เรื่องเด่น มส.แนะธรรมนิเทศต้องผลิตสื่อมวลชนของสงฆ์

ในห้อง 'ข่าวพุทธศาสนา' ตั้งกระทู้โดย โพธิสัตว์ ชาวพุทธ, 4 กันยายน 2017.

  1. โพธิสัตว์ ชาวพุทธ

    โพธิสัตว์ ชาวพุทธ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2017
    โพสต์:
    5,297
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,273
    ค่าพลัง:
    +9,529

    มส.แนะธรรมนิเทศต้องผลิตสื่อมวลชนของสงฆ์
    วันจันทร์ ที่ 04 กันยายน พ.ศ. 2560, 14.04 น.

    มส. แนะบัณฑิตศึกษาในยุคไทยแลนด์ 4.0 ต้องเน้นงานวิจัยที่มีนวัตกรรมอย่าเป็นผีเสื้อพิการ ชี้พระพุทธเจ้าเป็นนักก่อตั้งเป็นประดิษฐกรรม ขณะที่ธรรมนิเทศต้องผลิตสื่อมวลชนของสงฆ์ เหตุจุดอ่อนด้านการเผยแผ่เพราะขาดธรรมนิเทศศาสตร์

    e0b8a3e0b8a3e0b8a1e0b899e0b8b4e0b980e0b897e0b8a8e0b895e0b989e0b8ade0b887e0b89ce0b8a5e0b8b4e0b895.jpg

    วันที่ 4 ก.ย.2560 พระพรหมบัณฑิต,ศ.ดร. กรรมการมหาเถรสมาคม (มส.) ราชบัณฑิตกิตติมศักดิ์, อัคคมหาบัณฑิต กรรมการมหาเถรสมาคม อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย(มจร) เจ้าคณะภาค 2 เจ้าอาวาสวัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร บรรยายเรื่อง”บัณฑิตศึกษาในยุคไทยแลนด์ 4.0 ” ในงานสัมมนาทางวิชาการระดับบัณฑิตศึกษา มจร สาขาพระพุทธศาสนา สาขาปรัชญา สาขาธรรมนิเทศ มหาจุฬา ซึ่งเป็นการแลกเปลี่ยนรู้ทางวิชาการระหว่างนิสิตกับอาจารย์บัณฑิตวิทยาลัย

    พระพรหมบัณฑิต กล่าวว่า สัมมนาวิชาการถือว่าเป็นหัวใจสำคัญในการเรียนบัณฑิตเป็นช่องทางการทำวิทยานิพนธ์ของนิสิต เพราะมีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ มหาจุฬาได้เปรียบเพราะมีนักปราชญ์ทั่วโลกด้านศาสนามามหาจุฬาบ่อยๆ เพราะเป็นมหาจุฬาเป็นสมาคมพระพุทธศาสนาโลก และวิสาขบูชาโลก มีผู้คนระดับโลกในด้านศาสนาต้องการมาพบปะสนทนากับนิสิตมหาจุฬา เราต้องเชิญผู้ทรงคุณวุฒิระดับโลกมาเพื่อแลกเปลี่ยน ถึงจะมีบรรยากาศในการเรียนรู้ มหาจุฬาได้เปรียบด้านภูมิศาสตร์ จะมีนักปราชญ์แวะเวียนมาบ่อย เหมือนให้อาจารย์พิเศษมาพบนิสิต ถือว่าเราใช้โอกาสน้อยในการเชิญผู้ทรงระดับโลกมาร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เพื่อนำมาวิเคราะห์ต่อยอดงานวิทยานิพนธ์

