ากับพ่อแม่ ถ้าจะให้เท่ากับพ่อแม่ พระนั้นต้องเป็นอรหันต์ด้วย จะได้บุญเท่ากัน เพราะฉะนนั้นบุคคลทุกคนมีอรหันต์สองอยู่ที่บ้าน ห้ามล่วงเกิน ห้ามทำร้ายน้ำใจ ห้ามทำให้ท่านมีความทุกข์ เดี๋ยวบาปจะหนัก แต่ควรทำนุบำรุงเอาใจใส่ดูแลให้สุดความสามารถของเรา
    ต่อไปเตะหมา กราฟร่วงลงมาแล้ว สละที่นั่งให้เขานั่ง กราฟขึ้นมาหน่อย ไปด่าเขาร่วงอีกแล้ว ไปที่ทำงาน เขาชวนคอรัปชั่นเอากะเขาหน่อย กราฟก็ลงมาอีก จะมีลักษณะอย่างนี้
    แท่งยิ่งหนาบุญยิ่งมาก แท่งยิ่งผอมบางบาปยิ่งมาก เราไม่ได้ดูเป็นภาพว่า แดงๆขาวๆไม่ใช่ มันอ่านค่าได้ว่า บุญ บุญ บาป บาป บุญ บาป บาป มันแสดงได้เป็นบาร์โค้ดเลยทีเดียว
    เรามองเป็นตัวเลขก็ได้ 6 8 10 5 7 4 2 เวลานี้ไม่ใช่แค่ตัวเลขแล้ว มันอ่านค่าบุญและบาปได้ บุญ บุญ บุญ บาป บุญ บาป บาป ขึ้นเป็นรหัสอย่างนี้ ที่สำคัญก็คือว่า ไม่ได้มีเท่านี้ มากเหลือเกิน ไม่รู้จบ ตัวเลขชุดนี้เป็นเพียงตัวอย่างคร่าวๆ แต่ที่ทำก่อนหน้านี้ในสังสารวัฎ เราทำกรรมนับไม่ถ้วน
    สนธิ : ทั้งหมดนี้เป็นการกระทำ 7 ครั้ง ตั้งแต่เช้าถึงเย็น ผมบวกตัวเลขแล้วได้ 42 หาร 7 เท่ากับ 6 ถือได้ไหมครับว่าคือกลางๆ เฉลี่ยทั้งบุญ ทั้งบาป ตลอดทั้งวันเท่ากับ 6 หักลบ บุญกับบาปได้ไหมครับ
    พระอาจารย์วัลลภ : ไม่ได้ บาปส่วนบาป บุญส่วนบุญ ต่างคนต่างใช้ แต่คนละขณะ คนละวาระกัน คนเดียวกันนี่แหละ บางวันคนชมแต่เช้า พอสายหน่อยถูกดุ พอบ่ายไปเจอเงินตกไว้เก็บไปคืน ตกเย็นไปเสียม้าอีก อะไรอย่างนี้ จะสลับกัน
    เพราะฉะนั้น บุญบาปจะให้ผลสลับกันเสมอ ชีวิตเราจึงเผชิญสุข เผชิญทุกข์ สลับเปลี่ยนเวียนวน เพราะตอนที่เราทำเหตุ เราก็ทำดีบ้างไม่ดีบ้างสลับกันไป
    ถ้าเราทำดีตลอดเวลา เราจะพบกับความสุขตลอดเวลา การเรียนรู้เรื่องรหัสกรรม หรือกฏแห่งกรรมเพื่อจะดูแลตัวเองให้เป็นกุศลเข้าไว้ให้มากที่สุด แล้วไม่หวังว่าจะได้ตลอดเวลาเพราะเป็นไปไม่ได้ แต่ให้มากที่สุด เวลาผลที่ได้รับจะได้เป็นสุขที่ต่อเนื่องหน่อย ดีหน่อย จะเป็นอย่างนั้น สมมติว่าบาร์โค้ดเปรียบเหมือนทางม้าลาย ทางม้าลายของแต่ละคนยาวมาก มันสามารถพันรอบโลกได้แสนโกฏิล้านรอบยกกำลังแสนโกฏิล้านรอบแล้วยังไม่รู้จบต่อไป เราทำกรรมกันมากมายมหาศาล ถามว่าทำไมเราไม่หยุดทำกรรมเสียที ตอบว่า หยุดไม่ได้ เพราะอยากทำ
