มนต์เสน่ห์แหลมแท่น มุมมองใหม่เมืองชลบุรี

ในห้อง 'ท่องเที่ยว - อาหารการกิน' ตั้งกระทู้โดย rinnn, 20 มกราคม 2006.

  1. rinnn

    rinnn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    7,666
    ค่าพลัง:
    +24,024
    บางคนอาจนึกว่าชลบุรีเป็นแค่จังหวัดเล็กๆ คงไม่มีอะไรน่าเที่ยวนอกจากทะเล แต่รับรองได้ว่าคราวนี้พวกเราจะทำให้คุณได้รู้จักจังหวัดชลบุรีกันมากกว่าเดิมค่ะ

    การเดินทางบทแรกของทริปนี้ เริ่มต้นที่
    สวนเสือศรีราชา ซึ่งนอกจากจะมีการแสดงของเสือแล้ว ยังมีการแสดงอื่นๆ ที่น่าสนใจ อาทิ เลี้ยงลูกเสือด้วยนมหมู โชว์จระเข้ และนางพญาแมงป่อง เป็นต้น

    จุดแรกเป็นบริเวณอนุบาลลูกเสือ ซึ่งมีเทคนิคและวิธีการเพาะเลี้ยงน่าสนใจมาก เขาจะให้ลูกเสือกินนมของแม่เสือก่อนในช่วง 7 - 10 วันแรกเกิด เพราะในระยะนี้น้ำนมแม่เสือมีประโยชน์ในการสร้างภูมิคุ้มกันโรคให้ลูกเสือ หลังจากนั้นจะให้ลูกเสือกินนมแม่หมู (พันธ์ลาสไวท์) แทน เมื่อลูกเสือโตขึ้นนิสัยของมันก็จะเชื่องเหมือนแม่หมู แปลกดีมั้ยคะ

    ในระหว่างเดือนเมษายนถึงกรกฎาคมที่สวนเสือแห่งนี้ยังมีกิจกรรมพิเศษที่น่าสนใจอีกอย่างนั่นก็คือ เทศกาลแกะไข่ให้กำเนิดลูกจระเข้ ซึ่งเราสามารถร่วมกิจกรรมนี้ได้อย่างใกล้ชิดปลอดภัย ทุกคนสามารถสัมผัสถึงการกำเนิดของชีวิตใหม่ในมือของเราเอง เป็นประสบการณ์ที่น่าประทับใจนะคะ ห้ามพลาด หรือถ้าใครชอบความตื่นเต้นระทึกใจก็สามารถไปสัมผัสได้จากการแสดงโชว์จระเข้(ฉบับโตเต็มวัย)ค่ะ

    [​IMG]
    หลังจากพักเติมพลังด้วยอาหารกลางวันจนอิ่มท้องแล้ว พวกเราพร้อมใจไปเดินย่อยอาหารที่ สวนผีเสื้อสายทิพย์ ที่นี่นอกจากเราจะได้ตื่นตาตื่นใจกับลวดลาย และสีสันอันวิจิตรของผีเสื้อปีกบางโดยเฉพาะผีเสื้อพันธ์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย คือ ผีเสื้อหนอนกระท้อน (Atlas Moth) แล้ว ยังได้ความรู้เกี่ยวกับผีเสื้อชนิดที่เราไม่เคยรู้ ไม่เคยสังเกตมาก่อน อย่างเช่นเรื่องราวของหนอนผีเสื้อ ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ชนิด ถ้าเป็นหนอนผีเสื้อกลางวันจะตัวกลมเกลี้ยงไม่มีขน สีสันสวยงาม พวกนี้ไม่มีพิษ จับเล่นได้ ไม่คัน แต่ผีเสื้อกลางคืนมีขนปุยๆ ก็อย่าได้นึกเอ็นดูจับเล่นเชียว เพราะจะทำให้แพ้และคันคะเยอทีเดียว เราเดินชมผีเสื้อและสวนสวยต่ออีกพักหนึ่ง ก็เริ่มคิดว่าจะมีความสุขขนาดไหนกันนะถ้าเราได้โบยบินอย่างเจ้าแมลงปีกสวยตัวนี้บ้าง ว่าแล้วก็ไปทำฝันให้เป็นจริงกันเลยดีกว่า!!

    สำหรับคนที่รักอิสระ และความท้าทายอย่างเราแล้ว การได้มาเที่ยว
    Chonburi Flying Club หรือสนามบินอากาศยานเบาพิเศษ ช่างเป็นโปรแกรมท่องเที่ยวที่ถูกใจเราเสียจริง ใครที่อยากสนุกแต่กังวลเรื่องความปลอดภัยคงจะหมดห่วงได้ค่ะ เพราะสนามบินแห่งนี้เป็นที่ราบกว้างสุดลูกหูลูกตา เครื่องบินก็มีความปลอดภัยสูง ประกอบขึ้นจากวัสดุชนิดเบาพิเศษ นำเข้าจากแบรนด์ดัง Quicksilver ประเทศออสเตรเลีย