    บัณฑิตศึกษาในยุคไทยแลนด์ 4.0 บัณฑิตศึกษาจะตอบโจทย์นี้อย่างไร ? เพราะการเรียนในระดับปริญญาโท เอก ต้องทันกับเหตุการณ์ปัจจุบัน เป็นการเรียนแบบบูรณาการ เชื่อมโยงกับศาสตร์สมัยใหม่เพื่อพัฒนาจิตใจและสังคม การขับเคลื่อนประเทศใช้ไทยแลนด์ 4.0 การเรียนระดับบัณฑิตต้องนำงานวิจัยที่เราทำไปขับเคลื่อนสังคม ทำงานวิจัยเสร็จต้องนำไปใช้ได้จริง อย่าเป็นวิจัยแค่ขึ้นหิ้ง เรามีจุดแข็งอะไร เราถนัดอะไร จะมีผลต่อชีวิตเราไหมในอนาคต มีผลกระทบต่อสังคมไหม เพราะการทำวิทยานิพนธ์ต้องทำตัวเหมือนดักแด้ก่อนจะเป็นผีเสื้อ มี 4 ขั้นตอน คือ วางไข่ หนอน ดักแด้ โบยบินเป็นผีเสื้อ สร้างโลกด้วยการผสมเกสร เราเรียนปริญญาตรีเหมือนหนอน เก็บข้อมูล ส่วนการเรียนปริญญาโทเอก เหมือนผีเสื้อเป็นความรู้ตกผลึก อาจารย์ที่ปรึกษาช่วยพอประมาณ ให้ผีเสื้อบินได้เอง จบออกมาต้องเป็นผีเสื้อสมบูรณ์ แต่ถ้าที่ปรึกษาเขียนให้เกินหน้าที่ เราจะได้ ” ผีเสื้อพิการ ” ไม่สามารถบินได้ด้วยตนเอง อาจารย์ที่ปรึกษาต้องโหด โขก สับทางวิชาการให้ตึกผลึก แต่ต้องเป็นกัลยาณมิตร

    ไทยแลนด์ 4.0 เกิดมาจาก World Bank ในพ.ศ.2554 ธนาคารโลก กลุ่มเศรษฐกิจโลกได้จัดอันดับประเทศไทยอยู่ในกลุ่มประเทศมีรายได้ปานกลางระดับสูง ( Upper – middle – income group ) ไทยมีแผนพัฒนาประเทศ 20 ปี จะพัฒนาประเทศมีรายได้สูง ไปถึงแน่ถ้าคนไทยไม่ทะเลาะกัน ไม่ขัดแย้งกันเหมือนในปัจจุบัน โมเดลไทยแลนด์ 4.0 คือ เกษตรกรรม อุตสาหกรรมเบา อุตสาหกรรมหนัก และนวัตกรรม เราจะทำอย่างไร ? ถึงจะไม่ติดในกับดัก ในการพัฒนา และสามารถเป็นไทยแลนด์ 4.0 ทุกอย่างย่อมมีกับดักของชีวิต กำลังทำงานสื่ออย่างดี อนาคตกำลังรุ่ง แต่ตอนนี้อยู่ในคุก เรียนบัณฑิตต้องทราบบริบทสังคม คำถามบัณฑิตวิทยาลัยจะไปสู่ไทยแลนด์ 4.0อย่างไร อะไรคือกับดักในทางพระพุทธศาสนา งานวิจัยของเราต้องช่วยคนในมิติใดมิติหนึ่ง งานวิจัยบัณฑิตวิทยาลัยต้องสามารถจัดการกับกำดักของสังคม เราในฐานะบัณฑิตศึกษาจะเอาธรรมะหรืองานวิจัยอะไรไปช่วยสังคม ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทราบว่าคนไทยมีกับดักชีวิต จึงมีแนวคิดด้านปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงให้คนไทยปฏิบัติเพื่อความสุขของชีวิต

    ในเรื่องของThai Economy 4.0 เราจะ “ทำมากแต่ได้น้อย ทำน้อยแต่ได้มาก ” เรียกว่า more for loss หรือ less for more ภูฏานทำงานได้เงินน้อยแต่มีความสุข ส่วนไทยทำงานหนักแต่ได้เงินน้อยเพราะคนไทยเป็นลูกน้อง ประเทศที่พัฒนาแล้วจะเป็นผู้จัดการ ด้วยการใช้สมองและเป็นเจ้าของกิจการ ทำงานเบาแต่ได้เงินมาก คนที่รวยที่สุดในโลกอยู่ที่สหรัฐอเมริกา คือ บิลเกต ถามว่าบิลเกตทำงานอะไร เพราะใช้สมอง ? รวมถึงสติปจ๊อปได้เงินมหาศาล รวมถึงซัมซุงของเกาหลีตอนนี้โน้ต 8 เตรียมออกแล้ว เตรียมกอบโกยเงินมหาศาล แล้วงานวิจัยบัณฑิตวิทยาลัยเราจะทำอย่างไร?เรียนจบมหาจุฬาต้องเป็นเจ้าอาวาสอย่าไปเป็นแค่ลูกวัดเท่านั้น เจ้าอาวาสใช้สมองในการบริหาร ถ้าพระลูกต้องใช้แรงงาน