    สนธิ : รวมถึงชาติก่อนด้วยหรือเปล่าครับ
    พระอาจารย์วัลลภ : รวมถึงชาติก่อนด้วย
    สนธิ : ทุกๆภพชาติเลยหรือครับ
    พระอาจารย์วัลลภ : เป็นกระบวนการที่ต่อเนื่อง ความจริงแล้ว โดยข้อเท็จจริงเป็นขณะวินาทีที่เราพูดเราทำอยู่ตลอดเวลาเดี๋ยวก็อยากทำ เดี๋ยวก็อยากพูด มีแต่ปัจจุบันเท่านั้นที่มีอยู่จริงและเกิดอยู่จริง อดีตไม่มีอยู่จริง แต่เรานึกโยงเอาว่าเคยมี เหมือนเราเหยียบเท้าเข้ามาเมื่อเช้าก้าวแรก เราก็ไปนึกโยงเอาว่ามีเมื่อเช้านี้ ความจริงมันมีเมื่อเราไปนึกถึงมัน ถ้าไม่นึกถึงมัน มันก็ไม่มีเลยจริงไหม
    วาระที่เราไปนึกถึง ขณะนั้นมันเป็นปัจจุบันธรรมทางมโนธรรมทวารแล้ว อดีตถึงไม่มีจริง เป็นสัญญาขันธ์ที่เกิดเดี๋ยวนี้ นึกถึงก้าวแรกที่เหยียบเท้าเข้ามาในห้องนี้ พอบอกให้นึกมันก็มีแล้ว ขณะที่มีมันเป็นปัจจุบันอีกแล้ว มีเดี๋ยวนี้ นึกออกไหม มันจึงไม่เคยมีอดีตมาก่อน ขันธ์ห้าจึงมีแต่ปัจจุบันเดี๋ยวนี้ กรรมจึงมีแต่ปัจจุบันเดี๋ยวนี้ เพราะอยากทำอยู่ตลอดเวลา อยากพูดอยู่ตลอดเวลา ทำไมไม่หยุดพูดหยุดทำ มันหยุดไม่ได้ เพราะมันอยาก มีแต่อรหันต์เท่านั้นที่ทำแล้วไม่เป็นกรรม
    อะไรเป็นเหตุให้เราอยากพูดอยากทำเล่า “กิเลส” นั่นเอง แม้อยากทำบุญก็ถือว่าอยาก กรรมใหม่ๆ จึงเกิดอยู่ทุกวินาที ดีบ้างไม่ดีบ้างเป็นรหัส ตัวเลขสูงบ้างต่ำบ้าง ทุกวินาทีจึงมีกรรมใหม่เกิดขึ้น
    โดยมนุษย์สามัญทั่วไป มักจะทำกรรมที่ไม่มี น้ำหนัก เป็นบุญหรือบาปมาก เป็นเรื่องมโนสาเร่ อาบน้ำอาบท่า กินข้าวกินปลา ขึ้นรถ เล่นคอมพิวเตอร์ กรรมพวกนี้สูญหายในสังสารวัฏไม่ส่งผลเสียเป็นอันมาก แต่พอเราอาบน้ำอาบท่า กินข้าวกินปลา ทำโน่นทำนี่เดี๋ยวมันก็หลุดไปทำกรรมที่มีน้ำหนักอีกจนได้ เผลไปสักหน่อยก็ทำกรรมมีน้ำหนักแล้ว ไม่บุญก็บาปเราจึงต้องระวัง ถ้าเป็นน้ำหนักในบาปให้ระวัง ถ้าเป็นน้ำหนักในบุญทุ่มหมดหน้าตักเลย
    <!-- End main-->

    [SIZE=-1]
    [/SIZE]<!-- End main-->
     

แชร์หน้านี้

Loading...