    ก้าวแรกที่ขึ้นเครื่องหัวใจเราก็เต้นแรงเมื่อได้สัมผัสกับอุปกรณ์ที่เป็นของนักบินจริงๆ ซึ่งคนธรรมดาอย่างเราๆ ยังไม่เคยสัมผัสมาก่อน เครื่องบินเล็กมีแค่สองที่นั่ง มีคันบังคับเอาไว้โยกขึ้นและลงอยู่ตรงกลางคล้ายเกียร์รถยนต์ ส่วนที่เท้าสามารถเหยียบขึ้นลงเหมือนคันเร่งเหยียบได้ทั้งเท้าซ้ายและเท้าขวา สักพักครูฝึกมาสอนการสวมหมวกนักบินที่มีลักษณะเหมือนหมวกกันน็อกที่มีไมโครโฟนอันเล็กยื่นลงมาที่ปาก ข้างในหมวกมีหูฟัง ใช้เสียบเข้ากับส่วนควบคุมของเครื่องบินเพื่อใช้พูดคุยกับนักบินอีกคนหนึ่ง

    เมื่อนักบินฝึกหัดอย่างเราพร้อมแล้วครูฝึกก็เริ่มบังคับเครื่องเข้าสู่มินิรันเวย์ เครื่องบินเริ่มบินไต่ระดับสูงขึ้นตามคันโยกของนักบิน วิวสองข้างทางเริ่มเปลี่ยนเป็นมุมที่สูงขึ้นและสูงขึ้น ด้านหน้าของเครื่องมีหน้าปัดบอกความสูง เครื่องรุ่นนี้สามารถบินได้สูงสุดตั้ง 8,000 ฟุต เรียกได้ว่าใช้ท้องฟ้าเป็นพื้นที่ส่วนตัวสำหรับโชว์ลีลาการบินได้เต็มที่ แถมยังได้เห็นมุมมองที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน

    ความจริงคนที่กลัวความสูงก็ขึ้นบินได้นะคะ เพราะนักบินจะค่อยๆ ไต่ระดับไม่ทำให้เรารู้สึกกลัว เหมือนเราขึ้นลิฟต์ในห้างนั่นเอง แต่สิ่งที่ได้คือบรรยากาศรอบๆ ตัวที่เหมือนลอยอยู่บนฟ้า และถ้าชอบบินแบบชมวิวก็สามารถบอกนักบินได้

    หลังจากขึ้นบินกันจนช่ำปอดแล้ว เราก็เปลี่ยนบรรยากาศไปดำดิ่งสู่ท้องทะเลที่
    สถาบันวิทยาศาสตร์ทางทะเล มหาวิทยาลัยบูรพากันค่ะ
    พิพิธภัณฑ์ได้จำลองสภาพชีวิตใต้ท้องทะเลของปลาและสัตว์ทะเลมากมายให้เราได้เรียนรู้ชีวิตความเป็นอยู่ของเพื่อนร่วมโลกเหล่านี้ผ่านกระจกใส และที่สำคัญช่วงนี้ทางพิพิธภัณฑ์ได้ขยายและเพาะพันธุ์ปลานีโม (ปลาการ์ตูน) ทำให้เราได้เห็นปลานีโมตัวจิ๋วเยอะแยะไปหมด บริเวณใกล้ทางออกมีอะควอเรี่ยมขนาดใหญ่ซึ่งโชว์ปลาหมอทะเลตัวยักษ์, ปลากระเบน, ปลาฉลาม และปลาชนิดอื่นๆ อีกมากมาย


    [​IMG]
    เวลาบ่ายแก่ๆ ต่างคนต่างก็เมื่อยล้ากับการเที่ยวตะลอนมาทั้งวัน พวกเราจึงตกลงปลงใจที่จะไปหาสถานที่พักผ่อนที่เรียบง่าย เพื่อปล่อยใจให้โล่งสบายคลายเหนื่อย สถานที่แห่งนั้นก็คือ ศาลเจ้าแม่สามมุข ที่ตั้งอยู่บนเขาสามมุข นั่นเอง คนที่มาเยี่ยมเยือนที่นี่มักจะมาสักการะเจ้าแม่กวนอิม และเหล่าเซียนทั้งหลาย พร้อมทั้งขอพรต่างๆ นานา

    กว่าพวกเราจะบูชาเจ้าแม่กวนอิมเสร็จก็เกือบจะเย็นมากแล้ว เราจึงปิดท้ายความสุขของทริปนี้ที่
    แหลมแท่น เพราะแหลมแท่นเป็นจุดชมวิวพระอาทิตย์ตกน้ำได้สวยที่สุดของหาดบางแสน ประวัติความเป็นมาของแหลมแท่นชาวบ้านเล่าให้เราฟังว่าสมัยรัชกาลที่ 5 พระราชชายาเจ้าดารารัศมีเคยมาประทับที่นี่ จึงเรียกสถานที่นี้ว่าแหลมแท่นเรื่อยมา

    ทัศนียภาพก่อนที่ตะวันจะลับของฟ้าของแหลมแท่น ดูมีเสน่ห์สมดังคำเล่าลือจริงๆ ศาลาริมหาด ผู้คนบ้างก็ตกปลา บ้างก็วาดรูป เริ่มกลายเป็นสีดำสนิทตัดกับแสงพระอาทิตย์ที่สะท้อนผิวน้ำระยิบระยับค่อย ทำให้พวกเราหายเหนื่อยไปโดยปริยาย

    มนตร์เสน่ห์ของชลบุรี เมืองท่องเที่ยวที่ไม่เคยหลับใหล หากใช้เวลาเพียงแค่ 1 วันที่จะสัมผัสกับความสุขของที่นี่ คงไม่พอเสียแล้ว
     

แชร์หน้านี้

Loading...