    เครื่องมือสำคัญจะไปสู่ 4.0 คือ นวัตกรรม งานวิจัยของบัณฑิตวิทยาลัยมีนวัตกรรมอะไรบ้าง ? ให้สอดรับกับยุคไทยเเลนด์ 4.0 สมัยอธิการเรียนปริญญาเอก มีความลำบากมาก เพราะมีเงื่อนไขมาก เช่น จะทำวิทยานิพนธ์เรื่องนี้ จะต้องมีหนังสือเล่มนี้ อาจารย์ที่ปรึกษาบังคับว่าต้องมีหนังสือเล่มนี้ ถึงจะสามารถทำวิทยานิพนธ์ได้ ในสมัยอดีตเทคโนโลยีไม่ทันสมัยค้นคว้าลำบากมาก แต่ปัจจุบันเรามีเทคโนโลยีช่วยแต่นิสิตก็ยังเรียนไม่จบ บัณฑิตวิทยาลัยต้องไปหาคำตอบ เพราะอะไร ? ทำไมต้องทำวิจัยเรื่องยากๆ เพราะเป็นการวางแผนระยะยาวเพื่อนำมาใช้ในปัจจุบัน ยิ่งเรียนยิ่งสนุก โดยเฉพาะภาษาฝรั่งเศล มีการเชื่อมภาษาบาลี เหมือนเวลาทำงานต้องเชื่อมระหว่างวิชาการกับปฏิบัติ เช่น เมื่อเป็นเจ้าอาวาสบริหารแล้ว มักจะไม่เทศน์ ไม่เขียน ถ้ามาเรียนมหาจุฬาถ้าบริหารวัดยังแย่อยู่ ไม่ต้องมาเรียน มาเรียนมหาจุฬาต้องบริหารวัดตนเองให้ดี อย่าแยกการบริหารและงานวิชาการออกจากกัน เราต้องบริหารด้วยสมองจึงจะพัฒนา อย่าแยกออกจากกัน จะทำได้ต้องมี ” นวัตกรรม เทคโนโลยี และการบริการ ” งานวิจัยต้องมีนวัตกรรม เทคโนโลยี การบริการ

    พระพระพุทธเจ้าเป็นผู้ก่อตั้งถือว่าเป็นการประดิษฐกรรม Invention เราอย่าคิดคำสอนใหม่ที่ไม่พื้นฐาน มีการตีความผิด ๆ เราไม่ต้องประดิษญ์คำสอนใหม่ แต่เราสามารถเป็นนวัตกรรม ใครก็ตามที่นำมาปรับปรุงพัฒนาให้ดีขึ้นเหมาะสมกับสังคมด้วยการประยุกต์บูรณาการ ทำให้น่าสนใจมากขึ้น เรียกว่า นวัตกรรม วิปัสสนากรรมฐานเป็นนวัตกรรม ท่านติช นัท ฮันห์ นำเสนอการภาวนาให้เหมาะกับคนในสังคมปัจจุบัน ถือว่าเป็นนวัตกรรม นิสิตบัณฑิตทุกสาขามกาจุฬาจะทำวิจัยเรื่องใดก็ตามจะต้องเป็นมีนวัตกรรม ถือว่าเป็นบูรณาการศาสตร์สมัยใหม่ เราต้องมีความซื่อสัตย์ทางวิชาการ

    สาขาธรรมนิเทศมีคนเรียนน้อยเพราะขาดนวัตกรรม ต้องเป็นไปเพื่อการเผยแผ่ธรรมะ จะต้องนำเทคโนโลยีมาช่วยในการเผยแผ่ นำศาสตร์นิเทศ เป็นนิเทศศาสตร์เพื่อการเผยแผ่ สงฆ์เราอ่อนแอ่เพราะเราขาดนิเทศศาสตร์ ต้องมีการเชื่อมธรรมะกับนิเทศศาสตร์เป็นการบูรณาการ เรียนจบต้องสามารถเป็น สื่อมวลชนของสงฆ์ มิใช่มาเรียนเรื่องเทศน์เท่านั้น ส่วนสันติศึกษาเรียนแล้วต้องใจกว้าง ทุกมิติทางศาสนา พูดคุยกับบุคคลที่มีความต่าง รับฟังกันและกัน ไม่คลั่งศาสนาของตน สันติศึกษากับปรัชญาจึงไปด้วยกัน สิ่งสำคัญทุกหลักสูตรต้องมีนวัตกรรม

    งานวิจัยต้องมี 4 นวัตกรรม คือ ” ด้านผลผลิต ด้านการบริการ ด้านกระบวนการ ด้านการจัดการ ” งานวิจัยต้องสอดคล้องกับด้านใดด้านหนึ่งให้ได้ 1)นวัตกรรมด้านการผลผลิต คือ การนำเอาองค์ความรู้ในอภิธรรมปิฏกและวิธีปฏิบัติกรรมฐานมาบูรณาการเข้ากับจิตวิทยาตะวันตกจนเกิดสาขาพุทธจิตวิทยาและชีวิตและความตาย รัชกาลที่ 5 ทรงเป็นพระมหากษัตริย์องค์แรกของโลกที่ผลิตนวัตกรรม ทำหนังสือพระไตรปิฏกเล่มแรกของโลกด้วนการใช้เทคโนโลยี ในพ.ศ. 2436 ถือว่าเป็นการนวัตกรรมด้านผลผลิต รัชกาลที่ 5 จึงมีคุณูปการต่อพระพุทธศาสนาและมหาจุฬาเป็นอย่างยิ่ง บัณฑิตวิทยาลัยต้องสร้างนิเทศศาสตร์ทางธรรมะให้ได้ ด้วยการนำเทคโนโลยีมาช่วย ต้องพัฒนาไปสู่อนุสาสนียปาฎิหาริย์

    2) นวัตกรรมด้านกระบวนการ คือ การแสวงหาวิธีการใหม่ๆ เพื่อลดขั้นตอนในการผลิต เช่น วิธีการสอนภาษาอังกฤษแก่มหาเปรียญโดยเทียบเคียงกับภาษาบาลี วิธีการสอนเชิงพุทธบูรณาการ

    3) นวัตกรรมด้านการบริการ คือ การนำเทคโนโลยีสารสนเทศทั้งวิทยุ โทรทัศน์ และสื่อออนไลน์มาใช้ในการเรียนการสอนและเผยแผ่ธรรม บริการด้านวิชาการเพื่อให้เข้าถึงคนในยุคสมัยใหม่

    4) นวัตกรรมด้านการบริหาร คือ การนำหลักธรรมมาใช้ในการบริหารจัดการจนได้ผลจริง (Paperless Office) บัณฑิตวิทยาลัยจึงต้องคุมคุณภาพการศึกษา

    ฉะนั้น จากการฟังท่านอธิการทำให้เห็นมิติการมองว่า นิสิตระดับบัณฑิตต้องมีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้บ่อยๆ เชิญผู้นำศาสนาระดับโลกมาแลกเปลี่ยนเพื่อได้แนวประเด็นหัวข้อวิจัย การวิจัยต้องเป็นนวัตกรรมนำไปใช้บูรณาการในการพัฒนาชีวิตและสังคม ต้องฝึกตนเป็นผีเสื้อที่โบยบินอย่างมั่นคง ทุกสาขาในบัณฑิตวิทยาลัยต้องบูรณาการศาสตร์สมัยใหม่ เท่าทันเหตุการณ์ในปัจจุบัน นิสิตจึงต้องมีกระบวนการคิดเชิงระบบ ตกผลึกความคิดสู่ปัญญา

    ……………………………

    (หมายเหตุ : ขอบคุณข้อมูลจากเฟซบุ๊ก pramote od pantapat พระอาจารย์ปราโมทย์ วาทโกวิโท นิสิตปริญญาเอก สาขาสันติศึกษา มจร)




    ขอขอบคุณที่มา
    http://www.banmuang.co.th/news/education/89815
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 4 กันยายน 2017

แชร์หน้านี้

Loading...